ค้นหาบทความที่ต้องการ ด้วยการคลิกที่แบนเนอร์ midnight search engine แล้วใส่คำหลักสำคัญในบทความเพื่อค้นหา
โครงการสื่อเพื่อบริบทสิทธิมนุษยชน: จากชายขอบถึงศูนย์กลาง - Media Project: From periphery to mainstream
Free Documentation License - Copyleft
2006, 2007, 2008
2009, 2010, 2011
2012, 2013, 2014
Everyone is permitted to copy and distribute verbatim copies of
this licene document, but changing
it is not allowed. - Editor

อนุญาตให้สำเนาได้ โดยไม่มีการแก้ไขต้นฉบับ
เพื่อใช้ประโยชน์ทางการศึกษาทุกระดับ
ข้อความบางส่วน คัดลอกมาจากบทความที่กำลังจะอ่านต่อไป
เว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ๒๕๔๓ เพื่อประโยชน์ทางการศึกษา โดยบทความทุกชิ้นที่นำเสนอได้สละลิขสิทธิ์ให้เป็นสาธารณะประโยชน์

1

 

 

 

 

2

 

 

 

 

3

 

 

 

 

4

 

 

 

 

5

 

 

 

 

6

 

 

 

 

7

 

 

 

 

8

 

 

 

 

9

 

 

 

 

10

 

 

 

 

11

 

 

 

 

12

 

 

 

 

13

 

 

 

 

14

 

 

 

 

15

 

 

 

 

16

 

 

 

 

17

 

 

 

 

18

 

 

 

 

19

 

 

 

 

20

 

 

 

 

21

 

 

 

 

22

 

 

 

 

23

 

 

 

 

24

 

 

 

 

25

 

 

 

 

26

 

 

 

 

27

 

 

 

 

28

 

 

 

 

29

 

 

 

 

30

 

 

 

 

31

 

 

 

 

32

 

 

 

 

33

 

 

 

 

34

 

 

 

 

35

 

 

 

 

36

 

 

 

 

37

 

 

 

 

38

 

 

 

 

39

 

 

 

 

40

 

 

 

 

41

 

 

 

 

42

 

 

 

 

43

 

 

 

 

44

 

 

 

 

45

 

 

 

 

46

 

 

 

 

47

 

 

 

 

48

 

 

 

 

49

 

 

 

 

50

 

 

 

 

51

 

 

 

 

52

 

 

 

 

53

 

 

 

 

54

 

 

 

 

55

 

 

 

 

56

 

 

 

 

57

 

 

 

 

58

 

 

 

 

59

 

 

 

 

60

 

 

 

 

61

 

 

 

 

62

 

 

 

 

63

 

 

 

 

64

 

 

 

 

65

 

 

 

 

66

 

 

 

 

67

 

 

 

 

68

 

 

 

 

69

 

 

 

 

70

 

 

 

 

71

 

 

 

 

72

 

 

 

 

73

 

 

 

 

74

 

 

 

 

75

 

 

 

 

76

 

 

 

 

77

 

 

 

 

78

 

 

 

 

79

 

 

 

 

80

 

 

 

 

81

 

 

 

 

82

 

 

 

 

83

 

 

 

 

84

 

 

 

 

85

 

 

 

 

86

 

 

 

 

87

 

 

 

 

88

 

 

 

 

89

 

 

 

 

90

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

Media Project: From periphery to mainstream
The Midnight University 2009
Email 1: midnightuniv(at)gmail.com
Email 2: [email protected]
Email 3: midnightuniv(at)yahoo.com
บทความวิชาการชิ้นนี้ เผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน วันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๒ : Release date 25 July 2009 : Copyleft MNU.

ความเสี่ยงที่ผมอ้างถึงยังคงอยู่กับตัวผมตลอดระยะเวลาหลายปี แต่อะไรคืออาชีพของนักเขียนที่ปราศจากความเสี่ยง? ตามที่ยอมรับกัน นักเขียนจะมีความปลอดภัยในระดับหนึ่งด้วยความเป็น"ขุนนางทางวัฒนธรรม"(a cultural bureaucrat) แต่เขาก็เป็นนักโทษ ของความกลัวเกี่ยวกับมือที่เปรอะเปื้อนของเขากับปัจจุบันด้วย นอกไปจากความกลัวในการสูญเสียระยะห่าง เขายังต้องสูญเสียตัวของเขาเองในปริมณฑลที่มายาคติต่างๆ ดำรงอยู่ และความคิดอันสูงส่ง คือสิ่งทั้งหมด แต่ปัจจุบัน ซึ่งอดีตกำลังถูกทิ้งไปอย่างสม่ำเสมอ มันจะคว้าเขาไว้ในที่สุดและสอบสวนเขาด้วยวิธีการทรมาน ทั้งนี้เพราะนักเขียนทุกคนในห้วงเวลาของพวกเขา ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เขาประท้วงสิ่งที่เกิดขึ้นเร็วหรือช้าเกินไป เขาไม่อาจเลือกได้ถึงสิ่งที่ต้องการเขียน ...

H



25-07-2552 (1748)

บทบาทของวรรณกรรมขัดขืนในสังคมโลกปัจจุบัน
กุนเธอร์ กราสส์: คำบรรยายรางวัลโนเบล ๑๙๙๙ "โปรดติดตามตอนต่อไป..."
รศ.สมเกียรติ ตั้งนโม: แปล
สาขาสื่อศิลปะและการออกแบบสื่อ คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

บทความวิชาการนี้ สามารถ download ได้ในรูป word

บทความชิ้นนี้แปลและเรียบเรียงจากต้นฉบับภาษาอังกฤษ ประกอบด้วย
๑. ชีวประวัติ: กุนเธอร์ กราสส์
๒. ผลงานคัดสรรต่างๆ ของ"กุนเธอร์ กราสส์"ในภาษาอังกฤษ
๓. Nobel Lecture: คำบรรยายเนื่องในโอกาสรับรางวัลโนเบล
โดยในการบรรยายครั้งนี้ กราสส์ ตั้งชื่อหัวข้อของเขาว่า To Be Continued ...
สาระสำคัญของเรื่อง เป็นการพูดถึงประสบการณ์ในชีวิตและการเริ่มต้นเขียน ซึ่งมาจบลงด้วย
การเน้นถึงชะตากรรมของผู้หิวโหยที่แผ่คลุมไปทั่วโลก นักเขียนมีหน้าที่สะท้อนถึงสิ่งเหล่านี้ออกมา
แม้ว่าเขาจะรักในสุนทรียภาพ แต่เขาไม่มีทางเลือกที่จะทำเช่นนั้นได้
(บทความนี้จัดอยู่ในหมวด "ประวัติศาสตร์วรรณกรรมร่วมสมัย")

สนใจส่งบทความเผยแพร่ ติดต่อมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน:
midnightuniv(at)gmail.com

บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา
ข้อความที่ปรากฏบนเว็บเพจนี้ ได้รักษาเนื้อความตามต้นฉบับเดิมมากที่สุด
เพื่อนำเสนอเนื้อหาตามที่ผู้เขียนต้องการสื่อ กองบรรณาธิการเพียงตรวจสอบตัวสะกด
และปรับปรุงบางส่วนเพื่อความเหมาะสมสำหรับการเผยแพร่ รวมทั้งได้เว้นวรรค
ย่อหน้าใหม่ และจัดทำหัวข้อเพิ่มเติมสำหรับการค้นคว้าทางวิชาการ
บทความทุกชิ้นที่เผยแพร่บนเว็บไซต์แห่งนี้ ยินดีสละลิขสิทธิ์เพื่อมอบเป็นสมบัติ
ทางวิชาการแก่สังคมไทยและผู้ใช้ภาษาไทยทั่วโลก ภายใต้เงื่อนไข้ลิขซ้าย (copyleft)
บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ ๑๗๔๘
เผยแพร่บนเว็บไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๒
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ ๒๔ หน้ากระดาษ A4 โดยไม่มีภาพประกอบ)

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

บทบาทของวรรณกรรมขัดขืนในสังคมโลกปัจจุบัน
กุนเธอร์ กราสส์: คำบรรยายรางวัลโนเบล ๑๙๙๙ "โปรดติดตามตอนต่อไป..."
รศ.สมเกียรติ ตั้งนโม: แปล
สาขาสื่อศิลปะและการออกแบบสื่อ คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
บทความวิชาการนี้ สามารถ download ได้ในรูป word

Gunter Grass: The Nobel Prize in Literature 1999
http://nobelprize.org/nobel_prizes/literature/laureates/1999/grass-bio.html

ชีวประวัติ: กุนเธอร์ กราสส์
กุนเธอร์ กราสส์ (Gunter Grass) เกิดในปี ค.ศ.1927 ในเมือง Danzig-Langfuhr (*) จากครอบครัวเลือดผสมโปลิช-เยอรมัน ภายหลังจากรับใช้ชาติด้วยการเป็นทหาร และประสบชะตากรรมการตกเป็นเชลยสงครามโดยกองทัพอเมริกัน 1944-46 ต่อมา เขาได้ทำงานในฐานะแรงงานในฟาร์มและคนงานเหมือง และได้ร่ำเรียนศิลปะในดุสเซนดอร์ฟและเบอร์ลิน. ปี 1956-59 เขาได้ดำรงชีวิตในฐานะประติมากร ศิลปินกราฟิก และนักเขียนในปารีส และภายหลังต่อมาในเบอร์ลิน

(*) The Free City of Danzig was an self-governing port on the Baltic Sea port and a city-state. It was set up on January 10, 1920, by Part III Section XI of the Treaty of Versailles of 1919, and put under League of Nations protection, with special rights reserved Poland, because it was the only port in the Polish Corridor.

ในปี ค.ศ. 1955 กราสส์เป็นสมาชิกคนหนึ่งของกลุ่มวิพากษ์สังคม 47 หรือที่เรียกว่า the socially critical Gruppe 47 (*) (ภายหลังได้ถูกอธิบายด้วยความรักและอบอุ่นในหนังสือของเขาเรื่อง The Meeting at Telgte). ผลงานกวีนิพนธ์ของเขาได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1956 และบทละครเรื่องแรกของเขาได้รับการสร้างขึ้นในปี 1957. ความก้าวหน้าครั้งสำคัญในฐานะนักประพันธ์ระดับนานาชาติเกิดขึ้นในปี 1959 โดยผ่านวนิยายเล่ห์เหลี่ยมกลโกงผจญภัย แฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้งเรื่อง The Tin Drum (ได้รับการสร้างเป็นภาพยนตร์โดย Schlondorff) และงานเขียนชิ้นต่อมา ด้วยมุมมองในลักษณะของการเสียดสีเหน็บแนมเกี่ยวกับความจริงของคนเยอรมัน ในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่แล้วจากเรื่อง Cat and Mouse และ Dog Years งานสองชิ้นนี้ได้รับการเขียนขึ้นและได้รับการเรียกว่า the Danzig Trilogy (เรื่องราวสามตอนของเมืองแดนซิง)

(*) The Gruppe 47 (Group 47) was a literary association in Germany after World War II. '47' Stands for the year of their creation, 1947. The beginnings reach back to 1946 when Alfred Andersch and Walter Kolbenhoff founded the literary magazine Der Ruf (The Call) in Munich. Their goal was to inform and teach the German public about democracy after the Hitler era. The US American occupational forces revoked their printing license in April 1947 on the grounds of extensive Nihilism.

At first, the expressed goal of the Gruppe 47 was to encourage young authors, the so-called Nachkriegsliteratur (post-war literature). In addition, the group openly criticized the idealized, poetic dewey-eyedness of some modern prose, as well as the tendency to write about distant time instead of the here-and-now.

กราสส์เป็นคนที่กระตือรือร้นทางการเมือง ในทศวรรษที่ 1960s เขาได้มีส่วนร่วมในการณรงค์เกี่ยวกับการเลือกตั้ง Willy Brandt (*) ในนามของพรรคสังคมประชาธิปไตย. เขาได้ไปเกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบกับปัญญาชนทั้งหลายในงานเขียนเรื่อง Local Anaesthetic, เรื่อง From the Diary of a Snail และในงานเขียนของเขาเกี่ยวกับ"โศกนาฏกรรมของคนเยอรมัน"ในเรื่อง The Plebeians Rehearse the Uprising, และได้รับการตีพิมพ์สุนทรพจน์ทางการเมืองและความเรียงต่างๆ ซึ่งกราสส์ได้ให้การสนับสนุนประเทศเยอรมนีเป็นอิสระจากอุดมการณ์อันบ้าคลั่งและการปกครองแบบเผด็จการต่างๆ

(*) Willy Brandt, born Herbert Ernst Karl Frahm (18 December 1913 - 8 October 1992), was a German politician, Chancellor of West Germany 1969-1974, and leader of the Social Democratic Party of Germany (SPD) 1964-1987. His most important legacy is the Ostpolitik, a policy aimed at improving relations with East Germany, Poland, and the Soviet Union. This policy caused considerable controversy in West Germany, but won Brandt the Nobel Peace Prize in 1971. Brandt was forced to resign as Chancellor in 1974 after it was exposed that one of his closest aides had been working for the Stasi (the East German secret police). This became one of the biggest political scandals in postwar West German history.

