บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ลำดับที่ 368 หัวเรื่อง
การวิเคราะห์ภาพยนตร์ (ตอนที่ ๑)
สมเกียรติ
ตั้งนโม
คณะวิจิตรศิลป์
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
บริการเผยแพร่ เพื่อสาธารณประโยชน์
หากนักศึกษาหรือสมาชิก
ประสบปัญหาภาพและตัวหนังสือซ้อนกัน กรุณาลดขนาดของ font ลง จะแก้ปัญหาได้
บทความของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน สามารถคัดลอกไปใช้ประโยชน์ทางวิชาการได้ หากนำไปใช้ประโยชน์
กรุณาแจ้งให้ทราบที่
midnightuniv(at)yahoo.com
midnight2545(at)yahoo.com
การวิเคราะห์แนวโครงสร้างนิยม
วิเคราะห์การเล่าเรื่องของภาพยนตร์
(ตอนที่ ๑)
สมเกียรติ
ตั้งนโม
คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
บทความนี้
ยาวประมาณ 8 หน้ากระดาษ A4
เผยแพร่ครั้งแรกบนเว็ปมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน วันที่ 8 เมษายน 2547
บทความชิ้นนี้มาจากหนังสือเรื่อง
Media and Society ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 เขียนโดย Michael O' Shaughessy และ Jane
Stadler
สำนักพิมพ์ Oxford University Press ปีที่พิมพ์ 2002
(ในส่วนของ Part 3, Chapter 10 เรื่อง Narrative Structure and Binary Oppositions
หน้า 127-130)
โครงสร้างการดำเนินเรื่อง และคู่ตรงข้าม
Narrative Structure and Binary Oppositions
ความสำคัญของการเล่าเรื่อง
(The Importance of Narrative)
การเล่าเรื่อง(narratives)และเรื่องเล่าต่างๆ(stories) เป็นวิธีการพื้นฐานอันหนึ่งของการสร้างความหมายหรือความเข้าใจเกี่ยวกับประสบการณ์ของเรา อันนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นกระบวนการทางวัฒนธรรมอันหนึ่งซึ่งมีส่วนร่วมโดยทุกๆสังคม มนุษย์มีแนวโน้มที่จะเข้าใจและเล่าถึงประสบการณ์ทั้งหลายโดยผ่านเรื่องเล่า
ในวัฒนธรรมตะวันตก เมื่อผู้คนต้องการพูดถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น ทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงและเรื่องที่เสกสรรค์ขึ้นมาเอง พวกเขาจะนำเสนอประสบการณ์ต่างๆเหล่านี้ในรูปของเรื่องเล่าหรือโครงสร้างของการดำเนินเรื่อง - นั่นคือ ลำดับเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆที่เชื่อมโยงกันผ่านกระบวนการของเหตุผล โดยเล่าถึงจุดเริ่มต้น, เรื่องราวที่ดำเนินไปในระหว่างกลาง, และตอนจบ
พวกเรามีเรื่องเล่าต่างๆที่สรรค์สร้างกันขึ้นมา แต่เราก็มีเรื่องราวเด่นๆเกี่ยวกับเหตุการณ์ปัจจุบันทั่วๆไปในหน้าหนังสือพิมพ์, เรื่องราวจากเอกสาร, และแม้กระทั่งเรื่องของกีฬาต่างๆ. เมื่อเราพูดถึงประสบการณ์ในชีวิตประจำวันของเราเอง อย่างเช่น วันนี้การทำงานของคุณเป็นอย่างไร? - เรื่องราวต่างๆของเรามักจะถูกเล่าออกมาเป็นเรื่องราว
แต่เรื่องเล่า และการเล่าเรื่องกระทำบางสิ่งบางอย่างได้มากกว่านี้ มันเป็นเรื่องธรรมดามากที่จะถามถึงเรื่องราวใดเรื่องราวหนึ่ง: เช่น "อะไรคือจุดสำคัญของเรื่องราวอันนั้น?" หรือ "อะไรคือสาระทางศีลธรรมของเรื่องราวดังกล่าว?" ความคิดเกี่ยวกับเรื่องราวนี้มีเรื่องของศีลธรรม, มีประเด็นสำคัญ, หรือบทเรียนอันหนึ่งในการสั่งสอน ซึ่งย้อนกลับไปถึงเรื่องเล่าต่างๆ อย่างเช่น นิทานอีสป(Aesop's Fables), เรื่องราวในพระคัมภีร์ไบเบิล, ปกรณัมโบราณ, และตำนานต่างๆ และมันเทียบเคียงได้หรือสัมพันธ์กับการเล่าเรื่องในภาพยนตร์และโทรทัศน์ของทุกวันนี้
