นักศึกษา สมาชิก และผู้สนใจทุกท่าน หากประสงค์จะตรวจดูบทความอื่นๆที่เผยแพร่บนเว็บไซค์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ท่านสามารถคลิกไปดูได้จากตรงนี้ ไปหน้าสารบัญ

 

The Midnight University

เศรษฐศาสตร์การเมืองไทยร่วมสมัย
ขาลงรัฐบาลทักษิณ และ สองนัคราประชาธิปไตย
รศ.ดร.เกษียร เตชะพีระ
คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

บทความวิชาการบนหน้าเว็บเพจนี้ รวบรวมมาจากผลงานที่เคยได้รับการตีพิมพ์แล้ว
บนหน้าหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน
การรวบรวมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อใช้ประกอบการศึกษา
สำหรับนักศึกษาและผู้สนใจการวิเคราะห์เหตุบ้านการเมืองร่วมสมัยในสังคมไทย
บทความที่ได้รับการรวบรวม ประกอบด้วย
๑. ที่เรียกว่าขาลงของรัฐบาลทักษิณ . ที่เรียกว่าสองนัคราประชาธิปไตย
๓. ที่เรียกว่าสัญญาประชาคมใหม่

(บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา)
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ 815
เผยแพร่บนเว็บไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๔๙
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ 10 หน้ากระดาษ A4)




ขาลงรัฐบาลทักษิณ และ สองนัคราประชาธิปไตย
รศ.ดร.เกษียร เตชะพีระ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

1. ที่เรียกว่าขาลงของรัฐบาลทักษิณ
สามสี่เดือนหลังของปีก่อน หนูกลอยทนดูอาการเงอะๆ งะๆ เรื่องเทคโนโลยีของปาป๊าไม่ได้ก็เลยเมตตาช่วยสอนให้รู้จักใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ Power Point สำหรับทำแผ่นภาพฉายขึ้นจอประกอบการบรรยาย

ความที่เห็นว่ามันเหมาะมือดี มีเทคนิคคัลเลอร์ดูดตาดูดใจ จัดแต่งภาพให้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้สารพัด และที่สำคัญมันนำเสนอข้อมูล จับประเด็นแนวคิด สะท้อนถ่ายทอดลำดับเหตุผลข้อถกเถียงได้รวบรัด คมชัดถนัดชัดเจนยิ่ง ผมจึงใช้เอาๆ จนติดและออกจะพร่ำเพรื่อ ชักเขียนอะไรยาวๆ เป็นเรื่องเป็นราวไม่ค่อยเป็น ชอบแต่เขียนสรุปย่อสั้นๆ และหนักข้อเข้าพอไม่มีแผ่นภาพ Power Point ฉายประกอบ ก็พาลพูดไม่ค่อยออกเอาเลยทีเดียว

ดังที่ท่านผู้อ่านอาจสังเกตเห็นว่าผมดอดเอาชุดแผ่นภาพ Power Point ที่ผมทำขึ้นประกอบการบรรยายในวาระหัวข้อต่างๆ มาลงคอลัมน์นี้หลายครั้งในระยะที่ผ่านมา เพราะรู้สึกว่ามันสวยดี และง่ายดีครับ ทว่าทำไปทำมาก็เริ่มมีเสียงสะท้อนจากเพื่อนมิตรและลูกศิษย์ลูกหาว่าไม่คุ้นเคย และบางชิ้นก็ดูไม่ใคร่รู้เรื่องว่าจะบอกอะไรกันแน่? โดยเฉพาะเรื่อง "ส.ค.ส.2549 : ที่เรียกว่าขาลงของรัฐบาลทักษิณ" ในฉบับศุกร์สุดท้ายปลายปี ผมต้องขออภัยและคิดว่าถึงเวลากลับมาเขียนความเรียงตามปกติได้แล้ว

ความจริงภาพ ส.ค.ส.ขาลงของรัฐบาลทักษิณแผ่นนั้นมีที่มาจาก เมื่อสองสามสัปดาห์ก่อนรายการเคเบิลทีวีเจ้าหนึ่งติดต่อขอสัมภาษณ์ผม ให้ช่วยวิเคราะห์วิจารณ์สถานการณ์การเมืองรอบปีที่ผ่านมา และคาดการณ์แนวโน้มการเมืองปีหน้า ระหว่างผมนั่งลำดับความคิดก่อนสัมภาษณ์นั่นเอง เจ้าชิ้นส่วนองค์ประกอบข้อคิดวิเคราะห์ต่างๆ มันก็ค่อยๆ ทยอยลอยลงมาชุมนุมร้อยเรียง ยึดโยงสัมพันธ์กันเป็นภาพรวมอย่างลงตัวกระชับรัดกุม ผมก็เลยจับมันถ่ายทอดใส่ Power Point เพื่อง่ายแก่การเข้าใจและถ่ายทอดของตัวเอง และไหนๆ ก็ทำแล้วและดูแปลกตาดีก็เลยเที่ยวแจกจ่ายเพื่อนมิตร ลูกศิษย์ลูกหาและลงคอลัมน์เสียเลย

