Free Documentation License
Copyleft : 2006, 2007, 2008
Everyone is permitted to copy and distribute verbatim copies of this license
document, but changing it is not allowed.

หากนักศึกษา และสมาชิกประสงค์ติดต่อ
หรือส่งบทความเผยแพร่บนเว็บไซต์
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
กรุณาส่ง email ตามที่อยู่ข้างล่างนี้
midnight2545(at)yahoo.com
midnightuniv(at)yahoo.com
midarticle(at)yahoo.com

กลางวันคือการเริ่มต้นเดินทางไปสู่ความมืด ส่วนกลางคืนคือจุดเริ่มต้นไปสู่ความสว่าง เที่ยงวันคือจุดที่สว่างสุดแต่จะมืดลง
ภารกิจของมหาวิทยาลัยคือการค้นหาความจริง อธิบายความจริง ตีความความจริง และสืบค้นสิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความจริง
บทความวิชาการทุกชิ้นของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนได้รับการเก็บรักษาไว้อย่างถาวรเพื่อใช้ประโยชน์ในการอ้างอิงทางวิชาการ
ภาพประกอบดัดแปลงเพื่อใช้ประกอบบทความทางวิชาการ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ในการนำไปใช้ประโยชน์ทางวิชาการ
ขณะนี้ทางมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังเปิดรับงานแปลทุกสาขาวิชาความรู้ ในโครงการแปลตามอำเภอใจ และยังเปิดรับงานวิจัยทุกสาขาด้วยเช่นกัน ในโครงการจักรวาลงานวิจัยบนไซเบอร์สเปซ เพื่อเผยแพร่ต่อสาธารณชน สนใจส่งผลงานแปลและงานวิจัยไปที่ midnightuniv(at)yahoo.com

The Midnight University

คำประกาศอิสรภาพของนักเขียนและศิลปินอินโดนีเซีย
แถลงการณ์วัฒนธรรม:
วรรณกรรมและการเมืองในอินโดนีเซียทศวรรษ ๑๙๖๐

คุณะวรรณ โมฮะหมัด
ชนิดา พรหมพยัคฆ์ เผือกสม : แปล
The "Cultural Manifesto" Affair:
Literature and Politics in Indonesia in the 1960s A Signatory's View
(Working Paper No. 45, The Centre of Southeast Asian Studies, Monash University : 198)
Goenawan Mohamad

หมายเหตุ : วรรณกรรมชิ้นนี้เคยเผยแพร่แล้วบนกระดานข่าวมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
และมีสมาชิกบางท่านเสนอให้นำมาเผยแพร่บนหน้าเว็บเพจ เพื่อความสะดวกในการอ่านและทำสำเนา
ทางกองบรรณาธิการจึงใคร่ขออนุญาตผู้แปลนำงานวรรณกรรมนี้เผยแพร่ต่อสาธารณชนมา ณ ที่นี้

midnightuniv(at)yahoo.com

(บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา)
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ 979
เผยแพร่บนเว็บไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๔๙
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ 15.5 หน้ากระดาษ A4)




แถลงการณ์วัฒนธรรม: วรรณกรรมและการเมืองในอินโดนีเซียทศวรรษ ๑๙๖๐ ทัศนะของผู้ลงนาม
โดย คุณะวรรณ โมฮะหมัด / ชนิดา พรหมพยัคฆ์ เผือกสม : แปล

คำนำ
คุณวรรณ โมฮะหมัด บรรณาธิการของนิตยสารรายสัปดาห์ทรงอิทธิพล เท็มโป (TEMPO) ได้มาอยู่ที่มหาวิทยาลัยโมนาชในช่วงครึ่งเดือนแรกของเดือนมีนาคม ค.ศ. 1988 ในฐานะที่เป็นคนแรกที่รับทุนวิจัยซึ่งให้การเอื้อเฟื้ออย่างดี ที่จัดการบริหารโดยศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาโดยนักธุรกิจชาวออสเตรเลีย และนักอินโดนีเซียศึกษา George Hicks ได้มอบให้กับมหาวิทยาลัยใน ค.ศ. 1986

คุณวรรณ โมฮะหมัดเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีในอินโดนีเซียในฐานะกวีและนักวิจารณ์วรรณกรรม งานวิจัยหมายเลข 45 เป็นผลลัพธ์ที่เป็นที่ประจักษ์ชัดของการมาเยือนอันมีคุณค่าของคุณวรรณ และมีที่มาจากงานสัมมนาที่เขาได้มอบให้แก่ศูนย์ในวันที่ 17 มีนาคม ค.ศ. 1988 ข้าพเจ้าต้องขอบคุณเขาไม่เพียงแค่ในเรื่องของการสัมมนาที่จุดประกายความคิดใหม่ๆ และการมาเยือนของเขาโดยรวม แต่ยังต้องขอบคุณต่อการทำงานอย่างหนักที่เขาได้กระทำเพื่อผลิตงานเขียนที่เฉียบคมชิ้นนี้ ซึ่งได้วางไว้บนโต๊ะของข้าพเจ้า ในฐานะสิ่งที่เป็นเหมือนกับของขวัญในการจากไกล ของเช้าวันที่เขาออกเดินทาง

David Chandler
25 March 1988

แถลงการณ์วัฒนธรรม
พวกเรา เหล่าศิลปินและปัญญาชน ขอประกาศแถลงการณ์วัฒนธรรม ซึ่งเป็นการประกาศจุดยืนของพวกเรา อุดมคติของพวกเรา และนโยบายของพวกเรา ต่อวัฒนธรรมแห่งชาติ

สำหรับพวกเราแล้ว วัฒนธรรมเป็นเรื่องของการดิ้นรนเพื่อที่จะนำสภาพการดำรงอยู่ของมนุษย์ให้ไปสู่จุดที่สมบูรณ์แบบ เรามิได้คิดว่าส่วนหนึ่งส่วนใดของวัฒนธรรมจะมีความเหนือกว่าส่วนอื่นๆ ทุกๆ ส่วนทำงานร่วมกันเพื่อให้วัฒนธรรมนี้มีสมรรถภาพสูงสุด

ด้วยการตระหนักเช่นนี้ในเรื่องของวัฒนธรรมแห่งชาติ พวกเราจึงดิ้นรนเพื่อให้เกิดการสร้างสรรค์ที่แท้จริงและบริสุทธิ์ ในฐานะที่เป็นคุโณปการของพวกเราในการที่จะต่อสู้เพื่อปกป้องและพัฒนาศักดิศรีของพวกเราในฐานะประชาชนอินโดนีเซียในประชาคมแห่งชาติต่างๆ

ปัญจศีล จะเป็นพื้นฐานปรัชญาที่สำคัญของวัฒนธรรมของพวกเรา

จาการ์ตา 17 สิงหาคม 1963


Drs. H.B. Jassin Ras Siregar
Trisno Sumardjo Hartojo Andangdjaja
Wiratmo Sukito Sjahwil
Zaini Djufri Tanissan
Bokor Hutasuhut Binsar Sitompul
Goenawan Mohamad Drs. Taufiq A.G. Ismail
A.Bastari Asnin M. Saribi Afn.
Bur Rasuanto Poernawan Tjondronagoro
Soe Hok Djin Dra. Boen S. Oemarjati
D.S. Muljanto

(Manifes Kebudajaan ตีพิมพ์ใน Sastra 9-10 1963 พร้อมกับการแสดงความเห็นและคำอธิบาย รวมทั้งดูที่ฉบับที่ตามออกมาของ Sastra และ Basis 13.3)
คำแปลภาษาอังกฤษนำมาจาก H. Soebadio and C.A. Sarvaas (editors), Dynamic of Indonesian History Amsterdam 1978, pp. 339-340.

1.
จุดมุ่งหมายของบทความนี้เพื่อที่จะบรรยายถึงประสบการณ์ของนักเขียนอินโดนีเซียคนหนึ่งในระหว่างช่วงความวุ่นวายสับสนที่เกิดขึ้นก่อน "Gestapu Affair" ใน ค.ศ. 1965 ส่วนใหญ่ของงานชิ้นนี้เป็นการย้อนระลึกความหลังโดยส่วนตัว อันมีความช่วยเหลือจากชุดเอกสารงานสะสมที่เป็นสิ่งพิมพ์ซึ่งมีความสำคัญมากหลายชิ้น อันปรากฏขึ้นในกรุงจาการ์ตาในช่วงต้นทศวรรษ 1960 เพื่อที่จะเติมเต็มช่องว่างในความทรงจำของข้าพเจ้า

หมายเหตุผู้เขียน: ข้าพเจ้าขอขอบคุณ คุณ Helen Sumardjo จากหอสมุดกลางมหาวิทยาลัยโมนาช ที่ให้โอกาสข้าพเจ้าได้ใช้แฟ้มเอกสารที่ข้าพเจ้าไม่สามารถหาได้ในจาการ์ตา สำหรับ Dewi Fortuna Anwar และ Greg Barton ซึ่งช่วยเหลือข้าพเจ้าในการต่อสู้เรื่องภาษาอังกฤษ ข้าพเจ้าก็ขอแสดง "terimankasih" ไว้ด้วย

2.
ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1963 วารสารวรรณกรรมรายเดือน "ศาสตรา" (Sastra) ในจาการ์ตาได้ตีพิมพ์เอกสารสามหน้ากระดาษชื่อว่า "Manifes Kebudayaan" หรือ แถลงการณ์วัฒนธรรม เอกสารนี้ประกอบด้วยลำดับรายชื่อผู้ร่วมลงนาม ซึ่งประกอบไปด้วยนักเขียน 16 คน จิตรกร 4 คนและนักแต่งเพลง 1 คน พวกเขาส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มในวัยต้นยี่สิบ และดังเช่นข้าพเจ้า ที่มีเพียงแค่กวีนิพนธ์ เรื่องสั้น หรืองานวิจารณ์ อยู่เพียงแค่หยิบมืออยู่ด้านหลัง กลุ่มนี้นี่เองเป็นที่มาของพลังผลักดันในแถลงการณ์นี้

