บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ลำดับที่ 471 หัวเรื่อง
ความเป็นมาสถานภาพของผู้หญิง
สมเกียรติ ตั้งนโม : เรียบเรียง
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน เชียงใหม่
The
Midnight University
Website
ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
สร้างขึ้นมาเพื่อผู้สนใจในการศึกษา
โดยไม่จำกัดคุณวุฒิ
หากต้องการติดต่อกับ
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ส่ง mail ตามที่อยู่ข้างล่างนี้
midnight2545(at)yahoo.com
คลิกไปหน้า homepage มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
แนวคิดสตรีนิยม
ประวัติความเป็นมาเกี่ยวกับสถานภาพของผู้หญิง
สมเกียรติ ตั้งนโม
คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ลำดับที่ 471
หมายเหตุ : ผลงานชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของบทความเรื่อง
Feminist Art
เรียบเรียงเพื่อเป็นบทอ่านทางวิชาการเพื่อนักศึกษาคณะวิจิตรศิลป์
(บทความชิ้นนี้ยาวประมาณ
11 หน้ากระดาษ A4)
บทนำ
ในการสำรวจถึงสถานภาพของผู้หญิงตลอดช่วงของประวัติศาสตร์ อัตลักษณะร่วมกันบางประการได้ปรากฏตัวขึ้นมา
สถานภาพของผู้หญิงได้ผันแปรไปกับเรื่องของชนชั้นและวัฒนธรรมต่างๆ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม
ฐานะของผู้หญิงที่อยู่ในกลุ่มพวกที่เป็นผู้ดีชั้นสูง หรือพวกที่อยู่ในฐานะยากจนต่างก็มีอะไรบางอย่างเหมือนๆกัน
กล่าวคือ พวกเธอต้องทำงานหนักและได้รับผลประโยชน์ทางสังคมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงก็มีความก้าวหน้ามากขึ้น ในช่วงระหว่างยุคสมัยของความเปลี่ยนแปลง
แต่ความก้าวหน้าต่างๆเหล่านี้มักจะไม่ค่อยมั่นคงนัก ซึ่งในท้ายที่สุด, สิ่งที่เป็นที่รู้จักเกี่ยวกับผู้หญิงนั้น
บ่อยครั้งได้ถูกวางรากฐานอยู่บนบันทึกต่างๆและความคิดของผู้ชาย
1. สถานภาพของผู้หญิงในยุคกรีกและโรมันโบราณ
สถานภาพของผู้หญิงในโลกตะวันตกได้รับการก่อรูปก่อร่างขึ้นมาโดยความคิดของกรีกและโรมัน
และโดยขนบประเพณีทางศาสนายิวและคริสตศาสนา
ในโลกคลาสสิคของกรีกและโรมัน ผู้ชายที่เป็นพลเมืองที่มีภาระรับผิดชอบต่อสังคมและสาธารณะ ส่วนผู้หญิงนั้นเป็นบุคคลที่ต้องทำหน้าที่ดูแลพวกเด็กๆและจัดการในเรื่องครอบครัว ในวัฒนธรรมทั้งสองนี้ ผู้หญิงที่มีฐานะยากจนจะต้องแสวงหาหนทางที่จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัว และในครอบครัวชาวนา ผู้หญิงจะต้องทำงานในไร่นา แต่อย่างไรก็ตาม, มีความแตกต่างอย่างสำคัญในการดำรงอยู่ระหว่างสองสังคมอันนี้ในเรื่องความเป็นอยู่ของพลเมืองผู้หญิง
ในเอเธนส์, ผู้หญิงได้ถูกพิจารณาว่าต้อยต่ำกว่าผู้ชาย แม้ว่าเพลโตจะอ้างเหตุผลว่า ผู้หญิงที่มีความสามารถหรือฉลาดหลักแหลมส่วนใหญ่ ควรจะได้รับการฝึกฝนและได้รับการศึกษาเพื่อที่จะเป็นผู้นำ แต่ทัศนะซึ่งมีอยู่ทั่วไปกลับเดินตามความเชื่อของอริสโตเติลที่ว่า ผู้หญิงควรจะมีลักษณะยอมจำนนหรือเป็นฝ่ายที่ถูกกระทำ(passive) ว่านอนสอนง่าย, เชื่อฟัง, และไม่มีปากมีเสียง
ตามอุดมคติแล้ว, ผู้หญิงจะทิ้งบ้านของตนออกมาได้ก็แต่เพียงเพื่อที่จะไปร่วมงานศพและไปร่วมพิธีเฉลิมฉลองที่เกี่ยวกับศาสนาบางอย่างเท่านั้น ส่วนในทางกฎหมายแล้ว ผู้หญิงไม่มีสิทธิควบคุมเหนือทรัพย์สมบัติที่พวกเธอได้รับมรดกหรือเป็นของตนเอง โดยปกติภรรยาทั้งหลายจะได้รับการศึกษาน้อยกว่าสามีและที่สำคัญก็คือจะอายุน้อยกว่าสามี ผู้ซึ่งเป็นผู้เลือกพวกเธอมาเป็นภรรยาของพวกเขา ผู้หญิงมีสิทธิอันชอบธรรมอันหนึ่งในเรื่องดอกผลเกี่ยวกับสินเดิมของตน(ในฐานะแม่หม้าย)ถ้ามีการหย่าร้าง และพวกเธอจะได้รับความเป็นอิสระบางอย่างโดยอายุ
