The Midnight University
พจนานุกรมฉบับความรู้เที่ยงคืน
สารพันคำศัพท์ทวนกระแสสังคม(๑)
ภัควดี
วีระภาสพงษ์
นักวิชาการอิสระ
บทความเพื่อความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการเมืองทวนกระแส
หมายเหตุ
กลุ่มคำศัพท์เหล่านี้ได้รับมาจากผู้เขียน
ซึ่งได้รับการบรรจุให้เป็นส่วนหนึ่งของสารานุกรม ม.เที่ยงคืน
ทางกองบรรณาธิการเว็ปไซต์ขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้
(บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา)
บทความฟรี
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ 720
เผยแพร่บนเว็ปไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๔๘
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ 10.5 หน้ากระดาษ A4)
วิจัยคำศัพท์ภาษาอังกฤษร่วมสมัย
กองบรรณาธิการและสมาชิกมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
การลำดับคำศัพท์ตามตัวอักษร
A-Z (การค้นหาความหมาย
ให้คลิกที่คำศัพท์)
(หมายเหตุ: วงเล็บท้ายคำศัพท์ที่เป็นตัวเลข คือลำดับที่ได้รับการ
post เช่น world system theory(13) หมายถึงเป็นคำศัพท์ลำดับที่ 13)
หากค้นไม่พบคำศัพท์ที่ต้องการ
คลิกไปหน้าเว็ปเพจถัดไปจากที่นี่
สารพันคำศัพท์ทวนกระแสสังคม
คำศัพท์ลำดับที่
17
Praxis (Oxford Dictionary
of Philosophy)
เป็นคำที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยอริสโตเติล praxis เป็นหนึ่งในกิจกรรมพื้นฐานสามประการของมนุษย์
(อีกสองประการคือ theoria หรือทฤษฎี และ poi?sis หรือการผลิตด้วยความชำนาญ)
praxis ในความหมายของอริสโตเติลครอบคลุมถึงการกระทำโดยสมัครใจหรือมีเป้าหมาย
แม้ว่าบางครั้งยังรวมถึงเงื่อนไขที่การกระทำนั้นเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายในตัวมันเอง
ในความหมายของค้านท์ praxis คือการประยุกต์ทฤษฎีเพื่อใช้กับกรณีต่าง ๆ ที่เผชิญในประสบการณ์จริง แต่ยังเป็นความคิดที่มีความสำคัญทางจริยธรรมหรือเหตุผลเพื่อปฏิบัติ (practical reason) กล่าวคือ การใช้เหตุผลเพื่อค้นหาสิ่งที่สมควรซึ่งตรงกันข้ามกับสิ่งที่เป็นอยู่ การที่ค้านท์ให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติเหนือทฤษฎีมีอิทธิพลต่อนักปรัชญารุ่นหลังอย่างเช่น ฟิคเต้, เชลลิง และเฮเกล
แต่จวบจนมาถึงมาร์กซ์ แนวความคิดนี้จึงกลายเป็นแกนกลางของอุดมคติทางปรัชญาแนวใหม่เพื่อการเปลี่ยนแปลงโลกโดยอาศัยการปฏิวัติ การที่ทฤษฎีมีความสำคัญเป็นรองจากการปฏิบัติ เกี่ยวพันกับการที่เหตุผลไร้ความสามารถในการแก้ไขความขัดแย้ง สิ่งที่จะมาแทนที่เหตุผลในการขจัดความขัดแย้งคือความก้าวหน้าของประวัติศาสตร์ตามหลักวิภาษวิธี praxis ยังเกี่ยวข้องกับกิจกรรมอันแท้จริงซึ่งเปี่ยมไปด้วยความสำนึกในตัวเองและเป็นอิสระอย่างแท้จริง ตรงกันข้ามกับการใช้แรงงานอย่างผิดแปลกสภาวะภายใต้ระบบทุนนิยม
คำศัพท์ลำดับที่ 18
Entropy
ในทางฟิสิกส์ entropy คือหน่วยวัดพลังงานความร้อนของระบบที่สูญหายไปในกระบวนการเปลี่ยนไปสู่พลังงานกล
หรือหน่วยวัดความยุ่งเหยิงหรือความเสื่อมของระบบใดใด
C.P. Snow นักวิทยาศาสตร์และนักเขียนนวนิยายชาวอังกฤษ
สรุปกฎ 3 ข้อของทฤษฎีเทอร์โมไดนามิคส์ให้เข้าใจง่าย ๆ ว่า:
(i) คุณไม่มีทางชนะ (สสารและพลังงานไม่เคยหายไปไหน)
(ii) คุณไม่มีทางเสมอ (ไม่สามารถย้อนกลับไปสู่สภาพของ entropy เดิม เนื่องจากความยุ่งเหยิงหรือความเสื่อมย่อมเพิ่มขึ้นเสมอ)
(iii) คุณไม่มีทางเลิกเล่นเกมนี้ (จุดศูนย์สัมบูรณ์ไม่มีทางเกิดขึ้นได้)
กฎข้อที่สองของเทอร์โมไดนามิคส์กำหนดว่า ความเสื่อมของระบบใด ๆ มีแต่เพิ่มขึ้น ไม่มีทางลดลง และจักรวาลนี้จะมีการถ่ายเทพลังงานหมดเปลืองไปเรื่อยๆจนถึงจุดที่เรียกว่า 'heat death' เมื่ออุณหภูมิเท่ากันหมดทั่วทั้งจักรวาล
คำศัพท์ลำดับที่ 19
Club of Rome
สโมสรแห่งกรุงโรม (Club of Rome) คือสภาของผู้นำทางธุรกิจนานาชาติ ในปี 1972
