Free Documentation
License
Copyleft : 2006,
2007, 2008
Everyone is permitted to copy and distribute verbatim
copies of this license
document, but changing it is not allowed.
หากนักศึกษา
และสมาชิกประสงค์ติดต่อ
หรือส่งบทความเผยแพร่บนเว็บไซต์
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
กรุณาส่ง email ตามที่อยู่ข้างล่างนี้
midnight2545(at)yahoo.com
midnightuniv(at)yahoo.com
midarticle(at)yahoo.com
The Midnight
University
การเดินทางสู่ความเป็นมนุษย์ที่แท้
การวิจัยด้วยฝ่าเท้า :
ประมวล เพ็งจันทร์
๒
ดร. ประมวล เพ็งจันทร์
นักวิชาการอิสระ
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
หมายเหตุ
: บันทึกการประชุมนี้ กองบรรณาธิการได้รับมาจาก อ. ชลนภา อนุกูล
เป็นบันทึกการประชุมจิตวิวัฒน์
ครั้งที่ ๓๔ (๖/๒๕๔๙)
เรื่อง การเดินทางสู่ความเป็นมนุษย์ที่แท้
บรรยายโดย ดร.ประมวล เพ็งจันทร์
วันจันทร์ที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๔๙
เวลา ๐๙.๓๐ - ๑๕.๐๐ น. ณ มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ
midnightuniv(at)yahoo.com
(บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา)
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ 981
เผยแพร่บนเว็บไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่
๒๓ กรกฎาคม ๒๕๔๙
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ
17.5 หน้ากระดาษ A4)
การวิจัยด้วยฝ่าเท้า : ประมวล เพ็งจันทร์ ๒
ดร. ประมวล เพ็งจันทร์ : นักวิชาการอิสระ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
บันทึกการประชุมจิตวิวัฒน์
ครั้งที่ ๓๔ (๖/๒๕๔๙) เรื่อง "การเดินทางสู่ความเป็นมนุษย์ที่แท้"
วันจันทร์ที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๔๙ เวลา ๐๙.๓๐ - ๑๕.๐๐ น. ณ มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ
นายแพทย์โกมาตร: ก่อนที่อาจารย์จะตอบ
ผมอยากจะขอเพิ่มประเด็นเข้าไปด้วย คือในแง่หนึ่งอาจารย์เรียนมาในด้านของปรัชญา
และเท่าที่ผมรู้ บรรดานักปรัชญาทั้งหลายมักจะมีชีวิตที่เดียวดายและเหี่ยวเฉามาก
หลายคนที่เรารู้ อย่างเช่น มักซ์ เวเบอร์ ถือเป็นนักปรัชญาสังคมคนสำคัญ ชีวิตจะไม่มีความลุ่มลึกอะไร
คือเขาจะโผล่มาที่ตึกสำนักงานเวลาเดียวกันทุกวันจนคนใช้เป็นนาฬิกาได้ เจ็ดโมงเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศ
เลิกก็กลับออกไป นักปรัชญาอีกจำนวนมากจะคล้ายๆ กัน คือถึงที่สุดแล้วไม่เหลืออะไรไว้ให้ศรัทธา
ไปเที่ยววิเคราะห์ หรือว่ารื้อ หรือว่าไปทำความเข้าใจจากมุมมองที่พอไปถึงที่สุดแล้ว
ไม่เหลือที่ทางสำหรับศรัทธาอยู่ พอไม่มีเครื่องยึดเหนี่ยว ชีวิตพวกนี้เหมือนกับว่ามันเบี่ยงเบน
มันไร้มิติเชิงลึกไป อยากให้อาจารย์ได้ลองเปรียบเทียบด้วยว่า ในแง่ที่อาจารย์ไปเรียนปรัชญาจากทางอินเดีย
อย่างที่ได้พูดไปตอนต้นว่าเน้นความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างความรู้กับสภาวะของผู้รู้
เปรียบเทียบความรู้จากแวดวงนักปรัชญากับการไปเดิน ๖๐ วัน จากเชียงใหม่ถึงเกาะสมุย
ทำให้อาจารย์ได้มองเห็นเรื่องการศึกษาเชิงปรัชญาที่เป็นอยู่อย่างไรด้วย
อาจารย์ประมวล:
ผมกลัวจะลืม ขอตอบคำถามที่สองของอาจารย์เอกวิทย์เสียก่อน เพราะมันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นในช่วงขณะสุดท้ายของการเดิน
คือผมไปนอนที่สวนโมกขพลาราม ตอนเช้าผมก็เข้าไปกราบลาท่านอาจารย์โพธิ์ ท่านมีความประสงค์จะให้ผมนอนต่อ
แต่ผมบอกว่าขอเดินให้ถึงแล้วจะกลับมานอนกับอาจารย์ในช่วงหลัง ท่านบอกก็ได้ ก่อนผมจะจากลาท่านมา
ท่านให้คำพูดเหมือนกับเป็นโอวาทกับผมว่า "ชีวิตนี้เป็นสิ่งมีค่าที่หาได้ยาก
ขอให้ใช้ชีวิตนี้อย่างปกติเย็นเป็นสุข ให้เกิดประโยชน์"
ช่วงที่ผมเดินจากสวนโมกขพลารามไปถึงท่าเรือที่อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ระยะทาง ๕๒ กิโลเมตร วันนั้นผมเกือบไม่ได้ทำอะไรเลย เพียงแต่ใคร่ครวญความหมายที่ท่านอาจารย์โพธิ์ได้พูดให้ผมฟัง
แล้วผมก็ได้ข้อสรุป คืนนั้นผมนอนในเรือ คิดว่าหลังจากคืนนี้ไปผมจะต้องมีชีวิตอยู่เพื่อรับใช้ผู้อื่น
เพราะที่บอกว่าชีวิตนี้เป็นสิ่งมีค่า ผมก็เห็นแล้วว่ามีค่าจริงๆ ชีวิตนี้ลมหายใจเข้าและออกแต่ละขณะมีค่ามาก
ปกติเย็นเป็นสุขก็เป็นสิ่งที่เราทำให้ตัวเอง แต่ทำประโยชน์ให้ผู้อื่นด้วยเป็นสิ่งที่ผมต้องทำต่อไป
เพราะผมทำน้อยมาก ผมเลยตั้งใจว่าผมจะมีหน้าที่รับใช้
วันแรกที่ผมกลับมาถึงบ้านแล้วกอดภรรยา ผมพูดกับเธอเลยว่าขอบคุณที่สุดที่ให้โอกาสผม ต่อไปนี้ผมจะรับใช้ให้ดีที่สุด ถ้าผมไม่สามารถรับใช้เธอซึ่งเป็นคนที่ผมรักมากแล้ว ผมจะไปรับใช้คนอื่นได้อย่างไร ช่วยให้ผมได้รับใช้เถอะ เพราะฉะนั้นผมจะทำหน้าที่รับใช้เธอก่อนแล้วไปรับใช้คนอื่นต่อๆ ไป
ถ้าผมทำบันทึกเสร็จ ผมจะเขียนไว้ในตอนสุดท้ายว่า ถ้าใครปรารถนาจะพบผม ไม่ต้องมาหา ผมจะเดินไปพบเขา ถ้าเขาอยู่ที่ปัตตานี ผมอาจจะขอเวลาสักปีหนึ่งเพื่อจะเดินไปเรื่อยๆ ถึงเขาจะอยู่ที่อุบลฯ หรือที่ไหน ผมก็จะไป ถ้าไม่ตายระหว่างทางเราคงได้เจอกัน ผมคิดว่าการกระทำเช่นนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าเป็นการยืนยันความมุ่งมั่นปรารถนาที่ผมจะไปพบ และรับใช้เขาให้ได้เท่านั้นเอง
อีกอย่างผมไม่เคยคิดเลยว่าการยืนดูอะไรนิ่งๆ เวลาสงบ ตอนที่ผมเดินอยู่ในอุทยานแห่งชาติแม่ปิง ซึ่งเป็นเขตป่า ผมปรึกษาเจ้าหน้าที่แล้วว่าเดินผ่านอุทยานได้ เพราะว่ามันมีร่องรอยการเดินของหน่วยพิทักษ์ป่า ผมจึงเดินไปในป่า ไม่มีถนน ไม่ได้มีทางอะไรเลย แต่เขาบอกว่ามีแนวพอจะสังเกตได้ ช่วงที่ผมเดินไป ผมพบอะไรที่เล็กมากๆ แต่ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่เล็กๆ จะสอนใจผมได้ คือไส้เดือนที่ดิ้นแล้วมีมดกัด ผมก็นั่งลงใคร่ครวญ ตอนแรกตั้งใจว่าจะช่วยหรือทำอย่างไรดี มันเกิดความละล้าละลัง ว่าเรากำลังจะช่วยไส้เดือนหรือเรากำลังจะประทุษร้ายมด นี่คือสิ่งที่ท้าทายผมมาก
ผมนั่งลงและจ้องดูกิริยาอาการทั้งหมดที่เกิดขึ้น เพราะถ้าจะช่วยไส้เดือนก็ต้องหาไม้หาอะไรไปทำลายชีวิตมด อย่างที่คุณหมอประเวศพูดถึง ผมใช้เหตุผลมาตลอดว่าเราจะตัดสินความดีกันอย่างไร แต่วันนั้นไม่มีเหตุผลเลยครับ มันมีแต่อารมณ์ความรู้สึก และความรู้สึกหนึ่งที่เกิดขึ้นคือ นี้ไม่ใช่การเบียดเบียนกัน แต่เป็นการเกื้อกูลกันในโลกใบนี้ ผมเข้าใจว่าไส้เดือนขึ้นมาบนผิวดิน เหมือนกับบอกว่าชีวิตนี้พอแล้วล่ะ ขอจบลงชีวิตนี้ลงเพื่อจะต่อชีวิตให้มด และมดนี้พอกินไส้เดือนเสร็จก็ต่อชีวิตไปอีก
