ค้นหาบทความที่ต้องการ ด้วยการคลิกที่แบนเนอร์ midnight search engine แล้วใส่คำหลักสำคัญในบทความเพื่อค้นหา
โครงการสื่อเพื่อบริบทสิทธิมนุษยชน: จากชายขอบถึงศูนย์กลาง - Media Project: From periphery to mainstream
Free Documentation License - Copyleft
2006, 2007, 2008
2009, 2010, 2011
2012, 2013, 2014
Everyone is permitted to copy and distribute verbatim copies of
this licene document, but changing
it is not allowed. - Editor

อนุญาตให้สำเนาได้ โดยไม่มีการแก้ไขต้นฉบับ
เพื่อใช้ประโยชน์ทางการศึกษาทุกระดับ
ข้อความบางส่วน คัดลอกมาจากบทความที่กำลังจะอ่านต่อไป
เว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ๒๕๔๓ เพื่อประโยชน์ทางการศึกษา โดยบทความทุกชิ้นที่นำเสนอได้สละลิขสิทธิ์ให้กับสาธารณะประโยชน์

1

 

 

 

 

2

 

 

 

 

3

 

 

 

 

4

 

 

 

 

5

 

 

 

 

6

 

 

 

 

 

 

 

 

 

8

 

 

 

 

9

 

 

 

 

10

 

 

 

 

11

 

 

 

 

12

 

 

 

 

13

 

 

 

 

14

 

 

 

 

15

 

 

 

 

16

 

 

 

 

17

 

 

 

 

18

 

 

 

 

19

 

 

 

 

20

 

 

 

 

21

 

 

 

 

22

 

 

 

 

23

 

 

 

 

24

 

 

 

 

25

 

 

 

 

26

 

 

 

 

27

 

 

 

 

28

 

 

 

 

29

 

 

 

 

30

 

 

 

 

31

 

 

 

 

32

 

 

 

 

33

 

 

 

 

34

 

 

 

 

35

 

 

 

 

36

 

 

 

 

37

 

 

 

 

38

 

 

 

 

39

 

 

 

 

40

 

 

 

 

41

 

 

 

 

42

 

 

 

 

43

 

 

 

 

44

 

 

 

 

45

 

 

 

 

46

 

 

 

 

47

 

 

 

 

48

 

 

 

 

49

 

 

 

 

50

 

 

 

 

51

 

 

 

 

52

 

 

 

 

53

 

 

 

 

54

 

 

 

 

55

 

 

 

 

56

 

 

 

 

57

 

 

 

 

58

 

 

 

 

59

 

 

 

 

60

 

 

 

 

61

 

 

 

 

62

 

 

 

 

63

 

 

 

 

64

 

 

 

 

65

 

 

 

 

66

 

 

 

 

67

 

 

 

 

68

 

 

 

 

69

 

 

 

 

70

 

 

 

 

71

 

 

 

 

72

 

 

 

 

73

 

 

 

 

74

 

 

 

 

75

 

 

 

 

76

 

 

 

 

77

 

 

 

 

78

 

 

 

 

79

 

 

 

 

80

 

 

 

 

81

 

 

 

 

82

 

 

 

 

83

 

 

 

 

84

 

 

 

 

85

 

 

 

 

86

 

 

 

 

87

 

 

 

 

88

 

 

 

 

89

 

 

 

 

90

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 




24-07-2551 (1618)

ชุดวรรณกรรมเที่ยงคืน: ความรักไม่อาจเอาชนะอิสรภาพ
H. G. Wells: The Country of the Blind - ดินแดนคนตาบอด
เอช.จี.เวลส์ : เขียน (มโนราห์ : แปล)
ต้นฉบับงานแปลนี้ ได้รับมาจาก ปิยะวิทย์ เทพอำนวยสกุล และได้รับอนุญาตให้เผยแพร่
บทความวิชาการนี้ สามารถ download ได้ในรูป word

เว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน เปิดรับงานแปลวรรณกรรมนานาชาติ
เพื่อเผยแพร่ผลงานวรรณศิลปสู่นักเรียน นักศึกษา ประชาชนที่ใช้ภาษาไทย
ผู้สนใจสามารถส่งผลงานแปลมาที่ midnightuniv(at)gmail.com
โดยความยาวประมาณ ๑๐ หน้ากระดาษ A4 หรือมากกว่านั้น

สำหรับวรรณกรรมบนหน้าเว็บเพจนี้ เป็นเรื่องสั้นของ เอช.จี.เวลส์
The Country of the Blind ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับดินแดนลึกลับแห่งหนึ่ง ที่มีแต่คนตาบอด
อย่างไรก็ตาม ผู้คนเหล่านั้นสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ขณะที่คนนอกซึ่งเป็นคนตาดีได้ผลัดหลง
เข้ามาในดินแดนแห่งนี้ และคิดว่าตนมีศักยภาพเหนือคนอื่นโดยการมีนัยน์ตาที่มองเห็น
แต่ก็ต้องพบกับความผิดหวัง ผิดคาด และกลายเป็นคนแปลกแยก

"The Country of the Blind" is a short story written by English writer H. G. Wells.
It was first published in the April 1904 issue of the Strand Magazine and included in
a 1911 collection of Wells's short stories, The Country of the Blind and Other Stories.

Wells later revised the story and the expanded version was first
published by an English private printer, Golden Cockerel Press in 1939.
"The Country of the Blind" is one of Wells's best known short stories
and features prominently in literature dealing with blindness.

บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา
ข้อความที่ปรากฏบนเว็บเพจนี้ ได้รักษาเนื้อความตามต้นฉบับเดิมมากที่สุด
เพื่อนำเสนอเนื้อหาตามที่ผู้เขียนต้องการสื่อ กองบรรณาธิการเพียงตรวจสอบตัวสะกด
และปรับปรุงบางส่วนเพื่อความเหมาะสมสำหรับการเผยแพร่ รวมทั้งได้เว้นวรรค
ย่อหน้าใหม่ และจัดทำหัวข้อเพิ่มเติมสำหรับการค้นคว้าทางวิชาการ
บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ ๑๖๑๘
ผยแพร่บนเว็บไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๑
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ ๒๐ หน้ากระดาษ A4)


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ชุดวรรณกรรมเที่ยงคืน: ความรักไม่อาจเอาชนะอิสรภาพ
H. G. Wells: The Country of the Blind - ดินแดนคนตาบอด
เอช.จี.เวลส์ : เขียน (มโนราห์ : แปล)
ต้นฉบับงานแปลนี้ ได้รับมาจาก ปิยะวิทย์ เทพอำนวยสกุล และได้รับอนุญาตให้เผยแพร่
บทความวิชาการนี้ สามารถ download ได้ในรูป word

เลยจากยอดเขาชิมโบราโซไปสามร้อยไมล์กว่า พ้นจากภูเขาไฟโคโตปาซีที่มีหิมะปกคลุมไปหนึ่งร้อยไมล์ กลางป่าดิบรกชัฏบนเทือกเขาแอนเดสแห่งเอกวาดอร์ ยังมีหุบลึกลับกลางขุนเขาที่ตัดขาดจากโลกมนุษย์ เรียกขานกันว่า ดินแดนคนตาบอด เมื่อนานมาแล้ว หุบเขานี้ยังเปิดกว้างต่อโลกภายนอก ยินยอมให้คนบุกบั่นเลาะเลียบหุบเหวสูงชันน่าเสียวไส้ ย่ำน้ำแข็งไปเยือนทุ่งกว้างสุดสายตาของหุบเขาได้ แล้วก็มีคนไปถึงที่นั่นจริงๆ มีครอบครัวลูกครึ่งเปรูอยู่หนึ่งหรือสองครอบครัว หลบหนีความกระหายใคร่มีและใจเหี้ยมเกรียมป่าเถื่อนของผู้ปกครองชาวสเปนใจทมิฬคนหนึ่งไปอยู่ในหุบลึก ครั้นแล้วภูเขาไฟมินโดแบมบาก็เกิดปะทุครั้งมโหฬาร ครั้งนั้นเมืองควิโตตกอยู่ในราตรีกาลตลอดสิบเจ็ดวัน น้ำในยากัวชิเดือดปุดๆ ปูปลาหงายท้องลอยเกลื่อนผิวน้ำไปไกลถึงท่าเรือกัวยาควิล ตามแนวเนินริมฝั่งมหาสมุทรแปซิกฟิก เกิดปรากฏการณ์แผ่นดินถล่ม หิมะหลอมละลาย และน้ำไหลบ่าเข้าท่วม ยอดเขาอะรัวกาพังถล่มสะเทือนเลื่อนลั่นลงมาทั้งแถบ ปิดกั้นทางเข้าสู่ดินแดนคนตาบอดไว้จากเท้านักสำรวจของโลกภายนอกตลอดกาล

ระหว่างที่โลกเขย่าเขยื้อนตัวอย่างรุนแรงนี้ โชคชะตาก็กลั่นแกล้งขวางกั้นชายผู้หนึ่งไม่ให้กลับคืนสู่หุบเขา ชายผู้นี้เป็นคนรุ่นแรก ๆ ที่เข้าไปตั้งถิ่นฐานในหุบเขา เขาจึงจำต้องตัดใจลืมลูกเมียมิตรสหายและทรัพย์สมบัติทุกประการบนภูเขา แล้วลงมาตั้งต้นชีวิตใหม่ในพื้นราบ หลังจากเริ่มชีวิตใหม่ได้ไม่นานก็ต้องล้มป่วยและมาตาบอดลงเสียก่อน แล้วก็ตายไปในระหว่างถูกลงทัณฑ์ขณะทำงานในเหมืองแร่ แต่เรื่องที่เขาเล่าได้กลายเป็นตำนานที่ยังคงล่องลอยอ้อยอิ่งอยู่ตามแนวยาวเหยียดของเทือกเขาแอนเดสมาจวบจนทุกวันนี้

เขาเล่าว่า เหตุไฉนจึงกล้าเสี่ยงกลับออกจากดงลึกแห่งนั้น ซึ่งสมัยยังเด็กเขาเคยนั่งผูกติดอยู่บนหลังลามา ข้างๆ ห่อเครื่องมือมัดใหญ่ เขาบอกว่าหุบเขาแห่งนั้นมีทุกสิ่งทุกอย่างที่ดวงใจมนุษย์ใฝ่ฝันหา น้ำจืดหวานอร่อย ทุ่งหญ้าแผ่ขจีไกล อากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี เนินเขาเป็นดินอุดมสีน้ำตาลปกคลุมด้วยเหล่าไม้พุ่มเตี้ยขึ้นพันกันและให้ผลโอชา ที่เนินเขาด้านหนึ่งเป็นดงสนใหญ่ทะยานเมฆ แบกหิมะที่ถล่มลงมาไว้บนยอดสูง ไกลออกไปทั้งสามด้านมีผาใหญ่สีเขียวปนเทาซึ่งปลายยอดปกคลุมด้วยน้ำแข็ง แต่ธารน้ำแข็งกลับมิได้มุ่งมายังหุบเขา หากไหลเลื่อนไปทางเนินที่ห่างออกไปอีก นาน ๆ ทีก้อนน้ำแข็งมหึมาจึงจะหล่นลงบนฟากที่เป็นหุบเขาสักครั้ง ในหุบเขานี้ไม่มีฝนและหิมะตก แต่อุดมด้วยต้นน้ำลำธารอันก่อให้เกิดทุ่งเขียวขจีสำหรับเลี้ยงสัตว์ และมีคลองส่งน้ำแล่นกระจายไปตลอดทั่วหุบเขา บรรดาผู้ตั้งถิ่นฐานล้วนอยู่ดีมีสุข สัตว์เลี้ยงก็อิ่มหนำสำราญออกลูกออกหลานมาไม่ขาด

แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีเรื่องหนึ่งที่ทำลายความสุขสงบของผู้คนในหุบเขา และเรื่องเดียวนี้ทำลายความสุขได้อย่างร้ายกาจ นั่นก็คือเกิดโรคประหลาดขึ้นในหุบเขา เด็กทุกคนที่เกิดที่นั่นล้วนแล้วแต่ตาบอด และรวมถึงเด็กรุ่นโตบางคนด้วย ที่ชายผู้นั้นสู้อุตส่าห์ไต่เลียบหน้าผา บากบั่นฝ่าฟันอันตรายออกมา ก็เพื่อจะหาเครื่องรางของขลังหรือยาถอนพิษโรคตาบอดนี้นั่นเอง สมัยนั้นเมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ ผู้คนจะไม่นึกถึงเชื้อโรคหรือการติดเชื้อ หากจะคิดถึงบาปผิดที่เคยกระทำ เขาเล็งเห็นว่าสาเหตุของโรคร้ายก็คงจะเป็นเพราะพวกอพยพที่ไม่มีนักบวชมาด้วยเหล่านี้ ไม่ได้ก่อตั้งสถานสักการะทันทีที่มาถึงหุบเขา เขาเองก็อยากให้ในหุบเขามีสถานสักการะที่สวยงาม ได้ผลตามเจตนา และราคาถูก เขาอยากได้วัตถุบูชาและเครื่องรางประเภทที่ช่วยเสริมศรัทธาของคน หรือไม่ก็วัตถุศักดิ์สิทธิ์ เหรียญ และบทสวดมนต์ลึกลับ ในกระเป๋าเงินของเขาเองก็พกแท่งเงินของชาวพื้นเมืองอยู่แท่งหนึ่ง แต่เขาไม่เคยเอ่ยปากเล่าให้ใครฟัง ยังยืนกรานแบบคนโกหกไม่เก่งว่าในหุบเขาไม่มีของเช่นว่านี้