เรื่องราวทั้งหมดเหล่านี้สามารถได้รับการพิจารณาในฐานะที่เป็นเครื่องมือ หรือวิธีการที่สังคมทั้งหลายได้พูดถึงตัวของสังคมเอง มันจะมองไปที่ประเด็นปัญหาของมนุษย์บางคนและตั้งคำถามต่างๆ ซึ่งในตอนท้ายของการเล่าเรื่องจะมีทางออกอันหนึ่ง, มีการแก้ปัญหา, หรือไม่ก็นำเสนอสาระทั้งหมดเกี่ยวกับปัญหาออกมา
เช่นดังการสนทนากันระหว่าง John Hartley และ Mick Regan เกี่ยวกับรายการตลกทางโทรทัศน์ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัว อันนี้แสดงให้เราเห็นว่า เราจะสัมพันธ์กับวัยรุ่นที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเราอย่างไร หรือถ้าเราเป็นวัยรุ่นจะเกี่ยวพันกับพ่อแม่ของเราอย่างไร เป็นต้น
ส่วนรายการอย่างเช่น Friend และ Dawson's Creek ได้แสดงให้เราเห็นว่า (ถ้าเราเป็นผู้ใหญ่)เราจะพละจากความรักของหนุ่มสาวอย่างไร และสำรวจถึงประเด็นปัญหาต่างๆเกี่ยวกับความสัมพันธ์ต่างๆอันนั้นอย่างไร
จุดสำคัญก็คือว่า เรื่องเล่าทั้งหลายมีประเด็นสำคัญอันหนึ่งที่จะบอก - มันพยายามที่จะสื่อสารบางสิ่งบางอย่าง นั่นคือ การส่งสารไปถึงผู้ฟังทั้งหลาย บ่อยครั้งสารอันนี้มักไม่ได้รับการตระหนักอย่างเต็มที่ จนกว่ามาถึงตอนจบของเรื่อง - ในละครตลกเบาสมอง มันเป็นการส่งสารผ่านเรื่องเล่าตลกชวนหัว
เรารอคอยในสิ่งที่ได้คาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้าสำหรับการส่งสารในท้ายที่สุดนี้ ซึ่งปกติแล้ว จะละลายความขัดแย้งต่างๆที่มีมาก่อนหน้านั้น และตั้งคำถามกับเรื่องที่สร้างขึ้น ซึ่งได้วางเราลงในตำแหน่งหนึ่งที่จะทำการตัดสินใจอะไรบางอย่าง หรือประเมินคุณค่าสิ่งที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้าทั้งหมด: ดังนั้น เราจึงได้รับสาระอันนั้น
ตรรกะของการเล่าเรื่องก็คือต้องการสื่อสารบางอย่าง, หรือนำเสนอประเด็นสำคัญบางประการ, และการวิเคราะห์ที่ดี, หรือการอ่านเรื่องราวอันนั้นจะมุ่งไปที่การทดสอบ และทำความเข้าใจสาระเหล่านั้นว่าคืออะไร? สำหรับจุดมุ่งหมายของบทความชิ้นนี้ ต้องการที่จะวิเคราะห์ว่า เรื่องเล่ามันทำงานในอีกหนทางหนึ่งอย่างไรเกี่ยวกับข้อมูลต่างๆในเชิงวิเคราะห์
ขั้นแรก จะค่อนข้างง่ายที่จะชี้ให้เห็นถึงส่วนประกอบต่างๆของเรื่องเล่า
ขั้นที่สอง ค่อนข้างเป็นขั้นตอนที่สำคัญกว่าก็คือ ต้องการที่จะมองดูว่า โครงสร้างการเล่าเรื่องได้มากำหนดความหมายของเรื่องเล่าอย่างไรเหตุผลที่เราสร้างขึ้นมาในที่นี้ก็คือ วิธีการอันหนึ่งซึ่งเรื่องเล่าได้รับการเล่าขานให้เราเข้าใจมันอย่างไร หรือเรื่องเล่าได้ถูกวางโครงสร้างที่จะมีผลกระทบต่อความเข้าใจของเราอย่างไร
โครงสร้างการเล่าเรื่อง
และโครงสร้างนิยม (Narrative Structure and Structuralism)
วิธีการศึกษาซึ่งนำเสนอในที่นี้ วางอยู่บนพื้นฐานของลัทธิโครงสร้างนิยม ลัทธิโครงสร้างนิยมได้รับการพัฒนาขึ้นมาโดยบรรดานักมานุษยวิทยา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Levi-Strauss (1978) เพื่อวิเคราะห์ถึงแง่มุมต่างๆอย่างมากมายของสังคมมนุษย์
