นักศึกษา สมาชิก และผู้สนใจทุกท่าน หากประสงค์จะตรวจดูบทความอื่นๆที่เผยแพร่บนเว็บไซค์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ท่านสามารถคลิกไปดูได้จากตรงนี้ ไปหน้าสารบัญ

 

The Midnight University



โครงการตีเปิดเผยข่าวที่ถูกเซนเซอร์
เปิดโปงข่าวปิดอเมริกัน
(ข่าวที่ไม่เป็นข่าว ประจำปี ๒๕๔๗-๒๕๔๘)

ภัควดี วีระภาสพงษ์
: เรียบเรียง
นักวิชาการและนักแปลอิสระ

หมายเหตุ
บทความชิ้นนี้ได้รับการเผยแพร่บนกระดานข่าวขนาดยาวของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ทางกองบรณาธิการได้นำมาปรับลำดับการนำเสนอหัวข้อใหม่
เพื่อให้เกิดความเป็นหมวดหมู่ตามที่เห็นสมควร
บทความชิ้นนี้ ควรอ่านคู่ไปกับบทความลำดับที่ ๘๑๔
อเมริกันฉาวโฉ่ แต่ไม่เป็นข่าว : คัดเลือกข่าวเพื่อตีแผ่
midnightuniv(at)yahoo.com

(บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา)
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ 827
เผยแพร่บนเว็บไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ 13 หน้ากระดาษ A4)



เปิดโปงข่าวปิดอเมริกัน (ข่าวที่ไม่เป็นข่าว ประจำปี 2547-2548)
จากโครงการ Project Censored มหาวิทยาลัย Sonoma State สหรัฐอเมริกา

อันดับ 1 สหรัฐฯ ใช้สึนามิเพื่อขยายอิทธิพลทางทหารในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
อันดับ 2 การระเบิดยอดเขาเพื่อทำเหมืองถ่านหินคุกคามระบบนิเวศวิทยา
อันดับ 3 โครงการตรวจสุขภาพจิตเด็กคือผลประโยชน์ของบริษัทยา
อันดับ 4 ประเทศร่ำรวยไม่ปฏิบัติตามคำสัญญาที่จะช่วยประเทศยากจน
อันดับ 5 บรรษัทธุรกิจได้ชัยชนะครั้งใหญ่ในการปฏิรูปกฎหมาย
อันดับ 6 แผนการของฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่จะทำลายเสรีภาพทางการศึกษาในมหาวิทยาลัย
อันดับ 7 พฤติกรรมปั่นหุ้นด้วยการ "ชอร์ตเซล" อาจบ่อนทำลายความเข้มแข็งของเศรษฐกิจสหรัฐฯ
อันดับ 8 การทดลองยารักษาโรคเอดส์ในโรงพยาบาลเด็กกำพร้า
อันดับ 9 รัฐบาลสหรัฐฯ โกงเงินค่าชดเชยของชาวอินเดียนแดง
อันดับ 10 ร่างกฎหมายแรงงานต่างด้าวฉบับใหม่เอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจมากกว่าเพื่อนมนุษย์
อันดับ 11 นาโนเทคโนโลยีอาจมีศักยภาพน่าตื่นเต้น แต่ก็ควรตรวจสอบผลกระทบต่อสุขภาพ
อันดับ 12 ชะตากรรมอันเลวร้ายของเด็กชาวปาเลสไตน์ในคุกอิสราเอล
อันดับ 13 ชาวพื้นเมืองเอธิโอเปียตกเป็นเหยื่อความโลภในทรัพยากรของบรรษัทธุรกิจและรัฐบาล
อันดับ 14 ความปลอดภัยของมาตุภูมิที่ไม่ปลอดภัยจริง

อันดับ 1 สหรัฐฯ ใช้สึนามิเพื่อขยายอิทธิพลทางทหารในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในขณะที่ความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ ที่ให้ต่อประเทศประสบภัยสึนามิค่อนข้างจำกัดจำเขี่ย โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ ที่ร่ำรวยน้อยกว่า แต่การฉวยใช้ภัยพิบัติครั้งนี้เพื่อแผ่ขยายอิทธิพลทางการทหารกลับล้ำหน้าประเทศไหน ๆ สหรัฐฯ มีความต้องการมานานแล้วที่จะสกัดอิทธิพลทางเศรษฐกิจและการทหารของประเทศจีนในภูมิภาคเอเชีย หลังจากเหตุการณ์สึนามิ กองทัพสหรัฐฯ เข้ามาฟื้นฟูฐานทัพอู่ตะเภาในประเทศไทย กองกำลังเฉพาะกิจ 536 จะย้ายเข้ามาเพื่อตั้งฐานปฏิบัติการสำหรับกองทัพอากาศสหรัฐฯ ต่อไป

ระหว่างการช่วยเหลือผู้ประสบภัยสึนามิ สหรัฐฯ เข้ามารื้อฟื้นข้อตกลงความร่วมมือทางทหารกับประเทศไทยและข้อตกลงการตั้งฐานทัพชั่วคราวในฟิลิปปินส์ กองทัพเรือสหรัฐฯ ยังมีข้อตกลงกับประเทศสิงคโปร์ และนำกองเรือกับนาวิกโยธินเข้าไปในศรีลังกาด้วยข้ออ้างการบรรเทาทุกข์ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ศรีลังกาไม่เต็มใจอนุญาตให้กองทัพสหรัฐฯ ล่วงล้ำเข้าไปในประเทศของตน

สหรัฐฯ ยังเพิ่มการสังเกตการณ์ในช่องแคบมะละกา ซึ่งเป็นเขตอิทธิพลของประเทศจีนและเป็นเส้นทางลำเลียงน้ำมันถึง 90% ของประเทศญี่ปุ่น ตลอดเวลาที่ผ่านมา สหรัฐฯ ไม่สามารถขยายอิทธิพลทางการทหารในบริเวณนี้ได้มากนัก สาเหตุเพราะความระแวงที่อินโดนีเซียและมาเลเซียมีต่อสหรัฐอเมริกา. คอลิน พาวเวลล์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศประกาศว่า การเข้ามาช่วยบรรเทาภัยพิบัติสึนามิเป็นการสนับสนุนสงครามต่อต้านการก่อการร้ายและนำเสนอ "คุณค่าแบบอเมริกันต่อภูมิภาคนี้" รัฐบาลบุชหวังที่จะสร้างความสัมพันธ์ทางการทหารกับอินโดนีเซียขึ้นมาใหม่ เพราะนอกจากอินโดนีเซียจะเป็นประเทศที่มีประชากรมุสลิมมากที่สุดในโลก ยังมีที่ตั้งที่เป็นจุดสำคัญทางยุทธศาสตร์ และความระแวงต่อชาวจีนที่ฝังลึกในประวัติศาสตร์ของประเทศหมู่เกาะแห่งนี้ ยิ่งทำให้อินโดนีเซียน่าจะเป็นหุ้นส่วนที่สำคัญของสหรัฐฯ ในการปิดล้อมประเทศจีน

วอชิงตันมีความต้องการมานานแล้วที่จะตั้งฐานทัพเรือในแถบตะวันออกหรือตอนใต้ของประเทศศรีลังกา เพื่อย่นระยะฐานเติมน้ำมันจากฐานทัพใหญ่ในดีเอโก การ์เซีย ซึ่งเช่ามาจากอังกฤษและกำลังจะหมดสัญญาเช่าในปี ค.ศ. 2016 ความห่างไกลของฐานทัพแห่งนี้และการหมดสัญญาเช่าในอนาคต ทำให้สหรัฐฯ มองหาฐานที่ตั้งใหม่ โดยเล็งเป้าหมายสูงสุดไว้ที่ประเทศอินเดีย

อันดับ 2 การระเบิดยอดเขาเพื่อทำเหมืองถ่านหินคุกคามระบบนิเวศวิทยา
การใช้ระเบิดทำลายยอดเขาเป็นการทำเหมืองถ่านหินรูปแบบใหม่ บริษัทถ่านหินใช้ไดนาไมท์หลายล้านปอนด์ต่อวัน ระเบิดยอดเขาเพื่อขุดถ่านหินที่อยู่ข้างใต้ มียอดเขาหลายแห่งในรัฐเวอร์จิเนียตะวันตกและรัฐอื่น ๆ ที่ถูกระเบิดทำลายทิ้งแบบนี้ เศษหินจากการระเบิดยังถูกทิ้งให้เป็นอันตรายต่อชาวเมืองและทำลายแหล่งน้ำตามธรรมชาติ การที่อุตสาหกรรมถ่านหินหันมาใช้วิธีการนี้ ก็เพราะไดนาไมท์มีราคาถูกกว่าการจ้างคนงานเหมืองและไม่ต้องมีสหภาพแรงงานด้วย

