The Midnight University
หมิ่นพระบรมเดชานุภาพในสังคมไทย
ทางออก
: ถึงเวลาปฏิรูปกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
รศ.ดร.เกษียร เตชะพีระ, ผศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล,
วสันต์ พานิช, ตุลย์ ศิริกุลพิพัฒน์
จัดโดย มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ร่วมกับ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
บทความที่ปรากฏบนหน้าเว็บเพจนี้
เป็นการถอดเทปมาจากการสัมนาทางวิชาการ
เกี่ยวกับคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ซึ่งจัดขึ้นที่ สมาคมนักข่าวและนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ในหัวข้อ
"ทางออก : ถึงเวลาปฏิรูปกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ"
midnightuniv(at)yahoo.com
(บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา)
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ 901
เผยแพร่บนเว็บไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๔๙
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ
17.5 หน้ากระดาษ A4)
ทางออก : ถึงเวลาปฏิรูปกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
เวทีสัมนาและอภิปราย ณ สมาคมนักข่าวและนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
วันเสาร์ที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๔๙ ตั้งแต่ ๑๓.๐๐ - ๑๖.๓๐ น.
จัดโดย มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ร่วมกับ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
ดร. เกษียร เตชะพีระ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ตุลย์ ศิริกุลพิพัฒน์ บรรณาธิการอาวุโส หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ
คุณวสันต์ พานิช คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
ผศ. สมชาย ปรีชาศิลปกุล มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ดำเนินรายการโดย รศ. สมเกียรติ ตั้งนโม มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
สมเกียรติ ตั้งนโม : ผู้ดำเนินการอภิปราย
รายการช่วงเช้าที่ผ่านมา ค่อนข้างใช้เวลาไปมากพอสมควร ทำให้รบกวนเวลาอาหารกลางวันไปมาก
ทำให้อาจารย์ไพสิฐอาจไม่มีเวลาสรุปประเด็นหลักๆของช่วงเช้าให้กับที่ประชุมา
จริงๆ แล้วในช่วงเช้าวิทยากรหลายท่านได้พูดถึงประเด็นทางออกกันไปบ้าง เกี่ยวกับคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ว่ามีทางออกอย่างไรบ้าง
อย่างเช่น คุณโสภณ สุภาพงษ์ เสนอในทำนองว่าทั้งผู้ฟ้องและผู้ถูกฟ้อง ควรจะเป็นจำเลยทั้งสองฝ่าย ซึ่งวิธีการแบบนี้ก็คล้ายๆ กับสุภาษิตโรมันที่บอกว่า ทุกคนไม่ควรไปศาลด้วยมือที่สกปรก หมายความว่าต้องมีความบริสุทธิ์ใจ ไม่ใช่พกพาเอาอคติ ความไม่โปร่งใส หรือถูกรับจ้างให้ไปฟ้องคดีต่างๆ ดังนั้นทุกคนควรไปศาลด้วยมือที่สะอาด
นักกฎหมายบางคนที่ผมได้มีโอกาสพูดคุย ก่อนที่จะมีการสัมนาเรื่องคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เนื่องจากเป็นคดีที่อ่อนไหว มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อน และไม่ตรงไปตรงมา ดังนั้นอาจจะจำเป็นต้องมีคณะลูกขุนเกิดขึ้นในระบบศาลไทยสำหรับกรณีนี้ ซึ่งก็เป็นข้อเสนออันหนึ่ง
ส่วนบางท่านเมื่อเช้านี้ก็ได้เสนอว่า คดีหมิ่นพระมหากษัตริย์เนื่องจากเป็นคดีที่อ่อนไหว กระทบกระเทือนต่อสถาบัน ดังนั้นอาจจำเป็นต้องสอบถามไปยังสำนักราชเลขาฯ ว่ากรณีอย่างนี้ๆ เป็นอย่างไร อันที่จริงคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเท่าที่ผ่านมาส่วนใหญ่ เป็นเรื่องของการกลั่นแกล้งในทางการเมือง เป็นการริบพื้นที่ทางการเมืองของฝ่ายตรงข้าม ไม่ให้มีสิทธิ์ตอบโต้อีกต่อไป หรือเป็นการยุติบทบาทและปากเสียงของประชาชน ที่จะลุกขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของฝ่ายบริหารบ้านเมือง ดังนั้นจึงเป็นคดีที่พวกเราทั้งหลาย ทุกคนในสังคมที่มีความเห็นแย้งกับรัฐบาลอาจตกเป็นจำเลยเมื่อไหร่ก็ได้ จึงจำเป็นที่พวกเราจะต้องพิจารณาเรื่องนี้กันอย่างจริงจังและรอบคอบ พร้อมทั้งหาทางออกกับปัญหาดังกล่าว
จากประสบการณ์ของผมซึ่งไม่มากนัก แต่ไม่น้อยกว่า 40 ปี เห็นถึงคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเกิดขึ้นมาอย่างสม่ำเสมอ เริ่มต้นตั้งแต่ 6 ตุลา และมาพฤษภาทมิฬ ซึ่งพวกเรายังคงจำกันได้ ผมเองฟังข่าววิทยุในวันนั้น และรู้ได้ทันทีว่าสัญญานที่จะกำจัดประชาชนบนถนนราชดำเนินเริ่มขึ้นแล้ว หลังจากที่วิทยุประกาศว่าประชาชนที่ลงไปอยู่บนถนนราชดำเนินนั้น กำลังขวางขบวนเสด็จฯ ข้อความแค่นี้เองที่กระจายข่าวไปทั่วประเทศ อันเป็นสัญญานที่ทำให้รู้ล่วงหน้าว่า ประชาชนที่ออกมาประท้วงรัฐบาลในช่วงนั้นถูกทุบแน่ แล้วก็เกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้นจริงๆ
กรณีเช่นนี้ ถูกนำมาใช้อย่างซ้ำซากในทางการเมือง เป็นวงจรอัปลักษณ์เพื่อรังแกและกำจัดพลังของประชาชนที่เป็นฝ่ายตรงข้าม และอย่างที่วิทยากรเมื่อช่วงเช้าได้พูดเอาไว้ว่า สิ่งเหล่านี้มักจะเป็นฝีมือของฝ่ายรัฐบาลเสมอ โดยการใช้ข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการละเมิดหรือการหมิ่นเบื้องสูง มากำจัดพลังการเมืองของประชาชนที่อยู่ฝ่ายตรงข้าม
ช่วงบ่ายนี้มีวิทยากรหลายท่าน ทั้งนักกฎหมาย นักรัฐศาสตร์ และคนทำสื่อซึ่งจะมานำเสนอความคิดของตนเอง ต่อประเด็นทางออกเกี่ยวกับข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งแต่ละท่านต่างมีภูมิหลังที่แตกต่างกัน และมีประสบการณ์เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ของตน เช่น คุณวสันต์ พานิช ท่านจะมานำเสนอถึงภูมิหลังกรณีเกี่ยวกับประสบการณ์ของท่านที่เคยทำคดีเหล่านี้มาแล้ว รวมไปถึงเรื่องเกี่ยวกับโครงการพระราชดำริต่างๆ