ถึงแม้ว่าเหล่าคนที่เป็นหัวหอกนั้น จะเป็นคนสำคัญเป็นที่รู้จักในวงการวรรณกรรมและศิลปะของอินโดนีเซีย และผู้ที่สำคัญที่สุดก็คือ H.B. Jassin นักวิจารณ์วรรณกรรม ซึ่งโดยทั่วไปมักจะได้รับการกล่าวถึงแบบกึ่งติดตลกว่า "สังฆราช (The Pope)" ของวงวรรณกรรมอินโดนีเซีย อันเนื่องมาจากสถานะผู้กุมบังเหียนในวงการวิจารณ์วรรณกรรมของเขา. Trisno Sumadjo ชื่อที่สองที่ปรากฏอยู่ในรายนาม เป็นกวี นักวาดรูป และผู้แปลงานของเชคสเปียร์ที่โดดเด่น. Wiratmo Sukito ซึ่งอยู่ในลำดับที่สาม ซึ่งในขณะนั้นเป็นผู้ที่คอยให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ทางวัฒนธรรมและการเมืองที่มีผลงานออกมาเป็นจำนวนมาก และมีอิทธิพลสำคัญเหนือปัญญาชนคนรุ่นใหม่เป็นจำนวนมาก

หลังจากการรณรงค์ต่อต้านแถลงการณ์ดังกล่าวอย่างรุนแรง โดยเหล่านักเขียนและองค์กรที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซีย (Indonesian Communist Party, PKI) ประธานาธิบดีสุการโนก็ได้ประกาศให้แถลงการณ์ที่มีอายุอันสั้นนั้นผิดกฏหมาย เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1964 ผลที่ตามมานักเขียนและปัญญาชน ซึ่งเกี่ยวข้องกับแถลงการณ์ดังกล่าวถูกไล่ออกหรือลดตำแหน่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นข้าราชการหรืออาจารย์ในมหาวิทยาลัย งานเขียนของพวกเขาเป็นสิ่งต้องห้ามควบคู่ไปกับงาน "ต่อต้านการปฏิวัติ" ชิ้นอื่นๆ เกิดกระแสที่โหมแรงขึ้นในการที่จะเรียกร้องเจ้าหน้าที่ให้ขจัด "เรื่องที่เป็นแถลงการณ์วัฒนธรรม" ทั้งหมดออกไปจากมหาวิทยาลัย หนังสือพิมพ์ อุตสาหกรรมภาพยนตร์และศิลปะขึ้นมาโดยฉับพลัน

โดยทันทีทันใดนั้น แถลงการณ์วัฒนธรรมได้กลายเป็นโรคร้ายทางการเมือง. Harian Rak (People's Daily) อันเป็นองค์กรของพรรคคอมมิวนิสต์ ได้ตั้งคำถามที่ต่อมาภายหลัง ได้ถูกใช้อย่างกว้างขวางเพื่อที่จะทำให้แถลงการรณ์นี้และผู้ที่ร่วมลงนามเป็นที่น่าขบขัน และน่าหยามเหยียด แถลงการณ์นี้ถูกเรียกว่า "Manikebu" อันเป็นชื่อย่อของ "Manifes Kebudayaan" แต่ก็ยังให้ความหมาย ซึ่งเป็นมากกกว่าตลกร้ายเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ว่ามันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ "อสุจิของควาย"

3.
ข้าพเจ้าจะต้องยอมรับว่าแถลงการณ์นี้ ในฐานะที่เป็นเอกสารวิชาการ ยากมากที่จะถอดรหัสความหมายออกมา ส่วนหลักของงานเขียนนี้เป็นฝีมือของ Wiratmo Sukito เขาเป็นที่รู้จักดีในฐานะผู้ผลิตความเรียงเชิงปรัชญาที่ซับซ้อนจนเกือบอ่านไม่รู้เรื่องอยู่หลายชิ้น ไม่ว่าจะเกี่ยวกับมาร์กซิสม์ หรือเกี่ยวกับปรากฏการณ์วิทยา (phenomenology) ของ Edmund Husserl ใครก็ตามที่ไม่คุ้นเคยกับรูปแบบเฉพาะของงานเขียนของเขา ย่อมจะหลีกไม่พ้นที่จะพบว่าความเรียงเกี่ยวกับปรัชญาวัฒนธรรมของเขานั้น แทบจะไม่รู้เรื่องเอาเลย

แต่ที่สำคัญกว่านั้น โครงสร้างคำศัพท์ที่ใช้ในแถลงการณ์นั้นยังถูกจำกัดอยู่มากด้วยภาษาทางการเมืองของยุคนั้น มีการพาดพิงอ้างอิงอย่างเห็นได้ชัดเจนอย่างมากถึงงานเขียนและคำพูดของประธานาธิบดีสุการโน ซึ่งได้กลายเป็นแหล่งที่มาของความคิดที่ถูกต้องตามกฏหมายเพียงหนึ่งเดียวในยุคของ "ประชาธิปไตยแบบชี้นำ" (guided democracy) มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

อย่างไรก็ตาม ข้อโต้แย้งพื้นฐานของแถลงการณ์นี้ค่อนข้างจะชัดเจน นั่นคือ เป็นความพยายามที่จะรักษาพื้นที่ไว้ให้มากขึ้น สำหรับการแสดงออกทางศิลปะอย่างเป็นอิสระ เป็นอิสระจากแรงกดดันทางการเมืองและกระแสนิยม "การปฏิวัติ" ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1960

เพื่อให้แน่ใจว่า ยุค "ประชาธิปไตยแบบชี้นำ" จะไม่เป็นสิ่งเดียวกับที่ระบบเผด็จการเบ็ดเสร็จในแบบของพวกนิยมออร์เวลล์ (Orwellian) [of or characteristic of the work of the British novelist George Orwell (1903-50), especially with reference to the totalitarian state as depicted in Nineteen Eighty-four.]
แต่กระนั้นมันก็มี "คำใหม่" (newspeak) ของมันเอง อันเป็นภาษาที่เต็มไปด้วยตัวย่อที่น่าลุ่มหลงต้องมนต์ ร่วมทั้งมันยังมีวิธีการของมันเองในการควบคุมจิตใจ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสาธารณรัฐ ปัญญาชนจะต้องประจันหน้ากับวีถีแห่งทรราชย์โดยรัฐอันทรงพลัง ซึ่งเป็นสิ่งที่ยังคงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้

ลักษณะที่โดดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของ "ประชาธิปไตยแบบชี้นำ" ของสุการโน เท่าที่มันส่งผลกระทบต่องานเขียนวิชาการก็คือ การที่คอยเรียกร้องอยู่เป็นนิจให้คนต้องแสดงถึงการตระหนักรู้ถึงหลักการของรัฐ ที่รู้จักกันว่า "Manipol" (ตัวย่อของแถลงการณ์การเมืองของประธานาธิบดีสุการโนในการเรียกร้องอยู่เสมอๆ เพื่อ "indokritnasi" (ปลูกฝัง) เกิดขึ้นในเกือบจะทุกปริมณฑลทางการเมือง) โดยมีแนวคิดมาร์กซิสม์ และงานเขียนของสุการโนเป็นส่วนประกอบหลักในการสอน ดูเหมือนว่าไม่มีใครเลยที่จะเป็นอิสระจากความปรารถนาที่จะยกคำพูดเหล่านั้นมากล่าวซ้ำ "การปฏิวัติ" การเป็นคำที่มีมนต์สะกดอย่างสูง มันสามารถที่จะเปลี่ยนให้คนกลายเป็นผู้ที่ก้าวร้าวสู้คนหรือหัวอ่อนสอนง่ายได้เพียงข้ามวัน
[หมายเหตุผู้เขียน: หลายปีต่อมาเมื่อข้าพเจ้าอ่านบันทึกความทรงจำของภรรยาหม้ายของ กวี Ossip Mandelstam ด้วยความประหลาดใจข้าพเจ้าพบว่า สถานการณ์เดียวกันได้เกิดขึ้นในสหภาพโซเวียตในทศวรรษ 1930 เช่นกัน]

ผลลัพธ์โดยตรงของมัน เท่าที่โลกของงานเขียนให้ความสนใจก็คือ การปิดกั้นกลุ่มการใช้คำภาษาอินโดนีเซียให้แคะแกรน ไม่ว่าจะมีคุโณปการอันมีสีสันของสุการโนในเรื่องคำศัพท์ภาษาอินโดนีเซียในเวลานั้นก็ตาม แต่สำเนียงภาษาหลักๆ ที่ใช้ ก็มักจะมีลักษณะก้าวร้าว คำดังเช่น "menggnayang" (บดขยี้) "mengeremus" (การบดเคี้ยวบางสิ่งด้วยฟัน) ซึ่งพบได้ทั่วไปในสำนวนการเมืองอินโดนีเซียยุค "ประชาธิปไตยชี้นำ"
[หมายเหตุผู้เขียน: ต่อมา ยังมีคำ "membabat" หมายถึงการตัดริดต้นไม้ หรือต้นหญ้าที่ไม่ต้องการด้วยของมีคม อันเป็นแนวคิดที่มาจากนักเขียนนวนิยายปราโมทยา อนันตา ตูร์] เช่นนี้นั้น ทำให้มีเนื้อที่อันน้อยนิดให้แก่วิถีของการสร้างแนวคิดที่เป็นทางเลือก