อันดับ 3 โครงการตรวจสุขภาพจิตเด็กคือผลประโยชน์ของบริษัทยา
ในเดือนเมษายน 2002 ประธานาธิบดีบุชตั้งคณะกรรมการ "เสรีภาพใหม่เพื่อสุขภาพจิต" เพื่อหานโยบายรักษาดูแลผู้ป่วยทางจิตทั้งเด็กและผู้ใหญ่ หนึ่งในคณะกรรมการนี้คือ นายแพทย์โรเบิร์ต เอ็น โพสต์เลธเวท ซึ่งเคยทำงานให้กับบริษัทอีไล ลิลลี แอนด์โก (Ely Lilly & Co.) บริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านยา

ในเดือนกรกฎาคม 2003 คณะกรรมการได้ข้อสรุปว่า มีความผิดปรกติทางสุขภาพจิตจำนวนมากที่ไม่ได้รับการตรวจรักษา และแนะนำให้มีการตรวจสุขภาพจิตถ้วนหน้าแก่ประชาชนทุกอายุ ตั้งแต่เด็กก่อนวัยเรียนขึ้นมา โดยคณะกรรมการเสนอให้โรงเรียนเป็นกุญแจสำคัญในการตรวจเด็กนักเรียน 52 ล้านคน กับครูและพนักงานอีก 6 ล้านคน ทั่วประเทศ

คณะกรรมการยังเสนอให้เชื่อมโยงการตรวจเข้ากับการรักษาด้วย โดยใช้โครงการขั้นตอนวิธีทางการแพทย์ของรัฐเท็กซัสเป็นต้นแบบ โครงการนี้ถูกนำมาใช้ในเท็กซัสในขณะที่จอร์จ ดับเบิลยู บุชเป็นผู้ว่าการรัฐ โดยเริ่มมาตั้งแต่ปี 1995 และได้รับการสนับสนุนจากบริษัทยายักษ์ใหญ่หลายบริษัท

มีผู้วิพากษ์วิจารณ์โครงการนี้ในเท็กซัสและที่กำลังนำมาใช้ในระดับประเทศ โดยอ้างกรณีที่นายอัลเลน โจนส์ อดีตเจ้าหน้าที่สำนักผู้ตรวจการใหญ่ของรัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งถูกไล่ออกหลังจากออกมาเปิดโปงว่า มีเจ้าพนักงานระดับสูงหลายคนที่มีบทบาทในโครงการนี้ในรัฐของเขา ซึ่งได้รับเงินสินบนและผลประโยชน์จากบริษัทยา โครงการนี้ยังมักนิยมใช้ยาตัวใหม่ ๆ ที่มีราคาแพงกว่า มากกว่าที่จะใช้ยาตัวเดิมที่มีความน่าเชื่อถือและราคาถูกกว่า โดยเฉพาะยาจากบริษัทอีไล ลิลลี ทั้งนี้เพราะบริษัทอีไล ลิลลีมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับครอบครัวบุช และจอร์จ บุชผู้พ่อเป็นหนึ่งในกรรมการบริหาร จอร์จ ดับเบิลยู บุช แต่งตั้งซีอีโอของบริษัทให้มีตำแหน่งในสภาเพื่อความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ เงินบริจาคด้านการเมืองของบริษัทนี้จำนวน 1.6 ล้านดอลลาร์ในปี 2000 มีถึง 82% ที่บริจาคให้พรรครีพับลิกัน

ในเดือนพฤศจิกายน 2004 สภาคองเกรสอนุมัติเงิน 20 ล้านดอลลาร์ เพื่อนำมาใช้ตามโครงการเสรีภาพใหม่เพื่อสุขภาพจิต ซึ่งรวมถึงการตรวจสุขภาพจิตในโรงเรียน นายรอน พอล สมาชิกสภาคองเกรสจากรัฐเท็กซัส เสนอให้แก้ไขกฎหมายนี้ โดยที่การตรวจเด็กนักเรียนต้องได้รับการยินยอมจากผู้ปกครอง แต่ข้อเสนอของเขาแพ้คะแนนเสียงในสภา พอลเป็นแพทย์และเป็นสมาชิกสมาคมแพทย์และศัลยแพทย์อเมริกันมานมนาน เขาวิจารณ์ว่า โครงการนี้เป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ปกครองในการตัดสินใจว่า การรักษาแบบไหนที่เหมาะต่อบุตรหลานของตน

พอลยังกล่าวด้วยว่า ผลการวิจัยที่อ้างว่า เรามีเด็กจำนวนมากที่มีความผิดปรกติทางจิตและจำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยยานั้น เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ อีกทั้งโครงการตรวจสุขภาพจิตแบบนี้อาจถูกนำไปใช้เพื่อใส่ร้ายเด็กที่มีทัศนคติ ความเชื่อทางศาสนา และความคิดทางการเมืองแตกต่างจากกระแสหลัก พอลเตือนว่า ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุดจากกฎหมายฉบับนี้ก็คืออุตสาหกรรมยา สมาคมแพทย์และศัลยแพทย์อเมริกันก็ออกมาต่อต้านและวิพากษ์วิจารณ์กฎหมายฉบับนี้เช่นกัน

อันดับ 4 ประเทศร่ำรวยไม่ปฏิบัติตามคำสัญญาที่จะช่วยประเทศยากจน
ตั้งแต่เวลานี้จนถึงปี 2015 จะมีเด็ก 45 ล้านคนต้องเสียชีวิตโดยไม่จำเป็น Oxfam ระบุไว้ในรายงานชื่อ "Poor are Paying the Price of Rich Countries' Failure" จะมีเด็กอีก 97 ล้านคนไม่ได้รับการศึกษา และประชาชนอีก 53 ล้านคนไม่มีสาธารณูปโภคที่เหมาะสม การยุติความยากไร้จำต้องได้รับความช่วยเหลือในหลายระดับ สำหรับประเทศโลกที่สาม ความเติบโตทางเศรษฐกิจถูกทำลายจากกฎเกณฑ์การค้าที่ไม่เป็นธรรม หากปราศจากเงินและการสนับสนุน ประเทศยากจนเหล่านี้ไม่มีทางได้ประโยชน์จากการค้า การลงทุน หรือการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน

ประเทศร่ำรวยอย่างสหรัฐอเมริกา เยอรมนี ญี่ปุ่นและสหราชอาณาจักร เคยสัญญาว่าจะจัดสรรเศษเสี้ยวน้อยนิดของความมั่งคั่งแบ่งปันให้ประเทศโลกที่สาม เพียงบริจาคแค่ 0.7% ของรายได้มวลรวมประชาชาติ ก็จะสามารถลดความยากจนและยุติภาระหนี้สิน ซึ่งประเทศรายได้ต่ำต้องชำระหนี้ถึง 100 ล้านดอลลาร์ต่อวันแก่เจ้าหนี้. ระหว่างปี ค.ศ. 1960-65 ประเทศร่ำรวยเคยให้ความช่วยเหลืออย่างเป็นทางการเฉลี่ยประมาณ 0.48% ของรายได้มวลรวมประชาชาติ แต่มาถึงปี 2003 สัดส่วนความช่วยเหลือกลับลดลงเหลือแค่ 0.24% โครงการสำคัญเพื่อบรรเทาความยากจนจึงต้องล้มเหลวเพราะขาดเงินทุน

โครงการนำร่องเพื่อช่วยให้ประเทศยากจนพัฒนาด้านการศึกษา และต่อสู้กับโรคเอชไอวี/เอดส์กำลังขาดแคลนเงินสนับสนุน ทั้ง ๆ ที่อัตราการติดเชื้อเอชไอวีสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในแอฟริกาเขตซับ-ซาฮารา แต่เงินทุนที่จะใช้ต่อสู้กับโรคเอดส์ วัณโรคและมาลาเรีย มีอยู่เพียงหนึ่งส่วนสี่ของเงินทุนที่จำเป็นต้องใช้ ประเทศยากจนต้องใช้เงินไปกับการชำระหนี้มากกว่าใช้ในสาธารณูปโภคที่จำเป็นต่อชีวิต ประเทศรายได้ต่ำต้องชำระหนี้และดอกเบี้ยถึง 39 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2003 ในขณะที่ได้รับความช่วยเหลือแค่ 27 พันล้านดอลลาร์