ส่วนท่านต่อมาคือ อ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล ซึ่งจะเสนอเรื่องของขั้นตอนในกระบวนการยุติธรรม กรณีเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ และการตีความในเรื่องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เป็นอย่างไร? ส่วนท่านที่สามคือ อ.เกษียร เตชะพีระ ท่านจะมานำเสนอในเรื่องเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ประเด็นด้วยกัน ก็คือ เรื่องเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตย เรื่องของความเป็นประมุข และเรื่องของอำนาจนำ รวมไปถึงกรณีเกี่ยวกับคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เท่าที่ท่านมีประสบการณ์
สำหรับคุณตุลย์ ศิริกุลพิพัฒน์ ตัวแทนสื่อมวลชน ถ้าเผื่อมาถึงที่ประชุมนี้แล้ว ขอเชิญขึ้นเวทีได้เลยครับ ลำดับแรกนี้ผมอยากจะเริ่มต้นจากบุคคลซึ่งมีประสบการณ์เกี่ยวกับการว่าความในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ในฐานะนักกฎหมาย ดังนั้นจึงขอเชิญคุณวสันต์ พานิช ก่อนครับ
วสันต์
พานิช : คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
ก่อนหน้าที่ผมจะมาเป็นคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้ประกอบอาชีพทนายความมาเป็นเวลา
30 กว่าปี จึงคุ้นเคยกับคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งเป็นคดีการเมืองประเภทหนึ่ง
ตั้งแต่อดีตก็มีการใช้ข้อหานี้ในการเป็นเครื่องมือกำจัดบุคคลที่ขัดผลประโยชน์หรืออยู่ฝ่ายตรงกันข้าม
ในคดีแรกในช่วงที่ผมทำ คือคดีที่คนๆหนึ่งอยู่ในป่าแล้วเผาแทรกเตอร์ของทางราชการ แต่แล้วก็ออกมามอบตัว ช่วงที่ติดคุกก็มีการเอารัดเอาเปรียบจากเจ้าหน้าที่เรือนจำ มีการคอรัปชั่น และเบียดเบียนค่าอาหาร ในที่สุดก็ทำเรื่องร้องเรียน จากนั้นเรือนจำก็บีบบังคับให้นักโทษถูกกล่าวหาในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่ใช้กฎอัยการศึกจึงขึ้นศาลทหาร ในที่สุดก็ติดคุกในข้อหานี้
คดีต่อมาคือคดี 6 ตุลา เกิดจากการต่อต้านจอมพลถนอม และจอมพลประภาส เมื่อจอมพลถนอมกลับเข้ามาในประเทศช่วงเวลาดังกล่าว มีการแขวนคอช่างไฟฟ้าที่นครปฐม นักศึกษาธรรมศาสตร์จึงเรียกร้องให้หยุดสอบวิชาภาษาไทย แล้วจัดการแสดงละครที่ลานโพธิ สัญลักษณ์คือจอมพลถนอมแต่งจีวรสีแดงถือปืนเข้ามา มีนักศึกษานอนตายเกลื่อนกลาด มีการแขวนคอให้เห็นว่ามีคนถูกแขวนคอ วันนั้นมีนักข่าวมาทำข่าวจำนวนมาก หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์กับดาวสยาม ฉบับวันที่ 5 ตุลาคมลงข่าว แล้วมีภาพใกล้เคียงกับองค์รัชทายาทถูกแขวนคอ ทั้งที่หนังสือพิมพ์ฉบับอื่นไม่มีภาพดังกล่าวเลย ทำให้มีการฟ้องผู้ต้องหา 18 คนคือ คุณสุธรรม แสงประทุม กับพวก
ตอนพยานเบิกความในศาล ปรากฏว่าช่างภาพของหนังสือพิมพ์ 2 ฉบับยืนยันว่า ตอนถ่ายรูปไม่เหมือนองค์รัชทายาท แต่เมื่อส่งให้ห้องล้างอัดแล้ว ทำไมรูปออกมาเหมือนไม่ทราบ ตอนนั้นผมได้มีโอกาสซักความ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ท่านคิดว่าอาจเกิดจากการแต่งภาพก็ได้ หมายความว่า เมื่อล้างแล้วมีการตกแต่งภาพ ก่อนจะนำมาลงหนังสือพิมพ์ แต่แล้วก็มีกฎหมายนิรโทษกรรมก่อนที่ศาลจะพิพากษา
คดีต่างๆ ซึ่งผมได้ว่าความกรณีที่มีการตัดสินคดีจริงๆ คือ คดีของอาจารย์สุลักษณ์ ศิวลักษณ์ ถูกฟ้องในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เหตุเกิดจากที่ สนนท. (สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย) ได้มีการจัดเสวนากรณีครบรอบ 6 เดือนเกี่ยวกับการยึดอำนาจของ รสช. ขึ้นที่หอประชุมเล็ก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สิ่งที่อาจารย์สุลักษณ์พูดในวันนั้นได้ชี้ให้เห็นว่า คณะ รสช.ทำการรัฐประหารก็เพื่อเถลิงอำนาจเอง แล้วที่คุณสุลักษณ์พูดก็เป็นจริง ในที่สุดคุณสุจินดาก็เข้ามาเป็นนายกฯ จนกระทั่งถูกประท้วงในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ
ในคดีดังกล่าว ผมถามหลายคำถามที่ค่อนข้างหมิ่นเหม่ เช่น ผมเคยถามว่า คุณเป็นนายทหาร เวลาคุณเข้าเฝ้าเรียกแทนตัวเองว่าอะไร ก็บอกว่าใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ความหมายก็คือ เศษธุลีของใต้พระบาทของพระเจ้าอยู่หัวมาอยู่เหนือกระหม่อม แล้วยังถามต่ออีกว่า พระองค์ซึ่งเป็นที่รักที่บูชาของประชาชนแล้วพระองค์เองก็เมตตาปราณีต่อพสกนิกรของพระองค์ใช่มั้ย แล้วยังถามอีกว่า ก่อนหน้าที่คุณจะมาแจ้งความ มีการเสนอต่อคณะราชเลขาธิการก่อนหรือเปล่าว่า พระองค์มีความประสงค์อย่างไร เขาบอกว่าเปล่า นั่นแสดงว่าเหตุการณ์นั้นเป็นการอาศัยอำนาจในขณะนั้นเพื่อต่อต้าน
เนื่องจากการกระทำของอาจารย์สุลักษณ์เป็นการต่อต้าน รสช. ซึ่งจะเห็นได้ชัดจากคำพิพากษาคดีดังกล่าว คำเบิกความพยานโจทก์จำเลยว่า ถ้าจะดูคำปาฐกถาในฐานะวิญญูชนทั่วไป ย่อมจะต้องพิจารณาว่า การที่จำเลยถูกดำเนินคดีนี้เนื่องจากเหตุอะไร ต่อต้านใคร หาใช่พิจารณาตามตัวอักษรอย่างเดียวเท่านั้นไม่ เป็นการปลุกนักศึกษาให้ตื่นขึ้นมาต่อต้านกับอำนาจไม่เป็นธรรมของ คณะ รสช.ในการยึดอำนาจ การสืบทอดอำนาจ ความเสมอภาคของประชาชน ไม่ควรที่คณะบุคคลใดจะแอบอ้างใช้สถาบันหลักของชาติ เป็นเครื่องมือรับใช้ทางการเมืองเพื่อประโยชน์ของหมู่คณะตน ซึ่งคณะทหารที่ยึดอำนาจได้กระทำการละเมิดต่อการกระทำที่ถูกต้องดังกล่าวมาโดยตลอด
อันนี้รวมถึงการยอมสยบรับใช้คณะ รสช.ของคณะบุคคลในรูปแบบต่างๆ ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงเกียรติคุณในนานาอารยะประเทศ ซึ่งศาลก็ได้พิจารณาแล้วว่า เจตนาของการพูดดังกล่าวเป็นการเตือน แต่อาจใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสมต่อสถาบันกษัตริย์เท่านั้น ในทีสุดศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง อัยการไม่อุทธรณ์ คดีก็เป็นอันยุติ
การนำเอาข้อหาหมิ่นฯมาใช้ เพื่อสยบไม่ให้มีการต่อต้านต่ออำนาจ บางคดีที่เกิดขึ้นแล้วทำให้เสื่อมเสียด้วยซ้ำ เช่น การเอาผ้าพันคอลูกเสือชาวบ้านของตัวเองมาเช็ดโต๊ะอาหารแล้วถูกตัดสินจำคุก เป็นปัญหาจากการตีความอย่างกว้างขวางจนเกิดปัญหา ใช้อย่างไม่จำกัด ดังนั้นเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ผมอยากเสนอว่า เป็นไปได้ไหมที่นักกฎหมายต้องตีความโดยเคร่งครัด แล้วนำเสนอต่อสำนักเลขาฯ ก่อนว่า มีความเห็นต่อกรณีนี้อย่างไร ไม่ใช่ตีความอย่างกว้างขวาง จนเกิดความเสียหายอย่างที่ผมเล่ามาทั้งหมด