คือผมสะท้อนชีวิตในตัวผมเอง เมื่อตระกี้ผมเล่าว่าอาหารมื้อแรกที่ผมกิน ถูกต่อได้ด้วยแม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยว แต่จริงๆ แล้วธรรมชาติมากมายที่จบชีวิตลงเพื่อต่อชีวิตให้ผม ผมไม่เคยคิดเลย สัตว์ไม่รู้เท่าไรแล้วที่ตายลงเพื่อให้ผมมีชีวิตอยู่มาจนถึงวันนี้ และที่ผมมานั่งดูไส้เดือนดิ้นและสุดท้ายตกเป็นเหยื่อของมด ผมคิดว่าคงไม่ใช่การเบียดเบียนกัน แต่มันเป็นวงจรของธรรมชาติ ที่ชีวิตหนึ่งเกิดขึ้นและสละชีวิตนั้นเพื่อต่อชีวิตอื่นๆ ในโลกที่เราอาศัยอยู่ มันมีสิ่งต่างๆ ที่เกิดดับอยู่ตลอดเวลา
คำถามคือเราจะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปในลักษณะที่เป็นห่วงโซ่ต่อชีวิตอื่นให้มีชีวิตต่อไป หรือเราจะมีชีวิตอยู่เพื่อเบียดเบียนชีวิตอื่น ผมเข้าใจว่าตรงนี้อยู่ที่จิตเราแล้วล่ะ ขณะที่คิดได้เช่นนี้ ผมรู้สึกเลยว่าต้องขอบคุณไส้เดือนและมด เพราะเขาต้องเป็นห่วงโซ่ให้สิ่งอื่นๆ ในธรรมชาตินี้ได้มีชีวิตอยู่ และผมรู้สึกเลยว่า มันยิ่งใหญ่จริงๆ ผมมีความรู้สึกในห้วงเวลานั้นว่า เพราะมดและไส้เดือนอย่างนี้เอง จึงทำให้เกิดห่วงโซ่แห่งความเกื้อกูลอิงอาศัยซึ่งกันและกัน อาหาร อากาศ สรรพสิ่งที่เราใช้บริโภคอยู่ในปัจจุบัน ล้วนแต่เป็นชีวิตของชีวิตอื่นๆ ทั้งนั้นที่ต้องจบลง และวันหนึ่งเราก็ต้องจบลงเพื่อต่อชีวิตอื่น ผมเข้าใจว่านี่เป็นอารมณ์ที่ทำให้ผมอยากรับใช้ชีวิตอื่นมาก
ส่วนคำถามของอาจารย์ข้อแรก ผมเข้าใจว่าคงตอบยาก แต่ผมมานั่งทบทวนว่าจริงๆ แล้วชีวิตผมเหมือนกับมีโชค หมายความว่าผมไปเกิดในสภาพแวดล้อมที่ดี ผมเกิดที่เกาะสมุยซึ่งสมัยนั้นงดงามมากๆ ผมยังจำภาพตอนเด็กๆ ที่โรงเรียนอยู่ติดทะเล ได้วิ่งเล่นชายทะเล แล้วมีอากาศสะอาดบริสุทธ์ ผมเจอครูที่ดี ยังจำได้ไม่เคยลืมเลยว่า ครูคนนี้ทำให้ผมใฝ่ฝันอยากเป็นครู ขอเล่าเรื่องนี้นิดนึงเพื่อบูชาครูของผมนะครับ
สมัยที่ผมเป็นเด็กนักเรียนอยู่ ผมเป็นเด็กบ้านนอก ครูบ้านนอกเขาจะมีระเบียบตอนเช้าต้องตรวจแถวนักเรียน เพื่อจะดูว่าตัดเล็บเรียบร้อยไหม เอาเสื้อใส่กางเกงเรียบร้อยไหม แล้วจะมีการลงโทษ เช่นดึงหูบ้าง ดึงจมูกบ้าง เอาไม้บรรทัดตีมือบ้าง พวกเราก็จะถูกทำโทษกันทุกวัน เพราะสอนยังไงไม่เคยจำ วันหนึ่งมีครูคนใหม่คนหนึ่ง ตอนนี้ท่านไปอยู่ที่ไหนผมไม่รู้เลย แต่คิดว่าท่านยังมีชีวิตอยู่ครับ ถ้าท่านรู้ได้โดยวิธีใดวิธีหนึ่ง อยากให้ท่านรู้ว่าผมเป็นศิษย์ของท่านและยังคิดถึงท่าน
คุณครูพิกุล มณีโชติ เพิ่งจบการศึกษาใหม่ๆ แล้ววันนั้นถัดมาไม่กี่วันหลังจากที่ครูบรรจุใหม่ พวกเราจะเห่อครูใหม่ๆ เพราะแต่งตัวสวย ครูพิกุลมาตรวจแถวนักเรียนยามเช้า แล้วพวกเราต้องทำเหมือนเดิมคือยืนตัวตรง ยื่นมือไปข้างหน้าเพื่อให้ครูตรวจว่ามีเล็บดำเล็บยาวหรือเปล่า ถ้าครูตรวจเดินผ่านใครไปแสดงว่าไม่มีปัญหา แต่ถ้าครูตรวจแล้วหยุดยืนอยู่หน้าใครแสดงว่าต้องมีปัญหา พอครูเดินมา ตามประสาเด็กก็ใจสั่นมากว่าจะผ่านไปด้วยดีหรือเปล่า คือครูตีไม่กลัว แต่กลัวเพื่อนล้อหลังจากเลิกเรียนแล้ว เราจะยกพวกตีกันต่อยกันเป็นประจำ เพราะว่าเอาเรื่องที่ผ่านไปแล้วมาล้อเลียนกัน
ครูพิกุลเดินแล้วมาหยุดเดินอยู่หน้าผม ผมรู้สึกเย็นวาบเลย ถ้าใช้ภาษาในปัจจุบันคือกูซวยอีกแล้ว นึกว่ามันต้องมีความผิด พยายามมองไปที่นิ้วตัวเอง เล็บก็ไม่ยาวนี่ ช่วงขณะที่กำลังมองว่าตัวเองผิดอะไร ครูพิกุลก็นั่งลง สมัยนั้นครูนุ่งกระโปรงสุ่มไก่ พอนั่งไปแล้วมันก็คร่อมไปเลย ระดับหน้าของครูมาอยู่ใกล้ๆ หน้าผม และสิ่งที่มหัศจรรย์มากคือครูพิกุลไม่ได้ทำอะไรเลย ผมพบว่าผมรัดเข็มขัดโดยไม่ได้เอาสายเข็มขัดที่เหลือใส่ในสายยูกางเกง ครูพิกุลจึงดึงเข็มขัดที่เหลืออยู่สอดเข้าไปให้แล้วเงยหน้าขึ้นยิ้มให้ผม แล้วเอ่ยว่าต่อไปนี้รัดเข็มขัดแล้วให้ทำอย่างนี้ทุกครั้งนะ ครูรัดเข็มขัดให้ผมแล้วลุกขึ้นไป ตอนเด็กผมไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ตอนโตมาผมจึงรู้ว่า ความงดงาม ความรู้สึกทรงจำดีๆ นี้คือชีวิตของผม
ณ ปัจจุบัน ผมอายุ ๕๒ ปี ถ้าคิดซอยย่อยเป็นนาทีเป็นวินาที นับไม่ถ้วนแล้ว แต่เสี้ยววินาทีที่ครูพิกุล มณีโชติ นั่งลงแล้วรัดเข็มขัดให้ผม แล้วกล่าวกับผม ยังคงจดจำตราตรึงไม่เคยลืมเลย ผมมีความรู้สึกว่าผมอยากเป็นครูแบบนี้ แล้วผมก็ได้เป็นครู ตอนผมกลับจากอินเดียใหม่ๆ ผมไปที่กระทรวงศึกษาฯ เพื่อจะสมัครเป็นครู แต่เผอิญผมไม่ได้จบมาทางสายครุศาสตร์ เขาจึงบอกว่าไม่ได้ จากนั้นจะเรียกว่าโชคดีหรือโชคร้ายไม่ทราบ ได้มาเป็นครูที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพราะเขาไม่ติดประเด็นเรื่องจบครุศาสตร์
สิ่งที่อาจารย์เอกวิทย์ถาม ผมเข้าใจว่านับจากเด็กจนกระทั่งมาเป็นครูในมหาวิทยาลัย สิ่งที่ผมพยายามเสมอมาคือ พยายามเป็นครูให้ดีที่สุด มันทำให้ผมพบว่า วันหนึ่งคำพูดและคำสอนของผม หรือที่อาจารย์หมอประเวศบอกว่า การใช้เหตุผลไม่ค่อยได้ผลเท่าที่ควร และผมคิดว่ามันมีเหตุผลอื่นที่ดีกว่าเหตุผลที่ผมอ้าง เมื่อตระกี้ผมเปิดหนังสือที่เขียนขึ้นมาดู เพราะว่าตรงกับที่คุณหมอประเวศพูดไว้ วันที่ผมปิดห้องเรียนแล้วนักศึกษาขอให้ผมอยู่ต่อ ผมต้องให้เหตุผลว่าอย่าห้ามผมเลย เพราะถ้าคุณห้ามผม ผมก็ไปไม่ได้ พวกคุณต้องอนุญาต ผมก็บีบคั้นพวกเขานะครับ (เสียงหัวเราะ)
แล้วผมก็บอกว่าวิชาที่ผมสอนมันเป็นวิชาที่คิดด้วยเหตุผลมาตลอด และผมพยายามเหลือเกินที่จะยัดเยียดเหตุผลในการตัดสินให้กับพวกคุณมาตลอด ให้มีเหตุผลที่จะแยกความจริงออกมาจากความเท็จ แยกความไม่รู้ออกมาจากความรู้ แยกความชั่วออกมาเสียจากความดี แต่นอกจากผมเป็นครูมานานนับ ๒๐ ปีแล้ว ผมยังเป็นพุทธศาสนิกชนด้วย ผมรู้ว่าโทสะความโกรธเป็นสิ่งไม่ดี ผมรู้ว่าเมตตาเป็นสิ่งที่ดี แต่ผมยังไม่สามารถรักใครให้สุดจิตสุดใจ ผมยังมีคนที่ผมเกลียดชัง และชีวิตผมเหลือสั้นเต็มทีแล้ว ขอให้ผมไปเถอะ ผมจะได้ไปหาสิ่งที่ต้องการ
ผมเรียนมามาก ผมจบปริญญาเอกมาทางปรัชญา ใช้เหตุผลมาตลอด ตอนเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย เหตุผลเป็นเรื่องสำคัญ ประชุมกันแต่ละครั้งจะเป็นเหตุผลกันทั้งนั้น และเครียดกันทั้งสองฝ่าย ฝ่ายที่ชนะไปก็หยิ่งผยองว่าตัวเองมีเหตุผลดีกว่า ฝ่ายที่แพ้ไปก็คิดหาเหตุผลใหม่ และสุดท้ายผมพบว่าเหตุผลอาจจะเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญ แต่ไม่ใช่สำคัญสุด ในพระพุทธศาสนาจึงมีข้อคำกล่าวว่า ปัญญาที่เกิดจากจินตามยปัญญยังไม่ใช่ที่สุด ต้องเป็นภาวนามยปัญญา คือความรู้ที่เกิดจากจิตได้สัมผัสรู้โดยตรงด้วยตัวจิตเอง