ความคิดชี้นำของผมคือที่เรียกว่า "ขาลง" ของรัฐบาลทักษิณนั้น มันหยาบง่ายไป อุปมาอุปไมยดังกล่าวทำให้นึกเห็นภาพรัฐบาลกำลังตกบันไดดิ่งชะลูดปรูดปราดลงมาข้างล่างท่าเดียว ซึ่งความเป็นจริงไม่ใช่เรียบง่ายทื่อๆ เถรตรงเช่นนั้น หากสลับซับซ้อนกว่าและต้องพูดให้รัดกุมกว่านั้น

มันไม่ใช่เรื่องของ "ขาลง" (in decline or a downward / downhill trend) เท่ากับรัฐบาลกำลังประสบกับ "เพดานความเป็นไปได้" (ceiling) และ "พื้นฐานพลังการเมือง" (floor) ที่กดดันกระหนาบเข้ามาทำให้พื้นที่ในการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว(room of maneuver) เดินหมากทางนโยบายและมาตรการของรัฐบาลหดกระชับแคบลง
พูดง่ายๆ คือในปีหน้ารัฐบาลทักษิณน่าจะทำอะไรต่อมิอะไรได้น้อยลง, ยากขึ้น และสัมฤทธิผลต่ำกว่าความคาดหมาย เมื่อเทียบกับอดีตที่ผ่านมา

ทำไม?
ก่อนเล่าสู่กันฟัง ผมควรแจ้งว่าแรงบันดาลใจให้คิดดังกล่าวมาจากข้อวิเคราะห์วิจารณ์ของครูพักลักจำ 2 ท่าน ได้แก่ อาจารย์สุวินัย ภรณวลัย ในคำอภิปรายเรื่อง "Thaksinomics" ณ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อ 23 สิงหาคม พ.ศ.2547, และอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ในบทความเรื่อง "ความชอบธรรมทางการเมือง" , มติชนรายวัน, 19 ธ.ค.2548, น.6

รัฐบาลทักษิณเป็นรัฐบาลที่ทะเยอทะยานมากที่สุดในรอบกว่าทศวรรษที่ผ่านมาในอันที่จะเปลี่ยนประเทศไทย ผมอยากสรุปรวบยอดโครงการหรือ Project ในการเปลี่ยนประเทศไทยของรัฐบาลทักษิณว่าได้แก่ Thaksinomics & Thaksinocracy กล่าวคือ

1) แปรการเลือกตั้งให้เป็นแบบทักษิณ ณ ไทยรักไทย
กล่าวคือแปรกระบวนการได้มาซึ่งอำนาจ ผ่านการเลือกตั้งในระบอบเลือกตั้งธิปไตย (electocracy) แต่เดิมของไทย ให้เป็นระบอบที่รวมศูนย์ครอบงำโดยพรรคเด่นพรรคเดียวคือพรรคไทยรักไทย

ถ่ายโอนฐานเสียงจากบรรดานักเลือกตั้งท้องถิ่น/นายหน้าการเมืองมาสู่สาขาจัดตั้งของพรรคในพื้นที่ต่างๆ โดยตรง

โยกย้ายอำนาจจากบรรดามุ้งการเมือง(factions) และหัวหน้ามุ้งอิสระมาขึ้นต่อศูนย์การนำของพรรคและหัวหน้าพรรค

ในรูปลักษณ์ความสัมพันธ์รวมศูนย์อำนาจจากบนลงล่างแบบ [สำนักงานใหญ่-->เช่น สโตร์ / ซูเปอร์สโตร์]

2) แปรไทยให้เป็นทุน
กล่าวคือทำให้เศรษฐกิจทุนนิยมไทยพัฒนากว้างขวาง ครอบคลุมขึ้นและหยั่งลึกขึ้นแผ่กว้างไปดูดกลืนทรัพยากรนานาชนิดในท้องที่ต่างๆ จากการกำกับดูแลของภาครัฐ / ภาคชุมชน ให้เข้ามาอยู่ในตลาดสินค้าภายใต้ระบบกรรมสิทธิ์เอกชนมากขึ้น (commodification & privatization of everything)

แยกสลายชนชั้นเกษตรกรรายย่อยลงไป(depeasantization),เปลี่ยนแปรพวกเขาส่วนน้อยราว 10-20% ที่เก่ง + เฮง ให้กลายเป็นผู้ประกอบการรายย่อยรุ่นใหม่ในตลาดระดับชาติและระดับโลก(bourgeoisification), ส่วนใหญ่ 80-90% ที่เหลือจะได้หลุดรากถอนโคนกลายเป็นคนงานรับจ้างไร้สมบัติ เที่ยวเร่ขายแรงในตลาดแรงงาน(proletarianization)

ภายใต้แนวทางประชานิยมเพื่อทุนนิยม(capitalist populism) ที่ "แปลงสินทรัพย์เป็นทุน แปลงตาสีตาสาเป็นเถ้าแก่(และกุลี)"