ไม่ใช่เรื่องยากลำบากเลยที่ประเทศร่ำรวยจะให้ความช่วยเหลือและยกเลิกหนี้ ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเพียง 0.7% ของรายได้ประชาชาติ เทียบเท่ากับแค่หนึ่งส่วนห้าของเงินที่สหรัฐอเมริกาใช้ไปกับการป้องกันประเทศ และเท่ากับครึ่งหนึ่งของเงินที่ใช้อุดหนุนการเกษตรในประเทศ. สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ให้ความช่วยเหลือน้อยที่สุดเมื่อเทียบสัดส่วนกับรายได้ของชาติ กล่าวคือ แค่ 0.14% เมื่อเปรียบเทียบแล้ว นอร์เวย์เป็นประเทศที่ให้ความช่วยเหลือมากที่สุดถึง 0.92% เงินที่สหรัฐฯ จะเพิ่มความช่วยเหลือให้ถึง 0.7% นั้น สหรัฐฯ ใช้ไปในสงครามอิรักมากกว่าถึงสองเท่า และใช้ในโครงการทางทหารมากกว่าถึง 6 เท่า การยกเลิกหนี้ให้ประเทศยากจนที่สุด 32 ประเทศ เป็นแค่เศษเงินสำหรับประเทศมั่งคั่ง

ด้วยเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศและการยกเลิกหนี้ ตอนนี้เด็กหลายล้านคนได้เรียนหนังสือในแทนซาเนีย, อูกานดา, เคนยา, มาลาวีและแซมเบีย ชาวอูกานดาไม่ต้องจ่ายค่าดูแลรักษาสุขภาพขั้นพื้นฐานอีก นโยบายนี้ช่วยให้ชาวอูกานดาเข้ารักษาตัวในคลินิกการแพทย์มากขึ้นถึง 50-100% ประวัติศาสตร์ให้บทเรียนมาก่อนแล้วว่า ความช่วยเหลือเป็นสิ่งจำเป็นในการกำจัดโรคภัยไข้เจ็บบางอย่างเท่า ๆ กับช่วยฟื้นฟูประเทศที่ถูกทำลายจากสงคราม

กลุ่มประเทศร่ำรวยที่สุดในโลกลงนามในปฏิญาณสากลที่จะเพิ่มความช่วยเหลือแก่ต่างประเทศให้ได้ 0.7% ของรายได้มวลรวมประชาชาติ แต่ประเทศมั่งคั่งเหล่านี้ก็ผิดสัญญาครั้งแล้วครั้งเล่า

อันดับ 5 บรรษัทธุรกิจได้ชัยชนะครั้งใหญ่ในการปฏิรูปกฎหมาย
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2005 ประธานาธิบดีบุชลงนามรับรองกฎหมายที่ถือเป็นการปฏิรูปกฎหมายฐานละเมิดครั้งใหญ่ รัฐบัญญัติความเป็นธรรมในการฟ้องร้องในนามกลุ่มบุคคล (Class Action Fairness Act) เป็นการปิดกั้นหนทางไม่ให้ประชาชนเข้าถึงศาล บ่อนทำลายสิทธิตามรัฐธรรมนูญ ทำลายความเข้มแข็งของกลุ่มผู้บริโภคและการคุ้มครองแรงงาน. รัฐบัญญัติฉบับนี้ย้ายการฟ้องร้องทางคดีแพ่งจำนวนมากจากศาลประจำมลรัฐไปไว้ที่ศาลกลางของสหรัฐฯ โดยอ้างว่าเพื่อป้องกันไม่ให้ทนายเลือกดำเนินคดีฟ้องร้องในรัฐที่ศาลโอนเอียงเข้าข้างการฟ้องร้องของประชาชนต่อบริษัทธุรกิจ

การฟ้องร้องในนามกลุ่มบุคคล ส่วนใหญ่เป็นการรวมตัวกันฟ้องร้องของประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถาบันด้านสุขภาพ การละเมิดสิทธิของบริษัทธุรกิจ การบาดเจ็บในสถานประกอบการ ฯลฯ โดยเรียกร้องค่าชดเชยให้แก่กลุ่มบุคคลจำนวนมากที่ได้รับความเสียหายจากการแสวงหากำไรของบริษัทธุรกิจ การฟ้องร้องนี้บางครั้งฝ่ายโจทก์อาจไม่ได้รับประโยชน์มากนัก แต่เป็นไปเพื่อเปิดโปงพฤติกรรมของฝ่ายจำเลย และหลายครั้งที่สามารถส่งผลกระทบให้บริษัทธุรกิจเปลี่ยนแบบแผนการดำเนินงานได้ ศาลกลางของสหรัฐฯ นั้นไม่ค่อยมีความเชี่ยวชาญในคดีแบบนี้ มิหนำซ้ำยังมีคดีความล้นศาลอยู่แล้ว หากย้ายคดีเหล่านี้มาไว้ที่ศาลกลาง เท่ากับเป็นการขุดหลุมฝังคดีทีเดียว

รัฐบัญญัติฉบับนี้ยังมีมาตราที่จำกัดการฟ้องร้องในนามกลุ่มบุคคลต่อบริษัทยา และการปฏิบัติมิชอบทางการแพทย์ มีการตั้งเพดานการชดเชยความเสียหายไว้ที่ 250,000 ดอลลาร์ ในกรณีที่ยาตัวนั้นผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ มาแล้ว ศาลไม่สามารถลงโทษบริษัทยาด้วยการสั่งให้จ่ายค่าชดเชยสูงกว่าความจริง ยกตัวอย่างเช่น ผู้หญิงคนหนึ่งกินยา Vioxx ซึ่งได้รับการรับรองจาก อย. โดยไม่ได้รับคำเตือนว่ามันมีผลข้างเคียงอย่างรุนแรง กล่าวคืออาการลมชัก ตามกฎหมายที่ปฏิรูปใหม่นี้ เธอจะได้รับค่าชดเชยเพียง 250,000 ดอลลาร์ สำหรับความพิการตลอดชีวิต

กฎหมายฉบับนี้จึงเป็นการรับประกันต่อธนาคาร บริษัทประกัน บริษัทยาและอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่อื่น ๆ ว่า ไม่ว่าจะมีพฤติกรรมทางธุรกิจเลวร้ายแค่ไหน บทลงโทษตามกฎหมายก็จะจำกัดอยู่แค่ค่าชดเชยที่บริษัทสามารถรับมือได้อย่างสบาย

อันดับ 6 แผนการของฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่จะทำลายเสรีภาพทางการศึกษาในมหาวิทยาลัย
ตลอดเวลาหลายศตวรรษที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยเป็นแหล่งชุมนุมการวิวาทะและปกป้องเสรีภาพทางความรู้ อาจารย์มหาวิทยาลัยมีเสรีภาพในการสอนวิชาต่าง ๆ ตามบุคลิกเฉพาะตัว มีการตีความตามความคิดของตัวเอง โดยไม่ต้องยึดติดกับคัมภีร์ไม่ว่าของฝ่ายซ้ายหรือฝ่ายขวา มหาวิทยาลัยผลิตบุคคลออกมาได้หลากหลาย ตั้งแต่คนอย่าง นิวท์ กิงริช ไปจนถึงคนอย่างนอม ชอมสกี และอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์

แต่ในสหรัฐอเมริกากำลังมีขบวนการอนุรักษ์นิยมตกขอบที่พยายามนำสิ่งที่เรียกว่า "ความสมดุลทางการเมือง" มายัดเยียดให้มหาวิทยาลัย ขบวนการนี้เห็นว่า มหาวิทยาลัยเป็นแหล่งเพาะแนวคิดอุดมการณ์ฝ่ายซ้ายที่ปลูกฝังความเชื่อผิด ๆ ให้เยาวชนชาวอเมริกัน ดังนั้น จึงต้องหาหนทางแก้ไขด้วยการตรวจสอบแนวคิดทางทฤษฎีและการแสดงความคิดเห็นของอาจารย์

