นักศึกษา สมาชิก และผู้สนใจทุกท่าน หากประสงค์จะตรวจดูบทความอื่นๆที่เผยแพร่บนเว็ปไซค์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ท่านสามารถคลิกไปดูได้จากตรงนี้ ไปหน้าสารบัญ
R
related topic
230948
release date

คลิกไปหน้าสารบัญ(1)
คลิกไปหน้าสารบัญ
(2)
คลิกไปหน้าสารบัญ(3)
คลิกไปหน้าสารบัญ(4)
เพื่อดูบทความใหม่สุด

เว็ปไซต์เผยแพร่ความรู้
เพื่อสาธารณประโยชน์

หากนักศึกษาหรือสมาชิก ประสบปัญหาภาพและตัวหนังสือซ้อนกัน กรุณาลด text size ของ font ลง
จะช่วยแก้ปัญหาได้
ผลงานวิชาการชิ้นนี้ เผยแพร่ครั้งแรกบนเว็ปไซต์ วันที่ ๒๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๘ : ไม่สงวนสิทธิ์ในการใช้ประโยชน์ทางวิชาการ
เว็ปไซต์นี้สร้างขึ้นเพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงอุดมศึกษาได้โดยไม่จำกัดคุณวุฒิ
สำหรับผู้สนใจส่งบทความทางวิชาการเพื่อเผยแพร่ต่อสาธารณชน กรุณาส่งผลงานของท่านมายัง midarticle(at)yahoo.com หรือ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com
The author of this work hereby waives all claim of copyright (economic and moral) in this work and immediately places it in the public domain... [copyleft] กรุณานำบทความไปใช้ต่อโดยอ้างอิงแหล่งที่มาตามสมควร

The Midnight University

บารมีพระมากพ้นรำพัน
การลองกำลังระหว่างบารมีกับอำนาจในสังคมไทย
รศ. ศรีศักร วัลลิโภดม
กรรมการบริหาร
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
( องค์การมหาชน)


บทความชิ้นนี้ทางกองบรรณาธิการได้นำมาจาก
กระดานข่าวมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน หัวข้อที่ 07951
http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=midnightuniv&topic=7951
ต้นฉบับของบทความนี้ อยู่ในหนังสือพิมพ์มติชน หน้า ๗ ฉบับวันที่ ๒๓ กย.๔๘

(บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา)
บทความฟรี มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ 678
เผยแพร่บนเว็ปไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๔๘

(บทความทั้งหมดยาวประมาณ 5 หน้ากระดาษ A4)

 


ทุกวันนี้สังคมไทยอยู่ในภาวะวิกฤตมากกว่าสมัยใดในประวัติศาสตร์ นับแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่สิทธิและอำนาจสูงสุดในการปกครองแผ่นดินอยู่ที่พระมหากษัตริย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบฝรั่งตะวันออก ที่อำนาจสูงสุดอยู่ที่กฎหมายรัฐธรรมนูญนั้นเป็นพัฒนาการของ สังคมที่ละเมิดกฎหมาย (Law violating society) การละเมิดกฎหมายได้กลายเป็นนิสัยประจำชาติซึ่งอาจเรียกให้เข้ากับวิธีคิดของพวกโพสต์โมเดิร์นว่า เป็นอัตลักษณ์ของชาติ ก็ว่าได้

ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้น สังคมไทยเป็นสังคมแบบชนชั้นที่มีความเหลื่อมล้ำกันระหว่างชนชั้นปกครอง อันได้แก่ พระมหากษัตริย์ เจ้านาย และขุนนาง ข้าราชการ ฝ่ายหนึ่ง กับชนชั้นที่อยู่ใต้การปกครอง อันได้แก่ ไพร่ฟ้า ประชาชนและข้าทาส แต่เป็นความเหลื่อมล้ำที่พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นเจ้าแผ่นดินทรงควบคุมได้

หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ระบบ"ชนชั้น"หมดไป เกิด"คนชั้น"ขึ้นมาแทน เป็นคนชั้นสูง, คนชั้นกลาง และคนชั้นต่ำ ความเหลื่อมล้ำก็ยังดำรงอยู่ แม้ว่าระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย เป็นระบบการปกครองที่เป็นอุดมคติที่พัฒนาขึ้นในสังคมตะวันตก ความสำคัญอยู่ที่ความเสมอภาคของคนทุกชนชั้นในสังคม โดยมีอำนาจสูงสุดในการปกครองอยู่ที่กฎหมายรัฐธรรมนูญ ที่ถูกสร้างขึ้นโดยอำนาจที่มาจากประชาชน โดยผ่านผู้แทนราษฎรที่ประชาชนทั้งประเทศเป็นผู้เลือกตั้ง