บ้านในวัยเด็กของเขา ณ เมือง Danzig และงานเขียนต่างๆ ในแบบสัจนิยมพิศดาร (fabulations - magical realism - เป็นแนวสัจนิยมสมัยใหม่ที่ไม่เหมือนกับขนบจารีตที่ผ่านมา เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการละเมิด ความรุนแรง ความลึกลับ ความเพ้อฝัน กระทั่งแนวทดลองเนื้อหาใหม่ๆ) ได้ปรากฏขึ้นมาอีกครั้งในนวนิยายทำนองวิพากษ์อารยธรรม เช่นในเรื่อง The Flounder และ The Rat ซึ่งได้สะท้อนความผูกพันของกราสส์กับขบวนการเคลื่อนไหวด้านสันติภาพและสิ่งแวดล้อม

ข้อถกเถียงอันร้อนแรงและการวิจารณ์ได้ถูกกระตุ้นขึ้นโดยนวนิยายชิ้นมหึมาเรื่อง Ein weites Feld (A Wide Field)(*) ซึ่งได้รับการวางเหตุการณ์อยู่ในปีของการล่มสลายของลัทธิคอมมิวนิสต์ และการพังทลายของกำแพงเบอร์ลิน. ในเรื่อง My Century เขาได้นำเสนอประวัติศาสตร์ของศตวรรษที่ผ่านมาจากความคิดเห็นส่วนตัว ปีต่อปี. ในฐานะศิลปินกราฟิก บ่อยครั้งที่กราสส์ได้รับหน้าที่ออกแบบปกและภาพประกอบผลงานของเขาเองเสมอ

(*) A wide field is a novel by Gunter Grass, who in 1995 appeared Steidl. The novel takes place in Berlin between Wall and reunification, but draws a panorama of German history from the Revolution of 1848 until German reunification in 1990. The book tries to reunification on the German literary way to work with. For this hotly controversial, politically-oriented book you gave Grass 1996, Hans Fallada price. The book was published in the highly public debate, which led, inter alia, that after eight weeks, the fifth edition was in print.

กราสส์เป็นประธานของ the Akademie der Kunste (Academy of Arts) ในเบอร์ลิน 1983-86, และทำงานอย่างกระตือรือร้นให้กับสำนักพิมพ์ the German Authors' Publishing Company และ PEN. เขาได้รับรางวัลใหญ่ๆ เป็นจำนวนมาก ท่ามกลางรางวัลเหล่านั้น อาทิเช่น Preis der Gruppe 47 1958, "Le meilleur livre etranger" 1962, the Buchner Prize 1965, the Fontane Prize 1968, Premio Internazionale Mondello 1977, the Alexander-Majakowski Medal, Gdansk 1979, the Antonio Feltrinelli Prize 1982, GroBer Literaturpreis der Bayerischen Akademie 1994. เขาได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตจาก Kenyon College และ the Universities of Harvard, Poznan และ Gdansk.

ผลงานคัดสรรต่างๆ ของ"กุนเธอร์ กราสส์"ในภาษาอังกฤษ
A selection of works by Gunter Grass in English

- The Tin Drum. Transl. by Ralph Manheim. London: Secker & Warburg, 1962.
- Cat and Mouse. Transl. by Ralph Manheim. San Diego: Harcourt Brace, 1963.
- Dog Years. Transl. by Ralph Manheim. New York: Harcourt, Brace & World, 1965.
- Four Plays. Introd. by Martin Esslin. New York: Harcourt, Brace & World, 1967.
- Speak out! Speeches, Open Letters, Commentaries. Transl. by Ralph Manheim. London: Secker & Warburg, 1969.
- Local Anaesthetic. Transl. by Ralph Manheim. New York: Harcourt, Brace & World, 1970.
- From the Diary of a Snail. Transl. by Ralph Manheim. New York: Harcourt Brace Jovanovich, 1973.
- In the Egg and Other Poems. Transl. by Michael Hamburger and Christopher Middleton. New York: Harcourt Brace Jovanovich, 1977.

- The Meeting at Telgte. Transl. by Ralph Manheim. New York: Harcourt Brace Jovanovich, 1981.
- The Flounder. Transl. by Ralph Manheim. New York: Harcourt Brace Jovanovich, 1978.
- Headbirths, or, the Germans are Dying Out. Transl. by Ralph Manheim. New York: Harcourt Brace Jovanovich, 1982.
- The Rat. Transl. by Ralph Manheim. San Diego: Harcourt Brace Jovanovich, 1987.
- Show Your Tongue. Transl. by John E. Woods. San Diego: Harcourt Brace Jovanovich, 1987.
- Two States One Nation? Transl. by Krishna Winston with A.S. Wensinger. San Diego: Harcourt Brace Jovanovich, 1990; London: Secker & Warburg.


- The Call of the Toad. Transl. by Ralph Manheim. New York: Harcourt Brace Jovanovich, 1992.
- The Plebeians Rehearse the Uprising. Transl. by Ralph Manheim. New York: Harcourt Brace, 1996.
- My Century. Transl. by Michael Henry Heim. New York: Harcourt Brace, 1999.
- Too far afield. Transl. by Krishna Winston. London: Faber, 2000.

From Nobel Lectures, Literature 1995-2000,

This autobiography/biography was written at the time of the award and first published in the book series Les Prix Nobel. It was later edited and republished in Nobel Lectures. To cite this document, always state the source as shown above.
http://nobelprize.org/nobel_prizes/literature/laureates/1999/grass-bio.html

The NOBEL FOUNDATION 1999
Nobel Lecture: คำบรรยายเนื่องในโอกาสรับรางวัลโนเบล
http://nobelprize.org/nobel_prizes/literature/laureates/1999/lecture-e.html

"To Be Continued ..." (โปรดติดตามตอนต่อไป…)

เรียนสมาชิกผู้ทรงเกียรติแห่งสถาบันวิชาการสวีเดน ท่านสุภาพสตรี และท่านสุภาพบุรุษ
Honoured Members of the Swedish Academy, Ladies and Gentlemen:

ขอประกาศในที่นี้ว่า ผลงานประพันธ์ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ยังคงดำเนินต่อไปและต่อไป นิตยสารและตามหน้าหนังสือพิมพ์ได้ทำให้งานประพันธ์ต่างๆ ยังมีที่ทางตามความปรารถนา นวนิยายที่เสนอออกมาเป็นชุดๆ ยังคงความมั่งคั่งรุ่งเรือง ขณะที่บทต้นๆ ได้ปรากฏตัวอย่างต่อเนื่อง แก่นของผลงานกำลังถูกเขียนออกมาด้วยฝีมือ และบทสรุปของมันยังคงถูกรับรู้และเข้าใจ ไม่เพียงเรื่องราวสยองขวัญที่ไม่เป็นโล้เป็นพายหรือเรื่องโศกนาฏกรรมที่อ่านแล้วน้ำตาไหลซึ่งครอบงำผู้อ่านเท่านั้น นวนิยายจำนวนมากของ Dickens ได้ผุดออกมาในรูปแบบของชุดนวนิยาย และได้รับการตีพิมพ์เป็นตอนๆ

เรื่อง Anna Karenina ของ Tolstoy ก็ได้รับการนำเสนอออกมาเป็นชุดนวนิยายเช่นกัน ห้วงเวลาของ Balzac, คนที่จัดหานวนิยายที่ไม่เคยเหนื่อยยากได้เผยแพร่ผลงานนี้ออกมาเป็นตอนๆ ให้แก่มวลชน ทำให้นักเขียนนิรนามรู้จักบทเรียนของการแขวนอารมณ์ (เพื่อให้ผู้อ่านรอติดตามตอนต่อไป) รวมไปถึงการสร้างจุดไคลแม็กซ์ช่วงท้ายของคอลัมภ์. และนวนิยายเกือบทั้งหมดของ Fontane (*) ปรากฏตัวขึ้นมาเป็นครั้งแรกบนหน้าหนังสือพิมพ์และนิตยสารในฐานะนวนิยายนำเสนอเป็นตอนๆ มีประจักษ์พยานผู้ตีพิมพ์เรื่อง Trials and Tribulations เป็นครั้งแรกในหน้าหนังสือพิมพ์ Vossisiche Zeitung (เป็นหนังสือพิมพ์ที่ออกในกรุงเบอร์ลิน 1911-1934) ซึ่งอ้างว่า "นี่เป็นเรื่องราวของหญิงสำส่อนที่ไม่มีวันจบสิ้น"

(*) Theodor Fontane (German pronunciation: 30 December 1819 - 20 September 1898) was a German novelist and poet, regarded by many to be the most important 19th-century German-language realist writer.

แต่ก่อนที่ผมจะบรรยายต่อไปหรือเคลื่อนคล้อยไปสู่เรื่องราวอื่นๆ ขออนุญาตชี้แจงว่า จากความคิดเห็นในเชิงวรรณกรรมบริสุทธิ์ ณ ห้องประชุมแห่งนี้ และสถาบันวิชาการสวีเดน(the Swedish Academy) ซึ่งได้เชิญผมมา มันค่อนข้างไกลห่างจากความแปลแยกกับนวนิยายเรื่อง The Rat ของผมเอง ซึ่งได้เผยแพร่ออกมาเกือบ 14 ปีแล้ว (ปีที่กราสส์ได้รางวัลโนเบล 1999), ช่วงเวลาแห่งความหายนะของเหตุการณ์ร้ายๆ ขนานไปกับการเล่าเรื่องอันหลากหลายที่ไม่ค่อยตรงนัก ซึ่งอาจเตือนผู้อ่านให้ระลึกถึงถ้อยคำยกย่องสรรเสริญก่อนหน้านี้ ในฐานะผู้ฟังคนหนึ่งเช่นเดียวกับท่านทั้งหลาย คำเยินยอเกี่ยวกับเรื่องหนูตัวนั้น (The Rat) หรือให้ชัดเจนกว่านั้น "หนูในห้องทดลอง"

เรื่อง The rat ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณคดี ในท้ายสุดใครสักคนอาจกล่าวว่า เธออยู่ในรายชื่อมาหลายปีแล้ว และเป็นรายชื่อที่ใกล้จะถึงเต็มที ตัวแทนของสัตว์ทดลองนับเป็นล้านๆ จากหนูตะเภาถึงลิงในทวีปเอเชีย, ในท้ายที่สุดก็ถึงคราวของเธอ หนูทดลองขนสีขาว ตาสีชมพู. สำหรับเธอสำคัญกว่าตัวอื่นๆ - หรือที่เรียกร้องกันมากในนวนิยายของผม - ทำให้มีความเป็นไปได้ในงานวิจัยระดับรางวัลโนเบลและการค้นพบความรู้ทางการแพทย์ทั้งมวล

ในกรณีเกี่ยวข้องกับ Watson และ Crick (*) ซึ่งได้รับรางวัลโนเบล บนสนามความรู้อันสุดลูกหูลูกตาของการจัดการเกี่ยวกับยีน. นับแต่นั้นมา ข้าวโพดและพืชผักต่างๆ - โดยไม่ต้องกล่าวถึงสัตว์ชนิดใด - สามารถที่จะถูกโคลนอย่างถูกต้องตามกฎหมายไม่มากก็น้อย ซึ่งนี่คือเหตุผลว่า ทำไม"มนุษย์หนู"(the rat-men) จึงเข้าแทนที่มากขึ้นในฐานะนวนิยายที่ขยับเข้ามาใกล้ นั่นคือ ช่วงระหว่างยุคหลังมนุษย์(the post-human era) ซึ่งถูกเรียกว่า Watsoncricks. พวกเขาได้ผนวกรวมสิ่งที่ดีที่สุดของคู่จีนัส(both genera)

(*) Watson and Crick refers to the duo of James D. Watson and Francis Crick who, using x-ray data collected by Rosalind Franklin, proposed the double helix structure of the DNA molecule in 1953. Their article, "Molecular Structure of Nucleic Acids: A Structure for Deoxyribose Nucleic Acid", is celebrated for identifying the structure of what is now known as the B form of DNA (B-DNA), and as the source of Watson-Crick base pairing of nucleotides.

มนุษย์มีอะไรที่มากกว่าหนูในตัวพวกเขา และในทางกลับกัน หนูก็มีอะไรที่เหนือกว่าคน โลกดูเหมือนได้ใช้ประโยชน์ในการสังเคราะห์เพื่อฟื้นคืนสุขภาพของตนเอง ภายหลังจากบิกแบงค์(the Big Bang)(**) เมื่อหนู, แมลงสาบ, แมลงวัน, และสัตว์ที่ยังเหลือรอดประเภทปลาและไข่กบ และนั่นคือช่วงเวลาของการสร้างระเบียบขึ้นใหม่จากความสับสนอลหม่าน ยุคของ Watsoncricks ซึ่งทำให้ชีวิตอยู่รอดอย่างน่าอัศจรรย์ มันคือการกระทำมากกว่าการมีส่วนร่วม

(**) the Big Bang generally refers to the idea that the universe has expanded from a primordial hot and dense initial condition at some finite time in the past, and continues to expand to this day.