เพราะฉะนั้นที่อาจารย์ถามผม จึงอยากจะเรียนว่าผมพยายามใคร่ครวญถามตัวเองเหมือนกัน จริงๆ แล้วมีสองปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต ตอนที่ผมจะออก ผมตั้งชื่อว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสุดท้ายในชีวิต การเปลี่ยนแปลงสองครั้งแรก ครั้งใหญ่สุดคือผมได้บวชในปีพุทธศักราช ๒๕๑๔ ตอนนั้นผมเป็นกรรมกรรับจ้าง ปีเดียวกับที่ครูโกมล คีมทอง ถูกฆ่าตาย และจุดที่ผมไปทำงานก็อยู่ใกล้ๆ กับที่ครูโกมลถูกฆ่าตาย หลังจากมีการปราบปรามโดยใช้วิธีทิ้งระเบิดปูพรม ผมเป็นหนึ่งในคนที่รอดตายออกมาได้ ความรู้สึกโศกสลดและตื่นตระหนกตกใจกลัวกับสภาพที่ปรากฏ ทำให้ผมตัดสินใจวิ่งหนีสุดชีวิต และผมวิ่งหนีเข้าวัดเพราะไม่มีทางออก
ในฐานะที่ตัวเองเป็นชาวพุทธ เลยคิดว่าการบวชน่าจะเป็นสิ่งที่ดี ก็ไปบวช มันเหมือนกับว่าได้เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต เพราะชีวิตที่ผ่านมาผมอยู่ในโลกของการแสวงหาทรัพย์สินเงินทอง ต้องการจะมีรายได้ แต่พอผมไปบวช เหมือนกับเราถูกต้มอยู่ในน้ำเดือดๆ แล้วถูกโยนลงไปในน้ำแข็ง มันเกิดการหดตัวในทันทีทันใด ผมรู้สึกยากลำบากมากกับการบวช เพียงแค่ภาษาที่เคยใช้ปกติ เคยพูดมึงพูดกูกับเพื่อนๆ กับคนรู้จัก พอไปบวชต้องห้ามไม่ให้พูดคำเหล่านี้กับเพื่อนภิกษุสามเณรด้วยกัน ต้องพูดคำว่าใต้เท้า พระคุณ ตัวเองต้องใช้คำว่ากระผม ตอนแรกผมไม่กล้าเรียกตัวเองว่ากระผมเลย รู้สึกมันเขิน แต่สภาพจิตของเราที่ถูกบีบตรงนี้ ค่อยๆ ทำให้ผมเปลี่ยนแปลง และการบวชตอนนั้นมีอานิสงส์มาก เช่น ได้ออกธุดงค์ ออกไปปฏิบัติธรรมอะไรที่ค่อนข้างดี นับเป็นการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจครั้งใหญ่ที่อาจดูเหมือนเล็กๆ ในปรากฏการณ์ทางสังคม
การเปลี่ยนแปลงครั้งที่สองคือ การที่ผมได้ไปอินเดีย ผมไปในขณะยังเป็นพระภิกษุ การไปอินเดียทำให้ผมเกิดความรู้สึกอะไรบางอย่าง คือตอนเป็นพระ และมีความสำนึกว่าตัวเองเป็นสมณะ ตอนผมไปด้วยความรู้สึกอะไรไม่ทราบ มันเหมือนกับมีธรรมชาติจัดสรรให้ต้องไปเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ เช่นผมมีความรู้อยู่แล้วว่าพระพุทธศาสนาในอินเดียไม่ค่อยมี มันเสื่อมสูญเพราะพวกฮินดูกลืนพุทธ ตอนที่ผมต้องแสดงตัวเป็นนักศึกษาและกรอกแบบฟอร์มเพื่อจะจัดเข้าอยู่ในหอพัก ผมกาคำว่า "ไม่ใช่ฮินดู" เพราะเขามีเพียงคำว่า "ฮินดู" กับ "ไม่ใช่ฮินดู" เพื่อจะยืนยันว่าเราเป็นพุทธ ไม่ใช่ฮินดู ทำให้ผมต้องไปอยู่ในหอพักมุสลิม มันท้าทายสมณภาวะของผมเป็นอย่างยิ่ง เพราะเขาทำเหมือนหัวเราเป็นผ้าเช็ดมือ เห็นหัวเราโล้นๆ รู้สึกว่าเอามือมาลูบเล่นแล้วสนุกดี
ความรู้สึกที่ท้าทาย คือผมรู้สึกว่าอินเดียเป็นพุทธภูมิ และเราเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา แต่ตอนนั้นมันท้าทายสมณภาวะของตัวเองเป็นที่สุดว่า มันจะเสื่อม จะเจริญ หรือจะอยู่ต่อไปได้หรือไม่อย่างไร แต่สุดท้ายผมได้เรียนรู้ว่าความเป็นสมณะที่แท้ควรจะอยู่ที่ไหน ผมไม่ได้อยู่เป็นพระภิกษุตลอดช่วงเวลา ๑๑ ปีที่อยู่ในอินเดีย เพราะสุดท้ายผมต้องยอมสละสมณเพศ เพื่อรักษาสมณภาวะในจิตใจไว้ให้ได้
ต่อมาคือการที่ผมได้เป็นอาจารย์ ผมพยายามเป็นที่สุดที่จะเสนอให้นักศึกษาหรือใครก็ตาม ที่สนใจด้านปรัชญาทราบว่า แท้จริงแล้วการเรียนรู้ทางปรัชญาคืออะไร ผมพยายามใช้ตัวเองเป็นสื่อการสอน ผมจึงไม่มีความสามารถใช้สื่อหรือเทคโนโลยีการศึกษาใดๆ เลย ผมเป็นคนที่ไม่อยู่ในโลกเทคโนโลยีและปัจจุบันเป็นบุคคลที่น่ารังเกียจในโลกเทคโนโลยี เพราะผมไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีอะไรทั้งหมดทั้งสิ้น แต่สิ่งหนึ่งที่ผมพยายามจะบอกนักศึกษาทุกคน คือชีวิตของผมคือสื่อการเรียน พวกคุณจงใช้เถิด ถ้าใช้ให้มันเป็นประโยชน์ได้
วันหนึ่งเมื่อผมต้องการยุติการเป็นครู ผมบอกว่าชีวิตผมน่าจะเป็นที่เรียนรู้ต่อไปมากกว่าการมานั่งฟังผมพูด ผมพยายามจะบอกเขาคือ ผมเชื่อมั่นว่าความเป็นครูของผมไม่ได้อยู่ที่สอนด้วยการพูดต่อไปแล้ว แต่อยู่ที่ว่าต่อไปนี้ผมจะทำสิ่งที่พวกคุณคิดว่ามันดีก็ทำตามได้ คือผมยืนยันที่จะทำในสิ่งที่เรียกว่าการมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข โดยไม่จำเป็นต้องแสวงหาลาภยศสรรเสริญ หรือวัตถุสิ่งของภายนอก ผมอยากจะยืนยันว่าความสุขที่แท้จริงของการมีชีวิตอยู่ มันคืออะไร
ผมยังจำภาพๆ หนึ่งเมื่อผมกลับไปที่เชียงใหม่ วันหนึ่งผมจำเป็นต้องกลับไปที่ภาควิชาด้วยเรื่องระเบียบราชการ มีนักศึกษาหญิงคนหนึ่งซึ่งเรียนปริญญาโทในวิชาพระพุทธศาสนา เมื่อเขาเห็นผมก็ตกใจ เขาไม่คิดว่าผมจะได้กลับไปที่ภาคอีก เขาร้องไห้ แล้วมากอดผม ผมถามว่าเป็นอะไร เขาตอบด้วยเสียงสั่นๆ ว่า อาจารย์คือคำตอบของหนู เขาว่าอย่างนั้น ผมมีความรู้สึกดีขึ้นมานิดหนึ่งตอนนั้น ว่าคำตอบของเขาไม่ต้องมากหรอก แสดงว่าสิ่งที่ผมทำไปไม่ผิดเท่านั้นเอง เขาจึงสามารถใช้คำว่าอาจารย์คือคำตอบของหนูได้
สิ่งที่ผมพูดตรงนี้ ไม่ใช่ต้องการจะพูดว่าตัวผมดีหรือไม่ดี ผมต้องการเพียงแค่จะบอกเหมือนที่อาจารย์หมอประเวศพูดไว้ว่า ในโลกปัจจุบันเรากำลังหลงเชื่อว่าความหมายของชีวิตที่ดี อยู่ที่การได้ครอบครองทรัพย์สิน หรือมรดกของโลกนี้มาเป็นของเรา แต่ความรู้สึกของผม ความหมายของมนุษย์ที่แท้คงไม่ได้อยู่ที่การครอบครองโลก แต่อยู่ที่จิตของเราสามารถเข้าถึงความรู้แจ้งถึงความเป็นไปของโลก แล้วมีชีวิตอยู่อย่างผ่องใสเบิกบานได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ผมได้ความรู้อย่างหนึ่งตอนลงจากอินทนนท์ คือตอนลงมาเป็นช่วงที่สภาพร่างกายมันแย่ เพราะกว่าจะขึ้นถึงยอดอินทนนท์จนเหลือระยะทางสักประมาณกิโลกว่าๆ ผมเกือบจะปลงใจ คือมันหายใจไม่ออก รู้สึกว่ากำลังจะขาดใจตาย ผมเลยนั่งลงแล้วนอนไปเลย แล้วตั้งจิตว่าผมได้ใช้ชีวิตที่พ่อแม่และธรรมชาติให้มาพอสมควรแล้ว และได้ใช้อย่างดีที่สุดและทะนุถนอมที่สุดแล้ว เพราะฉะนั้นขอจบชีวิตเพียงแค่นี้
แต่พอนอนไปสักครู่มันฟื้นขึ้นมาอีก เลยไม่ตาย แล้วมีรถปิ๊กอัพทะเบียนชลบุรีขับมาแล้วหยุดถามว่าจะไปกับผมไหม ตอนนั้นผมกำลังคิดว่าจะขึ้นต่อหรือจะลง เพราะว่าร่างกายไม่ไหวแล้ว สุดท้ายพอเขาถามเหมือนถูกสะกด ผมเลยพยักหน้า แล้วเขาก็พาผมนั่งปิ๊กอัพไปถึงยอดดอย จริงๆ แล้วที่ขึ้นไปยอดดอยไม่ได้ต้องการจะพิชิตอะไรเลย ต้องการเพียงจะทดสอบเท่านั้นเองว่า เราสามารถจะแบกภาระคือขันธ์ของเราขึ้นไปถึงดอยได้ไหม แต่ตอนลงสิครับมันมีอะไรที่มหัศจรรย์ เพราะไม่ต้องแบกน้ำหนักอะไรมาก ผมพบว่าดอยอินทนนท์นี้งดงาม ตอนขึ้นผมคิดแต่จะขึ้นให้ถึง แต่ตอนลงผมมีความรู้สึกว่ามันมีอะไรน่าดูเยอะเลย เดินช้าๆ เพียงแค่พยุงไม่ให้เดินเร็วเกินกว่ากำหนด
