The Midnight University
บทบาทของประชาชนกับการแก้ปัญหาภาคใต้
แนวทางของการสมานฉันท์ฉบับ
'สุลักษณ์ ศิวรักษ์'
สุลักษณ์
ศิวรักษ์
นักวิชาการอาวุโส
บทความนี้ได้รับมาจากจดหมายข่าวของ ประชาไทออนไลน์
วันที่ ๑๐ พย.๔๘
ต้นฉบับของบทความชิ้นนี้
คลิกไปดูได้ที่
http://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms01&
ContentID=585&SystemModuleKey=SepcialReport&System_Session_Language=Thai
(บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา)
บทความฟรี
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ 739
เผยแพร่บนเว็ปไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๘
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ 5.5 หน้ากระดาษ A4)
หมายเหตุ
กป.อพช.อิสาน ร่วมกับ
คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) องค์กรสิทธิมนุษยชนและคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ
จัดเวทีบทบาทภาคประชาชนกับการแก้ไขปัญหาความไม่สงบจังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้วยหลักสันติวิธีและสมานฉันท์เมื่อวันที่
4-5 พฤศจิกายน 2548 ที่ผ่านมา ณ มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยเชิญอาจารย์ 'สุลักษณ์
ศิวรักษ์' เป็นผู้บรรยาย ซึ่งมีรายละเอียดคำบรรยาย ดังต่อไปนี้
ปาฐกถาแนวทางสมานฉันท์
โดย อ.สุลักษณ์ ศิวรักษ์
แนวทางของการสมานฉันท์นั้น ถ้าใช้วิถีทางของสันติวิธีย่อมแก้ไขความขัดแย้งได้ในทุกๆ
ทางอย่างได้ผล อนึ่งพึงตราไว้ว่าความขัดแย้งในโลกนี้ย่อมแก้ไขได้โดย 3 วิธีการ
คือ
1. ทำสันติภาพให้เกิดขึ้น ( Peace Making )
2. ก่อสร้างสันติภาพขึ้น ( Peace Building )
3. รักษาสันติภาพเอาไว้ ( Peace Keeping )
1. ทำสันติภาพให้เกิดขึ้น
หมายความว่า สกัดกั้นไม่ให้ผู้คนโจมตีกันและกัน แม้เกิดการรบราฆ่าฟันกันขึ้นแล้วก็หาทางให้ยุติเสียได้
ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรง
2. ก่อสร้างสันติภาพขึ้น หมายถึงแผนการระยะยาวที่ก่อสร้างให้เกิดชุมชนและสมาคมที่รักความสงบ โดยมีหลักการที่จะอยู่ร่วมกัน ให้อภัยซึ่งกันและกัน หรืออย่างน้อยก็ไม่เข้าไปก้าวก่ายกับอีกฝ่ายหนึ่ง เช่น แม้จะต่างศาสนากัน ต่างเชื้อชาติ ต่างภาษาและวัฒนธรรมกันก็อยู่ร่วมกันได้ โดยยึดความยุติธรรมเป็นที่ตั้ง และต้องเปิดโอกาสให้ต่างชุมชนได้มีโอกาสในการดำรงชีพอย่างมีศักดิ์ศรีเสมอกัน