ตลอดช่วงเวลาในยุคสมัยโรมัน ผู้หญิงได้รับสิทธิอันชอบธรรมที่จะเกี่ยวข้องกับหน้าที่ต่างๆทางสังคม และมีสิทธิที่จะดำเนินธุรกิจและเรื่องส่วนตัวของพวกเธอ แต่ทั้งหมดนั้น ผู้หญิงที่ยากจนมากๆจะได้รับการศึกษาอย่างเป็นทางการที่มีจัดไว้ให้บางอย่าง และผู้หญิงที่เป็นคนชั้นสูงจะให้การศึกษากับลูกๆของตนเอง แม้ว่าพวกเธอจะไม่มีสิทธิทางการเมืองต่างๆ แต่ผู้หญิงบางคนมีอำนาจและอิทธิพลทางการเมืองค่อนข้างมาก
โสเภณีเป็นสิ่งที่ธรรมดาร่วมกันในสังคมกรีกและโรมัน โสเภณีต่างๆมีข้อจำกัดต่างๆน้อยกว่าพวกที่เป็นภรรยา และมีการเสนอว่าผู้หญิงโรมันบางคน เป็นไปได้ที่จะขึ้นทะเบียนเป็นโสเภณีเพื่อที่จะได้รับอิสรภาพ ประสบการณ์ของทาสที่เป็นผู้หญิงเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าสังเกต ทาสผู้หญิงบางคนสนิทสนมกับผู้เป็นเจ้าของพวกเธอ ส่วนบางคนได้รับค่าแรงสำหรับงานที่พวกเธอทำ, อันนี้แตกต่างไปจากเพื่อนๆของพวกเธอเพียงป้ายฉลาก แต่กระนั้นก็มีบางคนที่ถูกตักตวงผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจและตักตวงผลประโยชน์ทางเพศด้วย
2. สถานภาพของผู้หญิงในสังคมชาวยิว
และสังคมชาวคริสต์ในช่วงต้น
ผู้หญิงในขนบประเพณีของสังคมชาวยิวถูกมองว่าเป็นภรรยาและแม่ ในทางอุดมคติพวกเธอจะมีหน้าที่ในการจัดการในเรื่องครอบครัว
เพื่อเพิ่มความอุดมสมบรูณ์และเสริมคุณค่าต่างๆขึ้นมา พวกเธอสามารถที่จะรับช่วงสืบทอดทรัพย์สมบัติได้
แต่การทำนิติกรรมหรือสัญญาข้อตกลงใดๆของพวกเธอไม่ได้รับการยินยอมให้มีโดยพ่อหรือสามีของพวกเธอ
ผู้หญิงจะต้องรับผิดชอบสำหรับการฝึกฝนเรื่องทางศาสนาของพวกเด็กๆ แต่ก็ไม่มีบทบาททางศาสนาในที่สาธารณะใดๆ
การมีสามีหรือภรรยาหลายคนและการหย่าร้างได้รับการอนุญาต ทั้งผู้ชายและผู้หญิงจะถูกลงโทษสำหรับการมีชู้ แต่ผู้หญิงจะถูกลงโทษรุนแรงกว่าเสมอ ผู้หญิงที่มีประจำเดือนจะถูกกันออกไปเพราะถือว่าไม่สะอาด โดยทั่วไปแล้ว ผู้ชายจะไม่พูดคุยกับผู้หญิงซึ่งมิได้เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของพวกเขา แต่อย่างไรก็ตาม ในบางโอกาส ผู้หญิงก็เป็นผู้นำ และผู้หญิงที่เป็นภรรยาก็ได้รับการเคารพนับถือ
ตามหลักคำสอนของศาสนาคริสต์ ทั้งให้การยกย่องและตำหนิประณามผู้หญิงในเรื่องเกี่ยวกับบาปของอาดัมและอีฟ จนเสียความบริสุทธ์และต้องถูกขับออกมาจากสวนอีเดน(Adam's fall) องค์พระเยซูเจ้าได้ชักชวนทั้งผู้หญิงและผู้ชายให้มาเป็นสานุศิษย์ของพระองค์
เซนส์.พอลแห่งธาร์ซัสยอมรับผู้หญิงในฐานะที่เป็นผู้นำทางด้านจิตวิญญาน แต่ท่านก็สอนว่า ผู้หญิงควรเป็นรองสามีของพวกเธอและไม่ควรเทศนาสั่งสอน. ในศาสนาคริสต์แม้ว่าผู้หญิง ในทางจิตวิญญานจะเท่าเทียมกันกับชาย แต่ในทางปฏิบัติพวกเธอกลับเป็นฝ่ายที่ต่ำต้อยและกระทั่งเป็นแหล่งต้นตอแห่งบาปกรรมมากกว่า ด้วยเหตุนี้ ความบริสุทธิ์ อันดับแรกสุดนั้นจึงสนับสนุนให้มีโอกาสอันหนึ่งในการรับใช้ศาสนาจักร ซึ่งเป็นวิธีการอันหนึ่งของการหลีกเลี่ยงบาป และในกรณีของพวกผู้ชาย ให้หลีกเลี่ยงไกลห่างจากผู้หญิง
3. สถานภาพของผู้หญิงสมัยกลาง
ศาสนาคริสต์เปิดช่องให้ผู้หญิงด้วยทางเลือกที่ยอมรับกันอันหนึ่งในเรื่องการเข้ามาร่วมเป็นชุมชนต่างๆทางศาสนา
แรกเริ่มเดิมที กลุ่มที่ไม่เป็นทางการทั้งหลายจะชุมนุมอยู่รอบๆผู้นำคนหนึ่ง ในคริสตศตววรษที่
6 ชุมชนต่างๆเหล่านี้ได้กลายเป็นโครงสร้างของสถาบัน บ่อยครั้งมันได้รับการสถาปนาขึ้นและได้รับการสนับสนุนจากสถาบันกษัตริย์