อย่างเช่น แบบแผนระบบเครือญาติ และเรื่องของการประกอบอาหาร นอกจากนี้มันยังถูกนำไปใช้เพื่อศึกษาเกี่ยวกับเรื่องราวปรัมปรา
และยังถูกนำไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่ทางวิชาการอื่นๆอีกมากมายด้วย
ในการศึกษาเกี่ยวกับสื่อ(media studies) ลัทธิโครงสร้างนิยมได้ถูกนำมาใช้เพื่อวิเคราะห์ถึงการเล่าเรื่อง จุดมุ่งหมายกว้างๆของมัน ซึ่งต้องการที่จะลงไปลึกกว่าผิวหน้าของข้อมูลสื่อต่างๆนั่นเอง เพื่อดูว่าโครงสร้างของเรื่องเล่าได้ช่วยสนับสนุนความหมายอย่างไร
ความสำคัญของโครงสร้างการเล่าเรื่องจะได้รับการทำให้ชัดเจนมากขึ้น ถ้าเราแบ่งแยกโครงสร้างออกจากเนื้อหา... ตัวอย่างที่มีประโยชน์มากตัวอย่างหนึ่งก็คือ ลองมองไปที่ตัวละครต่างๆที่เป็นเกย์ที่ได้ถูกนำเสนอในภาพยนตร์ต่างๆว่า พวกเขาเหล่านี้ได้ถูกนำเสนอกันอย่างไร
อันนี้ได้รับการยืนยันในเชิงเอกสารอย่างดีในหนังสือของ Vito Russo ในเรื่อง The Celluloid Closet ซึ่งได้ให้มูลรากเกี่ยวกับภาพยนตร์ในเชิงสารคดีได้เป็นอย่างดีชิ้นหนึ่ง เขาได้ให้เหตุผลว่า การนำเสนอเกี่ยวกับตัวละครที่เป็นเกย์ในช่วงแรกที่สุด ตัวละครเหล่านั้นมักถูกนำเสนอในเชิงลบ กล่าวคือ คนเหล่านี้จะถูกหัวเราะเยาะ และเป็นพวกที่ชอบเรียกร้องการมีความสัมพันธ์ทางเพศกับเพศเดียวกัน หรือมิฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า ตัวละครที่เป็นเกย์นั้นเป็นพวกวิปริตผิดปกติ และเป็นอาชญากร
เขาให้เหตุผลต่อว่า นับจากทศวรรษที่ 1970s เป็นต้นมา ภาพยนตร์ต่างๆได้แสดงความเห็นอกเห็นใจ หรือให้การสนับสนุนตัวละครที่เป็นเกย์มากขึ้น ซึ่งได้เริ่มปรากฏชัดในช่วงเวลาดังกล่าว และเขาได้ดึงความสนใจเราไปสู่หนทางที่ตัวละครเหล่านี้ ได้ถูกวางตำแหน่งหรือถูกวางโครงสร้างในการเล่าเรื่องอย่างไร? เขาพบว่า แม้จะมีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจมากขึ้นก็ตาม แต่ตัวละครที่เป็นเกย์ ก็ได้รับการพรรณาโดยให้มีเรื่องราวที่จบลงอย่างปราศจากความสุขอยู่บ่อยๆสำหรับคนเหล่านี้
ในตอนจบของหนังสือของเขา เขาได้สรุปโดยนำเสนอเป็นแผนผังเกี่ยวกับตอนจบของภาพยนตร์แนวนี้อย่างหลายหลาก ซึ่งออกมาในเชิงลบ ที่เคียงไปกับบรรณานุกรมและรายชื่อภาพยนตร์แนวเกย์ โดยมากแล้วภาพยนตร์เหล่านี้ มักจะกำหนดให้ตัวละครที่เป็นเกย์ทั้งหลายต้องจบลงอย่างไม่มีความสุข ซึ่งออกมาในลักษณะที่ฆ่าตัวตายบ้าง, เป็นบ้าบ้าง, ต้องอยู่โดดเดี่ยว, ต้องติดคุก, หรือต้องตาย, เป็นต้น
ประเด็นที่สำคัญยิ่งก็คือ โครงสร้างการเล่าเรื่องอันนี้ได้แสดงให้เห็นว่า ตัวละครที่เป็นเกย์จะจบลงอย่างปราศจากความสุข แม้ว่าพวกเขาจะถูกพรรณาออกมาในลักษณะที่น่าเห็นอกเห็นใจก็ตาม อันนี้คือข้อสรุปที่เป็นไปในลักษณะการตำหนิและประณามอย่างหนึ่ง
เรายังคงสามารถที่จะเห็นแนวโน้มอันนี้ได้ในภาพยนตร์ต่างๆ อย่างเช่น The Sum of Us หรือ Priscilla, Queen of the Desert ซึ่งเป็นภาพยนตร์แนวเกย์ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง และออกจะยืนยันถึงเรื่องเหล่านี้ ที่ไม่จบลงอย่างมีความสุขในลักษณะที่คลาสสิคเหมือนภาพยนตร์แนวอื่นๆ
การเล่าเรื่องได้รับการวางโครงสร้างอย่างไร
และโครงสร้างนี้ได้กำหนดความหมายอย่างไร?