แนวหน้าของขบวนการนี้คือ เดวิด โฮโรวิทซ์ กับองค์กรที่ตั้งชื่อว่า ขบวนการนักศึกษาเพื่อเสรีภาพในมหาวิทยาลัย (Students for Academic Freedom--SAF) องค์กร SAF แนะนำนักศึกษาที่เป็นสมาชิกว่า หากเมื่อไรพวกเขาพบ "ความคิดมิชอบ" ในชั้นเรียนไหนก็ตาม ให้พวกเขาจดวันที่ วิชาและชื่ออาจารย์ไว้ รวบรวมรายการอ้างอิง พยานที่รู้เห็น และเขียนร้องเรียนเข้ามา บุคลากรส่วนใหญ่ในโลกวิชาการมองว่า ขบวนการนี้เป็นเหมือนลัทธิแมคคาร์ธียุคใหม่

ขบวนการนี้แสดงถึงแนวโน้มที่กำลังคุกคามเสรีภาพทางความคิดในสถาบันการศึกษาขั้นสูง ในระยะหลังมีการโจมตีและไล่ออกอาจารย์หลายคน สืบเนื่องจากการมีจุดยืนโน้มเอียงไปทางฝ่ายซ้าย กรณีที่โด่งดังก็มีอาทิเช่น การไล่เดวิด เกรเบอร์ อาจารย์ด้านมานุษยวิทยา ออกจากมหาวิทยาลัยเยล. เกรเบอร์เชื่อว่า การไล่ออกสืบเนื่องจากการที่เขาประกาศตัวชัดเจนเป็นนักอนาธิปไตย และมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมือง รวมทั้งการที่เขาพยายามปกป้องนักศึกษาคนหนึ่งที่ทำงานกิจกรรม ซึ่งเขารู้สึกว่าถูกมหาวิทยาลัยปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม. ข้ออ้างของมหาวิทยาลัยเยลในการไล่เขาออกนั้นไม่สมเหตุผล เพราะวิชาของเขาเป็นที่นิยมของนักศึกษา และมีการลงทะเบียนเรียนเต็มแน่นจนล้นเสมอ อีกทั้งเขายังมีงานวิจัยและงานเขียนทางวิชาการเป็นที่ยอมรับด้วย การไล่เกรเบอร์ออกทำให้เกิดการลงชื่อคัดค้านจากนักวิชาการและบุคคลต่าง ๆ จำนวนมาก อาทิเช่น นอม ชอมสกี เป็นต้น

อันดับ 7 พฤติกรรมปั่นหุ้นด้วยการ "ชอร์ตเซล" อาจบ่อนทำลายความเข้มแข็งของเศรษฐกิจสหรัฐฯ
การเพิกเฉยของหน่วยงานกำกับดูแลตลาดหุ้นของรัฐบาลและสื่อมวลชนต่อพฤติกรรมปั่นหุ้นขนานใหญ่ ซึ่งไม่ค่อยเป็นที่รับรู้ของสาธารณชนนอกวงการตลาดหุ้น กำลังเป็นตัวการทำลายธุรกิจและนักลงทุนรายย่อย และอาจส่งผลกระทบทางลบต่อความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ

การลงทุนในตลาดหุ้นตามปรกตินั้น หมายถึงการลงทุนในหุ้นตัวที่มีการศึกษามาอย่างดี และลงทุนซื้อด้วยความหวังว่า ราคาหุ้นตัวนั้นจะสูงขึ้นในระยะยาว ส่วนการปั่นหุ้นด้วยวิธีการที่เรียกว่า "ชอร์ตเซล" (short sale) เป็นเสมือนการพนันว่า หุ้นตัวนั้นกำลังจะราคาตก ในการซื้อขายแบบชอร์ตเซล นักลงทุนจะขายหุ้นที่ตนเองไม่ได้เป็นเจ้าของหรือถืออยู่ในมือ แต่ยืมหุ้นนี้มาจากโบรกเกอร์ ซึ่งโบรกเกอร์ก็อาจยืมมาจากบริษัทโบรกเกอร์หรือกองทุนเฮดจ์ฟันด์อีกทีหนึ่ง

เมื่อขายหุ้นที่ยืมมานี้ออกไปแล้ว นักลงทุนจะต้อง "ปิด" การทำชอร์ตเซลนี้ โดยซื้อหุ้นที่ขายไปกลับคืนมา หากราคาหุ้นตัวนั้นตกลงอย่างที่คาดหวังไว้ นักลงทุนก็จะได้กำไรจากส่วนต่างที่เกิดขึ้น แต่ถ้าราคาหุ้นไม่ตกลง นักลงทุนก็จำต้องซื้อหุ้นนั้นกลับมาในราคาที่ขาดทุน การขายหุ้นแบบชอร์ตเซลนี้เป็นการพนันแบบสุ่มเสี่ยง เนื่องจากการชอร์ตเซลเป็นการขายหุ้นที่ยืมมา มันจึงจัดอยู่ในประเภทของการเก็งกำไรหุ้นด้วยส่วนต่างของราคาขายกับเงินที่กู้ยืม (margin) ซึ่งเป็นวิธีการปฏิบัติที่เป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่นำไปสู่การพังทลายของตลาดหุ้นในปี ค.ศ. 1929 ซึ่งส่งผลให้เกิดการตกต่ำทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่

"naked short sale" (การชอร์ตเซลแบบไม่ปิดการซื้อขาย) เป็นการปั่นหุ้นแบบชอร์ตเซลที่ผิดกฎระเบียบของตลาดหุ้น กล่าวคือ นักลงทุนชอร์ตเซลหุ้นแล้วไม่ยอมซื้อกลับมา การชอร์ตเซลแบบไม่ปิดการซื้อขายนี้จะทำให้มูลค่าหุ้นของบริษัทหนึ่งตกลงอย่างรุนแรง เพราะทำให้มีหุ้นของบริษัทนั้นไหลเวียนอยู่ในตลาดมากเกินกว่าที่บริษัทจะรองรับได้ด้วยรายได้ของบริษัทในขณะนั้น ทั้งบริษัท ผู้ถือหุ้นและระบบเศรษฐกิจโดยรวม ต่างก็ต้องเจ็บตัวทางการเงินจากการชอร์ตเซลแบบไม่ปิดการซื้อขาย นอกจากนี้ มันยังทำให้บริษัทที่มีทุนน้อยต้องล้มตายไปจากธุรกิจก่อนเวลาอันสมควร สร้างความเสียหายต่อผู้ประกอบการรายย่อยที่อาจมีความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ แต่ไม่มีทุนพอที่จะอยู่รอด

เรื่องที่น่าแปลกก็คือ หน่วยงานกำกับดูแลตลาดหุ้นดูเหมือนไม่ใส่ใจจะจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้น อีกทั้งยังดูเหมือนจงใจปล่อยให้การชอร์ตเซลแบบผิดกฎระเบียบนี้ดำเนินต่อไปโดย ไม่มีการตรวจสอบหรือยับยั้ง และไม่ใส่ใจที่จะให้ความรู้หรือเตือนนักลงทุนรายย่อยถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น

สถานีโทรทัศน์เอ็นบีซีเคยทำสารคดีเรื่องการปั่นหุ้นแบบชอร์ตเซลนี้ตั้งแต่ปีก่อน แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้ออกอากาศ สถานีอ้างว่า สาเหตุของการเลื่อนออกอากาศก็เพราะมีสารคดีเรื่องอื่นที่สำคัญมากกว่ามาคั่น สารคดีที่สำคัญกว่านี้มีอาทิเช่น การสัมภาษณ์ผู้เข้ารอบประกวดขวัญใจวัยรุ่นอเมริกัน เป็นต้น

อันดับ 8 การทดลองยารักษาโรคเอดส์ในโรงพยาบาลเด็กกำพร้า
เด็กกำพร้าอายุแค่ 3 เดือน ถูกใช้เป็นหนูทดลองยารักษาโรคเอดส์ในโรงพยาบาล Incarnation Children's Center ในเมืองนิวยอร์ก โรงพยาบาลนี้ดำเนินงานโดยมูลนิธิการกุศลของคาทอลิก ซึ่งเชี่ยวชาญในการรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ การทดลองนี้ทำในเด็กที่มีเชื้อเอชไอวี หรือเกิดจากมารดาที่มีเชื้อเอชไอวีโพสิทิฟ แผนกสาธารณสุขของเมืองนิวยอร์กซิตี กำลังพิจารณาการร้องเรียนว่า มีเด็กกว่า 100 คนที่โรงพยาบาลนี้ ถูกใช้ทำการทดลอง โดยได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐบาลกลาง เช่น สถาบันภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติ เป็นต้น