เขาบอกว่าทุกคนต่างนำเงินและของประดับประดามารวมไว้ที่เดียวกัน เพราะบนนั้นไม่รู้จะใช้สมบัติไปทำอะไร จากนั้นจึงนำเงินไปซื้อของศักดิ์สิทธิ์เพื่อมาปัดเป่าโรคร้าย ข้าพเจ้านึกภาพหนุ่มภูเขานัยน์ตามัว ผิวกร้านคล้ำแดด ผอมโซ กระวนกระวาย มือจับปีกหมวกอย่างร้อนรน ชายผู้ห่างวิถีชีวิตคนพื้นราบไปนาน เล่าเรื่องให้นักบวชซึ่งทำตาลุกตั้งใจฟัง ก่อนที่จะมีการแปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ ข้าพเจ้านึกภาพออกว่าเขาคงอยากรีบกลับคืนสู่หุบเขาพร้อมยาซึ่งขลังด้วยมนต์วิเศษแห่งศรัทธาและมีฤทธิ์รักษาโรคได้ชะงัด เขาคงแสนทดท้อสิ้นหวังเมื่อกลับไปพบกองพะเนินหินถล่มในที่ซึ่งเคยมีหน้าผายื่นออกมา เรื่องราวเคราะห์ร้ายที่เหลือของเขาเป็นอย่างไรข้าพเจ้าจนปัญญาที่จะทราบ ข้าพเจ้ามารู้ข่าวอีกทีก็เมื่อเขาเคราะห์ร้ายตายลงในอีกหลายปีต่อมา คนจรจากป่าคนนี้ช่างน่าเวทนานัก ลำธารที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเส้นทางเลียบหน้าผา บัดนี้ไหลถั่งทะลักมาจากปากถ้ำหิน และตำนานของเรื่องราวที่เขาบอกเล่าอย่างขาดๆ วิ่น ๆ ก็กลายมาเป็นตำนานแห่งชนเผ่าตาบอด 'บนนั้น' ซึ่งยังพอหาฟังได้บ้างในทุกวันนี้

และนับจากนั้นโรคร้ายก็ดำเนินไปตามวิถีของมันท่ามกลางหุบเขา ซึ่งบัดนี้ถูกตัดขาดและถูกลืมเลือน คนเฒ่าคนแก่มองอะไรไม่เห็น ต้องอาศัยมือคลำเอา คนหนุ่มสาวเห็นเพียงเลือนราง ส่วนลูกๆ ของคนเหล่านี้มองอะไรไม่เห็นเอาเลย แต่ชีวิตในหุบเขาหิมะล้อมรอบนั้นแสนง่ายดาย คนที่นี่ไม่สนใจโลกภายนอก ต้นไม้เล่าก็ไร้หนามแหลมทิ่มตำ ไม่มีแมลงมีพิษหรือสัตว์ร้าย จะมีก็เพียงลามานิสัยอ่อนโยนที่ถูกรุนฉุดกระฉากลากถูมาตามแนวก้นแม่น้ำหดเล็กที่ไหลมาจากหุบเหว นัยน์ตาของคนในหุบเขาเริ่มมัวลงทีละเล็กละน้อย ไม่มีใครสังเกตอาการตาบอดตาใสของตัวเอง พวกเขาจูงมือพาลูกหลานไปทางโน้นทางนี้ จนกระทั่งแต่ละคนรู้จักพื้นที่ทุกตารางนิ้วของหุบเขาได้อย่างน่าอัศจรรย์ ท้ายที่สุดเมื่อดวงตาบอดสนิท คนทั้งหุบเขาก็ยังใช้ชีวิตกันต่อไปได้ มิหนำซ้ำยังมีเวลาพอให้ปรับตัวกับเรื่องไฟฟาง สามารถลองก่อไฟในเตาหินจนสำเร็จ

ในตอนแรกชาวบ้านที่นี่ก็เป็นเพียงกลุ่มคนใช้ชีวิตง่ายๆ ไม่รู้หนังสือ และรับวัฒนธรรมสเปนมาเพียงผิวเผินเท่านั้น แต่สิ่งหนึ่งที่มีอยู่และตกทอดกันมาเป็นประเพณี นั่นก็คือศิลปะและปรัชญาที่สาบสูญของชนชาติเปรูดั้งเดิม ผ่านไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า หลายอย่างถูกลืมเลือนไป แต่หลายสิ่งก็ถูกสร้างขึ้นใหม่ ส่วนประเพณีของโลกกว้างที่จากมากลับกลายเป็นตำนานปรำปราโคมลอยพร่าเลือน ยกเว้นจากสายตาแล้ว ร่างกายส่วนอื่นๆ ของพวกเขาแข็งแรงใช้การได้ดีทั้งสิ้น และในไม่ช้า โชคชะตาก็ส่งผู้มีความคิดแปลกแหวกแนวและมีวาทศิลป์มาสู่หุบเขาแห่งนี้ แล้วต่อมาก็ส่งมาอีกคนหนึ่ง คนทั้งคู่หาชีวิตไม่แล้ว หากได้ทิ้งหลายสิ่งหลายอย่างไว้ จากนั้นมาชุมชนเล็กๆ ก็ขยายตัวขึ้น ทั้งจำนวนคนและความเข้าใจในเรื่องราวต่างๆ เมื่อชุมชนประสบปัญหาไม่ว่าทางสังคมหรือทางเศรษฐกิจ ก็หาทางแก้ไขกันไปได้ ผ่านไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า รุ่นแล้วรุ่นเล่าผ่านไป แล้วก็มาถึงวันที่เด็กคนหนึ่งลืมตาขึ้นมาดูโลก ห่างจากวันที่บรรพุบรุษได้ออกจากหุบเขาไปพร้อมกับแท่งเงินเพื่อขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าและไม่เคยหวนกลับมาอีกนับได้สิบห้าชั่วอายุคน ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันนั้นก็ให้บังเอิญมีชายผู้หนึ่งเดินทางจากโลกภายนอกเข้ามาถึงชุมชนแห่งนี้ และต่อไปนี้คือเรื่องของชายคนนั้น

ชายคนนี้เป็นชาวเขาจากดินแดนไม่ใกล้ไม่ไกลจากควิโตนัก เขาเคยบุกบั่นไปจนได้เห็นทะเลและท่องโลกกว้างมาแล้ว เขาเป็นนักอ่านที่ตะลุยอ่านด้วยความคิดแปลกใหม่ในหัว มีสติปัญญาเฉียบแหลม กล้าได้กล้าเสีย คณะปีนเขาชาวอังกฤษในเอกวาดอร์ได้รับเขาเข้าร่วมคณะ เพื่อทดแทนคนนำทางชาวสวิสซึ่งล้มป่วยลงเสียคนหนึ่งจากที่มีอยู่สามคน เขาปีนเขาลูกโน้นลูกนี้ แล้วมาวันหนึ่งก็ถึงคราวปีนยอดเขาพาราสโกโตเปเติล หรือแมตเตอร์ฮอร์นแห่งแอนเดส ที่นั่นเองที่เขาหายสาบสูญไปจากโลกภายนอก อุบัติเหตุคราวนั้นถูกเล่าขานซ้ำหลายครั้งหลายหน แต่เรื่องของพอยน์เตอร์นับว่ามีสีสันที่สุด เรื่องของพอยน์เตอร์บอกว่านักปีนเขาคณะเล็กบุกบั่นขึ้นไปตามเนินเขาสูงชันคอตั้งบ่าด้วยความยากลำบากจนถึงตีนเขาสูงเงื้อมลูกสุดท้าย ครั้นพอตกกลางคืนก็ช่วยกันสร้างที่กำบังใต้ชะเงื้อมผาเล็กๆ ซึ่งทุกทิศล้อมรอบล้วนแต่เป็นหิมะ และแล้วไม่ช้าก็พบว่านูเนซหายตัวไปท่ามกลางบรรยากาศของพลังขนานแท้ที่น่าตื่นตาตื่นใจ ทุกคนช่วยกันกู่เรียกแต่ไม่มีเสียงตอบ ทั้งเรียกชื่อทั้งผิวปากก็แล้ว คืนนั้นไม่ได้หลับนอนกันทั้งคณะ

พอรุ่งสางจึงมองเห็นรอยที่เขาไถลตกลงไป ดูท่าทางแล้วคงไม่ทันได้ร้องสักแอะด้วยซ้ำ เขาเลื่อนไถลไปทางฟากตะวันออกของภูเขาอันเป็นด้านที่ไม่เคยมีใครเหยียบย่างไปถึง ร่างคงชนเข้ากับผาหิมะชันข้างล่างนั่น แล้วครูดไปตามเนินหิมะพังทะลาย รอยของเขาตรงดิ่งไปยังขอบชะเงื้อมผาน่าหวาดเสียว ซึ่งพ้นไปจากหน้าผานั้นทุกสิ่งทุกอย่างซุกซ่อนตัวอยู่ เบื้องล่างที่ไกลแสนไกลในหุบเขาที่ไม่มีทางเข้าถึง พอจะแลเห็นหมู่ไม้หยัดยืนขึ้นท่ามกลางหมอกพร่าเลือนได้ ดินแดนคนตาบอดที่สาบสูญนั่นเอง แต่ทุกคนในคณะไม่ทราบว่านั่นคือถิ่นลึกลับของคนตาบอด และแยกไม่ออกว่ามันมีความแตกต่างอันใดจากหุบเขาแคบอื่นๆ บนภูเขา อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นทำลายขวัญของคนในคณะจนต้องยกเลิกการปีนเขาในบ่ายวันนั้นเอง แล้วพอยน์เตอร์ก็ถูกเรียกไปรบก่อนจะทันได้เริ่มปีนเขาครั้งใหม่ จนกระทั่งทุกวันนี้ ยอดเขาพาราสโกโตเปตเติลก็ยังคงไร้ผู้พิชิต และเพิงพักของพอยน์เตอร์ก็ล้มพังไม่มีใครเหลียวแลอยู่ท่ามกลางหิมะเวิ้งว้างนั่นเอง

แต่ชายผู้ตกหน้านั้นผากลับรอดชีวิต เขาไถลไปถึงปลายสุดของเนินแล้วร่วงลงไปร่วมสามร้อยเมตร หล่นลงกลางหมอกหิมะบนเนินซึ่งสูงกว่าเนินหิมะข้างบนเสียอีก ร่างเขาหมุนคว้างและหมดสติรับรู้ แต่กระดูกกระเดี้ยวไม่มีส่วนใดบุบสลาย สุดท้ายร่วงตกลงบนเนินไม่ชันนัก ร่างเขากลิ้งหลุนๆ จนมานอนแน่นิ่งอยู่ใต้ปุยหิมะขาวโพลนอ่อนนุ่ม ซึ่งกลิ้งหล่นมาพร้อมกับเขาและช่วยชีวิตเขาไว้ ตอนที่ฟื้นขึ้นมา สติอันรางเลือนทำให้เขาเผลอคิดไปว่านอนป่วยอยู่บนเตียง ครั้นต่อมาสติปัญญาของนักไต่เขาก็ค่อยๆ กลับคืนมาเป็นของเขาบ้าง เขานอนพักนิ่งๆ อยู่เป็นนานสองนาน จนกระทั่งตามองเห็นดวงดาวบนฟ้า เขานอนคว่ำราบกับพื้นพลางนึกสงสัยว่าอยู่ที่ใดและเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ลองสำรวจแขนขาดูก็พบว่ากระดุมเสื้อหลุดหายไปหลายเม็ด และชายเสื้อคลุมพลิกตลบครอบศีรษะอยู่ มีดที่กระเป๋าไม่อยู่แล้ว หมวกก็หายไปเช่นกันทั้งที่มัดเชือกไว้ใต้คางดิบดี นึกออกแล้ว เขาเที่ยวเดินหาหินสักก้อนจะมาหนุนยกผนังเพิงนั่นเอง ขวานจามน้ำแข็งก็หายไปแล้ว เขากระจ่างแจ้งแล้วว่าตนคงต้องตกหน้าผาลงมา แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองเส้นทางโลดโผนเสี่ยงตายซึ่งดูน่าสยดสยองยิ่งขึ้นท่ามกลางแสงเดือนที่เพิ่งลอยขึ้นบนฟ้าได้ไม่นาน พักใหญ่ ๆ ที่เขานอนเหม่อมองเงื้อมผาซีดขาวซึ่งตระหง่านง้ำอยู่เบื้องบน ค่อยๆ โผล่ขึ้นจากความมืดทีละน้อย ความงามลึกลับหลอนหลอกของมันสะกดให้เขานิ่งตะลึงไปชั่วขณะ ครั้นแล้วเขาก็หัวเราะอย่างเป็นบ้าเป็นหลังปนกับเสียงสะอื้น…

เนิ่นนานทีเดียวกว่าเขาจะรู้ว่าตัวเองอยู่ใกล้กับขอบผาหิมะชั้นล่าง ซึ่งเมื่อมองต่ำลงเบื้องล่าง แสงจันทร์ส่องให้เห็นเนินที่พอจะปีนลงไปได้ และเห็นพื้นหญ้ามีหินแทรกอยู่ประปราย เขายันกายขึ้นยืน แม้จะปวดระบมไปทั้งตัวแต่ก็กัดฟันฝืนปีนลงจากก้อนหิมะที่ปกคลุมรอบกายจนกระทั่งไปถึงพื้นหญ้า แล้วก็ล้มตึงลงข้างหินก้อนใหญ่ ล้วงกระติกเหล้าจากกระเป๋าเสื้อด้านในขึ้นมาดื่มน้ำอั้ก ๆ พอดื่มเสร็จก็ผล็อยหลับไปแทบจะในทันที… เขามาตื่นเอาเพราะเสียงนกร้องเพลงจากต้นไม้ที่เห็นอยู่ไกล ๆ เบื้องล่างโน่น…