ผศ.สมชาย
ปรีชาศิลปกุล : มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
สำหรับผมมี 3 ประเด็น เพราะผมคิดว่าเรื่องปัญหาเกี่ยวกับคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ส่วนหนึ่งเป็นการเกิดขึ้นจากกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คือ
1. การริเริ่มคดี
2. กลไกและการกลั่นกรองของกระบวนการยุติธรรม
3. การตีความความหมายของการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามศาลไทย
ประเด็นแรกในคดีหมิ่นประมาทโดยทั่วไป คนที่จะตัดสินใจว่าจะดำเนินการหรือไม่ คือคนที่ถูกกล่าวถึง แต่ว่าในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา เกิดขึ้นเพราะประชาชนทั่วไปที่อ้างความจงรักภักดี อ่านหนังสือพิมพ์สักฉบับหนึ่งพร้อมข้อความเฉี่ยวๆ หน่อย หมายความมันจะใช่หรือไม่ใช่ไม่รู้ แล้วก็ไปแจ้งความ
เช่น กรณีกล่าวหาอาจารย์สุลักษณ์ หรือในอดีต มีกรณีคุณประเดิม...ซึ่งเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง แล้วมีบทกวีที่มีข้อความเฉี่ยวๆ ใช่หรือไม่ใช่ไม่ชัดเจน. แต่พอมีคนหมิ่น สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ผู้มีอำนาจหาลูกน้องให้ไปแจ้งความ คนที่ถูกดำเนินการจะอยู่ตรงข้ามกับฝ่ายที่มีอำนาจ ในทางตรงกันข้าม หากเป็นผู้มีอำนาจพูดเฉี่ยวๆ บ้าง เช่น เฮ้ย อยากให้ลาออกให้มากระซิบที่ข้างหู สมมติว่ามีคนไปแจ้ง ผมเชื่อว่าจะไม่มีการดำเนินการในเรื่องนี้ อย่างนี้แหละที่เรียกว่า มันถูกใช้ในทางการเมือง คือผู้มีอำนาจใช้มันเป็นประโยชน์กับตนเองเพื่อกำจัดฝ่ายตรงข้าม แต่เมื่อไรที่ผู้มีอำนาจพูดเฉี่ยวๆ บ้าง ผมเชื่อว่าไม่มีการดำเนินการ อันนี้คือปัญหา
คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพถูกนำมาใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมือง โดยไม่รู้ว่าจงรักภักดีจริงหรือไม่ คดีนี้จึงถูกใช้ประโยชน์อย่างพร่ำเพรื่อโดยผู้มีอำนาจ ดังนั้นการมองคดีเรื่องการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เราจำเป็นต้องจำกัดบุคคลหรือองค์กรผู้เริ่มต้นที่จะริเริ่มการฟ้องคดี เช่นที่ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนเสนอไว้ คือให้คณะรัฐมนตรีเป็นผู้ฟ้อง เพื่อจะได้เห็นชัดและรับผิดชอบ ถ้าเอาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาใช้เพื่อเล่นงานฝ่ายตรงข้าม เพราะฉะนั้นสิ่งที่ต้องพิจารณาคือ หากเปิดโอกาสให้ใครใช้ก็ได้อย่างกว้างขวาง โอกาสที่จะถูกใช้ไปในทางการเมืองก็จะมีสูงมาก
ประเด็นที่สอง
ซึ่งเกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม หมายความว่ากระบวนการยุติธรรมได้กลั่นกรองขนาดไหนโดยเฉพาะในชั้นตำรวจกับอัยการ
อย่างที่ผมกล่าวไว้คือ ผู้มีอำนาจใช้ลูกน้องไปแจ้งความ ส่วนใหญ่ตำรวจมักจะยืนยันว่า
ผิดแน่ๆ ไว้ก่อน เช่น กรณีคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ที่ลงในมติชน ฉบับ 22 เมษายน
2549 นี้เอง ความว่า
"เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2549 ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นายสุวัตร อภัยภักดิ์
ทนายความซึ่งรับมอบอำนาจจากนายสนธิ ลิ้มทองกุล หนึ่งในแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
เดินทางไปยื่นฟ้อง พล.ต.ต.วินัย ทองสอง ผบก.ป. ในความผิด เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ
หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา คำฟ้องระบุว่า
จำเลยเป็นพนักงานสืบสวนสอบสวนในคดีที่โจทก์ ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กล่าวถ้อยคำหมิ่นประมาท
ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ในหนังสือพิมพ์คม ชัด ลึก โดยเมื่อวันที่ 18 เมษายน
2549 จำเลยได้บังอาจให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนอันเป็นการใส่ความโจทก์โดยเจตนา และสื่อต่างๆ
นำไปเผยแพร่ เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2549 ว่า
ขณะนี้ได้สอบสวนพยานไปแล้วกว่า 100 ปาก โดยมีหลักฐานทั้งภาพและเสียง ผู้สื่อข่าวถามว่า พนักงานสอบสวนเลือกปฏิบัติหรือไม่ ระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทยกับนายสนธิ เพราะที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ ก็พูดจาพาดพิงเบื้องสูง พล.ต.ต.วินัยกล่าวด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า พูดหมิ่นตรงไหน ให้บอกรายละเอียดมา หมิ่นตรงไหน ที่ผ่านมาไม่มีใครพูดหมิ่นชัดเจนเท่ากับนายสนธิอีกแล้ว"
หรือกรณีมีกวีบทหนึ่งเมื่อ 2517 ตีพิมพ์ในวารสารประชาธรรม ชื่อ ถึงชาวฟ้าอย่าฆ่าชาวดิน โดยรวมๆ กวีบทนี้จะบอกว่า ระหว่างชาวเขาได้รับการดูแลในขณะที่เกษตรกรชาวพื้นราบไม่ได้รับความช่วยเหลือเลย บทความชิ้นนี้ตีพิมพ์เมื่อเดือนกรกฎาคม แล้วเดือนกันยายนก็มีกระแสออกมาว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แล้วก็มีคนถือหนังสือพิมพ์ไปแจ้งตำรวจ ในที่สุดศาลยกฟ้องแล้ว ตำรวจบอกว่าคดีนี้หมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างชัดเจน แต่ถึงศาลบอกว่าไม่หมิ่น สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ในขั้นต้นถ้าเป็นคดีของฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับรัฐบาล หรือผู้ไม่มีอำนาจ ตำรวจจะทำหน้าที่อย่างแข็งขัน
ประเด็นสำคัญคือคำถามที่ว่า ตำรวจมีหน้าที่รวบรวมข้อเท็จจริงหรือตัดสิน ผมว่าส่วนใหญ่จะตัดสินลงไปแล้ว พอไปสู่อัยการ อัยการก็ตัดสินไปตามหลักกฎหมาย บ้างก็ไม่ได้ตัดสินไปตามหลักกฎหมาย อย่างกรณีตัวอย่างที่พบคือ มีเด็กผู้ชายเข้าไปกินข้าวในร้านที่มีลูกเป็นผู้หญิง เจ้าของร้านก็เป็นครูใหญ่โรงเรียนประจำจังหวัด เข้าใจว่าผู้ชายคงเมานิดหน่อย แต่พอเข้าไปแล้วเกิดทะเลาะกัน ผู้ชายจะเข้าไปทำร้ายผู้หญิง แล้วผู้หญิงก็บอกว่า เฮ้ยรู้มั้ย ฉันเป็นใคร ลูกครูใหญ่โรงเรียนประจำจังหวัด ผู้ชายก็บอกว่า อย่าว่าแต่เป็นลูกครูใหญ่เลย เป็นลูกคุณหลวงเจ้าพระยาลูกเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ก็กล้าทำ ถ้ามาด่าแบบนี้. แล้วผู้หญิงก็ไปแจ้งความ ตำรวจส่งให้อัยการ อัยการส่งฟ้องแล้วศาลตัดสินยกฟ้อง