แต่นับจากเค้าโครงของการบรรยายนี้ ซึ่งมาลงเอยที่หัวข้อ "To Be Continued ..."(โปรดติดตามตอนต่อไป)อย่างง่ายๆ และสุนทรพจน์รางวัลโนเบลในการสรรเสริญเยินยอเกี่ยวกับหนูห้องทดลอง แน่นอน มิได้หมายความว่าจะทำให้นวนิยายเรื่องดังกล่าวจบลงอย่างมีความสุข โดยสาระแล้ว มันคือเรื่องราวเกี่ยวกับหลักการอันหนึ่ง ซึ่งเปลี่ยนไปสู่การเล่าเรื่องในฐานะที่เป็นรูปแบบหนึ่งของการอยู่รอด เช่นเดียวกับรูปแบบหนึ่งของงานศิลปะ

ผู้คนมักชอบเล่านิทานต่างๆ เสมอ ยาวนานก่อนที่มนุษย์โลกจะเรียนรู้การเขียนและค่อยๆ พัฒนาสู่การรู้หนังสือ ทุกคนต่างเล่าเรื่องราวให้กับทุกคน และผู้คนก็ชอบฟังเรื่องเล่าเหล่านั้น ในไม่ช้าก็เป็นที่ชัดเจนว่า นักเล่านิทานที่ไม่รู้หนังสือบางคนถูกพบว่า มีความสามารถในการเล่าเรื่องได้มากและดีกว่าคนอื่น นั่นคือ พวกเขาสามารถทำให้ผู้คนจำนวนมากเชื่อในสิ่งที่พวกเขาเล่าหรือโกหก กล่าวคือ ในท่ามกลางคนเหล่านั้น พวกเขาได้ค้นพบวิธีการอันเต็มไปด้วยทักษะหรือเล่ห์เหลี่ยม ที่จะไม่ทำให้เรื่องเล่าของพวกเขาซึ่งเคยดำเนินไปอย่างราบเรียบ กลับปรับแปลงไปอย่างมีพลัง นั่นคือ ไกลห่างจากความแห้งแล้ง เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันและสร้างความพิศวงสู่ก้นทะเลอันกว้างใหญ่ แม้ว่าปัจจุบันนี้ก้นทะเลจะเต็มไปด้วยซากเรืออัปปางและอับเฉาต่างๆ อันเป็นแก่นแท้ของพล็อตเรื่องรอง

และเนื่องจากนักเล่านิทานในยุคเริ่มต้นเหล่านี้ มิได้ขึ้นอยู่กับแสงตะวันหรือแสงตะเกียง และสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างสมบูรณ์ในความมืดมิด ตามข้อเท็จจริง พวกเขาชำนิชำนาญที่จะฉวยใช้ประโยชน์ของยามโพล้เพ้ลและความมืดเพื่อเพิ่มเติมความสงสัยและความไม่แน่นอน จากนั้นพวกเขาได้หยุดมันลง ณ จุดที่ว่างเปล่า โดยไม่พยายามขยายความแบบแห้งๆ และไม่มีเสียงน้ำตกที่ส่งสำเนียงเกรี้ยวกราด บางทีเว้นแต่จะขัดจังหวะการดำเนินเรื่องด้วยคำว่า "โปรดติดตามตอนต่อไป" (To Be Continued ...) ถ้าพวกเขาจับความรู้สึกผู้ฟังได้ว่ากำลังให้ความสนใจ ผู้ฟังของพวกเขาจำนวนมากกำลังรู้สึกไปกับการเคลื่อนไหวของการเล่าเรื่อง

เรื่องเล่าชนิดใดที่ถูกเล่าในช่วงที่ยังไม่มีใครอ่านออกเขียนได้ และด้วยเหตุดังนั้นจึงยังไม่มีการบันทึก นับจากวันเวลาของ Cain และ Abel (บุตรของ Adam และ Eve) มันคือเรื่องเล่าเกี่ยวกับการฆาตกรรมและการฆ่าที่ไม่มีการไตร่ตรอง ความอาฆาตพยาบาทต่างๆ การล้างเลือด และความรุนแรง ซึ่งมักจะเป็นเรื่องเล่าที่ดีประเภทหนึ่ง การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ได้เข้ามาสู่ภาพเหตุการณ์ตั้งแต่ต้น ขนานไปกับเหตุการณ์น้ำท่วมและความแห้งแล้ง เดือนปีแห่งความอดอยากยากแค้นและความอุดมสมบูรณ์ รายชื่ออันยาวเยียดของไพร่ทาสและวัวควายที่ได้รับการยอมรับอย่างสมบูรณ์ และไม่มีนิทานเรื่องใดสามารถเชื่อถือได้โดยปราศจากรายละเอียดของลำดับเชื้อสาย วงศ์ตระกูลหรือระบบเครือญาติ ผู้ซึ่งเกิดมาก่อนหน้าพวกเขาและจะสืบสานวงศ์วานเผ่าพันธุ์กันต่อไป

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องราวเกี่ยวกับวีรบุรุษ, รักสามเส้า, เป็นที่นิยมแม้กระทั่งทุกวันนี้ และนิทานเกี่ยวกับสัตว์ประหลาด ครึ่งคนครึ่งสัตว์ ซึ่งสร้างทางของพวกเขาโดยผ่านเขาวงกต หรือเฝ้าคอยอยู่ในดงหญ้าแฝก อันเป็นเรื่องที่ดึงดูดใจผู้ฟังส่วนใหญ่มาตั้งแต่ต้น โดยมิจำต้องกล่าวถึงตำนานเทพเจ้าและเทวรูปต่างๆ และเรื่องราวเกี่ยวกับการท่องทะเล ซึ่งต่อมาได้รับการส่งมอบให้คนรุ่นหลัง สิ่งเหล่านี้ได้ถูกขัดเกลา ขยายความ ปรับแก้ เปลี่ยนแปลงไปอย่างสมบูรณ์สู่เรื่องเล่าในทางตรงข้าม และในท้ายที่สุดได้ถูกจดจารโดยนักเล่านิทาน ซึ่งชื่อของเขาสมมุติว่าคือ Homer หรือในกรณีของคัมภีร์ไบเบิล โดยการรวบรวมของบรรดานักเล่านิทานจำนวนมากเอาไว้

ในจีนและเปอร์เชีย ในอินเดียและเปรูบนพื้นที่ราบสูง ที่ใดก็ตามที่งานเขียนเจริญรุ่งเรือง บรรดานักเล่านิทาน - ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มหรือเพียงคนเดียว ไร้ชื่อเสียงเรียงนามหรือมีชื่อกระฉ่อน - พวกเขาได้แปรเปลี่ยนเรื่องเล่าเหล่านั้นไปสู่ปัญญาชนที่อ่านออกเขียนได้ ติดแน่นกับงานเขียนดั่งที่เราเป็น อย่างไรก็ตาม เราได้เก็บรักษาความทรงจำเกี่ยวกับนักเล่านิทานด้วยปากเปล่าเอาไว้ การพูดคือจุดเริ่มต้นของวรรณกรรม และเป็นสิ่งที่ดี เพราะถ้าหากว่าพวกเราหลงลืมไปว่าการเล่าเรื่องทั้งหมดผ่านมาจากริมฝีปาก ปัจจุบันเราคงจะพูดจากันไม่คล่องแคล่ว อาจจะรู้สึกอึกอัก ไม่แน่ใจ แต่ขณะนี้เรากลับแคล่วคล่องว่องไวราวกับว่าถูกขับเคลื่อนด้วยความกลัว หรือด้วยเสียงกระซิบ เพื่อเก็บความลับที่ถูกเปิดเผยจากหูที่หาเรื่อง ตอนนี้มันดังขึ้นและชัดขึ้น ทุกหนแห่งจากการคำรามกับตนเองสู่การดอมดมเพื่อค้นหาแก่นสารที่แท้จริงของชีวิต ถ้าหากศรัทธาของเราในงานเขียนทำให้เราหลงลืมทั้งหมดที่กล่าวมานี้ การเล่าเรื่องของเราก็จะทำให้เรากลายเป็นเพียงหนอนหนังสือ ซึ่งแห้งผากดั่งฝุ่นผง

มันดีอย่างไรที่เรามีหนังสือมากมายที่เราหามาอ่านได้ และไม่ว่าเราจะอ่านมันออกมาดังๆ หรืออ่านมันเพื่อตัวเราเองก็ตาม พวกมันก็มั่นคงอยู่ดี พวกมันคือแรงบันดาลใจของผม เมื่อตอนผมยังเป็นหนุ่มและว่านอนสอนง่าย ปรมาจารย์ทั้งหลาย อย่าง Melville (*) และ Doblin (**) หรือ Luther กับคัมภีร์ไบเบิลภาษาเยอรมัน กระตุ้นผมให้อ่านออกมาดังๆ ดั่งที่ผมเขียนด้วยหมึกผสมกับน้ำลาย ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปมากนักนับจากวันนั้น จนกระทั่งผมย่างเข้าสู่วัยห้าสิบ ไม่เลย ความเพลิดเพลินกับความเหนื่อยยากและตรากตรำที่ถูกเรียกว่างานเขียน ผมเคี่ยวกรำมันมาอย่างยาวนาน จัดการกับประโยคยาวๆ ได้มากขึ้น พูดพล่ามกับตัวเองในความโดดเดี่ยวอย่างมีความสุข และจรดปากกาลงบนกระดาษเพียงเมื่อผมได้ยินน้ำเสียงและโทนที่เหมาะสม ซึ่งสะท้อนก้องและกังวาน

(*) Herman Melville (August 1, 1819 - September 28, 1891) was an American novelist, short story writer, essayist and poet. He is often classified as part of Dark romanticism. His first three books gained much attention, the first becoming a bestseller, but after a fast-blooming literary success in the late 1840s, his popularity declined precipitously in the mid-1850s and never recovered during his lifetime. When he died in 1891, he was almost completely forgotten (despite a vogue for his early sea novels in Great Britain in the 1880s), but his longest novel, Moby-Dick, won recognition in the 20th century as one of the chief literary masterpieces of both American and world literature.

(**) Alfred D?blin (10 August 1878 - 26 June 1957) was a German expressionist novelist, best known for Berlin Alexanderplatz (1929).

ใช่, ผมรักในเสียงร่ำร้อง มันทำให้ผมมีเพื่อน เพื่อนคนหนึ่งที่พล่ามออกมาในหลายระดับเสียงซึ่งเรียกร้องให้ผมจดจารต้นฉบับออกมาด้วยลายมือ และไม่มีสิ่งใดที่ผมหลงใหลมากกว่าการได้พบหนังสือต่างๆ ของตัวเอง -หนังสือที่โบยบินออกจากกรงขังมายาวนานและถูกซื้อโดยผู้อ่าน - เมื่อผมอ่านออกมาดังๆ ให้กับผู้ฟัง กับตัวหนังสือที่วางนอนอย่างสงบบนหน้าหนังสือในช่วงเวลานั้น. สำหรับความเยาว์วัย ช่วงที่ยังอ่อนหัดทางภาษา และช่วงที่แก่ชราผมหงอก แต่ยังคงตะกละตะกลาม โลกของงานเขียนกลายเป็นเสียงพูด และความมหัศจรรย์ยังคงทำงานอยู่อย่างสม่ำเสมอ มันคล้ายดั่งหมอผีในการเป็นนักประพันธ์ที่มีรายได้เพียงเล็กๆ น้อยๆ เพื่อทำงานเขียนทวนกระแสของวันเวลา โป้ปดตามหนทางของตนเองสู่ความเป็นจริงที่สมเหตุสมผล และทุกคนต่างเชื่อถือในคำสัญญาที่เงียบงันนั้น: โปรดติดตามตอนต่อไป…(To Be Continued ...)

แต่ทำไมผมจึงกลายมาเป็นนักเขียน นักกวี และศิลปิน - ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างฉับพลันและบนหน้ากระดาษขาวที่น่าตกใจใช่หรือไม่? อะไรคือความภาคภูมิหยิ่งยโสที่ทำขึ้นที่บ้าน ซึ่งผลักให้เด็กคนหนึ่งไปสู่ความคลั่งไคล้ใหลหลง? ท้ายที่สุด ตอนที่ผมอายุเพียง 12 ก็เริ่มตระหนักว่าผมต้องการจะเป็นศิลปิน มันเกิดขึ้นพร้อมกับการระเบิดขึ้นของสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อตอนที่พำนักอยู่ในแถบชานเมืองของ Danzig แต่โอกาสครั้งแรกของผมสำหรับการพัฒนาไปสู่ความเป็นมืออาชีพต้องรอจนกระทั่งปีถัดมา เมื่อผมได้พบกับความยั่วยวนซึ่งได้ให้โอกาสในวารสารเยาวชนฮิตเลอร์ที่ชื่อว่า Hilf mit! [the Hitler Youth magazine Hilf mit! (Lend a Hand)] มันคือการแข่งขันเขียนนวนิยายด้วยการเสนอรางวัลต่างๆ ผมเริ่มต้นเขียนนวนิยายเรื่องแรกของตนเองขึ้นทันที ซึ่งได้รับอิทธิพลจากภูมิหลังมารดาของตัวเอง

นวนิยายเรื่องนี้ชื่อว่า The Kashubians ซึ่งการดำเนินเรื่องมิได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวดของคนตัวเล็กๆ และทรุดโทรม แต่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคริสตศตวรรษที่ 13 ช่วงยุคสมัยแห่งรอยต่อของผู้ปกครอง ห้วงเวลาแห่งความขึงเครียดเมื่ออาชญากรและจอมโจรผู้ดี (robber barons) เข้าควบคุมเส้นทางบนถนนหลวง และสำหรับที่พึ่งพาของชาวนาผู้ทุกข์ยากที่ต้องการความยุติธรรม จะมีก็แต่ศาลเถื่อนเท่านั้น (kangaroo court)