3. รักษาสันติภาพเอาไว้ หมายความว่า ยุติความขัดแย้ง ความรุนแรง บางครั้งก็อย่างฉับพลันจนบางทีกลายเป็นข่าวพาดหัวเอาเลย ที่จริงกรณีนี้ก็เหมือนกับการดับไฟ จริงอยู่มันเป็นความจำเป็นที่จะต้องดับไฟแห่งความขัดแย้ง ความรุนแรงเพื่อรักษาสันติภาพเอาไว้ แต่ว่ามันจะดีกว่านี้มากหากเราสามารถป้องกันไม่ให้อัคคีภัยเกิดขึ้น ฉะนั้นการก่อสร้างหรือสร้างสรรค์ให้เกิดสันติภาพจึงจำเป็นยิ่งนัก
ขอขยายความตรงนี้สักเล็กน้อยว่า เมื่อเริ่มรัฐบาลทักษิณครั้งแรกนั้นนายกรัฐมนตรียังรับฟังถ้อยคำของข้าพเจ้าซึ่งเตือนเขาไปว่า การวางท่อแก๊สที่สงขลาไปมาเลเซียนั้นเป็นผลงานของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีความไม่ชอบมาพากลอยู่มาก หากรัฐบาลใหม่ยกเลิกโครงการนี้เสียได้ นั่นจะเป็นการตัดไฟเสียแต่ต้นลม หากขืนสนับสนุนโครงการนี้ต่อไป โดยไม่ปรึกษาหารือกับราษฎรอย่างจริงจัง การวางท่อแก๊สที่ว่านี้จะก่อให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงยิ่ง ๆ ขึ้น โดยที่นี่จะเลวร้ายกว่ากรณีการวางท่อแก๊สจากพม่ามากาญจนบุรีเสียอีก
โดยเราต้องไม่ลืมว่าการรวมตัวกันของชนชั้นกลางทางกาญจนบุรีนั้น จะถือได้ว่าเป็นการสร้างฐานมวลชนที่ขยายออกไปยังจังหวัดต่าง ๆ ทั่วราชอาณาจักรก็ว่าได้ น่าเสียดายที่ชนชั้นปกครอง ไม่เข้าใจประเด็นที่ว่านี้ เพราะนี่ดูจะเป็นคำตอบในทางประชาธิปไตยที่อยู่นอกกรอบของรัฐสภาอย่างน่าสนใจยิ่งนัก
ยิ่งกรณีของพี่น้องชาวมุสลิมทางสงขลาด้วยแล้วจะโยงใยไปยังมุสลิมนอกประเทศที่อาจ เป็นกระบวนการที่จะเป็นหนามยอกอกรัฐบาลไทยอย่างเจ็บแสบเกินกว่าจะสำนึกได้ โดยที่ไม่จำต้องโยงกรณีนี้ไปยังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทางปัตตานีและนราธิวาสก็เป็นได้
ที่กล่าวมานี้จำต้องเข้าใจว่า ความขัดแย้งและความรุนแรงนั้นโยงไปถึงโครงสร้างทางสังคมที่ปราศจากความยุติธรรมด้วยเสมอไป ฉะนั้นการสร้างสรรค์สันติภาพจึงจำเป็นต้องตีเป้าไปที่โครงสร้างทางสังคมอันรุนแรงเสมอไป โดยต้องใช้วิธีการต่างๆ กำจัดความยากไร้และให้การศึกษานอกรูปแบบที่เป็นอยู่ในระบบ กล่าวคือต้องสามารถให้การเรียนการสอนชนิดที่ให้ทุกคนมีความภูมิใจในศักดิ์ศรีของเขา ให้เขาพึ่งตนเองได้ ไม่ใช่ให้เขาสยบยอมอยู่กับอำนาจรัฐ หรือนายจ้าง
และที่สำคัญคือการสร้างรากฐานทางประชาธิปไตยที่มวลชน โดยเฉพาะกับคนปลายอ้อปลายแขมให้เขาสามารถรวมตัวกันได้อย่างมีพลังในทางอหิงสา แต่มีสามัคคีธรรมเป็นแกนกลาง และพื้นฐานในการสร้างสรรค์สันติภาพที่แท้ จำต้องรวมการปฏิรูปที่ดินด้วย เสมอไป จะให้เศรษฐีจำนวนน้อยมีที่ดินมากมายมหาศาล ในขณะที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่มีที่ทำกินอย่างเพียงพอนั้น นั่นก็คือต้นตอของความขัดแย้งและความรุนแรงทางโครงสร้างอย่างไม่ต้องสงสัย
หลายคนคงทราบแล้วว่าที่ดินในกรุงเทพ ฯ นั้นประมาณ 30 % เป็นของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สิน ฯ คนปัจจุบันก็มีความเชื่อในเรื่องโลกาภิวัตน์ โดยพร้อมที่จะไล่ที่ ไม่เฉพาะคนยากคนจน หากรวมถึงชนชั้นกลางซึ่งเช่าอาคารพาณิชย์ของสำนักงานทรัพย์สิน ฯ ให้ขนย้ายออกไปเป็นบริเวณกว้างขึ้นทุกที ทั้งนี้ต้องการจะสร้างอาคารขึ้นใหม่อย่างทันสมัยสูงหลาย ๆ ชั้น เพื่อจะได้เงินมาอย่างมากมาย แม้ว่านั่นจะเป็นการรับใช้คนรวยจำนวนน้อยจนถึงบรรษัทข้ามชาติบนความยากไร้ของราษฎรตาดำ ๆ จำนวนหมื่นจำนวนแสน เขาก็ไม่ใยไพ แล้วนี่ไม่เป็นการสร้างความขัดแย้ง ความรุนแรงที่กระทบกระเทือนไปยังสถาบันพระมหากษัตริย์ดอกหรือ
ใช่แต่เท่านั้น ราชเลขาธิการก็เป็นประธานของบริษัทผาแดง ซึ่งมีธุรกิจการค้ากับบรรษัทข้ามชาติ รวมถึงการสร้างเสพสมคบกับรัฐบาลเผด็จการทหารพม่าอีกด้วย และบุคคลเช่นนี้จะรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทอย่างสะอาดและบริสุทธิ์ได้อย่างไร นี่เป็นประเด็นที่ฝากไว้ให้พิจารณากัน โดยเฉพาะในช่วงนี้ออกจะเป็นแฟชั่นที่ใคร ๆ ก็ออกมาประกาศว่า 'รักในหลวง' แต่ถ้าเผื่อว่าความรักที่แท้นั้นไม่รวมถึงการกล้าพูดความจริง กล้าวิพากษ์วิจารณ์อย่างมุ่งที่ทักษะเป็นพื้นฐาน ความรักดังกล่าวอาจเป็นเครื่องมือให้คนเหล่านั้นโหนตัวขึ้นไปยังองค์พระมหากษัตริย์ หรือดึงเอาสถาบันกษัตริย์มาให้โสมมแปดเปื้อนเหมือนพวกเขาก็ได้ ทั้งนี้ข้าพเจ้าจะไม่เอ่ยชื่อถึงบุคคลใด ไม่ว่า สนธิ ลิ้มทองกุล หรือคนอื่นใดก็ตาม
ท่านนัทฮันท์ ซึ่งเป็นพระเวียดนามและเป็นผู้ที่คิดคำขึ้นใหม่ในเรื่อง พุทธศาสนากับสังคม (Engaged Buddhism) ท่านกล่าวว่า "การที่จะป้องกันไม่ให้เกิดสงครามหรือไม่เกิดความรุนแรงในอนาคต เราต้องเริ่มแต่เดี๋ยวนี้ เมื่อเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงขึ้นแล้ว การจะแก้ไขเยียวยาอย่างใดก็อาจจะล่าช้าไปเสียแล้ว ถ้าเราและลูก ๆ ของเราเริ่มปฏิบัติอหิงสธรรมในชีวิตประจำวัน ก็เท่ากับเราเริ่มปลูกพืชพรรณทางสันติและทางสมานฉันท์ในจิตใจของเรา นั่นจะช่วยให้เราสามารถสถาปนาสันติที่แท้ขึ้นมาได้ และโดยวิธีนี้นี่แหละ ที่เราสามารถจะป้องกันความขัดแย้งรุนแรง แม้กระทั่งการสงครามในอนาคตขึ้นได้"
ทะไล ลามะ แห่งธิเบต ก็รับสั่งว่า "สันติภาพในโลกจะเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง ก็เมื่อเราแต่ละคนสร้างสันติภาวะขึ้นได้ภายในใจของเราเองก่อน แม้นี่จะเป็นเรื่องที่ยากเย็นประการใดก็ตาม แต่ก็เป็นหนทางเดียวที่สันติภาวะจะเกิดขึ้นได้ในโลก"
ถ้าเราไม่เห็นด้วยกับพระองค์ท่าน ก็ขอให้ดูได้จากประวัติศาสตร์โลก ว่าการปฏิวัติใหญ่ ไม่ว่าจะที่รัสเซีย จีน เวียดนาม หรือกัมพูชา ที่เป็นไปด้วยความรุนแรงนั้น ได้ผลในทางสร้างสันติภาพอย่างแท้จริงหรือไม่
ถ้าทักษิณ ชินวัตร เข้าใจในข้อความที่กล่าวมานี้ เขาคงไม่หลับตาดำเนินนโยบายที่ใช้แต่ความรุนแรง อย่างโกหก มดเท็จ และการใช้เงินหว่านซื้อทุกอย่างเพื่อสะกดสื่อสารมวลชนไว้ในอำนาจ และพร้อมที่จะขายบ้านขายเมือง รวมทั้งประชาราษฎร เพื่อเพิ่มทรัพย์ของเขาและพวกของเขาอย่างหาขอบเขตไม่ได้เอาเลย คนอย่างนี้นี่แลที่เป็นต้นตออย่างสำคัญอันหนึ่งในการสร้างความขัดแย้งและความรุนแรง ไม่แต่ทางจังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้นหากแทบทุกแห่งหน ไม่เพียงแต่ภายในราชอาณาจักร
การที่เขาเดินตามก้นจีนและสหรัฐอย่างเซื่อง ๆ นั้น นับว่าน่าสมเพชเวทนายิ่งนัก อย่างการที่เขาออกมาปฏิเสธว่าไม่มีคุกของสหรัฐอยู่ในประเทศไทยนั้น ก็เป็นมุสาวาทคำโต ๆ อย่างไม่มีความละอายใจเอาเลย ที่หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์อ้างข้อมูลคุกลับในไทยนั้น สื่อมวลชนไทยเพิ่งเอามาขยายความต่อ เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 48 นี้เอง หากข้าพเจ้ารู้ข้อมูลดังกล่าวก่อนหน้านั้นเป็นเวลาเกือบสองสัปดาห์มาแล้วด้วยซ้ำ
การสร้างสรรค์วัฒนธรรมแห่งสันติ เราต้องเริ่มด้วยการสร้างสรรค์สังคมให้ยุติธรรม และให้สิทธิในทางเท่าเทียมกันแก่ประชาชนทุกหมู่เหล่า การเอาคำว่า สันติภาพ ไปใช้เป็นเครื่งมือเพื่อปราบปรามผู้คนโดยอ้างว่าเพื่อความมั่นคงในชาติ นั่นคือวิธีการอันเลวร้าย ดังจะเห็นได้ว่านโยบายของรัฐบาลทักษิณ ที่ภาคใต้ก็ดี และที่อื่น ๆ ก็ดี รวมทั้งการขจัดยาบ้า ยาม้า ล้วนเป็นเรื่องที่ปราศจากสันติในทุก ๆ ทาง แล้วสันติภาพจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
วิธีการเช่นนี้ไม่ได้มีแต่รัฐบาลทักษิณ มีขึ้นกับรัฐบาลบุช และ รัฐบาลแบลร์ ผลก็คือทั้งสองประเทศนี้มีการขยายตัวยิ่ง ๆ ขึ้นทุกที ดังที่ทางเมืองไทย ความรุนแรงก็จะขยายตัวไปยิ่ง ๆ ขึ้น นอกเหนือไปจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ออกไปอย่างไม่หยุดยั้ง
การสร้างสันติภาพย่อมเป็นกระบวนการที่จะก่อให้เกิดข้อตกลงระหว่างสองฝ่ายที่ขัดแย้งกัน ประเด็นสำคัญก็คือ การใช้วิธีสังสรรค์สนทนาซึ่งกันและกัน และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ การเปิดใจกว้างรับฟังอีกฝ่ายหนึ่ง กล่าวกันว่าเจ้าแม่กวนอิม ซึ่งเป็นบุคลาธิษฐานแห่งพระกรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้านั้น ท่านรับฟังคนทุกข์ยาก ทุกหนแห่งรวมทั้งสัตว์นรกด้วย เราควรเอาอย่างพระองค์ท่าน เพราะในโลกปัจจุบันสิ่งที่เรียกว่าการสนทนาวิสาสะนั้น มักจะเป็นการพูดของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดแต่เพียงอย่างเดียว โดยไม่รับฟังอีกฝ่ายหนึ่งอย่างจริงจังเลย แล้วจะเป็นผลสำเร็จได้อย่างไรในเรื่องความขัดแย้ง
จำเพาะการตั้งใจรับฟังอย่างแท้จริงเท่านั้น ที่การสนทนาวิสาสะจึงจะเป็นไปอย่างได้ผล และเราจะรับฟังอีกฝ่ายหนึ่งได้อย่างใจกว้าง รวมทั้งรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์และคำด่าทอของอีกฝ่ายอย่างไม่หวั่นไหว ก็ต่อเมื่อเราสามารถก่อให้เกิดเมล็ดพืชพรรณภายในใจเราให้ได้ก่อน โดยที่เราไม่ด่วนตัดสินลงไปง่าย ๆว่าอะไรผิดอะไรถูก อะไรดีอะไรชั่ว ต่อเมื่อการสนทนาวิสาสะเป็นไปอย่างไว้ใจซึ่งกันและกัน อย่างตัดอคติออกเสียได้ อย่างยอมรับความผิดพลาดจากอดีต และแก้ไขข้อบกพร่องนั้น ๆ อย่างเต็มใจ พร้อมกับมีอารมณ์ขันอย่างหัวเราะเยาะตัวเองได้ด้วย นี่น่าจะเป็นหนทางแห่งการสมานฉันท์อันประเสริฐ
การสมานฉันท์เป็นกุญแจอันสำคัญในการสร้างสรรค์สันติภาพ
และผู้ที่สามารถสร้างสรรค์สันติภาพได้ ย่อมสามารถก่อให้เกิดขึ้นได้ซึ่งวัฒนธรรมแห่งความสัตย์
แห่งการให้อภัย และความร่วมมือซึ่งกันและกันนั้นแล
การสมานฉันท์จึงเป็นไปในทางที่สร้างสันติขึ้นจากความขัดแย้งและความรุนแรง
วัฒนธรรมแห่งการสมานฉันท์คือความหวังที่ดีที่สุด ที่จะช่วยเยียวยาความอยุติธรรมในอดีตให้จางหายไป เพื่อก่อให้เกิดความแปรเปลี่ยน ทั้งในทางปัจเจคบุคคลและสังคมให้งอกงาม กล่าวคือทั้งสองฝ่ายย่อมพร้อมที่จะให้อภัยซึ่งกันและกัน ยอมรับอดีตพร้อมกับการพร้อมที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติสำหรับอนาคต
ทางสามจังหวัดภาคใต้นั้นคนไทยสยามที่เป็นชนชั้นปกครอง ยอมรับไหมว่าเราเคยไปแย่งดินแดนเขามา เรากดขี่ข่มเหงเขาด้วยประการต่าง ๆ เราแลไม่เห็นศักดิ์ศรีแห่งความเป็นคนมลายู และภาษา ศาสนา และวัฒนธรรมของเขา ถ้าแก้ประเด็นที่กล่าวมานี้ไม่ได้ ย่อมไม่มีทางที่จะก่อให้เกิดการสมานฉันท์ขึ้นได้ แต่ถ้ามองจากอดีตก็จะเห็นได้ชัดว่า การสมานฉันท์ทาง 3 - 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้เคยเกิดขึ้นแล้วในสมัยที่ไทยสยามเป็นประชาธิปไตยที่เนื้อหาสาระ
ในสมัยของนายปรีดี พนมยงค์ ถึงกับมีการวางแผนให้แต่ละภูมิภาคมีสิทธิในการปกครองตนเอง อย่างลดความก้าวก่ายจากอธิปไตยส่วนกลางลงไป ดังอาจใช้คำภาษาอังกฤษได้ว่า ให้เป็น AUTONOMY ไม่แต่เฉพาะทาง 3 - 4 จังหวัดภาคใต้เท่านั้น หากรวมถึงทางภาคอีสานด้วย ครั้นเมื่อเกิดรัฐประหาร เมื่อปี 2490 ขึ้น รัฐไทยได้กลายเป็นเผด็จการยิ่ง ๆ ขึ้นทุกที โดยยอมตามก้นสหรัฐอเมริกาอย่างปราศจากศักดิ์ศรีเอาเลย ถ้าแก้ประเด็นนี้ไม่ตก ก็แก้ปัญหาความขัดแย้งรุนแรงตามวิถีทางสมานฉันท์ไม่ได้