คณะนักวิชาการจากสถาบันเทคโนโลยีแห่งแมสซาชูเซตส์ (Massachusetts Institute
of Technology) ตีพิมพ์หนังสือชื่อ The Limits to Growth เป็นงานวิจัยที่ได้ทุนสนับสนุนจากสโมสรแห่งกรุงโรมนี้
รายงานนี้สร้างสมมติฐานจากแบบจำลองที่คำนวณโดยคอมพิวเตอร์ โดยพิจารณาแนวโน้มของสังคมเศรษฐกิจระดับโลกหลาย ๆ แนวทาง รายงานนี้สรุปว่าโลกจะถึงจุดเสื่อมทราม ถ้าปล่อยให้จำนวนประชากร การเติบโตของอุตสาหกรรม และมลภาวะที่เพิ่มขึ้น ขยายตัวไปอย่างไม่หยุดยั้ง การผลิตอาหารจะไม่พอเพียงและเกิดการขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติที่จำเป็น
การหยุดยั้งแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นนี้คือ ต้องปฏิวัติความคิดเสียใหม่ เลิกงมงายกับมายาคติเรื่องความเติบโต ควบคุมการขยายตัวของประชากรให้เหลือศูนย์และลดการผลิตทางด้านอุตสาหกรรม เปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจจากระบบที่เน้นสินค้าของผู้บริโภคไปเป็นระบบที่เน้นการบริการ
คำศัพท์ลำดับที่ 20
The Enclosure Movement
ขบวนการล้อมรั้วที่ดิน (The Enclosure Movement) ในยุโรปสมัยก่อน ที่ดินที่ใช้ทำกสิกรรมไม่ได้เป็นกรรมสิทธิ์ของปัจเจกบุคคลคนใดโดยเฉพาะ
แต่มีลักษณะเป็นที่ดินส่วนรวมของชุมชน กสิกรแต่ละคนจะจับจองที่ดินคนละหย่อมเพื่อเพาะปลูก
แต่เมื่อพ้นฤดูเก็บเกี่ยว คนอื่น ๆ สามารถเข้ามาใช้ประโยชน์ในที่ดินผืนนั้นได้
เช่น เลี้ยงสัตว์ ฯลฯ
ขบวนการล้อมรั้วที่ดินเพื่อจับจองเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลในอังกฤษเริ่มต้นขึ้นในศตวรรษที่ 12 โดยพวกขุนนางบางกลุ่ม จนมาเสร็จสิ้นเบ็ดเสร็จในศตวรรษที่ 19 เมื่อที่ดินที่ทำกสิกรรมได้ทั้งหมดตกเป็นของส่วนบุคคล ในประเทศอื่น ๆ กระบวนการนี้เริ่มต้นและสิ้นสุดในระยะเวลาที่ต่างกันไป
คำศัพท์ลำดับที่ 21
Hayek, Friedrich August
Von 1899-
ฟรีดริช เอากุสต์ ฟอน เฮก (Hayek, Friedrich August Von 1899- ) นักเศรษฐศาสตร์ชาวออสเตรีย
เป็นอาจารย์สอนที่ London School of Economics ช่วงปี 1931-50 เขียนหนังสือชื่อ
The Road to Serfdom (1944) วิเคราะห์แนวโน้มไปทางสังคมนิยมของอังกฤษในสมัยนั้น
นอกจากนี้มีผลงานเขียนเกี่ยวกับประวัติของทุนนิยมและทฤษฎีทางการเงิน ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์คู่กับ
Gunnar Myrdal นักเศรษฐศาสตร์ชาวสวีเดน ในปี 1974 เฮกได้รับสมญานามว่าเป็นหนึ่งในบิดาของสำนักจารีตนิยมใหม่
(Neo-Conservative)
คำศัพท์ลำดับที่ 22
Nozick, Robert
โรเบิร์ต โนซิก (Nozick, Robert) นักปรัชญาการเมืองชาวอเมริกัน มีผลงานสำคัญชื่อ
Anarchy, State and Utopia (1974) แนวความคิดของเขามุ่งวิพากษ์วิจารณ์ John
Rawls เป็นสำคัญ ปรัชญาการเมืองของโนซิกวางพื้นฐานอยู่บนแนวความคิดเกี่ยวกับสิทธิ
เขาเห็นว่าถ้าความมั่งคั่งของปัจเจกบุคคลได้มาโดยวิธีที่ถูกกฎหมายและไม่ได้ละเมิดสิทธิของผู้อื่น
ก็ไม่มีใครมีสิทธิมาแบ่งความมั่งคั่งนั้นไปโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้เป็นเจ้าของ
แม้กระทั่งรัฐก็ตาม ดังนั้น การเก็บภาษีคนรวยเพื่อมาช่วยคนจนจึงเป็นข้ออ้างที่ไม่ชอบธรรม
เราสามารถขอความเห็นใจจากคนรวยได้ แต่ไม่มีใครมีหน้าที่ต้องช่วยเหลือคนอื่น
คำศัพท์ลำดับที่ 23
Isaac Deutscher (1907 - 1967) นักประวัติศาสตร์สายนิยมทรอตสกี้
เป็นผู้เขียนหนังสือประวัติศาสตร์เกี่ยวกับลัทธิทรอตสกี้ ลัทธิสตาลินและลัทธิเหมา
ดอยท์เชอร์เป็นชาวโปแลนด์ มาจากครอบครัวชนชั้นกลางชาวยิว เขาเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์โปแลนด์ในปี
ค.ศ. 1926 และต่อมาแตกหักทางความคิดกับพรรคเกี่ยวกับนโยบายที่มีต่อลัทธินาซีในเยอรมัน
รวมทั้งไม่เห็นด้วยกับการที่โคมินเทิร์นยอมรับแกนนำที่มาจากสายนิยมสตาลิน ดอยท์เชอร์ถูกพรรคคอมมิวนิสต์โปแลนด์ขับออกในปี
ค.ศ. 1932
เขาย้ายไปอยู่ลอนดอนในปี
ค.ศ. 1939 โดยทำงานเป็นนักหนังสือพิมพ์ให้ The Economist เขาเขียนหนังสือเกี่ยวกับประวัติชีวิตของทรอตสกี้