ทั้งหมดที่ผมจำได้เกี่ยวกับมันคือ หลังจากโครงเรื่องสั้นๆ เกี่ยวกับสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจในเขตด้อยพัฒนา Kashubian ผมก็เริ่มต้นด้วยการปล้นสะดมและการฆาตกรรมหมู่โดยการแก้แค้น มันเป็นเรื่องของการแขวนคอ การทิ่มแทง และความรุนแรง ศาลเถื่อนหรือศาลเตี้ยทำหน้าที่แขวนคอและประหารผู้คน นั่นคือการสิ้นสุดของบทแรก ตัวละครเอกและตัวละครรองทั้งหมดล้วนตายลง บ้างก็ถูกฝัง บ้างก็ถูกโยนให้แร้งกิน เมื่อสไตล์การเขียนของผมไม่ยอมให้ผมเปลี่ยนซากศพไปสู่ดวงวิญญานอันยิ่งใหญ่ มันจึงทำให้นวนิยายเรื่องนี้กลายไปเป็นเรื่องผีๆ อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ผมต้องยอมรับความพ่ายแพ้ด้วยการจบลงอย่างทันทีทันใดและไม่มี "โปรดติดตามตอนต่อไป"(To Be Continued ...) แน่นอน นั่นไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก แต่พวกมือใหม่จะต้องเรียนรู้บทเรียนของตัวเอง นั่นคือ ต่อนี้ไปเขาจะต้องอ่อนโยนกับตัวละครต่างๆ ของเขามากขึ้นกว่านี้

แต่อย่างไรก็ตาม ครั้งแรกเกี่ยวกับการอ่านและอ่านมากขึ้น ผมมีวิธีการของตนเองเกี่ยวกับการอ่านด้วยนิ้วมือในหูของผม ซึ่งผมขออนุญาตอธิบายว่า น้องสาวของผมและผมเติบโตขึ้นในสถานการณ์ที่ค่อนข้างลำบาก กล่าวคือ ในห้องสองห้องที่แคบๆ และด้วยเหตุที่ไม่มีห้องของพวกเราเองหรือกระทั่งไม่มีมุมใดมุมหนึ่งของพวกเรา ในระยะยาวมันกลับกลายเป็นข้อได้เปรียบหรือเป็นประโยชน์สำหรับตัวผม นั่นคือ ผมเรียนรู้ตั้งแต่เยาว์วัยที่จะมีสมาธิและจรดจ่อในท่ามกลางผู้คนได้ หรือถูกล้อมรอบไปด้วยเสียงรบกวนโดยไม่มีปัญหาในเรื่องการอ่าน เมื่อผมอ่านคล้ายดั่งกับผมเข้าไปอยู่ในครอบแก้ว(bell jar) ผมค่อนข้างพันผูกและครุกอยู่กับโลกของหนังสือ มารดาของผมซึ่งชอบแกล้งคน ครั้งหนึ่งได้สาธิตให้ลูกชายของเธอซึมซับอย่างเต็มที่ต่อหน้าเพื่อนบ้านคนหนึ่งซึ่งมาเยี่ยมบ้านเรา โดยการแทนที่ก้อนขนมปังของผมด้วยก้อนสบู่ปาล์มโอลีฟ ผมคิดว่าเป็นเช่นนั้น - ต่อหน้าผู้หญิงสองคน - แม่ของผมรู้สึกภูมิใจ - จ้องดูผมจมเคี้ยวลงไปบนก้อนสบู่แบบไม่รู้ตัว และเคี้ยวมันสักครู่ก่อนที่เธอจะดึงผมออกมาจากการผจญภัยบนหน้าหนังสือ

ถึงทุกวันนี้ ผมสามารถใจจดใจจ่ออย่างที่ผมเคยเป็นเมื่อวัยเยาว์ แต่ผมไม่เคยอ่านด้วยความหมกมุ่นมากจนเกินไป หนังสือของเราถูกเก็บเอาไว้ในตู้หนังสือหลังผ้าม่านหน้าต่างสีน้ำเงิน แม่ของผมเป็นสมาชิกชมรมคนรักหนังสือ นวนิยายของดอสโตเยฟสกีและตอลสตอย ซึ่งอยู่เคียงข้างและผสมผสานกับนวนิยายต่างๆ ของ Hamsun, Raabe, และ Vicky Baum. เรื่อง Gosta Berling ของ Selma Lagerlof เป็นความเรียงที่เข้าถึงได้ง่าย. ต่อมาผมได้ไปที่ห้องสมุด Municipal Library แต่อย่างไรก็ตาม หนังสือที่แม่ของผมสะสมไว้ได้สร้างแรงจูงใจมาแต่ต้น

นักธุริกจหญิงที่พิถีพิถันคนหนึ่ง มักจะบีบบังคับในการขายสินค้าของเธอโดยการให้เครดิตกับลูกค้าที่ไม่น่าไว้วางใจนัก เธอเป็นนักรักที่ยิ่งใหญ่ด้วยความงาม เธอฟังโอเปร่า ชอบละครเพลง และฟังดนตรีจากวิทยุรุ่นบุกเบิก และเธอรู้สึกเพลิดเพลินกับการฟังเรื่องเล่าที่มีอนาคตของผม บ่อยทีเดียว เธอจะไปที่โรงละคร Municipal Theatre และชวนผมไปด้วยเป็นครั้งคราว

เหตุผลเพียงอย่างเดียวที่ผมมาบรรยายอยู่ ณ ที่นี้ ก็เพราะเกร็ดประวัติเกี่ยวกับชีวิตวัยเด็กของชนชั้นกลางเล็กๆ คนหนึ่ง หลังจากได้ปัดป้ายระบายสีเป็นเรื่องราวมหากาพย์มาหลายทศวรรษแล้วในงานเขียนเกี่ยวกับผู้คนโดยตัวละครต่างๆ ที่เสกสรรค์ขึ้น ซึ่งได้ช่วยผมให้ตอบคำถามว่า "อะไรที่ทำให้ตัวเองกลายเป็นนักเขียนขึ้นมาได้?" ในท้ายที่สุด ความสามารถในการฝันกลางวัน งานที่เกี่ยวโยงกับการใช้สำบัดสำนวนและการเล่นกับภาษา การเสพติดกับการโกหกเพื่อเป้าหมายของตัวมันเองมากกว่าเพื่อตัวผม เพราะการตอกย้ำอยู่กับความจริงเป็นสิ่งที่น่าเบื่อ - กล่าวโดยสรุป สิ่งที่รู้กันคร่าวๆ ในฐานะพรสวรรค์หรือความสามารถพิเศษ คือปัจจัยที่ไม่อาจปฏิเสธได้ แต่อย่างไรก็ตาม การบุกรุกทางการเมืองเข้าสู่ครอบครัวชนบทที่เปลี่ยนแปลงไปทั้งหมดทันที ที่ทำให้เรื่องหลวมๆ อย่างเรื่องของพรสวรรค์ กลายเป็นความหนักแน่น มั่นคง และล้ำลึกอันหนึ่ง

ญาติซึ่งเป็นที่รักใคร่ของแม่ผมคนหนึ่ง ซึ่งมีบางอย่างคล้ายกันกับเธอคือ เขาเกิดที่ Kashubian ทำงานอยู่ที่ทำการไปรษณีย์โปลิช ของ the Free City of Danzig. เขาจะมาที่บ้านของเราเป็นประจำและมักได้รับการต้อนรับขับสู้เสมอ. เมื่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่งปะทุขึ้น ที่ทำการไปรษณีย์ Hevelius Square ยังคงยืนหยัดต่อมาอีกระยะหนึ่งในการต่อสู้กับ the SS-Heimwehr (*) และญาติคนที่กล่าวถึงนี้ หรือลุงของผมได้ไล่จับคนเหล่านั้นซึ่งในท้ายที่สุดเขาก็พ่ายแพ้ พวกเขาต่างผ่านการสอบสวนอย่างรวบรัดและถูกส่งตัวไปยังกองทหาร และชั่วอึดใจชีวิตของเขาก็จบสิ้นลง ฉับพลันนั้นและอย่างถาวรชื่อของเขาก็ไม่ได้รับการกล่าวถึงอีกเลย เขากลายเป็นบุคคลที่ไม่มีตัวตน แต่เขาต้องอยู่ต่อมาอีกหลายปีในตัวผม เมื่ออายุได้ 15 ตอนผมสวมเครื่องแบบ, ช่วงอายุ 16 ตอนที่ผมเรียนรู้ว่าความกลัวคืออะไร, เมื่ออายุ 17 ผมถูกนำตัวไปที่ค่ายกักกันทหารอเมริกันแห่งหนึ่ง (American POW camp) (**)

(*) SS Heimwehr "Danzig" was an SS unit established in the Free City of Danzig (today Gdansk, Poland) before the Second World War. It fought with the German army against the Polish Army during the invasion of Poland. After this it became part of the 3rd SS Division Totenkopf and ceased to exist as an independent unit.

Also known as Heimwehr Danzig (Danzig Home Defense), it was officially established on 20 June 1939, when the Danzig senate under Albert Forster decided to set up its own powerful-armed force; a cadre of this new unit primarily formed the Danzige SS Wachsturmbann "Eimann".

(**) There were over 365,000 German prisoners of war detained in American POW Camps from 1942-1945. Many prisoners were not repatriated until 1946 ...

ตอนอายุ 18 ผมทำงานในตลาดมืด เรียนรู้ที่จะเป็นช่างก่ออิฐและเริ่มต้นเป็นประติมากร เตรียมตัวที่จะเข้าศึกษาในโรงเรียนศิลปะ และทั้งวาดทั้งเขียน ทั้งเขียนทั้งวาด ผมประพันธ์งานร้อยกรองได้อย่างรวดเร็ว ชอบเขียนเรื่องล้อเลียน และเป็นเช่นนั้นจนกระทั่งได้พบวัตถุดิบที่จัดการได้ยาก - ดูเหมือนว่า ผมจะมีความต้องการมาแต่เกิดในความพึงพอใจกับสุนทรียภาพ และข้างใต้เศษซากที่เหลืออยู่ของมันทั้งหมดที่ฝังอยู่กับญาติอันเป็นที่รักของแม่ผม บุรุษไปรษรณีย์ซึ่งถูกยิงทิ้งและฝังกลบ เพียงถูกค้นพบโดยตัวผมเองเท่านั้น เขาถูกขุดขึ้นมาจากหลุมศพ และถูกทำให้ฟื้นคืนชีพโดยการมีลมหายใจเทียมในงานวรรณกรรม ภายใต้ชื่อเรียกขานต่างๆ และบุคลิกที่หลากหลาย แม้ว่าในห้วงเวลานี้ในแง่นวนิยาย ตัวละครหลักและตัวละครรองบางคนต้องยืนหยัดและได้รับการประคับประครองต่อมาจนกระทั่งตอนสุดท้าย และด้วยเหตุนี้ จึงทำให้นักเขียนสามารถที่จะรักษาคำมั่นสัญญาว่าจะหวนกลับมาอีก นั่นคือ โปรดติดตามตอนต่อไป…(To Be Continued…)

ยกตัวอย่างเช่น งานพิมพ์นวนิยายของผมสองเรื่องแรกคือ The Tin Drum และ Dog Years รวมถึงนวนิยายขนาดสั้นซึ่งผมแทรกเข้ามา Cat and Mouse ซึ่งได้สอนผมมาแต่ต้นในฐานะนักเขียนที่ค่อนข้างเยาว์ว่า หนังสือต่างๆ สามารถทำให้เกิดความไม่พอใจได้ ผสมกับความเดือดดาล กระทั่งเกิดความรู้สึกเกลียดชัง นั่นคือสิ่งที่ได้รับมา ความไม่เป็นที่รักของคนในประเทศ ถูกทำให้เปรอะเปื้อน นับจากนั้นผมก็เป็นที่โจษขานและโต้เถียงกันไปทั่ว

งานพิมพ์นวนิยายของกุนเธอร์ กราสส์ ซึ่งได้รับการสร้างเป็นภาพยนตร์ เรื่อง The Tin Drum

หมายความว่า มันคล้ายๆ กับนักเขียนทั้งหลายที่ถูกเนรเทศไปยังไซบีเรียหรืออะไรทำนองนั้น ซึ่งทำให้ผมได้อยู่ร่วมกับกลุ่มคนหรือสมาคมคนที่รู้จักกันดี เพราะเหตุนี้ผมจึงไม่มีเหตุผลที่จะบ่นหรือต้องร้องทุกข์ ในทางกลับกัน บรรดานักเขียนควรพิจารณาว่า เงื่อนไขดังกล่าวของการเป็นที่ถกเถียงมาตลอดคือสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกกระปรี้กระเปร่า ความสุ่มเสี่ยงส่วนหนึ่งเกี่ยวพันกับการเลือกในการแสดงตัว มันคือข้อเท็จจริงของชีวิตที่ว่า นักเขียนทั้งหลายมักจะมีการพิจารณาอย่างเหมาะสม และพึงพอใจมากที่จะถ่มน้ำลายลงในถ้วยซุปของคนที่คิดว่าตนสำคัญกว่าคนอื่น นั่นคือสิ่งที่สร้างประวัติศาสตร์วรรณกรรมขึ้นมา เปรียบเหมือนการพัฒนาและการกลั่นกรองตรวจสอบ

ตลกร้ายของอำนาจต่างๆ ได้บีบคั้นโสกราตีสให้ดื่มยาพิษจนหมดถ้วย, ส่ง Ovid (*) สู่การเนรเทศ, ทำให้ Seneca (**) เปิดเผยอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ของเขา. นับเนื่องหลายศตวรรษจนกระทั่งปัจจุบันผลไม้ต่างๆ ที่ดีเยี่ยมของสวนวรรณกรรมตะวันตก ทำให้รายชื่อหนังสือต้องห้ามของโบสถ์แคธอลิคโรมันงดงาม. ความกำกวมมากแค่ไหนที่ทำให้ชาวยุโรปในยุคสว่าง(European Enlightenment) เรียนรู้จากการเซ็นเซอร์ ซึ่งได้รับการปฏิบัติโดยบรรดาเจ้าชายหรือผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จ? นักเขียนเยอรมัน อิตาเลียน สแปนิช และโปรตุกีสกี่คนที่ถูกพวกฟาสซิสท์ขับไล่จากดินแดนและภาษาของพวกเขาเอง? นักเขียนจำนวนเท่าใดได้ตกเป็นเหยื่อในระบอบเลนินิสท์-สตาลินิสท์อันน่ากลัว? และมีข้อจำกัดอะไรที่บรรดานักเขียนในทุกวันนี้ในประเทศต่างๆ อย่างเช่น จีน เคนย่า และโคเอเทีย ถูกคุมขังอยู่?