หลังจากคดีนี้ก็มีงานเลี้ยงศิษย์เก่าที่ธรรมศาสตร์ ตัวอัยการเดินเข้ามาบอกผู้พิพากษาว่า ดีใจทีท่านตัดสินแบบนี้ ผมเห็นด้วยกับท่าน. ผู้พิพากษาก็บอกว่า อ้าว ถ้าเห็นด้วยแล้วส่งฟ้องมาทำไม. อัยการตอบว่า คือคนฟ้องเป็นครูใหญ่แล้วก็เป็นประธานลูกเสือชาวบ้าน ถ้าไม่ฟ้องเขาจะปลุกระดมชาวบ้านมาเล่นงานผม
ประเด็นคือ ตำรวจและอัยการได้ทำอะไรบ้างเพื่อเป็นการกลั่นกรอง การเปลี่ยนชื่อจากกรมตำรวจเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และเปลี่ยนจากกรมอัยการเป็นสำนักงานอัยการสูงสุด มีความหมายอะไรต่อกระบวนการยุติธรรม สุดท้ายบุคคลากรในกระบวนการยุติธรรมก็ถูกแทรกแซงจากแรงกดดันทางการเมืองและสังคมอยู่ดี โดยเฉพาะคดีที่มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง
ประเด็นที่สาม เราอาจจะอธิบายว่า กรณีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเป็นปัญหา ผมพบว่าเวลาที่ศาลตัดสินมี 2 เรื่องที่ต้องระวัง คือในกฎหมายเขียนว่า ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ศาลตีความคำว่าหมิ่นประมาทให้กว้างขวางออกไป ทั้งที่คำว่าหมิ่นประมาท หมายถึงการพูดแล้วทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง หรือมักจะมีการหยิบเอาบางส่วนโดยไม่สนใจบริบทเอามาลงโทษ
ตัวอย่างเช่น คำพิพากษา 1294/2521 มีการอภิปรายเปิดไฮปาร์ค พอจบก็เปิดเพลงสรรเสริญพระบารมี แล้วนักศึกษาราชภัฏสวนสุนันทาคนหนึ่งบอกว่า เปิดอะไรฟังไม่รู้เรื่อง แล้วตำรวจเห็น จึงจับในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทนายเบิกความในศาลบอกว่า นักศึกษาคนนี้ยืนขึ้น แต่ยืนไม่ตรงแล้วแกว่งแขน เป็นการกระทำซึ่งเป็นสัญลักษณ์ แล้วศาลตีความว่าผิด ซึ่งก็หมายความถึงการกระทำต่อสัญลักษณ์ เป็นการตีความที่เลยเถิด การตีความตามกฎหมายอาญาต้องเคร่งครัด ดังนั้นการกระทำต้องชัดทั้งตัวการกระทำและเจตนา
ผมคิดว่ามีหลายคดีที่การตีความขยายกว้างขวางออกไป นอกจากนี้ยังมีคดีคุณวีระ มุสิกพงศ์ ไปหาเสียงที่บุรีรัมย์ เมื่อปี 2519 ช่วงนั้นมีคนกล่าวหาประชาธิปัตย์ว่า คนพวกนี้ไม่ได้เกิดที่ภาคอีสาน อย่าไปเลือกมัน แล้วคุณวีระก็บอกว่า ถ้าเลือกเกิดได้ไม่เกิดเป็นลูกชาวนาหรอก จะเกิดเป็นพระองค์เจ้าวีระ คดีนี้ศาลก็ลงโทษว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
กรณีคุณสรรพสิทธิ์ คุณประพันธ์ ผู้อำนวยการสิทธิเด็กตั้งคำถามว่า หากตีความอย่างเคร่งครัด จะพบว่า พระองค์เจ้าวีระไม่อยู่ในเกณฑ์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ประเด็นต่อมาคือมันเป็นเรื่องสมมติ ใครก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องสมมติ นี่แสดงให้เห็นว่า ศาลตีความออกไปกว้างขวางพอสมควร อันนี้เป็นสิ่งที่ต้องระวัง
อีกคดีหนึ่ง ชาวบ้านเปิดงานขายของแล้วมีรูปในหลวงล่วงลงมา ชาวบ้านจึงนำเอารูปนั้นไปตอกติดไว้เหมือนเดิม ตำรวจผ่านมาแล้วถามว่าทำอะไร ชาวบ้านก็ใช้ภาษาถิ่นตอบ เอารูป ไปแขวน ทนายพยายามสู้ว่า เป็นภาษาถิ่น แต่ศาลก็ตัดสินว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ปัญหาคือศาลไม่ดูบริบทแวดล้อม หยิบมาเพียงบางส่วน แล้วศาลตัดสินว่าหมิ่นเดชานุภาพ. ทางแก้ก็คือคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เราต้องแยกว่าเป็นแค่การพูดไม่เหมาะสมหรือไม่ ไม่เช่นนั้นเราจะกวาดคนจำนวนมากเข้าไปเป็นผู้ต้องหาในคดีนี้
เกษียร
เตชะพีระ : คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
"ประชาชนควรอยู่ในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ด้วยความไว้วางใจ
ไม่ใช่ความกลัว"
สิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ไม่มีอะไรใหม่ หากแต่ยืมมาจากทัศนะและงานวิชาการที่ผู้อื่นเคยคิดเคยเขียน แล้วเอามาเรียบเรียงสังเคราะห์ เพื่อใช้มองปัญหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่สำคัญได้แก่ งานของอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ เรื่อง 'ในพระปรมาภิไธยและพระบรมราชโองการ' ตีพิมพ์ในมติชนสุดสัปดาห์เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2548, งานของคุณปิยะบุตร แสงกนกกุล เรื่อง 'หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ อาวุธทรงพลังในหมู่ลูกแกะ' จากเว็บไซต์ Open และชิ้นที่สามเป็นวิทยานิพนธ์มหาบัณฑิตสาขามานุษยวิทยา คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ของคุณชนิดา ชิตบัณฑิตย์ เรื่อง 'โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ การสถาปนาพระราชอำนาจนำ'
ขอเริ่มต้นด้วยการอ้างคำกล่าวของคุณสุเมธ ตันติเวชกุล นายกสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในปาฐกถาหัวข้อ 'จริยธรรมกับการบริหารแผ่นดิน' ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2549 มีความตอนหนึ่งอ้างถึงรับสั่งของในหลวงว่า "ท่านได้ทรงรับสั่งว่าประมุขของประเทศตามปกติจะนั่งอยู่ยอดปิระมิด แต่เมืองไทยเราจะเป็นลักษณะปิระมิดหัวกลับ ฉันอยู่ก้นกรวย ใครมีอะไรก็เทใส่ฉัน ท่านทรงรับสั่งแบบนี้"
ผมคิดว่าเงื่อนปมสำคัญ 3 ปมเกี่ยวกับการพิจารณาเรื่องกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ต้องคลี่คลายให้กระจ่างจึงจะเห็นปัญหาและทางออก ได้แก่
1. คตินิยมสมบูรณาญาสิทธิ์ที่แพร่หลายในหมู่สาธารณชน
2. กิจกรรมสาธารณะที่ดำเนินรอยตามพระราชอำนาจนำของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ
3. สภาพที่พระมหากษัตริย์รัชกาลปัจจุบัน ทรงไว้ซึ่งพลังอำนาจนำต่อรัฐและสังคมไทย ขณะที่สถาบันกษัตริย์มิได้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ภายใต้การปกครองในระบอบปัจจุบัน