ในสังคมตะวันตก บรรดาผู้แทนจากการเลือกตั้งเหล่านี้โดยอุดมคติต้องประพฤติตนเป็นคนรับใช้ประชาชน (Civil servants) เพราะนายของเขาคือประชาชน ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วพฤติกรรมของผู้แทนก็หาเป็นคนรับใช้ตามอุดมคติไม่ แต่ก็ต้องอยู่ในกรอบเกณฑ์แห่งกฎหมายและจารีตที่ไม่เป็นนายของประชาชน ทั้งนี้ก็เพื่อธำรงความเสมอภาคทางสังคมไว้

แต่ผู้แทนราษฎรในสังคมประชาธิปไตยแบบไทยๆ นั้น หาเป็นเยี่ยงฝรั่งไม่ กลับธำรงความเหลื่อมล้ำทางสังคมอย่างที่เคยมีมาแต่สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ในลักษณะที่เป็นนายประชาชนมากกว่าการเป็นคนรับใช้ประชาชน ดั่งเห็นได้จากการแสดงออกทั้งรูปธรรมและนามธรรม ในเรื่องรูปธรรมเห็นได้จากเวลาหาเสียงเลือกตั้ง คนพวกนี้แทบทุกคนต่างแสดงความเหลื่อมล้ำให้เห็นด้วยการแต่งเครื่องแบบ ถ้าไม่แสดงด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ เช่น เหรียญตราและสายสะพาย ก็มักเป็นเสื้อครุยปริญญาที่สุดจะหามาได้ ไม่จากเมืองนอกก็เมืองไทย

ส่วนในเรื่องนามธรรมนั้นเห็นได้จากความต้องการอำนาจและเงินทอง แทบทุกคนมีจุดมุ่งหมายอันเดียวกัน คือ อยากเป็นรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรี เพื่อที่จะได้มีอำนาจสั่งการหาความร่ำรวยให้แก่ตนเองและพรรคพวก พฤติกรรมเช่นนี้เป็นมาแทบทุกรัฐบาลนับแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองมา จนหลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า รัฐสภาที่ทรงเกียรตินั้น แท้จริงเป็นสถาบันของผู้แทนนายทุน เพราะผู้ได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็นผู้แทนส่วนใหญ่ต่างซื้อเสียงเข้ามา การใช้เงินซื้อเสียงคือการลงทุน เมื่อเข้ามาแล้วก็ต้องหาทุนคืน การโกงกินและพฤติกรรมที่เป็นการคอร์รัปชั่นที่แพร่ระบาดทั่วทั้งแผ่นดิน

คนโกงที่มีอำนาจวาสนาเหล่านี้นับถือลัทธินายทุน มีสำนึกเป็นปัจเจก เป็นอมนุษย์ที่เชื่อในเรื่องไสยศาสตร์ นิยมปลุกเสกวัตถุมงคลเพื่อคุ้มครองตัวเองและพรรคพวก ยึดสื่อเพื่อชื่อเสียงทุกรูปแบบเพื่อการตลาดและโฆษณาความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจที่เป็นเม็ดเงินตลอดเวลา ดูแล้วก็สมจริง เพราะสี่สิบกว่าปีที่มีแผนพัฒนาเศรษฐกิจ (สังคม) นั้น เมืองไทยดูรุ่งเรืองมีถนนหนทางใหญ่โตสวยงามมีตึกรามระฟ้ากันอย่างระเกะระกะ และดาดาดกว่าบรรดาบรรดาประเทศเพื่อนบ้านทั้งหลาย มีรถยนต์ราคาแพงนานาชนิดให้คนรวยขี่ และคนจนต้องขายที่ดินและตัวเองมาซื้อ

มีกิจกรรมสนุกสนานเพลิดเพลินทุกฤดูกาล จนโรคเอดส์ระบาด เด็กผู้ใหญ่ติดยาบ้าสูบยาอี สำส่อน ฟรีเซ็กซ์ พ่อแม่ขายลูก เสื่อมทั้งศีลธรรมและความเป็นมนุษย์ เหนืออื่นใดผู้คนในชาติในแผ่นดินส่วนใหญ่นับวันแต่จะไม่มีแผ่นดินอยู่อย่างเรียบง่ายเป็นธรรมชาติแบบแต่ก่อน หรือแม้จะเป็นแบบที่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่า ลาว เขมร และเวียดนาม