(*) Publius Ovidius Naso (20 March 43 BC - AD 17 or 18), known as Ovid in the English-speaking world, was a Roman poet who wrote about love, seduction, and mythological transformation. He is considered a master of the elegiac couplet, and is traditionally ranked alongside Virgil and Horace as one of the three canonic poets of Latin literature. His poetry, much imitated during Late Antiquity and the Middle Ages, decisively influenced European art and literature.

(**) Lucius Annaeus Seneca (often known simply as Seneca, or Seneca the Younger) (c. 4 BC - AD 65) was a Roman Stoic philosopher, statesman, dramatist, and in one work humorist, of the Silver Age of Latin literature. He was tutor and later advisor to emperor Nero. He was later executed by that emperor for complicity in the Pisonian conspiracy to assassinate this last of the Julio-Claudian emperors; however, he may have been innocent.

ผมมาจากดินแดนที่มีการเผาหนังสือ เรารู้ว่าความปรารถนาที่จะทำลายหนังสือที่ชิงชังยังคงเป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญานของห้วงเวลาของพวกเรา และเมื่อจำเป็น ก็จะพบการแสดงออกที่ดูดีบนจอทีวี(telegenic expression)อันเนื่องมาจากมีผู้ชมจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม อะไรคือสิ่งที่หนักข้อขึ้นมากตามลำดับ กล่าวในที่นี้คือ การก่อกวนต่อบรรดานักเขียนทั้งหลาย รวมไปถึงการคุกคามและการฆาตกรรมซึ่งปรากฎขึ้นทั่วโลก เป็นเพราะโลกรู้สึกเคยชินขึ้นมากกับการก่อการร้าย จริงทีเดียว ส่วนของโลกที่เรียกตัวเองว่ามีอิสระ เสียงร่ำร้องและครวญครางระงมไปทั่ว ดังเช่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ไนจีเรีย ปี 1995 นักเขียนอย่าง Ken Saro-Wiwa (*) และบรรดาคนที่สนับสนุนเขา ต่างถูกตัดสินลงโทษประหารชีวิต และถูกฆ่าเพราะลุกขึ้นต่อสู้กับความโสโครกในประเทศของพวกเขาเอง นั่นคือ การพันตูกับบริษัทน้ำมันมหึมา "เชลล์" ด้วยข้อพิจารณาต่างๆ ในเชิงนิเวศวิทยาซึ่งอาจมีผลกระทบต่อกำไรอันดับหนึ่งของโลกของบริษัทยักษ์ใหญ่นี้

(*) Kenule "Ken" Beeson Saro-Wiwa (October 10, 1941 - November 10, 1995) was a Nigerian author, television producer, environmental activist, and winner of the Goldman Environmental Prize. Saro-Wiwa was a member of the Ogoni people, an ethnic Nigerian minority whose homeland, Ogoniland, in the Niger Delta has been targeted for crude oil extraction since the 1950s and which has suffered extreme and unremediated environmental damage from decades of indiscriminate oil waste dumping. Initially as spokesperson, and then as President, of the Movement for the Survival of the Ogoni People (MOSOP), Saro-Wiwa led a nonviolent campaign against environmental degradation of the land and natural waters of Ogoniland by the operations of multinational oil companies, especially Shell. He was also an outspoken critic of the Nigerian government, which he viewed as reluctant to enforce proper environmental regulations on the foreign oil companies operating in the area.

อะไรคือส่งที่ทำให้หนังสือและนักเขียนต้องตกอยู่ในภาวะอันตราย… นั่นคือ "โบสถ์"และ"รัฐ" หรือ"บรรดาคณะกรรมการโปลิสบูโร"และ"สื่อมวลชน"ที่ต้องการจะเป็นปรปักษ์กับพวกนักเขียนใช่หรือไม่? ความเงียบและสภาพการณ์ที่เลวร้ายลงแทบจะไม่ใช่ผลลัพธ์ของการโจมตีโดยตรงตามอุดมคติของชนชั้นปกครอง. บ่อยครั้ง ทั้งหมดที่ยึดถือคือ การพาดพิงในเชิงวรรณกรรมถึงความคิดเกี่ยวกับ"ความจริง" ซึ่งดำรงอยู่ในความเป็นพหูพจน์หรือมากกว่าหนึ่งเสมอ มันไม่มี"ความจริงโดดๆ" หรือ"ความจริงเพียงอันเดียว" จะมีก็แต่"ความหลากหลายของความจริง"เท่านั้น ซึ่งทำให้บรรดาผู้ปกป้องเกี่ยวกับความจริงเพียงอันเดียว หรือความจริงอีกอันหนึ่งรู้สึกตกอยู่ในอันตราย มันเป็นอันตรายที่ถึงตายทีเดียว

ดังนั้น มันจึงเป็นปัญหาที่บรรดานักเขียนทั้งหลายประสบอย่างแจ่มชัด ซึ่งพวกเขาไม่อาจละทิ้งจากอดีตไปสู่ความสงบสุขได้ กล่าวคือ พวกเขาเปิดปิดแผลอย่างรวดเร็ว, มองจากหลังประตู, ค้นหาโครงกระดูกในตู้, บริโภควัวศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ หรือ, อย่างในกรณีของ Jonathan Swift (*) ได้ทำให้กับพวกเด็กๆ ไอริช, "เคี่ยว, ปิ้ง, ย่าง, อบ, หรือต้ม" ในครัวของผู้ดีอังกฤษ กล่าวอีกนัยหนึ่ง ไม่มีอะไรศักดิ์สิทธิ์สำหรับพวกเขา ไม่กระทั่งลัทธิทุนนิยม และสิ่งซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกขุ่นเคือง กระทั่งเรื่องอาชญากรรม. แต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือพวกเขาปฏิเสธการทำงานร่วมมือกับบรรดาผู้ได้รับชัยชนะในประวัติศาสตร์ พวกเขามีความพึงใจที่จะบด โม่ อยู่ที่ชายขอบรอบนอกของกระบวนการประวัติศาสตร์ในฐานะผู้แพ้หรือคนที่เสียเปรียบทั้งหลาย ซึ่งมีอะไรมากมายที่ต้องการจะพูดแต่ไม่มีเวทีที่จะเอื้อนเอ่ย โดยให้โอกาสแก่เขาที่จะส่งเสียง พวกเขาก็จะตั้งคำถามต่อชัยชนะ โดยความเชื่อมโยงกับพวกเดียวกัน พวกเขาต่างร่วมเรียงอยู่ในขบวนแถวเดียวกัน

(*) Jonathan Swift (30 November 1667 - 19 October 1745) was an Anglo-Irish satirist, essayist, political pamphleteer (first for Whigs then for the Tories), poet and cleric who became Dean of St. Patrick's, Dublin. He is remembered for works such as Gulliver's Travels, A Modest Proposal, A Journal to Stella, Drapier's Letters, The Battle of the Books, An Argument Against Abolishing Christianity, and A Tale of a Tub. Swift is probably the foremost prose satirist in the English language, and is less well known for his poetry.

แน่นอน พลังอำนาจต่างๆ ที่ดำรงอยู่ไม่ว่าจะยุคสสมัยใดก็ตามที่เป็นอาภรณ์ซึ่งพวกเขากำลังห่มคลุม ไม่มีสิ่งใดทวนกระแสวรรณกรรมดังกล่าวนี้ พวกเขาเพลิดเพลินกับมันในฐานะเครื่องประดับและกระทั่งส่งเสริมมัน. ในปัจจุบัน บทบาทของวรรณกรรมคือการให้ความบันเทิง รับใช้วัฒนธรรมสนุกสนาน ไม่เน้นด้านนิเสธของสิ่งต่างๆ และให้ความหวังกับผู้คน เป็นแสงสว่างในความมืด โดยพื้นฐานแล้ว สิ่งที่ถูกเรียกหา แม้ว่าจะไม่แสดงออกมาอย่างชัดแจ้งดั่งเช่นช่วงระหว่างขวบปีแห่งลัทธิคอมมิวนิสท์ คือวีรบุรุษในเชิงบวกคนหนึ่ง. ในป่าดงของเศรษฐกิจตลาดเสรี เป็นไปได้ที่วรรณกรรมได้ปูทางของตนไปสู่สิ่งที่เป็นอะรไคล้ายๆ กับเรื่องราวของ Rambo ที่เต็มไปด้วยซากศพและการแสยะยิ้ม พระเอกในยุคนี้คือนักผจญภัยซึ่งมักจะเข้าร่วมสังวาสอย่างเร็วรี่กับการต่อสู้อยู่เสมอ ผู้ชนะที่ทิ้งร่องรอยให้ผู้แพ้ทั้งหลายอยู่เบื้องหลัง กล่าวอย่างสั้นๆ บทบาทอันสมบูรณ์แบบสำหรับโลกในยุคโลกาภิวัตน์ของเรา และการเรียกร้องเรือนร่างที่กำยำแบบผู้ชาย ซึ่งยืนหยัดด้วยตัวของเขาเองและมักจะพานพบในสื่อตลอดเวลา นั่นคือ เจมส์บอนได้คลอดลูกหลานที่คล้ายตุ๊กตาออกมานับไม่ถ้วน เจตจำนงความดียังคงปกคลุมและมีอำนาจเหนือความชั่ว ตราบเท่าที่มันเข้ารับบทผู้เยี่ยมยุทธอันน่าประทับใจ

นั่นได้ทำให้เขามีลักษณะตรงข้ามหรือเป็นศัตรูกับวีรบุรุษในเชิงนิเสธ (negative hero) ใช่หรือไม่? คำตอบคือ ไม่จำเป็น. ผมมีรากของตัวเอง ดั่งที่คุณจะสังเกตเห็นจากการอ่าน ในสกุลนวนิยายแบบสแปนิชหรือมัวริชแนวผจญภัย. การเข้าจู่โจมความชั่วร้ายยังคงเป็นแบบจำลองสำหรับสกุลนวนิยายนี้ ที่สืบทอดกันลงมาอีกหลายยุคหลายสมัย และบทของคนจรจัดที่ดำรงอยู่ซึ่งตกทอดมาจากธรรมชาติแบบตลกๆ ของความพ่ายแพ้และสิ้นหวัง. เขาปัสสาวะลดเสาหลักต่างๆ แห่งอำนาจ และเลื่อยขาบัลลังก์ทอง ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าเขาจะไม่สามารถทำให้มันบุบสลายแต่อย่างใด อีกคำรบที่เขายังคงทำต่อไป วัดวาอารามอันสูงส่งอาจดูโกโรโกโส บัลลังก์อาจโยกเยกอย่างน่าดูแคลน แต่นั่นล่ะคือทั้งหมด

อารมณ์ขันของเขาคือส่วนหนึ่งหรือหีบห่อแห่งความสิ้นหวัง ขณะที่ Die Gotterdammerung (*) ของวากเนอร์ที่ได้ยินเหมือนเสียงบ่นพึมพำต่อหน้าผู้ฟังชาวเมืองไบรอย (เมืองทางภาคใต้ของเยอรมัน) อันทรงภูมิ เขากลับกำลังนั่งหัวเราะคิกคักอยู่ที่แถวหลัง ทั้งนี้เพราะโรงละครของเขา เรื่องตลกและโศกนาฏกรรมมันควงแขนไปด้วยกันเสมอ เขาดูถูกเหยียดหยามขบวนแถวความเป็นความตายของผู้ชนะทั้งหลาย และยืดขาของเขาออกไปเพื่อสะดุดขาคนเหล่านั้น แต่ส่วนใหญ่มักจะล้มเหลวและทำให้พวกเราหัวเราะ เสียงหัวเราะอยู่ในลำคอของพวกเรา นั่นคือ การเยาะเย้ยถากถางอันเฉลียวฉลาดของเขามีความรู้สึกปนเศร้าพุ่งตรงไปยังคนเหล่านั้น

(*) Gotterdammerung ("Twilight of the Gods" - see Notes) is the last of the four operas that make up Der Ring des Nibelungen (The Ring of the Nibelung), by Richard Wagner. It received its premiere at the Bayreuth Festspielhaus on 17 August 1876, as part of the first complete performance of the Ring.

The title is a translation into German of the Old Norse phrase Ragnarok, which in Norse mythology refers to a prophesied war of the gods which brings about the end of the world. However, as with the rest of the Ring, Wagner's account of this apocalypse diverges significantly from his Old Norse sources. The term Gotterdammerung is occasionally used in English, referring to a disastrous conclusion of events such as the defeat of Nazi Germany which had an ideology in part based on Norse mythology.