( How are narratives structured, and how does this structure determine meaning?)
แบบแผนของการเล่าเรื่อง (Narrative pattern)
มีแบบแผนโครงสร้างพื้นฐานอันหนึ่งในการเล่าเรื่อง ตามความคิดของ Todorov การเล่าเรื่องทั้งหมดเป็นขบวนการอันหนึ่งระหว่างสองด้านที่สมดุลกัน:
ในการเริ่มต้นเล่าเรื่อง มันมักจะมีสถานการณ์ที่มั่นคงอันหนึ่งเสมอ และมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งได้ก่อให้เกิดความไร้ดุลภาพ ที่ได้เข้ามารบกวนต่อสถานการณ์ซึ่งมีเสถียรภาพอันนี้ ในตอนจบของเรื่อง การมีดุลภาพได้รับการสถาปนาขึ้นมาใหม่อีกครั้ง แต่มิได้เป็นไปอย่างที่เริ่มต้นอีกต่อไป (Todorov 1975, p.163)
ความมีดุลภาพที่สร้างขึ้นมาในตอนท้าย เป็นรูปแบบหนึ่งของการแก้ปัญหาต่อคำถาม หรือข้อสงสัยอันน่าฉงนสนเท่ห์ต่างๆและความสมปรารถนา ที่ได้รับการนำเสนอโดยการรบกวนหรืออุปสรรคต่างๆ เราสามารถที่จะแสดงถึงมันออกมาเป็นแผนภาพได้ดังต่อไปนี้:
stable situation 1 ------------- disruption ------------- stable situation 2
(enigma, desire, goal)
-Basic structure pattern of narratives-
เหตุการณ์ซึ่งเข้ามารบกวนตั้งแต่เริ่มต้นเรื่อง ได้เร่งเร้าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตัวละครหลักต่างๆ และบ่อยครั้งมันได้ทำให้เกิดเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์อันหนึ่งขึ้นมา ซึ่งตัวละครเอกในเรื่องจะต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อที่จะบรรลุถึงให้ได้ อันนี้ได้สร้างคำถามหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับการเล่าเรื่องในจิตใจของผู้อ่านหรือผู้ชมทั้งหลาย ซึ่งจะดึงพวกเขาไปตลอดทั้งเรื่อง
พวกเขาจะรู้สึกสงสัยอย่างต่อเนื่องว่า ตัวละครเอกต่างๆจะเกี่ยวข้องกับการทดสอบและความยากลำบากอันนี้อย่างไร ซึ่งตัวละครทั้งหลายกำลังเผชิญหน้าอยู่ แน่นอน คำถามที่เป็นแกนกลางของการเล่าเรื่องจะได้รับคำตอบเมื่อมาถึงตอนจบของเรื่องเท่านั้น หรือวิกฤตที่สำคัญนั้นได้รับการแก้ไขในท้ายที่สุด
แต่ก่อนหน้าที่จะถึงจุดนั้น เราต่างถูกล่อลวงให้ถลำลึกลงไปในโลกของการเล่าเรื่อง ดังที่ตัวละครหลักต่างๆได้เผชิญหน้ากับอุปสรรคนานา พวกเขาจะเผชิญกับจุดเปลี่ยน, การเผชิญหน้ากับความสลับซับซ้อน และความขัดแย้งที่มาคุกคามเพื่อกีดกันมิให้พวกเขาบรรลุผลสำเร็จในวัตถุประสงค์ต่างๆ เรื่องราวอันน่าตื่นเต้นเหล่านี้จะต้องถูกเอาชนะเสียก่อน ก่อนที่ดุลภาพใหม่อันหนึ่งจะสามารถเกิดขึ้นได้ และก่อนที่ผู้ชมจะรู้สึกว่าเหตุการณ์ดังกล่าวได้ปิดตัวลง
ในภาพยนตร์เรื่อง Thelma and Louise แรกเริ่มเดิมที ผู้หญิงทั้งสองคนดำรงอยู่ในสถานการณ์ต่างๆที่ค่อนข้างมั่นคง - มีงานและครอบครัวที่น่านับถือ - แต่อย่างรวดเร็ว สิ่งเหล่านี้ได้ถูกแสดงให้เห็นว่าเป็นไปอย่างไม่น่าพึงพอใจ
ความยุ่งเหยิงเกิดขึ้นเมื่อพวกเธอตัดสินใจที่จะพละจากสิ่งเหล่านี้ไปในวันสุดสัปดาห์ อันนี้ได้ก่อให้เกิดภาวะที่ไร้ดุลภาพขึ้น ในฐานะที่เป็นเป้าหมายและความปรารถนาของพวกเธอซึ่งเข้ามามีบทบาท: พวกเธอต้องการชีวิตที่มีความสุขกว่าอันหนึ่ง ความไม่แน่นอนและการคาดหมายตามมา: พวกเธอจะบรรลุเป้าหมายนี้ได้หรือไม่?