เขายันกายขึ้นนั่ง เมื่อมองดูรอบตัวจึงพบว่าตัวเองอยู่บนเทือกเขาเล็กๆ อันเป็นส่วนหนึ่งของเชิงผากว้างใหญ่ที่ลาดลงไปหาลำห้วย ซึ่งเขาได้ไถลเลื่อนลงมาพร้อมกับก้อนหิมะนั่นเอง อีกฟากหนึ่งจากที่เขาอยู่ มีหน้าผาหินอีกแห่งทะยานเหยียดขึ้นสู่ท้องฟ้า หุบเหวแคบๆ ระหว่างหน้าผาทั้งสองทอดตัวในแนวออกตก รับแสงแดดยามเช้าซึ่งส่องสว่างไปทางทิศตะวันตก แลเห็นภูเขามหึมาปิดกั้นหุบเหวที่แล่นดิ่งลงไปเบื้องล่าง ต่ำจากจุดที่เขาอยู่ก็ดูเหมือนยังมีหน้าผาอีกแห่งหนึ่งชันพอ ๆ กัน แต่ด้านหลังหิมะในลำห้วย เขากลับพบอะไรบางอย่างคล้ายตาน้ำ มีน้ำจากหิมะละลายไหลย้อยลงไป ที่เช่นนี้ย่อมสมควรที่ชายผู้สิ้นหวังจะเสี่ยงลงไปดู เขาพบว่าหนทางสะดวกกว่าที่คิด จนในที่สุดเขาก็ออกมาสู่เทือกเขาเปล่าเปลี่ยวอีกลูกหนึ่ง หลังจากปีนป่ายขึ้นบนก้อนหินโดยไม่ยากลำบากอะไร ก็มาอยู่บนเนินชันปกคลุมด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ เขาเหลียวมองรอบตัว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองไปตามหุบเหวแคบ ๆ เนื่องจากเห็นปลายด้านหนึ่งของหุบเหวนั้นเป็นทุ่งหญ้าเขียวระบัดใบ ซึ่งบัดนี้เขาแทบจะแลเห็นกระจ่างตาแล้วว่า ท่ามกลางทุ่งหญ้ามีหมู่กระท่อมหินรูปร่างแปลกตาตั้งอยู่เป็นกลุ่ม ๆ บางครั้งเขาต้องปีนเนินชันราวกับปีนป่ายกำแพง พอไปได้พักหนึ่งแสงอาทิตย์ยามเช้าก็หายไปจากหุบเหว และเสียงนกร้องเพลงแผ่วหายไปด้วย อากาศรอบตัวเย็นและมืดครึ้มลง แต่ทว่าในหุบเขาที่เห็นอยู่ไกลลิบนั้นแสงแดดส่องไสวละมุนตานัก ไม่ช้าเขาก็มาถึงกองหินพะเนินตีนเขา และท่ามกลางกองหินระเกะระกะนั้น สายตาอันละเอียดเฉียบคมของเขาก็สังเกตเห็นต้นเฟิร์นพันธุ์แปลก แทงออกมาจากรอยหินแตก เขาลองเด็ดมาต้นสองต้นแล้วเคี้ยวก้านดู รสชาติของมันไม่เลวทีเดียว

ท้ายที่สุดราวๆ เที่ยงวัน เขามาถึงหุบเหวตอนที่เป็นคอคอดก่อนจะถึงพื้นราบและแสงอาทิตย์ ตอนนี้แขนขาเขาแข็งเกร็งและเหนื่อยล้าไปทั้งร่าง เขาหย่อนตัวลงนั่งในร่มเงาหินก้อนใหญ่ แล้วค่อยเดินไปที่ตาน้ำ เติมน้ำใส่กระติกแล้วยกดื่ม นอนพักให้หายเหนื่อยอยู่ตรงนั้นก่อนจะเดินไปยังหมู่กระท่อมที่มองเห็นอยู่ ภาพที่เห็นช่างพิลึกนัยน์ตาเขาเสียจริง ยิ่งเพ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างในหุบเขาประหลาดไปจากที่เคยเห็นมา พื้นที่ส่วนใหญ่ของหุบเขาปกคลุมด้วยผืนหญ้าเขียวชอุ่ม กอดอกไม้งดงามแทรกเป็นหย่อมๆ มีคลองส่งจ่ายน้ำดีเยี่ยม อีกทั้งยังมีร่องรอยว่าพื้นหญ้าแบ่งเป็นส่วนๆ อย่างเป็นระเบียบ ไกลออกไปคือกำแพงที่ล้อมรอบหุบเขาเอาไว้ และดูเหมือนจะมีแอ่งน้ำทอดเป็นรูปวงกลมเป็นที่กำเนิดของหยดน้ำที่หล่อเลี้ยงพืชในทุ่งหญ้าให้งอกงาม และโน่นบนเนินสูงขึ้นไปอีกนิด ฝูงลามากำลังเล็มกินต้นพืชเล็กๆ ชนิดหนึ่งอยู่ ตามกำแพงล้อมนั้นมีเพิงตั้งอยู่กระจัดกระจาย ซึ่งก็คงจะเป็นเพิงพักหรือเพิงให้อาหารของฝูงลามานั่นแหละ คลองส่งน้ำไหลไปรวมกันเป็นคลองใหญ่ตรงกลางหุบเขา ก่อคูสูงราวอกขนาบไว้ ภาพนี้ทำให้สถานที่อันโดดเดี่ยวดูเหมือนเขตตัวเมืองขึ้นมาอย่างประหลาด โดยเฉพาะยิ่งเมื่อมองดูทางปูหินสีดำสลับขาวหลายสายทอดตัวไปในทิศทางต่างๆ อย่างมีแบบแผน ทางแต่ละสายล้วนแต่มีขอบทางแคบๆ แปลกตา

บ้านในหุบเขาตรงกลางดูไม่เหมือนหุบเขากลางหุบเขาอื่น ๆ ที่เขาเคยเห็น บ้านพวกนั้นปลูกแบบง่าย ๆ เกาะกันเป็นกระจุกอีเหละเขละขละ แต่บ้านที่นี่ปลูกเรียงรายสองข้างถนนกลางหุบเขาซึ่งสะอาดไร้ที่ติ เห็นประตูแทรกอยู่ประปรายบนผนังด้านหน้าซึ่งสีสันละลานตา ส่วนด้านหน้าที่เรียบเสมอกันนั้นไม่มีหน้าต่างให้เห็นแม้แต่บานเดียว บ้านหลากสีเหล่านี้มีรูปทรงเหลี่ยมมุมสุดพิลึก ผนังภายนอกฉาบด้วยปูนอะไรสักอย่างที่สีออกเทาในบางครั้ง แต่บางคราวก็เป็นสีตุ่น ๆ หรือสีกระดานชนวน หรือไม่ก็น้ำตาลเข้ม ผนังบ้านสีเพี้ยนพิกลนี้เองที่ทำให้คำว่า 'ตาบอด' วาบขึ้นในกระแสความคิดของนักสำรวจ 'ไอ้หมอที่ทาสีบ้านพวกนี้' เขาคิด 'ตาต้องบอดเหมือนค้างคาวแน่'

เขาไต่ลงจากเนินชัน เดินไปจนถึงกำแพงและคลองรอบหุบเขา น้ำจากคลองพุ่งเป็นชั้นบาง ๆ ไหวระริกพุ่งลงหุบเหวลึก ตอนนี้เขามองเห็นชายหญิงกลุ่มหนึ่งนอนอยู่บนกองฟ่อนหญ้ากลางทุ่งหญ้าที่ไกลออกไป คล้ายกำลังพักงีบกลางวัน บริเวณติดกับหุบเขาก็เห็นเด็ก ๆ นอนเล่นกันอยู่ แต่ที่อยู่ใกล้เขามากก็คือชายสามคนที่กำลังหาบถังน้ำมาตามทางสายเล็กๆ ที่ทอดตรงจากกำแพงไปยังหุบเขา ชายกลุ่มนี้แต่งกายด้วยชุดหนังลามา สวมรองเท้าบู๊ต คาดเข็มขัดหนัง สวมหมวกผ้าแบบมีหูปรกท้ายทอยและหูสองข้าง เดินเรียงเดี่ยวกันมาอย่างช้า ๆ เดินพลางก็หาวหวอดๆ ราวกับคนอดนอนมาทั้งคืน แต่ท่าทางของคนทั้งสามดูมีสง่าราศีเยี่ยงผู้เจริญ นูเนซจึงลังเลอยู่เป็นครู่ใหญ่ก่อนจะก้าวออกไปบนหินก้อนที่ยืนอยู่ เพื่อให้คนทั้งสามเห็นตัวเขาได้ชัดที่สุด ก่อนจะเปล่งเสียงตะโกนออกไปสุดเสียง สะท้อนก้องกังวานไปทั่วหุบเขา

ชายทั้งสามหยุดเดิน หันศีรษะคล้ายจะมองไปรอบๆ ตัว แล้วหันหน้าไปทางโน้นทีทางนี้ที นูเนซก็โบกไม้โบกมือโหวกเหวก แต่ไม่ว่าจะออกท่าทางอย่างไร คนกลุ่มนั้นก็ไม่แสดงอาการว่ามองเห็นเขา สักพักหนึ่งก็พากันเดินมุ่งหน้าไปทางภูเขาที่เห็นอยู่ไกลๆ ทางขวามือ แล้วร้องตะโกนขึ้นประหนึ่งจะตอบเสียงกู่ของเขา นูเนซแหกปากตะโกนอีกครั้ง ขณะที่โบกไม้โบกมือโดยไร้ผลนั้นเอง คำว่า 'ตาบอด' ก็ผุดขึ้นในความคำนึงอีกหนหนึ่ง "ไอ้คนป่าบ้องตื้นพวกนี้ท่าจะตาบอดกันหมดเสียละมัง"

ในที่สุด หลังจากตะโกนเสียงแหบแห้งและเป็นเดือดเป็นแค้นวุ่นวายอยู่นานครัน นูเนซก็ลุยข้ามลำห้วยตรงใกล้ๆ สะพานเล็ก เดินทะลุประตูกำแพงและตรงไปหาคนทั้งสาม ซึ่งตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าตาบอดกันหมด ไม่ต้องสงสัยแล้ว นี่คือดินแดนคนตาบอดในตำนาน ความมั่นใจบังเกิดขึ้นในตัวเขา พร้อมกับสัมผัสที่บอกว่าการผจญภัยยิ่งใหญ่ที่ใครๆ จะต้องอิจฉากำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว ชายทั้งสามคนยืนเรียงหน้ากระดาน นัยน์ตาไม่ได้มองมาทางเขา หากตะแคงหูมาทางทิศที่เขาอยู่ และพินิจพิเคราะห์ฟังเสียงฝีก้าวที่ไม่คุ้นเคย แต่ละคนยืนชิดกัน ท่าทางตื่นกลัวอยู่บ้าง เขามองที่ตาของชายทั้งสาม เห็นตาปิดสนิทเบ้าตาบุ๋มลึก ดูประหนึ่งว่าลูกตาภายใต้หนังตานั้นหดหายเข้าไปข้างใน สีหน้าของคนเหล่านั้นดูราวกับมีแววกลัวเกรงอะไรบางอย่าง

"ผู้ชายน่ะ" คนหนึ่งพูดเป็นภาษาสเปนที่เพี้ยนจนแทบฟังไม่รู้เรื่อง "เป็นผู้ชาย ผู้ชายม่ายก็ผี---ลงมาจากก้อนหิน" แต่นูเนซยังคงเดินมุ่งหน้าเข้าไปหาโดยไม่กลัวเกรง ดั่งเช่นเด็กหนุ่มเดินหน้าเผชิญชีวิต ในใจก็หวนนึกถึงเรื่องราวเล่าขานเกี่ยวกับหุบเขาลับแลและดินแดนคนตาบอด สำนวนเก่าแก่ดังขึ้นซ้ำ ๆ ในกระแสความคิดราวกับเป็นท่อนลูกคู่ในบทเพลง "กลางแดนตาบอดทั้งพารา มีเพียงหนึ่งตาย่อมเป็นราชัน"

"กลางแดนตาบอดทั้งพารา มีเพียงหนึ่งตาย่อมเป็นราชัน"
แล้วเขาก็เอ่ยทักทายคนทั้งสามอย่างแสนสุภาพ ปากพูดคุย ตาก็มองดู
"เขามาจากไหนนะ พี่เปโดร" คนหนึ่งถาม
"มาจากก้อนหินโน่นแน่ะ"
"ฉันมาจากภูเขา" นูเนซบอก "มาจากดินแดนไกลโพ้นซึ่งคนตาเห็นน่ะ จากแถวใกล้ๆ โบโกตาซึ่งมีคนเป็นอยู่เป็นแสนๆ คนได้ ที่นั่นเมืองยาวเหยียดสุดตาเห็นเชียวล่ะ"
"ตาเห็นรึ" คนชื่อเปโดรพูดขึ้นเบา ๆ "ตาเห็น"
"เขามาจากก้อนหินต่างหาก" ชายตาบอดคนที่สองพูด

นูเนซสังเกตเห็นว่าผ้าที่ตัดเป็นเสื้อคลุมของชายทั้งสามนั้นแสนจะพิลึกพิลั่น เพราะมีรอยเย็บตะเข็บหลายแบบในเสื้อตัวเดียวกัน แล้วเขาก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อชายทั้งสามเดินเข้ามาหาพร้อม ๆ กันโดยยื่นมือข้างหนึ่งออกมาข้างหน้า กางแผ่นิ้วทั้งห้า นูเนซถอยกรูด. "มาทางนี้" ชายตาบอดคนที่สามพูดขึ้นพร้อมกับเดินตาม จับแขนเขาไว้อย่างคล่องแคล่วทั้งสามคนช่วยกันจับตัวนูเนซไว้แล้วลูบๆ คลำๆ ไปทั่วร่างเขา ไม่พูดไม่จาอะไรอีกเลยจนกระทั่งทำเช่นนั้นเสร็จ

"เบาหน่อยสิ" เขาร้องเมื่อมีนิ้วหนึ่งมาแหย่ลูกตา แล้วจึงรู้ว่าสามคนนั้นคิดว่านัยน์ตาที่เขากะพริบถี่ ๆ นั้นเป็นอวัยวะประหลาดในตัวเขา พวกนั้นพากันลูบๆ คลำ ๆ ดูอีกครั้ง
"เจ้านี่พิลึกนักล่ะ คอร์เรีย" คนที่ชื่อเปโดรพูดขึ้น "จับขนหยาบๆ นี่ดูสิ หยั่งกะขนลามาแน่ะ"
"หยาบจริง ๆ ก็เหมือนผิวก้อนหินที่ให้กำเนิดมันนั่นไง" คอร์เรียพูดขณะที่ใช้มือนิ่มและชื้นนิดๆ ลูบสำรวจคางของนูเนซซึ่งห่างมีดโกนมาหลายวัน
"อีกหน่อยอาจจะเนียนขึ้นก็ได้"
นูเนซดิ้นขลุกขลักขณะที่ถูกตรวจสอบ แต่คนทั้งสามช่วยกันจับตัวเขาไว้ไม่ให้หนีไปไหน
"ระวังหน่อยซี" เขาพูดขึ้นอีก
"พูดได้นี่" เสียงชายคนที่สาม "ต้องเป็นคนแน่ๆ แล้ว"
"อี๋" เปโดรร้องเมื่อลูบเจอเสื้อโค้ตเนื้อหยาบ
"นี่แกเดินทางมาจนถึงโลกนี้รึ" เปโดรถาม
"ออกมาจากโลกต่างหากเล่า ฉันข้ามเขาเป็นลูกๆ ข้ามภูเขาน้ำแข็ง ขึ้นไปสูงถึงโน่น อีกครึ่งทางก็จะถึงดวงอาทิตย์อยู่แล้ว ฉันออกมาจากโลกกว้างใหญ่ในพื้นราบข้างล่างที่ห่างจากทะเลแค่สิบสองวันน่ะ"
แต่ทั้งสามแทบจะไม่ใส่ใจที่เขาพูด "คนรุ่นเก่าๆ เคยเล่าว่ามนุษย์อาจจะกำเนิดขึ้นจากพลังวิเศษของธรรมชาติก็ได้นี่" คอร์เรียเอ่ยขึ้น "เกิดจากความร้อน ผสมกับความชื้น และก็ของเน่าเปื่อยผุพัง...ของเน่าเปื่อยผุพังไง"