คือ The Prophet Armed (1952) The Prophet Unarmed (1959) และ The Prophet
Outcast (1963) ในช่วงปลายของชีวิต เขาหันมาเขียนประวัติของลัทธิเหมา ดอยท์เชอร์วิพากษ์วิจารณ์ลัทธิสตาลินและลัทธิเหมาเป็นอย่างมาก
ในทัศนะของเขา ทั้งสองลัทธินี้เป็นการบิดเบือนสังคมนิยม เขาวิจารณ์ว่ารัสเซียและจีนเป็น
"รัฐชนชั้นแรงงาน" ไม่ใช่สังคมนิยม ผลงานที่มีชื่อเสียงอีกชิ้นหนึ่งของเขาคือ
On Socialist Man เป็นงานเขียนทางด้านปรัชญา
คำศัพท์ลำดับที่ 24
Immiseration theory
แนวความคิดเกี่ยวกับ "สภาวะเลวร้ายลงอย่างต่อเนื่องของชนชั้นแรงงาน"
เป็นแนวคิดที่เดิมทีมาจากริคาร์โด ตามทัศนะของริคาร์โด เมื่อใดที่ค่าแรงขั้นต่ำอยู่เหนือระดับการยังชีพ
ชนชั้นแรงงานจะมีลูกมากขึ้น ทำให้กำลังแรงงานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ไปจนถึงจุดที่ค่าแรงขั้นต่ำลดลงมาอยู่ในระดับของการยังชีพ
มาร์กซ์รับเอาแนวความคิดนี้ของริคาร์โดมา แต่ปรับเปลี่ยนแนวความคิดใหม่ โดยเห็นว่าค่าแรงในระดับยังชีพเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดด้วยปัจจัยทางสังคม-ประวัติศาสตร์มากกว่า
สภาพความเป็นอยู่ที่ดีของชนชั้นแรงงานในซีกโลกเหนือในช่วงศตวรรษที่
20 ทำให้แนวความคิดเกี่ยวกับสภาวะเลวร้ายลงอย่างต่อเนื่องนี้เกือบจะถูกปฏิเสธและละทิ้งไปโดยสิ้นเชิง
แต่หลังจากลัทธิทุนนิยมขยายตัวกลายเป็นลัทธิเสรีนิยมใหม่ สภาพที่เลวร้ายลงเรื่อย
ๆ ของแรงงานในโลกที่สามทำให้ทฤษฎีนี้ถูกรื้อฟื้นกลับมากล่าวถึงกันอีกครั้ง
กล่าวอย่างคร่าว ๆ ทุนนิยมทำให้เกิดสภาวะเลวร้ายลงอย่างต่อเนื่องของชนชั้นแรงงานเพราะ
1. แนวโน้มที่จะลดต้นทุนด้วยการลดการจ้างงานเป็นอันดับแรก
2. ใช้เครื่องจักรที่ทำให้ประสิทธิภาพการผลิตดีขึ้นและใช้แรงงานน้อยลง
3. บีบคั้นให้แรงงานที่จ้างอยู่ให้มีประสิทธิภาพการผลิตสูงกว่าเดิม
4. ใช้แรงงานราคาถูก เช่น เด็ก ผู้หญิง นักโทษ ฯลฯ
5. ใช้อำนาจรัฐกีดกันไม่ให้มีการก่อตั้งสหภาพ
6. จ้างแรงงานชั่วคราวหรือทำสัญญาเหมาช่วง
ทุนนิยมมีแนวโน้มที่จะทำให้เกิด
"ประชากรส่วนเกิน" ในตลาดแรงงานขึ้นมา กล่าวคือ แรงงานสำรองจำนวนมหาศาลที่ตกอยู่ในภาวะว่างงานเรื้อรัง
ลัทธิเสรีนิยมใหม่ยังทำให้เกิดการแข่งขันอย่างรุนแรงระหว่างอุตสาหกรรมในประเทศกับสินค้าที่ผลิตในต่างประเทศ
นอกจากนี้ ลัทธิเสรีนิยมใหม่ยังพยายามผลักภาระต้นทุนออกไปให้พ้นตัวมากที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนทางด้านสวัสดิการแรงงาน โครงสร้างพื้นฐาน สิ่งแวดล้อม ฯลฯ
สภาพการณ์เช่นนี้เองที่ทำให้ชนชั้นแรงงาน โดยเฉพาะในโลกที่สาม มีสภาพที่เลวร้ายลง
จนแนวคิดเกี่ยวกับ immiseration ถูกรื้อฟื้นกลับมาอีก
คำศัพท์ลำดับที่
25
Sub-proletariat
: ชนชั้นอนุกรรมาชีพ ชนชั้นอนุกรรมาชีพเป็นชนชั้นที่เกิดขึ้นในโลกทุนนิยมสมัยใหม่
ชนชั้นนี้เป็นแรงงานรับจ้างตามโรงงานอุตสาหกรรมและภาคบริการ โดยทำงานไม่เต็มเวลาหรือทำงานชั่วคราว
เช่น พนักงานในร้านแมคโดนัลด์ พนักงานตามร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด หรือคนที่รับงานเป็นรายชิ้นมาทำที่บ้าน
แรงงานชนชั้นนี้ต้องดำเนินชีวิตโดยขาดหลักประกันในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าหลักประกันว่าจะมีงานทำถาวร
สวัสดิการหรือสิทธิแรงงานขั้นพื้นฐาน
คำศัพท์ลำดับที่ 26
Piqueteros
ความหมายตรงกับภาษาอังกฤษคือ picketers (คำเรียกนักประท้วงที่ใช้วิธีปิดล้อมทางเข้าออก)
คือชื่อของหนึ่งในขบวนการสังคมใหม่ในอาร์เจนตินา ขบวนการปีเกเตโรส์เป็นขบวนการของคนว่างงานหรือกึ่งว่างงานหลายแสนคน
จัดตั้งเป็นองค์กรแบบกระจายอำนาจในลักษณะของ "สหพันธ์" โดยมีเป้าหมาย
วัตถุประสงค์ทางการเมืองและยุทธศาสตร์ที่แตกต่างกันไป แต่สิ่งที่ขบวนการปีเกเตโรส์มีร่วมกันคือ
พวกเขาเป็นตัวแทนของคนจนว่างงานในชุมชนแออัดที่ได้รับผลกระทบจากภาวะล่มสลายของภาคอุตสาหกรรม