บริษัทยายักษ์ใหญ่ของอังกฤษคือ แกลกโซสมิธไคลน์ มีส่วนพัวพันในการทดลองที่โรงพยาบาลแห่งนี้มาตั้งแต่ปี 1995 โดยทำการทดลองกับเด็กผิวดำและเชื้อสายฮิสปานิค (เชื้อสายสเปนในอเมริกาใต้) มีการทดลองหลายอย่างเพื่อทดสอบความเป็นพิษของยารักษาโรคเอดส์ ในการทดลองครั้งหนึ่ง เด็กอายุแค่ 4 ขวบ ได้รับยาค็อกเทล 7 ชนิดในปริมาณสูง มีการทดลองเพื่อดูปฏิกิริยาของทารกอายุ 6 เดือนที่ได้รับวัคซีนโรคหัดในปริมาณมากกว่าปรกติสองเท่า ทดสอบยา AZT กับเด็ก ทั้ง ๆ ที่มีผลข้างเคียงร้ายแรง รวมทั้งทดลองดูความปลอดภัยระยะยาวของยาต่อต้านแบคทีเรียในทารกอายุ 6 เดือน เป็นต้น

การทดลองนี้ทำโดยแพทย์จากศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ซึ่งอ้างว่าได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องจากหน่วยงานราชการ บางส่วนของวงการการแพทย์ออกมาปกป้องว่า การทดลองนี้ช่วยให้เด็กด้อยโอกาสได้รับการรักษา แต่ก็มีบางส่วนที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง โดยแย้งว่าการรักษาเด็กที่เป็นโรคเอดส์ด้วยยาที่ทันสมัยที่สุด กับการทดลองนั้นเป็นคนละเรื่องกัน อีกทั้งการทดสอบเชื้อเอชไอวีในทารกนั้นกระทำได้ยาก และผลลัพธ์มักออกมาไม่แน่นอน ดังนั้น จึงเป็นไปได้ที่การทดลองเหล่านี้อาจกระทำในเด็กหรือทารกที่จริง ๆ แล้วไม่ได้ติดเชื้อเอชไอวีเลย

การทดลองยารักษาโรคเอดส์ที่โรงพยาบาลเด็กกำพร้าแห่งนี้ไม่ใช่แห่งเดียวในสหรัฐอเมริกา แต่ยังมีการทดลองแบบนี้กับเด็กกำพร้าอีกอย่างน้อยใน 7 มลรัฐ มีเด็กบางคนที่เสียชีวิตระหว่างการทดลอง แต่เจ้าหน้าที่รัฐบาลอ้างว่า ยังไม่พบหลักฐานว่าความตายของเด็ก ๆ เกี่ยวพันโดยตรงกับการทดลอง

อันดับ 9 รัฐบาลสหรัฐฯ โกงเงินค่าชดเชยของชาวอินเดียนแดง
เป็นเวลากว่า 200 ปีแล้ว ที่ชาวอินเดียนแดงพื้นเมืองถูกรัฐบาลและบริษัทธุรกิจอเมริกันฉ้อโกง บริษัทน้ำมันหลายแห่งดำเนินกิจการที่มอนเตซูมาครีกในรัฐยูทาห์ ซึ่งตั้งอยู่ในเขตสงวนของชนเผ่านาวาโฮ บริษัทน้ำมันเหล่านี้ชดเชยค่าสัมปทานทรัพยากรธรรมชาติให้ชาวอินเดียนแดง น้อยกว่าความเป็นจริงมาตั้งแต่ทศวรรษ 1950. อลัน บาลารัน อัยการสอบสวนที่ศาลเขตแต่งตั้งให้ทำคดีนี้พบว่า ชาวอเมริกันที่ไม่ใช่ชาวพื้นเมืองในพื้นที่เดียวกัน กลับได้รับค่าธรรมเนียมการใช้ทรัพยากรสูงกว่าที่ชาวอินเดียนแดงได้รับถึง 20 เท่า

เขตสงวนของชาวอินเดียนแดงพื้นเมืองนั้นอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ แต่รัฐบาลอเมริกันปล่อยให้บริษัทพลังงานโกงค่าชดเชยต่อชาวเผ่าต่าง ๆ เป็นประจำ. บาลารันพบว่า รัฐบาลสหรัฐฯ เป็นหนี้ค่าธรรมเนียมชาวพื้นเมืองอยู่ถึง 137.5 พันล้านดอลลาร์

เอลูอีส โคเบลล์ สมาชิกของเผ่าแบล็คฟีต เป็นหนึ่งในชาวพื้นเมืองจำนวนมากที่ต้องพึ่งพิงเงินจากเช็คค่าธรรมเนียม ชนชาตินาวาโฮนั้นมีสมาชิกกว่า 140,000 คน เป็นเผ่าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศและยากจนที่สุดด้วย กว่า 40% ของประชากรเผ่านี้มีรายได้ต่ำกว่าขีดความยากจน. แมรี จอห์นสัน สมาชิกเผ่านาวาโฮ อาศัยอยู่ในบ้านก่อด้วยหินห้องนอนเดียว มีครั้งหนึ่งเธอได้รับเช็คค่าธรรมเนียมเป็นเงินแค่ 5.30 ดอลลาร์ และเช็คแบบนี้ยังส่งมาให้เธอนาน ๆ ครั้งเท่านั้น

จอห์นสัน มาร์ติเนซ ชนเผ่านาวาโฮวัย 68 ปี อาศัยในรถเทรลเลอร์ "บ้าน" ของเขาอยู่ห่างจากท่อแก๊สเพียงแค่ไม่กี่หลา เขาไม่มีน้ำใช้และบางครั้งก็ไม่มีไฟฟ้า บางครั้งไม่มีแม้แต่อาหารกินด้วยซ้ำ ตกกลางคืนต้องก่อไฟผิงให้ตนเองกับสุนัข บางครั้งเขาได้รับเช็คค่าธรรมเนียมเป็นเงินแค่ไม่กี่เซ็นต์

ในปี 1994 สภาคองเกรสผ่านกฎหมายที่ทำให้กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้รับผิดชอบเงินทั้งหมดในกองทุนของชาวพื้นเมือง คดีฟ้องร้องที่เรียกกันว่า คดี Cobell V. Norton เป็นการฟ้องร้องในนามกลุ่มบุคคลที่ใหญ่ที่สุดที่มีการฟ้องร้องรัฐบาลกลางของสหรัฐฯ คดีนี้เริ่มขึ้นในปี 1996 โดยมีเอลูอีส โคเบลล์ เป็นศูนย์กลางของฝ่ายโจทก์

การฟ้องร้องเกี่ยวข้องกับรายได้ตลอด 100 ปีที่รัฐบาลขอเช่าที่ดินของชาวพื้นเมืองเพื่อทำเหมืองแร่ น้ำมันและก๊าซ เป็นเวลาหลายปีที่เอลูอีสพยายามขอดูบัญชีกองทุนของชาวพื้นเมืองที่รัฐบาลสหรัฐฯ เก็บไว้ในรูปของทรัสต์ จำเลยในคดีนี้คือรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย เกล นอร์ตัน. นอร์ตันถูกผู้พิพาษา รอยซ์ ซี แลมเบิร์ธ ตำหนิอย่างรุนแรงที่เพิกเฉยต่อคำสั่งศาลที่ให้ชี้แจงบัญชีกองทุน

ต้นปี 2001 อลัน บาลารัน อัยการสอบสวนในคดีนี้ เข้าไปค้นโกดังของรัฐบาล เขาพบเอกสารจำนวนหนึ่งจากเครื่องทำลายเอกสาร ซึ่งมีบันทึกเกี่ยวกับเงินที่จ่ายออกไปจากกองทุน สำนักกิจการชาวอินเดียนแดงยืนยันว่า มีการทำลายเอกสารแบบนี้ทุกวัน ในเดือนเมษายน 2004 อลัน บาลารันถูกกดดันจนต้องลาออกจากการเป็นอัยการสอบสวนในคดีนี้ เขากล่าวว่า…