สิ่งต่างๆ แย่ลงเมื่อเราจะต้องใช้รูปแบบสำนวนภาษาที่เป็นที่ยอมรับหรือที่กำหนดไว้ซ้ำๆ ซากๆ ถูกกดดันอยู่เป็นนิจให้แสดงถึง "ตรา" แห่งการปฏิวัติของตนเอง ภาษาสาธารณะก็พัฒนาไปเป็น "ภาษาแบบอัตโนมัติ" อย่างรวดเร็ว ซึ่งถูกครอบงำโดยชุดของคำขวัญทางการเมืองอันง่ายที่จะพูดซ้ำๆ ชุดหนึ่ง คำนามในภาษาอินโดนีเซียได้ย้ายเข้าไปอาณาจักรของนามธรรมมากขึ้นมากขึ้น คำเช่น "Rakyat" (ประชาชน) "Tani" (ชาวนา) "Buruh" (ชนชั้นกรรมาชีพ) "Tanahair" (ปิตุภูมิ) "Kemerdekaan" (เสรีภาพ) และอื่นๆ มักจะใช้เพื่อหมายถึงความหมายแบบเป็นกลุ่มโดยรวม มากกว่าที่จะหมายถึงคน หรือสถานภาพหนึ่งๆ มากขึ้นมากขึ้นทุกที

สำหรับกวีที่ดำรงอยู่ด้วยภาพลักษณ์อุปมาอุปมัยเชิงกวีนิพนธ์ที่เป็นรูปธรรม อันเป็นคำที่มุ่งหมายให้จับฉวยสิ่งที่มีอยู่ประเดี๋ยวประด๋าวจากปริมณฑลของความรู้สึกแล้ว นี่เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากอย่างมาก นักเขียนน้อยคนลงเรื่อยๆ ที่จะสามารถปฏิบัติต่อภาษาในฐานะที่เป็นแหล่งที่มาของการผจญภัย และความคิดริเริ่มสร้างสรรค์

วันหนึ่งขณะที่นั่งอยู่ใต้เงาไม้หน้าห้องแสดงภาพในจาการ์ตา ข้าพเจ้าเห็นนกกระจอกเคลื่อนไหวเข้าๆ ออกๆ ระหว่างแสงกับเงา และทำให้ข้าพเจ้าคิดได้ว่าตอนนี้นั้นข้าพเจ้าไม่สามารถที่จะชื่นชมกับความสำคัญของสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวของข้าพเจ้าได้ แต่กลับเพียงแค่ฟังและเขียนเกี่ยวกับความคิดใหญ่ ๆ ที่ห่อหุ้มด้วยคำหรูๆ เท่านั้น

ไม่น่าแปลกใจที่ผลลัพธ์จาก "ประชาธิปไตยแบบชี้นำ" ในปลายทศวรรษที่ 60 และต้นทศวรรษที่ 70 จะทำให้เรนทรา (Rendra) แสดงออกด้วยละครสั้นที่ใช้คำพูดน้อยที่สุด ราวกับว่าเพื่อที่จะแสดงออกอย่างซื่อสัตย์ คนเราก็ควรที่จะหลีกเลี่ยงที่ใช้คำนาม คำกริยา และคำคุณศัพท์มีอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งถูกบิดเบือนไปโดยการทำให้ภาษาเป็นการเมือง แต่กระนั้นมันก็ได้นำไปสู่สำนึกที่เลวร้ายอันหนึ่งในการที่จะแสดงความไม่เห็นด้วยของตน ในเรื่องความคิดความเชื่อทางอุดมการณ์ของทศวรรษที่ 1960

ในต้นทศวรรษที่ 60 ได้เห็นถึงความพยายามทั่วทั้งชาติอยู่ชุดหนึ่งในการที่จะขับเคลื่อนประชาชน ในตอนต้นเป็นเรื่องของการรณรงค์เพื่อปลดปล่อยอิหร่านตะวันตก ในไม่ช้าก็ตามมาด้วยการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันเอเชี่ยนเกมส์ในจาการ์ตา การแข่งขันกีฬาครั้งนี้ปลุกเร้าความรู้สึกชาตินิยมได้มาก เนื่องจากนักวิ่งชาวอินโดนีเซียจำนวนมาก ที่บางทีอาจจะเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ยุคมัชปาหิตได้รับเหรียญทอง หลังจากนั้น ในช่วงปลาย ค.ศ. 1963 คำกล่าวแรกที่แสดงความเป็นอริต่อต้านการก่อตั้งมาเลเซียได้ดังมาถึงหู เมื่อความวุ่นวายทางการเมืองเกิดขึ้นในบรูไน โดยมีอินโดนีเซียหนุนหลังขบวนการปลดปล่อยกาลิมันตันเหนือที่กำลังก่อตัวขึ้น

ท่ามกลาง "ความบ้าคลั่งอย่างต่อเนื่อง" ตามคำของออร์เวลล์ (Orwell) ก็มีความยินดีพร้อมใจอย่างจริงใจ แต่ไร้เดียงสา ในส่วนของนักเขียนจำนวนมากในทุกๆ ความเชื่อทางการเมืองที่จะเขียนงานแสดงความรักชาติ และผูกตนเองเข้าข้าง "rakyat" ประชาชน งานที่มีแกนเรื่องแบบการเล่าเรื่องชีวิตเฟื่องฟู และบทกวีที่ใช้ภาษาสวยงาม เป็น "อัตวิสัย" เกือบจะสูญหายไป ข้าพเจ้า ซึ่งเข้าร่วมกับคนอื่นๆ ได้เขียนบทกวีบทหนึ่งเกี่ยวกับคนทำงานกลางคืนของจาการ์ตา นักเขียนอีกคนหนึ่งในคนรุ่นเดียวกับข้าพเจ้า นั่นคือ Bur Rasuanto เขียนเรื่องราวหลายเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของคนงานบริษัทน้ำมัน (ข้าพเจ้าอนุมานเอาเองว่าเขาเคยทำอาชีพนี้เช่นกัน) Hartojo Andangdjaja ผู้แปลโคลงไฮคุของญี่ปุ่น ภายหลังได้ตีพิมพ์โคลงขนาดยาวเพื่อให้แก่ประชาชน "Rakyat" [หมายเหตุผู้เขียน - ดู Sarojini wimbadi (นามแฝงของ Satyagraha Hoerip) "Sastra Sebagai Ajang Penulis Revolusioner" Sastra, March 1963.]

สำหรับคนอื่นๆ ความจำเป็นที่จะต้องโอนอ่อนผ่อนตามวิถีวรรณกรรมในช่วงยุคสมัยของกองทัพเช่นนั้น ส่วนมากแล้วมาจากแรงกดดันจากภายนอก การเรียกร้องเพื่อที่จะทำตามแนวทางของ "Manipol" อย่างสัตย์ซื่อสำหรับพวกเขาแล้ว เป็นการยึดถือหลักการที่น่ารำคาญ ข้อเรียกร้องนี้ ซึ่งทำให้บรรยากาศทางการเมืองในช่วงนั้น อันเป็นช่วงที่งานตีพิมพ์จะกลายเป็นงานต้องห้ามโดยง่ายดาย และปัญญาชนหลายคนถูกจับเข้าคุก โดยนัยแล้วนั้นเป็นการคุกคามเช่นเดียวกัน

ตั้งแต่ปลายปี ค.ศ. 1961 วารสารวรรณกรรม "Sastra" ที่ขณะนั้นอายุได้ไม่ถึงหนึ่งปี ก็ถูกโจมตีเสียแล้วโดยเหล่านักเขียนที่อยู่ในกลุ่ม Lekra อันเป็นองค์กรทางวัฒนธรรมที่มีความเชื่อมโยงกับพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซีย ที่ขณะนั้นยังทรงอิทธิพลอยู่ เป้าหมายแรกเป็นเรื่องสั้นสองเรื่องโดย B. Sularto งานดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นอริศัตรูกับประชาชนและแนวคิดรื่องสันติภาพโลก

Sularto ในขณะนั้นเป็นนักเขียนวัย 26 จากเซอมารัง ชวากลาง ทำงานในกองวัฒนธรรม (Office of Cultural Affairs) งานเรื่องแรกของเขาเป็นเรื่องเกี่ยวกับชาวสลัมยากจนกลุ่มหนึ่ง ที่ถูกกักบริเวณชั่วคราวโดยตำรวจ เนื่องจากการยึดครองที่ดินที่เป็นของเทศบาล เรื่องที่สองของเขาเกี่ยวกับการประชุมใน kampong เพื่อสนทนาเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวเพื่อสันติภาพโลก

Jassin บรรณาธิการของ "Sastra" ซึ่งปกป้องการตัดสินใจของตนในการตีพิมพ์งานของ Salarto ได้อธิบายจุดยืนของเขาในบทความเปิดเล่มของฉบับเดือนมกราคม 1962 ว่า เขาปฏิเสธที่จะลดขนาด "daerah pengalaman" หรือ "พื้นที่ของประสบการณ์" ของนักเขียน ลงเป็นเพียงโลกที่มีแค่เพียงคำขวัญและอุดมการณ์ทางการเมือง เพราะว่า "ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเป็นงานที่เหี่ยวแห้งและถูกจำกัด