พวกเขาเรียกร้องการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าด้วยวิธีการปิดถนน แต่บางส่วนในขบวนการนี้
พัฒนาไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์ระบบเศรษฐกิจในระดับโครงสร้าง
คำศัพท์ลำดับที่ 27
Merry Pranksters
กลุ่มคนที่รวมตัวกันโดยมีศูนย์กลางอยู่ที่นักเขียนนวนิยายชาวอเมริกัน เคน เคซีย์
(Ken Kesey) ผู้เขียนนวนิยายเรื่อง บ้าก็บ้าวะ (One Flew Over the Cuckoo's
Nest) ในช่วงทศวรรษ 1960 คนกลุ่มนี้เดินทางไปทั่วสหรัฐอเมริกาด้วยรถโรงเรียนที่ระบายด้วยสีฉูดฉาดในสไตล์ไซคีเดลิก
(psychedelic)
"ชาวพิเรนผู้ครื้นเครง" กลุ่มนี้ยึดมั่นในกัญชาและสารกระตุ้นแอลเอสดีเป็นสรณะ ตลอดทางที่พวกเขาผ่านไป พวกเขาสามารถชักชวนผู้คนให้หันมานิยมวิถีชีวิตแบบเดียวกันนี้ได้ไม่น้อย และเป็นจุดกำเนิดของวงดนตรีชื่อดังในยุคนั้นคือ The Grateful Dead พวกเขาเป็นเสมือนตัวแทนหนึ่งของวัฒนธรรมทวนกระแสแบบฮิปปี้ในยุคนั้น การเดินทางของพวกเขาดำเนินไปจนถึงปี ค.ศ. 1969 โดยมีจุดหมายปลายทางที่เทศกาลวู้ดสต๊อก
คำศัพท์ลำดับที่ 28
Culture-jamming
: การยำทางวัฒนธรรม คำนี้เป็นคำที่ใช้กันในขบวนการนักกิจกรรมรุ่นใหม่ ปฏิบัติการยำทางวัฒนธรรมคือ
การใช้รูปแบบและวิธีการของสื่อมวลชนกระแสหลักมาวิพากษ์วิจารณ์ตัวสื่อมวลชนเอง
โดยเฉพาะในด้านการโฆษณา แนวคิดของกลุ่มนี้ก็คือ การโฆษณาในยุคนี้ไม่ต่างจากการโฆษณาชวนเชื่อ
มันไม่มีเหตุผล การวิจารณ์มันด้วยเหตุผลจึงใช้การไม่ได้ แต่ต้องใช้วิธีการที่ไม่มีเหตุผลพอ
ๆ กันมาวิพากษ์วิจารณ์มัน
คำว่า "culture jamming" มาจากคำว่า radio jamming ซึ่งหมายถึงการลักลอบนำคลื่นวิทยุมาใช้เพื่อการสื่อสารอย่างอิสระ หรือรบกวนการใช้คลื่นวิทยุในเชิงธุรกิจ การยำทางวัฒนธรรมถือเป็นรูปแบบหนึ่งของการทำกิจกรรมและการเคลื่อนไหวของขบวนการต่อต้านขัดขืน รูปแบบของมันมีตั้งแต่การนำโลโก้หรือคำขวัญของสินค้ามาล้อเลียนในเชิงวิพากษ์วิจารณ์ การแสดงศิลปะแบบเพอร์ฟอร์มานซ์ การเขียนฝาผนัง การแฮ็กทางอินเตอร์เน็ต ฯลฯ Kalle Lasn ผู้ก่อตั้งนิตยสาร AdBusters เคยเขียนหนังสือชื่อ Culture Jam แต่เขาไม่ใช่คนที่คิดค้นคำนี้เป็นคนแรก
คำศัพท์ลำดับที่ 29
Adbusters
นิตยสารของกลุ่มนักออกแบบและนักกิจกรรมที่มีเป้าหมายในการล้อเลียนโฆษณาและการสร้างภาพของ
"แบรนด์เนม" ชื่อดังต่าง ๆ เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงอันตรายของลัทธิบริโภคนิยมและความคลั่งไคล้ในการโฆษณา
เว็บไซท์: http://www.adbusters.org/
คำศัพท์ลำดับที่ 30
Black Flag
: ธงดำ (Black Flag) เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของลัทธิอนาธิปไตย นอกเหนือจากสัญลักษณ์อักษร
A ในวงกลมสีแดง แต่ ธงดำ จะเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้กันมากกว่า
สีดำ เป็นสัญลักษณ์ของลัทธิอนาธิปไตยมาตั้งแต่ยุคทศวรรษ 1880 ส่วนต้นกำเนิดมีข้อสันนิษฐานว่า สัญลักษณ์ ธงดำ เริ่มมาจากตอนที่อนาธิปไตยต้องการแยกตัวเองให้ชัดเจนจากลัทธิสังคมนิยมซึ่งใช้ ธงแดง เป็นสัญลักษณ์
หนังสือพิมพ์ของชาวอนาธิปไตยฝรั่งเศสใช้ชื่อว่า Le Drapeau Noir แปลว่า ธงดำ มีปรากฏในปี ค.ศ. 1882
- Black International เป็นชื่อของกลุ่มอนาธิปไตยในลอนดอน ซึ่งก่อตั้งในปี ค.ศ. 1881
- ในการปฏิวัติรัสเซีย ปี ค.ศ. 1917 กองกำลังกลุ่มอนาธิปไตยเรียกตนเองว่า Black Army และธงดำเป็นธงประจำทัพ
- เอมีเลียโน ซาปาตา ผู้นำการปฏิวัติเม็กซิกันในยุคทศวรรษ 1910 ใช้ธงดำมีรูปกะโหลกกับกระดูกไขว้และพระแม่มารี
- ในญี่ปุ่น กลุ่มอนาธิปไตยออกวารสารชื่อ Kurohata (ธงดำ) ในปีค.ศ. 1945 และ
- ในการประท้วงครั้งใหญ่ของนักศึกษาฝรั่งเศส เมื่อเดือนพฤษภาคม 1968 พวกเขาก็ใช้ธงดำและธงแดงเป็นสัญลักษณ์
คำศัพท์ลำดับที่ 31
Boston Tea Party
: การประท้วงของชาวเมืองบอสตันต่อรัฐบาลอังกฤษ ในสมัยที่สหรัฐอเมริกายังเป็นอาณานิคมของอังกฤษ