ชุมชนต่างๆทางศาสนาจักร์ให้โอกาสอันหนึ่งกับผู้หญิง ที่จะเรียนรู้และดำรงอยู่อย่างปลอดภัยในชีวิตท่ามกลางความวุ่นวายสับสนของยุคกลาง บรรดาผู้ที่เป็นหัวหน้าของแม่ชีจำนวนมาก มักจะเป็นบุคคลที่มาจากครอบครัวชนชั้นสูง ซึ่งได้กลายเป็นพลเมืองที่สำคัญเช่นเดียวกับผู้นำทางศาสนาคนอื่นๆ
ขณะที่จักรวรรดิ์โรมันกำลังล่มสลาย สถานภาพของผู้หญิงได้ตกต่ำลงไป ในบรรดารัฐเล็กๆของยุโรปตะวันตก ผู้หญิงมีสิทธิต่างๆทางด้านกฎหมายแต่เพียงเล็กๆน้อยๆ และนอกเหนือไปจากศาสนาจักร์ พวกเธอไม่มีโอกาสในเรื่องการศึกษา แต่อย่างไรก็ตาม กลียุคและสงครามต่างๆในยุคสมัยกลางได้ทอดทิ้งผู้หญิงให้ต้องเป็นผู้รับผิดชอบสำหรับครอบครัวและเรื่องในบ้าน และผู้หญิงบางคน เริ่มที่จะเซ็นสัญญาทำข้อตกลงต่างๆและปรากฏตัวขึ้นในศาล
4. สถานภาพของผู้หญิงในสมัยเรอเนสซองค์
ถึงคริศตศตวรรษที่ 18
ในช่วงเริ่มต้นคริสตศตวรรษที่ 15 ผู้หญิงในโลกตะวันตกได้รับสิทธิต่างๆทางกฎหมายและอิสรภาพอย่างช้าๆ
ในหลายต่อหลายตัวอย่าง ความจำเป็นได้บีบบังคับผู้หญิงให้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของพวกเธอ
ถัดจากนั้น ท่าทีหรือทัศนคติและกฎหมายต่างๆก็ยอมรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
น่าจะเป็นเพียงชนกลุ่มน้อยในหมู่ผู้หญิง ที่เข้าคู่กันได้กับอุดมคติทางสังคมของความเป็นแม่และภรรยาที่น่านับถือ ผู้หญิงส่วนใหญ่มีฐานะที่เป็นแม่ แต่ผู้หญิงยากจนเป็นจำนวนมากเช่นกันน่าจะไม่ได้แต่งงาน กฎหมายและระบบสังคมส่วนใหญ่ ที่ผูกพันกับเรื่องการเป็นชู้และการกระทำผิดกฎหมาย เสนอว่า แม้ในท่ามกลางผู้คนที่ร่ำรวย ความน่าเคารพเลื่อมใสของผู้หญิงที่แต่งงานแล้วจะต้องไม่ถูกทึกทักเอาว่าเป็นเช่นนั้น (หมายความว่าอย่าทึกทักเอาเองว่า ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วจะไม่ทำผิดศีลธรรม) กฎหมายและทัศนคติต่างๆให้การสนับสนุนมาตราฐานการมีผัวเดียวเมียเดียวเท่านั้นที่เป็นคู่ชีวิตกัน
ผู้หญิงเช่นเดียวกันกับผู้ชาย ต่างก็มีส่วนในการเรียนรู้ในยุคเรอเนสซองค์ : การเรียนในสมัยดังกล่าว ถูกถือว่ามันได้ช่วยนำไปสู่คุณความดีและความบริสุทธิ์ ผู้หญิงที่มีการศึกษา อย่างเช่น Isabella แห่งสเปน และ Elizabeth ที่ 1 แห่งอังกฤษได้รับการตัดสินว่าเป็นผู้นำที่โดดเด่นโดยฐานะและต่ำแหน่งของพระองค์และโดยประวัติศาสตร์ แต่กระนั้น ผู้หญิงก็ยังคงถูกพิจารณาว่าต่ำต้อย และการแพร่หลายทางการศึกษาและอำนาจยังคงคับแคบอยู่และเป็นของผู้ชาย
การค้า อุตสาหกรรม และการเปลี่ยนแปลงต่างๆในด้านเกษตรกรรมได้ดูดดึงเอาประชาชนมาสู่เมือง กฎหมายได้จำกัดสิทธิของผู้หญิง แต่ผู้หญิงเป็นจำนวนมากในด้านการค้าก็ได้มีการเซ็นสัญญาต่างๆ และจัดการในเรื่องของทรัพย์สิน และกระทำหน้าที่ในฐานะที่เป็นตัวแทนของพวกเธอเอง
ความขาดแคลนไม่เพียงพอในด้านกำลังงานในช่วงแรกของการปฏิวัติอุตสาหกรรม มีผลต่อการกดดันที่ตั้งข้อจำกัดในเรื่องงานของผู้หญิง กฎหมายต่างๆและกฎข้อบังคับสมาคมอาชีพปฏิเสธผู้หญิงให้เข้ามาสู่โปรแกรมต่างๆเกี่ยวกับการฝึกงาน อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงได้เบียดเสียดยัดเยียดเข้ามาสู่การเติบโตของสังคมเมืองต่างๆ
ผู้หญิงซึ่งเป็นชนชั้นกลางสามารถที่จะถอนตัวจากพลังบีบคั้นของแรงงาน แต่ผู้หญิงที่ยากจนกลับถูกบีบคั้นให้ยอมรับเงื่อนไขเกี่ยวกับการทำงานที่หยาบและได้รับค่าจ้างต่ำเพื่อการอยู่รอด พวกผู้หญิงที่ยังเด็กดำรงชีวิตอยู่โดยตัวของพวกเธอเอง แต่บรรดาผู้หญิงที่มีอายุกลับต้องรับผิดชอบกับพวกลูกๆของพวกเธอ ในทวีปยุโรปถัวเฉลี่ยของวัยแต่งงานได้สูงขึ้นจาก 21 ปีไปสู่ระดับอายุ 25-28 ปีในช่วงขณะนั้น ผู้หญิงที่เป็นอิสระซึ่งยังเป็นโสด แม่หม้าย หรือผู้หญิงที่ถูกทอดทิ้ง เสี่ยงต่อการมีชีวิตที่จะผลักดันไปสู่ความตายในฐานะที่เป็นแม่มด.