เช่นเดียวกับงานที่เราเห็นในช่วงระหว่างการยึดครองของญี่ปุ่น" การกล่าวพาดพิงไปถึงการยึดครองของญี่ปุ่นของ Jassin นั้นเป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างมาก ภายใต้การบริหารประเทศของญี่ปุ่นในต้อนทศวรรษ 1940 ก่อนหน้าได้รับเอกราชไม่นาน นักเขียนและนักแต่งเพลงชาวอินโดนีเซียได้รับการเรียกร้องให้ต้องผลิตงาน ที่เป็นไปในแนวทางเดียวกับเป้าหมายและนโยบายของรัฐ ดูเหมือนว่าข้อสมมติฐานของ Jassin ก็คือว่านักเขียนและสาวกของ Lekra มุ่งที่จะสนับสนุนความคิดที่ว่า วรรณกรรมจะต้องเป็นบูรณาการหนึ่งของการโฆษณาชวนเชื่อการปฏิวัติ

สิ่งนี้กระตุ้นให้เกิดปฏิกริยาต่อต้านจากผู้ที่สนับสนุน Lekra ต่อไป เริ่มต้นในวันที่ 16 มีนาคม ค.ศ. 1962 ปราโมทยา อนันตา ตูร์ นักเขียนนวนิยายได้ก่อตั้งส่วนวรรณกรรมขึ้นมาในหนังสือพิมพ์รายวัน "Bintang Timur" (ดาวตะวันออก) เขาเรียกมันว่า "Lentera" (ตะเกียง) ในฉบับปฐมฤกษ์นั่นเอง ปราโมทยาได้เสนอแนะไว้ในคอลัมภ์สั้นๆ ในกลางหน้าว่า เรื่องของ Sularto เป็นพวก "ปฏิกิริยา" และกล่าวว่าความเรียงของ Jassin เป็น "แนวทางทางการเมือง" ที่เปิดเผยออกมา แต่หลังจากนั้นอีกห้าเดือนต่อมาที่ "Lentera" ถึงจะเริ่มที่จะใช้น้ำเสียงที่ก้าวร้าวรุนแรงมากยิ่งขึ้น

บทความหลักในฉบับวันที่ 3 สิงหาคม ค.ศ. 1962 เป็นความเรียงที่ไม่ลงชื่อ ซึ่งมีแนวโน้มอย่างมากว่าจะเป็นของปราโมทยา ได้พูดถึงเรื่องสั้นหลายเรื่องที่พิมพ์ใน "Sastra" โดยละเอียด นอกจากความชาญฉลาดล้ำลึกและน้ำเสียงเหยียดหยามอย่างตรงไปตรงมา บทความนี้ก็มิได้แตกต่างออกไปนักจากแนวคิดที่เป็นปกติธรรมของ Manipol ที่ได้รับการเชิดชู "ขณะนี้ไม่มีอำนาจใดที่จะพบว่า Manipol เป็นสิ่งผิด" บทความนี้กล่าว

แต่กระนั้น ตามคำของปราโมทยา เรื่องในกระแสหลักของ "Sastra" ยังคง "นำเสนอค่านิยมของพวกกระฎุมพี" "ค่านิยมทางศีลธรรม" ของวารสารนี้เป็นสิ่งที่น่าสงสัย ปราโมทยากล่าว เนื่องจากมัน "มิได้เข้าข้างมวลชนซึ่งเหนื่อยยากและต้องตรากตรำทำงานหนัก" [หมายเหตุผู้เขียน - Lentera. Bintang Timur, 16 March 1962.]

ในสัปดาห์ต่อมา ปราโมทยาเริ่มต้นชุดบทความที่ชื่อว่า "Yang Harus Dababat dan Harus Dibangun" (ผู้ที่ควรจะถูกริดทิ้ง และผู้ที่ควรจะได้รับการสนับสนุน" ซึ่งเน้นการวิจารณ์แรกสุดไปยังนักเขียนดังเช่น S. Takdir Alisjahbana Takdir ถูกมองว่าเป็นสมาชิกของพรรคสังคมนิยมที่ถูกยกเลิกไปใน ค.ศ. 1960 และเขามักจะเป็นคนที่สำหรับคนอื่นแล้ว เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของความคิดที่เอียงข้างไปทางตะวันตก

ในช่วงทศวรรษ 1960 Takdir อยู่นอกประเทศ นี่ทำให้เขาดูเหมือนเป็นพวกนกสองหัว และส่วนที่ดูเหมือนจะมีความเกี่ยวข้องกับเขานั้น สามารถที่จะเป็นสิ่งไม่น่าปรารถนาทางการเมืองได้ทั้งนั้น สำหรับปราโมทยาแล้ว นักเขียนของ "Sastra" บางคน โดยเฉพาะ Iwan Simatupang ซึ่งเป็นนักเขียนเรื่อง "เพ้อฝันเหลวไหล" เห็นได้ชัดว่าเป็นคนประเภทเดียวกับ Takdir

เราจะเห็นได้อย่างง่ายดาย การวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงถึงเรื่องส่วนตัวที่แสดงออกในช่วงต้นๆ ของงานชุดนี้ ตัวอย่างเช่น เขากล่าวว่า Takdir Alisjahbana "ประสบความสำเร็จในการสะสมโชคลาภก้อนใหญ่" ซึ่ง "เขาสามารถนำตัวเองไปอยู่ในรายชื่อของมหาเศรษฐีในระดับชาติ" ปราโมทยายังได้พูดผ่านๆ ว่า Iwan Simatupang "กอบโกย" ("gondol") เงินได้หลายพันรูเปียจากคณะกรรมการมหกรรมละครคนหนึ่ง อย่างไรก็ตามจุดประสงค์หลักของปราโมทยาก็คือ การแสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของนักเขียนเหล่านั้น ซึ่งมิได้ยอมรับหลักการของ Lekra ที่ว่า "การเมืองคือผู้บังคับการ"

เขาสรุปว่า "ความคลุมเคลือทางการเมือง ที่ได้ให้กำเนิดศิลปะและความคิดของ "คนจรจัดไร้สังกัด" ("gelandangan") ควรจะถูกริดทิ้ง ("dibabat") และกำจัดออกไป ("disapu") เขายังกล่าวต่อไปว่า ไม่มีความจำเป็น "ที่จะให้พื้นที่ แม้ว่าจะเป็นแบบจำกัด แก่ส่วนที่เป็นโรคติดต่อเหล่านี้" เพราะว่าพวกมัน "ดูเหมือนว่าจะยังสามารถสยายปีกของตนได้กระทั่งในปัจจุบัน" ดังที่ได้เห็นอยู่ในเรื่องสั้นหลายๆ เรื่องที่ตีพิมพ์อยู่ในจาการ์ตา ดังนั้นจึงเริ่มต้นการถกเถียงอันขมขื่นที่ยิ่งทำให้นักเขียนของ "Sastra" ต้องออกมาปกป้องตนเองมากยิ่งขึ้น ฐานะของพวกเขา ในตอนแรก ออกจะไม่มั่นคงนัก

4.
วารสารอันเป็นสิ่งที่โดยทั่วไปพวกเขามีส่วนเกี่ยวข้องร่วมกันอยู่ จัดพิมพ์โดยบริษัทเอกชนเล็กๆ ที่เป็นของผู้ผลิตรองเท้าที่ไม่โด่งดังนัก นักเขียนส่วนใหญ่แล้วเป็นคนที่มิได้สังกัดอยู่กับสถาบันทางวัฒนธรรมที่มีอยู่ ซึ่งโดยปกติแล้วจะได้รับการปกป้องจากผู้มีอำนาจทางการเมืองที่มีอิทธิพล อันที่จริงแล้ว พวกเขาปฏิเสธที่จะเข้าร่วมพรรคการเมืองใดๆ

ในฉบับแรกของ "Sastra" ที่ขึ้นปีที่สอง Jassin ได้เขียนไว้ว่า "เรามิได้เข้าร่วมพรรคการเมืองฝ่ายขวาหรือพรรคการเมืองฝ่ายซ้าย มิใช่เพราะเราไร้ความคิดเห็น แต่เพราะทั้งพรรคการเมืองฝ่ายขวาหรือฝ่ายซ้าย ต่างก็มีจุดบกพร่องทั้งนั้น และเราจะต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพวกมันอย่างใช้ความคิดวิพากษ์วิจารณ์" [หมายเหตุผู้เขียน - Sastra, No.1, Vol. 11, 1962.]

แต่ในทศวรรษ 1960 การแสดงความคิดเห็นเช่นนี้เป็นความโง่ทางการเมือง ตั้งแต่ ค.ศ. 1958 หลังจากการกบฏในภูมิภาคต่างๆ ที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง อินโดนีเซียก็ตกอยู่ภายใต้กฏอัยการศึก กองทัพเข้าไปควบคุมวิถีชีวิตหลายๆ ด้าน แต่พรรคการเมืองปีกซ้ายก็ได้เฟื่องฟูขึ้นด้วยอย่างแข็งแกร่งและยังคงอยู่ในฝ่ายรุก จนกระทั่งถึงวันแห่งชะตากรรมในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1965 การกระทำใดๆ ก็ตามที่ต่อต้านพวกเขา อาทิการห้าม "Harian Rakyat" ในวันที่ 3 พฤษภาคม ค.ศ. 1962 โดยกองทัพนั้น ย่อมเป็นการท้าทายอย่างแรง
[หมายเหตุผู้เขียน - แม้ว่าพวกเขาจะมิได้ประสบความสำเร็จเสมอไปก็ตาม อาทิในการห้ามตีพิมพ์หนังสือของปราโมทยาเกี่ยวกับสภาพชีวิตของคนจีนชนกลุ่มน้อยในอินโดนีเซียนั้น ไม่เคยที่จะถูกยกเลิกไป รวมบทกวีของ Lekra "Matinya Seorang Petani" หรือ "ความตายของชาวนาคนหนึ่ง" เป็นหนังสือต้องห้ามเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน ค.ศ. 1962.]