ในขณะนี้ คนชั้นกลางถ้าไม่เช่าบ้านก็ต้องผ่อนบ้าน เพื่ออยู่ในบ้านจัดสรรที่ราคาแพงจนต้องเป็นหนี้เกือบตลอดชีวิตก็ว่าได้. ในขณะที่ชนชั้นล่างที่เป็นชาวนาก็ต้องกลายเป็นกรรมกร หรือทาสติดที่ดินรับใช้ขายแรงงานหรือขายบริการให้กับบรรดานายทุนเจ้าของแผ่นดิน ซึ่งมีทั้งคนในและคนนอก เช่น จีน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลี และฝรั่งจากยุโรป และอเมริกา

ในความคิดที่นอกรีตของผู้เขียนคิดว่า ถ้าจะประเมินการปกครองแบบระบอบประชาธิปไตย ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองมาจนทุกวันนี้ก็เห็นว่า รัฐประชาธิปไตยที่ทุกคนโหยหาและเรียกร้องจนมีคนส่วนใหญ่ในประเทศต้องเดือดร้อนจนแทบไม่มีแผ่นดินซุกหัวนอนอยู่ในขณะนี้ เป็น"ยูโธเปีย" หรือรัฐในอุดมคติที่ยากจะไปถึง เป็นสิ่งที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ และจินตนาการของคนตะวันออกที่เป็นทาสปัญญาคนตะวันตกเท่านั้น

ก็เพราะประชาธิปไตยแบบนี้ไงเล่า ที่คนไทยดูหมิ่นดูแคลนประเทศเพื่อนบ้าน ที่รับเอาลัทธิคอมมิวนิสต์ไปแก้ปัญหา ที่นายทุนยึดที่ดินและกอบโกยความมั่งคั่งและอำนาจกดขี่ประชาชนผู้ด้อยโอกาส บัดนี้ ประชาธิปไตยแบบนี้ก็ไม่เคยทำให้คนไทยมีโอกาสที่ดีอะไร มีแต่นับวันยิ่งด้อยโอกาสและแย่ลงจนเกิดความเดือดร้อนทั่วไป

แต่ทำทางตรงข้าม ประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นคอมมิวนิสต์แบบเวียดนาม กลับนับวันโตวันโตคืนผู้คนมีอันจะกินกันถ้วนหน้า ผู้ที่เป็นคอมมิวนิสต์มีประมาณไม่เกินสองแสนคน กลับทำให้คนทั่วประเทศซึ่งมีราวแปดสิบล้านคนอยู่ได้ด้วยความสงบและเสมอภาค ผู้เขียนคิดว่าการเป็นคอมมิวนิสต์ในเวียดนามนั้น ดูยากเย็นแสนเข็ญกว่าการเป็นนายทุนที่รวยล้นฟ้าอย่างรวดเร็วกว่าในเมืองไทย ท่ามกลางความเจ็บปวดของคนด้อยโอกาสทั่วไป

แต่บนเส้นทางของการเป็นประชาธิปไตยที่ความเสมอภาคเป็นแต่เพียงจินตนาการนั้น ก็มีความเดือดร้อนขัดแย้งและรุนแรงอยู่ไม่ขาด อันเนื่องมาจากการปฏิวัติแย่งชิงอำนาจ และการกระทำของรัฐที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนระดับล่าง

แต่ทุกครั้งที่ความขัดแย้งซึ่งจะนำไปสู่ความรุนแรงจนเกิดการฆ่ากันอย่างมโหฬารเช่นที่มีในประเทศเพื่อนบ้านนั้น จะถูกระงับดับร้อนด้วยการเข้ามาเกี่ยวข้องของพระมหากษัตริย์ทุกครั้ง จนอดคิดไม่ได้เช่นเดียวกับคนหัวโบราณคนอื่นๆ ในประเทศว่า ถ้าไม่มีพระมหากษัตริย์แล้วบ้านเมืองคงล่มจม และไม่เห็นประชาธิปไตยอะไรมาช่วยได้เลย

ก็น่าประหลาดที่ผู้เป็นใหญ่และมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญอย่างแท้จริงนั้น หาช่วยอะไรบ้านเมืองได้ไม่ กลับมีแต่ผู้ไม่มีอำนาจมาแก้ไขไว้ทุกครั้ง