ตอนเดินลงผมคิดได้ว่า อ๋อ! ชีวิตเราช่วงขาลงเป็นเช่นนี้เอง ตอนขาขึ้นไม่ได้ดูความงดงามอะไรเลย มุ่งแต่ความสำเร็จ บรรจุแต่ความอยากจะไปให้ถึงเป้าหมาย ลืมไปเลยว่าข้างทางสองฝั่งมีสิ่งงดงามสารพัด ตอนช่วงขาลงผมพบกับสิ่งเหล่านี้และคิดว่าดีมาก เช่นหยุดดูทิวทัศน์ที่แสนกว้างไกล ผมเลยถึงบางอ้อว่า ชีวิตผมช่วงขาลงน่าจะเป็นเช่นนี้ น่าจะเป็นชีวิตช่วงที่เป็นไปอย่างช้าๆ แล้วใช้จิตใคร่ครวญสิ่งต่างๆ ที่เป็นความงดงามที่มนุษย์สามารถพบได้ ถ้าเราเพ่งพินิจพิจารณาเพียงพอ ผมเข้าใจว่าช่วงขณะนั้นผมเบิกบานมากในการที่จะได้เดินลง แล้วความรู้สึกเจ็บไข้ได้ป่วยตอนนั้นเริ่มปรากฏแล้ว ปวดหัวมาก แต่ก็เป็นอะไรที่ดี
ไม่รู้จะเป็นคำตอบหรือเปล่า คืออยากจะเรียนว่ามันมีเหตุปัจจัย ไม่ได้หมายความว่ามีวันนี้เพราะมันมีขึ้นมาเลย แต่มันมีเมื่อวันก่อนเป็นเหตุปัจจัยให้มีวันนี้ของผมครับ
อาจารย์สุมน:
ในแง่ความชื่นชม อาจารย์เอกวิทย์ได้พูดไปแล้ว ดิฉันขอยืนยันว่ามีความรู้สึกเช่นนั้นเหมือนกันที่ชื่นชมอาจารย์ประมวล
เพ็งจันทร์ มาก แต่คนที่ดิฉันชื่นชมมากกว่าคือภรรยาของอาจารย์ประมวล เพราะว่าการเดินทางของอาจารย์จะเกิดขึ้นไม่ได้
ถ้าภรรยาของอาจารย์ไม่มีจิตใจที่อยากให้อาจารย์มีความสุข ถึงแม้ว่าดิฉันจะแน่ใจว่าเธอไม่สุขร้อยเปอร์เซนต์
แต่จะต้องห่วงใยกังวล แต่เธอสามารถจะทำให้อาจารย์พ้นจากความห่วงใยนั้นได้ เพราะฉะนั้นดิฉันชื่นชมภรรยาของอาจารย์มาก
และคิดว่าอาจารย์คงจะไม่มีลูกใช่ไหมคะ เพราะว่าลูกคือห่วงอันสลัดได้ยาก ดังที่พระพุทธเจ้ามองพระราหุลประสูติก็ตรัสว่าห่วงเกิดขึ้นแล้ว
อาจารย์ไม่มีห่วงอันเหนียวหนึบอันนี้ จึงไปได้อย่างค่อนข้างจะปลอดโปร่ง ทีนี้อาจารย์ไม่ได้พูดว่าขากลับอาจารย์กลับอย่างไร
อาจารย์เดินกลับหรือว่านั่งเครื่องบินจากสมุยมา คงต้องขอถามว่ากลับอย่างไร ดิฉันเป็นคนชอบสงสัย
ครอบครัวของอาจารย์คงเป็นครอบครัวที่สุขสงบมาแต่เดิม คือไม่ได้ร้าวฉาน ไม่ได้ร้อนรุ่ม
ดังนั้นจึงเป็นพื้นฐานที่ดีที่อาจารย์คงไม่ต้องห่วงใยอะไรมาก ต้องชมภรรยามากเลยนะคะ
แล้วภรรยาอาจารย์เก็บไปรษณียบัตรที่อาจารย์ส่งไว้ทั้งหมดใช่ไหมคะ ดิฉันคิดว่าไปรษณียบัตรทั้งปึกทั้ง
๖๐ ใบ น่าจะมีคุณค่าอย่างยิ่ง คือจะเป็นข้อความที่ปิ๊งแวบขึ้นในวันสิ้นสุดการเดินทางแต่ละวันนั้น
คงไม่ต้องมาเรียบเรียงอะไรใหม่ซึ่งจะเป็นการปรุงแต่ง แต่จะเป็นข้อความเล่าเรื่องแท้ๆ
อารมณ์แท้ๆ ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ดิฉันเห็นว่าแค่พิมพ์ไปรษณียบัตรทั้ง ๖๐ ใบนี้
ก็น่าสนใจมาก เสียดายที่อาจารย์ไม่ใช้เทคโนโลยีใดๆ จึงไม่มีกล้องที่จะถ่ายสภาพของตัวเองให้เห็นว่าก่อนและหลังเป็นอย่างไร
แต่อย่างน้อยก็ปลอดจากเทคโนโลยีทั้งปวง
นอกจากจะถามว่าขากลับกลับอย่างไรแล้ว ข้อสองคือพฤติกรรมของภรรยาหลังจากที่อาจารย์กลับมาแล้ว เขาเล่าอะไรให้อาจารย์ฟังบ้างไหมว่า ตอนที่คุณไม่อยู่ฉันเป็นอย่างไร เพราะคิดถึงตัวเองว่าถ้าเป็นสามีเรากลับมา เราคงถามว่าเป็นอย่างไร แล้วทำไมเขาจึงมั่นใจว่าอาจารย์จะได้กลับมา เพราะประดุจจะลาจากแล้ว แต่ทำไมภรรยาจึงมั่นใจว่าจะต้องกลับมา ถามในแง่มุมของผู้หญิงทั้งนั้นนะคะ
ดิฉันคิดว่า ตัวละครที่เกิดขึ้นในแต่ละวันที่อาจารย์ไปพบ ไม่ว่าจะเป็นสุนัขขี้เรื้อน ขอทาน แม่ค้าขายข้าวแกง คนขับรถบรรทุก พระสงฆ์ คนขับรถกะบะ งู มด ไส้เดือน อะไรทั้งหลายเหล่านี้เป็นแบบทดสอบทั้งสิ้น คือจะคล้ายๆ กับมาสอบอารมณ์ของอาจารย์ตลอดเวลา ถ้าไปอย่างเราทั้งหลายจะไม่พบสิ่งเหล่านี้เลย แต่การก้าวเดินของอาจารย์เป็นไปอย่างธรรมชาติมาก จึงได้เจอแบบทดสอบดังกล่าว ซึ่งโดยทั่วไปถ้าเราบินปรื๊ดไปถึงสมุยเลย เราจะไม่พบอะไรเลย ดิฉันจึงย้อนกลับว่าอาจารย์บำเพ็ญบารมีประดุจจะออกมหาภิเนกษกรม ดิฉันคิดไปอย่างนั้นเลยว่าเป็นการบำเพ็ญบารมีที่ดีมาก และจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีศรัทธา ไม่มีความเชื่อมั่น ต้องขออนุโมทนา และขอขอบคุณที่เอาความสุขดีๆ อย่างนี้มาแบ่งปันให้พวกเรา ขอบพระคุณค่ะ
อาจารย์ประมวล:
ผมต้องบอกอาจารย์ก่อนว่า ภรรยาที่ดีและน่ารักนี้เขาเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ครับ
เขาจบครุศาสตร์บัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และพูดถึงอาจารย์อยู่เสมอว่าเป็นอาจารย์ที่เขาเคารพมาก
ผมอยากจะกราบเรียนว่า จริงๆ ผมรู้ครับว่าเงื่อนไขที่ผมพูดกับภรรยาผมนั้นมันกดดันเธอ
คือผมได้บอกว่าจะไม่ทำอะไรที่ทำให้ภรรยาเป็นทุกข์ ถ้ามีอะไรไม่สบายใจขอให้บอก
เพราะเราได้ตกลงกันตั้งแต่ก่อนแต่งงานกันแล้วว่า จะไปถึงเป้าหมายของชีวิตคู่ด้วยกัน
จะไม่มีใครไปถึงเป้าหมายถึงฟากฝั่งคนเดียว แล้วทิ้งอีกผู้หนึ่งไว้ข้างหลัง เพราะเราเป็นคู่ของชีวิต
ถ้าถึงก็ถึงด้วยกัน ถ้าไม่ถึงก็ไม่ถึงด้วยกัน เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมคิดก็จะเล่าให้เธอฟังเป็นระยะๆ
ว่าผมมีความรู้สึกว่าชีวิตคู่ที่ดีควรจะเป็นอย่างไร
ผมจะเล่าเสริมเรื่องหนึ่ง ที่ไม่น่าจะเป็นเรื่อง แต่มันเป็นเรื่องและเป็นเหตุที่ทำให้เราได้ตกลงใจได้เร็วขึ้น
คือก่อนหน้าที่ภรรยาผมจะอนุญาต เรามีวิถีชีวิตที่ปกติอย่างหนึ่ง คือเราจะออกจากมหาวิทยาลัยกลับบ้าน
ทางกลับบ้านจะผ่านศูนย์การค้า เราจะแวะทานอาหารที่ศูนย์อาหารและซื้อของด้วย ทีนี้ก่อนจะมาถึงวันที่เราตกลงกันได้ประมาณสักสิบวัน
ผมกับภรรยาไปไหว้พระที่ประเทศพม่า เลยไม่ได้ไปทานอาหารที่ศูนย์อาหารนั้น เมื่อเรามาสู่เชียงใหม่เป็นไปตามปกติแล้ว
ก็ไปทานอาหารที่นั่นเป็นมื้อแรก
ภรรยาผมพอทานเสร็จก็ไปซื้อสลัดผักมาทานที่บ้าน ขณะที่ภรรยากำลังเลือกผักมาใส่ถุง น้องผู้หญิงที่เป็นแม่ค้าขายสลัดถามขึ้นมา ทำให้ผมสะดุ้ง เขาถามว่าพี่ทั้งสองไปไหนมาตั้งสิบกว่าวัน ไม่มาทานอาหารที่นี่เลย ผมสะดุ้งเลยเพราะชีวิตเราเป็นเรื่องส่วนตัวของเรา เราจะไปจะมาทำไมแม่ค้าคนหนึ่งจะต้องมารู้ เพราะเราไม่ได้ไปแจ้งให้ใครทราบใช่ไหมครับ
ผมจึงถามเขาว่าแล้วน้องรู้ได้อย่างไร เขาตอบผมและภรรยาว่า น้องยืนดูพี่ทั้งสองทุกวัน ภาพของพี่ที่เดินจับมือกันเข้ามาและเดินจับมือกันออกไป เป็นภาพที่สวยงามมาก น้องรอดูทุกวัน เมื่อพี่ไม่มาน้องเลยนั่งนับว่ากี่วันมาแล้วที่พี่ไม่มา คำตอบของเขามันเป็นประกายสว่างขึ้นมาในใจผมและภรรยาเลย พอเราได้สลัดและจ่ายเงินเขา ๒๐ บาท วันนั้นคิดว่าถ้าให้แบงค์ร้อยไม่อยากได้ทอนด้วยซ้ำไป เพราะคำพูดเขาดีเหลือเกิน (เสียงหัวเราะ)
ผมจับมือภรรยาเดินมาถึงลานจอดรถแล้วบอกว่า นี่ไงสิ่งที่เรียกว่าความรักไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ไม่ใช่เรื่องของคนสองคน ถ้าความรักเป็นสิ่งที่ดีที่งดงาม มันเป็นเรื่องของสาธารณะ มันเป็นความงดงามของโลก ของทั้งหมดทั้งสิ้น ผมไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น แต่หลังจากนั้นเรามาคุยกันต่อว่าจริงๆ แล้วการที่เราแสดงความรักต่อกันในฐานะเป็นคู่สามีภรรยา ถ้าเราทำอะไรที่เป็นสิ่งดีงามได้ มันน่าจะเป็นอะไรที่งดงามให้กับผู้อื่นได้ด้วย