การสร้างสันติภาวะนั้น เป็นงานที่ไม่รู้จักจบ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราควรจะทอดหุ่ยเสีย มีใครคนหนึ่งอธิบายว่า การสร้างสันติภาวะนั้นก็เหมือนกับคนที่แลเห็นว่าน้ำแห้งบ่อ เราจะหาน้ำที่ไหนอีกไม่ได้ นอกจากต้องไต่ขึ้นภูเขาไปช้อนเอาหิมะลงมาเทลงบ่อครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อให้บ่อมีน้ำ นี้ฉันใด การสร้างสันติภาวะก็ต้องใช้ขันติธรรมฉันนั้น
การรักษาสันติภาพนั้นมีปัญหายิ่งกว่านี้ บางครั้งมีการรักษาสันติด้วยความปรารถนาดีโดยเฉพาะแม่ทัพนายกอง ซึ่งพร้อมจะรักษาสันติภาพด้วยความรุนแรง แม้จะได้ผลบ้างในระยะสั้นแต่ในระยะยาวแล้วไร้ผลอย่างจริงจัง การแก้ไขความขัดแย้งรุนแรงในระยะยาวต้องแก้ไขที่เหตุแห่งความรุนแรง และการแก้ไขก็ต้องไม่ทำให้เกิดความรุนแรงใด ๆ ทั้งสิ้น
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อหลังสงครามที่อ่าวเปอร์เชียนั้นสหรัฐต้องการลงโทษอิรัค เพราะถือว่าผู้นำประเทศนั้นเป็นคนโหดเหี้ยมและรุนแรง ด้วยการกล่าวหาอย่างปราศจากข้อเท็จจริงว่าประเทศนั้นมีอาวุธนิวเคลียร์ที่จะทำลายล้างโลกได้ จึงเสนอ สหประชาชาติให้ทุกประเทศร่วมกัน ไม่ส่งยาและอาหารที่จำเป็นไปให้อิรัค ผลก็คือประชาชน โดยเฉพาะคนยากจน คนแก่และเด็ก ๆ ต้องตายไปเป็นจำนวนมาก ยิ่งกว่าโดนระเบิดในสงครามเสียอีก
การแก้ปัญหาความขัดแย้งใด ๆ ในทางฝ่ายพระพุทธศาสนานั้นท่านแนะนำให้ใช้ความเมตตากรุณาเป็นหลัก พวกเควกเกอร์แม้ไม่ใช่พุทธศาสนิก แต่ก็ใช้หลักอหิงสธรรมในการแก้ไขข้อขัดแย้งและความรุนแรงเสมอ อย่างไม่เข้าข้างรัฐบาลของตัวเองเลยถ้าเห็นรัฐบาลเป็นฝ่ายผิด เช่นพวกเควกเกอร์ นำยาจากสหรัฐไปส่งให้เวียดนามเหนือ ในขณะที่รัฐบาลสหรัฐเห็นว่าเป็นการเข้าข้างฝ่ายศัตรู
ยังเมื่อก่อนที่สหรัฐจะไปทิ้งระเบิดในอิรัค เมื่อเร็ว ๆ นี้ ไม่แต่พวกเควกเกอร์เท่านั้นหากรวมถึงพุทธศาสนิกเพื่อสันติภาพชาวอเมริกันจำนวนไม่น้อย ก็เข้าไปอยู่ในอิรัคเพื่อพร้อมจะรับกรรมร่วมกับชาวอิรัค เมื่อสหรัฐจะทิ้งระเบิดลงไปในอิรัค
ที่ว่ามานี้เป็นเพียงบางตัวอย่างที่พวกเราควรจะรับรู้กันในหมู่ประชาชนคนไทย ยังกรณีที่นางอองซานซูจี ถูกทรมานทรกรรมต่าง ๆ ในพม่า เธอก็ต่อสู้ด้วยอหิงสธรรมและสมาธิภาวนาอย่างน่าสนใจยิ่ง เป็นที่น่าเสียใจที่รัฐบาลพม่าไม่พร้อมที่จะเจรจาหาทางสมานฉันท์กับเธอ เอาเลย และถ้ารัฐบาลไทยไม่เลวร้ายเช่นรัฐบาลทักษิณ ใครก็อาจช่วยให้เกิดสมานฉันท์ขึ้นได้ในพม่า