มิติที่หนึ่ง ในฐานะตัวแทนของอำนาจอธิปไตยอันเป็นของปวงชนชาวไทย
มิติที่สอง ในฐานะประมุขของรัฐที่ได้รับการคุ้มครองเป็นพิเศษแตกต่างจากบุคคลทั่วไป และ
มิติที่สาม ในฐานะพระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระราชอำนาจนำ
มิติที่หนึ่ง
พระมหากษัตริย์ในฐานะตัวแทนของอำนาจอธิปไตย เราไม่ได้ปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
(Absolute Monarchy) หากแต่เราปกครองในระบอบประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional
Monarchy) หรือเรียกอีกนัยหนึ่งว่า Limited Monarchy หรือระบอบราชาธิปไตยที่อำนาจถูกจำกัด
หมายความว่า ในระบอบนี้สถาบันกษัตริย์มิได้มีอำนาจสมบูรณาญาสิทธิ์ (Absolute
Power) เหมือนที่เคยมีในระบบเก่า
การไม่มีอำนาจสมบูรณาญาสิทธิ์หมายความว่า ไม่ได้ถือกรรมสิทธิ์สมบูรณ์เหนือชีวิต
ร่างกายและทรัพย์สินของประชาชนพลเมือง ไม่ได้เป็นเจ้าของรัฐโดยสิทธิ์ขาด ไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โดยสิทธิ์ขาด
ไม่อาจสั่งหรือควบคุมกำกับของรัฐ กองทัพ งบประมาณแผ่นดินได้ดังประสงค์ และไม่ได้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย
ในระบอบปัจจุบัน อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน (Popular Sovereignty) เพราะถือว่าแต่ละบุคคลมีกรรมสิทธิ์เหนือชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สินของตนโดยสมบูรณ์ (Self-Ownership) เป็นพื้นก่อนจึงมาตกลงร่วมกันเป็นสังคมและการก่อตั้งรัฐขึ้น (Social Contract) อีกทีหนึ่ง ฐานที่แท้จริงของ Sovereignty จึงได้แก่หลัก Self-Ownership ซึ่งคือการจำกัดลิดรอนสิทธิเหนือร่างกาย ชีวิต ทรัพย์สินของบุคคล พลเมือง กระทำได้โดยการสมยอม โดยแสดงผ่านสัญญาประชาคมว่า ต่อแต่นี้ไป พวกเราทั้งหลายจะยอมทำตามการปกครองโดยมติเสียงข้างมาก แต่ไม่ทั้งหมด ไม่เบ็ดเสร็จ ต้องมีขอบเขตขีดเส้นจำกัดให้แก่สิทธิของบุคคลและเสียงข้างน้อยด้วย
เราอาจซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับ Self-Ownership ได้ง่ายๆ โดยลองถามตัวเองว่า ชีวิตคุณเป็นของใคร เป็นของพระมหากษัตริย์ ของรัฐ หรือของตัวคุณเอง ถ้าตอบว่า เป็นของพระมหากษัตริย์ นั่นคือระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolute Monarchy) ถ้าตอบว่าของรัฐ นั่นคือระบอบสมบูรณาญาสิทธิ์ (Absolutism) ถ้าตอบว่าเป็นของตัวเอง นั่นคือระบอบเสรีประชาธิปไตย (Liberal Democracy) ที่ถือหลักนิติรัฐ (The Rule of Law) ภายใต้รัฐธรรมนูญ (constitutionalism)
ในระบอบปัจจุบัน พระมหากษัตริย์ในฐานะสถาบันจึงไม่ได้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยอีกต่อไป หากเป็นเพียงตัวแทนของอำนาจอธิปไตยของปวงชน หรือผู้ใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชน โดยทรงใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนทางการบริหารผ่านคณะรัฐมนตรี ทางนิติบัญญัติผ่านรัฐสภา ทางตุลาการผ่านศาลยุติธรรม และการใช้อำนาจอธิปไตยเหล่านี้ พระองค์มิได้และไม่สามารถทรงใช้เองโดยลำพังพระองค์ หากต้องมีผู้ลงนามรับสนองพระราชโองการ ทำหน้าที่ยื่นเสนอให้พระองค์ลงพระปรมาภิไธย และต้องรับผิดชอบต่อผลของการใช้อำนาจอธิปไตยนั้นๆ เอง
ปัญหาที่เกิดจากคตินิยมสมบูรณาญาสิทธิ์ (Absolutist Mentality) ที่ตกค้าง ติดค้างในระบอบรัฐธรรมนูญปัจจุบัน ซึ่งมองว่าพระมหากษัตริย์ในฐานะสถาบัน เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ฉะนั้นการวิจารณ์พระบรมราชโองการ หรือวิจารณ์การใช้อำนาจอธิปไตยในพระปรมาภิไธยจะทำมิได้ เพราะนั่นเท่ากับหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ทั้งที่หากมองจากมุมระบอบรัฐธรรมนูญ อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน การวิจารณ์การใช้อำนาจอธิปไตยจึงย่อมพึงทำได้ เพราะคำวิจารณ์นั้นมิได้มุ่งต่อพระมหากษัตริย์ผู้เป็นตัวแทนของอำนาจอธิปไตย หากตกอยู่กับผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ซึ่งเป็นตัวการเสนอให้ใช้อำนาจอธิปไตยเช่นนั้น และต้องรับผิดชอบต่อผลของการใช้อำนาจดังกล่าวก่อนอื่นใด คือรับผิดชอบต่อปวงชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยนั่นเอง
แต่การอ้างผิดตามคตินิยมสมบูรณาญาสิทธิ์ มีส่วนช่วยเอออวยประโยชน์แก่ผู้ใช้อำนาจนั้นๆ ด้วย คือการฉวยอ้างเอาพระบารมี และพระบรมเดชานุภาพมาเป็นเกราะกำบังมิให้ใครวิจารณ์การใช้อำนาจของตน เมื่อใช้อำนาจรัฐไปดำเนินการใดๆ แล้ว บกพร่องผิดพลาด มีปัญหา ก็กลบเกลื่อนอ้างเป็น 'ผลงาน' แล้วทูลเกล้าฯ ถวายให้พระองค์ทรงรับไว้ โดยที่ตัวเองไม่ต้องรับผิดชอบ ดังที่อ้างไปข้างต้นว่า "ฉันอยู่ก้นกรวย ใครจะทำอะไรก็เทใส่ฉัน" และยังเปิดช่องให้ใช้อำนาจรัฐบาลในมือตนได้อย่างไม่มีขอบเขตจำกัด กลายเป็นรัฐสมบูรณาญาสิทธิ์ทางปฏิบัติหรือ Virtually Absolutist Government มิใช่ Limited Government อีกต่อไป
โดยสรุป พระมหากษัตริย์ในฐานะ "ตัวแทนของอำนาจอธิปไตยอันเป็นของปวงชนชาวไทย" จึงไม่เป็นประเด็นปัญหาแก่เรื่องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแต่อย่างใด เพราะการใช้อำนาจอธิปไตยที่เกิดขึ้นมุ่งต่อตัวผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ที่ต้องรับผิดชอบโดยตรงต่างหาก
1. ความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ เป็นความผิดอันเกี่ยวเนื่องกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร แต่หมิ่นประมาทบุคคลไม่เกี่ยว
2. การหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ โทษหนักกว่าการหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา และ
3. การหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ไม่อาจนำมาตรา 329 (เจตนาสุจริต ไม่ต้องรับโทษ) และ มาตรา 330 (พิสูจน์ได้ว่าจริง ไม่ต้องรับโทษ) ของประมวลกฎหมายอาญามาอ้างเป็นเหตุให้กระทำการได้ดังกรณีการหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา
ขณะที่ความผิดฐานหมิ่นประมาทประมุขของรัฐ เป็นความจำเป็นที่กฎหมายในทุกประเทศต้องมีไว้เพื่อเป็นการคุ้มครองสถาบัน แต่หากไปมองเรื่องนี้ด้วยคตินิยมสมบูรณาญาสิทธิ์ ก็จะตีความขยายกว้างออกไปจนไม่สมเหตุสมผล จากมุ่งคุ้มครองพระมหากษัตริย์เป็นพิเศษในฐานะพระองค์เป็นประมุขของรัฐ เป็นบุคลาธิษฐานของความเป็นรัฐ กลายเป็นทุกสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกับพระมหากษัตริย์เป็นสิ่งหวงห้าม เหมือนดังพระองค์คือรัฐเอง อันเป็นคติแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เช่น เห็นว่า สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ไม่ควรเข้าไปตรวจสอบบัญชีสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระองค์ เพราะจะเป็นการ 'หมิ่นพระบรมชานุภาพ' เป็นต้น
เพื่อผ่อนเบาแก้ไขปัญหาการฟ้องร้องบุคคลว่า หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์อย่างพร่ำเพรื่อ คุณปิยบุตรเสนอให้ควรมีขั้นตอนให้เจ้าหน้าที่สอบถามไปยังสำนักพระราชวัง เห็นว่าควรจะให้ฟ้องร้องหรือไม่เสียก่อน และ กำหนดให้องค์กรใดองค์กรหนึ่งเป็นผู้รับผิดชอบแจ้งความหรือฟ้องคดีหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์
มิติที่สาม
พระมหากษัตริย์ในฐานะผู้ทรงพระราชอำนาจนำ
ดังจะเห็นจากพระราชดำริริเริ่ม พระปรีชาสามารถและพระวิริยะอุตสาหะ พระมหากษัตริย์รัชกาลปัจจุบันได้ทรงวางแบบอย่างบทบาทของพระมหากษัตริย์
ภายใต้ระบอบรัฐธรรมนูญที่มิได้จำกัดเฉพาะการเป็นตัวแทนของอำนาจอธิปไตยของปวงชน
และความเป็นประมุขของรัฐเท่านั้น หากเป็นบทบาทกิจกรรมสาธารณะที่ผลักดันส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ
สังคม แก้ไขปัญหาความยากจน และชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรโดยเฉพาะในท้องถิ่นชนบทอันทุรกันดาร
และรักษาความมั่นคงของประเทศชาติจากอริราชศัตรู
ดังเห็นเป็นรูปธรรมได้จากโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริกว่า 3,000 โครงการซึ่งทรงดำเนินการมากว่า
50 ปี นับแต่ พ.ศ.2494 ถึงปัจจุบัน ในการนี้มีบุคคลทั้งฝ่ายราชการ เอกชนและชาวบ้านที่ถวายงานด้วยความจงรักภักดี
เป็นเครือข่ายโครงการพระราชดำริต่างๆ ทั่วประเทศหลายพันคน ผลของสถานะบทบาทดังกล่าวที่พระองค์ทรงริเริ่มและผลักดันด้วยพระองค์เอง
มิใช่ในฐานะตัวแทนของอำนาจอธิปไตยของปวงชน และก็มิใช่ในฐานะประมุขของรัฐโดยตรง
ทำให้พระองค์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจนำ Royal Hegemony เป็นที่รักใคร่ พึ่งพิงและฝากความหวังของพสกนิกรเสมอ
เสมือนหนึ่งเสาหลักของความเป็นชาติ และความเป็นประชาธิปไตยของบ้านเมือง และธรรมราชา
ผู้ทรงจรรโลงศีลธรรมจริยธรรมในกิจการส่วนรวม
พื้นที่กิจกรรมภายใต้พระราชอำนาจนำแห่งราชาชาตินิยม กษัตริย์ประชาธิปไตยและธรรมราชานี้เป็นพื้นที่สาธารณะเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรหลายล้านคน และความมั่นคงเจริญก้าวหน้าของบ้านเมืองในความหมายนี้ จึงนับเป็นมิติที่ต่างไปจากสถานะบทบาทตัวแทนของอำนาจอธิปไตย และสถานะบทบาทประมุขของรัฐ ที่กล่าวมาแล้ว เพราะเป็นเรื่องที่ไม่มีผู้ลงนามรับสนองพระราชโองการดังกรณีแรก และโดยเนื้อหานิยามความหมาย ก็มิใช่สิ่งที่การคุ้มครองเป็นพิเศษต่อพื้นที่กิจกรรมภายใต้พระราชอำนาจนำ ย่อมตัดโอกาสการระดมความคิดความเห็นเพื่อให้พสกนิกรช่วยกันหาทางปรับปรุงแก้ไขโครงการ และกิจกรรมอันส่งผลสำคัญต่อตัวเองและส่วนรวมให้ดีขึ้น
กิจกรรมโครงการอันเกี่ยวเนื่องกับสถานะบทบาทผู้ทรงพระราชอำนาจนำ จะพึงพิจารณาโยงกับกฎหมายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์อย่างไร ผมคิดว่าควรยึดตามแนวทางพระราชดำรัส 4 ธันวาคม 2548 ที่ว่า "ในระบอบรัฐธรรมนูญที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข พระเจ้าอยู่หัวฯ ผิดไม่ได้ เขาพูดอย่างนั้น THE KING can do no wrong เหมือนท่าน องคมนตรีชอบพูดว่า กษัตริย์ผิด แต่เวลาบอก THE KING บอกว่า THE KING can do no wrong ก็เป็นสิ่งที่ wrong แล้ว ก็เป็นสิ่งที่ผิดแล้ว ไม่ควรพูดอย่างนั้น
"ความจริง THE KING can do no wrong คือการดูถูก THE KING อย่างมาก เพราะว่า THE KING ทำไม can do no wrong ไม่ได้ do wrong แสดงให้เห็นว่า เดอะคิงไม่ใช่คน แต่เดอะคิงทำ wrong ได้ สำคัญที่สุด...
"แต่ว่าความจริง ก็จะต้องวิจารณ์บ้างเหมือนกัน แล้วก็ไม่กลัวถ้าใครจะวิจารณ์ว่าทำไม่ดีตรงนั้น ๆ จะได้รู้ เพราะว่าถ้าบอกว่าพระเจ้าอยู่หัวไปวิจารณ์ท่านไม่ได้ ก็หมายความว่าพระเจ้าอยู่หัวไม่เป็นคน ไม่วิจารณ์เราก็กลัวเหมือนกัน ถ้าบอกไม่วิจารณ์ แปลว่าพระเจ้าอยู่หัวไม่ดี รู้ได้อย่างไร ถ้าเขาบอกว่า ไม่ให้วิจารณ์พระเจ้าอยู่หัว เพราะพระเจ้าอยู่หัวดีมาก ไม่ใช่อย่างนั้น บางคนอยู่ในสมองว่าพระเจ้าอยู่หัวพูดชอบกล พูดประหลาดๆ ถ้าขอเปิดเผยว่าวิจารณ์ตัวเองได้ว่าบางทีก็อาจจะผิด แต่ให้รู้ว่าผิด ถ้าเขาบอกว่าวิจารณ์พระเจ้าอยู่หัวว่าผิด งั้นขอทราบว่าผิดตรงไหน ถ้าไม่ทราบ เดือดร้อน
"ฉะนั้นก็ที่บอกว่าการวิจารณ์เรียกว่าละเมิดพระมหากษัตริย์ ละเมิด ให้ละเมิดได้ แต่ถ้าเขาละเมิดผิด เขาก็ถูกประชาชนบอมบ์ คือเป็นเรื่องของขอให้รู้ว่าเขาวิจารณ์อย่างไร ถ้าเขาวิจารณ์ถูกไม่ว่า แต่ถ้าเขาวิจารณ์ผิดไม่ดี แต่เมื่อบอกว่าไม่ให้วิจารณ์ ไม่ให้ละเมิดไม่ได้เพราะรัฐธรรมนูญว่าอย่างนั้น ก็ลงท้ายก็เลยพระมหากษัตริย์ก็เลยลำบาก
"คราวนี้นักกฎหมายก็ชอบให้ฟ้อง
ให้จับเข้าคุก อันนี้นักกฎหมายก็สอนนายกฯ ว่าต้องฟ้อง ต้องลงโทษ ก็สอนนายกฯ
ว่าใครบอกว่าให้ลงโทษ อย่าลงโทษเขา ลงโทษไม่ดี ลงท้ายไม่ใช่นายกฯ เดือดร้อน
แต่พระมหากษัตริย์เดือดร้อน อาจจะอยากให้พระมหากษัตริย์เดือดร้อนไหมล่ะ ไม่รู้นะ
เขาทำผิด เขาด่าพระมหากษัตริย์ เพื่อให้พระมหากษัตริย์เดือดร้อน และเดือดร้อนจริงๆ
เพราะใครมาด่าเรา ชอบไหม ไม่ชอบ แต่ถ้านายกฯ เกิดให้ลงโทษ แย่เลย แล้วนักกฎหมายต่างๆ
ก็จะให้ลงโทษคนที่ด่าพระมหากษัตริย์..."