ในการเล่าเรื่องเกือบจะทุกครั้ง ความหลากหลายเกี่ยวกับข้อสงสัยที่เป็นแกนกลางของการเล่าเรื่องนี้ ซึ่งมันจะขับเคลื่อนพล็อตเรื่องและธำรงรักษาความสนใจของผู้ดูเอาไว้. การแตกหักที่ยิ่งใหญ่ได้บังเกิดขึ้นเมื่อพวกเธอได้ไปฆ่าผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งประเด็นนั้นทำให้ความไม่แน่นอนตามมา คำถามเกิดขึ้นเกี่ยวกับว่า พวกเธอจะหนีรอดการถูกจับกุมได้หรือไม่
การแตกหักยังก่อให้เกิดข้อกังขาขึ้นมาด้วยที่ว่า Thelma และ Louise จะเกี่ยวโยงกันและกันอย่างไร. ข้อสงสัยอีกอันหนึ่งเรียกร้องการแก้ไขด้วย: นั่นคือ อะไรเกิดขึ้นกับอดีตของ Louise ที่ผ่านมา? คำถามและข้อสงสัยเหล่านี้ได้มาถึงทางออกในช่วงสุดท้าย
ตอนจบ - มันจะลงท้ายด้วยความสุขหรือไม่มีความสุข - เมื่อเรื่องมาถึงที่สุด มันนำมาซึ่งความมั่นคง มีเสถียรภาพใหม่ และคำตอบอันหนึ่งต่อคำถามหรือข้อสงสัยที่เป็นใจกลางของเรื่องหรือไม่
อันนี้มันมีผลสำคัญที่ตามมาหลายหลาก เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานการเล่าเรื่อง
ประการแรก, มันเสนอว่า ปัญหาและการแตกหักทั้งหมดจะมีทางออกหรือคำตอบอันหนึ่ง. อันนี้หมายความว่า การเล่าเรื่องในฐานะที่เป็นโครงสร้างที่เป็นทางการ มันมีโครงสร้างที่น่าอุ่นใจหรือมั่นใจและมีลักษณะปลอบโยน: แม้ว่าจะจบลงอย่างไม่มีความสุขก็ตาม อย่างน้อยที่สุดมันก็ถูกพบทางออกหรือการแก้ปัญหาอันนี้ไม่เข้ากับประสบการณ์ของเราในชีวิตจริง: กล่าวคือ เราทั้งหลายต่างทราบว่าทางออกของปัญหาหนึ่ง บ่อยครั้งมันก่อให้เกิดปัญหาใหม่ต่างๆตามมา มันมีทางเลือกหลายทางหรือคำถามมากมาย และนั่นมันแทบจะไม่จบลงอย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ต่อสถานการณ์หรือการแตกหักอันนั้น. การเล่าเรื่องได้ทำหน้าที่เสนอกรอบซึ่งน่าอุ่นใจหรือวางใจได้อันหนึ่ง ต่อวิธีการที่เรามองและเสนอโครงสร้างแก่ชีวิต
ประการที่สอง, เพราะว่ามันมีการการปิดเรื่อง ดังนั้น ผู้ชมทั้งหลายจึงถูกเชื้อเชิญให้ไม่ต้องทำอะไรมากไปกว่าการมีปฏิกริยาทางอารมณ์เท่านั้น การปิดเรื่องเสนอว่าได้มาถึงจุดสุดท้ายแล้ว ซึ่งผู้ชมทั้งหลายไม่ได้รับการเชิญชวนให้กระทำการใดๆ หรือต้องทำบางสิ่งบางอย่างในเชิงโต้ตอบ แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ท้าทายก็ตาม
ประการที่สาม, วิธีการที่เรื่องราวต่างๆถูกบอกเล่า มันได้นำเสนอสิ่งซึ่งไม่อาจที่จะหลีกเลี่ยงได้อันหนึ่งเกี่ยวกับผลลัพธ์ที่ออกมา - ไม่มีทางออกที่เป็นอื่นไปได้. มันเป็นไปได้ที่จะเสนอการเล่าเรื่องต่างๆที่แนะถึงลำดับการณ์อันหนึ่งของทางออกที่แตกต่าง ดังเช่นในภาพยนตร์เรื่อง Run Lola Run, Bill and Ted's Excellenct Adventure ซึ่งได้นำเสนอตัวอย่างที่ดูขบขันต่างๆเกี่ยวกับทางออกที่หลายหลากเหล่านี้ โดยตอนจบ มันมีความเป็นไปได้ต่างๆถึงสามทางด้วยกัน