ถ้ารัฐบาลประชาธิปัตย์อยู่ในอำนาจต่อมาอีกเพียงหนึ่งสมัย รัฐบาลไทยก็อาจใช้อหิงสธรรมและประชาธิปไตยนำบางประเทศในอาเซียน และสหภาพยุโรปให้เกิดการสมานฉันท์ขึ้นได้ หรือแม้แต่อาจทำให้รัฐบาลทหารพม่าปลาสนาการไปเลยก็ได้ อาจกล่าวได้ว่านี่เป็นจุดเด่นจุดเดียวของพรรคประชาธิปัตย์ก็ได้
แม้การสร้างวัฒนธรรมแห่งสันติภาพจะสำคัญเพียงใด แต่การป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงทางโครงสร้างนั้นดีกว่า แต่อย่างไรก็ตามเราจำต้องเผชิญกับความขัดแย้งและรุนแรงด้วยความคิดสร้างสรรค์อย่างสันติวิธีเสมอไป สังคมและประเทศชาติหมดทรัพยากรไปมากกับอาวุธยุทโธปกรณ์และความรุนแรง ถ้าเราใช้ทรัพยากรไปในทางสันติภาพและอหิงสวิธี ผลได้จะเป็นไปในทางสร้างสรรค์อย่างเหลือคณานับ และนี้แลจะเป็นวุฒิภาวะที่สำคัญสำหรับสังคมไทยสยาม
บทความที่นำเสนอก่อนหน้านี้ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
หากนักศึกษาและสมาชิกท่านใตสนใจ
สามารถคลิกไปอ่านได้จากที่นี่...คลิกที่ภาพ
ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา 3 I สารบัญเนื้อหา
4
ประวัติ
ม.เที่ยงคืน
สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง
e-mail :
midnightuniv(at)yahoo.com
หากประสบปัญหาการส่ง
e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com
ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็ปไซคทั้งหมด
กว่า 700 เรื่อง หนากว่า 10000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com
สมเกียรติ
ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็ปไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ
ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com
ในสมัยของนายปรีดี พนมยงค์ ถึงกับมีการวางแผนให้แต่ละภูมิภาคมีสิทธิในการปกครองตนเอง อย่างลดความก้าวก่ายจากอธิปไตยส่วนกลางลงไป ดังอาจใช้คำภาษาอังกฤษได้ว่า ให้เป็น autonomy ไม่แต่เฉพาะทาง 3 - 4 จังหวัดภาคใต้เท่านั้น หากรวมถึงทางภาคอีสานด้วย ครั้นเมื่อเกิดรัฐประหาร เมื่อปี 2490 ขึ้น รัฐไทยได้กลายเป็นเผด็จการยิ่ง ๆ ขึ้นทุกที โดยยอมตามก้นสหรัฐอเมริกาอย่างปราศจากศักดิ์ศรีเอาเลย
การสร้างสันติภาวะนั้น เป็นงานที่ไม่รู้จักจบ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราควรจะทอดหุ่ยเสีย มีใครคนหนึ่งอธิบายว่า การสร้างสันติภาวะนั้นก็เหมือนกับคนที่แลเห็นว่าน้ำแห้งบ่อ เราจะหาน้ำที่ไหนอีกไม่ได้ นอกจากต้องไต่ขึ้นภูเขาไปช้อนเอาหิมะลงมาเทลงบ่อครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อให้บ่อมีน้ำ นี้ฉันใด การสร้างสันติภาวะก็ต้องใช้ขันติธรรมฉันนั้น