"เราจูงไปหาผู้เฒ่าผู้แก่กันเถอะ" ปาโดรว่า
"ตะโกนเข้าไปก่อนดีไหม" คอร์เรียเสนอ "เด็กๆ จะได้ไม่ตกอกตกใจ แหม วันนี้นี่ช่างอัศจรรย์พันลึกจริงๆ เชียว"
ทั้งสามคนจึงช่วยกันกู่ร้องเข้าไปในหุบเขา จากนั้นเปโดรก็เข้ามาจับมือนูเนซเป็นคนแรกเพื่อจะจูงเขาเดิน
เขาชักมือหนี "ฉันมองเห็นน่า" เขาว่า
"มองเห็นรึ" คอร์เรียถาม
"ก็ใช่น่ะสิ มองเห็น" นูเนซตอบพลางหันไปหาคนถาม แต่กลับสะดุดเอาถังน้ำของเปโดรเข้า
"สติเขายังไม่ค่อยเข้าที่เลย" ชายตาบอดคนที่สามเอ่ยขึ้น "ยังเดินสะดุดอยู่ มิหนำซ้ำยังพูดจาเพ้อเจ้อไม่ได้ความ จูงมือไปเถอะ"
"เอางั้นก็ตามใจ" นูเนซพูดกลั้วหัวเราะขณะที่ถูกจับมือจูงเดิน
ดูท่าทางคนทั้งสามจะไม่เคยได้ยินคำว่า 'มองเห็น' มาก่อนเลยในชีวิต
ไม่เป็นไร เดี๋ยวเขาจะสอนให้เองก็ได้
เขาได้ยินเสียงคนร้องตะโกนโหวกเหวก และหลายคนก็มาจับกลุ่มกันบนถนนสายกลางของหุบเขา

เขาพบว่าตัวเองหวั่นใจและร้อนรนกว่าที่คาดเอาไว้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับชาวประชาในดินแดนคนตาบอดเป็นครั้งแรก ดูเหมือนหุบเขาจะใหญ่ขึ้นเมื่อเขาเข้ามาเห็นใกล้ๆ ปูนฉาบกระท่อมยิ่งดูพิลึกกว่าที่เห็นทีแรก เด็กๆ และผู้ใหญ่ทั้งชายหญิง (น่าดีใจที่ผู้หญิงและเด็กสาวๆ บางคนนั้นใบหน้าหวานแฉล้มทีเดียว ถึงแม้ว่านัยน์จะปิดสนิทและเบ้าตาบุ๋มก็ตามที) แห่กันมาล้อมรอบตัวเขาพร้อมกับจับเนื้อจับตัวด้วยมือที่นุ่มนิ่มละเอียดอ่อน บ้างก็ดมตามตัว และฟังทุกคำที่เขาพูดออกไป แต่ก็มีสาวๆ กับเด็กๆ บางส่วนที่ยังไม่เข้ามาใกล้ ท่าทางคงยังหวาดกลัวอยู่ จะว่าไปแล้ว หากจะเทียบกับเสียงอ่อนหวานของคนที่นี่ เสียงเขาก็ออกจะแหบห้าวไม่น่าฟังไปบ้าง ขณะที่ถูกชาวบ้านกลุ้มรุมอยู่นั้น คนนำทางทั้งสามก็เกาะติดเขาไม่ห่าง ท่าทางเป็นเจ้าเข้าเจ้าของเต็มที่ พร้อมกับพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า "นี่คนป่าเถื่อนออกมาจากก้อนหินนะ"

"โบโกตา" เขาบอก "โบโกตา ต้องข้ามยอดเขาไปหลายลูกจึงจะถึง"
"คนป่าเถื่อนพูดภาษาป่าเถื่อน" เปโดรว่า "พวกเราได้ยินไหม โบโกตา แสดงว่าสมองยังไม่เป็นรูปเป็นร่างเลย การพูดยังอยู่ในขั้นเริ่มต้นเท่านั้น"
เด็กชายตัวเล็กงับมือเขาเข้าทีหนึ่งแล้วร้องล้อเลียน "โบโกตา"
"ช่าย เมืองใหญ่นะ ไม่ใช่หุบเขาเล็กๆ หยั่งของพวกเจ้า ฉันมาจากโลกที่เจริญมั่งคั่ง โลกที่ทุกคนตาเห็นล่ะ"
"อ๋อ ชื่อโบโกตานี่เอง" หลายคนพึมพำ
"เมื่อกี้เจ้านี่ก็เดินสะดุด" คอร์เรียว่า "ระหว่างเดินมานี่สะดุดตั้งสองหน"
"พาไปหาผู้เฒ่าผู้แก่กันเถอะ"

ไม่ทันไรเขาก็ถูกผลักให้เดินเข้าประตูไปยังห้องที่มืดสนิท มีเพียงท้ายห้องที่มีกองไฟลุกอยู่ริบหรี่ ชาวบ้านล้อมตัวอยู่ด้านหลัง บังแสงอาทิตย์จนในห้องมีแสงแค่สลัวๆ ยังไม่ทันจะชะงักเท้าตัวเองไว้ได้ เขาก็หล่นหัวทิ่มลงแทบเท้าของชายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ตอนที่ล้มลง มือเขาก็แกว่งเปะปะไปโดนหน้าของใครอีกคน รู้สึกว่าหยุ่น ๆ ตรงมือที่ไปโดนหน้านั้นและได้ยินเสียงร้องฉุนเฉียวดังมา จากนั้นเขาก็ดิ้นขลุกขลักเพราะมีมือหลายต่อหลายมือมาจับตัวเขาไว้ แต่เป็นการต่อสู้เพียงฝ่ายเดียว เมื่อสำนึกถึงสถานการณ์ได้เขาจึงนอนนิ่งๆ
"ฉันหกล้มลงน่ะ" เขาพูดขึ้น "มืดแบบนี้ฉันมองไม่เห็นอะไรเลย"

เสียงคนในห้องเงียบไป เหมือนกับว่าผู้คนที่มองไม่เห็นตัวกำลังทำความเข้าใจคำพูดเขาอยู่อย่างนั้นแหละ แล้วก็มีเสียงคอร์เรียพูดขึ้น "คงจะเพิ่งถือกำเนิดจริงๆ เดินก็สะดุด พูดจาก็เลอะเทอะเลื่อนเปื้อน"
ชาวบ้านคนอื่น ๆ พากันพูดอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเขาซึ่งบ้างก็ฟังไม่ถนัด บ้างก็ฟังไม่ค่อยจะเข้าใจ
"ฉันขอนั่งได้ไหม" เขาถามแล้วเว้นระยะ "ฉันจะไม่ดิ้นอีกแล้ว"
พวกเขาหารือกัน ก่อนจะยอมให้เขายันกายขึ้นนั่ง

แล้วชายชราคนหนึ่งก็เริ่มถามเขา นูเนซก็พยายามสุดความสามารถที่จะอธิบายให้คนเฒ่าคนแก่ของดินแดนคนตาบอดเข้าใจถึงโลกกว้างใหญ่ที่เขาอยู่ก่อนจะพลัดตกลงมา ตลอดจนถึงท้องฟ้า ภูเขา และสิ่งมหัศจรรย์ทำนองนั้น แต่กลับไม่มีสักคนที่ยอมเชื่อและเข้าใจสิ่งที่เขาบอกไป ซึ่งนับว่าเหนือความคาดหมายของเขา คนพวกนี้ไม่เข้าใจคำหลายคำที่เขาพูดไปด้วยซ้ำ เนื่องจากคนในหุบเขาล้วนแต่ตาบอดและตัดขาดจากโลกภายนอก ซึ่งมนุษย์มีนัยน์ตาแลเห็นมาถึงสิบสี่ชั่วอายุคนแล้ว ชื่อของสิ่งต่าง ๆ ที่ตาแลเห็นจึงเลือนรางและเปลี่ยนแปรไปหมด เรื่องเล่าเกี่ยวกับโลกภายนอกค่อย ๆ เลือนหายกลายเป็นนิทานสำหรับเด็ก ชาวบ้านเลิกใส่ใจกับอะไรก็ตามที่อยู่พ้นไปจากเงื้อมผาชันและเลยกำแพงรอบหุบเขาออกไป คนตาบอดผู้มีปัญญาเฉียบแหลมได้ถือกำเนิดขึ้น และเริ่มตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับเศษริ้วความเชื่อและธรรมเนียมที่หลงเหลือติดตัวมาจากยุคที่ตายังมองเห็น ต่อมาก็ยกเลิกสิ่งเหล่านั้นด้วยเหตุผลว่าเป็นความคิดเพ้อฝันไร้ประโยชน์ แล้วแทนที่ด้วยคำอธิบายใหม่ๆ ซึ่งสมเหตุสมผลกว่า จินตนาการแทบทั้งหมดแห้งเหือดหดหายไปพร้อมกับดวงตา พวกเขาจึงสร้างจินตนาการขึ้นมาใหม่ โดยอาศัยหูและนิ้วมือซึ่งรับสัมผัสได้ละเอียดอ่อนยิ่งกว่าเก่า

นูเนซจึงค่อยกระจ่างแจ้งแก่ใจมากขึ้นเป็นลำดับ ที่เขาวาดหวังไว้คนที่นี่จะทึ่งและยำเกรงดินแดนอันเป็นแหล่งกำเนิดและทึ่งในพรสวรรค์ของเขา คงจะหวังยากเสียแล้ว และเมื่อคำอธิบายป้อแป้เรื่องการมองเห็น ถูกยกให้เป็นอาการสับสนของสิ่งมีชีวิตเกิดใหม่พยายามชี้แจงประสาทสัมผัสที่กระจัดกระจายของตน เขาก็ปลงใจด้วยความผิดหวังเล็กน้อย ยอมนั่งฟังคำชี้แนะของคนเหล่านั้นแต่โดยดี ชายผู้อายุมากที่สุดในดินแดนคนตาบอดบรรยายเรื่องชีวิตและปรัชญาและศาสนา ท้าวความว่า ในเบื้องต้นนั้นโลก (หมายถึงหุบเขาแห่งนี้) เป็นหลุมกลวงบนหิน ต่อมาจึงเกิดสิ่งไม่มีชีวิตและไม่มีความสามารถในการสัมผัสขึ้นก่อน ตามด้วยลามาและสัตว์อีกสองสามอย่างที่มีมันสมองน้อย จากนั้นจึงเกิดมีมนุษย์ ลำดับสุดท้ายคือเทพยดา ซึ่งเสียงขับร้องเพลงและเสียงขยับตัวพรึ่บพรั่บของท่านแว่วมาให้ได้ยินอยู่เรื่อย ๆ ทว่าไม่มีผู้ใดสัมผัสแตะต้องได้เลย ทีแรกนูเนซฟังแล้วก็งงงวย จนตอนหลังเขานึกถึงนกขึ้นมาได้

ชายผู้เฒ่าบรรยายให้นูเนซฟังต่อว่า อันเวลานั้นแบ่งออกได้เป็นเวลาอุ่นกับเวลาเย็น ซึ่งเป็นคำเรียกกลางวันกับกลางคืนในภาษาของชาวบอด และบอกว่าคนเราสมควรจะหลับในเวลาอุ่นและทำงานระหว่างเวลาเย็นถึงจะดี ด้วยเหตุนี้เอง ถ้าเขาไม่ได้ 'จุติมา' ป่านนี้หุบเขาคนตาบอดทั้งหุบเขาก็จะอยู่ในห้วงหลับใหลกันแล้ว แกพูดอีกว่า นูเนซคงจะถูกสร้างมาเพื่อให้เรียนรู้และรับใช้ภูมิปัญญาที่พวกเขาสั่งสมกันมาเป็นแน่แท้ ถึงแม้ว่าความคิดจะยังไม่ปะติดปะต่อ ทำอะไรเก้ๆ กังๆ อยู่ แต่ถึงอย่างไรเขาก็ต้องกล้าหาญและเรียนรู้ให้มากเข้าไว้ และพอได้ยินดังนั้น บรรดาคนมุงที่ประตูก็พึมพำสนับสนุนกันฮึมฮำ ผู้เฒ่าบอกว่าบัดนี้กลางคืน (คนตาบอดพวกนี้เรียกกลางวันว่ากลางคืน) ก็ล่วงเลยไปโขแล้ว น่าจะดีกับทุกคนหากจะได้กลับไปหลับนอนเสียที แกถามนูเนซว่าหลับเป็นหรือเปล่า นูเนซตอบว่าเป็น แต่ก่อนจะหลับเขาอยากกินอาหารเสียก่อน มีคนเอาอาหารมาให้เขา เป็นนมลามาใส่ชามกับขนมปังเค็มเนื้อหยาบ จากนั้นก็จูงเขาไปยังสถานที่เงียบสงบซึ่งเสียงจะไม่มาถึงหูพวกเขา ต่อมาจึงจูงนูเนซไปนอน จนกระทั่งอากาศค่ำคืนเย็นเฉียบบนภูเขาปลุกให้ชาวบ้านตื่นขึ้นเพื่อเริ่มต้นวันใหม่อีกครั้ง ทว่านูเนซหาได้นอนหลับสักนิดไม่

เขาเอาแต่นั่งถ่างตาในที่ที่พวกนั้นนำเขาไปปล่อยไว้ วางแขนขาพิงพัก พลางวนเวียนนึกตรึกตรองสถานการณ์ไม่คาดคิดหลังจากเขามาถึงที่นี่ซ้ำแล้วซ้ำอีก
เขาหัวเราะก๊ากขึ้นเป็นพักๆ บางครั้งก็หัวเราะขำ แต่บางคราวก็หัวเราะเหยียดหยัน
"สมองยังไม่เป็นรูปเป็นร่างเรอะ" เขาพูดกับตัวเอง "สติไม่ค่อยเข้าที่งั้นเรอะ ไม่ได้รู้เลยว่ากำลังหมิ่นองค์ราชันและผู้นำที่สวรรค์ส่งมา…
"เห็นทีฉันต้องลงแรงทำให้พวกนี้ฉลาดขึ้นสักหน่อยแล้ว
"ขอคิดหาวิธีก่อนเถอะ", "ขอคิดหาวิธีก่อนเถอะน่า"
ตอนที่อาทิตย์ตกดินเขาก็ยังคิดไม่ตก

นูเนซนั้นปรกติเป็นคนชอบดูของสวยๆ งามๆ ทุกชนิดอยู่แล้ว และเขารู้สึกว่าแสงสุกปลั่งบนทุ่งหิมะและแพน้ำแข็งที่ลอยให้เห็นอยู่ทั่วหุบเขารอบทิศทาง เป็นความงดงามเหนือกว่าสิ่งใดที่เขาเคยเห็นมาทั้งหมด สายตาเขาเลื่อนจากภาพความรุ่งโรจน์อันเอื้อมแตะไม่ถึง ไปจับจ้องหุบเขากับท้องทุ่งน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ซึ่งกำลังจมดิ่งเร็วรี่ลงสู่ความโพล้เพล้ ฉับพลันนั้นความปลาบปลื้มตื้นตันก็บังเกิดขึ้นในอก และเขารู้สึกซึ้งในพระกรุณาของพระผู้เป็นเจ้าที่ทรงมอบการแลเห็นให้แก่เขา
เขาได้ยินเสียงร้องเรียกมาจากในหุบเขา
"วู้ โบโกตา มานี่"

เขายืนขึ้นพลางยิ้มกับตัวเอง คราวนี้แหละเขาจะทำให้คนพวกนี้เห็นเสียทีว่าตาที่แลเห็นนั้นดีอย่างไร ปล่อยให้หาไปเถอะ หาให้ตายก็ไม่เจอ
"อย่าเดินยุ่มย่าม โบโกตา" เสียงนั้นพูด
เขาหัวเราะแบบไม่มีเสียงและย่องลงข้างทางไปสองก้าว
"ห้ามย่ำบนหญ้านะโบโกตา ทำอย่างนั้นไม่ได้รู้ไหม"
นูเนซแทบไม่ได้ยินเสียงก้าวเท้าของตัวเองด้วยซ้ำไป เขายืนนิ่งขึงตะลึงลาน
เจ้าของเสียงวิ่งมาหาเขาตามถนนลายจุด
เขาก้าวกลับขึ้นมาบนถนนอีกครั้ง "ฉันอยู่นี่ไง" เขาพูดขึ้น
"เมื่อกี้ตอนเราเรียกทำไมเจ้าไม่มาฮึ" ชายคนตาบอดร้องถาม "จะต้องให้จูงเหมือนเด็กๆ หรือยังไงกัน ตอนเดินบนถนนน่ะไม่ได้ยินเสียงทางหรอกเรอะ"
นูเนซปล่อยก๊าก "ก็ฉันมองทางเห็นนี่" เขาพูด
"ไม่มีหรอกนะไอ้คำว่า 'มองเห็น' น่ะ" ชายตาบอดเอ่ยขึ้นหลังนิ่งไป "เลิกเล่นได้แล้ว ตามเสียงฝีเท้าเราไป"
นูเนซเดินตาม ชักจะหงุดหงิดขึ้นมาบ้าง
"เดี๋ยวก็รู้เอง" เขาพูดขึ้น
"เดี๋ยวเจ้าก็จะเรียนรู้ไปเองแหละ" ชายตาบอดตอบ "โลกนี้มีอะไรให้เรียนรู้ตั้งเยอะแยะ"
"กลางแดนตาบอดทั้งพารา มีเพียงหนึ่งตาย่อมเป็นราชัน ไม่เคยมีใครพูดสำนวนนี้ให้ฟังเลยรึ"
"ตาบอดอะไรของเจ้า" ชายตาบอดถามมาอย่างไม่ใส่ใจโดยไม่หันหลังมา

ผ่านไปแล้วสี่วัน ในวันที่ห้า 'ราชัน' แห่งแดนคนตาบอดก็ยังคงมีสถานะเป็นคนลึกลับไร้ชื่อเสียงเรียงนาม บรรดาประชาราษฎร์ต่างก็นับเขาเป็นคนแปลกหน้าที่เงอะงะไร้ประโยชน์ เขาได้พบว่า การประกาศตัวตนที่แท้จริงนั้นยากกว่าที่คิดไว้มากมายนัก และในระหว่างที่เขาคิดหาวิธีกระทำรัฐประหารอยู่นั้น เขาก็ยอมเชื่อฟังคำสั่งแต่โดยดี ใครบอกให้ทำอะไรก็ทำ พร้อมกับเรียนรู้วิถีความเป็นอยู่และธรรมเนียมของดินแดนคนตาบอดไปพลาง ๆ เขาพบว่าการที่ต้องทำงานและเดินไปไหนมาไหนตอนกลางคืนไม่สะดวกเอาเสียเลย จึงตกลงใจว่าจะปฏิวัติเรื่องนี้เป็นสิ่งแรก

คนที่นี่อยู่กันแบบขยันขันแข็ง ใช้ชีวิตเรียบง่ายไม่หวือหวา หากแต่ครบถ้วนในเรื่องหลักศีลธรรมจรรยาและความสุขสำราญ เนื่องจากของพวกนี้มนุษย์เราย่อมเข้าใจดี พวกเขาทำงานหนัก แต่ก็ไม่หนักจนบีบคั้นจิตใจให้ห่อเหี่ยว มีอาหารและเสื้อผ้านุ่งห่มเพียงพอต่อความต้องการ มีวันหยุดและฤดูกาลผ่อนพัก ทั้งชอบบรรเลงดีดสีตีเป่าและขับร้องเพลง ผู้คนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างรักใคร่กลมเกลียวกันดี แต่ละคนดำเนินชีวิตในโลกที่แสนจะเป็นระเบียบด้วยความมั่นคงและแม่นยำจนน่าพิศวง นั่นก็คือ ทุกสิ่งทุกอย่างได้ทำขึ้นเพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของคน ถนนทุกสายที่แยกไปทุกทิศทางในหุบเขาล้วนทำมุมเท่าๆ กัน และข้างถนนก็มีเครื่องหมายพิเศษทำไว้ให้รู้ว่าสายไหนเป็นสายไหน สิ่งกีดขวางและตอตะปุ่มตะป่ำถูกถากถางไปเสียนมนานแล้ว วิธีการและธรรมเนียมปฏิบัติในทุกเรื่องเกิดขึ้นมาตามธรรมชาติเพื่อตอบสนองความจำเป็น พวกนี้ประสาทสัมผัสเฉียบคมน่าทึ่ง แค่คนที่อยู่ห่างเป็นสิบก้าวเคลื่อนไหวขยับตัวเพียงนิดเดียวพวกนี้ก็ได้ยินและแปลความได้แล้ว แถมจะได้ยินเสียงหัวใจเต้นเอาด้วยซ้ำ

การเน้นเสียงสูงต่ำเข้ามาแทนที่สีหน้า ส่วนเรื่องใช้มือสัมผัส ใช้พลั่วเสียมคราดทำไร่สวน ก็ล้วนง่ายดายและทำกันอย่างมั่นใจเต็มที่ ฆานประสาทเล่าก็ละเอียดอ่อนเหลือเชื่อ สามารถแยกแยะกลิ่นคนได้เก่งพอๆ กับสุนัขเลยทีเดียว ทำให้ดูแลฝูงลามาซึ่งหากินอยู่ในหมู่หินสูงขึ้นไป แต่มากินอาหารและนอนแถวกำแพงได้โดยไร้ปัญหาใด ๆ ตอนที่นูเนซพยายามยืนยันแสดงฤทธิ์วิเศษของตัวเองนั่นแหละ เขาถึงได้รู้ว่าการเคลื่อนไหวของชาวตาบอดง่ายและคล่องเพียงไร

เขาจึงลุกขึ้นปฏิวัติล้มล้างหลังจากที่ลองโน้มน้าวใจดูแล้ว ตอนแรกเขาเล่าเรื่องตามองเห็นให้คนโน้นคนนี้ฟังอยู่หลายครั้ง "นี่นะ จงฟังให้ดี" เขาพูด "ยังมีหลายอย่างเกี่ยวกับฉันที่คนที่นี่ยังไม่เข้าใจ" มีแค่ครั้งเดียวหรือสองครั้งที่ชาวบ้านคนหรือสองคนยอมฟังเขาพูด แต่ละคนนั่งก้มหน้า ตะแคงหูด้วยอาการฉลาดเฉลียวมาทางเขา เขาพยายามอธิบายให้กระจ่างที่สุดว่าการมองนั้นเป็นเช่นไร ในหมู่ผู้ฟังนี้มีเด็กสาวอยู่คนหนึ่งซึ่งหนังตาไม่บุ๋มลึกและเป็นสีแดงเท่าคนอื่นๆ จึงอดเผลอคิดไปไม่ได้ว่าหล่อนกำลังหลบตา หล่อนคนนี้แหละที่เขาหวังอยากให้เชื่อมากกว่าใครๆ เขาพูดถึงความสวยงามของการมองเห็น พูดถึงยามมองดูทิวเขา พรรณาภาพท้องฟ้าและดวงอาทิตย์แรกขึ้น พวกที่ได้ฟังเขาเล่าทำท่ากึ่งขำกึ่งไม่เชื่อถือ และไม่ช้าก็กลายเป็นตำหนิติเตียน บอกเขาว่าไม่มีหรอกภูเขาอะไรนั่น พ้นจากลานหินที่ฝูงลามาเล็มหญ้าอยู่นั้นก็คือสุดขอบโลก เหนือสุดขอบโลกขึ้นเบื้องบนคือหลังคาโค้งของจักรวาล น้ำค้างกับเศษหินก็ตกร่วงลงมาจากหลังคาจักรวาลนี่แหละ

เมื่อเขายืนยันเสียงแข็งว่าโลกมิได้สิ้นสุดตรงนั้น และไม่มีหลังคาที่ว่า พวกคนตาบอดก็บอกว่าความคิดของเขาชั่วร้าย เท่าที่เขาอธิบายท้องฟ้าและก้อนเมฆดวงดาวมานี้ ทุกคนที่ฟังอยู่รู้สึกว่ามันช่างเป็นที่ว่างอันน่าเกลียดน่ากลัว เวิ้งว้างสิ้นหวัง แทนที่จะเป็นหลังคาลื่นละมุนดั่งที่พวกเขาเชื่อ พวกนี้เชื่อกันฝังหัวทีเดียวว่าหลังคาจักรวาลนั้นมีสัมผัสนุ่มนวลละเอียดอ่อน นูเนซคิดว่าพวกนี้ดูจะตกตะลึงไปบ้างเหมือนกัน เขาจึงเล่าผ่านตรงนี้ไปก่อน แล้วหันไปทำให้พวกนี้ได้รู้จักคุณค่าที่ชัดเจนของการมองเห็นแทน

เช้าวันหนึ่ง เขาเห็นเปโดรกำลังเดินอยู่บนถนนสายสิบเจ็ด มุ่งหน้าตรงมายังกลางหมู่บ้าน แต่ยังอยู่ไกลเกินกว่าจะได้กลิ่นหรือได้ยินเสียงเขา เขาจึงทำนายเหตุการณ์กับพวกที่นั่งฟังอยู่ "อีกเดี๋ยวเดียวนี่แหละ เปโดรจะมาตรงนี้" ชายแก่ที่ฟังอยู่แย้งว่าเปโดรไม่ได้มีธุระอะไรบนถนนสายสิบเจ็ด และแล้วราวกับจะยืนยันตามคำพูดนั้น เปโดรเดินเข้ามาใกล้แล้วก็กลับเลี้ยวเข้าถนนสายสิบ เดินอย่างคล่องแคล่วไปยังกำแพงหุบเขา เมื่อเห็นว่าโปโดรไม่มาพวกนี้ก็ล้อเลียนนูเนซ ต่อมาเมื่อเขาเข้าไปสอบถามเปโดรเพื่อแก้ความเข้าใจผิด เปโดรกลับไม่ยอมรับ แถมยังพูดจาดูถูกเขา และหลังจากนั้นก็ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขาเรื่อยมา

หลังจากนั้นนูเนซก็พยายามเกลี้ยกล่อมจนพวกนั้นยอมให้เขาเดินข้ามทุ่งหญ้าไปที่กำแพงกับคนตาบอดนิสัยซื่อคนหนึ่ง ซึ่งนูเนซรับปากกับชายคนนั้นว่าจะบรรยายทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นทางแถวบริเวณหุบเขาให้ฟัง เขาสังเกตเห็นคนเดินไปมาบ้าง แต่สิ่งที่คนเหล่านี้เห็นคุณค่า ดูเหมือนจะเกิดอยู่ข้างในหรือข้างหลังบ้านไร้หน้าต่าง และก็เอาเรื่องนี้มาทดสอบเขา ซึ่งนูเนซมองไม่เห็นหรือบอกอะไรไม่ได้เลย ในเมื่อพยายามแล้วแต่ล้มเหลว มิหนำซ้ำยังถูกพวกนั้นหัวเราะเยาะเย้ยต่างๆ นานาเพราะกลั้นไม่ไหว นูเนซจึงไม่มีทางอื่นนอกจากหันไปพึ่งความรุนแรง เขาคิดอยู่ว่าจะฉวยเสียมแทงพวกนั้นลงไปดิ้นพราด ๆ กับพื้นดูสักคนสองคน ให้รู้กันไปชัดๆ ว่าถ้าสู้กันอย่างยุติธรรม คนตาดีย่อมได้เปรียบเหนือคนตาบอดอยู่แล้ว เขาดำเนินตามแผนนี้ไปจนถึงขั้นยึดเสียมมาไว้ได้ แต่แล้วก็กลับค้นพบสิ่งใหม่อย่างหนึ่งเกี่ยวกับตัวเอง นั่นก็คือ ไม่มีทางที่เขาจะทำร้ายคนตาบอดได้โดยเลือดเย็นเช่นนั้น