รัฐบาลบุชไม่พอใจที่เขาวิพากษ์วิจารณ์การจัดการบัญชีกองทุนชาวพื้นเมืองของกระทรวงมหาดไทย. ผู้พิพากษาแลมเบิร์ธมีคำสั่งให้รัฐบาลชี้แจงบัญชีกองทุนทั้งหมดให้ได้ภายในวันที่ 6 มกราคม 2008

อันดับ 10 ร่างกฎหมายแรงงานต่างด้าวฉบับใหม่เอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจมากกว่าเพื่อนมนุษย์
มีองค์กรธุรกิจจำนวนไม่น้อยในสหรัฐอเมริกาที่ต้องพึ่งพาแรงงานต่างด้าว อาทิเช่น วอลมาร์ท ธุรกิจโรงแรม ภัตตาคาร ธุรกิจค้าปลีก ฯลฯ ธุรกิจเหล่านี้ต้องการจ้างแรงงานด้วยค่าจ้างต่ำและไม่มีสวัสดิการ สมาคมธุรกิจเหล่านี้กำลังช่วยกันผลักดันให้สภาคองเกรส ออกร่างกฎหมายแรงงานต่างด้าวฉบับใหม่ที่เอื้อต่อผลประโยชน์ของตน

เอ็ดเวิร์ด เคนเนดี จากพรรคเดโมแครต และจอห์น แมคเคน จากพรรครีพับลิกัน กำลังรณรงค์ให้สนับสนุนร่างกฎหมายที่เป็นความร่วมมือของสองพรรค โดยในร่างกฎหมายแรงงานต่างด้าวฉบับใหม่นี้จะเปิดทางให้แรงงานต่างด้าวเป็น "guest worker" เป็นเวลาสามปี คนงานราวครึ่งล้านคนสามารถยื่นขอสถานะนี้ได้ หากได้รับการสนับสนุนจากบริษัทธุรกิจอเมริกันและจ่ายค่าธรรมเนียม 500 ดอลลาร์ ส่วนแรงงานที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนอีกกว่า 10 ล้านคน ที่หลบซ่อนอยู่ในสหรัฐอเมริกาและไม่มีบริษัทสนับสนุน สามารถขอสถานะนี้ได้ด้วยการจ่ายค่าปรับ 2,000 ดอลลาร์ คนงานประเภท "guest worker" นี้สามารถต่ออายุได้หลังจากครบสามปี หรือบริษัทอาจช่วยเหลือให้คนงานได้กรีนการ์ด

ร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่ได้สนใจปัญหาเบื้องลึกของแรงงานต่างด้าว หากกฎหมายฉบับนี้ผ่านสภาออกมา หมายความว่า คนงาน "guest worker" ส่วนใหญ่จะได้แค่ค่าแรงขั้นต่ำสุดหรือต่ำกว่านั้น ไม่มีสวัสดิการหรือการดูแลสุขภาพอย่างใดทั้งสิ้น ค่าปรับถึง 2,000 ดอลลาร์ หมายถึงจะมีแรงงานต่างด้าวจำนวนมากหลบซ่อนต่อไป ผลกระทบของกฎหมายฉบับนี้ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาการแย่งงานจากคนงานชาวอเมริกัน หรือทำให้ค่าแรงของคนงานชาวอเมริกันดีขึ้น

ในขณะเดียวกัน ชีลา แจ็คสัน ลี สมาชิกสภาคองเกรสหญิงและกลุ่มสมาชิกที่เป็นชาวแอฟริกัน-อเมริกัน พยายามเสนอร่างกฎหมายอีกฉบับ ที่จะให้ความยุติธรรมแก่แรงงานทั้งชาวอเมริกันและต่างด้าวมากกว่า แทนที่จะส่งเสริมการแย่งงานกัน และทำให้คนงานต้องกดค่าแรงของตัวเอง ร่างกฎหมายของเธอพยายามเกลี่ยผลประโยชน์ให้แรงงานค่าแรงต่ำทั้งหมด โดยที่ชาวแอฟริกัน-อเมริกันและชุมชนคนกลุ่มน้อยที่ประสบปัญหาว่างงานจะได้รับการฝึกอบรม ให้โอกาสแรงงานต่างด้าวได้สถานะที่ถูกกฎหมาย โดยพิจารณาจากระยะเวลาของการอยู่อาศัยในสหรัฐอเมริกามากกว่าสถานะการจ้างงาน มีการคุ้มครองสิทธิของแรงงานต่างด้าว แต่ร่างกฎหมายของเธอกลับไม่ได้รับการยอมรับในสภา มิหนำซ้ำยังถูกเย้ยหยันด้วย

อันดับ 11 นาโนเทคโนโลยีอาจมีศักยภาพน่าตื่นเต้น แต่ก็ควรตรวจสอบผลกระทบต่อสุขภาพ
วิทยาศาสตร์ด้านนาโนเทคโนโลยีกำลังก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แต่มีการศึกษาวิจัยน้อยมากว่า โมเลกุลขนาดนาโนปลอดภัยต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมหรือไม่

นาโนเทคโนโลยีเป็นวิทยาศาสตร์ของการใช้โมเลกุลขนาดเล็กมาก เลือดเซลล์หนึ่งมีขนาดความกว้างถึง 7,000 นาโนเมตร นาโนเทคโนโลยีมีศักยภาพในการใช้งานอย่างไม่มีขีดจำกัด มันถูกนำไปใช้ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์อย่างเช่น กางเกงที่ไม่ยับ ยากันแดด ลูกเทนนิส ฯลฯ รัฐบาลสหรัฐอเมริกาใช้งบประมาณเกือบ 1 พันล้านดอลลาร์ในปี 2004 เพื่อการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่นี้ แต่รัฐบาลใช้งบประมาณเพียง 1% เท่านั้นแก่การวิจัยเพื่อประเมินความปลอดภัย ทั้ง ๆ ที่นาโนเทคโนโลยีอาจเป็นอันตรายต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมได้ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะมีการประเมินกันว่า ตลาดของนาโนเทคโนโลยีอาจพุ่งสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ใน 10 ปีข้างหน้า

มีงานวิจัยเป็นพัน ๆ ชิ้นเกี่ยวกับการพัฒนาในด้านนาโนศาสตร์ แต่มีน้อยกว่า 50 ชิ้นที่ตรวจสอบว่า อนุภาคนาโนที่ผ่านการวิศวกรรมมีผลกระทบต่อคนและสิ่งแวดล้อมอย่างไร ในปี 2004 เอวา โอเบอร์ดอร์สเตอร์ ผู้ช่วยนักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยดยุค ทำการวิจัยที่ก่อให้เกิดข่าวไม่ค่อยดีนักเกี่ยวกับอนุภาคนาโนที่เรียกกันว่า "ฟุลเลอร์เนส" ซึ่งตั้งชื่อตามผู้คิดค้นคือ อาร์ บัคมินิสเตอร์ ฟุลเลอร์

"ฟุลเลอร์เนส" สร้างขึ้นมาจากอะตอมคาร์บอน 60 อะตอม โอเบอร์ดอร์สเตอร์ใส่สารละลาย "ฟุลเลอร์เนส" ลงไปในถังที่มีปลาแบสปากกว้าง แล้วหลังจากนั้นก็ตรวจดูอวัยวะต่าง ๆ ของปลา เธอพบว่ามีร่องรอยที่สมองถูกทำลาย และสันนิษฐานว่า อนุภาคนาโนกระตุ้นให้เกิดการก่อตัวของอนุมูลอิสระ ซึ่งสร้างความเสียหายต่อเซลล์ได้ ปรกติแล้ว อนุภาคไม่สามารถเล็ดลอดเข้าไปในสมองปลาหรือคน เพราะมีโครงสร้างห่อหุ้มที่คอยป้องกันสารอันตราย แต่การทดลองของโอเบอร์ดอร์สเตอร์และการทดลองอื่น ๆ ชี้ว่า อนุภาคขนาดนาโนสามารถเล็ดลอดผ่านด่านป้องกัน ผ่านเซลล์ประสาทเข้าไปในสมอง