ทั้งๆที่มีอุปสรรคต่างๆมากมาย
การศึกษาที่แผ่ขยายกว้างออกไป ในบางส่วนเนื่องมาจากว่า นิกายโปรเตสแตนท์บางนิกายถือว่า
ทุกๆคนควรที่จะสามารถอ่านพระคัมภีร์ไบเบิลได้ การอพยพโยกย้ายไปสู่อาณานิคมต่างๆสามารถที่จะให้อิสรภาพดั้งเดิมได้
แต่ก็ยังพัวพันกับภยันตรายอันยิ่งใหญ่อยู่ ในเวลาเดียวกัน ผู้หญิงในอังกฤษและที่อื่นๆได้เข้ามาร่วมกับเส้นทางต่างๆทางการเมือง
พวกเธอยังได้เข้ามามีส่วนพัวพันกับศาสนาต่างๆที่ไม่ลงรอยกันกับของเดิม และความเคลื่อนไหวทางสังคมอื่นๆด้วย
การได้รับสิทธิ์
ในช่วงคริสตศตวรรษที่ 17 เป็นช่วงโอกาสหนึ่งของผู้หญิง ซึ่งบ่อยครั้งเป็นผู้หญิงที่ไม่ได้แต่งงานที่ได้เรียกร้องเกี่ยวกับสิทธิของผู้หญิงในด้านการศึกษาและความเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ควรมีส่วนในผลประโยชน์ต่างๆของสังคม
แต่อย่างไรก็ตาม ไม่จนกระทั่งช่วงปลายของคริสตศตวรรษที่ 18 ที่ผู้หญิงเริ่มจะรวมตัวอยู่รอบๆปัญหาต่างๆของพวกเธอ
ในช่วงระหว่างนั้น Rouseau และพวกโรแมนติคทั้งหลายได้ยกภาพของผู้หญิงขึ้นมา ในฐานะที่เป็นพวกที่เปราะบาง
แตกหักง่าย ควรอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน, และต้องพึ่งพาอาศัยผู้อื่น
ในปี ค.ศ.1839 กฎหมายเกี่ยวกับการดูแลทารกในอังกฤษ ได้ยินยอมให้ผู้หญิงที่แยกทางกับสามีหรือหย่าร้างเป็นผู้ดูแลเด็กที่อายุต่ำกว่า 7 ขวบ การปฏิรูปเรื่องการหย่าร้างได้ตามมาในช่วงปี 1857 ถัดจากนั้นการปกป้องทรัพย์สมบัติของพวกผู้หญิงก็เป็นกฎหมายติดตามมาในช่วงทศวรรษ 1870s.
ในสหรัฐอเมริกา มีความพยายามที่จะขยายโอกาสทางการศึกษาของผู้หญิงให้มากขึ้น ซึ่งต่อมาได้ประสบความสำเร็จโดยการรณรงค์ให้มีการปฏิรูปทางกฎหมาย การเคลื่อนไหวในกลุ่มผู้หญิงในเรื่องการให้สิทธิในการออกเสียงได้ติดตามมาอีก
ในทวีปยุโรปทางตอนเหนือ ในช่วงระหว่างนั้น ผู้หญิงได้รวมตัวกันอยู่รอบๆประเด็นปัญหาเกี่ยวกับความสนใจในเรื่องความเป็นแม่ที่ไม่ได้แต่งงาน. ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1920s ผู้หญิงในยุโรปตอนเหนือ รวมทั้งอังกฤษและในสหรัฐอเมริกามีสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้ง และอย่างน้อยที่สุด ผู้หญิงส่วนใหญ่ได้รับการศึกษาในขั้นประถม
5. สถานภาพของสตรีในส่วนอื่นๆของโลก
ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสถานภาพของผู้หญิง ที่พ้นไปจากสังคมตะวันตกเป็นที่รู้กันน้อยมาก
ประวัติศาสตร์และขนบธรรมเนียมที่เล่าต่อๆกันมากล่าวถึงผู้นำต่างๆที่เป็นผู้หญิง
ในจักรวรรดิ์ Byzantine และในอินเดีย เป็นตัวอย่าง ขนบประเพณีอื่นๆได้ชี้ถึงบทบาทต่างๆของผู้หญิงและความชำนิชำนาญ ; บ้างก็เสนอว่าบทบาทของผู้หญิง ถ้ามิใช่ในฐานะปัจเจกบุคคลผู้ซึ่งเติบโตขึ้นมา ต่างก็ได้รับการเคารพนับถือ ส่วนใหญ่ในโลกของผู้หญิงคือคนที่ทำงานเช่นเดียวกับการเลี้ยงดูเด็กๆ บ่อยครั้ง การมีสัมพันธ์ติดต่อกับตะวันตกได้เพิ่มภาระต่างๆของพวกเธอมากยิ่งขึ้น
ผู้ปกครองอาณานิคมชาวตะวันตกไม่เพียงรังเกียจผู้คนท้องถิ่นและขนบธรรมเนียมต่างๆเท่านั้น ชนชั้นปกครองพวกนี้ยังล้มเหลวที่จะยอมรับผู้หญิงและกิจกรรมต่างๆของพวกเธอด้วย. ผู้หญิงชาวแอฟริกันที่เป็นชาวนาต้องสูญเสียสิทธิในที่ดินทำกินของตนลงไป เมื่อกฎหมายที่ได้รับแรงบันดาลใจจากชาวยุโรป เรียกร้องให้โฉนดที่ดินจะต้องมีชื่อของเจ้าของที่ดินที่เป็นผู้ชายเท่านั้น
ช่องว่างทางด้านการศึกษาระหว่างผู้หญิงและผู้ชายขยายกว้างมากขึ้น ขณะที่เด็กผู้ชายได้รับการศึกษาในระบบที่จำลองมาจากแบบฉบับของตะวันตก แต่ผู้หญิงกลับมิได้รับการศึกษาแต่อย่างใด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อันนี้เป็นความจริงในกลุ่มประเทศอิสลาม ที่ที่ขนบธรรมเนียมเรียกร้องว่า ผู้หญิงทั้งหลายจะต้องได้รับการจำกัดอยู่กับการดูแลครอบครัว
คณะกรรมการขององค์การสหประชาชาติ ที่ทำงานเกี่ยวกับเรื่องสถานภาพของผู้หญิงได้รับการจัดตั้งขึ้นในปี 1948 ซึ่งได้เริ่มวางแผนสำหรับปีสตรีสากลขึ้น(International Women's Year - IWY; 1975) พร้อมกันนั้นได้จัดให้มีปีทศวรรษเพื่อผู้หญิงขององค์การสหประชาชาติด้วย(1975-1985) และได้มีการจัดประชุมขึ้นมา 3 ครั้งในระหว่างช่วงทศวรรษดังกล่าว ครั้งแรกจัดที่ Maxico City ในปี 1975, ครั้งที่สองจัดขึ้นที่ Copenhagen ในปี 1980, และครั้งที่สามจัดขึ้นที่ Nairobi ในปี 1985. IWY ถือเป็นตัวแทนความพยายามขึ้นมาครั้งแรกในโลกที่จะยกระดับสถานภาพของสตรีขึ้นมา