จากจุดนั้นภรรยาผมเริ่มจะคิดถึงความใฝ่ฝันของผมที่ต้องการใช้ชีวิตเพื่อแสวงหาหรือเรียนรู้อะไรบางสิ่งบางอย่าง และผมเชื่อว่าความรู้นี้จะไม่ใช่สมบัติส่วนตัวของผมหรือของใครคนใดคนหนึ่ง แต่มันเป็นสาธารณะ เพราะฉะนั้นความรู้ที่ได้ผมจึงไม่เคยคิดว่ามันเป็นประสบการณ์ส่วนตัว แต่เป็นประสบการณ์ของนักศึกษาทุกคนที่เขามีความห่วงใยผม ก่อนผมจะออกเดินทาง มีนักศึกษาเข้ามากอดผมเพื่อจะบอกว่าหนูจะไปกับอาจารย์ แม้กระทั่งเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยที่สนิทกัน บางคนถึงกับเข้ามากอดว่าขอชื่นชมในการตัดสินใจครั้งนี้
สิ่งเหล่านี้ทำให้รู้ว่า การกระทำของผมไม่ใช่เรื่องส่วนตัวที่จะมาคิดว่าเป็นความสำเร็จของผม เพราะฉะนั้นกับภรรยา เราได้เริ่มคุยและวันสุดท้ายที่ภรรยาบอกผม คือบอกว่ากำหนดฤกษ์ดีได้แล้ว ผมยังล้อเล่นว่าไปหาพระมาหรืออย่างไร เธอบอกว่าไม่หรอก ถ้าจะเกิดใหม่ก็เกิดวันเดิมสิ เลยเลือกเกิดวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๔๘ เราเลยคิดว่าวันนั้นคือวันเริ่มต้น
คำถามของอาจารย์ที่ว่าอยู่ข้างหลังเป็นอย่างไร ผมรู้นะครับว่าสังคมส่วนใหญ่จะมีคำถามว่ามันเกิดอะไรขึ้นในครอบครัวนี้ หรือภาพที่แสดงออกว่าเป็นสามีภรรยาที่รักใคร่กันเหลือเกินเป็นเพียงแค่ภาพแสดง ไม่อย่างนั้นแล้วสามีคงไม่ออกไปนอกบ้าน เดินไปเหมือนประชดชีวิต มันต้องมีอะไร และผมก็รู้ว่าภรรยาต้องเผชิญกับคำถามนี้อีกมากมายจากหลายๆ คนที่ไม่ได้สนิทกันจริงจัง เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นคือ เมื่อผมกลับมา ผมพยายามทำอย่างหนึ่งเพื่อจะยืนยันว่า สิ่งที่เราทำไปไม่ใช่อย่างที่เขาคิด และอีกสักครู่จะตอบคำถามว่าทำไมถึงกลับอย่างนี้
คือช่วงที่ผมเดินไปได้สักสองสัปดาห์ น้าสาวซึ่งเป็นผู้เลี้ยงดูผมมาแต่เด็กๆ เพราะคุณพ่อคุณแม่ผมเสียชีวิตไปแล้ว โทรศัพท์ไปที่บ้านที่เชียงใหม่ และพยายามจะคุยกับผม ตอนนั้นเราตกลงกันแล้วว่าจะไม่แจ้งข่าวการกระทำของผมให้ทางญาติทราบ ไม่เช่นนั้นเขาจะกังวลและเป็นห่วง เพราะเขาไม่สามารถคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดได้ เราสองคนเท่านั้นที่รู้ว่าชีวิตนี้เราสละได้ ถ้าผมเป็นอะไรไประหว่างทาง ภรรยาผมมีความทุกข์แน่ แต่คงมีความภูมิใจที่เราได้ทดลองทำอะไรที่อยากทำ ไม่ใช่เป็นอุบัติเหตุตาย
พอน้าทราบว่าผมไม่ได้อยู่บ้าน ภรรยาพยายามอธิบายว่าไม่ได้มีปัญหาทางชีวิตครอบครัว ไม่ได้มีสิ่งไม่ดีไม่งาม แต่น้าไม่เชื่อเสียแล้ว เมื่อผมกลับไปถึงบ้านเกิด ภาพแรกที่ผมเจอคือน้ามีคำถามมากมายหลายประการ และผมเพิ่งรู้เดี๋ยวนั้นเองว่าน้าอายุ ๘๐ กว่าปีแล้ว แต่มีความทรงจำที่แม่นยำมาก น้าบอกว่ายังจำคำพูดที่ผมพูดในวันแต่งงานได้ อย่างที่บอกไปว่านับแต่นี้ไปชีวิตเราเป็นชีวิตคู่ เป้าหมายเราเป็นหนึ่งเดียวกัน เราจะไม่แยกกันเพื่อไปถึงเป้าหมายของใครก่อนใคร ถ้าเราดีเราจะดีด้วยกัน ถ้าเราชั่วเราจะชั่วด้วยกัน ถ้าเราสุขเราจะสุขด้วยกัน จะไม่มีว่าคนหนึ่งสุขคนหนึ่งทุกข์ คำพูดนี้ถูกน้านำกลับมาย้อนรอยผมว่า ที่พูดไว้หรือจะไม่เป็นจริงเสียแล้ว
ผมต้องอธิบายให้น้าเข้าใจว่าสิ่งที่พูดไว้ยังเป็นจริงทุกประการ ที่ทำไปทั้งหมดทั้งสิ้นก็เพื่อยืนยันสิ่งเหล่านี้ และคำพูดที่น้าบอกกับผมหลังจากคุยกันจนเข้าใจแล้ว แกบอกว่าช่วงตั้งแต่โทรศัพท์ไปจนกระทั่งถึงวันนี้ผ่านมาเดือนกว่าๆ น้านอนไม่หลับ กินข้าวไม่ได้เลย รีบกลับเถอะ รีบกลับไปหาภรรยาที่เขาคงเป็นห่วงและเป็นทุกข์มากกว่าที่น้าเป็นอยู่ไม่รู้สักกี่ร้อยกี่พันเท่า นี่ภาษาของน้าผมนะครับ น้าผมรีบกุลีกุจอไปซื้อตั๋วรถทัวร์ให้ผมกลับเลย ไม่ใช่ไล่ แกบอกอย่างนั้น แต่รู้ว่าภรรยาที่บ้านเป็นห่วงอยากจะพบผมเป็นที่สุด ขากลับจึงกลับโดยรถทัวร์ และการกลับรถทัวร์ทำให้ผมได้รู้ว่าชีวิตที่เร็วและชีวิตที่ช้า มีความหมายที่แตกต่างกันมากมายมหาศาล
ช่วงนั่งรถทัวร์ ผมพยายามจะรำลึกถึงเส้นทางที่เคยเดินผ่าน เส้นทางที่เคยประสบความอ่อนล้า อ่อนระโหย แต่ว่ารถทัวร์มันวิ่งเร็วมาก แม้ตอนผมนั่ง พยายามจะเพ่งมองจุดที่เคยยืนอยู่ตรงสี่แยกสลกบาตร ที่ผมยืนผจญกับตัวเองอยู่ รถทัวร์วิ่งวูบเดียวมองไม่ทันเลย ผมจึงรู้สึกว่าที่เราไม่สามารถหยั่งเห็นอะไรบางสิ่งบางอย่างในจิตใจเราได้ เป็นเพราะเรามีชีวิตที่เร็วและรีบจนเกินไป ผมนึกถึงเวลาเขาเอาภาพแก็งค์ฉกทองในร้านทอง คนขายทองไม่รู้เลยว่าทองหายจนตอนเย็นไปตรวจ และรู้ว่าใครขโมยไปต่อเมื่อมาดูภาพช้า เลยรู้ว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่งเอาทองไป ทำทีเป็นเข้ามาดูทองเส้นนั้น ชอบเส้นนี้ พอแม่ค้าเผลอเลยเอาทองไป
ผมเพิ่งมารู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก อะไรดีอะไรงามเมื่อสโลว์ และเมื่อสโลว์จึงรู้ว่าอกุศลธรรมที่อยู่ในใจเรามางอกงามอยู่ได้อย่างไร และเราจะละมันได้อย่างไร ถ้าเราต้องการให้กุศลธรรมงอกงามต้องทำอย่างไร ผมพบว่าทฤษฎีที่ผมเคยอ่านโดยใช้ความคิด โดยใช้เหตุผล มันหยาบมาก หยาบจนกระทั่งไม่อาจจับภาพเหล่านี้ได้เลย สุดท้ายแล้วจิตที่ถูกทำให้ช้า จึงจะทำให้เห็นอะไรที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปได้อย่างถ่องแท้
บางช่วงผมนั่งพิจารณาว่าผมเดินทางเข้าใกล้เป้าหมายที่ตั้งไว้หรือยัง เช่นผมจะไม่เกลียดคนอื่น บางครั้งคิดไปคิดมาผมถึงกับต้องน้ำตาไหลด้วยความรู้สึกโศกสลด ทำไมผมเกลียดคนนั้นมานาน นานเหลือเกิน นานมากเลยกับคนบางคน ทำไมความเกลียดในใจเรามันนานเหลือเกิน เราน่าจะเก็บสิ่งดีๆ งามๆ ไว้ในใจ แต่เราเก็บแต่สิ่งที่ชั่วช้าไว้นานมาก ผมรู้สึกในใจว่าถ้าวันนั้นผมกลับไปหาคนนั้น ผมจะสารภาพว่าคุณเป็นคนดีมากเลย คุณเป็นคนน่ารักที่สุด เพราะคุณถึงทำให้ผมทำอย่างนี้ได้ นี่พูดถึงเพื่อนร่วมงานนะครับ (เสียงหัวเราะ) ผมไม่รู้จะบอกว่าอย่างไร ผมคงตอบคำถามของอาจารย์แล้วนะครับ ขอให้อาจารย์ภูมิใจว่าอาจารย์สอนลูกศิษย์ได้ดีมาก ทำให้ผมมีภรรยาที่ดีครับ
นายแพทย์อุดมศิลป์: ผมเพิ่งมาทีหลังและไม่ได้มาบ่อยด้วย
แต่โชคดีที่วันนี้ได้มา ถึงแม้จะไม่ได้ฟังตอนต้น ปกติผมมานั่งฟังที่นี่จะไม่เคยจด
แต่วันนี้ถ้าไม่จดจะเสียดายมาก ขออนุญาตไว้ตรงนี้เลยเพราะไหนๆ อาจารย์บอกแล้วว่าความรู้ทั้งหลายเป็นสาธารณะ
ตรงกับที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ความรู้สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้เป็นสาธารณโภคี
ไม่ต้องจดสิทธิบัตรได้ ผมคงต้องระลึกถึงอาจารย์ประมวลไปนานแน่ อย่างน้อยเวลาอาจารย์น้ำตาคลอทีไร