บิดาของโอเบอร์ดอร์สเตอร์ทำการศึกษาวิจัยถึงผลกระทบของอนุภาคนาโนเช่นกัน ดร.กุนเทอร์ โอเบอร์ดอร์สเตอร์ ศาสตราจารย์ด้านพิษวิทยาในการแพทย์สิ่งแวดล้อมที่มหาวิทยาลัยโรเชสเตอร์ ได้รับงบประมาณ 5.5 ล้านดอลลาร์ จากกระทรวงกลาโหม เพื่อทำการวิจัยเป็นเวลา 5 ปี เพื่อศึกษาถึงผลกระทบของอนุภาคนาโน ทีมนักวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ศึกษาอนุภาคนาโนของไททาเนียมไดออกไซด์ที่ใช้ในสีขาว หนูทดลองสูดอนุภาคชนิดนี้ที่มีขนาดตั้งแต่ 12 นาโนเมตร ไปจนถึง 250 นาโนเมตร

อนุภาคยิ่งเล็กก็ยิ่งอันตราย เพราะมันสามารถเล็ดลอดระบบภูมิคุ้มกันเข้าไปในปอด ผ่านเข้าไปในกระแสเลือดและเข้าสู่อวัยวะใดของร่างกายก็ได้ จริงอยู่ การสูดอนุภาคนาโนของไททาเนียมไดออกไซด์ที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ตามท้องตลาดอาจเป็นไปไม่ได้ เพราะมันถูกจับอยู่ในรูปของเหลว แต่ ดร.โอเบอร์ดอร์สเตอร์เตือนว่า เป็นไปได้ที่อนุภาคนาโนจะผ่านเข้าไปทางผิวหนัง

เกือบทุกคนที่เกี่ยวข้องกับนาโนเทคโนโลยีกล่าวว่า ยังเร็วเกินไปที่จะบอกได้ว่า เทคโนโลยีนี้เป็นอันตรายต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมหรือไม่ แต่การวิจัยเบื้องต้นชี้ให้เห็นว่า นี่เป็นสิ่งที่ควรค้นคว้าศึกษาต่อไปให้จริงจังกว่าเดิม จากการสำรวจของมหาวิทยาลัยนอร์ธแคโรไลนาสเตท สาธารณชนมีความคิดเห็นที่ดีต่อนาโนเทคโนโลยี แต่การมองในแง่ดีอาจเปลี่ยนไปเป็นตรงกันข้าม เช่นเดียวกับที่เคยเกิดแก่เทคโนโลยีหลาย ๆ อย่างในอดีต

อันดับ 12 ชะตากรรมอันเลวร้ายของเด็กชาวปาเลสไตน์ในคุกอิสราเอล
เด็กชาวปาเลสไตน์ราว 350 คน อายุระหว่าง 12-18 ปี ถูกขังอยู่ในคุกอิสราเอลขณะนี้ นับตั้งแต่มีการลุกฮือเพื่อต่อต้านการยึดครองของอิสราเอลเป็นครั้งที่สอง มีเด็กกว่า 2,000 คน ถูกจับ และตามรายงานขององค์กรสิทธิมนุษยชน ยังมีเด็กอีก 170 คน ถูกขังอยู่ในค่ายทหาร

จากการสัมภาษณ์เด็กที่เคยถูกกักขังหลายร้อยคน พบว่าเด็ก ๆ มีประสบการณ์การถูกจับในแบบเดียวกัน ทั้งการสอบปากคำ การตัดสินลงโทษและสภาพในคุก เด็กรายงานถึงการถูกทำร้ายและล่วงละเมิดระหว่างอยู่ในคุกหรือค่ายกักกัน ความสอดคล้องของข้อมูลชี้ให้เห็นว่า การทำร้ายเด็กไม่ใช่แค่การกระทำของทหารชั่ว ๆ บางคน แต่น่าจะเกิดจากนโยบายที่วางไว้อย่างเป็นระบบ เด็กทุกคนบรรยายถึงพฤติกรรมของทหารหรือตำรวจอิสราเอลที่ใช้ความรุนแรง การข่มขู่ทางกายและทางจิตวิทยา โดยเฉพาะในตอนกลางคืน ทั้งนี้ดูเหมือนมีเป้าหมายเพื่อสร้างความรู้สึกหวาดกลัวและช่วยตัวเองไม่ได้ให้ฝังอยู่ในใจเด็ก

ถึงไม่มีการทำร้ายร่างกาย สภาพของที่คุมขังก็เลวร้ายพออยู่แล้ว เด็กถูกขังอยู่ในห้องขังทั้งวันทั้งคืน ในบางกรณีมีการอนุญาตให้ออกมาข้างนอกได้เพียง 45 นาทีทุกสองวัน เด็กจำนวนมากต้องนอนบนพื้นเพราะห้องขังเต็มแน่น หน้าต่างห้องขังถูกปิดไม่ให้มีแสงเข้าและไม่ให้มีอากาศถ่ายเท ยาและการรักษาพยาบาลกลายเป็นเงื่อนไขไว้ข่มขู่ให้เด็กร่วมมือในการสอบปากคำ และอาหารมีไม่พอกิน

ในเดือนสิงหาคม 2004 นักโทษชาวปาเลสไตน์รวมตัวกันประท้วงครั้งใหญ่ต่อสภาพเลวร้ายในคุกด้วยการอดอาหาร กระนั้นก็ตาม นักโทษเหล่านี้กลับถูกพัศดีชาวอิสราเอลกลั่นแกล้งและทุบตี ชะตากรรมของเด็กและนักโทษชาวปาเลสไตน์ เป็นภาพสะท้อนถึงปัญหาสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นในพื้นที่ที่มีความขัดแย้งทั่วโลก

อันดับ 13 ชาวพื้นเมืองเอธิโอเปียตกเป็นเหยื่อความโลภในทรัพยากรของบรรษัทธุรกิจและรัฐบาล
ตามรายงานของคีธ ฮาร์มอน สโนว์ หลังจากเข้าไปสังเกตการณ์ภาคสนามในเดือนมกราคม มีหลักฐานว่า ทหารของกองกำลังเพื่อปกป้องการปฏิวัติของประชาชนเอธิโอเปีย (EPRDF) และทหารบ้าน "ชาวที่ราบสูง" ในดินแดนของชาวอานูอัค (Anuak) ของเอธิโอเปีย ลงมือสังหารหมู่พลเรือนชาวพื้นเมืองหลายพันคน ทหารเหล่านี้ได้รับคำสั่งให้ขับไล่ชาวอานูอัคออกจากพื้นที่ เพราะพื้นที่เขตนี้มีน้ำมันและทองคำ การขับไล่เป็นไปอย่างโหดร้าย มีทั้งการสังหารหมู่ การกดขี่และการข่มขืนหมู่

เอธิโอเปียเป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ ใน "สงครามต่อต้านการก่อการร้าย" รัฐบาลสหรัฐฯ รับรู้เรื่องความรุนแรงที่เกิดขึ้นในเขตกัมเบลลามาตั้งแต่สองปีก่อน แผนการขับไล่ชาวอานูอัคได้รับอนุมัติโดยตรงจากนายกรัฐมนตรี เมเลส เซนาวี ในการประชุมคณะรัฐมนตรีในเดือนกันยายน 2003 ถึงขนาดมีการพูดกันอย่างเปิดเผยถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวอานูอัค

ความรุนแรงในดินแดนของชาวอานูอัคถูกบดบังด้วยการรายงานข่าวของสื่อกระแสหลักที่อ้างว่า มีความขัดแย้งมานานระหว่างชนเผ่าสองกลุ่ม แต่ไม่เคยมีหลักฐานยืนยันในเรื่องนี้ ที่มีหลักฐานแน่ ๆ คือ ทหาร EPRDF ใช้ปืนกลและระเบิดมือ บุกเข้าไปตามหมู่บ้าน ฆ่าผู้ชายทั้งหมด ปล้นทรัพย์สิน เผาบ้าน และจับผู้หญิงไปข่มขืน ในช่วงปลายปี 2004 มีพลเรือนเสียชีวิตอย่างน้อย 1,500 คน หรืออาจสูงถึง 2,500 คน

พลเรือนที่เป็นปัญญาชน ผู้นำ นักศึกษา และคนที่มีการศึกษาจะตกเป็นเป้าการสังหารเป็นพิเศษ ชาวอานูอัคอีกหลายร้อยคนยังหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย ในเขตกัมเบลลา มีรายงานการข่มขืนไม่ต่ำกว่า 7 ครั้งต่อวัน และที่ไม่มีรายงานอีกนับไม่ถ้วน ชาวอานูอัคราว 6,000-8,000 คน ต้องลี้ภัยไปอยู่ที่ซูดาน และอีกราว 1,000 คนอยู่ในเคนยา ประชากรของเขตกัมเบลลาราว 25% ต้องพลัดถิ่นฐาน

สำหรับชาวอานูอัคและชาวพื้นเมืองอื่น ๆ ในเขตตะวันตกเฉียงใต้ของเอธิโอเปีย รัฐบาลของเซเลส เมนาวี เป็นเผด็จการทหารที่โหดร้าย เกือบทุกคนเชื่อมโยง "ปัญหา" กับแหล่งน้ำมันในเขตกัมเบลลา ความรุนแรงยังทำให้การเพาะปลูกต้องหยุดชะงักไปโดยสิ้นเชิง รวมทั้งการทำลายโรงสีและยุ้งฉาง ซึ่งหมายความว่า ความอดอยากกำลังจะตามมาในช่วงปลายปี 2005

อันดับ 14 ความปลอดภัยของมาตุภูมิที่ไม่ปลอดภัยจริง
ในสหรัฐอเมริกา มีโรงงานอุตสาหกรรมถึง 15,000 แห่ง ที่ผลิตสารเคมีเป็นพิษออกมา ตามข้อมูลของ
สำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อม มีโรงงานประมาณ 100 แห่ง ที่หากถูกผู้ก่อการร้ายโจมตี มันจะทำให้เกิดก๊าซพิษออกมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นอันตรายต่อย่านชุมนุมชนที่อยู่ใกล้เคียงได้อย่างร้ายแรง แต่โรงงานเคมีเหล่านี้กลับไม่มีการคุ้มกันที่แน่นหนาพอ

หลังจากเหตุวินาศกรรม 9/11 มีความพยายามผลักดันให้เพิ่มมาตรการความปลอดภัยแก่โรงงานเคมีทุกแห่งในสหรัฐอเมริกา ผู้แทนพรรคเดโมแครตพยายามผลักดันร่างรัฐบัญญัติความปลอดภัยของสารเคมี เพื่อวางมาตรฐานความปลอดภัยของโรงงาน การขนส่งวัตถุอันตรายและป้องกันอุบัติเหตุ แต่ฝ่ายพรรครีพับลิกันกลับล้มร่างกฎหมายฉบับนี้ หลังจากบริษัทน้ำมันใช้เงินหลายล้านดอลลาร์วิ่งเต้นไม่ให้กฎหมายผ่านสภาคองเกรส

ประธานาธิบดีบุชไม่ได้ให้ความใส่ใจมากนักต่อรายงานของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ งบประมาณด้านการรักษาความปลอดภัยภายในประเทศเพิ่มขึ้นเพียง 4% นับแต่เกิดเหตุวินาศกรรม 9/11 และส่วนที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่หมดไปกับโครงการประกันวินาศภัย มีโรงงานเคมีจำนวนมากที่ไม่มีรั้วรอบขอบชิด ไม่มีกล้องวงจรปิด ไม่มีแม้กระทั่งยาม งบประมาณเพื่อความมั่นคงในประเทศนั้นมีจำนวนเพียงน้อยนิดเมื่อเปรียบเทียบกับเงินที่ผลาญไปในสงครามอิรัก กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิเป็นหน่วยงานที่ขาดแคลนเงินงบประมาณ จนแม้แต่ผู้แทนพรรคเดโมแครต ก็ต้องพยายามหาทางเสนอให้อัดฉีดงบประมาณแก่กระทรวงนี้มากขึ้น

เหตุวินาศกรรม 9/11 ผ่านมาสามปีแล้ว แต่จนบัดนี้ ใคร ๆ ก็ยังสามารถเข้าออกโรงงานเคมีหลายพันแห่งทั่วประเทศ
การจะแนะนำให้โรงงานใช้เงินจำนวนมากเพื่อยกระดับการรักษาความปลอดภัยโดยสมัครใจ เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเกิดขึ้น มีเพียงการออกกฎหมายควบคุมทั่วประเทศเท่านั้นจึงจะทำให้มาตุภูมิปลอดภัยจริง ๆ

ภัควดี วีระภาสพงษ์ เรียบเรียง
25/12/2005 16:47





บทความที่นำเสนอก่อนหน้านี้ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
หากนักศึกษาและสมาชิกท่านใตสนใจ
สามารถคลิกไปอ่านได้จากที่นี่...คลิกที่ภาพ

 

สารบัญข้อมูล : ส่งมาจากองค์กรต่างๆ

ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา 3
I สารบัญเนื้อหา 4
ประวัติ ม.เที่ยงคืน

สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง

webboard(1) I webboard(2)

e-mail : midnightuniv(at)yahoo.com

หากประสบปัญหาการส่ง e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com

ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม

 

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ทั้งหมด กว่า 800 เรื่อง หนากว่า 11500 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com

 

สมเกียรติ ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็บไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com

 

 

 

H
ขอขอบคุณ www.thaiis.com ที่ให้ใช้พื้นที่ฟรี
ภาพประกอบดัดแปลงเพื่อใช้ประโยชน์ประกอบบทความฟรีของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ไม่สงวนลิขสิทธิ์ในการนำไปใช้ประโยชน์
R
related topic
070249
release date
เว็บไซต์เผยแพร่ความรู้
เพื่อสาธารณประโยชน์

หากนักศึกษาหรือสมาชิก ประสบปัญหาภาพและตัวหนังสือซ้อนกัน กรุณาลด text size ของ font ลง
ขนาด medium จะแก้ปัญหาได้
เว็บไซต์นี้สร้างขึ้นเพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงอุดมศึกษาได้โดยไม่จำกัดคุณวุฒิ สำหรับผู้สนใจส่งบทความทางวิชาการเพื่อเผยแพร่ต่อสาธารณชน กรุณาส่งผลงานไปที่ midarticle(at)yahoo.com
The author of this work hereby waives all claim of copyright (economic and moral) in this work
and immediately places it in the public domain... [copyleft]
กรุณานำบทความไปใช้ต่อโดยอ้างอิงแหล่งที่มาตามสมควร
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนร่วมกับมูลนิธิไฮน์ริคเบิลล์ เปิดชั้นเรียนฟรีสำหรับ น.ศ. และผู้สนใจ เพื่อศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับวิถีมลายูมุสลิมอย่างรอบด้าน
บทความทุกชิ้นที่เผยแพร่บนเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน จะได้รับการเก็บรักษาเอาไว้อย่างถาวร โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไข เพื่อประโยชน์ในการอ้างอิง ความผิดพลาดใดๆก็ตามที่เกิดขึ้นจากการเผยแพร่ อาจเป็นของผู้เขียนหรือกองบรรณาธิการ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้โดยไม่เจตนา
เว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน มีการเสนอบทความใหม่ทุกวัน เพื่อสนองความต้องการของนักศึกษา และผู้สนใจที่คลิกเข้ามาหาความรู้เป็นประจำ

ไม่ใช่เรื่องยากลำบากเลยที่ประเทศร่ำรวยจะให้ความช่วยเหลือและยกเลิกหนี้ ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเพียง 0.7% ของรายได้ประชาชาติ เทียบเท่ากับแค่หนึ่งส่วนห้าของเงินที่สหรัฐอเมริกาใช้ไปกับการป้องกันประเทศ และเท่ากับครึ่งหนึ่งของเงินที่ใช้อุดหนุนการเกษตรในประเทศ. สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ให้ความช่วยเหลือน้อยที่สุดเมื่อเทียบสัดส่วนกับรายได้ของชาติ กล่าวคือ แค่ 0.14% เมื่อเปรียบเทียบแล้ว นอร์เวย์เป็นประเทศที่ให้ความช่วยเหลือมากที่สุดถึง 0.92% เงินที่สหรัฐฯ จะเพิ่มความช่วยเหลือให้ถึง 0.7% นั้น สหรัฐฯ ใช้ไปในสงครามอิรักมากกว่าถึงสองเท่า และใช้ในโครงการทางทหารมากกว่าถึง 6 เท่า การยกเลิกหนี้ให้ประเทศยากจนที่สุด 32 ประเทศ เป็นแค่เศษเงินสำหรับประเทศมั่งคั่ง

The Midnightuniv website 2006