ขณะที่การเล่าเรื่องต่างๆ ในภาพยนตร์และโทรทัศน์ น้อยมากที่จะมีการเล่าเรื่องซึ่งแตกกิ่งก้านออกไปได้ การเล่าเรื่องในแบบที่มีทางเป็นไปได้อื่นๆจะวางโครงในลักษณะเชื้อเชิญให้ผู้ชมมีปฏิกริยาและมีส่วนร่วม โดยการให้ทางเลือกต่างๆในท่ามกลางช่องทางทั้งหลาย, ฉากที่เปลี่ยนไป, และลักษณะต่างๆของตัวละคร ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีมากขึ้นในเกมส์คอมพิวเตอร์ต่างๆ, โทรทัศน์แบบอินเตอร์แอ็คทีฟ, และการแปรผันอื่นๆของการสื่อสารผ่านคอมพิวเตอร์
ข้อทดสอบในเชิงถาม-ตอบ
โดยสาระแล้ว การเล่าเรื่องต่างๆได้รับการขับเคลื่อนโดยคำถามและคำตอบ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เสมือนขอเกี่ยวคนฟังให้ติดตามการเล่าเรื่องไป
- มันทำให้เราต้องการรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป. การเล่าเรื่องทุกอย่างจะก่อให้เกิดปริศนาที่สำคัญหรือคำถามต่างๆ
มันมีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดคำถามสำคัญขึ้นมา ข้อหรือสองข้อ และคำถามย่อยๆจำนวนมาก และแต่ละคำถามจะได้รับคำตอบในบางระดับ อันนี้คือสิ่งที่ Roland Bathes เรียกว่า "hermaneutic code" (หลักการสืบสวน-ตีความ) เพราะศัพท์คำว่า hermaneutic เป็นการอ้างถึงการสืบสวนและการตีความ(Bathes 1974)
สถาบันภาพยนตร์ของอังกฤษ(The British Film Institute)ได้อธิบายถึงวิธีการที่คนดูได้ถูกนำเข้าไปพัวพันกับการดำเนินเรื่องในภาพยนตร์ดังต่อไปนี้:
ก. ผู้ชมได้ถูกกระตุ้นให้ตั้งคำถาม - ยกตัวอย่างเช่น "ใครคือคนแปลกหน้าที่ลึกลับนี้?" "พวกเขาทั้งสองจะตกหลุมรักกันไหม?"
ข. เขา / เธอ จดจ้องและเฝ้าคอยเกี่ยวกับการได้รับคำตอบอันหนึ่งในท้ายที่สุด
ค. ในระหว่างนั้น ภาพยนตร์ได้ทิ้งร่องรอยที่ผิดพลาดชุดหนึ่งลงในหนทางของผู้ชม, เช่น ทางตันและการถ่วงเวลาต่างๆ, มันเป็นการกันเราออกไปจากคำตอบที่ยังมาไม่ถึง
ง. ภาพยนตร์จะนำเสนอคำถามย่อยๆ ซึ่งจะได้รับคำตอบที่เร็วกว่า
จ. ภาพยนตร์ยังทิ้งร่องรอยบางอย่างไปทั่ว คล้ายดั่งจะบอกใบ้ และยั่วเย้าในลักษณะที่จะเปิดเผยเกี่ยวกับคำถามข้อใหญ่ที่มีมาแต่เดิม สิ่งเหล่านี้ได้ล่อลวงผู้ชมให้ติดตามเรื่องราวต่อไป
ฉ. การคาดเดาต่างๆของผู้ชมเป็นครั้งคราว คำตอบต่อคำถามต่างๆ และถัดจากนั้นก็ปรับเปลี่ยนการคาดเดาต่างๆเหล่านี้ใหม่ไปตามพยานหลักฐานใหม่ที่ผุดขึ้นมา และคาดเดากันอีกจนกระทั่ง บรรดาผู้ชมทั้งหลายได้มาถึงข้อสรุปด้วยการเริ่มรู้สึกประหลาดใจ หรือพึงพอใจต่อความคาดหวังต่างๆที่บรรลุถึง
(British Film Institute, Notes on Narrative)[ลองจดบันทึกลงไปว่า วิธีการที่ภาพยนตร์บางเรื่องที่เราชมนั้น ได้แสดงให้เห็นแบบแผนการอธิบายของสถาบันภาพยนตร์อังกฤษอันนี้]
แบบฝึกหัดแสดงความคิดเห็น
ดังที่ได้สนทนากันมาก่อนหน้านี้ ซึ่งนำมาสู่คำถามใหญ่ที่ชัดเจนซึ่งขับดันการเล่าเรื่องคือ
"Thelma และ Louise จะรอดจากการจับกุมหรือรอดตายไหม? เคียงข้างกับคำถามที่เป็นข้อใหญ่ใจความดังกล่าว
ยังมีคำถามย่อยๆอื่นๆอีกมากมาย เช่นว่า ตำรวจซึ่งแสดงโดย Harvey Keitel เป็นคนดีใช่หรือไม่?