เขายืนลังเล พวกนั้นรู้ตัวกันหมดแล้วว่าเขาฉวยเสียมมาถือไว้ ทุกคนยืนเตรียมพร้อม หันศีรษะไปข้างหนึ่ง เอียงหูมาฟังว่าเขาจะทำอะไรต่อไป
"วางเสียมนั่นลงซะ" คนหนึ่งพูดขึ้น เขาพลันรู้สึกได้ถึงความหวาดหวั่นและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เขาเกือบจะเชื่อฟังคำสั่งของพวกนี้อยู่แล้ว
เขาผลักคนหนึ่งเซถอยไปชนบ้านก่อนจะวิ่งผ่านพวกนั้นออกไปจากหุบเขา เขาวิ่งข้ามทุ่งหญ้าแปลงหนึ่งไปโดยทิ้งรอยย่ำหญ้าไว้เป็นทาง ต่อมาก็ไปนั่งลงข้างถนนสายหนึ่ง ความรู้สึกเขาตอนนี้คือความเบิกบานใจเช่นเดียวกับคนทุกคนที่ได้เริ่มต้นลุกขึ้นต่อสู้ แต่ในกรณีนี้มีบางอย่างที่ซับซ้อนยิ่งกว่า เขาเริ่มประจักษ์แก่ใจว่า คนเราไม่อาจต่อสู้หักหาญกับเพื่อนร่วมโลกที่พื้นเพความคิดจิตใจเป็นคนละแบบกับเราสิ้นเชิง ไกลออกไปเขาเห็นชายกลุ่มหนึ่งถือเสียมบ้าง ไม้เสี้ยมปลายบ้าง เดินเรียงหน้ากระดานมาจากถนนในหุบเขามุ่งตรงมาที่เขานั่งอยู่ ทุกคนเดินหน้าอย่างไม่รีบร้อน พูดคุยกันอยู่เรื่อยๆ และหยุดนิ่งทำจมูกฟุดฟิดเป็นพักๆ

ครั้งแรกนูเนซหัวเราะขำเมื่อเห็นพวกนั้นทำท่าสูดหากลิ่น แต่แล้วเขาก็หัวเราะไม่ออก คนหนึ่งพบรอยเท้าของเขาบนพื้นหญ้าเข้าแล้ว และทำท่าก้มๆ เงยๆ สูดกลิ่นมาตามทาง
เขาจับตามองวงล้อมที่ค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาหาอยู่ห้านาทีเต็ม ครั้นแล้วในบัดดลจากที่คิด ๆ ไว้ว่าจะทำอะไรสักอย่าง ก็กลับกลายเป็นตื่นตระหนก เขาลุกขึ้นยืน ก้าวเดินไปทางกำแพงสองสามก้าว จากนั้นถอยหลังไปเล็กน้อย ตอนนี้พวกนั้นยืนเป็นรูปเสี้ยวจันทร์และนิ่งฟังเสียง เขาเองก็ยืนไม่ไหวกายเช่นเดียวกัน สองมือกำเสียมแน่น เขาจะพุ่งจู่โจมก่อนเลยดีไหม หูได้ยินเสียงชีพจรเต้นเป็นจังหวะ "กลางแดนตาบอดทั้งพารา มีเพียงหนึ่งตาย่อมเป็นราชัน"

เขาควรจะจู่โจมก่อนไหม เขาหันไปมองกำแพงเบื้องหลังซึ่งสูงจนหมดหวังจะปีน ไม่มีทางปีนได้เพราะฉาบพื้นไว้มันลื่น แม้จะเจาะประตูบานเล็กๆ ไว้มากมายก็ตามที แล้วยังพวกที่ดาหน้าออกตามเขานั่นอีก เลยออกไปทางหุบเขาก็ยังมีคนเดินออกมาอีก เขาควรจะจู่โจมก่อนหรือเปล่านะ
"โบโกตา!" คนหนึ่งร้องเรียก "โบโกตา เจ้าอยู่ไหน"
เขาจับเสียมกระชับเข้าอีก พลางเดินมุ่งหน้าไปยังบริเวณทุ่งหญ้าหากินของฝูงลามา ทันใดที่เขาขยับตัวพวกนั้นก็กรูมาจนใกล้จะถึงตัวเขา "ถ้าขืนแตะตัวฉันล่ะก็ ฉันแทงจริงๆ นะ" เขาสบถสาบาน "ให้สวรรค์เป็นพยานสิ ฉันพูดจริงนะโว้ย" เขาตะเบ็งเสียงลั่น "ฟังให้ดี ต่อไปฉันจะทำอะไรก็ได้ตามใจฉัน ได้ยินหรือยัง ฉันอยากทำอะไรก็ทำ อยากไปไหนก็ไป"

คนตาบอดเคลื่อนแถวรวดเร็วขึ้น ถึงจะต้องใช้มือคลำแต่ก็เดินมาข้างหน้าอย่างว่องไว ดูราวกับคนตาบอดกำลังเล่นซ่อนหากับคนตาดีเพียงคนเดียว "จับเขาไว้" คนหนึ่งร้องสั่ง แล้วเขาก็ถูกผู้ติดตามยืนล้อมเป็นวงห่างๆ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าตนเองจะต้องเป็นฝ่ายรุก และต้องแน่วแน่เข้าไว้
"พวกแกไม่ยอมเข้าใจเสียที" เขาร้องขึ้น ตั้งใจจะให้เสียงฟังดูเด็ดเดี่ยวน่าเกรงขาม แต่เสียงกลับแตกพร่า "พวกแกตาบอด แต่ฉันตาดีมองอะไรๆ เห็น เลิกยุ่งกับฉันเสียที"

"โบโกตา วางเสียมลงแล้วออกมาจากหญ้าซะ"
คำสั่งสุดท้ายฟังประหลาดสิ้นดี มันคุ้นหูราวกับคนพูดของคนเมือง ซึ่งทำให้เขาโกรธพลุ่งพล่านขึ้นทันที "ฉันจะแทงพวกแก" เขาพูดพลางสะอื้นด้วยอารมณ์ที่ปะทุรุนแรง "ให้ตายสิวะ ฉันจะแทงพวกแก เลิกยุ่งกับฉันซะทีได้ไหม"
เขาออกวิ่งทั้งที่ยังไม่รู้ว่าจะวิ่งไปไหน เขาวิ่งหนีชายตาบอดคนที่ยืนใกล้สุดเพราะสยองใจเมื่อนึกว่าจะต้องแทงร่างนั้นด้วยเสียม เขาหยุดทีหนึ่งแล้ววิ่งปรูดออกจากแถวที่ล้อมใกล้เข้ามา โดยตั้งเป้าที่ช่องว่างใหญ่ในแถว ชายสองคนข้างช่องนั้นก็รับรู้ฝีเท้าของเขาได้อย่างฉับไวและพุ่งปราดเข้ามาพร้อมกัน เขาพุ่งตัวไปข้างหน้าและเห็นว่าคงจะถูกจับได้แน่แล้ว เสียมแทงดังสวบ! เขารู้ว่าคมเสียมกระทบถูกมือและแขนเข้าแล้ว ชายคนนั้นล้มลงร้องตะโกนลั่นด้วยความเจ็บปวด เขาฝ่าออกไปจนได้

เมื่อผ่านมาได้เขาก็วิ่งมาจนใกล้ถึงถนนในหุบเขาอีกครั้ง เหล่าชายตาบอดพร้อมเสียมและไม้เสี้ยมปลายวิ่งอย่างรวดเร็วตามสมควรมาจากทุกทิศทุกทาง เขาได้ยินเสียงฝีก้าวด้านหลังได้ทันท่วงที หันไปก็เห็นชายร่างโย่งวิ่งตรงมาทางเขาพร้อมหวดอาวุธมาทางที่ได้ยินเสียงเขา นูเนซหมดสิ้นความกล้า หันไปควงเสียมป่ายปัดไปทางปรปักษ์ หมุนตัวแล้วออกวิ่งหลบหลีกพวกคนตาบอดพร้อมกับร้องตะโกนลั่น เขาแตกตื่นจนทำอะไรไม่ถูก วิ่งพล่านด้วยความรู้สึกเดือดดาล และหลบเลี่ยงทั้งที่ไม่จำเป็นต้องหลบ จนสะดุดหกล้มเพราะเอาแต่เหลียวมองทางโน้นทีทางนี้ที ครู่หนึ่งที่เขาล้มลงนอนกับพื้น คนพวกนั้นก็ได้ยินเสียงเขา ไกลออกไปที่กำแพง ประตูเล็กๆ บานหนึ่งดูราวกับประตูสวรรค์ เขาลุกขึ้นวิ่งหน้าตั้งไปที่นั่น ไม่หันมามองคนติดตามอีกเลยจนกระทั่งเข้าใกล้กำแพง เขาล้มลุกคลุกคลานข้ามสะพานและปีนป่ายก้อนหิน จนลามารุ่นๆ ตัวหนึ่งตื่นตกใจวิ่งห้อแน่บไปจนลับตา แล้วเขาจึงล้มตัวลงนอนหอบฮั่กๆ

และแล้วการลุกฮือปฏิวัติของเขาก็สิ้นสุดลง เขาอยู่นอกกำแพงดินแดนคนตาบอดสองวันสองคืน นอนกลางดินกลางหินและไร้อาหารตกถึงท้อง สมองเอาแต่ครุ่นคิดถึงสิ่งที่คาดไม่ถึง ในระหว่างการตรึกตรองนี้ เขาท่องย้ำคำกล่าวที่พิสูจน์แล้วว่าไม่จริง แต่ละครั้งที่ท่อง น้ำเสียงของเขาก็ยิ่งเจือแววเย้ยหยันขึ้น "กลางแดนตาบอดทั้งพารา มีเพียงหนึ่งตาย่อมเป็นราชัน" เขาเฝ้าแต่นึกหาวิธีต่อกรกำราบปราบคนเหล่านี้ แต่ยิ่งนานวันก็ยิ่งเห็นชัดว่าไม่มีทางทำได้เลย เขาไร้อาวุธ และตอนนี้ก็ยิ่งไม่มีโอกาสจะหาอาวุธใดๆ

ความเน่าเฟะของอารยธรรมเข้าได้ครอบงำตัวเขาแม้แต่ตอนอยู่ที่โบโกตาแล้ว และเขาก็ไม่อำมหิตพอที่จะลงไปฆ่าคนตาบอดสักคน ก็จริงอยู่ว่าหากเขาลงมือ เขาอาจจะเรียกร้องและขู่ว่าจะฆ่าชาวบ้านให้หมดทุกคน แต่ไม่ช้าก็เร็วเขาก็ต้องนอนหลับ… เขาพยายามจะหาอาหารกลางดงสน หาที่กำบังยามน้ำค้างแข็งตกตอนกลางคืน แต่ที่ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่คือ ใช้เล่ห์เหลี่ยมเพทุบายจับลามาให้ได้สักตัว แล้วหาวิธีฆ่ามัน อาจจะเอาก้อนหินทุบหัวให้ตาย และขั้นสุดท้าย เขาน่าจะลองหาทางกินเนื้อมันดู แต่ฝูงลามาไม่ไว้ใจเขาเลย ตาสีน้ำตาลมองเขาอย่างหวาดระแวง พอเขาเข้าไปใกล้ก็ถ่มน้ำลายปรี๊ดใส่ ความกลัวเข้ายึดครองจิตใจเขาในวันที่สอง พร้อมกับอาการจับไข้สั่นสะท้าน ในที่สุดเขาก็คลานไปที่กำแพงของดินแดนคนตาบอด เพื่อจะต่อรองกับพวกนั้น เขาคลานโดยยึดแนวลำธาร ตะโกนไปตลอดทาง จนกระทั่งมีชายตาบอดสองคนมาที่ประตูและคุยกับเขา
"ฉันเป็นบ้าไปน่ะ" เขาบอก "ก็ฉันเพิ่งถูกสร้างได้ไม่นานนี่เอง"

พวกนั้นบอกว่าพูดจาแบบนี้ค่อยยังชั่ว เขาบอกว่าเขารู้อะไรถูกอะไรผิดแล้ว และสำนึกเสียใจกับทุกสิ่งที่ทำลงไป
จากนั้นเขาก็ร้องไห้ออกมาทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจ เนื่องจากเวลานี้ร่างกายทั้งอ่อนแอและเจ็บป่วย ซึ่งพวกนั้นกลับมองว่าเป็นสัญญาณที่ดี คนตาบอดถามว่า เขายังคิดว่าตัวเองมองเห็นอยู่อีกหรือไม่
"ไม่แล้ว" เขาบอก "เรื่องนั้นมันงี่เง่า คำนั้นไม่มีความหมายอะไรเลย ยิ่งกว่าไม่มีเสียอีก"
คนตาบอดถามว่ามีอะไรอยู่ข้างบน
"เหนือหัวมนุษย์ขึ้นไปราวสิบช่วงตัว มีหลังคาครอบโลกอยู่ เป็นหินที่เรียบลื่น แสนราบเรียบและสวยงามที่สุด" นูเนซร้องห่มร้องไห้อีกครั้ง "อย่าเพิ่งถามอะไรเลย เอาอาหารให้ฉันกินก่อนที่ฉันจะตายเถอะ"
เขาคาดว่าคงถูกลงโทษขั้นรุนแรง แต่ปรากฏว่าคนตาบอดมีจิตใจอดทนอดกลั้นดีทีเดียว พวกนั้นถือการลุกฮือต่อต้านว่าเป็นหลักฐานอีกหนึ่งข้อที่ยืนยันถึงปัญญาทึบและความต่ำต้อยของเขา ดังนั้นหลังจากลงแส้เสร็จ พวกนี้ก็มอบหมายงานง่ายๆ ซึ่งต้องใช้แรงกายหนักยิ่งกว่างานอื่นทั้งหมด และในเมื่อไม่เห็นทางรอดทางอื่น นูเนซจึงทำตามคำสั่งโดยไม่ขัดขืนอีก