มาบัดนี้ ความขัดแย้งที่กำลังนำไปสู่ความรุนแรงกำลังก่อตัวขึ้นอีก ไม่ว่ากรณีสามจังหวัดภาคใต้ การกดขี่บุกรุกที่ดิน ยึดครองที่ดิน และการแย่งทรัพยากรของผู้คนธรรมดาทั่วไปในทุกท้องถิ่นของประเทศ การคอร์รัปชั่นฉ้อราษฎร์บังหลวงต่างๆ นานา ล้วนแล้วแต่จะทำให้แผ่นดินลุกเป็นไฟ

ผู้ใดจะดับร้อน รัฐหรือประชาชน รัฐคงจะพึ่งยากเพราะเป็นรัฐนายทุน ประชาชนก็คงเป็นที่พึ่งแต่เพียงสถาบันกษัตริย์ที่พระราชอำนาจในการปกครองแผ่นดิน ถูกจำกัดโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งระบอบประชาธิปไตยนั่นเอง ทุกครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออกมาระงับความเดือดร้อนของแผ่นดินนั้น ไม่เคยเห็นพระองค์ท่านใช้พระราชอำนาจแต่อย่างใดอย่างที่ใครๆ มาตั้งปัญหาถกเถียงกันอยู่ทุกวันนี้ รวมทั้งพระราชจริยวัตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ไม่เคยทรงแสดงอะไรที่ขัดต่ออำนาจในรัฐธรรมนูญเลย

แต่สิ่งอันเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาประชาราษฎร์ทั่วไป ที่ไม่บ้าประชาธิปไตยจนตกขอบก็คือ พระบารมี ที่เกิดจากความเชื่อและศรัทธาของประชาชนมาแต่โบราณกาล พระบารมีจะมีมากน้อยเท่าใดนั้น เป็นเรื่องเฉพาะแต่ละองค์ของพระมหากษัตริย์ หาเกิดขึ้นแก่ผู้ที่เป็นกษัตริย์ทุกองค์ไม่

ผู้รู้ที่ผู้เขียนเรียกว่า ครู หลายท่านบอกว่า การจะเป็นพระมหากษัตริย์ได้นั้นไม่ใช่เกิดมาเป็นลูกกษัตริย์ก็จะเป็นกษัตริย์ได้ เพราะต้องบำเพ็ญกรณีย์ที่ทำให้เกิดบารมีมาแล้วแต่อดีตชาติตามครรลองของพระโพธิสัตว์ ดังเช่น เรื่องราวในมหานิบาตชาดกหรือชาดกพระเจ้าห้าร้อยห้าสิบชาติ ที่มีมาจากอินเดียและศรีลังกาแล้วแพร่หลายในพุกามมาจนถึงสุโขทัย พอมาถึงอยุธยาสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ จึงตัดเอาแต่เพียงสิบพระชาติสุดท้ายที่เรียกว่า ทศชาติ ในห้าร้อยห้าสิบพระชาตินั้น

พระโพธิสัตว์ทรงเกิดเป็นสัตว์ชนิดต่างๆ ตั้งแต่เป็นสัตว์เล็ก ลิงค่าง จนถึงสัตว์ใหญ่ เช่น ช้างและม้า แต่ละพระชาติก็มีพัฒนาการทางจิตตามลำดับ จึงเรียกว่า พระโพธิสัตว์ซึ่งหมายถึงสัตว์ที่ตื่นแล้ว

แต่ในสิบพระชาติสุดท้ายนั้นเกือบทั้งหมดเสวยพระชาติเป็นมนุษย์และเป็นกษัตริย์ โดยเฉพาะพระชาติสุดท้ายคือ"มหาชาติ" ที่ทรงเกิดเป็นพระเวสสันดรนั้น บารมีที่ทรงบำเพ็ญ คือ "ทานบารมี" ทานคือการให้, การเสียสละ, เป็นคุณสมบัติที่สำคัญยิ่งของการเป็นพระสมมุติราชหรือพระธรรมราชา

พระมหาเวสสันดรคือ อุดมคติของการเป็นพระสมมุติราช ทานบารมีที่ทรงบำเพ็ญนั้นเป็นกริยาของการเป็นพระผู้สละโลก (World renouncer) นับเป็นพระบารมีพื้นฐานที่สำคัญก่อนที่จะได้รับการยกย่องให้เป็นพระมหากษัตริย์โดยอเนกนิกรสโมสร