การประท้วงครั้งนี้กลายเป็นตำนานที่เชื่อกันว่า เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่นำไปสู่การปฏิวัติอเมริกันและการก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกา
ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์ครั้งนี้ มีการคว่ำบาตรไม่ซื้อใบชาจากจีนที่นำเข้ามาขายในอเมริกา โดยบริษัทบริติชอีสต์อินเดีย เป็นครั้งแรกที่ผู้หญิงอเมริกันแสดงบทบาทอย่างมากในเรื่องนี้ ชาวอเมริกันหันไปซื้อใบชาจากผู้ลักลอบนำเข้าที่เป็นชาวอเมริกันแทน ทำให้บริษัทบริติชอีสต์อินเดียประสบภาวะขาดทุน รัฐบาลอังกฤษพยายามเข้ามาช่วย โดยยกเว้นภาษีให้แก่บริษัท ทำให้บริษัทสามารถขายใบชาตัดราคาได้ แต่เรือขนใบชาของบริษัทไม่สามารถเข้าจอดเทียบที่เมืองท่าแห่งไหนในอเมริกา นอกจากที่บอสตัน
ในวันที่ 16 ธันวาคม 1773 ชาวเมืองบอสตันกลุ่มหนึ่งประมาณ 60 คน บุกขึ้นไปทำลายใบชาทั้งหมดในเรือสามลำ โดยไม่ได้ทำลายข้าวของอื่นหรือทำร้ายใคร แต่การกระทำครั้งนี้ทำให้ชาวอเมริกันบางคนไม่พอใจ อาทิเช่น เบนจามิน แฟรงคลิน ถึงขนาดเสนอจะชดเชยค่าใบชาที่ถูกทำลายด้วยเงินส่วนตัวของเขาเอง สุดท้าย บริษัทบริติชอีสต์อินเดียต้องเลิกนำใบชาเข้าไปขายในอเมริกา และแก้ปัญหาหนี้สินด้วยการนำฝิ่นเข้าไปขายที่จีนแทน จนกลายเป็นชนวนที่ทำให้เกิดสงครามฝิ่นครั้งแรกขึ้น
คำศัพท์ลำดับที่ 32
Liberation Theology
: เทววิทยาแห่งการปลดปล่อย (Liberation Theology) เป็นขบวนการทางศาสนาที่เกิดขึ้นในศาสนจักรโรมันคาทอลิกช่วงปลายศตวรรษที่
20 โดยมีศูนย์กลางอยู่ในละตินอเมริกา ขบวนการนี้พยายามปรับศรัทธาในศาสนาคริสต์ให้หันมาช่วยเหลือคนจนและผู้ถูกกดขี่ทั้งในด้านการเมืองและเศรษฐกิจ
โดยสนใจปัญหาในเชิงโครงสร้างที่ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมทางสังคมและพยายามเข้าไปมีส่วนร่วมในการผลักดันเพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างนั้น
นักเทววิทยาแห่งการปลดปล่อยเชื่อว่า พระเจ้าสำแดงวจนะผ่านคนยากไร้เป็นพิเศษ และชาวคริสต์จะเข้าใจพระคัมภีร์ไบเบิลได้อย่างถ่องแท้ ก็ต่อเมื่อพิจารณาผ่านสายตาของคนยากคนจนเท่านั้น ขบวนการนี้เห็นว่า ศาสนจักรโรมันคาทอลิกในละตินอเมริกามีภารกิจที่แตกต่างจากในยุโรป กล่าวคือ ศาสนจักรในละตินอเมริกา เป็นศาสนจักรของคนยากจนและเพื่อคนยากจน
เพื่อสร้างศาสนจักรให้บรรลุวัตถุประสงค์นี้ ขบวนการจึงก่อตั้ง communidades de base หรือชุมชนฐานราก ชุมชนดังกล่าวประกอบด้วยสมาชิกชาวคริสต์ท้องถิ่น 10-30 คน รวมตัวกันศึกษาพระคัมภีร์ไบเบิล และช่วยกันแก้ปัญหาของคนในชุมชน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการขาดแคลนอาหาร น้ำ ท่อระบายน้ำ ไฟฟ้า ฯลฯ ชุมชนแบบนี้ผุดขึ้นมากมายทั่วทั้งละตินอเมริกา
ต้นกำเนิดของขบวนการเทววิทยาแห่งการปลดปล่อย มักเชื่อกันว่ามีจุดเริ่มต้นที่การประชุมบิชอปในละตินอเมริกาครั้งที่สองเมื่อปี ค.ศ. 1968 ในการประชุมครั้งนี้ คณะบิชอปออกเอกสารยืนยันสิทธิของคนยากไร้ และกล่าวโทษประเทศอุตสาหกรรมว่ากอบโกยความมั่งคั่งไปจากโลกที่สาม บุคคลสำคัญของขบวนการนี้มีอาทิเช่น
- กุสตาโว กูเตียร์เรซ พระและนักเทววิทยาของเปรู ผู้เขียนหนังสือชื่อ Teologia de la liberacion
(A Theology of Liberation, 1971)
- อาร์คบิชอปออสการ์ อาร์นุลโฟ โรเมโร แห่งเอลซัลวาดอร์ (ถูกลอบสังหารในปี ค.ศ. 1980 โดยกองกำลังติดอาวุธของฝ่ายขวา)
- เลโอนาร์โด บอฟฟ์ นักเทววิทยาชาวบราซิล, อาร์คบิชอปเอลเดอร์ กาเมรา แห่งบราซิล เป็นต้น
ในช่วงทศวรรษ 1990 คริสต์จักรวาติกันภายใต้พระสันตะปาปาจอห์นปอลที่สอง พยายามสกัดอิทธิพลของขบวนการด้วยการแต่งตั้งพระราชาคณะที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยมให้มาดำรงตำแหน่งในบราซิล
และในประเทศอื่น ๆ ของละตินอเมริกา
คำศัพท์ลำดับที่ 33
First Quarter
Storm : พายุเมื่อขึ้น
8 ค่ำ (First Quarter Storm) การประท้วงครั้งใหญ่ในฟิลิปปินส์เมื่อปี ค.ศ.
