อุตสาหกรรมวัฒนธรรม โดย เธียวดอร์ อะดอร์โน (1903 - 1969)
H
N
back
home
next
page
16 09
2544

THE CULTURE INDUSTRY: ENLIGHTENMENT AS MASS DECEPTION (from Dialectic of Enlightenment)
ภาพประกอบจากนิตยสาร TIME ฉบับ Artists & Entertainers of the Century 100 / ฉบับ June 8,1998 / ชื่อภาพ The Writer : James Joyce

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
กลางวันเรามองเห็นอะไรได้ชัดเจน
แต่กลางคืนเราต้องอาศัยจินตนาการ


Website ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
สร้างขึ้นมาเพื่อผู้สนใจในการศึกษา
โดยไม่จำกัดคุณวุฒิ

สนใจสมัครเป็นสมาชิก
กรุณาคลิกที่ปุ่ม member page
ส่วนผู้ที่ต้องการดูหัวข้อบทความ
ทั้งหมด ที่มีบริการอยู่ขณะนี้
กรุณาคลิกที่ปุ่ม contents page
และผู้ที่ต้องการแสดงความคิดเห็น
หรือประกาศข่าว
กรุณาคลิกที่ปุ่ม webboard

หากต้องการติดต่อกับ
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ส่ง mail ตามที่อยู่ข้างล่างนี้
(midnightuniv(at)yahoo.com)

บทความนี้ยาวประมาณ 14 หน้า / หากประสบปัญหาภาพและตัวหนังสือซ้อนกัน กรุณาลดขนาดของ font ลง
CP
MP
WB
contents
member
webboard

ศัพท์คำว่า อุตสาหกรรมวัฒนธรรม(culture industry) ถูกนำมาใช้ครั้งแรกในหนังสือชื่อ Dialectic of Enlightenment, ซึ่ง Horkheimer และ Adorno ได้พิมพ์ขึ้นในอัมสเตอร์ดัม ในปี 1947. ในฉบับร่างของพวกเขา เขาได้พูดคุยถึงเรื่องเกี่ยวกับ"วัฒนธรรมมวลชน"(mass culture) และพวกเขาแทนคำ"วัฒนธรรมมวลชน"นี้ด้วยคำว่า "อุตสาหกรรมวัฒนธรรม" ทั้งนี้เพื่อที่จะแยกมันออกมาจากบรรดาผู้ที่เห็นด้วย หรือสนับสนุนเรื่องของ"วัฒนธรรมมวลชน"นั่นเอง:

ดังนั้น ความหมายของสองคำนี้ จึงแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว
ใน"อุตสาหกรรมวัฒนธรรม"ผู้บริโภคไม่ใช่ราชา ดังที่พวกนั้นจะทำให้เราเชื่อ มวลชนไม่ใช่ตัวประธานอีกต่อไป แต่เป็นตัวกรรมของมัน

เอกสารหมายเลข 120 เรื่อง "วัฒนธรรมในยุคอุตสาหกรรม" เขียนโดย เธียวดอร์ อะดอร์โน
แปลและเรียบเรียงโดย : สมเกียรติ ตั้งนโม
September 2001
Midnight University
Free Remote Education
N
page
บทความใหม่ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ประจำเดือน กันยายน 2544
เพื่อนักศึกษา สมาชิก และผู้สนใจทางด้านปรัชญาหลังสมัยใหม่

อาจารย์มารค ตามไท ได้พูดถึง รากฐานเกี่ยวกับความจริง 4 ประเภท ที่ผู้คนยึดถือ
และนักคิดหลังสมัยใหม่ มองความจริงอย่างไร ?
สาระสำคัญในที่นี้ก็คือ การนำเสนอเรื่องดังกล่าว
เป็นการนำเสนอในที่ประชุมของนักสังคมวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มช.
ซึ่ง อาจารย์อานันท์ กาญจนพันธุ์ และ อาจารย์ไชยันต์ รัชชกูล ร่วมสนทนาด้วย

บันทึกเทปโดย"โครงการสนทนาปัญหาศิลปะ ปรัชญา และวิทยาาสตร์ "
คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ - มอบให้มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
เพื่อเป็นวิทยาทานสำหรับการศึกษาไทย

ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา

e-mail : midnightuniv(at)yahoo.com

บริการการศึกษาทางไกลฟรีของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ผ่านระบบเครือข่าย เพื่อนักศึกษา สมาชิก และผู้สนใจทุกท่าน / กันยายน 2544

ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา

e-mail : midnightuniv(at)yahoo.com

ถ้าประชาธิปไตยเป็นการปกครองของฝูงชน อุดมคติเรื่องชาติอันยิ่งใหญ่ก็คือ อุดมคติที่มองหาผู้นำที่เต็มไปด้วยบารมี ชาติที่ยิ่งใหญ่เรียกร้องผู้นำที่ยิ่งใหญ่ และผู้นำที่ยิ่งใหญ่ก็เรียกร้องความสนับสนุน
จากประชาชนในสัดส่วนที่ ยิ่งใหญ่ตามขึ้นไปด้วย.
ภายใต้อุดมคติทางการเมืองทั้งหมดนี้ ผู้นำกลายเป็นเรื่องที่มีความสำคัญที่สุดสำหรับสังคมการเมืองไทย
และด้วยเหตุเช่นนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่คำถามเรื่ององค์อธิปัตย์ ไม่เคยเป็นคำถามสำคัญในสังคมการเมืองไทย ไม่แม้กระทั่ง
ในแวดวงปัญญาชนสาธารณะแบบไทยๆ.