ในเวลานั้น นักเขียนที่เป็นที่รู้จักกันดีของคนรุ่นก่อน เช่น Sitor Situmorang ก็ได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับ PNI (พรรคชาตินิยม) หรือ NU (พรรคมุสลิม) สองกลุ่มที่ทรงอิทธิพลในแนวร่วม Nasakom (แนวร่วมชาตินิยม-ศาสนา-คอมมิวนิสต์ : Naitonalist-Rligious-Communist front) พวกเขาเปรมปรีย์กับการอุปถัมภ์ของพรรคและอภิสิทธิ์พิเศษที่ได้รับ ตัวอย่างเช่น Sitor Situmorang ซึ่งเป็นผู้นำขององค์กรวัฒนธรรมของ PNI เป็นสมาชิกของสภาแห่งชาติอันทรงเกียรติ เขาเป็นที่รู้จักในต้นทศวรรษ 1950 ในฐานะกวีที่แสดงความรู้สึกเกี่ยวกับความรักในความตายที่ทรงพลัง และในทศวรรษ 1960 ได้เขียนโคลงชุดหนึ่งซึ่งเชิดชูคอมมูนปฏิวัติในประเทศจีนหลังจากที่เขาได้ไปเยือนที่นั่น. Sitor ซึ่งสนับสนุนแนวทาง "Manipol" ในวรรณกรรมอย่างแข็งขัน อันที่จริงแล้วมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดโดยส่วนตัวกับผู้มีอำนาจหลายคน รวมทั้งตัวประธานาธิบดีเองด้วย

ในทางกลับกัน นักเขียนของ "Sastra" ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นคนหนุ่มจากต่างจังหวัด และกลายเป็นผู้ที่ปราโมทยา เรียกอย่างค่อนข้างเหยียดหยามว่า "พวกจรจัด" (gelandangan) พวกเขาดูเหมือนจะทำตามแนวทางของ Jassin ในเรื่องการไม่แสดงออกให้เห็นรสนิยมความชอบทางการเมืองของตนเอง ข้าพเจ้าอนุมานว่าพวกเขาส่วนใหญ่เห็นการเป็นสมาชิกพรรคและความภักดีว่า มีความหมายเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเสียเลย

เป็นความจริงที่ว่า การอยู่โดยปราศจากร่มของพรรคการเมือง ทำให้พวกเขาไม่สามารถเข้าถึงอะไรโดยง่ายๆ ตัวอย่างเช่น การเดินทางไปต่างประเทศที่ส่วนใหญ่จัดขึ้นโดยประเทศสังคมนิยม การประชุมสัมมนานานาชาติที่สำคัญ (เช่นการประชุมนักเขียนแอฟริกา-เอเชียที่จัดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1963) นั้นโดยพื้นฐานแล้วเป็นนักเขียนของ Lekra ที่เข้าร่วม คนของ Lekra มักจะได้รับเงินจากรัฐเพื่อที่จะประดับประดาเมืองด้วยเนื้อหาของการปฏิวัติ โดยเฉพาะในระหว่างการเฉลิมฉลองวันชาติและการประชุมนานาชาติ

แต่นักเขียน "Sastra" ส่วนใหญ่ ซึ่งยังคงอยู่ในช่วงวัยยี่สิบกว่าๆ นั้น ดูเหมือนที่จะให้ความสำคัญกับภาพแบบโรแมนติกของกวีว่าเป็นเหมือน "สัตว์ป่าที่ยังไม่เชื่อง" (binatang jalang) ดังที่ได้รับการส่งเสริมจาก Chairil Anwar ผู้เป็นตำนานซึ่งเป็นกวีของคนรุ่น 1945 ที่จบชีวิตลงอย่างน่าเศร้าขณะที่ยังอายุน้อยอยู่ ข้าพเจ้าเชื่อว่า แนวคิดถัดมาของเรนทราในเรื่อง "orang urakan" (ตามคำศัพท์คือ "คนที่ไม่นับถือจารีตธรรมเนียม") มีรากมาจากความคิดที่คล้ายๆ กันนี้ นั่นคือ กวีและปัญญาชนเป็นดังคนที่ไม่นับถือสิ่งใด เป็นอิสระ และชอบปฏิเสธ

แต่บรรยาการทางการเมืองที่เต็มไปด้วยเรื่องต้องห้ามของทั้ง "ประชาธิปไตยแบบชี้นำ" และกฎอัยการศึกไม่ได้เอื้ออำนวยให้กับจุดยืนเช่นนั้น สำหรับ PKI ซึ่งเป็นพรรคนำในแนวร่วม Nasakom นั้น ความคิดเรื่อง "ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด" ถือเป็นอุปสรรคขัดขวาง คำโต้แย้งทางทฤษฎีก็คือว่า สำหรับการเคลื่อนไหวของพวกมาร์กซิสต์-เลนินิสต์แล้ว พรรคการเมืองมีความหมายเท่าๆ กับการต่อสู้ทางชนชั้นที่จะดำเนินต่อไป อันที่จริงแล้ว เลนินกล่าวถึงคำถามนี้ในบทความที่อุทิศให้กับการต่อสู้ความคิดเรื่อง "ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด" โดยเฉพาะ (ซึ่ง ตามการวิเคราะห์ของเขาแล้ว โดยทั่วไปจะเกิดขึ้นในระหว่าง "ขั้นตอนประชาธิปไตย" ของการปฏิวัติ)

ในระดับปฏิบัติ PKI มองเห็นอันตรายของอุดมการณ์ "ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด" ในรูปของแผนยุทธศาสตร์ทางการเมืองของกองทัพ เป็นความขัดแย้งที่น่าตลกที่ว่าเป็น PKI นั่นเองที่เชิญสมาชิกที่ "ไม่สังกัดพรรค" เข้าร่วมในรายชื่อของผู้ที่สมัครเข้าเป็นสมาชิกรัฐสภาในการเลือกตั้ง ค.ศ. 1955 โดยเฉพาะจิตรกรสำคัญบางคนเช่น Affandi อย่างไรก็ตาม ในต้นทศวรรษ 1960 สิ่งต่างๆ ดูเหมือนจะเปลี่ยนไป

ในวันที่ 18 กันยายน ค.ศ. 1962 ประธานพรรค PKI D.N. Aidit ได้กล่าวไว้ในสุนทรพจน์การชุมนุมของตำรวจใน "Sukabumi" (ผู้ที่เข้าร่วมในการอบรมขั้นสูงที่เรียกว่า Kursus Persamaan Komisaris Polisi) ว่า "โรคเกลียดกลัวพรรคการเมือง" (partyphobia) เป็น "อาชญากรรม" [หมายเหตุผู้เขียน - Bingtang Timur, 22 September 1962.]

อันที่จริงแล้วมี "โรคเกลียดกลัวพรรคการเมือง" ในหลายๆ ระดับด้วยกัน ในกลุ่มประชาชนซึ่งได้ตาสว่างเนื่องจากการทะเลาะเบาะแว้งทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง ที่เกิดขึ้นหลังจากได้รับเอกราช พรรคการเมืองต่างๆ ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มผลประโยชน์ของลัทธิ นิกาย ประธานาธิบดีสุการโนครั้งหนึ่ง (ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1957) ถึงกับฝันออกมาดังๆ เกี่ยวกับการฝังพรรคการเมืองทั้งหลายไว้ด้วยกัน กองทัพ ซึ่งไม่เชื่อถือในพรรคการเมืองเสมอมานับตั้งแต่ช่วงปีของการทำสงครามกองโจร โดยธรรมชาติแล้วก็จะคอยมองหาทุกโอกาส ในการที่จะกระทำการตามความปรารถนานี้ของประธานาธิบดี หรืออย่างน้อยก็จำกัดอำนาจของนักการเมืองพลเรือน อย่างไรก็ตาม กองทัพนั่นเองคือผู้ดำเนินการจัดการกฎอัยการศึก

แต่กระนั้นพรรคการเมืองก็ยังคงอยู่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญอยู่มากต่อไปในช่วง "ประชาธิปไตยแบบชี้นำ" ซึ่งกลายเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการเคลื่อนไหวมวลชนอยู่เสมอ ท่ามกลางความโวกเวกวุ่นวายทางการเมืองเช่นนี้เองที่ "แถลงการณ์วัฒนธรรม" ถูกร่างขึ้น

ในงานเรื่อง "Social Commitment in Literature and the Arts" (1986) Keith Foulcher ได้เสนอว่าแถลงการณ์นี้เป็น "การแสดงความแข็งแกร่ง" โดย "กลุ่มที่เป็นตัวแทนของกลุ่มผลประโยชน์เชิงวัฒนธรรมที่ต่อต้านคอมมิวนิสต์" โดยมี "การหนุนหลังอยู่ลับๆ ของกองทัพ" เรื่องนี้ในฉบับของข้าพเจ้าค่อนข้างที่จะแตกต่างออกไป

ในฐานะที่เป็นนักเขียนคนหนึ่ง ซึ่งมีส่วนรวมโดยตรงในกระบวนการของการร่างแถลงการณ์นี้ขึ้น ข้าพเจ้าควรจะเริ่มต้นด้วยการบอกกับท่านว่าทำไมแถลงการณ์นี้ จึงถูกเขียนขึ้นเป็นประการแรกสุดก่อน

ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1963 ใกล้กับวันเกิดครบ 21 ปีของข้าพเจ้า ข้าพเจ้านั่งรถประจำทางไปยัง Bogor พร้อมกับจิตรกรและนักเขียนคนอื่นสองหรือสามคน เราไปเยี่ยม Iwan Simatupang ซึ่งอยู่ในห้องของโรงแรม และเป็นผู้ที่มักจะสร้างความสำราญให้กับทุกคน ด้วยเชาว์ปัญญา ไหวพริบ และเรื่องโกหกที่มีเสน่ห์ของเขา ปรากฏว่าในวันนั้นอิวานมีผู้มาเยือนอีกคนหนึ่ง ในช่วงระหว่างการสนทนากัน อิวานบอกกับพวกเราว่าชายคนนี้มาจากองค์กรที่มีกองทัพหนุนหลังคือ SOKSI และเขาอยู่ในระหว่างกระบวนการที่จะจัดตั้งองค์กรสำหรับนักเขียน ชาวละครและจิตรกร พวกเราได้รับเชิญให้เข้าร่วมด้วย

ข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่าคนอื่นๆ ในห้องมีปฏิกิริยาอย่างไร? แต่ข้าพเจ้ารู้สึกหนักใจกับข้อเสนอนี้ ข้าพเจ้ารู้ ดังเช่นที่เพื่อนๆ หลายคนของข้าพเจ้ารู้ ว่า SOKSI ในตอนนั้นมีชื่อเสียงว่าเป็นองค์กรที่เงินหนัก นำโดยนายทหารของกองทัพที่รับผิดชอบในบริษัทของรัฐที่ทำเงิน ปราโมทยาเป็นคนหนึ่งละ ที่จะยินดีที่เห็นพวกเราขายจิตวิญญาณให้กับองค์กรเช่นนี้ มันจะเป็นการยืนยันความเชื่อของเขาที่ว่า พวกเราเป็นพวกกระฎุมพีที่ไร้ยางอาย

ข้าพเจ้าพยายามที่จะไม่ทำตัวเป็นศัตรู แต่ข้าพเจ้าไม่ชอบชายที่นั่งถัดจากอิวาน เขาเป็นพวกทำตัวสำรวย มีหมวกแก็ปกำมะหยี่สีดำมันเงาอยู่บนหน้าอ้วนกลมทาแป้งนวล เขาเป็นคนที่พูดเร็วและดัง และการพูดโดยไม่คิดของเขา แสดงออกผ่านความพยายามอย่างสับสนของเขาในจูงใจผู้ฟัง ข้าพเจ้าไม่สามารถจะจิตนาการตัวเองนั่งถัดจากชายคนนี้ ในการประชุมสนทนาเกี่ยวกับกวีนิพนธ์หรือบทละครได้ แต่ในเช้าวันนั้น ในห้องนั่งเล่นที่โรงแรมของอิวาน ข้าพเจ้ารับฟังอย่างสุภาพ ดังเช่นชาวชวาที่ดี ตรงกันข้าม อีวานสนับสนุนให้ข้าพเจ้ายอมรับข้อเสนอของ SOKSI อย่างกระตือรือร้น

เรากลับมายังจาการ์ตาในเย็นนั้น และข้าพเจ้าบอกกับเพื่อนจำนวนหนึ่งเกี่ยวกับการพบกันที่โรงแรมของอีวาน ข้าพเจ้ากล่าวถึงเรื่องนี้เป็นพิเศษกับ Wiratmo Sukito ซึ่งเป็นเหมือนกับผู้สอนปรัชญาคนหนึ่งของข้าพเจ้า ผู้ซึ่งได้ให้ข้าพเจ้ายืมหนังสือของเขาอย่างเอื้อเฟื้อ และบ่อยครั้งที่ให้ยืมห้องนอนของเขาด้วย ปฏิกิริยาของ Wiratmo ใช้คำพูดน้อยคำ "ถึงเวลาแล้วที่พวกเราควรจะทำให้จุดยืนของพวกเราเป็นที่ชัดเจน" เขากล่าว เขาสรุปออกมาเป็นข้อเสนอให้เขียนความคิดของพวกเราในประเด็นเกี่ยวกับวัฒนธรรมลงในกระดาษ อันเป็นการเสนอว่าเขาจะเป็นคนที่ทำเช่นนั้น ถ้าคนที่ SOKSI เห็นด้วยกับมัน เมื่อนั้นพวกเราก็จะมีความสุขที่จะทำงานกับพวกเขา เขากล่าว แต่เขาก็พูดต่อไปอีกว่า ถ้าไม่พวกเราก็จะดำเนินการเพื่อทำให้มันออกไปสู่สาธารณะต่อไปอยู่ดี

Wiratmo เริ่มเขียนร่างแถลงการณ์ทันที เขาเขียนมันจบในเช้าวันต่อมา ด้วยความช่วยเหลือจากนักศึกษามหาวิทยาลัยคู่หนึ่ง ซึ่งปรารถนาจะเป็นนักเขียนเช่นกัน เราได้เชิญ Jassin และ Trisno Sumardjo และคนอื่นๆ อีกราวสิบคนมาเพื่อมาประชุมที่บ้านหลังหนึ่ง ซึ่งไม่ไกลมากนั้นจากสำนักงานโทรมๆ ของ "Sastra" อันเป็นของเพื่อนนักเขียนคนหนึ่งของเรา โดยปกติแล้วนักเขียวอาวุโสจะไม่ค่อยกินเส้นกันนัก แต่ Jassin และ "Sastra" ตกอยู่ใต้การโจมตีแล้ว และก็เกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันขึ้นมาระหว่างคนกับวารสาร

การพูดคุยกันกินเวลาหลายชั่วโมง ข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่าร่างต้นฉบับนั้นถูกตัดออกไปมากขนาดไหน ในที่สุดร่างสุดท้ายก็ทำสำเนาออกมาหลายชุดด้วยกัน แล้วส่งไปยังบรรดาคนที่อยู่นอกจาการ์ตา และต่อมาตีพิมพ์ใน "Sastra" ในฉบับเดือนกันยายน ค.ศ. 1963

ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าคำแถลงการณ์ในร่างสุดท้ายนั้นไปถึง SOKSI จริงๆ หรือไม่ อันที่จริง ข้าพเจ้าไม่แน่ใจอีกต่อไปว่า ชายที่ข้าพเจ้าพบในห้องของอิวานจริงๆ แล้วเป็นคนของ SOKSI หรือไม่ เขาอาจจะเป็นเพียงแค่นายหน้าของอำนาจที่มากเล่ห์เหลี่ยม (หลายปีต่อมา ข้าพเจ้าได้ยินว่าเขาเข้าร่วม ในธุรกิจของการมอบปริญญากิตติมศักดิ์ ที่มอบให้โดยมหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์ที่ไม่น่าเชื่อถือนัก แก่คนที่เต็มใจจะจ่ายเงินให้กับมัน)

Iwan Simatupang เอง บางทีก็อาจจะละอายจากความใจง่ายของตนเองต่อความเหย้ายวนในการเข้าร่วมกับ SOKSI ในไม่ช้าก็ส่งไปรษณียบัตรมาแสดงถึงความรังเกียจเรื่องทั้งหมดมายังพวกเรา เรียกพวกคนของ SOKSI ว่าเป็นเหมือนกัน "พวกคนที่พูดถึงการปฏิวัติจากล็อบบี้ของโรงแรมหรู" ไม่ว่าอย่างไรก็ดี ต่อมาภายหลังเราก็ได้รับการแจ้งว่าคนของ SOKSI ดังที่เราคาดไว้ ปฏิเสธที่จะลงนามในแถลงการณ์

เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ สำนวนการเขียนของแถลงการณ์นี้นั้นเป็นเหมือนการเทศน์สั่งสอน และแสดงออกถึงอารมณ์ที่รุนแรง ในยุคสมัยของการตะโกนคำขวัญที่ซ้ำๆ ซากๆ และคาดการณ์ได้ งานเขียน (ที่แม้ว่าจะมีการกล่าวพาดพิงไปถึงความคิดของสุการโนอย่างเห็นได้ชัด) ก็อาจจะถูกมองว่าเป็นการยั่วยุได้ง่ายๆ และเป็นความไม่ปลอดภัยทางการเมือง นอกจากนี้มันไม่ใช่เอกสารที่สำคัญโดดเด่นเนื่องจากความหมายที่ชัดเจนกระจ่างแจ้ง ไม่น่าแปลกใจที่มันได้สร้างความเข้าใจผิดมากมาย แต่ว่าจากหลายๆ ส่วนของประเทศนี้ ศิลปิน กวี และปัญญาชนได้ส่งการสนับสนุนให้แก่แถลงการณ์ฉบับนี้

ข้าพเจ้าคิดว่าความกระตือรือร้นดังกล่าว เกี่ยวเนื่องมาจากข้อเท็จจริงที่ว่า นักเขียนหลายคนในรุ่นข้าพเจ้านั้นกำลังมองหาพื้นฐานแนวคิดที่น่าพอใจสำหรับบทบาทของตนเอง ท่ามกลางการเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างเข้มข้นในต้นทศวรรษที่ 60 แถลงการณ์ซึ่งลงนามเริ่มต้นโดย Jassin ซึ่งเคยเป็นและยังเป็นคนที่น่าให้ความเคารพนับถือและซื่อสัตย์มั่นคงต่อความเชื่อของตนในวงวรรณกรรม ย่อมมีจุดมุ่งหมายอย่างชัดเจนที่จะเน้นย้ำว่าศิลปินหรือนักเขียนคนหนึ่ง จะต้องมีอิสระที่จะค้นพบการแสดงออกทางศิลปะของตนเอง ข้อโต้แย้งพื้นฐานของเอกสารนี้ก็คือว่า ขณะที่เราสามารถที่จะเป็นปัญญาชนผู้อุทิศตน ซึ่งต่อสู้เพื่อประชาชนและชาติได้ เราก็ควรจะมีเสรีภาพที่จะทำตามหรือไม่ทำตามแนวคิดที่วางไว้โดยผู้ยึดกุมอำนาจทางการเมือง

การพูดถึงศิลปะและวรรณกรรมปฏิวัติในเวลานั้น เกือบจะเข้าไปสู่ระดับที่ไร้แก่นสาร ตัวอย่างเช่นรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาและวัฒนธรรม Prijono เน้นย้ำว่า "ศิลปะสมัยใหม่ของเราจะต้องทำในรูปแบบสัจจนิยม" เพื่อทำให้ประชาชนเข้าใจได้ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร น้ำเสียงในการนำเสนอจะต้องเป็นแบบ "มองโลกในแง่ดี" ตามสูตรของ Prijono พระเอกที่กำลังตายจะต้องแสดงความรู้สึกมองโลกในแง่ดีอยู่บนใบหน้าของตน โดยมีเด็กหนุ่มกำยำกลุ่มหนึ่งยืนอยู่หลังเขา พร้อมที่จะฉวยธงที่ล่วงลงไปขึ้นมา [หมายเหตุผู้เขียน - Bingtang Timur, 2 June 1962, p. 111. รายงานคำสุนทรพจน์ของ Prijono ใน Pangkalpinang วันที่ 30 พฤษภาคม1962.]

เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องยากที่จะนำเรื่องราวของวายัง ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่มวลชน ให้เข้ามาอยู่ในแนวคิดทางศิลปะของ Prijono ซึ่งรู้ดีว่าตัวหนังนั้นแกะสลักในรูปแบบที่เกินจริง และมหากาพย์ที่เล่น ก็มักจะจบลงในลักษณะที่เป็นเรื่องของโศกนาฏกรรม

ดังนั้น แถลงการณ์จึงเป็นคำประกาศที่ปฏิเสธความสมเหตุสมผลของคำขวัญ "การเมืองคือผู้บงการ" อย่างเปิดเผย แถลงการณ์นี้ไม่เคยต่อต้านพันธสัญญาทางสังคมในเรื่องวรรณคดีและศิลปะ อันที่จริงมันเน้นถึงบทบาททางสังคมของศิลปะ "ถ้าโลกกลายเป็นสถานที่ที่สมบูรณ์แบบในการดำรงอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีศิลปิน" แต่กระนั้นแถลงการณ์ก็เชื่อว่าโลกนี้ไม่เคยเป็นสถานที่ในอุดมคติที่ว่านั้น มันปฏิเสธคำอธิบายเรื่องการปฏิวัติแบบอุดมคติ โดยการเสนอว่าการปฏิวัติสามารถเปลี่ยนสภาพของมนุษย์ที่ย่ำแย่ที่สุด และผู้นำทางการเมืองสามารถที่จะนำทางไปสู่ความสำเร็จได้ แต่ดังที่มักจะเกิดขึ้นบ่อยๆ ในอดีต ชนชั้นปกครองกลุ่มใหม่ก็สามารถที่จะกลายเป็นผู้ที่กดขี่ข่มเหงความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของมนุษย์ได้

โดยมิได้กล่าวถึงมันจริงๆ (การพาดพิงในเนื้อหานั้นคือ การพาดพิงไปถึงการทรยศของพวกกระฎุมพีหลังจากการปฏิวัติฝรั่งเศส) ผู้เขียนแถลงการณ์พยายามที่จะดึงความสนใจของผู้อ่านไปสู่สิ่งที่เกิดขึ้นภายหลังการปฏิวัติบอลเชวิคในสหภาพโซเวียต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยสตาลิน แถลงการณ์นี้ถูกร่างขึ้นมาใน ค.ศ. 1963 อันเป็นเวลาที่ครูเชฟพยายามที่จะใช้ "glasnost" ในแบบฉบับของตนแทน นวนิยายของโซลเชนิทซิน (Solzhenitsin) "One Day in the Life of Ivan Denisovich" (วันหนึ่งในชีวิตของอีวาน เดนิโซวิช) ได้รับการพิมพ์เผยแพร่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

แต่ถึงตอนนั้นนักเขียนอินโดนีเซียหลายคนก็รู้จักคุ้นเคยดีกับสถานการณ์ที่เลวร้ายของกวีชาวรัสเซียบางคน ดังเช่น Boris Pasternak แล้ว หลายคนเคยกระทั่งอ่าน "ดร.ชิวาโก" ผ่านการแปลของ Trisno Sumardjo และพวกเขาก็มิได้เชื่อคำตัดสินแบบสรุปรวมของปราโมทยาโดยทีเดียวเลยว่า หนังสือของ Pasternak นั้นเป็น "อาชญกรรมโดยการพูด (slander)" ที่ต่อต้านการปฏิวัติรัสเซีย

อย่างไรก็ตาม นักเขียนในแถลงการณ์นี้ก็มิได้ต่อต้านความคิดเรื่อง "สัจนิยมสังคมนิยม" (socialist realism) อย่างเปิดเผยโจ่งแจ้ง Jassin ได้ระบุไว้ในคำนำประจำปี 1963 ของเขาใน "Sastra" ว่า "เรามิได้มีข้อคัดค้านใดๆ ต่อความปรารถนาของสัจนิยมสังคมนิยม อย่างไรก็ตามเราปฏิเสธงานที่เหมาะเพียงการโยนลงถังขยะเท่านั้นที่ผ่านออกมาโดยการเสแสร้งเอาดื้อๆ ว่าเป็นแบบ "สัจนิยมสังคมนิยม" เพราะว่านักเขียนพูดถึงเรื่องมวลชนและการดิ้นรนต่อสู้ของพวกเขา" อันที่จริงแล้ว "Sastra" ได้ตีพิมพ์บทกวีที่ไพเราะงดงามขนาดยาวของ Dodong Dliwapradja กวีคนสำคัญของ Lakra ในฉบับเดือนกันยายน-ตุลาคม ค.ศ. 1963

ขณะที่ปฏิเสธหลักการเรื่องวรรณกรรมของพวกนิยมสตาลิน ผู้เขียนแถลงการณ์เห็นว่ารูปแบบของสัจนิยมสังคมนิยมแบบที่ได้การสนับสนุนจากแม็กซิม กอร์กี เป็นสิ่งที่ยอมรับได้แบบเต็มหัวใจ แถลงการณ์ระบุว่า "นโยบายวรรณกรรม" ของกอร์กี "...เป็นสิ่งที่คู่ขนานกับแนวทางที่แถลงการณ์นี้ยึดถือ" นักเขียนแถลงการณ์ที่รวมถึงตัวข้าพเจ้าเองนั้น ชอบที่จะยกเอาสัจพจน์ที่ตั้งขึ้นโดยหลู่ ฉวิ่น (Lu Hsun) ขณะที่ครั้งหนึ่งนักเขียนอเมริกันฝ่ายซ้ายเคยเน้นย้ำว่า งานวรรณกรรมทั้งหมดเป็นเพียงการโฆษณาชวนเชื่อ แต่นักเขียนปฏิวัติชาวจีนกล่าวว่า "งานวรรกรรมทั้งหมดเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ แต่ไม่ใช่ว่างานโฆษณาชวนเชื่อทุกชิ้นจะเป็นงานวรรณกรรม"

แต่ทว่าก็มิใช่เจตนาของนักเขียน Lekra ที่จะพัฒนาประเด็นดังกล่าวให้กลายเป็นสงครามความคิดด้านวรรณกรรม เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในกลุ่มปัญญาชนอินโดนีเซียในช่วงต้นทศวรรษ 1930 นับตั้งแต่ต้นพรรค PKI มองเห็นแถลงการณ์นี้ว่าเป็นการโต้ตอบทางการเมือง ว่าเป็นการเคลื่อนไหวครั้งใหม่ของกองทัพในการที่จะท้าท้ายสถานะผู้นำของพรรค PKI ในระดับอุดมการณ์

ความขัดแย้งที่น่าตลกก็คือว่า ท้ายสุดกองทัพก็ได้ยืนยันในข้อสมมติฐานของ PKI โดยการหนุนหลังคนของ "แถลงการณ์" ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในการจัดการประชุมสัมมนานักเขียนระดับชาติขึ้น แม้ว่าจะมีข้อเท็จจริงที่ว่าคนของ "แถลงการณ์" พยายามสุดความสามารถที่จะทำให้การประชุมสัมมนานี้ประสบความสำเร็จ แต่ "แถลงการณ์" ก็หลุดออกไปจากวาระการประชุม ไม่มีการคาดหมายว่าจะมีใครเอ่ยถึงมันอีก

ผู้ที่เข้าร่วมงานก็มิได้เป็นนักเขียนสร้างสรรค์ที่แท้จริงด้วย มีนักเขียนหนังสือหลากหลายประเภท ตัวอย่างเช่น คนๆ หนึ่งซึ่งนั่งถัดจากข้าพเจ้าในการประชุมคณะกรรมการจัดงาน เป็นนักเขียนตำราเรียนในวิชาการบัญชี รวมทั้งมีแพทย์ทหารตำแหน่งสูงของกองทัพ และข้าราชการที่ไม่รู้จักอีกหลายคน

ถ้ายังเห็นความสำคัญของแถลงการณ์นี้ ข้าพเจ้าคิดว่าการประชุมครั้งนี้เป็นความผิดพลาดตั้งแต่ต้น การรณรงค์เพื่อต่อต้านการประชุมที่นำโดยสื่อมวลชนและองค์กรที่มีความเกี่ยวข้องกับพรรค PKI นั้นมีความรุนแรงอย่างมาก จนกระทั่งมีหนังสือพิมพ์เพียงหนึ่งหรือสองฉบับเท่านั้นที่กล้าแสดงความชื่นชมต่องานนี้ได้ รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาและวัฒนธรรมได้โจมตี "แถลงการณ์" อย่างเปิดเผย ในสุนทรพจน์ของเขาในการประชุมสัมมนา และถ้าข้าพเจ้าจำไม่ผิด นายพล Nasution ผู้บัญชาการกองทัพ ก็ได้พูดคุยกับผู้เข้าร่วมงาน ซึ่งได้กล่าวอย่างประจบประแจงว่า เป็นความคิดที่ผิดในการบอกว่าความคิดเรื่อง "การเมืองเป็นผู้บงการ" เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง
เมื่อนักเขียนของแถลงการณ์ถูกห้ามตีพิมพ์ผลงานของตน ก็ไม่มีนายพล กองทัพ หรือใครก็ตาม พยายามที่จะปกป้องพวกเขา นักเขียนของเราก็ต้องหนีหน้าเร้นกายกันไป

มหาวิทยาลัยโมนาช
17 มีนาคม ค.ศ. 1988


+++++++++++++++++++++++++++++++++

ตำนานแผ่นดิน: คุก ปากกา ปราโมทยา และกนกพงศ์
รำลึกสองนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

วันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ.2549
ณ สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ / 9.00 - 16.00 น.