นอกจากนั้น จากความคิดเห็นของคนป่าอันไร้วัฒนธรรม พวกฝ่ายขวาหรือฝ่ายซ้าย เขาคือพวกที่มีแบบแผน -กระทั่งเป็นคนที่ยึดติดกับขนบธรรมเนียมปฏิบัติ - ยึดในหลักการก่อนอื่นใด กล่าวคือ เขาถือกล้องส่องทางไกลอันเล็กๆ และมองมันจากด้านที่ผิด เขามองเวลาในฐานะคนที่ยืนอยู่ข้างล่างขบวนรถไฟ เขาวางกระจกเงาไปทั่ว คุณไม่อาจบอกได้ว่าเขาเป็นใคร หรือให้มุมมองเกี่ยวกับตัวเขา เขาสามารถยอมรับคนแคระและยักษ์ใหญ่อยู่ในคณะผู้ติดตามเขาได้ เหตุผลที่ Rabelais (**) ดำเนินไปอย่างสม่ำเสมอจากตำรวจโลกถึงการไต่สวนอันศักดิ์สิทธิ์ (the Holy Inquisition) ก็คือ ยักษ์ที่ตัวโตผิดมนุษย์มนา Gargantua และ Pantagruel (***) ซึ่งได้เปลี่ยนโลกไปตามความคิดของอัสสมาจารย์นิยม (scholasticism) (****) ซึ่งอยู่ในหัวของพวกเขา

(**) Francois Rabelais (c. 1494 - April 9, 1553) was a major French Renaissance writer, doctor and humanist. He was regarded as a writer of fantasy, satire, the grotesque, dirty jokes and bawdy songs.

(****) The Life of Gargantua and of Pantagruel (in French, La vie de Gargantua et de Pantagruel) is a connected series of five novels written in the 16th century by Francois Rabelais. It is the story of two giants, a father (Gargantua) and his son (Pantagruel) and their adventures, written in an amusing, extravagant, satirical vein. There is much crudity and scatological humor as well as a large amount of violence. Long lists of vulgar insults fill several chapters.

(****) Scholasticism is derived from the Latin word scholasticus , which means "that [which] belongs to the school", and was a method of learning taught by the academics (scholastics, school people, or schoolmen) of medieval universities circa 1100-1500. Scholasticism originally started to reconcile the philosophy of the ancient classical philosophers with medieval Christian theology. Scholasticism is not a philosophy or theology in itself but a tool and method for learning which places emphasis on dialectical reasoning. The primary purpose of scholasticism is to find the answer to a question or to resolve a contradiction. It is most well-known for its application in medieval theology, but was eventually applied to classical philosophy and many other fields of study.

เสียงหัวเราะที่พวกเขาปล่อยออกมาเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับนรกในเชิงบวก เมื่อ Gargantua (*) (ชื่อยักษ์ตนหนึ่ง) โค้งก้นอันเปล่าเปลือยลงบนหอสูงของโบสถ์ Notre-Dame และปัสสาวะราดไปตามความกว้างยาวของปารีสทำให้เมืองหลวงนี้ต้องจ่อมจมอยู่ใต้น้ำ ทุกคนต่างหัวเราะออกมาดังลั่น หรือกลับไปที่ Jonathan Swift: การทำอาหารอย่างเรียบง่ายของเขา เพื่อช่วยปลดเปลื้องคนหิวโหยในไอร์แลนด์เป็นสิ่งที่ยังคงทันสมัยอยู่เสมอ ถ้าหากว่าการประชุมสุดยอดทางเศรษฐกิจครั้งต่อไป คณะกรรมการจะเปลี่ยนใจให้บรรดาผู้นำรัฐต่างๆ ที่กำลังครวญครางอย่างน่าหมั่นไส้ ตระเตรียมอาหารให้กับเด็กข้างถนนในบราซิลและซูดานใต้. ด้วยเหตุนี้ การเสียดสีเหน็บแนมจึงเป็นชื่อหนึ่งของรูปแบบศิลปะที่ผมมีอยู่ในใจ และในการเสียดสีเยาะเย้ยถากถาง ทุกสิ่งได้รับการอนุญาต แม้กระทั่งการกระตุ้นที่ปุ่มข้อศอก (**) ด้วยเรื่องพิลึกกึกกือ

(*) The Life of Gargantua and of Pantagruel (in French, La vie de Gargantua et de Pantagruel) is a connected series of five novels written in the 16th century by Francois Rabelais. It is the story of two giants, a father (Gargantua) and his son (Pantagruel) and their adventures, written in an amusing, extravagant, satirical vein. There is much crudity and scatological humor as well as a large amount of violence. Long lists of vulgar insults fill several chapters.

(**) หมายถึงการทำให้เกิดความรู้สึกคล้ายไฟฟ้าช๊อต

เมื่อ Heinrich Boll (*) ได้มาแสดงสุนทรกถา คราวรับรางวัลโนเบลของเขาในวันที่ 2 พฤษภาคม 1973 ตามที่ทราบโดยทั่วกัน เขาได้นำเอาสถานะที่ตรงข้ามกันของเหตุผลและเรื่องราวกวีนิพนธ์เข้ามาใกล้กัน และใกล้จนเคียงชิดกัน พร้อมคร่ำครวญว่าไม่มีเวลาที่จะเข้าไปสู่แง่มุมของปัญหาอีกอันหนึ่ง: "ผมต้องขอข้ามเรื่องตลกไป ซึ่ง แม้จะไม่มีชั้นเรียนพิเศษใดที่จะเมินเฉยต่อกวีนิพนธ์ของเขาในฐานะพื้นที่อันซ่อนเร้นสำหรับการต่อต้านขัดขืน". ตอนนี้ Boll รู้ว่า Jean Paul กวีคนหนึ่งในเครื่องหมายคำถาม ได้มีที่ทางอยู่ในห้องแห่งเกียรติยศของวัฒนธรรมเยอรมัน แม้กระทั่งทุกวันนี้ เขาได้อ่านมันแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น; เขาทราบว่ามีขอบเขตผลงานวรรณกรรมของ Thomas Mann ที่ได้ถูกตั้งข้อกังขา - ทั้งจากพวกฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา - ผ่านถ้อยคำในลักษณะแดกดันในช่วงเวลานั้น (และยังคงเป็นอยู่กระทั่งบัดนี้)

(*) Heinrich Theodor Boll (December 21, 1917 - July 16, 1985) was one of Germany's foremost post-World War II writers. Böll was awarded the Georg Büchner Prize in 1967 and the Nobel Prize for Literature in 1972.

อย่างชัดเจน สิ่งที่ Boll มีอยู่ในใจมิใช่เรื่องตลกที่หัวเราะกันจนท้องคัดท้องแข็ง แต่เป็นอะไรที่ไม่ดังพอจะได้ยิน นั่นคือ"ตลกระหว่างบรรทัด" ความรู้สึกอ่อนไหวสะเทือนใจโดยตลอดต่อความสลดหดหู่เกี่ยวกับความโง่เซ่อและดูคล้ายตัวตลกของเขา ไหวพริบอันล่อแหลมของชายคนหนึ่งซึ่งสะสมความเงียบงันเอาไว้ กิจกรรมอันหนึ่ง ที่กลายเป็นสิ่งหนึ่งในสื่อ และภายใต้ท่าทีของ"การควบคุมตัวเองด้วยความสมัครใจ" ในส่วนของโลกตะวันตกเสรี - ในรูปของการปลอมแปลงอย่างอ่อนโยนเกี่ยวกับการเซ็นเซอร์

โดยในช่วงต้นของทศวรรษที่ 50 เมื่อตอนที่ผมเริ่มต้นเขียนอย่างมีสำนึก Heinrich Boll เป็นที่รู้จักกันแล้ว แม้จะไม่ใช่ในฐานะนักประพันธ์ที่ได้รับการยอมรับเป็นอย่างดีเสมอไปก็ตาม โดย Wolfgang Koeppen, Gunter Eich, และ Arno Schmidt ที่ยืนห่างออกมาจากอุตสาหกรรมวัฒนธรรม วรรณกรรมเยอรมันหลังสงครามในขณะผมยังหนุ่มแน่น อันเป็นห้วงเวลาแห่งความยากลำบากของคนเยอรมัน ที่ถูกกระทำทุจริตเสื่อมทรามโดยระบอบนาซี นอกจากคนรุ่นเดียวกันกับ Boll แล้ว นักเขียนที่อ่อนวัยกว่าเช่นตัวผมด้วย ต่างถูกขัดขวางให้อยู่ในขอบเขตหนึ่งด้วยการหักห้ามที่มาจาก Theodor Adorno (*) ซึ่งกล่าวว่า "มันเป็นเรื่องป่าเถื่อนที่จะเขียนบทกวีหลังจากเรื่องราวที่เกิดขึ้น Auschwitz (a Nazi concentration camp for Jews in southwestern Poland during World War II), นั่นคือเหตุผลว่า ทำไมมันจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่จะเขียนบทกวีในทุกวันนี้…"

(*) Theodor Ludwig Wiesengrund Adorno (September 11, 1903 - August 6, 1969) was a German-born international sociologist, philosopher, musicologist, and composer. He was a member of the Frankfurt School along with Max Horkheimer, Walter Benjamin, Herbert Marcuse, J?rgen Habermas, and others. He was also the Music Director of the Radio Project from 1937 to 1941, in the U.S. Already as a young music critic and amateur sociologist, Theodor W. Adorno was primarily a philosophical thinker. The label social philosopher emphasizes the socially critical aspect of his philosophical thinking, which from 1945 onwards took an intellectually prominent position in the critical theory of the Frankfurt School.

หรืออีกนัยหนึ่ง ไม่มี"โปรดติดตามตอนต่อไป"อีกแล้ว (no more "To Be Continued ...") แม้ว่าจะเขียนในสิ่งที่เราอยากเขียน. เราเขียนโดยการจดจำ คล้ายงานของ Adorno ใน Minima Moralia: Reflections from Damaged Life (1951) ของเขา, ซึ่งเหตุการณ์ที่ Auschwitz เป็นเครื่องหมายของรอยแยก ความแตกร้าว ช่องว่างที่ไม่อาจเชื่อมต่อในประวัติศาสตร์อารยธรรม มันคือหนทางเดียวที่เราอาจต้องหลีกเลี่ยง"การห้ามปราม"

ถึงกระนั้น งานเขียนของ Adorno บนกำแพงยังคงเก็บรักษาพลังอำนาจของมันไว้กระทั่งทุกวันนี้ นักเขียนทุกคนในรุ่นผมได้ทำการต่อสู้ทางสังคมกับมัน ไม่มีใครปรารถนาหรือสามารถจะเงียบเสียงได้ต่อไป มันคือภาระหน้าที่ของเราที่จะก้าวย่างอย่างคนโง่เพื่อหลุดออกมาจากเยอรมัน เพื่อลวงหลอกว่าได้หลุดออกจากภูมิประเทศชนบทอันงดงามและทำให้ข้างในพร่ามัว พวกเรา เด็กๆ ซึ่งนิ้วต่างๆ ของเราถูกเผารน เราต่างคือคนที่ไม่ยอมรับความเบ็ดเสร็จเด็ดขาด หรืออุดมคติแบบขาว-ดำ

ด้วยความสงสัยและคลางแคลงใจคือพ่อแม่อุปถัมภ์ของพวกเรา และความหลากหลายของคุณค่าสีเทาๆ ซึ่งนำเสนอต่อพวกเรา ไม่ว่ากรณีใด สิ่งเหล่านี้คือการบำเพ็ญตนอย่างเคร่งครัดซึ่งผมบังคับตัวเองก่อนที่จะค้นพบความรุ่มรวยของภาษา ภาษาที่ผมมีการออกเสียงผิดทั้งหมดมานาน กล่าวคือ ความอ่อนนุ่มยั่วยวนของมัน แนวโน้มของสุ้มเสียงที่บาดลึกของมัน ความแข็งกร้าวชัดเจนที่ทำให้ต้องยอมตาม โดยไม่ต้องกล่าวถึงความเปล่งปลั่งของภาษาถิ่นในตัวมันเอง ตลอดรวมถึงความไร้ศิลปะและความเต็มเปี่ยมไปด้วยศิลปะของมัน ความผิดปกติวิตถาร และความงามที่เบ่งบานจากประโยคเสริมหรือการเติมอารมณ์ของมัน

การได้คืนมาเกี่ยวกับฐานทุนนี้ เราได้ลงทุนให้มันมีกำไรเพิ่มมากขึ้น โดยไม่คำนึงถึงคำตัดสินชี้ขาดของ Adorno หรือการถูกกระตุ้นเร้าแต่อย่างใด หนทางเดียวในการเขียนหลังเหตุการณ์ Auschwitz กวีนิพนธ์หรือร้อยแก้วที่ดำเนินไปข้างหน้าคือ การกลายความทรงจำและการขัดขวางอดีตจากความตายหรือจุดจบ เพียงหนทางเดียวที่วรรณกรรมหลังสงครามในหมู่ชาวเยอรมันได้แสดงให้เห็นถึงการใช้เหตุผลที่ถูกต้องทั่วๆ ไป "โปรดติดตามตอนต่อไป"(To Be Continued ...) ต่อตัวมันเองและการสืบทอดของมัน; เพียงหนทางเดียวที่จะทำให้บาดแผลได้รับการเปิดออก และความปรารถนาอันมากมายและถูกกำหนดให้ลืมเลือนจะได้รับการพลิกกลับด้วยความแน่วแน่ไม่แปรเปลี่ยนว่า "กาลครั้งหนึ่ง" (Once upon a time).