1970 โดยนักศึกษา คนงานและชาวนา รวมตัวกันเดินขบวนในเมืองมะนิลาเพื่อประท้วงราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น
การคอร์รัปชั่นของรัฐบาลและปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ การเดินขบวนจบลงด้วยการนองเลือดเมื่อรัฐบาลใช้กำลังปราบปรามผู้ประท้วงอย่างรุนแรง
คำศัพท์ลำดับที่ 34
Rigoberta Menchu
: ริโกเบอร์ตา เมนชู (Rigoberta Menchu) นักต่อสู้ทางสังคมเพื่อสิทธิสตรีและชาวพื้นเมืองในกัวเตมาลา
เกิดเมื่อวันที่ 9 มกราคม 1959 ในครอบครัวชาวอินเดียนแดงเผ่ามายาที่ยากจน เธอเริ่มเข้าไปมีบทบาทในกิจกรรมปฏิรูปสังคมของโบสถ์คาทอลิก
และขบวนการสิทธิสตรีตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น การที่ครอบครัวของเธอเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวทางสังคม
ทำให้พ่อ แม่ และพี่ชายของเธอถูกจับ ทรมานและฆ่าตายอย่างทารุณ
ริโกเบอร์ตายิ่งมุ่งมั่นในการทำกิจกรรม เธอเรียนพูดภาษาสเปนและภาษาอินเดียนแดงเผ่าอื่น ๆ เพิ่มเติม มีบทบาทในการประท้วงครั้งใหญ่ ๆ หลายครั้ง และทุ่มเทให้การศึกษาแก่ชาวนาอินเดียนแดงเพื่อต่อต้านการกดขี่ของรัฐบาลเผด็จการ ในปี 1981 ริโกเบอร์ตาต้องลี้ภัยไปอยู่ประเทศเม็กซิโก และเคลื่อนไหวต่อสู้เพิ่อสิทธิของชาวอินเดียนแดงจากนอกประเทศ ในปี 1983 เธอเล่าประวัติชีวิตของตนเองออกมาเป็นหนังสือชื่อ I, Rigoberta Menchu
คำศัพท์ลำดับที่ 35
Zapatista :
ซาปาติสต้า (Zapatista) เป็นกองทัพปฏิวัติที่ก่อตั้งขึ้นในแคว้นเชียปาส ประเทศเม็กซิโก
ประกอบด้วยชาวอินเดียนแดงพื้นเมืองเผ่ามายาเป็นส่วนใหญ่ โดยมีโฆษกหรือวาจกของขบวนการเป็นปัญญาชน
อดีตนักปฏิวัติมาร์กซิสต์จากในเมืองและเป็นคนผิวขาว เขาใช้ชื่อสมญานามว่า รองผู้บัญชาการมาร์กอส
และใส่หน้ากากสกีปิดโฉมหน้าที่แท้จริงไว้เสมอ ไม่เคยมีใครรู้ชื่อที่แท้จริงของเขา
ขบวนการซาปาติสต้าก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1983 แต่การต่อสู้ของชาวอินเดียนแดงในแถบถิ่นนี้สามารถสืบย้อนกลับไปได้หลายร้อยปี ในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1994 ซาปาติสต้าประกาศสงครามกับรัฐบาลเม็กซิกัน อันเป็นวันเดียวกับที่มีการประกาศใช้ข้อตกลงการค้าเสรีเขตอเมริกาเหนือ (NAFTA) ดังที่ซาปาติสต้ากล่าวอยู่บ่อย ๆ ว่า "นาฟต้าคือคำพิพากษาประหารชีวิตพวกเรา" มีการปะทะกับกองทัพเม็กซิกัน ซึ่งสังหารหมู่ประชาชนชาวพื้นเมืองไปเป็นจำนวนมาก รวมทั้งผู้หญิงและเด็ก
ต่อมารัฐบาลเม็กซิกันยอมเจรจาหยุดยิง ให้คำมั่นสัญญาว่าจะใช้นโยบายที่เอื้อต่อวิถีชีวิตที่ดีขึ้นของชาวพื้นเมือง ฯลฯ แต่ก็ยังมีการปะทะกันและการสังหารหมู่ชาวพื้นเมืองอยู่เนือง ๆ กระนั้นก็ตาม รัฐบาลเม็กซิกันไม่สามารถปราบกองกำลังปฏิวัติในเชียปาสลงได้
ในปี ค.ศ. 2000 เม็กซิโกได้ประธานาธิบดีคนใหม่คือ บีเซนเต้ ฟอกซ์ (Vicente Fox) ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2001 ทัพซาปาติสต้าเริ่มออกเดินทางครั้งสำคัญเพื่อเข้ามาในเมืองเม็กซิโกซิตี เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลปฏิบัติตามข้อตกลงก่อนหน้านี้ คณะผู้บัญชาการ รวมทั้งรองผู้บัญชาการมาร์กอสเดินทางเข้ามาถึงเมืองเม็กซิโกซิตีในวันที่ 11 มีนาคม มีประชาชนออกมาต้อนรับถึง 250,000 คน
การเดินทางครั้งนี้เป็นเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ นอกจากชาวเม็กซิกันที่แห่กันออกมาต้อนรับแล้ว ยังมีนักกิจกรรมและนักเคลื่อนไหวจากประเทศอื่นจำนวนมากเข้ามาร่วมขบวน ส่วนหนึ่งเพื่อเป็น "เกราะมนุษย์" ไม่ให้แกนนำของซาปาติสต้าถูกลอบสังหารด้วย
ขบวนการซาปาติสต้าได้รับความสนใจในหลายแง่มุม ขบวนการนี้เป็นกองทัพปฏิวัติของชาวพื้นเมืองก็จริง แต่มีวิธีคิดในลักษณะโลกาภิวัตน์ ไม่ได้มุ่งเรียกร้องแต่ปัญหาเฉพาะถิ่น ยังวิพากษ์วิจารณ์ระบบเสรีนิยมใหม่ และหลายครั้งก็ส่งแถลงการณ์ไปเข้าร่วมกับการประท้วงในระดับนานาชาติ
ซาปาติสต้ารู้จักใช้เครือข่ายอินเตอร์เน็ตให้เป็นประโยชน์แก่ขบวนการของตนเอง มีการปรับตัวยืดหยุ่นไปตามสถานการณ์ แม้ว่าจะเป็นกองกำลังติดอาวุธ แต่ก็ไม่ปฏิเสธหนทางสันติวิธีและการเจรจา การจัดตั้งภายในองค์กรเน้นระบบประชาธิปไตยระดับรากหญ้า อาศัยการประชุมและมติที่ประชุมเป็นเกณฑ์ตัดสิน ไม่มีผู้นำแบบหัวขบวน ไม่มีการบังคับบัญชาตามลำดับชั้น ไม่มุ่งยึดอำนาจรัฐ เน้นสิทธิสตรีและความเสมอภาคระหว่างเพศ แนวทางของซาปาติสต้าคือการผสมผสานญาณทัศนะแบบชาวพื้นเมืองกับลัทธิมาร์กซิสต์ แล้วกลับหัวกลับหางทุกอย่างเสียใหม่