6. สถานภาพของผู้หญิงในปัจจุบัน (contemporary status of women)
ก. สหรัฐอเมริกา การตัดสินใจของพรรคเดโมแครทที่จะยกเอาสตรีผู้หนึ่งขึ้นมาในฐานะเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งรองประธานาธิบดีในปี 1984 เป็นเครื่องบ่งชี้อันหนึ่งเกี่ยวกับการปรับปรุงสถานภาพของผู้หญิงขึ้นในสหรัฐอเมริกา การเคลื่อนไหวมาเป็นระยะเวลาอันยาวนานในฐานะพรรคกรรมกร ผู้หญิงค่อยๆเริ่มที่จะได้รับตำแหน่งต่างๆที่มีอิทธิพลทางการเมืองขึ้น จำนวนของผู้หญิงในสำนักงานและที่ทำการสาธารณะได้เพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าในช่วงระหว่างปี 1973-1984
ก.1. ความก้าวหน้าทางกฎหมาย การเปลี่ยนแปลงในเรื่องสถานภาพทางการเมืองของผู้หญิง ได้ถูกทำให้ไปด้วยกันกับการเปลี่ยนแปลงในขอบเขตอื่นๆ แม้ว่าจะไม่มีการแปรญัตติในเรื่องสิทธิที่เท่าเทียมกัน แต่ผู้หญิงก็ได้รับสิทธิในทางกฎหมายหลายประการด้วยกัน นับแต่ต้นปีทศวรรษที่ 1970s, คำวินิจฉัยของศาลสูงแห่งสหรัฐที่มีพื้นฐานอยู่บนหลักรัฐธรรมนูญ ได้ห้ามให้มีการแบ่งแยกทางเพศในส่วนของรัฐบาล เว้นแต่เมื่อเป็นเรื่องภารกิจที่มีเป้าหมายต่างๆที่สำคัญกับรัฐบาล
ข้อวินิจฉัยต่างๆของศาลยังสอดคล้องไปด้วยกันกับการออกกฎหมาย ที่ให้ผู้หญิงมีสิทธิมากขึ้นในผลประโยชน์ และความรับผิดชอบต่างๆต่อสังคมและสาธารณชนมากขึ้น การปฏิรูปกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องของภาษี ได้มีการขจัดภาษีต่างๆที่เกี่ยวกับเรื่องทรัพย์สินและภาษีเกี่ยวกับของที่ให้โดยความสมัครใจ โดยการโยกย้ายทรัพย์สมบัติระหว่างคู่สามีภรรยา
กล่าวคือเรื่องนี้ได้รับการทึกทักเอาเองมาตลอดจนกระทั่งปีทศวรรษ 1970s ที่ว่า ทรัพย์สินซึ่งขึ้นทะเบียนเป็นชื่อของสามีเป็นผลลัพธ์ของความพยายามต่างๆของสามีเพียงลำพังคนเดียวเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ภรรยาทั้งหลายจึงจ่ายภาษีเกี่ยวกับทรัพย์สินสูงกว่าสามีของพวกเธอ
การปฏิรูปกฎหมายที่ประกาศออกมาเมื่อปี 1976 อนุญาตให้แม่บ้านทั้งหลายสามารถปลดภาระส่วนตัวนั้นได้ และเพื่อเตรียมการในเรื่องเกี่ยวกับการขอลดหย่อนภาษี เพื่อนำไปใช้ในการเลี้ยงดูลูกๆของพวกเธอ ต่อมาภายหลังได้มีการออกกฎหมายคุ้มครองเรื่องบำนาญและสิทธิความมั่นคงทางสังคมของผู้หญิงออกมาอีก ซึ่งผลประโยชน์ของพวกเธอถูกวางอยู่บนพื้นฐานการได้มาซึ่งรายได้ของคู่สามีของพวกเธอ แต่อย่างไรก็ตาม ตลอดชีวิตของพวกแม่บ้าน มิได้รับการคุ้มครองโดยตรงโดยกฎหมายความมั่นคงทางสังคม
มีการเรียกร้องให้คว่ำกฎหมายต่างๆที่ระบุให้ผู้หญิงต้องมีภูมิลำเนาอยู่ในภูมิลำเนาของสามี และการเรียกร้องดังกล่าวก็ประสบความสำเร็จ นอกจากนี้คำวินิจฉัยของศาลยังสนับสนุนให้ผู้หญิงยังคงใช้ชื่อของตัวเธอเองได้ภายหลังที่แต่งงานแล้ว
ก.2. การจ้างงาน การออกกฎหมาย, การปลุกปั่น, การกำหนดกฎเกณฑ์ให้มีความแน่นอน ได้ช่วยปลดเปลื้องอุปสรรคต่างๆจำนวนมากมายเกี่ยวกับการจ้างงานในส่วนที่เป็นแรงงานหญิงไปได้มาก แม้ว่าจะไม่ทั้งหมด มีกฎหมายหลายฉบับออกมาในลักษณะที่ช่วยทำให้เกิดการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมระหว่างคนงานชายและคนงานหญิง
การแปรญัตติต่างๆเกี่ยวกับเรื่องการศึกษาในปี 1976 และกฎหมายการมีส่วนในการฝึกงานปี 1982 ทำให้ผู้หญิงมีโอกาสแข่งขันในงานที่ไม่ใช่เคยทำๆกันตามประเพณี การรวมกันอันหนึ่งของการออกกฎหมายและคำวินิจฉัยของศาล ห้ามให้มีการแบ่งแยกการทำงานอันเนื่องมาจากการตั้งครรภ์ และช่วยปกป้องความมั่นคงในการทำงานของคนงานหญิง เมื่อพวกเธอจำเป็นต้องลาหยุดอันเนื่องมาจากการตั้งครรภ์ และยังได้ขจัดสิ่งที่ไม่สัมพันธ์กันกับงานที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญโดยเฉพาะด้วย
จากสถิติต่างๆได้เปิดเผยว่า ผู้หญิงเป็นจำนวนมากได้รับประโยชน์เกี่ยวกับโอกาสต่างๆที่เป็นไปได้มากขึ้น เปอร์เซนต์ของผู้หญิงที่เป็นนักกฎหมาย, นักเศรษฐศาสตร์, ผู้หญิงที่ทำงานไปรษรีย์, และช่างกล อย่างน้อยที่สุดเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวในช่วงระหว่างปี 1975-1985