จะกี่ครั้งที่ใครสักคนหรือกลุ่มผลประโยชน์อีกกลุ่มเรียกร้องการพิจารณาถึงสิ่งที่เกิดขึ้นตอนจบของบทหนึ่ง เราต้องหวนกลับไปยังสภาวะปกติและวางความอายในอดีตของเราลงไว้เบื้องหลัง - กี่ครั้งที่วรรณกรรมแสดงการขัดขืน - และเป็นไปอย่างถูกต้องแล้ว เพราะมันเป็นตำแหน่งแห่งที่โง่เขลาเท่าๆ กันกับที่สามารถเข้าใจได้; เนื่องจากทุกครั้งการสิ้นสุดของช่วงเวลาหลังสงคราม มันถูกป่าวประกาศในเยอรมนี - ดั่งที่เมื่อสิบกว่าปีล่วงมาแล้ว โดยกำแพง(เบอร์ลิน)ล่ม แต่ความเป็นเอกภาพยังคงอยู่ไกลลิบ - อดีตยังคงคว้าไว้โดยเรา

ในห้วงเวลานั้น เดือนกุมภาพันธ์ 1990 ผมได้พูดกับบรรดานักศึกษาในแฟรงค์เฟริทภายใต้หัวข้อ "Writing After Auschwitz" (การเขียนภาพหลังเหตุการณ์ออสชวิทซ์). ผมต้องการสั่งสมงานหนังสือของตัวเองเล่มแล้วเล่มเล่า. ในเรื่อง The Diary of a Snail, (บันทึกประจำวันของหอยทาก) ซึ่งตีพิมพ์ออกมาในปี 1972 และในนั้น อดีตและปัจจุบันสลับกันไปมา แต่ก็ดำเนินไปคู่ขนานหรือขัดแย้งกันด้วย ผมถูกถามโดยลูกชายของผมเองว่า เขาจะระบุอาชีพของพ่อเขาอย่างไร? ซึ่งผมตอบไปว่า "เป็นนักเขียน หมายถึงใครคนหนึ่งที่เขียนเรื่องเกี่ยวกับห้วงเวลาปัจจุบัน" สิ่งที่ผมกล่าวกับบรรดานักศึกษาคือ: "ทัศนะอันนั้นที่เชื่อว่า บรรดานักเขียนมิได้ถูกห่อหุ้มอย่างโดดเดี่ยวหรือเป็นเช่นนั้นไปตลอดกาล พวกเขามองตัวเองในฐานะที่ดำรงชีวิตอยู่ที่นี่และปัจจุบันนี้ และต่อจากนั้น ซึ่งพวกเขาเผยตัวของตัวเองออกมาต่อการแปรเปลี่ยนของกาลเวลาที่พวกเขาโดดเข้าไปและเลือกข้าง ภัยอันตรายต่างๆ ของการกระโดดเข้าไปและการเลือกข้างเป็นที่รับรู้กันดี นั่นคือ ระยะห่างของนักเขียนคนหนึ่งถูกทึกทักว่าดำรงอยู่ภายใต้การถูกคุกคาม; ภาษาของเขาจักต้องคงอยู่ จากมือสู่ริมฝีปาก; ความคับแคบของเหตุการณ์ปัจจุบันต่างๆ อาจทำให้เขาคับแคบและเหนี่ยวรั้งจินตนาการ ซึ่งเขาฝึกฝนมาให้ดำเนินไปบนหนทางอิสระ เขาขับดันอันตรายด้วยการดำเนินไปของลมหายใจเข้าออก

ความเสี่ยงที่ผมอ้างถึงยังคงอยู่กับตัวผมตลอดระยะเวลาหลายปี แต่อะไรคืออาชีพของนักเขียนที่ปราศจากความเสี่ยง? ตามที่ยอมรับกัน นักเขียนจะมีความปลอดภัยในระดับหนึ่งด้วยความเป็น"ขุนนางทางวัฒนธรรม"(a cultural bureaucrat) แต่เขาก็เป็นนักโทษของความกลัวเกี่ยวกับมือที่เปรอะเปื้อนของเขากับปัจจุบันด้วย นอกไปจากความกลัวในการสูญเสียระยะห่าง เขาจะสูญเสียตัวของเขาเองในปริมณฑลที่มายาคติต่างๆ ดำรงอยู่ และความคิดอันสูงส่งคือสิ่งทั้งหมด

แต่ปัจจุบัน ซึ่งอดีตกำลังถูกทิ้งไปอย่างสม่ำเสมอ มันจะคว้าเขาไว้ในที่สุดและสอบสวนเขาด้วยวิธีการทรมาน ทั้งนี้เพราะนักเขียนทุกคนในห้วงเวลาของพวกเขา ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เขาประท้วงสิ่งที่เกิดขึ้นเร็วหรือช้าเกินไป เขาไม่อาจเลือกได้ด้วยตัวเองถึงสิ่งที่ต้องการเขียน ทางเลือกนั้นถูกสร้างขึ้นมาสำหรับเขา อย่างน้อยที่สุด ผมเป็นคนหนึ่งซึ่งไม่มีอิสระที่จะเลือก และฝากฝังสิ่งประดิษฐ์ของตัวผมเองเอาไว้ อันที่จริงแล้ว ผมต้องการดำเนินรอยตามกฎของสุนทรียศาสตร์ และรู้สึกเป็นสุขอย่างสมบูรณ์ที่จะแสวงหาที่ทางของตัวเองในตำราอันน่าขบขันและไร้อันตราย แต่นั่นเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีอยู่ สถานการณ์ที่บรรเทาเบาบางลง

ภูเขาต่างๆ ของเศษหินเศษปูนและซากศพ ผลพวงของมดลูกหรือครรภ์มารดาแห่งประวัติศาสตร์เยอรมัน สิ่งที่ผมขุดคุ้ยมากขึ้น สิ่งที่เจริญงอกงามตามมา เป็นเรื่องซึ่งไม่อาจถูกเมินเฉยอย่างง่ายๆ นอกจากผมจะมาจากครอบครัวของผู้อพยพ หมายความว่า นอกเหนือจากทุกสิ่งที่ขับเคลื่อนนักเขียน จากหนังสือเล่มหนึ่งสู่อีกเล่มหนึ่ง - ความทะเยอทะยานร่วมกัน ความกลัวต่อความเบื่อหน่าย กลจักรของความยึดถือตนเองเป็นศูนย์กลาง - ผมได้สูญเสียถิ่นกำเนิดของตัวเองอย่างไม่มีวันหวนคืนได้ ถ้าโดยการเล่าเรื่อง ผมไม่อาจมีประสบการณ์ซ้ำกับเมืองๆ หนึ่งที่ได้สูญสลายและถูกทำลายไปแล้วได้เลย อย่างน้อยที่สุด ผมสามารถเพียงแค่กุมันขึ้นมาหรือร่ายเวทมนตร์ขึ้นมาใหม่เท่านั้น และด้วยความหลงใหลตรึงแน่นจิตใจนี้ทำให้ผมดำเนินต่อไป ผมต้องการทำให้มันชัดเจนกับตัวเองและผู้อ่านทั้งหลาย โดยมิได้ปราศจากรอยแผลบนบ่าของตัวเอง สิ่งที่สูญเสียไปไม่ได้ต้องการจ่อมจมลงไปในการถูกลืมเลือน นั่นคือสิ่งที่สามารถได้รับการกู้คืนมาได้โดยศิลปะแห่งวรรณกรรมในความหยุมหยิมและความสง่างามทั้งหมด: โบสถ์ต่างๆ และป่าช้า เสียงต่างๆ จากอู่ต่อเรือ และกลิ่นของผู้คนแถบบอลติกจางๆ ภาษาหนึ่งตามวิถีของมันซึ่งยังคงอบอุ่นมิเสื่อมคลาย และยังรุ่มรวยด้วยเสียงบ่น บาปต่างๆ ที่ยังต้องการสารภาพ และอาชญากรรมที่เกิดขึ้นซึ่งไม่เคยถูกปลดเปลื้อง

การสูญเสียในทำนองเดียวกันได้ตระเตรียมให้นักเขียนอื่นๆ มีที่เพาะพันธุ์หัวเรื่องต่างๆ ที่พวกเขาหมกมุ่นอยู่ ในการสนทนากันครั้งหนึ่งซึ่งย้อนกลับไปหลายปีกับกับ Salman Rushdie (*) และผมเห็นพ้องว่า เรื่องของการสูญเสียเมือง Danzig นั้น สำหรับผม - คล้ายๆ กับการที่เขาต้องสูญเสียเมือง Bombay ไป - เราทั้งคู่ต่างเป็นต้นตอที่มาและรอยโหว่ช่องว่างของการปฏิเสธ จุดแห่งการจากมาและเบี่ยงเบนไป และเป็นจุดกึ่งกลางของโลก ความเย่อหยิ่งจองหองนี้ ความทุ่มเทมากจนเกินไปนี้นอนอยู่ ณ ใจกลางของวรรณกรรม มันคือเงื่อนไขของเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งซึ่งสามารถดึงออกมาได้ สำหรับสิ่งที่ยุติไปแล้วทั้งหมด. รายละเอียดที่เพียรพยายาม เรื่องราวจิตวิทยาที่อ่อนไหว สัจนิยมของชีวิตเสี้ยวเล็กๆ ไม่มีเทคนิคใดที่สามารถจัดการกับวัตถุดิบอันโหดร้ายนั้นได้ ดั่งที่เราเป็นหนี้ต่อขนบจารีตแห่งเหตุผลของยุคสว่าง (the Enlightenment), เส้นทางอันไร้สาระของประวัติศาสตร์ที่กระตุ้นการอรรถาธิบายอย่างมีเหตุผลโดยเฉพาะ

ภาพซ้าย: Ahmed Salman Rushdie. ภาพขวา: Albert Camus

(*) Ahmed Salman Rushdie (born 19 June 1947) is a British Indian novelist and essayist. He first achieved fame with his second novel, Midnight's Children (1981), which won the Booker Prize in 1981. Much of his early fiction is set on the Indian subcontinent. His style is often classified as magical realism mixed with historical fiction, and a dominant theme of his work is the story of the many connections, disruptions and migrations between the Eastern and Western world.

His fourth novel, The Satanic Verses (1988), was at the center of The Satanic Verses controversy, with protests from Muslims including Yusuf Islam (formerly known as Cat Stevens) in several countries. Some of the protests were violent, with Rushdie facing death threats and a fatwa (religious edict) issued by Ayatollah Ruhollah Khomeini, then Supreme Leader of Iran, in February, 1989. In response to the call for him to be killed, Rushdie spent nearly a decade largely underground, appearing in public only sporadically, but was outspoken on the fatwa's censoring effect on him as an author and the threat to freedom of expression it embodied.

คล้ายๆ กับรางวัลโนเบล - เมื่อเราปลดเปลื้องมันจากเครื่องเคราของพิธีกรรม - รากเหง้าหรือแก่นแท้ของมันในการประดิษฐ์คิดค้นเกี่ยวกับดินระเบิด ซึ่งคล้ายคลึงกับสิ่งที่กำเนิดขึ้นในสมองมนุษย์ในฐานะการผ่าหรือการแยกอะตอม การจัดแยกประเภทรางวัลโนเบลที่ทำขึ้นอย่างประณีต ทั้งเกี่ยวกับความสุขและความเศร้าในโลก วรรณกรรมมีคุณภาพในเชิงปะทุจากรากเหง้าของมันเอง แม้ว่าการระเบิดทางวรรณกรรมที่ปลดปล่อยออกมาจะมีลักษณะเป็นปฏิกิริยาที่เชื่องช้า และเปลี่ยนแปลงโลกเพียงแว่นขยายของกาลเวลา กล่าวคือ มันทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงมากสำหรับทั้งความสนุกและการคร่ำครวญในที่นี้ที่อยู่ก้นบึ้ง ซึ่งต้องใช้เวลานานสักเท่าใดในการทำให้เกิดยุคสว่างของชาวยุโรป นับจาก Montaigne (*) ถึง Voltaire (**), Diderot (***), Kant, Lessing (****), และ Lichtenberg (*****) ในการนำเสนอความวูบวาบและริบหรี่ของเหตุผล สู่มุมมืดของอัสสมาจารย์นิยม (scholasticism)?

(*) Michel Eyquem de Montaigne (February 28, 1533-September 13, 1592) was one of the most influential writers of the French Renaissance.

(**) Voltaire, was a French Enlightenment writer, essayist, and philosopher known for his wit and his defence of civil liberties, including both freedom of religion and free trade.

(***) Denis Diderot (October 5, 1713 - July 31, 1784) was a French philosopher, art critic and writer. He was a prominent figure during the Enlightenment and is best known for serving as chief editor of and contributor to the Encyclopedie.

(****) Gotthold Ephraim Lessing (22 January 1729 - 15 February 1781) was a German writer, philosopher, dramatist, publicist, and art critic, and one of the most outstanding representatives of the Enlightenment era. His plays and theoretical writings substantially influenced the development of German literature.

(*****) Georg Christoph Lichtenberg (1 July 1742 - 24 February 1799) was a German scientist, satirist and Anglophile. As a scientist, he was the first to hold a professorship explicitly dedicated to experimental physics in Germany. Today, he is remembered for his posthumous notebooks, which he himself called Sudelbucher, a description modeled on the English bookkeeping term "waste books", and for his discovery of the strange treelike patterns now called Lichtenberg figures.