รองผู้บัญชาการมาร์กอสจัดว่าเป็นบุคคลไร้หน้า ที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่ง แถลงการณ์ที่เขาเขียนมักมีลักษณะเป็นบทกวี นิทานพื้นบ้าน อารมณ์ขันแบบเจ็บแสบ งานเขียนของเขาถูกนำมารวบรวมเป็นหนังสือหลายเล่ม และได้รับการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ รวมทั้งหนังสือสำหรับเด็กเล่มหนึ่งชื่อ Story of the Colors ซึ่งได้รับรางวัล Firecracker Alternative Book Award ส่วนเล่มที่มีชื่อเสียงคือ Our Word is Our Weapon
ความน่าทึ่งของขบวนการซาปาติสต้าทำให้แคว้นเชียปาสและป่าลากันดอน ซึ่งเป็นที่ตั้งของขบวนการ กลายเป็นเสมือน "เมกกะ" อีกแห่งหนึ่งที่นักเคลื่อนไหวทางสังคมของโลกตะวันตกจาริกไปแสวงหาแนวทางการต่อสู้ในโลกยุคใหม่
ข้อมูลเกี่ยวกับซาปาติสต้าที่เป็นภาษาไทย
เท่าที่ทราบมีดังนี้คือ
1. นิตยสาร ฟ้าเดียวกัน ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 มกราคม-เมษายน 2546
2. นาโอมี ไคลน์, "ขบถในเชียปาส" รั้วแห่งการกักกัน หน้าต่างแห่งโอกาส
(พิภพ อุดมอิทธิพงศ์ แปล) สนพ.โกมลคีมทอง, 2546.
3. เว็บไซท์ ปxป "โลก: ในทัศนะของขบวนการชาวนาซาปาติสตา" จุลสารฉบับที่
31 http://www.pxp.in.th/index.htm
คำศัพท์ลำดับที่ 36
Onanism :
การคุมกำเนิดด้วยการหลั่งน้ำกามภายนอก มาจากชื่อของ Onan ซึ่งเป็นบุคคลในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเก่า
ในบทปฐมกาล 38: 8-10 โอนันเป็นบุตรชายของยูดาห์ ยูดาห์สั่งให้โอนันไปหลับนอนกับพี่สะใภ้ที่เพิ่งเป็นม่าย
อันเป็นธรรมเนียมในสมัยนั้นเพื่อให้พี่ชายที่ตายไปมีทายาทสืบสกุล แต่โอนันรู้ดีว่าลูกที่จะเกิดมาจะมิใช่บุตรของตน
เขาจึงปล่อยให้น้ำกามตกดินเสีย พระเจ้าไม่พอพระทัยที่เขาทำดังนี้ จึงประหารเขา
ต่อมาคำว่า Onan จึงมีความหมายถึงการสำเร็จความใคร่หรือการคุมกำเนิดที่ให้ผู้ชายหลั่งน้ำกามภายนอก
คำศัพท์ลำดับที่ 37
Direct-action
: การท้าทายซึ่งหน้า (direct-action) คำ ๆ นี้น่าจะมีจุดเริ่มต้นมาจากแนวความคิดของโจเซฟ-ปิแอร์
พรูดอง ซึ่งเป็นนักคิดคนสำคัญของฝ่ายอนาธิปไตย พรูดองเห็นว่าการดำเนินการทางการเมือง
ไม่ควรผ่านช่องทางของรัฐและสถาบันที่มีอยู่เดิม เพราะเท่ากับเป็นการยอมรับอำนาจของมัน
เดิมที "การท้าทายซึ่งหน้า" มักเชื่อมโยงเข้ากับการใช้ความรุนแรง เช่น การก่อจลาจล แต่ในภายหลัง คำ ๆ นี้ถูกหลาย ๆ ฝ่ายหยิบยืมมาใช้จนแพร่หลายทั่วไป แม้แต่กลุ่มนักเคลื่อนไหวที่ไม่ใช้ความรุนแรงก็ใช้คำนี้เช่นกัน โดยมีความหมายถึงการต่อต้านขัดขืนที่ไม่อาศัยช่องทางและกระบวนการที่อิงกับอำนาจรัฐ เช่น ไม่ใช้วิธีล้อบบี้ตัวแทนในรัฐสภา แต่ใช้การชุมนุมประท้วง การนัดหยุดงาน การไม่ยอมจ่ายภาษี ฯลฯ นอกจากไม่ให้ความร่วมมือกับอำนาจรัฐและสถาบันเดิมแล้ว ยังพยายามแก้ไขปัญหาโดยตรง โดยไม่สนใจกฎหมายหรือข้อบังคับที่รัฐวางไว้ เช่น การเข้ายึดอาคารร้างเพื่อนำมาเป็นที่อยู่อาศัยของคนไร้บ้าน เป็นต้น
คำศัพท์ลำดับที่ 38
Yippies
: ยิปปี้ส์ (yippies) เป็นชื่อเล่นของพรรคยุวชนสากล (Youth International Party)
ที่เป็นการรวมตัวของกลุ่มหนุ่มสาวหัวก้าวหน้าในอเมริกาในช่วงทศวรรษ 1960 พวกเขาจัดการเดินขบวนประท้วงสงครามเวียดนามในปี
ค.ศ. 1967 และระหว่างการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งในปี ค.ศ. 1968 ผู้นำของยิปปี้ส์จัดการแสดงละครข้างถนนล้อเลียนนักการเมือง
โดยเสนอผู้สมัครของพรรคยิปปี้ส์เป็นหมูชื่อ Pigasus
"ชาวพื้นเมืองในนครใหญ่" (Metropolitan Indians) เป็นการแต่งตัวล้อเลียนผู้อยู่ในอำนาจโดยนักศึกษากลุ่มหนึ่งในขบวนการนักศึกษาในอิตาลีในปี ค.ศ. 1977
ยุทธการจับจองตึกร้างในเยอรมนีและอิตาลีเป็นขบวนการของกลุ่มคนรุ่นใหม่ในสมัยนั้น ที่บางทีเรียกกันว่าเป็นพวก "พังค์" แต่พวกเขาเรียกตัวเองว่า "autonomists" คนกลุ่มนี้ต่อต้านทุนนิยมและอำนาจรัฐ ต้องการเสรีภาพที่จะดำเนินชีวิตชุมชนในแบบของตัวเอง พวกเขาเข้าจับจองตึกอาคารร้างตามเมืองต่าง ๆ เช่น ปอตสดัมในเยอรมนี นำมาใช้เป็นที่อยู่อาศัย เปิดร้านอาหาร ร้านหนังสือ ร้านเหล้า โรงหนังและสถานีวิทยุ โดยไม่ขออนุญาตจากรัฐ ขบวนการยึดตึกร้างนี้ไม่ได้มีเฉพาะในเยอรมนีและอิตาลี แต่ยังมีในเนเธอร์แลนด์ สกอตแลนด์ โปแลนด์ ฟินแลนด์ เป็นต้น นาโอมี ไคลน์เล่าถึงขบวนการนี้ในอิตาลีไว้ใน "ศูนย์สังคมของอิตาลี" ใน รั้วแห่งการกักกัน หน้าต่างแห่งโอกาส (พิภพ อุดมอิทธิพงศ์ แปล), สำนักพิมพ์โกมล คีมทอง, 2546.