Thelma และ JD จะร่วมมือกันไหม? มีอะไรเกิดขึ้นกับอดีตของ Louise? พวกเธอได้เงินมาเยอะแยะได้อย่างไร?
- และอื่นๆ
ลองหมายเหตุลงไปด้วยว่า บ่อยมากแค่ไหนที่การเล่าเรื่องมันทำงานโดยคำถามเหล่านี้ที่เกิดขึ้น ซึ่งทำให้ผู้ชมรู้สึกกระวนกระวายใจหรือกระหายใคร่รู้ ยกตัวอย่างเช่น Thelma จะถูกข่มขืนไหม? - อันนี้เราได้คำตอบต่อมาอย่างรวดเร็ว - ในกรณีนี้ "ไม่" - แต่ในเวลาเดียวกัน ได้ก่อให้เกิดคำถามใหม่ขึ้นมาอีก (ยกตัวอย่างเช่น จะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไป หลังจากที่ Louise ได้ยิงคนที่จะมาข่มขืนแล้ว?)
กระบวนการที่เป็นไปอย่างต่อเนื่องของคำถามและคำตอบ มันปล่อยให้เรารู้สึกพึงพอใจและต้องการมากยิ่งขึ้น เรากลายเป็นผู้ชมที่ถูกทำให้เข้าไปเกี่ยวพันกับกับเรื่องราวทางอารมณ์ ความรู้สึก จินตนาการ และสติปัญญา ซึ่งผูกพันกับโลกของเรื่องราวมากกว่าที่จะถูกทำให้ห่างจากมันอย่างที่เราเป็น แต่อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เราดูภาพยนตร์ของพวกแนวหน้า(avant garde film) ซึ่งภาพยนตร์เหล่านั้น จะกระตุ้นสนับสนุนเราให้ตั้งคำถามกับสถาบันทางด้านภาพยนตร์ และกับเรื่องราวดั่งความฝันที่มันนำเสนอ
ในที่นี้ เราสามารถเห็นได้ว่า บรรดาผู้ชมภาพยนตร์ทั้งหลายต่างมีส่วนร่วมอย่างกระตือรือร้น ในกระบวนการเกี่ยวกับการสร้างความหมาย. จินตนาการต่างๆ, สติปัญญา, และความสามารถอื่นๆของเรากำลังได้รับการยืดขยายอย่างต่อเนื่อง สู่การค้นหาคำตอบต่อคำถามหลายหลากที่ก่อขึ้นมาบนเส้นทางของการเล่าเรื่อง และสัมพันธ์กับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในเรื่อง กับประสบการณ์ของตัวเราเองและความรู้เกี่ยวกับโลก
อย่างไรก็ตาม เราต้องพิจารณาถึงความเป็นไปได้ด้วยที่ว่า บรรดาผู้รับสื่อต่างก็รับมันมาอย่างยอมจำนน ในขอบเขตที่ว่าเรามีแนวโน้มที่จะกลายเป็นคนที่จ่อมจมลงไปในโลกของการเล่าเรื่อง และไม่ได้รับการกระตุ้นให้ตั้งคำถามต่อคุณค่าต่างๆของทุนนิยม, บริโภคนิยม, ซึ่งอยู่ข้างใต้ข้อมูลหรือเนื้อหาของภาพยนตร์กระแสหลัก และเราไม่ค่อยที่จะคลางแคลงใจเกี่ยวกับเรื่องของความเป็นจริงที่พวกมันได้สร้างขึ้นมาเหล่านี้เลย
ตำแหน่งในเชิงโครงสร้างของตัวละครต่างๆ
(The Structural position of characters)
ตัวละครทั้งหลายได้รับการวางตำแหน่งในการเล่าเรื่องอย่างไร และตำแหน่งอันนี้ได้ไปช่วยสนับสนุนความหมายอย่างไร?
ข้างล่างต่อไปนี้ คือคำถามที่เป็นประโยชน์ในการตั้งขึ้นมาค้นหาการเล่าเรื่อง:
1. ใคร และ/หรือ อะไร ที่ทำให้สิ่งต่างๆเกิดขึ้นในการเล่าเรื่อง?
2. ผู้คนมีบทบาทในเชิงโครงสร้างอะไร ในการเล่าเรื่อง?
3. เรามองสิ่งต่างๆจากความคิดเห็นของใคร และเสียงของใครเป็นผู้ที่เล่าถึงการกระทำ หรือมีอิทธิพลเหนือการสนทนา?