เขานอนป่วยอยู่หลายวัน ในระหว่างนั้นคนตาบอดก็เฝ้าพยาบาลเขาด้วยใจกรุณา ซึ่งยิ่งทำให้การยอมจำนนของเขาบริสุทธิ์มากขึ้น แต่ที่ทรมานเหลือล้นคือพวกนั้นยืนกรานให้เขานอนในห้องมืดๆ มีพวกนักคิดตาบอดผลัดกันเข้ามาคุยเรื่องความคิดชั่วร้ายของเขา พร้อมกับตำหนิว่ากล่าวเขาเสียยกใหญ่ที่เขาไม่เชื่อเรื่องแผ่นหินโค้งครอบจักรวาล จนกระทั่งเขาเกือบจะสงสัยว่าหรือเขาเองโดนนัยน์ตาเล่นตลกเอาถึงได้มองไม่เห็นมัน ด้วยเหตุนี้ นูเนซจึงได้กลายเป็นพลเมืองแห่งดินแดนคนตาบอด คนเหล่านี้กลายเป็นบุคคลที่เขารู้จัก หาใช่คนที่เขาเรียกเหมารวมว่าคนตาบอดเช่นก่อน และโลกที่อยู่เลยขุนเขาออกไปก็ยิ่งห่างไกลและเลือนรางลงทุกที ยาค็อบนายของเขาเป็นคนใจดี ยามที่แกไม่โกรธใคร มีเปโดร หลานชายยาค็อบ และยังมีเมดินา-ซาโรต ลูกสาวคนเล็กของยาค็อบ

ในโลกของคนตาบอด เมดินา-ซาโรตไม่ค่อยเป็นที่ชื่นชมนัก เนื่องจากหล่อนมีโครงหน้าชัดเจน ขาดความราบเรียบมันเงาอันเป็นความงามของสตรีในอุดมคติของชายตาบอด ทว่านูเนซนึกชอบความงามของหล่อนตั้งแต่แรกเห็น ต่อมาหล่อนก็กลายเป็นสิ่งสวยงามที่สุดในโลกใบนี้ ตาที่ปิดสนิทของหล่อนไม่เป็นสีแดงและกลวงยุบเหมือนทุกคนในหุบเขา หากแต่นูนขึ้นตามปกติ ดูราวกับอาจลืมตาขึ้นเมื่อไรก็ได้ ขนตาหล่อนยาวงอนงาม ซึ่งถือกันว่าเป็นความอัปลักษณ์ร้ายแรง และเสียงพูดของหล่อนก็เบา ไม่ถูกใจหนุ่มในหุบเขาผู้มีหูเฉียบไว ทำให้หล่อนเดียวดายไร้คู่รัก

จนวันหนึ่งนูเนซคิดว่าถ้าเขาชนะใจหญิงสาวคนนี้ได้ เขาจะยอมตกลงใจอยู่ในหุบเขาแห่งนี้ไปตราบจนชีวิตหาไม่ เขาเฝ้ามองดูหล่อน คอยหาโอกาสรับใช้ทำโน่นทำนี่ให้หล่อนอยู่เรื่อยๆ ต่อมาไม่นานเขาพบว่าหล่อนเองก็เมียงมองเขาเช่นกัน ในวันหยุดวันหนึ่งทั้งสองนั่งแนบชิดกันท่ามกลางแสงดาวจางๆ เสียงดนตรีลอยแผ่วแว่วหวานมา มือของเขาเลื่อนไปทาบทับมือหล่อน และเขารวบรวมความกล้าจับมือหล่อนไว้ และหล่อนก็บีบมือตอบมาเบาๆ และแล้ววันหนึ่งเมื่อทั้งสองกินอาหารกันอยู่ในความมืด เขาพบว่ามือของหล่อนเลื่อนมาแตะมือเขาอย่างแผ่วเบา ทันใดนั้นเมื่อไฟในเตาลุกวาบขึ้นเขาจึงเห็นแววอ่อนโยนนุ่มนวลในสีหน้าของหล่อน

นูเนซพยายามหาโอกาสพูดกับหล่อน วันหนึ่ง เขาไปหาหล่อนขณะที่หล่อนนั่งปั่นด้ายอยู่กลางแสงจันทร์ในหน้าร้อน ร่างหล่อนแลดูลึกลับคล้ายสลักเสลาขึ้นด้วยเงิน เขานั่งลงที่ปลายเท้าหญิงสาว และบอกว่าเขารักหล่อน บอกว่าหล่อนช่างงามงดหมดจดในสายตาเขา น้ำเสียงที่เขาใช้เป็นน้ำเสียงของคนมีความรัก มันอ่อนโยนและแฝงด้วยแววเคารพยำเกรง และไม่เคยมีผู้ใดเทิดทูนบูชาหล่อนเช่นนี้ หล่อนไม่ได้ให้คำตอบชัดแจ้ง ทว่าไม่เหลือข้อสงสัยว่าหล่อนต้องใจคำพูดของเขา

หลังจากวันนั้นเขาก็พูดคุยกับหล่อนทุกครั้งที่มีโอกาส หุบเขากลายเป็นโลกของเขา โลกที่อยู่พ้นจากขุนเขานี้ไป โลกซึ่งมนุษย์ใช้ชีวิตในตอนกลางวัน มิได้เป็นอย่างอื่นนอกจากนิทาน ซึ่งเขาตั้งใจว่าสักวันหนึ่งจะเล่าให้หล่อนฟัง เขาลองหยั่งเชิงพูดเรื่องการมองเห็นกับหล่อนแบบกล้าๆ กลัวๆ สำหรับหล่อนแล้ว การมองเห็นเป็นจินตนาการฝันเพ้อแสนสวยงาม หล่อนนั่งฟังเขาพรรณนาถึงดวงดาวบนท้องฟ้า ภูเขา และใบหน้าอ่อนหวานของหล่อนกลางแสงจันทร์สว่าง ดูราวกับหล่อนกำลังปล่อยใจเคลิบเคลิ้มในความหลงผิด หล่อนมิได้เชื่อเขา และเข้าใจที่เขาพูดเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น ทว่าหล่อนเป็นสุขประหลาดล้ำยามได้ฟังเรื่องเหล่านี้ และนูเนซก็รู้สึกว่าหล่อนเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาพูด

รักของนูเนซทำให้เขาสูญสิ้นความกลัว และประจุความกล้าให้ เขาวางแผนจะขออนุญาตยาค็อบและผู้เฒ่าผู้แก่แต่งงานกับหล่อน แต่แล้วหล่อนก็เริ่มกลัวและลังเล คนที่ไปบอกยาค็อบว่าเมดินา-ซาโรตรักอยู่กับนูเนซกลับเป็นพี่สาวคนหนึ่งของหล่อน ทันทีที่เรื่องแต่งงานระหว่างนูเนซกับเมดินา-ซาโรตแพร่ออกไปก็มีเสียงทัดทานหนาหู ไม่ใช่เพราะหวงแหนหล่อน หากเพราะทุกคนมองว่านูเนซเป็นคนนอก โง่เขลาเบาปัญญา ต้อยต่ำจนไม่นับเป็นมนุษย์ บรรดาพี่สาวของหล่อนไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรง เพราะกลัวพวกตัวเองจะพลอยต้อยต่ำไปด้วย ส่วนยาค็อบผู้เป็นพ่อ ถึงแม้จะชอบใจเจ้าทาสเซ่อเงอะงะอยู่บ้าง แกก็ส่ายหน้าบอกว่าไม่มีทาง พวกคนหนุ่มพากันเดือดดาลว่านูเนซจะทำให้เผ่าพันธุ์คนตาบอดเสื่อมเสีย มีอยู่คนหนึ่งถึงขนาดกรากเข้ามาด่าทอและทำร้ายนูเนซ เขาโต้กลับ และได้ใช้ประโยชน์จากสายตาเป็นครั้งแรก ถึงแม้ตอนนั้นจะโพล้เพล้แล้วก็ตาม หลังจากครั้งนั้นไม่มีผู้ชายคนไหนกล้าต่อกรกับเขาอีก แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ยอมรับเรื่องการแต่งงานอยู่ดี

แต่ไหนแต่ไรมาเฒ่ายาค็อบแกเอ็นดูลูกสาวคนสุดท้องมากเป็นพิเศษ แกจึงปวดใจนักเมื่อลูกสาวมาร่ำไห้ซบกับบ่า
"ลูกเอ๋ย เจ้านั่นมันปัญญาทึบ คิดเรื่องโน้นเรื่องนี้เป็นตุเป็นตะ ล้วนแต่เหลวไหลไม่ได้ความ"
"ฉันรู้จ้ะพ่อ" เมดินา-ซาโรตสะอื้น "แต่เขาก็ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน เขาดีขึ้นแล้วนะจ๊ะพ่อ เขาแข็งแรงมากนะ และก็ใจดี เขาแข็งแรงและใจดีกว่าผู้ชายทั้งโลก เขารักฉัน และฉันก็รักเขาจ้ะพ่อ" เฒ่าจาค็อบทุกข์ใจที่เห็นลูกสาวระทมทุกข์ และที่น่ากลุ้มใจกว่าก็คือ แกเองก็ชอบนูเนซอยู่หลายเรื่อง แกจึงไปที่ห้องประชุมสภาซึ่งปิดทึบไร้หน้าต่าง แล้วนั่งลงฟังพวกผู้เฒ่าพูดคุยหารือกัน พอเห็นจังหวะเหมาะแกก็พูดขึ้นว่า "มันดีขึ้นกว่าแต่ก่อนนะ มีโอกาสมากทีเดียวที่วันหนึ่งมันจะคิดอ่านได้ตามปกติเหมือนพวกเรา". หลังจากนั้น ผู้เฒ่าคนหนึ่งซึ่งคิดใคร่ครวญอยู่นานก็เกิดความคิดขึ้นอย่างหนึ่ง ชาวบ้านยกให้แกเป็นหมอผู้เก่งกาจ และเป็นหมอผีประจำหุบเขาผู้มีความคิดลึกซึ้งแปลกใหม่ แกกำลังคิดว่าน่าจะลองรักษาอาการผิดปกติของนูเนซดูสักตั้ง

วันหนึ่ง ขณะยาค็อบมาประชุมอยู่ด้วย หมอเฒ่าแกก็ยกเรื่องนูเนซขึ้นมาพูดคุย "ฉันตรวจร่างกายเจ้านูเนซดู" แกว่า "ฉันเริ่มจะเข้าใจปัญหาของมันแล้วล่ะ ฉันคิดว่ามันมีโอกาสหายมากทีเดียว"
"นั่นล่ะที่ฉันหวังมาตลอด" ยาค็อบว่า
"สมองของมันเพี้ยนไป" หมอตาบอดวินิจฉัย
พวกคนแก่คนเฒ่างึมงำกันว่าเป็นจริงเช่นนั้น
"ก็อะไรทำให้สมองมันเพี้ยนเล่า"
"อ้าว" เฒ่ายาค็อบร้อง
"นี่ไง" หมอเฒ่าตอบคำถามของตัวเอง "ก็ของพิลึกกึกกือที่เรียกว่า 'นัยน์ตา' ที่เป็นหลุมสวยงามบนหน้าของเรานี่แหละ สำหรับเจ้านูเนซ นี่คือโรคร้ายที่ทำให้สมองมันเพี้ยนไป มันบวมมาก มิหนำซ้ำยังมีขนตา หนังตาก็ขยับได้ นี่เองที่ทำให้สมองของมันถูกรบกวนให้วอกแวกอยู่ตลอดเวลา"
"งั้นหรอกเรอะ" เฒ่ายาค็อบ "อย่างนี้นี่เอง"
"ฉันมั่นใจว่า หากจะให้มันหายขาด เราก็แค่ทำการผ่าตัดพื้นฐานง่ายๆ ซึ่งก็คือ กำจัดไอ้ตัวรบกวนนี่ซะ"
"แล้วมันก็จะมีสติสตังเหมือนคนปกติงั้นหรือ"
"มันจะมีสติสตังครบถ้วนทุกประการ กลายเป็นพลเมืองน่านับถือคนหนึ่งทีเดียวล่ะ"
"ขอบคุณวิทยาศาสตร์มหัศจรรย์!" เฒ่ายาค็อบร้องขึ้น พูดจบก็รีบรุดออกไปเพื่อบอกข่าวอันน่ายินดีด้วยความหวังนี้แก่นูเนซ

ทว่าท่าทีของนูเนซเมื่อได้ยินข่าวดีกลับตัวเย็นเฉียบและผิดหวัง
"แบบนี้ก็แสดงว่าแกไม่ได้รักลูกสาวฉันจริง"
เมดินา-ซาโรตเองก็พยายามหว่านล้อมให้นูเนซยอมผ่าตัดนัยน์ตาทิ้งไป
"เธออยากให้ฉันสูญสิ้นพรสวรรค์ในการมองเห็นงั้นรึ"
หล่อนส่ายหน้า
"การมองเห็นคือโลกของฉันนะ"
หล่อนก้มหน้าคอตก
"โลกนี้เต็มไปด้วยสิ่งสวยงาม สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่แสนงดงาม ดอกไม้ ผืนเห็ดราบนก้อนหิน หนังสัตว์บางเบานุ่มละมุน เมฆลอยลิ่วบนท้องฟ้ายามรุ่งสาง อาทิตย์ตกลับฟ้า และดวงดาว แล้วก็ยังเธอเองอีก แค่มีตาไว้มองเธอก็คุ้มแล้ว ฉันจะได้มองหน้าที่สงบนิ่งอ่อนหวานของเธอ ปากแย้มยิ้มกรุณาของเธอ มืองดงามของเธอทั้งสองข้างที่ประสานกันไว้…เธอคือเจ้าแห่งนัยน์ตาฉันรู้ไหม ตานี้แหละที่มัดฉันไว้กับเธอผู้เป็นจุดหมายของคนบ้าอย่างฉัน แต่เธอจะให้ฉันต้องลูบคลำเธอ ฟังเสียงเธอ ไม่มีวันได้เห็นเธออีก ต้องอยู่ใต้หลังคาหินและความมืด ไอ้หลังคาน่าขยะแขยงที่กดจินตนาการของเธอให้ค้อมต่ำ ไม่มีทาง เธอไม่ได้ต้องการแบบนั้นไม่ใช่หรือ"