ทั้งๆที่มีความก้าวหน้าดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตาม, 3 ใน 4 ของผู้หญิงทั้งหมดในพลังการผลิตในงานที่ผู้หญิงครอบครองอยู่ มีการจ่ายค่าแรงต่ำ, เช่น งานบริการ, งานในหน้าที่เสมียนบริหารสำนักงาน และพนักงานขายต่างๆ เหตุผลสำหรับความไม่ลงรอยกันอันนี้มีอยู่มากมาย บ่อยครั้ง ผู้หญิงได้รับการตัดสินโดยบรรทัดฐานที่เข้มงวดและน่ารำคาญ ถ้าพวกเธอย้ายไปสู่หน้าที่หรือบทบาทใหม่ๆ ผู้หญิงยังคงไม่ได้ถูกรับเข้าไปในโปรแกรมการฝึกงานอย่างเต็มที่ในหลายๆด้าน. ในเดือนกรกฎาคม 1982 กรมแรงงานสหรัฐรายงานว่า มีผู้หญิงเพียง 6 % เท่านั้นที่ลงทะเบียนฝึกงาน
ก.3. การศึกษาและการวิจัย โอกาสทางการศึกษาของผู้หญิงในสหรัฐอเมริกาได้ขยายตัวออกไปอย่างค่อนข้างมาก. ในปี 1981, ผู้หญิงได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลในส่วนที่เกี่ยวกับการศึกษาในระดับปริญญาตรีต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของทั้งหมด และได้เงินช่วยเหลือด้านการศึกษาในระดับปริญญาโทครึ่งหนึ่งของทั้งหมด แต่อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงได้รับเงินอุดหนุนเพียง 31.1% ของทั้งหมดในระดับปริญญาเอก และ 25.2% ของทั้งหมดในการศึกษาทางด้านวิชาชีพ
ความแตกต่างอย่างสำคัญอันนี้ ดำรงอยู่ระหว่างช่วงการศึกษาระดับมัธยมทางด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ด้วยในกลุ่มเด็กผู้ชายและผู้หญิง ความแตกต่างเหล่านี้ คล้ายกันกับสิ่งที่มีอยู่ท่ามกลางผู้หญิงและผู้ชายในโปรกแกรมการฝึกงานต่างๆ ซึ่งจะเป็นข้อจำกัดต่อมาในอนาคตเกี่ยวกับการจ้างงานสำหรับเด็กผู้หญิงที่มีศักยภาพ
คำถามต่างๆได้ถูกยกขึ้นมาโดยบรรดานักเรียกร้องสิทธิสตรี(feminists) และนักวิจัยต่างๆ ที่มีความสนใจเกี่ยวกับงานวิชาการในกลุ่มนักเรียกร้องสิทธิสตรี ซึ่งได้กระตุ้นการพัฒนาและการเจริญเติบโตเกี่ยวกับการศึกษาเรื่องของผู้หญิง จากการเฝ้าดูด้วยความสงสัยเป็นอย่างมาก เมื่อมีการนำเสนอขึ้นมาเป็นครั้งแรก ขอบเขตการศึกษาเรื่องของผู้หญิง กลายเป็นพื้นที่ทางการศึกษาในลักษณะที่เป็นสหวิทยาการอย่างน่าสนใจในหลายๆมหาวิทยาลัย
ขณะที่ผู้หญิงได้รับสถานภาพขึ้นมา พวกเธอได้มีอิทธิพลต่อการวิจัย โดยการเน้นความสำคัญเกี่ยวกับเพศในฐานะที่เป็นประเภทหนึ่งในข้อมูลที่จัดเป็นตาราง ความแตกต่างในทางการแพทย์, จิตวิทยา, และพัฒนาการระหว่างผู้ชายและผู้หญิง, ก่อนหน้านี้ได้เคยถูกเมินเฉยและอธิบายเสมอถึงข้อเสียเปรียบของผู้หญิง มาถึงตอนนี้ได้รับการตรวจสอบอย่างระมัดระวังและเอาใจใส่
ทั้งๆที่ได้มีการศึกษาและวิจัยที่ทำขึ้นโดยผู้หญิง แต่อุปสรรคกีดขวางก็ยังคงมีอยู่ การค้นพบทางการวิจัยใหม่ๆได้ถูกรวบรวมเป็นหลักสูตรต่างๆอย่างค่อนข้างเชื่องช้าเอามากๆ บทบาททางเพศ(sex-role) ที่มีลักษณะเป็นทัศนคติแบบตายตัว(stereotype) ยังคงมีอิทธิพลต่อการให้คำแนะนำในเรื่องการเรียนและอาชีพการงานที่ให้กับบรรดาเยาวชนอยู่ การแบ่งแยกอย่างละเอียดอ่อนเป็นอย่างเดียวกันกับทัศนคติทางสังคมที่เป็นไปในเชิงลบ และขาดเสียซึ่งตัวอย่างของผู้ที่มีบทบาทซึ่งประสบความสำเร็จ และการเตรียมตัวที่ไม่มากพอก็กลายมาเป็นอุปสรรคกีดขวางของผู้หญิงที่จะเข้าไปสู่ขอบเขตวิชาการ อย่างเช่น ทางด้านวิศวกรรมและธุรกิจก.4. บทบาทต่างๆทางด้านครอบครัว บทบาทต่างๆทางด้านครอบครัวกำลังเปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน แม้ว่าอัตราของการเปลี่ยนแปลงจะช้ากว่าก็ตาม ขนาดของครอบครัวที่เล็กลง ได้ช่วยให้เกิดความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ ถัวเฉลี่ยของผู้หญิงชาวอเมริกันในวัยที่เข้าสู่การแต่งงานเปลี่ยนแปลงไป กล่าวคือเพิ่มขึ้นเป็นอายุ 22. นอกจากนี้วัยถัวเฉลี่ยของการมีลูกคนแรกของผู้หญิงเป็นจำนวนมาก ก็เพิ่มขึ้นเป็นหลังอายุ 30 ปีไปแล้ว ในเวลาเดียวกันนั้น ผู้หญิงก็กำลังแสวงหาเพื่อที่จะประสานความสัมพันธ์ระหว่างขนบประเพณี และความเสมอภาคเข้าด้วยกัน ในหนทางที่สนับสนุนทั้งทางด้านที่มีต่อผู้หญิงและครอบครัว