4. อะไรคือวาทกรรมที่มีอิทธิพล หรือลำดับสูงต่ำของวาทกรรม?
5. ผู้หญิงได้ถูกวางตำหน่งอย่างแตกต่างไปจากผู้ชายในการเล่าเรื่อง ใช่หรือไม่?
6. ตอนจบของเรื่องได้บอกอะไรกับคุณเกี่ยวกับอุดมคติของภาพยนตร์เรื่องนั้น?คำตอบต่อคำถามทั้งหมดนี้ จะนำผลที่ตามมาในกรณีต่างๆของความหมายของเนื้อเรื่อง
สารบัญข้อมูล : ส่งมาจากองค์กรต่างๆ
ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I ประวัติ ม.เที่ยงคืน
e-mail : midnightuniv(at)yahoo.com
หากประสบปัญหาการส่ง
e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com
ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม
สำหรับสมาชิกที่ต้องการ download ข้อมูล อาจใช้วิธีการง่ายๆดังต่อไปนี้
1. ให้ทำ hyper text ข้อมูลทั้งหมด
2. copy ข้อมูลด้วยคำสั่ง Ctrl + C
3. เปิด word ขึ้นมา (microsoft-word หรือ word pad)
4. Paste โดยใช้คำสั่ง Ctrl + V
จะได้ข้อมูลมา ซึ่งย่อหน้าเหมือนกับต้นฉบับทุกประการ
(กรณีตัวหนังสือสีจาง ให้เปลี่ยนสีเป็นสีเข้มในโปรแกรม Microsoft-word)
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
กลางวันเรามองเห็นอะไรได้ชัดเจน
แต่กลางคืนเราต้องอาศัยจินตนาการ
Website ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
สร้างขึ้นมาเพื่อผู้สนใจในการศึกษา
โดยไม่จำกัดคุณวุฒิ
สนใจสมัครเป็นสมาชิก
กรุณาคลิก member page
ส่วนผู้ที่ต้องการดูหัวข้อบทความ
ทั้งหมด ที่มีบริการอยู่ขณะนี้
กรุณาคลิกที่ contents page
หรือหน้าสารบัญ ซึ่งมีอยู่ 2 หน้า
และผู้ที่ต้องการแสดงความคิดเห็น
หรือประกาศข่าว
กรุณาคลิกที่ปุ่ม webboard
หากต้องการติดต่อกับ
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ส่ง mail ตามที่อยู่ข้างล่างนี้
midnight2545(at)yahoo.com
midnightuniv(at)yahoo.com
Harvey Keiter ได้แสดงบทบาทจำนวนมากเกี่ยวกับพวกแก๊งต่างๆ,
อาชญากรที่ชั่วช้า, และข้าราชการทุจริตในภาพยนตร์หลายเรื่อง อย่างเช่น Mean Street
และ Taxi Driver และภาพยนตร์ส่วนใหญ่ ซึ่งเขาได้ปรากฏตัวออกมาค่อนข้างเร้นลับ
ภาพพจน์ของดารานี้ได้มีอิทธิพลต่อการอ่านของเรา เกี่ยวกับตัวเขาในภาพยนตร์
ในการศึกษาเกี่ยวกับสื่อ(media studies) ลัทธิโครงสร้างนิยมได้ถูกนำมาใช้เพื่อวิเคราะห์ถึงการเล่าเรื่อง จุดมุ่งหมายกว้างๆของมัน ซึ่งต้องการที่จะลงไปลึกกว่าผิวหน้าของข้อมูลสื่อต่างๆนั่นเอง เพื่อดูว่าโครงสร้างของเรื่องเล่าได้ช่วยสนับสนุนความหมายอย่างไร
ดังเช่นในภาพยนตร์เรื่อง
Thelma and Louise สิ่งที่สำคัญสำหรับเราคือว่า โดยผ่านเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่างๆ
พวกเธอได้ค้นพบตัวเอง: พวกเธอเป็นอิสระจากบทบาทก่อนหน้านั้นของตัวเอง และได้พบพลังอำนาจของตน,
ความเข้มแข็ง, และความรู้สึกต่างๆ. ในตอนท้าย ได้ไปจบลงตรงที่กระบวนการเกี่ยวกับความเจริญเติบโตของปัจเจกนี้
ซึ่งนั่นคือจุดโฟกัสของเรื่องราว - มากยิ่งไปกว่าความรู้สึกที่ถูกกดขี่ในฐานะที่เป็นผู้หญิง
ซึ่งได้ไปกระตุ้นสนับสนุนหรือถือหางเหตุการณ์ต่างๆชุดหนึ่งที่ได้ถูกสะกดรอยโดยภาพยนตร์เรื่องนี้