ความสงสัยอันร้ายกาจผุดขึ้นในใจเขา เขานิ่งไป และคาดคั้นให้หล่อนตอบคำถาม
"บางครั้ง" หล่อนเอ่ย "ฉันไม่อยาก…" หล่อนเงียบไป
"อะไร" เขาถาม ในใจเริ่มกลัวที่จะได้ยินคำตอบ
"บางครั้งฉันไม่อยากให้เธอพูดจาแบบนั้น"
"แบบไหน"
"ฉันรู้ว่ามันสวยงาม มันเป็นจินตนาการของเธอ ฉันเองก็ชอบ แต่ตอนนี้…"
ร่างเขาเย็นเฉียบ "ตอนนี้" เขาเอ่ยเสียงเบา
หล่อนนั่งนิ่งไม่ไหวติง
"เธอหมายความว่า เธอคิดว่าฉันน่าจะดีขึ้น ถ้า…"
เพียงไม่นานเขาก็กระจ่างแจ้งทุกสิ่งทุกอย่าง ความรู้สึกที่เกิดขึ้นคงเป็นความโกรธ โกรธโชคชะตาอันน่าเศร้า ขณะเดียวกันเขาก็เข้าใจความไม่รู้ของหล่อน ความรู้สึกนี้แทบจะใกล้เคียงกับความเวทนาสงสารเลยทีเดียว

"ที่รัก" เขาเอ่ย ใบหน้าซีดขาวของเมดินา-ซาโรตทำให้เขารู้ว่าหล่อนต้องข่มกลั้นเพียงไรที่จะไม่เอ่ยสิ่งต่างๆ ออกมาตามคิด เขาโอบกอดหล่อนไว้ จุมพิตที่หูหล่อน ทั้งสองนั่งเงียบกันอยู่เช่นนั้นครู่ใหญ่
"แล้วถ้าฉันยอมเล่า" เขาเอ่ยขึ้นเสียงนุ่มนวล
หล่อนยกแขนขึ้นโอบรอบคอเขาแล้วร้องห่มร้องไห้เจียนขาดใจ "เธอจะยอมจริงๆ นะ" หล่อนสะอื้น "เธอจะยอมใช่ไหมจ๊ะ"

สัปดาห์ก่อนถึงวันผ่าตัดที่จะยกฐานะนูเนซจากทาสต้อยต่ำขึ้นมาเป็นพลเมืองตาบอดเต็มตัว นูเนซไม่ทำสิ่งอื่นใดนอกจากนอนหลับ ในช่วงกลางวันอันอบอุ่นด้วยแสงอาทิตย์ ขณะที่ทุกคนนอนหลับกันอย่างผาสุก เขากลับนั่งครุ่นคิดหรือไม่ก็เดินท่องไร้อย่างจุดหมาย พยายามทำใจให้ยอมรับสภาพจนตรอกของตน เขาได้ให้คำตอบไปแล้ว ให้คำยินยอมไปแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่แน่ใจ และแล้วก็สิ้นสุดวันทำงาน ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นเหนือยอดเขาสีทองอร่าม วันสุดท้ายของการแลเห็นได้มาถึงแล้ว เขาได้คุยกับเมดินา-ซาโรตครู่เดียวก่อนที่หล่อนจะแยกไปนอน

"พรุ่งนี้" เขาเอ่ย "ฉันจะมองไม่เห็นอะไรอีก"
"โธ่เอ๋ย ยอดดวงใจของฉัน" หล่อนตอบพร้อมกับบีบสองมือของเขาแน่น
"พวกนั้นจะไม่ทำเธอเจ็บมากหรอกจ้ะ" หล่อนบอกเขา "เธอจะต้องทนเจ็บได้ และผ่านไปได้ด้วยดี ที่รัก เพื่อฉันไง ที่รักจ๋า ถ้าฉันเอาชีวิตและหัวใจให้เธอได้ ฉันยินดีจะชดใช้ให้เธอ สุดที่รักของฉัน สุดที่รักเสียงอ่อนโยนของฉัน ฉันจะชดใช้ให้เธอจ้ะ"
ใจเขาท่วมท้นไปด้วยความสงสารตัวเองและหล่อน เขากอดหล่อน ประทับริมฝีปากบนปากหล่อนแนบแน่น แล้วมองหน้างามเป็นครั้งสุดท้าย "ไปล่ะนะ" เขากระซิบกับภาพอันแสนสวยนั้น "ไปล่ะนะ"

จากนั้นเขาก็หันหลังให้หล่อนอย่างเงียบเชียบ หล่อนได้ยินเสียงเขาเดินห่างออกไปช้า ๆ จังหวะฝีเท้านั้นยังผลให้หล่อนร้องไห้ออกมาด้วยสุดจะกลั้นอารมณ์ เขาเดินจากไปแล้ว เขาตั้งใจไว้ว่าจะไปยังสถานที่ห่างไกลซึ่งดอกนาร์ซิสซัสขาวแสนสวยขึ้นประดับทุ่งหญ้า และอยู่ที่นั่นจนกว่าจะถึงเวลาสังเวยดวงตา แต่ขณะที่เดินเขาก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามเช้า เช้าวันนั้นดูราวกับเทพธิดาสวมชุดเกราะเดินลงมาจากที่สูงชันด้วยท่วงท่าแกล้วกล้า… เขารู้สึกประหนึ่งว่า ยามอยู่เบื้องหน้าความงามยิ่งใหญ่นี้ โลกของคนตาบอดในหุบเขาและความรักของเขา ล้วนเป็นเพียงหลุมลึกของบาป เขาไม่ได้หักเลี้ยวดังที่ตั้งใจ หากเดินมุ่งหน้าต่อจนผ่านกำแพงวงกลมออกไปถึงทุ่งหิน นัยน์ตาจ้องจับที่ก้อนน้ำแข็งและหิมะที่อาบทาแสงอาทิตย์

เขาแลเห็นความงดงามอันไม่มีที่สิ้นสุด และจินตนาการก็เพริดผ่านสิ่งเหล่านี้ไปหาสรรพสิ่งที่ไกลออกไป ซึ่งบัดนี้เขาจำต้องสละมันทิ้งไปตลอดกาล เขาคิดถึงโลกเสรีที่จากมา โลกแห่งนั้นเป็นของเขา เขานึกภาพเนินชันซึ่งอยู่ไกลออกไป ระยะทางไกลโพ้น โบโกตาเมืองแห่งความงามหลากหลายที่ไม่เคยหยุดเคลื่อนไหว ยามกลางวันสว่างโชติช่วง กลางคืนลึกลับด้วยแสงไฟฟ้า เมืองแห่งราชวัง น้ำพุ รูปปั้น และบ้านหลังสีขาว เห็นตั้งเด่นงามตามาแต่ไกล คนเดินทางลงจากภูเขาเพียงวันสองวันก็จะเข้าไปใกล้ถนนหนทางวุ่นวายจอแจของเมืองได้แล้ว เขาคิดถึงการสัญจรทางน้ำ วันแล้ววันเล่า จากโบโกตาเมืองใหญ่ไปยังโลกห่างไกลที่กว้างใหญ่ยิ่งกว่า นั่งเรือผ่านเมืองและหุบเขา ผ่านป่าเขาและที่รกร้าง ล่องไปกับกระแสน้ำวันแล้ววันเล่า จนกระทั่งฝั่งน้ำค่อยถอยห่างออกไป และเรือกลไฟลำมหึมาแล่นผ่านสะบัดน้ำกระเซ็น และแล้วก็ไปถึงทะเล ท้องทะเลที่ไร้ขีดจำกัดและเกาะแก่งนับพันนับหมื่น ไกลออกไปมองเห็นเรือลิบๆ กำลังอยู่ระหว่างการเดินทางอันไม่หยุดหย่อนรอบโลกกว้าง ที่ทะเลไม่มีขุนเขากีดกั้น ท้องฟ้าที่มองเห็นจึงไม่ใช่เพียงแผ่นกลมดังเช่นที่นี่ หากเป็นผืนโค้งสีน้ำเงินเข้มลึกล้ำ ลึกยิ่งกว่าความลึกใดๆ และดวงดาวก็ลอยละล่องหมุนวน…

นัยน์ตาเขาเริ่มพินิจมองม่านขุนเขาอย่างละเอียดลลอด้วยความอยากรู้แรงกล้า ลองคิดดูว่า หากใครสักคนเดินขึ้นไปเรื่อยๆ ตามลำห้วยจนถึงปากปล่องไฟข้างบนนั่น ก็น่าจะออกไปโผล่กลางป่าสนแคระแกร็นที่ขึ้นเป็นแนวล้อมรอบดูประหนึ่งสันดอนหิน และต้นที่อยู่สูงขึ้นไปบนหุบเหวก็ยิ่งสูงขึ้นเป็นลำดับ จากนั้นไปเล่า กองหินพะเนินที่ริมเขาน่าจะไม่เป็นปัญหา จากนั้นคงต้องปีนป่ายเนินขึ้นไปจนถึงเงื้อมผาใต้หิมะ และถ้าออกไปทางปล่องไฟไม่สำเร็จ เดินไกลออกไปหน่อยทางทิศตะวันออกอาจจะมีทางที่ดีกว่า ต่อจากนั้นล่ะ หลังจากนั้นคงเป็นผืนหิมะทาบทาสีอำพัน ยังเหลือระยะทางป่าชัฏอันงดงามอยู่อีกครึ่งทาง และคนคนนั้นก็ต้องอาศัยโชคช่วยอีกแรงหนึ่ง

เขาชำเลืองกลับไปทางหมู่บ้าน แล้วหมุนตัวไปประสานมือทำท่าคารวะ เขานึกถึงเมดินา-ซาโรต บัดนี้หล่อนเหลือเพียงร่างเล็กจิ๋วและอยู่แสนไกลจากเขา เขาหันกลับไปสู่กำแพงภูเขาอีกครั้ง กลางวันกำลังจะเริ่มต้นให้แก่เขาแล้ว ครั้นแล้วเขาก็เริ่มปีนป่ายด้วยความระมัดระวัง เมื่ออาทิตย์ตกเขาจึงหยุดปีน ทว่าตอนนั้นก็ขึ้นไปได้สูงมากแล้ว เสื้อผ้าเขาขาดรุ่ย แขนขาเปรอะเปื้อนเลือด เนื้อตัวฟกช้ำไปหลายแห่ง หากเขานอนราบราวกับกำลังพักผ่อนสบายอารมณ์ ใบหน้าแต้มด้วยร้อยยิ้ม จากจุดที่เขานอนอยู่นี้ หุบเขาดูประดุจหลุมขนาดใหญ่อยู่ต่ำลงไปราวหนึ่งไมล์ บรรยากาศโพล้เพล้ปกคลุมด้วยเงามืดและหมอกลอยเรี่ยทั่วทั้งบริเวณ ถึงแม้ยอดเขารอบๆ ตัวจะยังคงสุกสว่างดุจกองเพลิง และวัตถุก้อนเล็กๆ บางอย่างในหมู่หินใกล้มืออาบไปด้วยความงดงามและแสงสุกปลั่ง สายแร่สีเขียวแทงลอดสีเทาออกมา หินคริสตัลก้อนเล็กๆ เปล่งประกายวิบวับอยู่ตรงโน้นตรงนี้ เห็ดราเล็กจิ๋วสีส้มขึ้นอยู่แนบกับใบหน้าเขานี่เอง ในหุบเหวมีเงาของอะไรบางอย่างที่ลี้ลับและล้ำลึก จากสีน้ำเงินแปรเป็นสีม่วง สีม่วงกลืนเกลื่อนเป็นความดำมืดที่ฉาบด้วยแสงสว่าง และเหนือศีรษะเขาคือท้องฟ้าไพศาลมิรู้จบ แต่เขาไม่ได้ใส่ใจสิ่งเหล่านี้อีกต่อไป หากยังนอนแน่นิ่งอยู่ ณ ที่เดิม ใบหน้าแย้มยิ้ม ราวกับว่าเพียงได้หนีพ้นจากดินแดนคนตาบอดเขาก็อิ่มเอมใจแล้ว ทั้งที่เขาเคยหมายมั่นปั้นมือจะได้เป็นราชันของที่นั่น แสงเรืองรองของตะวันตกดินเลยผ่านไปแล้ว ราตรีย่างกรายมาถึง และเขาก็ยังนอนอยู่ตรงนั้น ภายใต้ดวงดาวเย็นเฉียบสุกใส

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++

บทความวิชาการนี้ สามารถ download ได้ในรูป word

 

++++++++++++++++++++++++++++++++++++


สารบัญข้อมูล : ส่งมาจากองค์กรต่างๆ

ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา 3
I สารบัญเนื้อหา 4 I สารบัญเนื้อหา 5 I สารบัญเนื้อหา 6
สารบัญเนื้อหา 7 I สารบัญเนื้อหา 8
ประวัติ ม.เที่ยงคืน

สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง

webboard(1) I webboard(2)

e-mail : midnightuniv(at)gmail.com

หากประสบปัญหาการส่ง e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
[email protected]

ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ทั้งหมด กว่า 1500 เรื่อง หนากว่า 30000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)gmail.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com

สมเกียรติ ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็บไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com

 

 

Media Project: From periphery to mainstream
The Midnight University 2008
Email 1: midnightuniv(at)gmail.com
Email 2: [email protected]
Email 3: midnightuniv(at)yahoo.com
บทความวิชาการนี้ เผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน วันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๑ : Release date 24 July 2008 : Copyleft by MNU.

คนพวกนี้ไม่เข้าใจคำหลายคำที่เขาพูดไปด้วยซ้ำ เนื่องจากคนในหุบเขาล้วนแต่ตาบอดและตัดขาดจากโลกภายนอก ซึ่งมนุษย์มีนัยน์ตาแลเห็นมาถึงสิบสี่ชั่วอายุคนแล้ว ชื่อของสิ่งต่าง ๆ ที่ตาแลเห็นจึงเลือนรางและเปลี่ยนแปรไปหมด เรื่องเล่าเกี่ยวกับโลกภายนอกค่อย ๆ เลือนหายกลายเป็นนิทานสำหรับเด็ก ชาวบ้านเลิกใส่ใจกับอะไรก็ตามที่อยู่พ้นไปจากเงื้อมผาชันและเลยกำแพงรอบหุบเขาออกไป คนตาบอดผู้มีปัญญาเฉียบแหลมได้ถือกำเนิดขึ้น และเริ่มตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับเศษริ้วความเชื่อและธรรมเนียมที่หลงเหลือติดตัวมาจากยุคที่ตายังมองเห็น ต่อมาก็ยกเลิกสิ่งเหล่านั้นด้วยเหตุผลว่าเป็นความคิดเพ้อฝัน แล้วแทนที่ด้วยคำอธิบายใหม่ๆ ซึ่งสมเหตุสมผลกว่า จินตนาการแทบทั้งหมดแห้งเหือดหดหายไปพร้อมกับดวงตา (คัดมาบางส่วนจากบทแปล)

H