ผมคลอตามทุกที
หนึ่งคือไหนๆ อาจารย์บอกแล้วว่าความรู้ทั้งหมดนี้เป็นสาธารณะ ไม่ทราบว่าอาจารย์ตั้งใจเขียนหรือเปล่า
ผมคงต้องขอร้องให้เขียน รวมถึงไปรษณียบัตรทั้งหมดด้วย เพราะเห็นชัดเลยครับว่าภาษาอาจารย์ดีมากเลย
อาจารย์ถ่ายทอดได้เยี่ยมยุทธ์มาก จริงอยู่ถ้าเป็นภาษาเขียนจะไม่สามารถสัมผัสตาอย่างนี้ได้
แต่มันจะเป็นประโยชน์มาก เพราะนี่คือของจริง เราจะอ่านหนังสือธรรมที่เปรียญ ๙
แต่งออกมาก็เป็นแค่ข้อมูลความรู้ แต่อาจารย์ลงมือทดลองด้วยตัวเอง เหมือนพระพุทธเจ้าออกเสด็จพระราชดำเนินด้วยตัวเอง
และการที่อาจารย์เอกวิทย์ว่า มันเป็นการเดินแสวงหาทางจิตวิญญาณ แม้อาจารย์จะเดินทางไกลมาก จากเชียงใหม่ไปสมุย แต่เป็นการเดินทางเข้าไปในตัวเองจริงๆ แล้วตั้งแต่ในอดีตไม่ว่าจะพระพุทธเจ้า, คานธี, เหมาเจ๋อตุง, เช กูวารา, คนที่พบสัจธรรมชีวิตจริงๆ ล้วนแล้วแต่เดินทาง ตรงกับที่อาจารย์ประเวศพูดคือ เราเกิดมาในปัจจุบันถูกล้อมกรอบความคิด ถูกตีกรอบเยอะมาก ตัวอย่างกรอบที่ชัดเจนคือคุณน้าของอาจารย์เอง
ผมคิดว่าน้าสาวของอาจารย์มีกรอบความคิดว่าสามีภรรยาที่รักกันมากขนาดนี้ ถ้าออกไปจากบ้านแสดงว่าต้องมีอะไร นี่คือวิธีคิดที่เราถูกสังคมตีกรอบ การเดินทางออกนอกกรอบ ออกไปจากสิ่งที่เราจำเจ มีเวลาที่จะย่อย ถ้าขี่เครื่องบินคงไม่เห็น นั่งรถทัวร์ก็ไม่เห็น เพราะอย่างนั้นต้องช้าแล้วเดิน ต้องให้เวลาตัวเองมากๆ มันคล้ายๆ กับเดินจงกรมตลอดระยะทางเป็นพันกิโลเมตร
ผมเคยมีประสบการณ์เล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ เพราะว่าเคยพยายาม แต่มันเป็นแค่การทำการตลาดของศิริราช ตอนนั้นจะพานักเรียนแพทย์วิ่งจากเชียงใหม่ลงมากรุงเทพฯ เพื่อจะโปรโมทเรื่องวิ่งลอยฟ้าเฉลิมพระเกียรติล่วงหน้าหนึ่งปี ผมวิ่งทางไกลเยอะ สมัยก่อนที่ฟิตมากๆ วิ่งทางไกลกรุงเทพฯ ไปจันทบุรี ไปหัวหิน เราทำกันแทบจะอาทิตย์เว้นอาทิตย์ วิ่งช้าๆ และเป็นอย่างที่อาจารย์ว่า กายจะทรมาน แต่ใจอิสระจริงๆ ทั้งหมดอยู่กับขาเราสองข้าง อยู่กับตัวเราเองจริงๆ แล้วตลอดทางธรรมะจะจัดสรรให้มีนิมิตต่างๆ เกิดขึ้น ให้เราได้เรียนรู้สัจธรรมความจริงแท้ของชีวิต จนระยะหลัง พวกยัปปี้ทั้งหลายในอเมริกาก็ไปปลีกวิเวก ที่ทำให้พวกเขาไปค้นพบอีกมากมาย
การเดินทางของอาจารย์จึงเป็นการเดินออกนอกกรอบความคิดเดิม แล้วมีสัญลักษณ์ที่อาจารย์เจอเยอะแยะ ไม่ว่าจะเป็นสุนัขขี้เรื้อน ว่าเรารู้สึกมีชีวิตมีความอบอุ่นให้แก่สุนัขได้ งูเป็นสัญลักษณ์ที่อาจารย์เกลียดกลัวนักหนา แต่อาจารย์เมตตามัน หรือแม้แต่ภรรยาที่ชอบไปทานอาหารไกลๆ ทั้งหมดเป็นสัญลักษณ์ที่ทำให้เราขยายกรอบความคิดเรา ทำให้เห็นทั้งตัวตนเราเองและเห็นสรรพสิ่งรอบตัวชัดเจนขึ้น สุดท้ายคือเห็นวงจรชีวิตว่าสรรพสิ่งทั้งหลายมันแค่นี้แหละ
ต้องขอบคุณอาจารย์ และอยากให้อาจารย์รีบเขียนเร็วๆ และขออนุญาตตรงนี้เลยนะครับว่า ผมขอเอาบางส่วนของเรื่องอาจารย์ไปออกอากาศให้ผู้ฟังด้วย คนฟังชอบแบบนี้มาก โดยเฉพาะเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงที่มีแต่ทฤษฎี มีแต่ความคิด แต่คนมองไม่เห็นของจริง อาจารย์มีการทดลองด้วยตัวเองเหมือนกับมหาบุรุษหลายๆ คน แล้วประสบการณ์จริง เรียนรู้จริง คนจะฟังเข้าใจและประทับใจง่าย
บรรดาตัวอย่างที่อาจารย์พูดนั้นผมจดไว้หมด รับรองว่าคนฟังวิทยุจะต้องอ๋อทันที ว่านี่คือชีวิตที่พอเพียงจริงๆ ผมชอบคำที่อาจารย์ใช้มากๆ ว่าอาจารย์พยายามจะก้าวพ้นจากตัวตนเดิมจริงๆ จากกิเลสตัณหา เป็นสิ่งที่คนปัจจุบันจริงๆ ไม่เข้าใจ ถ้าเราสามารถจะขยายวงกรอบนี้ไปได้ ผมเชื่อว่าอาจารย์จะมีคุณูปการกับสังคมไทยและสังคมโลกมาก ขอบคุณอาจารย์อีกครั้งครับ
อาจารย์จุมพล: ผมขอถามสั้นๆ เท่านั้นว่า เคยคิดหรือมีโอกาสที่จะชวนภรรยาออกเดินทางแบบนี้ไหมครับ
อาจารย์ประมวล:
ไม่ได้คิดครับ แต่ว่าช่วงที่ภรรยาต้องการจะไปเที่ยว ผมก็ขับรถย้อนรอยกลับไปแล้วพบปะผู้คนเหล่านั้น
คือผมมีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่า ตอนที่เดินผ่านไป ผมพบว่าผมพยายามจะกำจัดความกลัวจากใจผม
แต่เหมือนกับเอาความกลัวไปใส่ไว้ในใจเขา เพราะเขามีความวิตกกังวลว่าคนแก่ๆ คนหนึ่งที่เดินผ่านเขามาเป็นใคร
น่ากลัว แล้วเป็นอันตรายหรือเปล่า คือในสังคมไทยเนื้อในมีเมตตาธรรม แต่ความหวาดระแวงกังวลทำให้เขาไม่กล้าแสดงออก
ผมเลยถือว่าเอาอย่างนี้ไหม เราขับรถไปขอบคุณเขาด้วย เฉพาะบางจุดที่ขับรถได้ พอเรากลับไปและมีภรรยาไปด้วย
บางคนสารภาพเลยว่าวันนั้นกลัวมากที่ผมเดินผ่านมา แต่สงสาร เพราะเห็นเป็นคนแก่
มีแม่ค้าขายกล้วยปิ้งให้กล้วยปิ้งผมสามลูก ให้เหมือนกับว่าเอากล้วยปิ้งแล้วไปๆ
เถอะ วันที่ผมกลับไป ผมบอกว่าพี่รู้ไหมว่ากล้วยปิ้งสามลูกนั้นทำให้ผมมีชีวิตกลับมาหาพี่ได้อีก
วันนั้นผมไม่ได้กินอะไรเลย ผมกินกล้วยปิ้งของพี่หนึ่งลูก แล้วตอนเย็นผมกินไปอีกหนึ่งลูก
ตอนเช้าผมกินอีกลูก สามลูกได้สามมื้อประมาณนั้น แกบอกว่าตอนนั้นถ้าไม่กลัวไม่อะไร
ความจริงน่าจะถามมากกว่านี้ ข้าวก็มี แต่ทำไมไม่ถาม แล้วแกบอกว่าเพื่อนบ้านยังมาตำหนิอีกว่าเป็นคนแปลกหน้า
ไปช่วยเขา เขาอาจจะหนีตำรวจหนีอะไรมา จะถูกหาว่าช่วยคนผิดคนชั่วอะไรอย่างนี้
แต่แกบอกว่าเขาน่าสงสาร ผมจึงได้พบว่าการกลับไปพบอีกครั้ง ทำให้เขาดีขึ้นและรู้สึกภาคภูมิใจในสิ่งที่เขาทำไป
แต่สิ่งหนึ่งที่ภรรยาผมพบคือ ทุกวันที่เราขับรถไป เพียงแค่นั่งอยู่บนรถ มีแอร์ ยังรู้สึกเหน็ดเหนื่อย ยุ่งยาก ทรมาน เขาบอกว่าสมแล้วที่ให้ผมมาคนเดียวและให้เขารอฟังผลอยู่ที่บ้าน (เสียงหัวเราะ) ผมไม่ได้หมายความว่าเธอไม่ต้องการจะลำบากนะครับ แต่ผมเข้าใจว่าเธอเห็นถึงความหมายที่ยิ่งใหญ่ เพราะว่าทุกๆ ครั้งที่เราคุยอะไรกัน ผมไม่เคยบอกว่าสิ่งนั้นเป็นเรื่องของผม แต่จะบอกว่าเป็นเรื่องของเรา และเราพยายามจะแบ่งปันอารมณ์ความรู้สึกด้วยกัน
แม้กระทั่งช่วงที่ผมเดินไปถึงอำเภอประทิว จังหวัดชุมพร ผมเดินผ่านร้านอาหารร้านหนึ่งริมทะเล เขาเชิญผมหยุดพักและบอกว่าจะทำอาหารให้ผม ผมบอกว่าทานมาแล้วและไม่รู้สึกหิว มื้อเดียวเพียงพอสำหรับผมแล้ว แต่เขาพยายามเสนอ สุดท้ายชงโอวัลตินให้ผมแล้วนั่งคุยกัน เขาเป็นคนสนใจ ผมจึงเล่าให้เขาฟังว่าผมเดินทำไม เพื่ออะไร ผมจำได้ว่าพอกลับมาถึงบ้าน พบว่าเขาได้โทรศัพท์กลับมาถึงภรรยาผมและเล่าว่าพบผม แล้วคำพูดหนึ่งที่ยืนยันกับภรรยาผม เขาบอกว่าเขาพบผู้ชายที่แม้ร่างกายจะทรุดโทรม แต่ผู้ชายคนนี้มีความสุขมาก เขาไม่เคยพบใครที่หน้าตาผ่องใสและมีความสุขมากขนาดนี้