เรื่องแปลกๆเหล่านี้ เป็นประสบการณ์ที่เกิดกับผมหรือที่ผมเห็นมาในช่วง 30-40 ป
ีที่ทำงานสนามในวิชามานุษยวิทยาตามที่ต่างๆในประเทศไทย
ซึ่งทำให้ผมแปลกใจ งง และอยากทดลองสรุปเอาง่ายๆถูกผิดไม่ทราบ
แต่คิดว่าเรื่องเหล่านี้บอกอะไรเราบางอย่างเกี่ยวกับคนไทยและสังคมไทย (สนใจคลิกที่ banner)
อะไรคือก้าวต่อไปของสหรัฐฯ หลังความหายนะ
สำเนาภาพมาจาก ภาพประกอบของ Fox news และ Time.com เพื่อการศึกษา 230944

โศกนาฏกรรมที่ตึกเวิลด์เทรดผ่านไปแล้วช่วงหนึ่ง โลกเรียนรู้อะไรบ้างจากความสูญเสียดังกล่าว?
ขณะนี้โลกกระหึ่มก้องไปด้วยความปรารถนาที่จะแก้แค้น ของยักษ์ที่โกรธเกรี้ยว ฉันทานุมัติสู่สงครามตั้งอยู่บนข้ออ้างที่จะทวงความยุติธรรมแก่ผู้ตาย และการปกป้องโลกจากการก่อการร้าย ดูเหมือนว่าผู้นำรัฐต่างๆในโลกที่สนับสนุน หรือจำต้องสนับสนุนสหรัฐ จะคิดว่าวิธีการแสดงความเสียใจต่อโศกนาฏกรรมดังกล่าว คือการสนับสนุนการตามล่าผู้ก่อการร้าย การคิดเช่นนี้นับเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะเป็นการให้ความชอบธรรมต่อการใช้ความรุนแรง บนการปกป้องผลประโยชน์ของรัฐชาติ

อันที่จริง ความตายที่เวิลด์เทรดเตือนพวกเราว่าสิ่งอันตรายที่สุดอย่างหนึ่งที่เป็นผลผลิตของโลกยุคสมัยใหม่ก็คือ อุดมการชาตินิยม ซึ่งหากผนวกกับอุดมการทางเชื้อชาติและศาสนาแล้วก็อาจจะกลายเป็นกรงขังทางความคิดที่ทำให้มองเห็น "ผู้อื่น" เป็นศัตรูโดยง่าย

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ขอร่วมรณรงค์เรียกร้อง และตั้งคำถาม ต่อวิธีการใช้ความรุนแรงตอบโต้กัน ผ่านบทความชิ้นนี้ / บรรณาธิการ

การยอมรับความชอบธรรมและอำนาจของรัฐชาติทำให้รู้สึกว่าความรุนแรงใดๆที่ละเมิดกติกาของรัฐชาติเป็นสิ่งผิด ถูกปิดป้ายว่าเป็นการกระทำของ "ผู้ก่อการร้าย" ที่มุ่งทำลายอารยธรรมและเสถียรภาพของโลก ในขณะที่หากรัฐเป็นผู้ใช้ความรุนแรงแบบเดียวกันบ้างทั้งกับคนเชื้อชาติเดียวกัน คนต่างชาติหรือกับชนกลุ่มน้อย จะถูกมองว่าเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อปกป้องความมั่นคงและผลประโยชน์ของรัฐนั้น

พฤติกรรมของอเมริกาในสงครามเวียดนาม ในลาตินอเมริกาและอเมริกากลางตลอดจนในตะวันออกกลางซึ่งทำลายชีวิตนับล้านและทรัพย์สินนับไม่ถ้วนนั้นจัดเป็นพฤติกรรมของ "ผู้ก่อการดี" ที่โหดร้ายน้อยกว่าการถล่มตึกเวิลด์เทรดกระนั้นหรือ ?