เมื่อทรงเป็นพระมหากษัตริย์แล้ว พระองค์คือ พระผู้ชำนะโลก (World conqueror) เพื่อปราบยุคเข็ญให้กับประชาราษฎร์ แต่การเป็นพระผู้ชำนะโลกได้นั้น พระมหากษัตริย์ต้องทรงทศพิธราชธรรม จนเป็นที่รับรู้และชื่นชมจากประชาราษฎร์ จึงจะทรงความยุติธรรมไว้ได้ แต่เท่านี้ยังไม่พอเพียงกับการที่จะเป็นพระมหากษัตริย์เพราะยังไม่ได้รับการยอมรับจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในจักรวาล จะต้องผ่านพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเพื่อเปลี่ยนสถานภาพจากการเป็นมนุษย์ธรรมดา ขึ้นเป็นบุคคลศักดิ์สิทธิ์หรือเทพ เพราะเป็นการตัดความสัมพันธ์ทางสังคมที่จะทำให้เกิดอคติที่นำไปสู่การกระทำใดๆ ที่ไม่ยุติธรรมได้

การผ่านพระราชพิธีบรมราชาภิเษก จึงมีลักษณะคล้ายกับการเกิดใหม่ เช่นเดียวกันกับพวกพราหมณ์ จึงเป็นบุคคลศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถสัมผัสกับพลังจักรวาลได้ และพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนั้นก็ดูเป็นของสากลเพราะมีขึ้นแทบทุกอาณาจักรในโลกนี้ อย่างเช่น สมเด็จพระมหาจักรพรรดิญี่ปุ่นองค์ปัจจุบันก็ต้องทรงเข้าอยู่ในพระราชพิธีนี้เพื่อกลายเป็นส่วนหนึ่งของเทพีอะมาเตละสุ (Amaterasu-Sungoddess) อันเป็นเทพสูงสุดของพระราชอาณาจักร

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตระหนักในโบราณราชประเพณีของการเป็นพระสมมุติเทวราชเป็นอย่างยิ่ง ดังครั้งหนึ่งเคยได้ยินจากพระโอษฐ์ของสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ที่พระราชทานพระดำรัสแก่ประชาชนว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เคยรับสั่งว่า เมื่อประชาชนได้ยกย่องให้พระองค์เป็นพระสมมุติเทพแล้ว จะทรงทำอะไรก็ต้องให้เหมาะสมกับการเป็นสมมุติเทพ อย่างที่ได้รับการยกย่อง

ผู้เขียนไม่เคยเห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงใช้พระราชอำนาจอันใดที่อยู่นอกขอบเขตของกฎหมายรัฐธรรมนูญ แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่เหนืออำนาจสาธารณ์ที่บรรดาพระยามารและภูตผีใช้กันอยู่ในทุกวันนี้ ก็คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงบำเพ็ญ"ทานบารมี" คือ การให้อะไรต่างๆ เพื่อความผาสุกและความสงบสุขของมนุษย์ที่ยากไร้และด้อยโอกาสในพระราชอาณาจักร

สิ่งต่างๆ เหล่านี้คงไม่ต้องมาสาธยายอะไร เพราะเป็นที่ประจักษ์แก่ผู้คนทั้งหลายอยู่แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงบำเพ็ญทาน ทั้งการพระราชทานพระราชทรัพย์ในส่วนพระองค์ และการพระราชทานคำแนะนำที่เป็นประโยชน์แก่รัฐและสังคม อย่างเช่น พระราชดำรัสในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เป็นต้น เป็นวลีที่สั้นๆ เป็นกลาง ใครปฏิบัติก็ได้ ไม่ปฏิบัติก็ได้ โดยไม่มีการแสดงพระราชอำนาจใดมาแอบแฝง

ซึ่งในเรื่องนี้ บรรดาปัญญาชนและวิญญูชนก็ได้นำไปใช้เป็นหลักชัยในการพัฒนาเศรษฐกิจแบบยั่งยืนให้กับตนเองและชุมชนในการต้านกระแสทุนนิยมให้เกิดดุลยภาพกันอย่างมากมาย

ในยามบ้านเมืองเดือดร้อนอันเกิดจากการกระทำที่ไม่เป็นธรรม จากคนที่ใช้อำนาจหรืออ้างอำนาจกฎหมายรัฐธรรมนูญให้เป็นประโยชน์แก่บรรดาพรรคพวกตนเอง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็จะทรงวางอุเบกขา โดยไม่ทรงสนับสนุนแก่ฝ่ายใดทั้งสิ้น อย่างเช่น กรณีเรื่องพระราชอำนาจที่เกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งผู้ที่จะดำรงตำแหน่งสำคัญของแผ่นดิน(ผู้อำนวยการสำนึกงานตรวจเงินแผ่นดิน)ที่เป็นข่าวเกรียวกราวอยู่ในขณะนี้