(อ้างจาก 'อัญเชิญพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
4 ธ.ค. 2548' เว็บไซต์สำนักข่าวประชาไท 31 มีนาคม พ.ศ.2549)
ก่อนจบ ผมขอยืนยันว่า ประชาชนควรอยู่ในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
โดยความไว้วางใจ ไม่ใช่ความกลัว
ตุลย์ ศิริกุลพิพัฒน์ : บรรณาธิการผู้พิมพ์และผู้โฆษณา
หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ
ต้องขออภัยด้วยครับที่มาสาย เพราะเพิ่งกลับจากภูเก็ต คือไปกู้ชาติมา
จริงๆ
แล้วชีวิตที่ผ่านมหาวิทยาลัยได้เรียนทางด้านวารสารศาสตร์มา อาจารย์ที่สอนทางด้านสื่อสารมวลชนบอกว่า
เรื่องพระมหากษัตริย์ เรื่องศาสนา ถือเป็นกฎข้อห้ามหรือเป็นเรื่องที่สื่อมวลชนควรระมัดระวัง
สื่อมวลชนภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข จริงๆแล้วที่ผ่านมา
สื่อมวลชนจะระมัดระวังกับเรื่องนี้มาก แต่ส่วนใหญ่จะตกเป็นเครื่องมือของคนที่เคลื่อนไหวแก่งแย่งอำนาจ
และจะใช้สื่อเป็นเครื่องมือ
ในสังคมช่วงที่เป็นเผด็จการ เรื่องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จะพบเห็นกันมากเพราะได้ใช้ข้อหานี้เป็นเครื่องมือของนักการเมืองและของนักเผด็จการตลอดมา ตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ รวมไปถึงยุคถนอม ประภาส เป็นต้น ดังนั้นสื่อมวลชนเนื่องจากมีกฎข้อห้ามอยู่แล้ว จึงต้องระมัดระวัง แต่ในเหตุการณ์ 6 ตุลา หนังสือพิมพ์ดาวสยามก็ตกเป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจในสมัยนั้น มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูล จนทำให้เกิดเหตุการณ์บานปลาย
เพราะฉะนั้น สื่อมวลชนที่ทำงานเพื่อสาธารณะจะระมัดระวังเรื่องนี้มาก แต่สื่อมวลชนที่ตกเป็นเครื่องมือของผู้แสวงหาอำนาจ อย่างบรรดานักการเมือง หรือคณะเผด็จการ ใครก็แล้วแต่ที่ต้องการใช้ข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาเล่นงานคนอื่น สื่อพวกนั้นก็จะตกเป็นเครื่องมือทันที จริงๆ แล้วสื่อมวลชน และประชาชนไทยทั่วไป ต่างอยู่ภายใต้สังคมประชาธิปไตยซึ่งมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เพราะฉะนั้นเรื่องที่จะไปดูหมิ่นสถาบันฯ ซึ่งกฎหมายเขาห้ามอยู่แล้ว จึงไม่มีเจตนาใดๆ ทั้งสิ้น
เท่าที่ผมรู้ สื่อมวลชนทั่วไปไม่ต้องการที่จะเสนอข่าวที่จะทำให้สถาบันฯเสื่อมเสียชื่อเสียงแต่อย่างใด เราระมัดระวังกันมาก เท่าที่ผมมีประสบการณ์ทำงานมา 40 ปี ซึ่งได้รับการพร่ำสอนจากอาจารย์ว่า เรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ระมัดระวังให้มาก อย่าตกเป็นเครื่องมือให้คนอื่นใช้เป็นอาวุธมาประหัตประหารกัน แย่งชิงอำนาจกัน หรือทำร้ายกัน
หนังสือพิมพ์ดาวสยามในช่วงนั้น 6 ตุลา ถือเป็นอุบัติเหตุอันหนึ่งของวงการสื่อมวลชน ซึ่งอันที่จริงหนังสือพิมพ์ เรื่องสิทธิ เสรีภาพ ของสื่อมวลชนมันขึ้นอยู่กับเจ้าของสื่อ เจ้าของสื่อมีวิธีการที่แยบยลมากในการบริหารจัดการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ เพราะฉะนั้นเจ้าของสื่อจึงเป็นคนแรกที่ริดรอนเสรีภาพของนักข่าว เราบอกว่านักข่าวจะต้องอิสระ แต่ว่าถ้าเจ้าของต้องการ พวกเราก็ลำบาก รุ่นพี่ผมสอนเอาไว้ว่า "ขี่เรือแป๊ะ ต้องตามใจแป๊ะ ถ้าไม่ตามใจแป๊ะ แป๊ะก็ไล่ลงจากเรือ" สิ่งที่ทนได้ก็ทำไป สิ่งที่ทำไม่ได้ก็เฉยๆ เอาไว้บ้าง อันนี้เราต้องรู้สภาพของนักข่าว ที่ตกอยู่ภายใต้การครอบงำของเจ้าของสื่อ
จริงๆ เราเป็นนักข่าว เราอยู่ในจริยธรรม ต้องการความเป็นอิสระ แต่บางครั้งเราก็ไม่สามารถมีความอิสระหรือเสรีภาพได้ อันนี้เป็นข้อจำกัดโดยธรรมชาติก็ว่าได้ ถ้าหากว่าเราไม่ยอมอยู่ใต้เจ้าของหนังสือพิมพ์ เราก็ต้องตกงาน อันนี้เป็นสัจธรรมอย่างหนึ่ง
ทีนี้การพูดถึงเสรีภาพภายใต้ความรับผิดชอบของผู้สื่อข่าวในเรื่องนี้ พวกเราไม่มีอะไรที่จะมุ่งหรือทำให้กระทบกระเทือนต่อสถาบันฯ เพราะว่าเรารับผิดชอบต่อบ้านเมือง ต่อความสงบเรียบร้อย ซึ่งจะต้องระมัดระวังกันอยู่แล้ว การจะโดนข้อหาหมิ่นประมาท หรือหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มักจะเป็นเรื่องของคนอื่นๆ และสื่อเป็นผู้นำเสนอ ดังนั้นจึงทำให้สื่อโดนพ่วงไปด้วย อย่างกรณีที่เกิดขึ้นกับคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ในความเห็นของผมแล้วไปการกลั่นแกล้งมากกว่า คุณสนธิต่อต้านการคอรัปชั่น ต่อต้านรัฐบาลทักษิณ เทิดทูลพระมหากษัตริย์ แต่อยู่ๆ ก็ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
เท่าที่ผมจำได้วันนั้นที่ให้สัมภาษณ์เรื่องนายกทักษิณ ศาลปกครองชี้มาแล้วว่ารัฐบาลเป็นฝ่ายผิดเกี่ยวกับการแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิต คุณสนธิก็ชี้ให้เห็นว่าทักษิณต้องรับผิดชอบ เพราะกฎหมายนี้ทักษิณได้ทูลเกล้า เพราะฉะนั้นการที่ศาลปกครองชี้มาว่า เป็นการแปรรูปที่ผิดกฎหมาย นายกทักษิณต้องรับผิดชอบ อย่างที่รู้กัน อันนี้คือคำให้สัมภาษณ์ แต่ก็โดนตัดต่อเอาไปทำ CD ใหม่ แล้วมากล่าวหากัน ซึ่งพวกเราไม่ยอมรับข้อกล่าวหานี้ แล้วก็กลายเป็นประเด็นทางการเมืองที่ฝ่ายรัฐบาลออกมาเคลื่อนไหว และโจมตีอยู่ในขณะนี้
อย่างที่ผมพูดไว้แล้วว่า การหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้นเท่าที่ผ่านเรื่องเหล่านี้มา น่าสังเกตว่าคดีหมิ่นประมาทนั้น ตัวการสำคัญก็คือตำรวจ ตำรวจมักจะตั้งข้อกล่าวหาใครก็ได้ ใช้อำนาจบาตรใหญ่มาก ผมจะยกตัวอย่างให้เห็นว่าตำรวจ เกี่ยวกับกับคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตำรวจเป็นตัวการสำคัญที่จะเอาข้อกล่าวหานี้มาประหัตประหารฝ่ายตรงกันข้าม
รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ได้ให้สิทธิเสรีภาพสื่อและประชาชน และผมรับหน้าที่เป็นบรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณาหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ หลังจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ประกาศใช้เพียงไม่กี่เดือน คดีแรกที่ผมถูกฟ้องและดำเนินคดีแรกภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็คือ คดีที่พล.ต.อ. สันห์ สรุตานนท์ เป็นผู้กล่าวหา แต่ว่าคดีนี้เป็นคดีเล็กน้อย เป็นคดีที่พล.ต.อ. สัณห์ ปรับใช้โดยการแต่งตั้งตำรวจขึ้นมาเป็นพนักงานสอบสวน 10-20 คน โดยมีพล.ต.ท.จงรัก จุฑานนท์เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน ตอนนั้นเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล
ก็สอบสวนดำเนินคดีกับสื่อ ผมก็โดนฟ้องเรื่องการลงข่าว"บิ๊กขี้หลี". พล.ต.อ.สันห์ ได้ตั้งกรรมการขึ้นมาแล้วสอบสวน ผมก็ร้องขอความเป็นธรรมตามรัฐธรรมนูญ ร้องไปยังกรรมการสิทธิมนุษยชน ร้องไปที่อัยการ แต่พนักงานสอบสวนก็ยังดำเนินคดีต่อไป ผมก็ร้องขอความเป็นธรรมไป ภายหลังจากที่ผมร้องขอความเป็นธรรม ทำให้ตำรวจดำเนินคดีไม่ได้ เขาก็เอาข้อหาใหม่มายัดใส่ผมทันที ซึ่งเป็นข้อหาเกี่ยวกับคดีเก่าซึ่งมีการตกลงกันไปเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไปขอหมายศาล
หลังวันที่ 10 ตุลาคม 2545 หมายทุกหมายต้องไปขออำนาจศาลออกหมายจับ ปรากฏว่าตำรวจก็ไปโกหกศาล ยื่นคำร้องบอกว่าคดีหมิ่นประมาทธรรมดา โทษ 3 ปี ถ้าละเอียดจริงๆ แล้วของศาล หมิ่นประมาทโทษ 2 ปี ผู้เสียหาจะต้องไปเป็นผู้ขอหมายศาลเอง ถึงจะออกหมายได้ แต่ตำรวจก็ยืนคำร้องไปว่า 3 ปี ศาลก็ออกหมายมา แล้วหมายนั้นก็ไม่ลงวันที่ เข้าใจว่าศาลเองก็ลังเลใจ
ตำรวจก็ไปเอาหมายมาแล้วมาจับผม แล้วนำตัวไปดำเนินคดีที่ฉะเชิงเทรา เมื่อไปถึงทางอัยการก็บอกว่าคดีนี้สิ้นสุดแล้ว จับผมมาทำไม ผมก็มาร้องสิทธิมนุษยชน บัดนี้กรรมการสิทธิมนุษยชนก็ชี้ออกมาแล้วให้ดำเนินคดีกับตำรวจ และตำรวจที่มาจับผมให้ส่งไปยัง ปปช.แทน แต่ตอนนี้ไม่มี ปปช. ก็เลยเลื่อนไป ที่ผมพูดมานี้ชี้ให้เห็นว่า ตำรวจยังไม่เคารพ ตำรวจยังอยู่ในบริบทเก่าๆ และไม่สนใจในรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับเรื่องสิทธิ เสรีภาพ ของประชาชนหรือของสื่อ
เพราะฉะนั้น ในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตำรวจก็ยังใช้อำนาจอย่างเมามัน เพื่อเล่นงานประชาชนที่อยู่ฝ่ายตรงกันข้าม ในความเห็นของผม อย่างที่ อ.เกษียร พูดไว้ว่า เราอยู่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เราจะต้องไว้วางใจ เราทุกคนในสังคมไทยเชื่อว่า พวกเราเทิดทูลในสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ว่ากลไกของรัฐโดยเฉพาะตำรวจ เอาเงื่อนไขอย่างนี้มาประหัตประหาร มาตั้งข้อหาในคดีอาญาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
เราควรจะมีองค์กรสักองค์กรหนึ่งขึ้นมาพิจารณาว่า หมิ่นหรือไม่หมิ่น เพราะอย่างคดีหมิ่นประมาทธรรมดาก็เหมือนกัน ทั้งๆที่เรา สื่อมวลชนมีสภาการหนังสือพิมพ์คอยควบคุมจริยธรรม คอยทำหน้าที่ดูแลอยู่ ถ้าไปกระทบสิทธิหรือเสรีภาพนิดเดียวเขาก็ฟ้องร้องทันที ผมจึงพูดกับเพื่อนๆ ตลอดเวลาว่า นักการเมืองโกหกประชาชน นักหนังสือพิมพ์ด่านักการเมือง นักหนังสือพิมพ์ถูกฟ้องดำเนินคดี ศาลก็ลงโทษนักหนังสือพิมพ์ แต่นักการเมืองยังคงลอยหน้าลอยตาโกหกประชาชนกันต่อ นี่คือความจริงในสังคมไทยครับ
ช่วงถามตอบ
โดยผู้เข้าร่วมประชุม (ขณะนี้ยังไม่ได้มีการถอดเทป)
สมเกียรติ ตั้งนโม
สุดท้ายนี้ผมขอชี้แจงเล็กน้อยเกี่ยวกับการจัดให้มีเวทีในที่ประชุมนี้ขึ้นมา
อันนี้ที่จริงเราไม่ค่อยแน่ใจนักว่า เราจะเรียกเวทีนี้ว่าเป็นเวทีอภิปรายหรือเวทีสัมนาดี
แต่อย่างน้อยที่สุด การประชุมครั้งนี้เป็นจุดตั้งต้นที่มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
อยากจะนำเสนอเกี่ยวกับกรณีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่ถูกนำมาใช้ในทางการเมืองกับฝ่ายตรงข้าม
แม้ว่าเราไม่ใช่เป็นองค์กรแรกที่นำเสนอเรื่องเหล่านี้ก็ตาม แต่คิดว่าบรรยากาศซึ่งเกิดขึ้นในเดือนต่อเดือนที่ผ่านมา
คดีทำนองนี้ มันเป็นวัฏจักรอีกรอบหนึ่งที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในรอบ 40-50
ปีมานี้ ซึ่งเมื่อไหร่มันหยุดเสียที เมื่อไหร่มันจะพอเสียที กับการใช้ข้อกล่าวหาดังกล่าว
โดยอนุญาตให้คนบางคนสามารถเป็นฆาตกรฆ่าคนได้ อันนี้น่ากลัวมาก ผมคิดว่าเหตุการณ์อย่างนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้นอีกแล้ว
อันที่จริงความผิดในคดีดังกล่าว ไม่นับว่ารุนแรงเท่าไหร่ ไม่มีโทษปรับ มีแต่โทษจำคุก 3-15 ปี แต่ที่น่ากลัวคือเราอาจถูกกระทืบได้ อาจจะถูกเผานั่งยาง คำถามคือวัฏจักรนี้เมื่อไหร่จึงจะยุติ นี่คือประเด็นสำคัญอันหนึ่งที่มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนใคร่นำเสนอต่อที่ประชุมในตลอดวันว่า เหตุการณ์ทั้งหลายอันเกี่ยวเนื่องกับเรื่องดังกล่าว วงจรแบบนี้น่าจะสิ้นสุดลงเสียที โดยที่พวกเราทั้งหลาย นักวิชาการ ประชาชน รวมถึงคนที่มีส่วนได้เสีย จะต้องรับกรรมกับเรื่องเหล่านี้ คงจะต้องมานั่งคุยกัน
การประชุมในลักษณะนี้ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย เพราะว่าสถาบันไทยคดีศึกษาร่วมกับสถาบันสันติประชาธรรม จะได้จัดให้มีการพูดกันถึงเรื่อง สถาบันพระมหากษัตริย์กับรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 28 เมษายน 2549 เวลา 15.30 น. - 19.30 น. ณ หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขอเชิญทุกท่านที่สนใจเข้าร่วมได้ ขอขอบคุณทุกท่านครับ
++++++++++++++++++++++++++++++++++
หมายเหตุ : การนำเสนอบทความชิ้นนี้ กองบรรณาธิการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนขอขอบคุณประชาไทออนไลน์
ที่กรุณานำเสนอข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับการอภิปรายของคุณวสันต์ พานิช, ผศ.สมชาย
ปรีชาศิลปกุล และ รศ.ดร เกษียร เตชะพีระ ซึ่งบนหน้าเว็บเพจนี้ได้นำมาใช้ประกอบเพื่อความสมบูรณ์
บทความที่นำเสนอก่อนหน้านี้ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
หากนักศึกษาและสมาชิกท่านใตสนใจ
สามารถคลิกไปอ่านได้จากที่นี่...คลิกที่ภาพ
ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา 3 I สารบัญเนื้อหา
4
I สารบัญเนื้อหา
5
ประวัติ
ม.เที่ยงคืน
สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง
e-mail :
midnightuniv(at)yahoo.com
หากประสบปัญหาการส่ง
e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com
ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ทั้งหมด
กว่า 900 เรื่อง หนากว่า 13000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com
สมเกียรติ
ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็บไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ
ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com
พระมหากษัตริย์ในฐานะตัวแทนของอำนาจอธิปไตย เราไม่ได้ปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolute Monarchy) หากแต่เราปกครองในระบอบประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) หรือเรียกอีกนัยหนึ่งว่า Limited Monarchy หรือระบอบราชาธิปไตยที่อำนาจถูกจำกัด หมายความว่า ในระบอบนี้สถาบันกษัตริย์มิได้มีอำนาจสมบูรณาญาสิทธิ์ (Absolute Power) เหมือนที่เคยมีในระบบเก่า การไม่มีอำนาจสมบูรณาญาสิทธิ์หมายความว่า ไม่ได้ถือกรรมสิทธิ์สมบูรณ์เหนือชีวิต ร่างกายและทรัพย์สินของประชาชนพลเมือง ไม่ได้เป็นเจ้าของรัฐโดยสิทธิ์ขาด ไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โดยสิทธิ์ขาด ไม่อาจสั่งหรือควบคุมกำกับของรัฐ กองทัพ งบประมาณแผ่นดินได้ดังประสงค์ และไม่ได้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย