นักศึกษา สมาชิก และผู้สนใจทุกท่าน หากประสงค์จะตรวจดูบทความอื่นๆที่เผยแพร่บนเว็ปไซค์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ท่านสามารถคลิกไปดูได้จากตรงนี้ ไปหน้าสารบัญ
ผลงานวิชาการชิ้นนี้ เผยแพร่ครั้งแรกบนเว็ปไซต์ วันที่ ๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๘ : ไม่สงวนสิทธิ์ในการใช้ประโยชน์ทางวิชาการ
เว็ปไซต์นี้สร้างขึ้นเพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงอุดมศึกษาได้โดยไม่จำกัดคุณวุฒิ
สำหรับผู้สนใจส่งบทความทางวิชาการเพื่อเผยแพร่ต่อสาธารณชน กรุณาส่งผลงานของท่านมายัง midarticle(at)yahoo.com หรือ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com
The author of this work hereby waives all claim of copyright (economic and moral) in this work and immediately places it in the public domain... [copyleft] กรุณานำบทความไปใช้ต่อโดยอ้างอิงแหล่งที่มาตามสมควร

The Midnight University

คำนำจากหนังสือเรื่อง รั้วกับหน้าต่าง
รั้วแห่งการกักกัน หน้าต่างแห่งโอกาส
พิภพ อุดมอิทธิพงศ์
นักวิชาการและนักแปลอิสระ

บทความนี้ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่โดยคุณพิภพ อุดมอิทธิพงศ์
ผู้แปลหนังสือเรื่อง รั้วกับหน้าต่าง เขียนโดย นาโอมี ไคลน์
เรื่องราวของการต่อสู้ของประชาชนทั่วโลกกับอำนาจทุนข้ามชาติขนาดใหญ่ในยุคโลกาภิวัตน์

(บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา)
บทความฟรี มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ 696
เผยแพร่บนเว็ปไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๔๘

(บทความทั้งหมดยาวประมาณ 12.5 หน้ากระดาษ A4)



คำนำ
รั้วแห่งการกักกัน หน้าต่างแห่งโอกาส

หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่ภาคต่อจาก No Logo ซึ่งว่าด้วยการเติบโตขึ้นของขบวนการต่อต้านบรรษัท และเป็นหนังสือที่ดิฉันเขียนระหว่างปี พ.ศ. 2538 ถึง 2542 หนังสือเล่มนั้นเป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยเพื่อเขียนวิทยานิพนธ์ ในขณะที่ รั้วกับหน้าต่าง เป็นข่าวสารจากแนวหน้าของสมรภูมิการต่อสู้ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันกับการตีพิมพ์ No Logo หนังสือเล่มดังกล่าวกำลังได้รับการตีพิมพ์

ในขณะที่ขบวนการที่เปรียบเสมือนคลื่นใต้น้ำขนาดใหญ่ ซึ่งบันทึกไว้ใน No Logo เริ่มปฏิบัติการจนเป็นที่รับรู้ในโลกแห่งอุตสาหกรรมกระแสหลัก โดยมากเป็นผลมาจากการประท้วงที่กรุงซีแอตเติลในระหว่างการประชุมองค์การค้าโลก เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2542 เพียงชั่วข้ามคืน ดิฉันพบว่าตัวเองพลอยติดร่างแหเป็นส่วนหนึ่งของการอภิปรายระดับโลกที่ตั้งคำถามที่สำคัญที่สุดในยุคของเรา กล่าวคือ อะไรเป็นคุณค่าที่กำหนดกฎเกณฑ์ในโลกยุคโลกาภิวัตน์

สิ่งที่เริ่มต้นจากการเดินทางเพื่อโฆษณาหนังสือเป็นเวลาสองสัปดาห์ ได้กลายเป็นประสบการณ์ที่ทอดยาวถึงสองปีครึ่ง และการเดินทางไป 22 ประเทศ เหตุการณ์นี้ได้นำดิฉันไปสู่ท้องถนนที่คราคร่ำด้วยก๊าซน้ำตาในเมืองควีเบคซิตี้ และกรุงปราก ไปยังการรวมตัวประท้วงในย่านชุมชนกรุงบัวโนสไอเรส ไปยังการตั้งค่ายพักแรมของนักกิจกรรม เพื่อต่อต้านอาวุธนิวเคลียร์ในทะเลทรายตอนใต้ของประเทศออสเตรเลีย และไปจนถึงการได้ร่วมอภิปรายอย่างเป็นทางการกับบรรดาผู้นำประเทศต่าง ๆ ในยุโรป

การค้นคว้าอย่างจริงจังเป็นเวลาสี่ปีเพื่อเขียนหนังสือ No Logo แทบไม่ได้เตรียมให้ดิฉันพร้อมสำหรับเผชิญหน้ากับภารกิจเหล่านี้ แม้ว่าสื่อมวลชนจะขนานนามว่าดิฉันเป็นหนึ่งใน "ผู้นำ" หรือเป็น "โฆษก" ของกลุ่มผู้ประท้วงทั่วโลก ความจริงก็คือตัวดิฉันเองไม่เคยเกี่ยวข้องกับการเมือง และไม่ชอบการอยู่ในฝูงชนขนาดใหญ่ ครั้งแรกที่ดิฉันต้องกล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับโลกาภิวัตน์ ดิฉันเอาแต่มองบันทึกในระหว่างอ่านตลอดเวลา และไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาเลยตลอดช่วงเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่ง

แต่นี่ไม่ใช่ช่วงเวลาที่เราควรรู้สึกอาย คนนับจำนวนหมื่นและเพิ่มเป็นแสนคน ได้เข้าร่วมการเดินขบวนประท้วงครั้งแล้วครั้งเล่าในแต่ละเดือน พวกเขาส่วนมากก็คล้ายกับดิฉันตรงที่ไม่เคยเชื่อมาก่อนว่า จะมีโอกาสในการเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองจนกระทั่งในตอนนั้น ดูเหมือนว่าความล้มเหลวของแม่แบบเศรษฐกิจกระแสหลักที่เป็นอยู่ นับวันจะยิ่งรุนแรงขึ้นจนยากจะเพิกเฉย ทั้งก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์อื้อฉาวของบริษัทเอ็นรอนด้วยซ้ำ เพื่อที่จะสนองความต้องการของนักลงทุนระดับนานาชาติ

รัฐบาลในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกไม่พยายามตอบสนองความต้องการของประชาชนที่เลือกพวกเขาเข้ามา ความต้องการเหล่านี้บางประการเป็นเรื่องพื้นฐานและจำเป็นเร่งด่วน อย่างเช่น ความต้องการด้านเวชภัณฑ์ ที่อยู่อาศัย ที่ดิน น้ำ ความต้องการบางอย่างเป็นเรื่องในเชิงนามธรรม อย่างเช่น โอกาสที่จะมีพื้นที่ทางวัฒนธรรม เพื่อติดต่อสัมพันธ์กันโดยไม่ได้อยู่บนฐานการค้า

การรวมกลุ่มและแบ่งปันกัน ไม่ว่าจะผ่านทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ต คลื่นสัญญาณในวิทยุชุมชน หรือการพบกันตามท้องถนน การค้ำจุนโครงสร้างทั้งหมดนี้ไว้ เท่ากับเป็นการทรยศต่อความจำเป็นขั้นพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย ที่ตอบสนองความต้องการและเน้นการมีส่วนร่วม ซึ่งไม่ได้ถูกซื้อและอุดหนุนโดยบริษัทเอ็นรอน และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)

วิกฤติการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางไร้พรมแดน เศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วบนฐานของการมุ่งแสวงหากำไรระยะสั้น ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า ไม่สามารถตอบสนองความต้องการในการแก้ปัญหาวิกฤติด้านนิเวศวิทยา และประชากรมนุษย์ที่เพิ่มขึ้นอย่างเร่งด่วน ทั้งยังไม่สามารถเปลี่ยนโครงสร้างการใช้พลังงานจากการพึ่งพาพลังงานฟอสซิลไปสู่แหล่งพลังงานอันยั่งยืน

และแม้จะมีการให้สัญญาและจับมือตกลงอย่างเคร่งครัด แต่ระบบเศรษฐกิจโลกเช่นนี้ก็ไม่สามารถระดมทรัพยากรที่จำเป็นเพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อ HIV ในอัฟริกา ทั้งไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติตามพันธกิจระดับนานาชาติเพื่อลดความหิวโหย หรือแม้แต่จะแก้ไขปัญหาความมั่นคงด้านอาหารในระดับพื้นฐานในยุโรป

เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าเหตุใดขบวนการประท้วงจึงปะทุขึ้นในช่วงเวลานั้น ทั้ง ๆ ที่ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมได้เกิดขึ้นต่อเนื่องกันมานานนับทศวรรษ แต่ส่วนหนึ่งเห็นจะเป็นผลมาจากกระบวนการโลกาภิวัตน์นั่นเอง เมื่องบประมาณที่ให้กับโรงเรียนถูกตัด หรือเมื่อแหล่งน้ำถูกทำให้มีมลพิษ แต่เดิมเรามักโยนความผิดในเรื่องพวกนี้ ให้กับการบริหารด้านการเงินที่ไร้ประสิทธิภาพ หรือไม่ก็ความฉ้อฉลอย่างเห็นได้ชัดของรัฐบาลในแต่ละประเทศ

แต่ปัจจุบัน สืบเนื่องจากข่าวสารข้อมูลที่แพร่และแลกเปลี่ยนกันอย่างรวดเร็วจนไร้พรมแดน พวกเราเริ่มมองเห็นแล้วว่า ปัญหาดังกล่าวเป็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในท้องถิ่น อันมีสาเหตุมาจากอุดมการณ์ในระดับโลกบางประการ ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยนักการเมืองระดับชาติ แต่มีต้นตอโดยหลักมาจากความต้องการผลประโยชน์ของบรรษัทข้ามชาติ และสถาบันนานาชาติเพียงจำนวนน้อย ซึ่งรวมไปถึงองค์การค้าโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ และธนาคารโลก

ข้อที่น่าหัวเราะกับการที่สื่อมวลชนตราหน้าพวกเราเป็นพวก "ต่อต้านโลกาภิวัตน์" ก็คือ อันที่จริง พวกเราในขบวนการเคลื่อนไหวเหล่านี้ต่างหาก ที่ลงมือเปลี่ยนให้โลกาภิวัตน์กลายเป็นความจริงที่มีชีวิตชีวา มากเสียยิ่งกว่าสิ่งที่ผู้บริหารบรรษัทข้ามชาติ หรือนักบริหารที่เดินทางระหว่างประเทศอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยพยายามทำ

ในที่ชุมนุมอย่างเช่นที่เวทีสังคมโลกในกรุงปอร์โต อัลเลเกร ใน "การประชุมสุดยอดทวนกระแส" ระหว่างการประชุมของธนาคารโลก ในเครือข่ายสื่อสารอย่างเช่น www.tao.ca และ www.indymedia.org โลกาภิวัตน์ไม่ได้เป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาแคบ ๆ อย่างเรื่องธุรกรรมการค้าและการท่องเที่ยวเท่านั้น หากเป็นกระบวนการอันละเอียดอ่อนที่เชื่อมโยงชะตากรรมของคนนับพัน ๆ คนเข้าด้วยกัน ด้วยการได้แลกเปลี่ยนความคิด บอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์นามธรรมนั้นส่งผลกระทบต่อชีวิตจริงในแต่ละวันของพวกเขาอย่างไร ขบวนการเหล่านี้ไม่ได้มีผู้นำในลักษณะเดิม ๆ หากเป็นกลุ่มของคนที่มุ่งมั่นจะเรียนรู้ และพร้อมจะส่งทอดความเป็นผู้นำต่อไป

เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ที่พบว่าตัวเองตกเข้ามาอยู่ข่ายใยระดับโลกเช่นนี้ ดิฉันเองก็เข้ามาข้องเกี่ยวในขณะที่มีความเข้าใจในเรื่องเศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่อย่างจำกัด โดยมากก็เป็นความรู้เหมือนคนรุ่นหนุ่มสาวที่เติบโตขึ้นมาในสังคมอเมริกาเหนือและยุโรป ที่ระบบตลาดเข้ามาครอบงำมากเกินไป และคนจำนวนมากตกงาน

แต่เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ดิฉันเองได้สัมผัสกระบวนการโลกาภิวัตน์โดยผ่านขบวนการเหล่านี้ ได้รับรู้ถึงผลกระทบจากการลุ่มหลงในระบบตลาด ที่มีต่อชาวนาไร้ที่ดินในบราซิล ต่อครูในอาร์เจนตินา ต่อคนงานร้านอาหารฟาสต์ฟูดในอิตาลี ต่อกสิกรผู้ปลูกกาแฟในเม็กซิโก ต่อชาวสลัมในอัฟริกาใต้ ต่อผู้ค้าขายระหว่างประเทศแบบดั้งเดิมในฝรั่งเศส ต่อแรงงานอพยพที่เก็บมะเขือเทศในฟลอริดา ต่อนักจัดตั้งของสหภาพแรงงานในฟิลิปปินส์ ต่อเด็กเร่ร่อนในกรุงโตรอนโตอันเป็นเมืองที่ดิฉันอาศัยอยู่

บันทึกฉบับนี้แสดงถึงเส้นโค้งแห่งการเรียนรู้ที่พุ่งสูงขึ้น เป็นส่วนเสี้ยวเล็ก ๆ ของกระบวนการขนาดใหญ่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลในระดับรากหญ้า ซึ่งช่วยให้คนจำนวนมาก ซึ่งไม่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างนักเศรษฐศาสตร์ นักกฎหมายด้านการค้าระหว่างประเทศหรือผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิบัตร ให้มีกำลังใจเพื่อมีส่วนร่วมในการอภิปรายถึงอนาคตของเศรษฐกิจโลก

ข้อเขียนจากคอลัมน์ ความเรียง และสุนทรพจน์ที่ดิฉันเขียนให้กับ The Globe and Mail, The Guardian, The Los Angeles Times และสิ่งพิมพ์อื่น ๆ ถูกเรียบเรียงขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน ระหว่างพักแรมในโรงแรมยามดึกดื่น ภายหลังการประท้วงในกรุงวอชิงตันและเม็กซิโกซิตี้ ในศูนย์สื่ออิสระ และในระหว่างเดินทางต่อเครื่องบินหลายครั้ง (ดิฉันกำลังใช้เครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาเครื่องที่สอง ภายหลังจากที่สุภาพบุรุษที่นั่งอยู่ด้านหน้าดิฉันในเที่ยวบินโดยสารชั้นประหยัดของแอร์แคนาดากดปุ่มเอนเบาะของเขา แล้วจากนั้นดิฉันก็ได้ยินเสียงหักแตกอันน่าสะพรึงกลัวของคอมพิวเตอร์)

บทความเหล่านี้ล้วนเต็มไปด้วยข้อถกเถียงและข้อเท็จจริง ที่ดิฉันได้รวบรวมเพื่อใช้ในการอภิปรายกับนักเศรษฐศาสตร์แนวเสรีนิยมใหม่ รวมทั้งเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจที่สุดที่ดิฉันได้รับจากการร่วมขบวนกับนักกิจกรรมตามท้องถนน บางส่วนก็เป็นความพยายามอย่างเร่งรีบ ที่จะผนวกเอาข้อมูลที่เพิ่งมาถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ของดิฉันไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ หรือไม่ก็เป็นการเขียนบทความเพื่อตอบโต้การรณรงค์บนข้อมูลที่ผิด ๆ เพื่อโจมตีเป้าหมายและกระบวนของผู้ประท้วง ความเรียงบางชิ้นโดยเฉพาะในส่วนที่เป็นสุนทรพจน์ ยังไม่ได้รับการตีพิมพ์ที่ใดมาก่อน

แล้วทำไมถึงต้องรวมข้อเขียนขี้ประติ๋วเหล่านี้เข้าด้วยกันเป็นหนังสือเล่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะช่วงไม่กี่เดือนหลังจากที่นายจอร์จ ดับเบิลยู บุช ประกาศ"สงครามต่อต้านการก่อการร้าย" ได้มีการเสนอว่าอะไรบางอย่างยุติลงแล้ว นักการเมืองบางคน (โดยเฉพาะเจ้าของนโยบายที่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์เจาะลึกโดยผู้ประท้วง) ได้รีบเร่งประกาศว่า สิ่งที่ยุติลงแล้วก็คือขบวนการเคลื่อนไหว ข้อกังวลที่ผู้ประท้วงชูขึ้นเพื่อชี้ถึงความล้มเหลวของโลกาภิวัตน์เป็นเรื่องไร้แก่นสาร พวกเขาอ้างถึงขั้นที่ว่า มันอาจเป็นเชื้อฟางให้ "ฝ่ายศัตรู" ด้วยซ้ำ

อันที่จริง การเพิ่มขึ้นของการใช้กำลังทหารและการปราบปรามในช่วงปีที่ผ่านมา ได้กระตุ้นให้เกิดการประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดตามท้องถนนในกรุงโรม ลอนดอน บาร์เซโลน่าและบัวโนสไอเรส ทั้งยังส่งผลให้นักกิจกรรมจำนวนมาก ซึ่งแต่เดิมแค่แสดงท่าทีไม่เห็นด้วยในเชิงสัญลักษณ์อยู่ภายนอกที่ประชุมสุดยอด ได้หันมาปฏิบัติการอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อหาทางลดระดับความรุนแรงลง

ปฏิบัติการเหล่านี้มีทั้งการเข้าร่วมเป็น "เกราะมนุษย์" ในช่วงที่มีการเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ที่โบสถ์แห่งชนพื้นเมือง (The Church of Nativity) ในกรุงเบ็ธเลเฮม รวมทั้งพยายามขวางกั้นไม่ให้มีการส่งกลับผู้ลี้ภัยในค่ายกักกันในยุโรปและออสเตรเลียอย่างผิดกฎหมาย ในขณะที่ขบวนการได้เคลื่อนเข้าสู่ขั้นตอนใหม่อันท้าทาย ดิฉันตระหนักว่าตัวเองได้เป็นประจักษ์พยานต่อสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจ กล่าวคือ ช่วงเวลาที่น่าตื่นใจและเหมาะเจาะเมื่อสามัญชนในโลกแห่งความเป็นจริง ต้องปะทะกับสมาคมผู้เชี่ยวชาญซึ่งเป็นผู้กำหนดชะตากรรมร่วมกันของเราทั้งหมด

หนังสือเล่มนี้จึงเป็นเพียงบันทึกไม่ใช่ข้อสรุป เป็นบันทึกถึงจุดเริ่มต้นอันสำคัญยิ่ง ช่วงเวลาสำคัญของอเมริกาเหนือ ที่เต็มไปด้วยการประทุขึ้นอย่างปิติของกลุ่มคนตามท้องถนนในกรุงซีแอตเติล และกลั่นตัวเป็นการเคลื่อนไหวในบทใหม่ภายหลังจากเหตุการณ์โจมตีที่คาดไม่ถึงในวันที่ 11 กันยายน

ยังมีสิ่งอื่นอีกที่กระตุ้นให้ดิฉันรวมบทความเหล่านี้เข้าด้วยกัน เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ระหว่างพลิกดูข่าวตัดเพื่อค้นหาข้อมูลด้านสถิติที่หายไปชิ้นหนึ่ง ประเด็นและภาพบางอย่างได้ผุดขึ้นในใจอย่างต่อเนื่อง ภาพหนึ่งคือภาพของรั้ว ภาพที่ปรากฏขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าคือ เครื่องกีดขวางที่แบ่งแยกผู้คนออกจากสาธารณูปการที่เป็นของส่วนรวมแต่ดั้งเดิม ปิดกั้นพวกเขาจากที่ดินและน้ำอันจำเป็นอย่างมาก ปิดกั้นโอกาสที่จะเดินทางข้ามพรมแดน ปิดกั้นโอกาสในการแสดงความเห็นที่แตกต่างด้านการเมือง ปิดกั้นโอกาสในการเดินขบวนตามท้องถนน ทั้งยังปิดกั้นโอกาสที่นักการเมืองจะกำหนดนโยบายที่ตอบสนองความต้องการของคนที่เลือกพวกเขาเข้ามา

รั้วบางรั้วไม่อาจมองเห็นได้โดยง่าย แต่มันมีอยู่ รั้วในทางนามธรรมผุดขึ้นรอบโรงเรียนในประเทศแซมเบีย เมื่อมีการนำระบบการศึกษา "ที่เก็บค่าเล่าเรียนจากผู้เรียน" มาใช้ตามคำแนะนำของธนาคารโลก เป็นเหตุให้คนนับล้าน ๆ คนไม่มีโอกาสเข้าเรียน รั้วบางรั้วผุดขึ้นรายรอบครอบครัวกสิกรรายย่อยในแคนาดา เมื่อรัฐบาลกำหนดนโยบายที่ทำให้เกษตรกรรมรายย่อยกลายเป็นรายการฟุ่มเฟือย และไม่สมควรได้รับการสนับสนุน ในภาวะที่ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำและการเจริญขึ้นของระบบเกษตรอุตสาหกรรม

รั้วที่มองไม่เห็นแต่มีอยู่จริง ได้ผุดขึ้นรายรอบแหล่งน้ำสะอาดในกรุงโซเวโต้ เมื่อราคาน้ำพุ่งสูงขึ้นอันเป็นผลมาจากการแปรรูปเป็นเอกชน และประชาชนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องไปพึ่งพิงแหล่งน้ำที่มีมลภาวะ และยังมีรั้วที่ผุดขึ้นล้อมกรอบแนวคิดหลักของประชาธิปไตย เมื่อมีคนบอกประเทศอาร์เจนตินาว่า จะไม่ได้รับเงินกู้จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ นอกจากว่าจะต้องลดค่าใช้จ่ายด้านสังคมลง ส่งเสริมให้มีการแปรรูปทรัพยากรต่าง ๆ ให้เป็นของเอกชนมากขึ้น และยกเลิกการสนับสนุนอุตสาหกรรมท้องถิ่น

ข้อเสนอเหล่านี้เกิดขึ้นท่ามกลางภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจที่มีแต่จะเสื่อมลง อันเป็นผลเนื่องมาจากนโยบายเหล่านี้เอง แน่นอนว่ารั้วเหล่านี้มีความเก่าแก่เช่นเดียวกับลัทธิอาณานิคม "ปฏิบัติการอย่างขูดเลือดขูดเนื้อเช่นนี้ เหมือนกับการเอาคุกตะรางมาขังประเทศเสรี" Eduardo Galeno เขียนไว้ในหนังสือ Open Veins of Latin America ซึ่งเขาอ้างถึงเงื่อนไขการให้เงินกู้ของอังกฤษต่อประเทศอาร์เจนตินาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2367
รั้วมักเป็นส่วนหนึ่งของระบอบทุนนิยมเสมอมา ทั้งนี้เพื่อปกป้องทรัพย์สินจากการขโมย เพียงแต่รั้วเหล่านี้ทำหน้าที่ตามมาตรฐานที่ไม่เท่าเทียมกันสองประการ และเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นในช่วงเวลาปัจจุบัน ในทัศนะของระบบตลาดการเงินระหว่างประเทศ

การเวนคืนทรัพย์สินของบรรษัทถือเป็นบาปสูงสุดที่รัฐบาลสังคมนิยมจะกระทำได้ (ให้ลองไปถามนายฮูโก้ ชาเวสของประเทศเวเนซูเอล่า หรือนายฟีเดล คาสโตรของประเทศคิวบาดู) แต่การคุ้มครองด้านทรัพย์สินที่ให้แก่บรรษัทต่าง ๆ ภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรี กลับไม่คุ้มครองไปถึงพลเมืองชาวอาร์เจนตินาผู้ฝากเงินที่หามาทั้งชีวิตในธนาคาร Citibank, Scotiabank, และ HSBC เพียงชั่วพริบตาเดียว พวกเขาพบว่าเงินของตัวเองอันตรธานไปเฉย ๆ

ทั้งความเคารพต่อทรัพย์สินเอกชนของระบบตลาดที่ว่านี้ กลับไม่คุ้มครองลูกจ้างของบริษัทเอ็นรอนในสหรัฐอเมริกา ที่พบว่าพวกเขา ถูก "ตัดขาด" จากหุ้นในกลุ่มหลักทรัพย์ของกองทุนบำเหน็จบำนาญ ไม่สามารถขายหุ้นเหล่านั้นได้ ทั้ง ๆ ที่ในเวลาเดียวกัน ผู้บริหารบริษัทเอ็นรอนกำลังเทขายทำกำไรจากหุ้นของตัวเองอย่างเมามัน

ในขณะเดียวกัน รั้วบางรั้วที่จำเป็นอย่างยิ่งกลับถูกโจมตี ในภาวะรีบเร่งให้เกิดการแปรรูป รั้วที่เคยดำรงอยู่เพื่อแบ่งแยกพื้นที่สาธารณะ ออกจากพื้นที่เอกชนได้ถูกยกเลิกไปแทบจะหมดสิ้น อาทิเช่น รั้วที่เคยปิดกั้นไม่ให้มีการโฆษณาในโรงเรียน รั้วที่แยกระหว่างกิจการเพื่อค้ากำไรกับบริการด้านสุขภาพ หรือรั้วที่ปิดกั้นไม่ให้เจ้าของกิจการข่าว ใช้สื่อของพวกเขาเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง พื้นที่สาธารณะที่ควรได้รับการคุ้มครองทุกพื้นที่ถูกบีบให้เปิดออก เพียงเพื่อให้ระบบตลาดล้อมรั้วกลับเข้าไปใหม่

รั้วที่ปิดกั้นผลประโยชน์สาธารณะ ที่กำลังตกอยู่ใต้อันตรายรุนแรงอีกประการหนึ่งได้แก่ รั้วที่แบ่งแยกพืชดัดแปลงพันธุกรรมออกจากพืชธรรมชาติ บรรษัทเมล็ดพันธุ์ขนาดใหญ่มีแต่ความมักง่ายในการป้องกันไม่ให้เมล็ดพันธุ์ที่ผ่านการดัดแปลงพันธุกรรมปลิวเข้าไปสู่เรือกสวนไร่นาด้านข้าง และปล่อยให้มันเติบโตจนเกิดการผสมเกสรข้ามพันธุ์ในหลายแห่งทั่วโลก ประชาชนไม่มีทางเลือกอีกต่อไปที่จะได้กินอาหารปลอดจากพืชดัดแปลงพันธุกรรม ทั้งนี้เพราะอาหารทั้งหมดล้วนถูกปนเปื้อน

รั้วที่คุ้มครองผลประโยชน์สาธารณะดูจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่รั้วซึ่งจำกัดอิสรภาพของเรากลับเพิ่มจำนวนขึ้นมากมาย

เมื่อดิฉันเริ่มสังเกตว่า ภาพลักษณ์ของรั้วผุดขึ้นในระหว่างการสนทนา การอภิปรายถกเถียง และในงานเขียนของดิฉันเอง ดิฉันรู้สึกว่าภาพนั้นมีความสำคัญอย่างมาก อย่างไรก็ตาม การผนวกระบบเศรษฐกิจเข้าด้วยกันในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา มักดำเนินไปภายใต้คำมั่นสัญญาว่าจะลดกำแพงกีดกั้นต่าง ๆ ลง ทั้งจะให้มีการเคลื่อนไหวและมีเสรีภาพเพิ่มมากขึ้น แต่กระนั้น 12 ปีภายหลังการเฉลิมฉลองการพังทลายของกำแพงเบอร์ลิน เราก็ยังตกอยู่ภายในรั้วต่าง ๆ มากมาย เราถูกปิดกั้นจากกันและกัน ถูกปิดกั้นจากโลกและจากความสามารถที่จะกล้าคิดว่า ความเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้

กระบวนการด้านเศรษฐกิจที่ดำเนินไปภายใต้ถ้อยคำสวยหรูว่า "โลกาภิวัตน์" ได้แผ่ขยายครอบคลุมทุกปริมณฑลของชีวิต เปลี่ยนทุกกิจกรรมและทรัพยากรธรรมชาติให้กลายเป็นสินค้าที่ชั่งตวงวัดและเป็นเจ้าของได้ ดังที่นายเจอร์ราด กรีนฟิลด์ นักวิจัยด้านแรงงานแห่งฮ่องกงชี้ว่า ระบอบทุนนิยมในปัจจุบันไม่ใช่เป็นแค่การค้าแบบเดิม ๆ ซึ่งหมายถึงการขายสินค้าระหว่างประเทศได้มากขึ้น หากยังหมายถึงการพยายามตอบสนองความต้องการในการเติบโตของระบบตลาดอย่างไม่จำกัด ด้วยการเปลี่ยนสถานะของสิ่งที่เคยเป็น "สมบัติร่วม" และไม่อาจซื้อหาได้ของชุมชนให้กลายเป็น "สินค้า"

การรุกรานพื้นที่สาธารณะของภาคเอกชนได้แผ่ขยายเข้าไปยังภาคส่วนต่าง ๆ อย่างเช่น ด้านสุขภาพและการศึกษา ทั้งยังในด้านแนวคิด พันธุกรรม เมล็ดพันธุ์ ซึ่งในปัจจุบันกลายเป็นสิ่งที่ซื้อขายได้ มีการจดสิทธิบัตร และมีรั้วปกป้องคุ้มครอง ทั้งยังรวมถึงการรักษาแบบพื้นบ้าน พืชพรรณ น้ำ และแม้แต่เซลล์ต้นกำเนิด (stem cell) ของมนุษย์ เมื่อลิขสิทธิ์กลายเป็นสินค้าจำนวนมากที่สุดที่สหรัฐอเมริกาส่งออก (มากกว่าการส่งออกสินค้าจากโรงงานหรืออาวุธ) เราต้องทำความเข้าใจว่ากฎหมายการค้านานาชาติ ไม่ใช่เพียงมุ่งทำลายกำแพงการค้าบางอย่าง แต่อันที่จริงเป็นกระบวนการที่สร้างกำแพงใหม่ ๆ ขึ้นมาอย่างเป็นระบบ เพื่อคุ้มครองความรู้ เทคโนโลยี และทรัพยากรที่ถูกแปรรูปเป็นของเอกชน

ข้อตกลงสิทธิการค้าที่เกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา (Trade Related Intellectual Property Rights: TRIPS) ป้องกันไม่ให้ชาวนานำเมล็ดพันธุ์ที่จดสิทธิบัตรของบริษัทมอนซานโตมาเพาะปลูกซ้ำในฤดูกาลต่อไป และทำให้การผลิตยาสามัญราคาถูกของประเทศยากจนเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน เป็นเรื่องผิดกฎหมาย

โลกาภิวัตน์อยู่ในช่วงที่ถูกท้าทาย เพราะในพื้นที่อีกด้านหนึ่งของรั้วในจินตนาการเหล่านี้ ยังมีคนจริง ๆ ที่ถูกปิดกั้นโอกาสที่จะได้เข้าเรียน ที่จะได้ใช้บริการโรงพยาบาล ที่จะได้ทำงาน ที่จะได้ทำกินในพื้นที่ของตนเอง ที่จะมีที่อยู่อาศัย และมีชุมชน การแปรรูปขนานใหญ่และการลดการควบคุมจากภาครัฐ ส่งผลให้เกิดการรวมกลุ่มของคนที่ถูกผลักออกจากระบบ เป็นกลุ่มคนที่ไม่มีประโยชน์อีกต่อไป เป็นกลุ่มคนที่มีวิถีชีวิตซึ่งถูกหาว่า "ล้าหลัง" เป็นกลุ่มคนที่ไม่ได้รับการตอบสนองด้านความต้องการขั้นพื้นฐาน

รั้วที่แบ่งแยกสังคมเหล่านี้ทำได้กระทั่งกำจัดอุตสาหกรรมบางอย่างออกไปทั้งหมด ทั้งยังสามารถลบภาพของประเทศทั้งประเทศออกไปได้ด้วยซ้ำ ดังที่เกิดขึ้นกับประเทศอาร์เจนตินา ในกรณีของทวีปอัฟริกา ภาพของเกือบทั้งทวีปถูกลบเลือนออกไปจากการรับรู้ของโลก หลุดออกไปจากแผนที่ หลุดออกไปจากการนำเสนอข่าว และปรากฏขึ้นชั่วครั้งคราวเฉพาะเมื่อมีสงคราม เป็นเหตุให้คนทั้งโลกมองดูประชากรในทวีปนี้อย่างหวาดระแวงว่า พวกเขาอาจเป็นส่วนหนึ่งของกองทหารรับจ้าง อาจเป็นอาชญากรก่อการร้าย หรือเป็นพวกหัวรุนแรงต่อต้านอเมริกา

อันที่จริง เป็นที่น่าสนใจว่า ประชาชนที่ถูกรั้วกีดกั้นออกไปจากโลกาภิวัตน์เพียงส่วนน้อยเท่านั้น ที่หันมาใช้ความรุนแรงตอบโต้ พวกเขาส่วนมากเพียงแต่เคลื่อนย้ายตัวเองจากชนบทเข้าสู่เมือง จากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่ง และนั่นทำให้เขาต้องเผชิญหน้ากับรั้วในความเป็นจริงที่แตกต่างออกไป เป็นรั้วที่ประกอบด้วยโซ่ ลวดหนาม เสริมความแข็งแรงด้วยคอนกรีต และได้รับการคุ้มกันด้วยปืนกล

เมื่อใดก็ตามที่ดิฉันได้ยินวลี "การค้าเสรี" ดิฉันอดไม่ได้ที่จะคิดถึงภาพโรงงานที่ถูกปิดล้อมอย่างมิดชิดที่ดิฉันมีโอกาสไปเยือนในประเทศฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ซึ่งถูกล้อมรอบด้วยประตู หอคอย และทหาร เพื่อป้องกันไม่ให้มีการนำสินค้าที่ได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาลออกไป และไม่ให้นักจัดตั้งสหภาพแรงงานเข้ามา

ในทำนองเดียวกัน ดิฉันคิดถึงการเดินทางครั้งล่าสุดไปยังทะเลทรายทางตอนใต้ของประเทศออสเตรเลีย ที่ซึ่งดิฉันได้ไปเยือนศูนย์กักกันวูเมราอันอื้อฉาว ศูนย์แห่งนี้อยู่ห่างออกไป 500 กิโลเมตรจากเมืองที่ใกล้ที่สุด แต่เดิมวูเมราเป็นค่ายทหารที่ถูกเปลี่ยนเป็นค่ายกักกันผู้อพยพของเอกชน และเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทลูกของบริษัท Wackenhut ซึ่งเป็นบริษัทรักษาความปลอดภัยจากสหรัฐอเมริกา

ที่ค่ายกักกันวูเมรา ผู้อพยพชาวอัฟกานิสถานและอิรักหลายร้อยคน ผู้ซึ่งหลบหนีจากการกดขี่และระบอบเผด็จการในประเทศตนเอง มีความปรารถนาอย่างยิ่งที่จะให้โลกภายนอกได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังรั้ว จนพวกเขาต้องประท้วงด้วยการอดอาหาร ด้วยการกระโดดจากหลังคาของค่ายกักกัน ดื่มแชมพู และเย็บปากตัวเองด้วยเส้นด้าย

ทุกวันนี้ ในหน้าหนังสือพิมพ์เต็มไปด้วยรายงานอันน่ากลัวของผู้อพยพที่ต้องการลักลอบข้ามพรมแดน โดยหลบซ่อนอยู่ในกองสินค้าซึ่งมีเสรีภาพในการเดินทางมากกว่าที่พวกเขามีเสียอีก ในเดือนธันวาคม 2544 มีการพบศพผู้อพยพชาวโรมาเนียแปดคน ประกอบด้วยเด็กสองคน ในตู้สินค้าที่เต็มไปด้วยเฟอร์นิเจอร์สำนักงาน พวกเขาขาดอากาศหายใจระหว่างการเดินทางอันยาวนานในท้องทะเล

ในปีเดียวกัน มีการพบศพสองศพของผู้อพยพที่เมือง Eau Claire รัฐวิสคอนซิน ในเรือขนส่งสินค้าสุขภัณฑ์ ในปีก่อนหน้านั้น ผู้อพยพชาวจีน 54 คนจากมณฑลฝูเจี้ยนตายเพราะขาดอากาศหายใจ ในท้ายรถบรรทุกที่เมืองโดเวอร์ ประเทศอังกฤษ

รั้วต่าง ๆ เหล่านี้เชื่อมโยงกัน รั้วจริงที่เป็นลวดหนามเหล็กมีความจำเป็นเพื่อเสริมแรงให้กับรั้วในจินตนาการ ซึ่งเป็นรั้วที่ปิดกั้นไม่ให้ทรัพยากรและความมั่งคั่งตกไปถึงมือของผู้คนจำนวนมาก การปิดกั้นความมั่งคั่งสาธารณะเหล่านี้แทบเป็นไปไม่ได้เลย หากไม่มียุทธศาสตร์ควบคู่ที่มุ่งควบคุมการประท้วงและการเดินทางของสาธารณชน บริษัทรักษาความปลอดภัยมีกิจการใหญ่โตที่สุดในเมือง ซึ่งมีช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยมากที่สุด อย่างเช่น ในกรุงโจฮันเนสเบิร์ก ซาวเปาโล นิวเดลี พวกเขาขายประตูเหล็ก รถกันกระสุน ระบบเตือนภัยทันสมัยและให้บริการเช่ายามรักษาความปลอดภัยส่วนตัว

ชาวบราซิลใช้เงิน 4,500 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อรักษาความปลอดภัยส่วนตัวในแต่ละปี และจำนวนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 40,000 คน มีมากกว่าจำนวนเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงเกือบสี่เท่า ในสังคมที่แบ่งแยกกันสุดขั้วอย่างอัฟริกาใต้ ค่าใช้จ่ายด้านการรักษาความปลอดภัยส่วนตัวในแต่ละปีเพิ่มสูงถึง 1,600 ล้านเหรียญสหรัฐ มากกว่าสามเท่าของงบประมาณรัฐบาลในแต่ละปีที่ใช้สร้างที่อยู่อาศัยราคาย่อมเยาว์แก่ประชาชน

ในขณะนี้ ดูเหมือนอาคารรั้วรอบขอบชิดที่ปิดกั้นคนรวยจากคนจนเป็นเพียงองค์ประกอบเล็ก ๆ ของระบบรักษาความปลอดภัยระดับโลกที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยหาได้เป็นหมู่บ้านแห่งโลกที่มุ่งลดระดับรั้วและกำแพงลงอย่างที่สัญญาไม่ หากกลายเป็นเครือข่ายของป้อมปราการที่เชื่อมโยงกันด้วยเส้นทางการค้า ที่ได้รับการคุ้มครองด้วยกำลังทหารอย่างหนาแน่น

ถ้าภาพที่บรรยายมานี้ดูสุดขั้วเกินไป ก็คงเป็นผลมาจากการที่พวกเราส่วนใหญ่ในตะวันตกแทบไม่เคยเห็นรั้วและกองทหารเหล่านี้จริง ๆ โรงงานที่ปิดกั้นอย่างหนาแน่น และค่ายกักกันผู้อพยพต่างถูกขับออกไปยังพื้นที่ห่างไกล เพื่อไม่ให้มีโอกาสท้าทายต่อวาทศิลป์จอมปลอมที่บอกว่าโลกของเราไร้พรมแดน แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา รั้วบางรั้วได้ปรากฏชัดเจนขึ้นในสายตาของเรา โดยมักจะเกิดขึ้นอย่างเหมาะเจาะในช่วงที่มีการประชุมสุดยอด เพื่อพัฒนาแม่แบบโลกาภิวัตน์อันโหดร้าย

ดูเหมือนกลายเป็นเรื่องปกติเสียแล้ว เมื่อใดที่ผู้นำโลกต้องการพบปะเพื่อเจรจาข้อตกลงการค้าใหม่ ๆ พวกเขาจำเป็นต้องสร้างป้อมปราการยุคใหม่ขึ้นมา เพื่อปกป้องตนเองจากความกราดเกรี้ยวของสาธารณชน ด้วยการนำรถถังมาประจำการ ใช้ก๊าซน้ำตา ใช้เครื่องฉีดน้ำกำลังแรง และใช้สุนัขโจมตี

เมื่อเมืองควิเบกซิตี้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดแห่งทวีปอเมริกา ในเดือนเมษายน 2544 รัฐบาลแคนาดาได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ ด้วยการสร้างกรงขึ้นรายรอบไม่เฉพาะรอบศูนย์การประชุม แต่ล้อมบริเวณใจกลางเมืองทั้งหมดเอาไว้ และบังคับให้ผู้อยู่อาศัยแถวนั้นต้องแสดงหลักฐาน เพื่อที่จะได้รับอนุญาตให้เข้าไปยังบ้านของตนเองหรือสถานที่ทำงาน

อีกยุทธศาสตร์หนึ่งที่ได้รับความนิยมคือ การจัดประชุมสุดยอดในสถานที่ที่เดินทางไปถึงได้ยาก ดังการจัดประชุมกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมทั้งแปดเมื่อปี 2545 ในแถบที่ลึกเข้าไปในเทือกเขาร็อคกี้ของประเทศแคนาดา และการจัดประชุมองค์การค้าโลกปี 2544 ในประเทศกาตาร์ที่เป็นเผด็จการ และผู้นำประเทศออกกฎหมายห้ามชุมนุมประท้วงทางการเมืองทุกรูปแบบ

"สงครามต่อต้านการก่อการร้าย" ได้กลายเป็นรั้วอีกอย่างหนึ่งที่ผู้จัดการประชุมสุดยอดนำมาใช้ เพื่ออธิบายว่า เหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถอนุญาตให้มีการชุมนุมประท้วงในช่วงเวลาดังกล่าวได้ หรือที่แย่ไปกว่านั้นคือ การสร้างภาพโยงผู้ประท้วงที่อยู่ในกรอบของกฎหมายเข้ากับผู้ก่อการร้ายที่มุ่งทำลาย

แต่การเผชิญหน้าที่ถูกรายงานว่าเป็นประสบการณ์อันโหดร้าย มักเป็นประสบการณ์ของความครึกครื้นรื่นเริงเช่นกัน เป็นทั้งการทดลองทางเลือกใหม่ ๆ ในสังคมของการจัดตั้ง เท่า ๆ กับเป็นการวิพากษ์วิจารณ์แม่แบบที่ดำรงอยู่ ครั้งแรกที่ดิฉันได้เข้าร่วมในการประชุมเพื่อต่อต้านการประชุมสุดยอด ดิฉันจำได้ถึงความรู้สึกพลุ่งพล่านว่า มันเปรียบเสมือนประตูทางการเมืองกำลังเปิดออก เป็นช่องทาง เป็นหน้าต่าง หรือเป็น "รอยแยกในประวัติศาสตร์" ตามวลีที่งดงามของรองผู้บัญชาการมาร์กอส

ช่องที่เปิดกว้างนี้ไม่เกี่ยวอะไรเลยกับบานหน้าต่างที่แตกของร้านแมคโดนัลด์แถวนั้น ซึ่งมักเป็นภาพที่ช่างกล้องโทรทัศน์ชอบถ่ายให้เห็น แต่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง กล่าวคือเป็นความรู้สึกถึงโอกาส เป็นการระเบิดออกของอากาศบริสุทธิ์ เป็นออกซิเจนที่พุ่งขึ้นสู่สมองเรา การประท้วงเหล่านี้ ซึ่งอันที่จริงเป็นการเรียนรู้ระบบการเมืองโลกอย่างเข้มข้นและยาวนานนับสัปดาห์

การประชุมวางแผนยุทธศาสตร์ยามดึกดื่นซึ่งต้องมีการแปลพร้อมกันถึงหกภาษา กิจกรรมรื่นเริงที่มีทั้งดนตรีและละครเร่ ทั้งหมดนี้เหมือนการก้าวเข้าสู่อีกจักรวาลหนึ่ง เพียงชั่วข้ามคืน สถานที่แห่งนี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นเหมือนเมืองแห่งทางเลือกของโลก เมื่อความเร่งด่วนเข้ามาแทนที่การยอมจำนน เมื่อเครื่องหมายการค้าของบรรษัทต้องมีกองกำลังติดอาวุธคอยคุ้มครอง เมื่อประชาชนมีสิทธิเหนือรถยนต์ ศิลปกรรมมีอยู่เกลื่อนกลาด คนแปลกหน้าพูดจากันและความหวังที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างถอนรากถอนโคน ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นแค่ความคิดแผลง ๆ หรือพ้นยุคอีกต่อไป หากเป็นความคิดที่ดูจะสมเหตุผลมากที่สุดในโลก

แม้แต่มาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ก็ถูกนำมาประกอบในข้อความที่นักกิจกรรมสื่อออกไป กล่าวคือ รั้วที่ล้อมรอบการประชุมสุดยอดเหล่านั้น ถูกเทียบว่าเป็นเหมือนแม่แบบเศรษฐกิจที่กีดกันคนนับพันล้านคน ให้ตกสู่ความยากจนและแบ่งแยกให้โดดเดี่ยว การเผชิญหน้าเกิดขึ้นที่รั้ว แต่ไม่ใช่แค่การเผชิญหน้าระหว่างกระบองกับก้อนอิฐ หรือการตอบโต้กระสุนก๊าซน้ำตาด้วยไม้ตีฮอกกี้ หรือการต่อสู้กับเครื่องฉีดน้ำกำลังสูงด้วยปืนฉีดน้ำเด็กเล่น และการล้อเลียนเสียงครางหึ่ง ๆ ของเฮลิคอปเตอร์ด้วยฝูงเครื่องบินกระดาษ

- ในระหว่างการประชุมสุดยอดของทวีปอเมริกา ที่เมืองควิเบกซิตี้ นักกิจกรรมกลุ่มหนึ่งสร้างเครื่องยิงลูกหินแบบสมัยกลาง และเข็นเครื่องยิงลูกหินนี้ไปประชิดรั้วสูงสามเมตรที่สร้างล้อมรอบใจกลางเมืองไว้ และยิงตุ๊กตาหมีข้ามรั้วเข้าไป

- ที่กรุงปราก ในระหว่างการประชุมของธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ กลุ่ม Tute Bianche ซึ่งเป็นกลุ่มปฏิบัติการซึ่งหน้าจากอิตาลี ตัดสินใจไม่เผชิญหน้ากับตำรวจปราบจลาจลที่แต่งกายในชุดดำและใส่หน้ากากสกี ทั้งยังคาดผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ดูน่ากลัว พวกเขาเลือกเดินเป็นแผงเข้าไปหาแถวของเจ้าหน้าที่โดยใส่ชุดรัดรูปสีขาวที่ปะเต็มไปด้วยเศษยางรถยนต์และแผ่นโฟมเล็ก ๆ เป็นเสมือนการเผชิญหน้าระหว่าง"ดาร์ธเวเดอร์"กับ"กองทัพมนุษย์มิชเชลิน" เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถเอาชนะได้

- ในขณะเดียวกันในอีกที่หนึ่งของเมือง กองทัพของ "เทวดาสีชมพู" ที่สวมวิกผมของตัวตลก ใส่ชุดราตรีสีเงินกับสีชมพู และใส่รองเท้าส้นสูง ปีนป่ายข้ามกำแพงสูงชันที่ล้อมรอบศูนย์การประชุมเอาไว้

นักกิจกรรมเหล่านี้มีความมุ่งมั่นอย่างมาก ที่จะก่อกวนระเบียบเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ แต่ยุทธวิธีของพวกเขาสะท้อนถึงการปฏิเสธการต่อสู้เพื่อช่วงชิงอำนาจแบบเดิมอย่างสิ้นเชิง เป้าหมายของพวกเขา ซึ่งดิฉันเขียนถึงในตอนท้ายของหนังสือเล่มนี้ ไม่ได้เป็นไปเพื่อแย่งชิงอำนาจให้ตนเอง หากเพื่อท้าทายต่อหลักการของการรวมศูนย์อำนาจ

หน้าต่างในแบบอื่น ๆ ได้เปิดออกเช่นกัน กล่าวคือการวางแผนอย่างเงียบ ๆ เพื่อยึดคืนพื้นที่และทรัพย์สินที่ถูกแปรรูปให้เป็นของเอกชน ให้กลับมาเป็นประโยชน์ของภาคสาธารณะอีกครั้ง บางทีก็มาในรูปของนักศึกษาที่ปฏิเสธไม่ให้มีการโฆษณาในห้องเรียน หรือการแลกเปลี่ยนเพลงทางเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือการจัดตั้งศูนย์สื่ออิสระด้วยการแจกจ่ายซอฟแวร์โดยไม่คิดมูลค่า

บางครั้งก็มาในรูปของชาวนาไทยที่ปลูกผักปลอดสารพิษบนสนามกอล์ฟที่ได้รับการชลประทานมากเกินไป หรือการที่ชาวนาไร้ที่ดินในประเทศบราซิลตัดทำลายรั้วล้อมรอบที่ดินทิ้งร้าง และเปลี่ยนให้เป็นที่ดินทำกินในรูปของสหกรณ์การเกษตร บางครั้งก็เป็นกรณีคนงานชาวโบลิเวียที่ต่อต้านการแปรรูปแหล่งน้ำให้เป็นของเอกชน หรือชาวเมืองในอัฟริกาใต้ที่ต่อเชื่อมสายไฟฟ้าไปสู่ย่านชุมชนของตน พร้อมคำขวัญว่า พลังงานสู่ประชาชน

และเมื่อได้กรรมสิทธิ์เหล่านี้คืนมาแล้ว พื้นที่เหล่านี้ยังถูกจัดสร้างขึ้นใหม่ ในที่ประชุมของหมู่บ้าน ของเทศบาล ในศูนย์สื่ออิสระ ในป่าชุมชนและในสวนชุมชน พวกเขาสร้างวัฒนธรรมใหม่ของประชาธิปไตยทางตรงขึ้นมาอย่างมีพลัง มีรากฐานและได้รับการสนับสนุนจากการมีส่วนร่วมโดยตรง ซึ่งไม่ถูกสกัดกั้นและหมดกำลังใจไปกับการเป็นแต่ผู้ชมที่เฉื่อยชา

แม้จะมีความพยายามแปรรูปมากมาย แต่ก็มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่ต้องการถูกครอบครอง ดนตรี น้ำ เมล็ดพันธ์ กระแสไฟฟ้า แนวคิด สิ่งเหล่านี้ล้วนพยายามทำลายรั้วที่สร้างขึ้นมาล้อมรอบ สิ่งเหล่านี้มีธรรมชาติที่ต่อต้านการถูกล้อมกรอบ มีแนวโน้มที่จะหาทางรอดจากการควบคุม การผสมข้ามสายพันธุ์ การไหลลอดรั้ว และการหนีออกไปทางหน้าต่างที่เปิดอยู่

ในขณะที่เขียนนี้ ดิฉันไม่มีความเข้าใจอย่างชัดเจนว่า อะไรจะเกิดขึ้นจากพื้นที่ที่ได้รับการปลดปล่อยเหล่านี้ หรือสิ่งที่เกิดขึ้นมาจะมีความแข็งแรงมากพอที่จะต้านทานการโจมตีของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และทหารที่ทวีกำลังขึ้น พร้อมไปกับการจงใจทำให้เส้นแบ่งระหว่างผู้ก่อการร้ายกับนักกิจกรรมสับสนมากขึ้นทุกที คำถามว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปอยู่ในใจดิฉันเสมอ เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ซึ่งมีส่วนร่วมในการสร้างขบวนการนานาชาตินี้

แต่หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่การพยายามตอบคำถามดังกล่าว หากเป็นการนำเสนอทัศนะที่มีต่อช่วงชีวิตในยามเริ่มต้นของขบวนการที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ในเมืองซีแอตเติลและพัฒนาขึ้นตลอดช่วงเหตุการณ์ 11 กันยายนและภายหลังจากนั้น ดิฉันตัดสินใจไม่ปรับปรุงบทความเหล่านี้ใหม่ นอกเสียจากการแก้ไขเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งจะเห็นได้จากสัญลักษณ์วงเล็บเหลี่ยม ([]) หรืออาจมีการเขียนเพิ่มเติมถึงแหล่งอ้างอิง หรือการอธิบายบางประเด็นเพิ่มเติม

ดิฉันขอนำเสนอบทความเหล่านี้ (ส่วนใหญ่เรียงตามลำดับเวลา) อย่างที่มันเป็น นั่นคือ เป็นเสมือนไปรษณียบัตรจากช่วงเวลาอันน่าตื่นเต้น เป็นเสมือนบันทึกบทแรกของเรื่องราวอันเก่าแก่และดำเนินมาอย่างสืบเนื่อง บันทึกของผู้คนที่มุ่งทลายกำแพงที่พยายามปิดกั้นพวกเขา เพื่อเปิดหน้าต่างออก หายใจลึก ๆ และสัมผัสกับเสรีภาพ

พิภพ อุดมอิทธิพงศ์

 

 




บทความที่นำเสนอก่อนหน้านี้ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
หากนักศึกษาและสมาชิกท่านใตสนใจ
สามารถคลิกไปอ่านได้จากที่นี่...คลิกที่ภาพ

 

สารบัญข้อมูล : ส่งมาจากองค์กรต่างๆ

ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I สารบัญเนื้อหา 3
ประวัติ ม.เที่ยงคืน

สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง

webboard(1) I webboard(2)

e-mail : midnightuniv(at)yahoo.com

หากประสบปัญหาการส่ง e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com

ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม

 

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็ปไซคทั้งหมด กว่า 700 เรื่อง หนากว่า 10000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com

 

สมเกียรติ ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็ปไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com

 

 

 

คำโปรย คัดลอกมาจากบทความ เพื่อให้มองเห็นเนื้อความที่น่าสนใจบางส่วน
H
ภาพประกอบดัดแปลงเพื่อใช้ประกอบบทความฟรีสำหรับนักศึกษา จัดทำโดยมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน เพื่อให้ทุกคนที่สนใจศึกษาสามารถ เข้าถึงอุดมศึกษาได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายหรือค่าธรรมเนียมใดๆทั้งสิ้น
ขอขอบคุณ www.thaiis.com ที่ให้ใช้พื้นที่ฟรี

ข้อเสนอเหล่านี้เกิดขึ้นท่ามกลางภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจที่มีแต่จะเสื่อมลง อันเป็นผลเนื่องมาจากนโยบายเหล่านี้เอง แน่นอนว่ารั้วเหล่านี้มีความเก่าแก่เช่นเดียวกับลัทธิอาณานิคม "ปฏิบัติการอย่างขูดเลือดขูดเนื้อเช่นนี้ เหมือนกับการเอาคุกตะรางมาขังประเทศเสรี" Eduardo Galeno เขียนไว้ในหนังสือ Open Veins of Latin America ซึ่งเขาอ้างถึงเงื่อนไขการให้เงินกู้ของอังกฤษต่อประเทศอาร์เจนตินาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2367

รั้วมักเป็นส่วนหนึ่งของระบอบทุนนิยมเสมอมา ทั้งนี้เพื่อปกป้องทรัพย์สินจากการขโมย เพียงแต่รั้วเหล่านี้ทำหน้าที่ตามมาตรฐานที่ไม่เท่าเทียมกันสองประการ และเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นในช่วงเวลาปัจจุบัน ในทัศนะของระบบตลาดการเงินระหว่างประเทศ

R
related topic
091048
release date
คลิกไปหน้าสารบัญ(1)
คลิกไปหน้าสารบัญ
(2)
คลิกไปหน้าสารบัญ(3)
คลิกไปหน้าสารบัญ(4)
เพื่อดูบทความใหม่สุด
เว็ปไซต์เผยแพร่ความรู้
เพื่อสาธารณประโยชน์

หากนักศึกษาหรือสมาชิก ประสบปัญหาภาพและตัวหนังสือซ้อนกัน กรุณาลด text size ของ font ลง
จะช่วยแก้ปัญหาได้
การประชุมวางแผนยุทธศาสตร์ยามดึกดื่นซึ่งต้องมีการแปลพร้อมกัน
ถึงหกภาษา กิจกรรมรื่นเริงที่มีทั้งดนตรีและละครเร่ ทั้งหมดนี้เหมือนการก้าวเข้าสู่อีกจักรวาลหนึ่ง เพียงชั่วข้ามคืน สถานที่แห่งนี้ถูกเปลี่ยน
ให้เป็นเหมือนเมืองแห่งทางเลือกของโลก