การวางอุเบกขาก็คือสิ่งที่ทำให้เกิดการเผชิญหน้าและลองกำลังกันระหว่างธรรมะและอธรรม ระหว่างอำนาจที่เกิดจากพระบารมีแห่งเมตตาธรรมในองค์พระมหากษัตริย์ กับอำนาจทางกฎหมายของฝ่ายอธรรม ความวุ่นวายจึงเกิดขึ้นแก่บรรดาผู้คิดไม่สุจริต ออกตัวร้อนตัวต่างๆ นานา นี่ไม่ใช่พระราชอำนาจ หากเป็นพระบารมีที่มากล้นต่างหาก พระบารมีที่เกิดพลังศรัทธาในองค์พระมหากษัตริย์ของบุคคลที่มีสติปัญญาแลเห็นอะไรที่ดีงาม และเป็นธรรมในสังคม

อดคิดถึงข้อความในพระราชนิพนธ์เรื่อง"เวนิชวานิช" ของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 ตอนหนึ่งไม่ได้ว่า

"พระแสงทรงดำรงซึ่งอาชญา เหนือประชาพสกนิกร
ประดับพระวรเดชวิเศษฤทธิ์ ที่สถิตอานุภาพสโมสร
แต่การุณยธรรมสุนทร งามงอนกว่าพระแสงอันแรงฤทธิ์
เสถียรในหฤทัยของราชา เป็นคุณของเทวาผู้มหิทธ์
และราชันเทียบเทียมอมฤต ยามบพิตรเผยพระกรุณา"

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

 

สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
หากนักศึกษาและสมาชิกท่านใตสนใจ
สามารถคลิกไปอ่านได้จากที่นี่...คลิกที่ภาพ

 

สารบัญข้อมูล : ส่งมาจากองค์กรต่างๆ

ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I สารบัญเนื้อหา 3
ประวัติ ม.เที่ยงคืน

สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง

webboard(1) I webboard(2)

e-mail : midnightuniv(at)yahoo.com

หากประสบปัญหาการส่ง e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com

ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม

 

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็ปไซคทั้งหมด กว่า 650 เรื่อง หนากว่า 8500 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com

 

สมเกียรติ ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็ปไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com

 

 

 

คำโปรย คัดลอกมาจากบทความ เพื่อให้มองเห็นเนื้อความที่น่าสนใจบางส่วน

เมื่อทรงเป็นพระมหากษัตริย์แล้ว พระองค์คือ พระผู้ชำนะโลก (World conqueror) เพื่อปราบยุคเข็ญให้กับประชาราษฎร์ แต่การเป็นพระผู้ชำนะโลกได้นั้น พระมหากษัตริย์ต้องทรงทศพิธราชธรรม
จนเป็นที่รับรู้และชื่นชมจากประชาราษฎร์ จึงจะทรงความยุติธรรมไว้ได้ แต่เท่านี้ยังไม่พอเพียง
กับการที่จะเป็นพระมหากษัตริย์เพราะยังไม่ได้รับการยอมรับจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในจักรวาล
จะต้องผ่านพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเพื่อเปลี่ยนสถานภาพจากการเป็นมนุษย์ธรรมดา ขึ้นเป็นบุคคลศักดิ์สิทธิ์หรือเทพ
เพราะเป็นการตัดความสัมพันธ์ทางสังคมที่จะทำให้เกิดอคติที่นำไปสู่การกระทำใดๆ ที่ไม่ยุติธรรมได้

การผ่านพระราชพิธีบรมราชาภิเษก จึงมีลักษณะคล้ายกับการเกิดใหม่ เช่นเดียวกันกับพวกพราหมณ์ จึงเป็นบุคคลศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถสัมผัสกับพลังจักรวาลได้ และพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนั้นก็ดูเป็นของสากลเพราะมีขึ้นแทบทุกอาณาจักร
ในโลกนี้ อย่างเช่น สมเด็จพระมหาจักรพรรดิญี่ปุ่นองค์ปัจจุบันก็ต้องทรงเข้าอยู่ในพระราชพิธีนี้เพื่อกลายเป็นส่วนหนึ่งของ
เทพีอะมาเตละสุ (Amaterasu-Sungoddess) อันเป็นเทพสูงสุดของพระราชอาณาจักร

H
ขอขอบคุณ www.thaiis.com ที่ให้ใช้พื้นที่ฟรี