9.00 - 12.00 น. "แผ่นดินแห่งชีวิต: เรื่องเล่าของผู้ถูกเนรเทศ"
- ชีวิต เลือดเนื้อ และงานของปราโมทยา อนันตา ตูร
โดย ภัควดี วีระภาสพงษ์, นักแปลอิสระ

- เรื่องเล่าจากเมืองบลอร่า : รวมเรื่องสั้นเชิงอัตชีวประวัติของปราโมทยา อนันตา ตูร์
โดย อรอนงค์ ทิพย์พิมล และนักศึกษาหลักสูตรภูมิภาคศึกษา มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์

- ปราโมทยาในโลกวรรณกรรมอินโดนีเซีย
โดย ดร.ชูกูร กาซาลี (Syukur Ghazali), อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยมาลัง ประเทศอินโดนีเซีย
และอาจารย์ประจำหลักสูตรภูมิภาคศึกษา มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
ดำเนินรายการโดย ทวีศักดิ์ เผือกสม

13.00 - 16.00 น. "แผ่นดินอื่น: ความทรงจำ หุบเขา และแพะในกุโบร์"
- ความเป็นพหุลักษณ์และการล่มสลายของสังคมภาคใต้ จากงานเขียนกลุ่มนาครและกนกพงศ์ สงสมพันธุ์
โดย ประมวล มณีโรจน์ (นักเขียนอิสระ) และพิเชฐ แสงทอง (นักศึกษาปริญญาเอก คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)

- ภาพตัวแทนของความเป็นมุสลิมในงานเขียนของกนกพงศ์ สงสมพันธุ์
โดย อับดุล ราซัก ปาแนมาแล, อาจารย์ประจำหลักสูตรภูมิภาคศึกษา มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์

- ชีวิต บ้านเกิด และกลุ่มนาคร: รำลึกนักเขียนหนุ่ม
โดย เจน สงสมพันธุ์, สมใจ สมคิด, อัตถากร บำรุง, เกษม จันทร์ดำ
ดำเนินรายการโดย จิรวัฒน์ แสงทอง

18.00-21.00 น. ดนตรีเพื่อชีวิต โดย วงไทลากูน
จัดโดย : หลักสูตรภูมิภาคศึกษา (เอเชียตะวันออกเฉียงใต้) มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และกลุ่มนาคร

 




สารบัญข้อมูล : ส่งมาจากองค์กรต่างๆ

ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา 3
I สารบัญเนื้อหา 4 I สารบัญเนื้อหา 5
ประวัติ ม.เที่ยงคืน

สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง

webboard(1) I webboard(2)

e-mail : midnightuniv(at)yahoo.com

หากประสบปัญหาการส่ง e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com

ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม



มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ทั้งหมด กว่า 950 เรื่อง หนากว่า 15000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com


สมเกียรติ ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็บไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com

 



210749
release date
เว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนรวบรวมบทความทุกสาขาวิชาความรู้ เพื่อเป็นฐานทรัพยากรทางความคิดในการส่งเสริมให้ภาคประชาชนเข้มแข็ง เพื่อพัฒนาไปสู่สังคมที่ยั่งยืน มั่นคง และเป็นธรรม
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนได้ผลิตแผ่นซีดี-รอม เพื่อการค้นคว้าที่ประหยัดให้กับผู้สนใจทุกท่านนำไปใช้เพื่อการศึกษา ทบทวน และอ้างอิง สนใจดูรายละเอียดท้ายสุดของบทความนี้




นักศึกษา สมาชิก และผู้สนใจทุกท่าน สามารถ
คลิกอ่านบทความก่อนหน้านี้ได้ที่ภาพ
หากสนใจดูรายชื่อบทความ ๒๐๐ เรื่อง
ที่ผ่านมากรุณาคลิกที่แถบสีน้ำเงิน
A collection of selected literary passages from the Midnightuniv' s article. (all right copyleft by author)
Quotation : - Histories make men wise; poet witty; the mathematics subtile; natural philosophy deep; moral grave; logic and rhetoric able to contend.... There is no stond or impediment in the wit, but may be wrought out by fit studies: like as diseases of the body may have appropriate exercise. Bacon, of studies
ประวัติศาสตร์ทำให้เราฉลาด; บทกวีทำให้เรามีไหวพริบ; คณิตศาสตร์ทำให้เราละเอียด; ปรัชญาธรรมชาติทำให้เราลึกซึ้ง; ศีลธรรมทำให้เราเคร่งขรึม; ตรรกะและวาทศิลป์ทำให้เราถกเถียงได้… ไม่มีอะไรสามารถต้านทานสติปัญญา แต่จะต้องสร้างขึ้นด้วยการศึกษาที่เหมาะสม เช่นดังโรคต่างๆของร่างกาย ที่ต้องดำเนินการอย่างถูกต้อง
สารานุกรมมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน จัดทำขึ้นเพื่อการค้นหาความรู้ โดยสามารถสืบค้นได้จากหัวเรื่องที่สนใจ เช่น สนใจเรื่องเกี่ยวกับโลกาภิวัตน์ ให้คลิกที่อักษร G และหาคำว่า globalization จะพบบทความต่างๆตามหัวเรื่องดังกล่าวจำนวนหนึ่ง
The Midnight University
the alternative higher education
แถลงการณ์นักเขียนและศิลปินอินโดนีเซีย
บทความลำดับที่ ๙๗๙ เผยแพร่ครั้งแรกวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๔๙
H
home
back home
R
related

ข้อความบางส่วนจากบทความ
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1963 ใกล้กับวันเกิดครบ 21 ปีของข้าพเจ้า ข้าพเจ้านั่งรถประจำทางไปยัง Bogor พร้อมกับจิตรกรและนักเขียนคนอื่นสองหรือสามคน เราไปเยี่ยม Iwan Simatupang ซึ่งอยู่ในห้องของโรงแรม และเป็นผู้ที่มักจะสร้างความสำราญให้กับทุกคน ด้วยเชาว์ปัญญา ไหวพริบ และเรื่องโกหกที่มีเสน่ห์ของเขา ปรากฏว่าในวันนั้นอิวานมีผู้มาเยือนอีกคนหนึ่ง ในช่วงระหว่างการสนทนากัน อิวานบอกกับพวกเราว่าชายคนนี้มาจากองค์กรที่มีกองทัพหนุนหลังคือ SOKSI และเขาอยู่ในระหว่างกระบวนการที่จะจัดตั้งองค์กรสำหรับนักเขียน ชาวละครและจิตรกร พวกเราได้รับเชิญให้เข้าร่วมด้วย

ข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่าคนอื่นๆ ในห้องมีปฏิกิริยาอย่างไร? แต่ข้าพเจ้ารู้สึกหนักใจกับข้อเสนอนี้ ข้าพเจ้ารู้ ดังเช่นที่เพื่อนๆ หลายคนของข้าพเจ้ารู้ ว่า SOKSI ในตอนนั้นมีชื่อเสียงว่าเป็นองค์กรที่เงินหนัก นำโดยนายทหารของกองทัพที่รับผิดชอบในบริษัทของรัฐที่ทำเงิน ปราโมทยาเป็นคนหนึ่งละ ที่จะยินดีที่เห็นพวกเราขายจิตวิญญาณให้กับองค์กรเช่นนี้

แต่นักเขียน "Sastra" ส่วนใหญ่ ซึ่งยังคงอยู่ในช่วงวัยยี่สิบกว่าๆ นั้น ดูเหมือนที่จะให้ความสำคัญกับภาพแบบโรแมนติกของกวีว่าเป็นเหมือน "สัตว์ป่าที่ยังไม่เชื่อง"
(binatang jalang) ดังที่ได้รับการส่งเสริมจาก Chairil Anwar ผู้เป็นตำนานซึ่งเป็นกวีของคนรุ่น 1945 ที่จบชีวิตลงอย่างน่าเศร้าขณะที่ยังอายุน้อยอยู่ ข้าพเจ้าเชื่อว่า แนวคิดถัดมาของเรนทราในเรื่อง "orang urakan" (ตามคำศัพท์คือ "คนที่ไม่นับถือจารีตธรรมเนียม") มีรากมาจากความคิดที่คล้ายๆ กันนี้ นั่นคือ กวีและปัญญาชนเป็นดังคนที่ไม่นับถือสิ่งใด เป็นอิสระ และชอบปฏิเสธ

midnightweb