และเมื่อผมกลับไปพบเขาอีกที ทั้งภรรยาผมและคุณคนนี้ชื่ออุทิศ เขาคุยกัน สิ่งที่เขาถามเป็นไปตามประสาผู้หญิงเหมือนที่อาจารย์ถาม ทำให้ทราบว่าภรรยาผมเป็นห่วงมาก เพราะฉะนั้นตอนที่คุณอุทิศโทรไป ข้อความที่ว่าเจอผู้ชายที่มีความสุขมาก ภรรยาผมจึงเขียนไว้ยืนยันเพื่อให้สบายใจ แต่สิ่งหนึ่งที่คุณอุทิศกับภรรยาผมคุยกันและผมได้ฟังด้วยคือ มันเป็นอารมณ์ความรู้สึกที่เป็นห่วง คุณอุทิศเป็นห่วงผม แกบอกว่าคืนนั้นแกหลับไปแล้วตื่นขึ้นมาตีสี่เพื่อทำอาหาร เพราะตอนที่ผมเจอแกเป็นเวลาสักสี่โมงเย็น แล้วผมบอกว่าจะเดินไปอีกประมาณชั่วโมงหรือสองชั่วโมง ข้างหน้านี้มีวัดไหม แกบอกว่ามีวัดบ่ออิฐ ไปที่นั่นเถอะพักได้ ผมก็ไปพักที่วัดนั้น แกตื่นตีสี่ทำอาหารเพื่อมาให้ผมที่วัด เพราะวันที่ผ่านมาแกไม่ได้ให้อาหารผม แต่ว่าผมออกจากวัดไปแล้ว แกเลยเอาอาหารเหล่านั้นไปให้พ่อของสามี พอให้พ่อสามีแล้วก็มีความรู้สึกว่า ถึงแม้จะไม่ได้อาหารผมก็ได้ให้พ่อสามีซึ่งเป็นผู้ชายแก่ๆ คนหนึ่งเหมือนกัน
ความรู้สึกของคุณอุทิศที่คุยกับภรรยาผม ผมเข้าใจครับว่ามันเป็นความรู้สึกเป็นห่วง แต่ในท่ามกลางความเป็นห่วงนั้น ทำให้ได้เกิดการเรียนรู้อะไรบางสิ่งบางอย่างในการมีชีวิตอยู่ ผมบอกภรรยาผมว่า แท้จริงแล้วการเป็นห่วงที่จะพลัดพรากจากกันมันเป็นสิ่งปกติ วันหนึ่งเราต้องพลัดพรากจากกัน ไม่รู้ใครจะตายก่อนตายหลัง ที่สำคัญคือช่วงขณะที่มีชีวิตอยู่ เราต้องใช้ความรู้สึกเป็นห่วงนี้ให้มีพลังพอที่จะไม่ก่อให้เกิดความสูญเสียความรู้สึกผ่องใสเบิกบาน อย่าให้มีความหวาดระแวง อย่าให้มีความกังวล อย่าให้มีอะไรเป็นตัวแทรก เพราะชีวิตที่เรามีอยู่แม้จะยาวจะสั้นไม่สำคัญ สำคัญว่าทุกขณะที่เรามีชีวิตอยู่ร่วมกันควรจะเป็นชีวิตที่ผ่องใสเบิกบานให้แก่กันและกัน และผมคิดว่าผมจะพยายามทำให้เต็มที่ สิ่งเหล่านี้ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี แต่เป็นการพยายามจะยืนยันสิ่งที่เป็นผลจากการเรียนรู้ครั้งนี้ครับ
อาจารย์เอกวิทย์:
ด้วยความเกรงใจเรื่องเวลานะครับ คิดว่าวันนี้เราได้อะไรดีๆ จากอาจารย์ประมวลมากมาย
แต่สิ่งที่เห็นภาพชัดมากในใจผม ทั้งมีทุนเดิมที่จะคิดอย่างนั้นอยู่แล้ว คือในเมืองไทยและในโลกนี้ยังมีสิ่งที่ดีงามอีกมากนักที่เราละเลยไม่ได้สัมผัส
แต่อาจารย์ได้ให้สติแก่เราว่า ถ้าตั้งหลักดีๆ ใจเย็นๆ มองทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความสุขุมรอบคอบและอยู่กับปัจจจุบันขณะ
เราจะพบสิ่งที่ดีงามที่จะทำให้มีกำลังใจที่จะสู้ต่อไป อยู่ต่อไปทำอะไรที่ดีตามมาอีกมากมายนัก
เพราะว่าฟังข่าวมากๆ อ่านหนังสือพิมพ์ ดูทีวี ดูซีเอ็นเอ็น บีบีซี มันแย่หมดครับ
เป็นมายาชนิดหนึ่ง เพราะฉะนั้นประสบการณ์ที่อาจารย์มาถ่ายทอดให้เราฟัง ทำให้เกิดความรู้
ความคิด และเกิดสติว่าสิ่งที่ดีๆ ยังมีอีกมากเหลือเกินถ้าเราสัมผัสได้
ผมอยากเรียนถามอาจารย์ จะตอบสั้นๆ หรือไม่ตอบก็ได้ คือเราได้ดูโลกลึกๆ ในทางจิตมามากแล้ว
อยากเรียนถามอาจารย์ในฐานะที่รู้จักอินเดียพอสมควรว่า อินเดียขณะนี้ผมคิดว่าสุดโต่งสองทาง
คือสุดโต่งทางเศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ขึ้นมาเป็นมหาอำนาจได้อันดับหนึ่งเหมือนกัน
และมีคนที่ตามอีกเป็นร้อยล้าน อีกสุดโต่งหนึ่งคือเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ ทางการชำระจิตใจให้หมดจด
ยังมีอยู่ ผมคิดว่าบ้านเมืองที่มีอารยธรรมพื้นฐานดีอย่างอินเดียไม่น่าจะถึงสุดโต่งได้อย่างนี้
อาจารย์มองวิเคราะห์อย่างไร แล้วอนาคตจะเป็นอย่างไร
อาจารย์ประมวล:
เมื่อกลับไปอินเดียทุกครั้ง ผมรู้สึกเหมือนผมเป็นชาวอินเดีย และผมจะมีความรู้สึกเจ็บปวดรู้สึกสงสารเสียใจมากทุกครั้ง
คืออินเดียมีคนจนที่ไม่รู้กระทั่งว่า ตัวเองจะได้กินอะไรในมื้อต่อไปประมาณ ๓๐๐
กว่าล้านคน ถ้าอาจารย์เคยไปอินเดีย จะเห็นว่า เวลาสักหก-เจ็ดโมงเช้า เทศบาลนครกัลกัตตาจะเปิดน้ำสาธารณะให้เขาอาบหนึ่งครั้ง
เขาอาบน้ำชนิดที่เรียกว่าเอาหัวไปจ่อกับสายน้ำชนกันไปกันมาเหมือนนกเวลาไปจิกกินอะไร
หรือถ้าเราไปบอมเบย์หรือเมืองใหญ่ๆ ริมถนนจะมีคนนอนอยู่เต็มไปหมด ถ้าเป็นไปได้ผมจะไปอินเดียประมาณปีละครั้ง
เพื่อจะยืนยันว่านี่คือชีวิตมนุษย์ และชีวิตมนุษย์เหล่านี้ช่วยชำระจิตใจผมให้ดีงามขึ้นมาได้
แต่ในขณะเดียวกัน มีอินเดียที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานอยากจะเป็นมหาอำนาจโลก
อยากจะเป็นประเทศมั่งคั่งร่ำรวย สิ่งเหล่านี้ผสมผสานอยู่ในอินเดียและทำให้เรารู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ทำให้อินเดียขัดแย้งกันอยู่พอสมควร
แต่ผมเชื่อว่าจริงๆ แล้วลึกๆ อินเดียยังมีผู้นำทางด้านจิตใจ และผู้นำทางด้านจิตใจยังมีพลังพอช่วยฉุดช่วยดึง
ถ้าไม่มีพลังช่วยฉุดช่วยดึงนี้ อินเดียคงไปไกลกว่านี้
สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าอินเดียน่าเห็นใจ คือเขาตกอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ต้องถูกกระทำจากอารยธรรมโลกข้างนอกมาเป็นเวลานาน คนอินเดียสูญเสียความเชื่อมั่นในศักยภาพและความดีงามของตัวเอง ถ้าเราไปชนบทที่อินเดียจะรู้ว่าคนอินเดียน่าสงสารมาก เขารู้สึกสูญเสียความเชื่อมั่นในความเป็นอินเดียที่ดีๆ
เมื่อไม่กี่วันมานี้ ผมยังกลับไปคุยกับท่านกงสุลอินเดียประจำเชียงใหม่ บอกว่าผมรู้สึกเสียดายมากที่เรารู้จักอินเดียน้อย ที่สำคัญคือเส้นทางในการรู้จักอินเดียมันไกลมาก ต้องอ้อมไปอเมริกา ไปยุโรปก่อน แล้วค่อยวกกลับมาอินเดีย เราไม่มีถนนหรือสะพานตรงไปสู่อินเดียเลย คือแกมาอยู่เมืองไทยแล้วประทับใจเมืองไทย ผมบอกไปว่าอยู่อินเดียก็ประทับใจอินเดีย ทำไมเราไม่เอาความประทับใจทั้งสองส่วนนี้มาแปะต่อกันให้ได้
เพราะฉะนั้นคำถามอาจารย์เอกวิทย์ผมคงตอบยาก แต่ผมยังมีความเชื่อลึกๆ ว่าอินเดียแม้ว่าจะมีคนเป็นจำนวนหลายร้อยล้านหันไปสู่การแสวงหาโภคทรัพย์ แสวงหาสิ่งที่เป็นวัตถุมากกว่าจิตใจ แต่มีคนเป็นจำนวนเป็นร้อยล้านเหมือนกันที่แสวงหาสิ่งที่เป็นนามธรรมในจิตใจ ผมเชื่อว่าด้วยอะไรบางสิ่งบางอย่างที่มีอยู่ คงมีพลังมากพอที่จะทำให้อินเดียคงทนอยู่ได้ในท่ามกลางสภาพแวดล้อมเช่นนั้น เป็นข้อสันนิษฐานของผมครับ
นายแพทย์ประเวศ:
ได้ฟังอาจารย์ประมวลแล้วไม่แปลกใจว่าทำไมพระพุทธเจ้าจึงบรรลุธรรม ท่านทิ้งปราสาทราชวังทั้งหมด
เหลือแต่ตัว และออกเดินทางไปตั้ง ๖ ปี เงินไม่มี อะไรก็ไม่มี ท่านไปสัมผัสของจริงจึงบรรลุธรรมได้
๖ ปีคงเดินทางไกลกว่าเกาะสมุย
พวกเราที่ประชุมกันอยู่ ณ ที่แห่งนี้ เรียกว่า"จิตวิวัฒน์" เรามีความเชื่อร่วมกันว่าโลกนี้ไปไม่ได้ด้วยเรื่องภายนอก
เพราะทำกันไปจนเต็มที่แล้วยิ่งยุ่งมากขึ้น วิกฤตมากขึ้น คงต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงภายในที่เราเรียกว่าจิตวิวัฒน์