ผู้ชายอเมริกันสมัยใหม่ โดยปกติแล้วจะแบ่งปันในการเลี้ยงดูพวกเด็กๆและแบ่งเบางานบ้านอย่างอื่นๆ แต่อย่างไรก็ตาม จากหลักฐานต่างๆได้บ่งชี้ว่า การดูแลเด็กๆของพวกผู้ชายมีแนวโน้มไปในเชิงเป็นกิจกรรมที่สร้างความพึงพอใจ และสนุกสนานมากกว่า อย่างเช่น เป็นการพักผ่อน
การช่วยเหลือต่างๆของสามีในเรื่องงานบ้าน ปกติแล้วไม่ได้ไปด้วยกันกับภรรยา แม้ว่าทั้งคู่จะทำงานนอกบ้านก็ตาม ผู้หญิงถึงจะทำงานนอกบ้าน แต่ก็จะปรับสมดุลย์เรื่องทางด้านเศรษฐิกจให้น้อยกว่าเรื่องงานบ้าน โดยอันดับแรก พวกเธอมีความรับผิดชอบต่อความราบรื่นเกี่ยวกับงานในบ้านมาก่อนสิ่งอื่นใด ผลที่ตามมาก็คือ งานที่ทำตลอดวันของผู้หญิงจึงมีแนวโน้มยาวนานมากกว่าของผู้ชาย
ก.5. ความรุนแรงและความยากจน ในท่ามกลางตัวบ่งชี้เชิงบวกเกี่ยวกับสถานภาพของผู้หญิงที่ขยับตัวสูงขึ้นนั้น มีสิ่งที่เป็นไปในเชิงลบอยู่ 2 ประการด้วยกัน นั่นคือประการแรก เกี่ยวกับเรื่องของความรุนแรงที่มีต่อผู้หญิง และรวมทั้งการข่มขืนกระทำชำเราและการทำร้ายภรรยา ซึ่งมีสูงขึ้นเรื่อยๆตามลำดับ
ประการที่สอง ปัญหาเรื่องความยากจนในหมู่ผู้หญิงก็นับว่าเป็นประเด็นปัญหาอีกอันหนึ่ง ครอบครัวเดี่ยว ซึ่งมีแม่หรือพ่อเพียงคนเดียว(single-parent)เป็นหัวหน้าครอบครัว โดยเฉพาะผู้หญิงเป็นหัวหน้าครอบครัวได้เพิ่มขึ้นจาก 10.8 % ไปสู่ 18.8 % ของครอบครัวทั้งหมดในช่วงระหว่างปี 1970-1981 ผู้หญิงที่เป็นหัวหน้าครอบครัว หากจะนับแล้ว มากกว่าครึ่งหนึ่งของทั้งหมดเป็นครอบครัวที่ยากจนในปี 1981 และถึงแม้ว่าความคืบหน้าต่างๆที่ทำให้เกิดการคุ้มครองปกป้องเรื่องเงินช่วยเหลือ และสิทธิในความมั่นคงปลอดภัยทางสังคมของผู้หญิง แต่ผู้หญิงมากกว่าผู้ชายที่มีอายุเกิน 65 ปีขึ้นไป มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์มาตราฐานความยากจน
ข. สถานภาพของผู้หญิงในประเทศต่างๆของยุโรป
ประเทศในแถบสแกนดิเนเวียได้ให้การสนับสนุนเป็นอย่างมากในเรื่องสถานภาพของผู้หญิง อย่างเช่นกฎหมายต่างๆเป็นต้น ที่อนุญาตให้ผู้เป็นบิดาลาหยุดได้เช่นเดียวกับผู้เป็นมารดา แต่อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงต่างๆในบทบาทตามประเพณี ยังคงเป็นไปอย่างเชื่องช้าในส่วนอื่นๆของยุโรปตะวันตก ผู้หญิงอันดับแรกนั้น เป็นผู้ดูแลบ้านและทำหน้าที่เป็นแม่. ผู้หญิงในพลังการผลิต โดยปกติแล้วได้รับค่าแรงน้อยกว่าผู้ชาย. อุตสาหกรรมต่างๆในภาคชนบท เสนองานให้ผู้หญิงมากกว่าด้วยโอกาสที่พวกเธอจะได้มีรายได้เข้ามา แต่ปฏิบัติการเช่นนี้ได้นำไปสู่ปัญหาต่างๆมากมายเกี่ยวกับการตักตวงแรงงานจากผู้หญิงเพิ่มมากขึ้น
ในยุโรปตะวันออก นโยบายทางการอันหนึ่งที่เกี่ยวกับความเสมอภาคได้ถูกทำให้ขัดแย้งกันในเชิงปฏิบัติ โดยปกติแล้ว ผู้หญิงที่อยู่ในภาคการผลิตเต็มเวลาไม่ได้รับการช่วยเหลือในเรื่องงานบ้านเลยจากสามีของพวกเธอ เครื่องมือที่ช่วยแบ่งเบาแรงงาน(Labor-saving appliance)มีอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเดินดูและซื้อสินค้าต้องเสียเวลามาก
ค. สถานภาพของผู้หญิงในประเทศที่กำลังพัฒนา
ในปัจจุบันนี้ ผู้หญิงในประเทศที่พัฒนาแล้วได้มีสถานภาพใกล้เคียงกันกับผู้ชาย แม้ว่าผลประโยชน์ที่ได้รับของพวกเธอจะไม่มั่นคงก็ตาม. ในทางตรงข้าม ผู้หญิงส่วนใหญ่ในประเทศที่กำลังพัฒนายังคงถูกพิจารณาว่ามีฐานะที่ต้อยต่ำ และถูกปฏิเสธจากผลประโยชน์ทางสังคมต่างๆเป็นจำนวนมากผู้หญิงที่เป็นพวกชนชั้นสูงที่ได้รับการศึกษาจะครอบครองฐานะและตำแหน่งอันมีเกียรติและมีสถานภาพทางสังคม ส่วนผู้หญิงที่ยากจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงในภาคชนบท ได้รับการจำกัดวงโดยทัศนคติต่างๆทางด้านขนบธรรมเนียมและโครงสร้างต่างๆของสังคม. แม้ว่าโอกาสต่างๆทางการศึกษาเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ แต่อุปสรรคกีดขวางที่มาจากความรับผิดชอบในน้องชายหรือน้องสาวที่ยังเยาว์อยู่ของตน กับความกลัวในเรื่องที่ไม่ดีจากการเรียนการสอน ได้ขัดขวางเด็กผู้หญิงจากการไปโรงเรียน การศึกษาที่เป็นการฝึกงานและไม่เป็นทางการกำลังทำให้ผู้หญิงยากจนสามารถเพิ่มสถานภาพทางด้านครอบครัวของพวกเธอมากขึ้น โดยผ่านรายได้ที่เพิ่มขึ้น