คำศัพท์ลำดับที่ 39
Anarcho-syndicalism
: อนาธิปไตยสหการนิยม
(anarcho-syndicalism) ขบวนการอนาธิปไตยที่สนับสนุนให้ชนชั้นแรงงานใช้ปฏิบัติการท้าทายซึ่งหน้าเพื่อล้มล้างระบอบทุนนิยม
รวมทั้งรัฐ และก่อตั้งระบบสังคมใหม่ที่ให้คนงานรวมตัวจัดตั้งในหน่วยการผลิตของตนโดยอิสระ
นักคิดในปัจจุบันที่สนับสนุนอนาธิปไตยสหการนิยมอย่างเปิดเผย มีอาทิเช่น นอม
ชอมสกี เป็นต้น
คำศัพท์ลำดับที่ 40
Mumia Abu Jamal
: มูเมีย อาบู-จามาล
เป็นนักหนังสือพิมพ์ผิวดำในรัฐเพนซิลวาเนีย เขาเคยได้รับรางวัลจากการทำข่าวเปิดโปงตำรวจที่ใช้ความรุนแรงต่อชนกลุ่มน้อย
ในปี ค.ศ. 1982 เขาถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งตายและต้องรอรับโทษประหารชีวิต
แต่หลักฐานทั้งในด้านวัตถุพยานและพยานบุคคลที่ศาลใช้พิจารณาคดีมีข้อบกพร่องและอ่อนมาก
จนเชื่อกันว่าคำตัดสินของศาลเป็นอคติทางด้านเชื้อชาติ เป็นเหตุให้เกิดขบวนการที่เรียกร้องให้พิจารณาคดีนี้เสียใหม่
ไปจนถึงเรียกร้องให้ปลดปล่อยมูเมียเป็นอิสระ
นอกจากขบวนการของประชาชนแล้ว มีบุคคลสำคัญอีกหลายคนที่พยายามเรียกร้องความเป็นธรรมให้มูเมีย อาทิเช่น บิชอปเดสมอนด์ ตูตู, เนลสัน แมนเดล่า, รัฐสภายุโรป, นักเขียน อลิซ วอล์คเกอร์, นักแสดง พอล นิวแมน, องค์กรนิรโทษกรรมสากล ฯลฯ แม้ว่ามูเมียต้องถูกคุมขังในคุกมานานถึง 22 ปีแล้ว แต่เขายังมีงานเขียนและส่งสารที่แสดงความห่วงใยถึงปัญหาสังคมอยู่เนือง ๆ
คำศัพท์ลำดับที่ 41
Richard Wright
(1908-1960) นักเขียนนวนิยายและเรื่องสั้นชาวอเมริกันผิวดำ
เขาเป็นนักเขียนอเมริกันคนแรก ๆ ที่ส่งเสียงประท้วงต่อความไม่เป็นธรรมที่คนขาวปฏิบัติต่อคนผิวดำ
จุดประกายให้เกิดนักเขียนผิวดำที่เขียนงานแนวทางนี้เกิดขึ้นอีกหลายคน ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
ไรท์เป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1932 แต่ลาออกเพราะความคิดขัดแย้งในปี ค.ศ. 1944 นวนิยายเรื่องเด่นของไรท์คือ Native Son เคยดัดแปลงเป็นละครเวทีบรอดเวย์โดย ออร์สัน เวลส์.
ไรท์เคยแสดงเป็นตัวเอกของนิยายเรื่องนี้ที่ดัดแปลงสร้างเป็นภาพยนตร์ในอาร์เจนตินาด้วย
บทความที่นำเสนอก่อนหน้านี้ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
หากนักศึกษาและสมาชิกท่านใตสนใจ
สามารถคลิกไปอ่านได้จากที่นี่...คลิกที่ภาพ
ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา 3 I สารบัญเนื้อหา
4
ประวัติ
ม.เที่ยงคืน
สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง
e-mail :
midnightuniv(at)yahoo.com
หากประสบปัญหาการส่ง
e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com
ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็ปไซคทั้งหมด
กว่า 700 เรื่อง หนากว่า 10000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com
สมเกียรติ
ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็ปไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ
ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com
นักเทววิทยาแห่งการปลดปล่อยเชื่อว่า
พระเจ้าสำแดงวจนะผ่านคนยากไร้เป็นพิเศษ และชาวคริสต์จะเข้าใจพระคัมภีร์ไบเบิลได้อย่างถ่องแท้
ก็ต่อเมื่อพิจารณาผ่านสายตาของคนยากคนจนเท่านั้น ขบวนการนี้เห็นว่า ศาสนจักรโรมันคาทอลิกในละตินอเมริกามีภารกิจที่แตกต่างจากในยุโรป
กล่าวคือ ศาสนจักรในละตินอเมริกา เป็นศาสนจักรของคนยากจนและเพื่อคนยากจน
(อ่านเนื้อความที่สมบูรณ์ข้างล่าง)