และความวูบวาบริบหรี่นั้น มักจะตายในกระบวนการดังกล่าว กระบวนการหนึ่งของการเซ็นเซอร์ดำเนินมาอย่างยาวนานด้วยการหยุดยั้งขัดขวาง แต่ในท้ายที่สุด เมื่อแสงสว่างทำให้สิ่งต่างๆ ชัดเจนขึ้น มันก็ดับความสว่างด้วยเหตุผลอันเย็นชา ถูกจำกัดโดยปฏิบัติการเชิงเทคนิค สู่ความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคม เหตุผลหนึ่งซึ่งอ้างว่าได้ให้ความสว่าง แต่นั่นเป็นเพียงเสียงกลองของภาษาเฉพาะที่มีรากฐานของเหตุผลเท่านั้น (ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม มันคือผลรวมของคำสอนต่างๆ สำหรับการสร้างความก้าวหน้า) สู่ลูกหลานของมันเอง ลัทธิทุนนิยมและสังคมนิยม (ซึ่งมาจากลำคอของแต่ละลัทธิที่คำต่างๆ พาไป)

ทุกวันนี้เราสามารถเห็นถึงสิ่งที่คนเหล่านั้นประสบความล้มเหลวอย่างชัดเจน ซึ่งต่างเป็นทายาทของยุคสว่างที่สร้างขึ้นมา เราสามารถเห็นถึงสถานะที่อันตรายอันเป็นปฏิกริยาที่เป็นไปอย่างช้าๆ ของมัน การปะทุของคำที่พุ่งใส่เรา และถ้าหากว่าเรากำลังพยายามที่จะซ่อมแซมความเสียหายด้วยเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ของยุคสว่าง มันก็เป็นเพียงเพราะว่าเราไม่มีเครื่องมืออื่นๆ อีกแล้วนั่นเอง เรามองเข้าไปในความน่าหวาดหวั่นดั่งเช่น"ลัทธิทุนนิยม" - ตอนนี้คือพี่น้องของมัน "ลัทธิสังคมนิยม" ซึ่งได้รับการประกาศว่าตายแล้ว - ซึ่งกำลังบ้าคลั่งอย่างไม่มีสิ่งใดขวางกั้น มันกำลังเล่นบทซ้ำๆ ของความฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยในความผิดพลาดของพี่น้องของมันที่ดับลงไปแล้ว มันได้ผันเปลี่ยนตลาดเสรีไปสู่กฎเกณฑ์หรือความเชื่ออันไร้ข้อพิสูจน์ ความจริงเพียงอย่างเดียว และถูกทำให้มัวเมาโดยทั้งหมดทั้งสิ้นของมัน และอำนาจอันไร้ขีดจำกัด ซึ่งเล่นเกมส์ต่างๆ อย่างกว้างขวางที่สุด การรวมตัวกันทางธุรกิจแล้วธุรกิจเล่าโดยมิได้มีเป้าประสงค์อื่นใดมากไปกว่าการเพิ่มกำไรสูงสุด ไม่ต้องสงสัยเลยว่าลัทธิทุนนิยมกำลังพิสูจน์ในฐานะที่ไม่ได้รับผลกระทบจากการปฏิรูป เช่นเดียวกับลัทธิคอมมิวนิสต์ที่มีการบริหารจัดการแบบรัดคอตัวเอง โลกาภิวัตน์คือภาษิตของมัน ภาษิตซึ่งมันป่าวประกาศด้วยความเย่อหยิ่งจองหองอย่างไม่มีวันผิดพลาด นั่นคือสิ่งที่ไม่มีทางเลือก

ดังนั้น ประวัติศาสตร์จึงได้มาถึงจุดสิ้นสุด ไม่มี"โปรดติดตามตอนต่อไป…"อีกแล้ว ไม่มีการรอคอยอย่างใจจดใจจ่ออีกแล้ว แม้บางทีมันมีความหวังที่ว่า ถ้าไม่ใช่เรื่องการเมืองซึ่งมีการสละอำนาจการตัดสินใจของมันในทางเศรษฐศาสตร์ อย่างน้อยที่สุด วรรณกรรมจะฟื้นคืนขึ้นมาได้ด้วยบางสิ่งบางอย่างที่เป็นมูลเหตุแห่งลัทธิความเชื่ออันไร้ข้อพิสูจน์ใหม่ที่ดำเนินไปอย่างตะกุกตะกัก

งานเขียนในเชิงทำลายล้างสามารถที่จะเป็นทั้งระเบิดไดนาไมท์และงานคุณภาพเชิงวรรณกรรมได้อย่างไร? มันมีเวลามากพอที่จะรอคอยปฏิกริยาอันเชื่องช้าได้หรือไม่? มีหนังสือเล่มใดไหม ที่สามารถจำหน่ายสินค้าชิ้นหนึ่งได้ด้วยระยะเวลาที่สั้นมากในอนาคต? มันค่อนข้างจะไม่ใช่กรณีของวรรณกรรม ซึ่งปัจจุบันกำลังล่าถอยจากชีวิตสาธารณะ และบรรดานักเขียนหนุ่มสาวกำลังใช้อินเตอร์เน็ตในฐานะที่เป็นสนามสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจใช่ไหม? การหยุดนิ่ง กับถ้อยคำอันน่าสงสัย "การสื่อสาร" มันให้ยืมรัศมีอันหนึ่ง ซึ่งกำลังสร้างความก้าวหน้า. เศษชิ้นเล็กชิ้นน้อยของเวลาทุกๆ เสี้ยววินาทีถูกวางแผนให้น้อมนำไปสู่ความล้มเหลวกระสับกระส่าย อุตสาหกรรมวัฒนธรรม หุบเขาร้องไห้กำลังเข้าแทนที่โลก อะไรคือสิ่งที่ถูกกระทำ?

แม้ว่าผมจะไม่เชื่อในพระเจ้า แต่ทั้งหมดที่ผมสามารถทำได้ก็คือ การคุกเข่าลงต่อหน้านักบุญซึ่งท่านไม่เคยทำให้ผมผิดหวัง และกระเทาะเปลือกที่แข็งแกร่งของลูกนัท โอ้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และ (โดยผ่านความสง่างามของกามูส[Camus (*)] ซิสซีฟัสอันสูงส่ง (Sisyphus!) (**) ผู้ซึ่งกลิ้งหินก้อนใหญ่ขึ้นภูเขาแต่ไม่ประสบความสำเร็จ ดังนั้นเราจึงปล่อยให้มันกลิ้งลงมา และก็คล้ายคลึงกับท่านซึ่งยังคงปลาบปลื้มปิติต่อไป และเรื่องนี้ได้บอกกับเราถึงภาระอันหนักอึ้งเกี่ยวกับการดำรงอยู่ว่าไม่มีวันสิ้นสุด อาเมน

(*) Albert Camus (7 November 1913 - 4 January 1960) was a French author, philosopher, and journalist who was awarded the Nobel Prize for Literature in 1957. He is often associated with existentialism, but Camus refused this label. He wrote in his essay The Rebel that his whole life was devoted to opposing the philosophy of nihilism while still delving deeply into individual freedom.

(**) In Greek mythology, Sisyphus was a king punished in Tartarus by being cursed to roll a huge boulder up a hill, only to watch it roll back down, and to repeat this throughout eternity. The word sisyphean means, according to the American Heritage Dictionary, "endless and unavailing, as labor or a task."

แต่เสียงสวดอธิษฐานของผมจะได้รับการได้ยินหรือไม่? หรือเป็นเพียงความจริงที่เล่าลือกันเท่านั้นใช่ไหม? ชีวิตพันธุ์ใหม่โดยการโคลนได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้วใช่หรือไม่ เพื่อเป็นเพียงการยืนยันถึงความต่อเนื่องของประวัติศาสตร์มนุษยชาติ? อันนี้ได้น้อมนำผมให้หวนกลับสู่การเริ่มต้นพูด อีกคำรบที่ผมเปิดหนังสือเรื่อง The Rat ในบทที่ห้า เนื้อหาในบทนั้นเป็นเรื่องของหนูทดลอง ซึ่งเป็นตัวแทนสัตว์นับล้านๆ ในห้องทดลองทั่วโลก ในการวิจัย และการได้มาซึ่งรางวัลโนเบล และผมได้รับการเตือนว่า รางวัลเพียงไม่กี่มากน้อยที่ถูกมอบให้กับโครงการต่างๆ ที่ได้ช่วยทำให้โลกปลอดพ้นจากหายนภัยหรือความทุกข์ทรมานของมนุษยชาติ นั่นคือ ความหิวโหย

ใครก็ตามซึ่งสามารถจ่ายได้ ก็สามารถได้ไตใหม่คู่หนึ่ง หัวใจสามารถได้รับการปลูกถ่าย เราสามารถที่จะโทรศัพท์ไปยังที่ใดบนโลกนี้ได้อย่างอิสระ ดาวเทียมและสถานีอวกาศทั้งหลายโคจรอยู่รายรอบพวกเราอย่างน่ากังวล ระบบอาวุธมหาประลัยล่าสุดถูกคิดและพัฒนาขึ้น พวกเขาเช่นกัน ล้วนอยู่บนพื้นฐานของการได้รับรางวัลจากผลงานวิจัย สามารถช่วยให้ความเป็นผู้เชี่ยวชาญของเขาควบคุมความตายในสงครามอ่าว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นประโยชน์แปลกใหม่เกิดขึ้นมาจากสมองของมนุษย์ เพียงความหิวโหยที่ดูเหมือนว่าถูกขัดขวาง กระทั่งกำลังถูกต่อต้านเพิ่มขึ้น รากเหง้าอันลึกซึ้งของความยากจนแผ่คลุมเงามืดและจมลงสู่ความทุกข์ระทมและความลำเค็ญ บรรดาผู้อพยพกำลังแผ่ขยายไปทั่วโลกซึ่งถูกนำพาไปพร้อมกันกับความหิวโหย มันต้องนำเอาเจตจำนงทางการเมืองคู่กันไปกับความรู้และทักษะทางวิทยาศาสตร์ เพื่อมาขจัดหรือถอนรากถอนโคนความทุกข์ยากของมหาชน แต่ดูเหมือนว่าไม่มีใครคิดแก้ปัญหาหรือเข้ามาจัดการกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง

ในปี ค.ศ.1973 เมื่อความหวาดกลัว - โดยการส่งเสริมอย่างกระตือรือร้นของสหรัฐอเมริกา - คือการเริ่มต้นของการก่อการสไตร์คในประเทศชิลี, Willy Brandt (*) ได้พูดต่อหน้าที่ประชุมใหญ่ของสมัชชาสหประชาชาติ, นี่คืออัครเสนาบดีคนแรกของชาวเยอรมันที่กระทำเช่นนั้น เขาได้หยิบยกประเด็นปัญหาของความยากจนในโลกกว้างขึ้นพูด เสียงปรบมือติดตามมาจากคำประกาศของเขาที่ว่า "ความหิวโหยคือสงครามเช่นกัน!" ซึ่งกำลังสร้างความตะลึงงัน

(*) Willy Brandt, born Herbert Ernst Karl Frahm (18 December 1913 - 8 October 1992), was a German politician, Chancellor of West Germany 1969-1974, and leader of the Social Democratic Party of Germany (SPD) 1964-1987. His most important legacy is the Ostpolitik, a policy aimed at improving relations with East Germany, Poland, and the Soviet Union. This policy caused considerable controversy in West Germany, but won Brandt the Nobel Peace Prize in 1971.

ช่วงขณะนั้น ตอนที่เขากล่าวสุนทรพจน์ ผมกำลังเขียนนวนิยายเรื่อง The Flounder (ความตะเกียกตะกราย) อยู่พอดี มันเกี่ยวพันกับรากฐานต่างๆ ในการดำรงอยู่ของมนุษย์ รวมถึงอาหาร การขาดเสียซึ่งสิ่งนั้นอย่างมาก คนละโมบโลภมาก และความอดอยากหิวโหยที่ไม่ได้รับการเล่าขาน ความรื่นรมย์เกี่ยวกับการลิ้มรส และขนมปังป่นบนโต๊ะอาหารของคนรวย ปัญหาเหล่านี้ยังคงอยู่กับเรา ความยากจนดูเหมือนจะเติบโตขึ้นสวนทางกับความรวยและอัตราการเกิด คนที่มั่งคั่งร่ำรวยจากทางเหนือและตะวันตกกำลังพยายามที่จะกรองตัวของพวกเขาเองออกมาภายในป้อมปราการที่ปลอดภัยแบบบ้าคลั่ง แต่ฝูงชนของผู้อพยพจะคว้าพวกเขาเอาไว้ กล่าวคือ ไม่มีประตูใดสามารถที่จะทนต่อฝูงชนแห่งความหิวโหยได้

อนาคตจะมีบางสิ่งบางอย่างที่พูดถึงเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด นวนิยายธรรมดาของพวกเราจะยังคงดำเนินต่อไป และแม้ว่าวันใดวันหนึ่ง ผู้คนต่างหยุดหรือถูกบีบบังคับให้หยุดเขียนและตีพิมพ์ หรือถ้าหากว่าหนังสือต่างๆ ไม่มีที่ทางของมันอีกต่อไปแล้ว มันก็จะยังคงมีนักเล่าเรื่องที่จะเล่าขานจากช่องปาก สู่รูหูซึ่งสร้างขึ้นตามลมหายใจ ปั่นเอาเรื่องราวเก่าแก่ออกมาในหนทางใหม่ๆ ด้วยสุ้มเสียงที่ดัง ค่อย และแผ่วเบา พร้อมคำอุทาน และการหยุดเป็นห้วงๆ ด้วยเสียงหัวเราะและหยดน้ำตา

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

บทความวิชาการนี้ สามารถ download ได้ในรูป word

 

++++++++++++++++++++++++++++++++++++


สารบัญข้อมูล : ส่งมาจากองค์กรต่างๆ

ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา 3
I สารบัญเนื้อหา 4 I สารบัญเนื้อหา 5 I สารบัญเนื้อหา 6
สารบัญเนื้อหา 7 I สารบัญเนื้อหา 8
ประวัติ ม.เที่ยงคืน

สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง

webboard(1) I webboard(2)

e-mail : midnightuniv(at)gmail.com

หากประสบปัญหาการส่ง e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
[email protected]

ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ทั้งหมด กว่า 1700 เรื่อง หนากว่า 35000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)gmail.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com

สมเกียรติ ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็บไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com