ในโลกกว้างที่มีการเกี่ยวพันกันกับการพัฒนาทางด้านสังคมเศรษฐกิจ เริ่มขึ้นในปีทศวรรษ 1950s ได้เพ่งความสนใจบางอย่างลงไปที่บทบาทของผู้หญิงในกระบวนการพัฒนา ผู้หญิงต้องรับภาระความไม่ได้สัดส่วนในกระบวนการอันนี้ ถึงแม้ว่าผู้หญิงจำนวนมากมายในประเทศที่กำลังพัฒนาจะเป็นผู้ใช้แรงงานในภาคชนบท แต่การเจริญเติบโตในด้านจำนวนของผู้หญิงอันนี้ ได้มารวมตัวกันอยู่ในโรงงานผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า, ตุ๊กตา, และเครื่องใช้ไม้สอยภายในบ้าน เช่นเดียวกันกับอุตสาหกรรมสิ่งทอต่างๆ
ผู้หญิงชนบทขาดหรือสูญเสียระบบสนับสนุนทางขนบธรรมเนียมประเพณี เช่นเดียวกับที่พวกผู้ชายที่อพยพเข้าไปในเมือง และบ่อยครั้ง พวกเธอได้ถูกปฏิเสธการเข้าไปสู่แหล่งทรัพยากรใหม่ๆ คนงานต่างๆในภาคอุตสาหกรรมได้รับการว่าจ้างในช่วงกลางของการเป็นวัยรุ่น ต้องทำงานภายใต้เงื่อนไขที่เป็นผลเสียต่างๆ และต้องสูญเสียงานของพวกเธอไปเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยกลางของอายุ 20s (หมายถึงอายุระหว่าง 20-30 ปี) กำลังที่ถดถอยน้อยลงของผู้หญิงเหล่านี้ได้ถูกปันส่วนไปโดยผู้หญิงและเด็ก ที่ซึ่งเป็นส่วนประกอบของกองทัพที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นของผู้ลี้ภัย
เรียบเรียงจาก
1. Esther W. Hymer. United Nations Observer, United Church Women.
2. Mary P. Burke. Author of "Reaching for Justice: The Women's Movement
3. The Encyclopedia Americana : Volume 29 (p.103-112)
สารบัญข้อมูล : ส่งมาจากองค์กรต่างๆ
ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา
3
ประวัติ
ม.เที่ยงคืน
e-mail
: midnightuniv(at)yahoo.com
หากประสบปัญหาการส่ง
e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com
ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็ปไซคทั้งหมด
กว่า 450 เรื่อง หนากว่า 5000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา
120 บาท(รวมค่าส่ง)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่
midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com
สมเกียรติ
ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็ปไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ
ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง
จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com
ในเอเธนส์, ผู้หญิงได้ถูกพิจารณาว่าต้อยต่ำกว่าผู้ชาย
แม้ว่าเพลโตจะอ้างเหตุผลว่า ผู้หญิงที่มีความสามารถหรือฉลาดหลักแหลมส่วนใหญ่
ควรจะได้รับการฝึกฝนและได้รับการศึกษาเพื่อที่จะเป็นผู้นำ แต่ทัศนะซึ่งมีอยู่ทั่วไปกลับเดินตามความเชื่อของ
อริสโตเติลที่ว่า ผู้หญิงควรจะมีลักษณะยอมจำนนหรือเป็นฝ่ายที่ถูกกระทำ(passive)
ว่านอนสอนง่าย, เชื่อฟัง, และไม่มีปากมีเสียง
ผู้ปกครองอาณานิคมชาวตะวันตกไม่เพียงรังเกียจผู้คนท้องถิ่นและขนบธรรมเนียมต่างๆเท่านั้น ชนชั้นปกครองพวกนี้ยังล้มเหลวที่จะยอมรับผู้หญิงและกิจกรรมต่างๆของพวกเธอด้วย. ผู้หญิงชาวแอฟริกันที่เป็นชาวนาต้องสูญเสียสิทธิในที่ดินทำกินของตนลงไป เมื่อกฎหมายที่ได้รับแรงบันดาลใจจากชาวยุโรป เรียกร้องให้โฉนดที่ดินจะต้องมีชื่อของเจ้าของที่ดินที่เป็นผู้ชายเท่านั้น ช่องว่างทางด้านการศึกษาระหว่างผู้หญิงและผู้ชายขยายกว้างมากขึ้น ขณะที่เด็กผู้ชายได้รับการศึกษาในระบบที่จำลองมาจากแบบฉบับของตะวันตก แต่ผู้หญิงกลับมิได้รับการศึกษาแต่อย่างใด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อันนี้เป็นความจริงในกลุ่มประเทศอิสลาม ที่ที่ขนบธรรมเนียมเรียกร้องว่า ผู้หญิงทั้งหลายจะต้องได้รับการจำกัดอยู่กับการดูแลครอบครัว
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็ปไซคทั้งหมด
กว่า 450 เรื่อง หนากว่า 5000 หน้า ในรูปของ CD-ROM ในราคา 120 บาท(รวมค่าส่ง) สนใจสั่งซื้อได้ที่
midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
ส่งธนาณัติถึง
สมเกียรติ ตั้งนโม : ไปรษณีย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 50202
กรุณาส่งตั๋วแลกเงินไปยัง
สมเกียรติ ตั้งนโม : คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ถนนสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
50202
อย่าลืมเขียนชื่อ ที่อยู่ ของผู้รับตัวบรรจงด้วยครับ
เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการจัดส่งทางไปรษณีย์