ความรุนแรงมีพลังพลวัตรในตัวเอง การสนับสนุนให้ตามล่ากลุ่มก่อการทำให้มองไม่เห็นว่า ที่จริงต้นตอส่วนหนึ่งของปัญหามาจากตัวกติกาสากลของรัฐชาติต่างๆที่อนุญาตให้รัฐหลายๆรัฐบีบคั้น ปิดป้ายและล้อมกรอบกลุ่มที่คิดขัดแย้งกับตนให้จนมุมจนไม่เหลือพื้นที่ที่ชอบธรรมหรือสันติทางอื่นอีก การปลุกเร้าอุดมการชาตินิยมในอเมริกาขณะนี้ทำให้เกิดกระแสเกลียดชังคนมุสลิมทั้งภายในอเมริกาและในประเทศคนผิวขาวทั้งยุโรปและออสเตรเลีย ทั้งๆที่ยังมิได้มีการสรุปชัดแล้วว่าผู้ลงมือเป็นกลุ่มมุสลิมจริงหรือไม่

มีการทำร้ายและสังหารคนมุสลิมผู้บริสุทธิ์เกิดขึ้นแล้ว มันไม่เป็นสิ่งน่าสมเพชดอกหรือหากเราจะแสดงความเคารพต่อชีวิตที่ดับสูญไปด้วยการเร่งเร้าให้มีการคร่าชีวิตเพิ่มเติม? จะต้องมีการสังเวยชีวิตทหารอเมริกันในสงครามอีกเท่าใดจึงจะทำให้คนอเมริกันและผู้นำรัฐต่างๆได้สติและมองเห็นความไร้สาระของสงคราม?

โลกควรแสดงความเคารพอย่างลึกซึ้งต่อผู้จากไปด้วยการสำเหนียกถึงคุณค่าของชีวิต และหันมาพิจารณาร่วมกันอย่างจริงจังเกี่ยวกับมาตรการต่างๆในการสร้างสันติภาพในโลก ทำอย่างไรจะให้การประชุมลดอาวุธมีผลจริงในทางปฏิบัติ ทำอย่างไรจึงป้องกันไม่ให้สิทธิมนุษยชนถูกละเมิดในนามของรัฐ ทำอย่างไรจึงจะเกิดการถ่วงดุลย์อำนาจที่ได้ผลในองค์การระหว่างประเทศต่างๆ ทำอย่างไรศาสนิกของศาสนาต่างๆจะไม่บิดการตีความและใช้ศาสนาของตนเป็นเครื่องมือของความรุนแรง

ขณะนี้ดูเหมือนชาวโลกจะรู้สึกว่าปัจเจกแต่ละคนไร้พลัง ไม่อาจเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐได้ กระนั้นก็ตามเสียงที่แผ่วเบาหากรวมกันเป็นหมื่นเป็นแสนก็สามารถเป็นเสียงที่ผู้ปกครองไม่อาจเพิกเฉยได้ ขอให้เสียงจากใจที่แสวงศานติทั่วโลกจงมาผนึกพลังร่วมกันเถิดก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้

เสียงจากปลายดอย ๑๙ กันยายน ๒๕๔๔

Foucault ได้เสนอถึงรูปแบบของการซ้อนทับกันระหว่าง พื้นที่ว่างทางสังคม (Social Space) กับพื้นที่ว่างทางสถาปัตยกรรม (Architectural Space) และในขณะเดียวกันก็เป็นความสัมพันธ์ในทางกลับกัน คือพื้นที่ทางสถาปัตยกรรมเป็นตัวกำหนดพื้นที่ทางสังคม
จะเห็นได้ว่ามิติของที่ว่างทั้งสองสิ่งอยู่คู่กัน และส่งผลกระทบต่อซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Panopticon และ Heterotopia (Other Spaces)
เป็นตัวอย่างที่สำคัญของแนวความคิดของ Foucault ต่อที่ว่างทางสถาปัตยกรรม
(บางส่วนจากเนื้อหาบทความ)
สมเกียรติ ตั้งนโม / แปลและเรียบเรียง
โดยการมาควบคุมอาณาจักรทางวัฒนธรรมและจิตวิทยาข้างต้น, ชาติผู้กดขี่และชนชั้นต่างๆ
พยายามที่จะประกันความมั่นใจในสถานการณ์ของทาสคนหนึ่งซึ่งรับมาปฏิบัติว่า
การเป็นทาสคนหนึ่งนั้นมันคือเงื่อนไขปกติของความเป็นมนุษย์
(สนใจรายละเอียด กรุณาคลิกที่ banner)
หนังสือ Die Struktur wissenschaftlicher Revolutionen ของ Thomas Kuhn จัดว่ามีอิทธิพลในวงกว้างต่อประวัติศาสตร์ของวิทยาศาสตร์มากยิ่งกว่าหนังสืออื่น ภายหลังการเสียชีวิตของ Kuhn ในปี ค.ศ. 1996 นักสังคมวิทยา Clifford Geertz ตั้งข้อสังเกตซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า หนังสือของ Kuhn "เปิดประตูสู่การพุพลุ่งของสังคมวิทยาแห่งความรู้"ในการศึกษาวิทยาศาสตร์ มีผู้ยกตัวอย่างและใช้แนวคิดของ Kuhn ครั้งแล้วครั้งเล่าในความขัดแย้งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม หรือที่เรียกกันว่า สงครามวิทยาศาสตร์