พวกเราหลายคนในที่นี้มีความทะเยอทะยานที่จะพัฒนาหลักสูตร เรียกว่าจิตตปัญญาศึกษา
ไม่ทราบจะเรียกว่าอะไร แต่เป็นเรื่องโลกภายในเกี่ยวกับการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง
ที่ว่าทะเยอทะยานเพราะคิดว่าจะช่วยกันทำตรงนี้ให้ดีที่สุด คนที่เป็นครูก็เรียนรู้ด้วย
ฝึกตัวเองด้วย และต่อไปจะรับนักเรียน อาจจะปริญญาโท ปริญญาเอก หรือไม่มีปริญญา
มีหลายแบบ ฝึกคนขึ้นมาให้เกิดมวลวิกฤตแล้วขยายตัวออกไป คิดว่าต่อไปการศึกษาทุกประเภทต้องมีการศึกษาด้านในให้เกิดขึ้นทั่วประเทศ
ในขั้นแรกวันพรุ่งนี้ คนที่จะมาร่วมเป็นครู ๓๐ คน จะเรียนรู้ฝึกตัวเองก่อน โดยใช้เวลาเกือบปีจากนี้ไป
และจะเปิดหลักสูตรนี้ตามมา
สิ่งที่จะอาราธนาคือ อาราธนาอาจารย์มาสอนในหลักสูตรนี้เป็นครั้งคราว (หัวเราะ) ถ้าเป็นไปได้ เพราะว่าหลักสูตรส่วนหนึ่ง จะมีเรื่องของการภาวนาไปอยู่กับธรรมชาติ ไปอยู่กับตัวเอง ไม่ได้กำหนดว่านานเท่าไหร่ น่าจะเป็นส่วนสำคัญและมีหลายรูปแบบ อยู่ในป่า อยู่คนเดียว หรือไปแบบอาจารย์ เพราะเราจะเรียนเป็นวิชาสักเท่าไหร่คงเข้าใจได้ยาก ต้องเป็นประสบการณ์ตรง และถ้าไม่ระวังเราจะเอาวิชาการเป็นตัวตั้ง เพราะเราโตมาทุกวันนี้โดยเอาวิชาเป็นตัวตั้งเสมอ บางทีเราไม่เข้าใจจะนำไปสู่ความขัดแย้ง
ผมมีประสบการณ์ ลูกผมทะเลาะกับยาย และต่างคนต่างว่าไม่มีเหตุผล ผมมาดูว่าเหตุผลของคนแก่อายุ ๘๐ กับคนหนุ่มคงจะเป็นคนละเหตุผล ผมเลยบอกเขาว่าเราไม่ได้เอาเหตุผลเป็นตัวตั้งนะ แต่เอาการที่อยู่ร่วมกันเป็นตัวตั้งต่างหาก เขาเลยเปลี่ยนไป ถ้าเอาเหตุผลเป็นตัวตั้งจะไม่หยุดทะเลาะกัน แต่เราจะคุ้นเคยกับการเรียนที่เอาเหตุผลเป็นตัวตั้งทุกเรื่องไป
ผมมีเรื่องเล็กๆ เมื่อไม่นานมานี้เอง ผมนั่งเครื่องบิน แอร์โฮสเตสจะมาย้ายผมจากชั้นประหยัดไปชั้นธุรกิจ เถียงกันอยู่นั่นแหละ เขามีเหตุผลว่าทำไมผมควรย้าย ผมเถียงว่าทำไมไม่ควรย้าย ผมบอกว่าผมเป็นคนชั้นต่ำ แต่พอเขาพูดว่าคุณหมออย่าขัดใจหนูเลย (เสียงหัวเราะ) ผมเลยไป ผมรู้ว่าเขาเปลี่ยนวิธีการแล้ว เขาใช้ใจไม่ใช้เหตุผลแล้ว อันนี้เป็นหลักอย่างหนึ่ง ถ้ามีคนชวนไปทำไม่ดี ชวนไปกินเหล้าไปสูบบุหรี่ ถ้าเราไปสู้ด้วยเหตุผล ไม่มีทางชนะ ถ้าเราไปต่อสู้ว่าไม่ดีอย่างไร เขาจะอธิบายกลับมาว่ามันดีอย่างไร ต้องใช้วิธีอื่น เช่นแม่บอกไม่ให้ไป ไม่มีเหตุผล แต่ใช้ใจ หรือเราไปดูฉือจี้จะเห็นชัด เขาเอาใจนำ แต่ความเป็นวิทยาศาสตร์เขาก็มี แต่เป็นเรื่องที่ตามมาเพื่อรับใช้ใจ อาราธนาไปแล้ว ถ้าอาจารย์ไม่ปฏิเสธถือว่าตอบรับ
นายแพทย์โกมาตร:
คิดว่าใกล้เที่ยงพอดี ตอนบ่ายเรายังมีเวลาที่จะคุยกันเรื่องการศึกษาโดยเฉพาะ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องเกี่ยวกับระบบการศึกษาในอินเดียหรือศานตินิเกตัน ซึ่งเป็นแม่แบบหนึ่งที่ผสมผสานหลายด้านเข้าไว้ด้วยกัน
น่าจะเป็นประโยชน์กับพวกเรา อย่างศานตินิเกตัน เมืองไทยมีคนไปเรียนจากที่นั่นจำนวนหนึ่ง
เช่นอาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์ หรือพยับแดด นักแปลหนังสือต่างๆ แต่เรายังไม่ได้เชิญผู้มีโอกาสได้ไปเรียนที่นั่นจริงๆ
มานั่งคุยกันกับเรา คิดว่าสักวันเราอาจจะได้คุยกัน แต่ตอนบ่ายวันนี้จะคุยกันในเรื่องของการศึกษา
ซึ่งคิดว่าที่อินเดียคงมีอะไรหลายอย่างให้เราได้เรียนรู้เหมือนกัน และเป็นประโยชน์โดยตรงกับแผนงานจิตตปัญญาศึกษาด้วย
ผมคิดว่าเช้านี้มีเนื้อหาเต็มเปี่ยมเลยนะครับ
อาจารย์สรยุทธ: ไม่มีอะไรมากครับ คงจะเหมือนทุกท่าน
อยากจะกราบขอบพระคุณอาจารย์ ผมคิดว่าการเอาตัวเองไปทดลองเจอความจริงมันเป็นส่วนสำคัญ
รู้สึกว่าวันนี้เป็นโอกาสดีที่ได้มาฟังอาจารย์ ช่วยปรับมุมมองของผมพอสมควรเกี่ยวกับการเดินทางข้างหน้า
ถือเป็นมงคลของชีวิตที่ได้มาฟังธรรมในรูปแบบหนึ่ง อยากจะกราบขอบพระคุณอาจารย์ครับ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คลิกกลับไปทบทวนเรื่อง การวิจัยด้วยฝ่าเท้า : ประมวลเพ็งจันทร์ ๑
ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา 3 I สารบัญเนื้อหา
4
I สารบัญเนื้อหา
5
ประวัติ
ม.เที่ยงคืน
สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง
e-mail :
midnightuniv(at)yahoo.com
หากประสบปัญหาการส่ง
e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com
ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ทั้งหมด
กว่า 950 เรื่อง หนากว่า 15000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com
สมเกียรติ
ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็บไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ
ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com
ข้อความบางส่วนจากบทความ
ประเวศ วะสี : ผมคิดว่าขณะนี้ทั่วโลก โดยวิธีการที่เราเรียน
เราใช้เหตุผลนำ จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ทำอะไรต้องมีเหตุผล คิดต้องมีเหตุผล ทีนี้การใช้เหตุผลมันนำไปสู่การสร้างความรู้ทางวิทยาศาสตร์
อะไรต่ออะไรที่มหัศจรรย์ แต่การใช้เหตุผลมันตกไปสู่อำนาจของกิเลสได้ง่าย เกิดการใช้เทคโนโลยีเป็นอำนาจไปเที่ยวทำกับผู้คนต่างๆ
การใช้เหตุผลไม่มีพลังอำนาจพอที่จะต่อสู้กับกิเลสในตัว บางทีกลับตกเป็นเหยื่ออีก
แล้วโลกก็เป็นอย่างที่ว่านี้
ถึงแม้จะคิดเครื่องบินได้ คิดโน่นคิดนี่ได้ แต่ว่าโลกก็แตกเป็นเสี่ยงๆ เพราะการใช้เหตุผลทำให้แยกส่วน ที่อาจารย์พูดว่ามันเกิดการเปลี่ยนแปลง จากเดิมใช้เหตุผลว่า ภรรยาจะไปกินอะไร ทำไมต้องไปกินอย่างนั้น มันไกล เสียเวลา คุ้มหรือเปล่า นี่คิดด้วยเหตุผล แต่ตอนหลังจะเปลี่ยนไปใช้ใจนำ ผมคิดว่าเท่าที่ดูและสรุป โลกยุ่งเพราะเราใช้เหตุผลนำ ไม่ได้ใช้ใจนำ ที่จริงต้องใช้ใจนำแล้วเหตุผลตาม ขณะนี้เหตุผลมันนำเพราะเป็นวิทยาศาสตร์ อาจจะมีความดีแต่ต้องไม่ใช่เป็นตัวตั้ง น่าจะต้องใช้ใจเป็นตัวตั้งแล้วเหตุผลตามมา
สักพักหนึ่งก็รู้สึกว่ามีอะไรมาสะกิดสีข้าง
ผมเลยเอื้อมมือไปสัมผัสดู ปรากฏว่าเป็นหมาขี้เรื้อนที่ไม่มีขนแล้ว มีแต่หนังสากๆ
ผมลองจับดูปรากฏว่ามีทั้งซ้ายและขวา เลยเกิดความรู้สึกวูบหนึ่งตอนนั้นว่า อ๋อ!
ผมนอนที่วัด แล้วหมาเหล่านี้ตอนหัวค่ำมันเห่ารังเกียจ ไม่ต้องการให้ผมมานอนที่ศาลานี้
พอผมรู้สึกได้ขณะนั้น ผมเกิดความรู้สึกที่ดีมากๆ กับการมีชีวิตอยู่ มันเป็นความรู้สึกที่ไม่ได้มีเหตุมีผลอะไร
แต่รู้สึกดีที่ว่า หนึ่งหมาต้อนรับผม เป็นมิตรแล้ว สองรู้สึกว่าชีวิตผมยังมีอยู่พอเหลือไออุ่นให้กับหมาขี้เรื้อนได้
ถ้าสมมติว่าเกิดตอนหัวค่ำนี้ผมตายลง ร่างผมคงเย็นชืด แล้วคงไม่มีประโยชน์อะไรที่หมาจะมานอนด้วย
เพราะฉะนั้นการที่ผมยังมีชีวิตอยู่แม้ไม่ทำอะไรเลยก็ยังมีคุณค่าให้กับหมาขี้เรื้อน