3) แปรรัฐให้เป็นแบบซีอีโอ
กล่าวคืออาศัยพลังทุนที่เหนือล้ำของกลุ่มทุนตนและพรรคพวก หลังวิกฤตเศรษฐกิจ 2540 + อำนาจบริหารที่เพิ่มพูนเนื่องจากรัฐธรรมนูญปฏิรูปการเมือง 2540 ซึ่งออกแบบมาเพื่อสร้างเสริมภาวะผู้นำของนายกรัฐมนตรี

ไปเปลี่ยนแปรกระบวนการใช้อำนาจรัฐโดยรวมศูนย์อำนาจรัฐเข้ามาไว้ที่ผู้นำรัฐบาล

บล็อคกลไกตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจ และกลไกพร้อมรับผิดให้เป็นอัมพาต

รวบรัดตัดตอนความรับผิดชอบของผู้นำรัฐบาลให้เหลือวาระเดียวในทางปฏิบัติคือ การเลือกตั้งทั่วไป 4 ปีหน

เกิดระบบรวมศูนย์อำนาจอาญาสิทธิ์ของรัฐที่ เสมือนไร้ขอบเขตขีดจำกัดในทางปฏิบัติ ควบคู่กันไปกับระบบแห่งความไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมืองเหนือสิทธิในร่างกาย ชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนพลเมือง โดยเฉพาะสิทธิในการแสดงความเห็นต่างวิพากษ์วิจารณ์ ทางสื่อสาธารณะของฝ่ายค้าน และเสียงส่วนน้อย

พลเมืองทั้งหลายจึงประหนึ่งกลายสภาพเป็น "ลูกจ้าง" ใต้การนำและการบังคับบัญชาเด็ดขาดของเถ้าแก่ซีอีโอตลอด 4 ปี ยกเว้นวันหนึ่งวันนั้นวันเดียวที่ได้เล่นบท "ผู้ถือหุ้น" สั้นๆ ชั่วอึดใจคูหาเลือกตั้ง ก่อนจะโผล่กลับออกมาดำเนินชีวิตทางการเมืองเป็น "ลูกจ้าง ของรัฐซีอีโอ ต่อไปตลอดไป

Project อันทะเยอทะยานดังกล่าวซึ่งอาจรวมเรียกได้ว่า "ระบอบสมบูรณาญาสิทธิ์ทุนจากการเลือกตั้ง" หรือ Elected Capitalist Absolutism มีอันสะดุดหยุดลงในรอบปีที่ผ่านมา เนื่องจากเหตุปัจจัยหลายประการซึ่งมี [ปรากฏการณ์สนธิ] เป็นตัวแสดงออกอย่างรวมศูนย์

2. ที่เรียกว่าสองนัคราประชาธิปไตย"
"ที่เขาบอกว่า คนต่างจังหวัดตั้งรัฐบาล คนกรุงเทพฯล้มรัฐบาล มันใช้ไม่ได้สำหรับพรรค(ไทยรักไทย)เราหรอก เพราะพรรคเรามันตั้งด้วยทั้งคนกรุงเทพฯและคนต่างจังหวัด และรัฐบาลของเราก็อยู่ด้วยคนกรุงเทพฯและคนต่างจังหวัด มันคนละเรื่อง มันนำมาใช้กันไม่ได้ แต่ว่าจะประมาทไม่ได้"
นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคไทยรักไทย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
กล่าวมอบนโยบายให้ ส.ส.ในการสัมมนาพรรค 18 ธ.ค.2548

ทฤษฎี "สองนัคราประชาธิปไตย" (A Theoryof Two Democracies) ซึ่งอาจารย์เอนก เหล่าธรรมทัศน์ เสนอไว้ในหนังสือสองนัคราประชาธิปไตย : แนวทางการปฏิรูปการเมือง เศรษฐกิจ เพื่อประชาธิปไตย (2538) ตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อนไม่ได้มีแค่ "คนต่างจังหวัดตั้งรัฐบาล คนกรุงเทพฯล้มรัฐบาล" อันเป็นผลลัพธ์ข้อสรุปเชิงปรากฏการณ์ส่วนหนึ่งที่ทฤษฎีนี้เข้าไปจับเท่านั้น อีกทั้งข้อสรุปสองประโยคดังกล่าวก็ยังขาดตกบกพร่อง ไม่รัดกุม ชวนให้ไขว้เขวได้

เท่าที่ผมตีความเข้าใจ ทฤษฎี "สองนัคราประชาธิปไตย" มีข้อเสนอหลักๆ ดังนี้คือ

1) ความแตกต่างเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจสังคมระหว่าง [นัคราประชาธิปไตยในเมือง] โดยเฉพาะกรุงเทพมหานครซึ่งเป็น "เมืองโตเดี่ยว"-กับ [นัคราประชาธิปไตยในชนบท] อันกว้างใหญ่ไพศาลทั่วประเทศนำไปสู่....

แบบแผนพฤติกรรมการเมืองที่ต่างกันสุดขั้วระหว่างคนชั้นกลางในเมืองโดยเฉพาะ กทม.กับชาวนาชาวไร่ในชนบท ทำให้ระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทยแยกขั้วแบ่งข้าง

ไม่เป็นระบอบหนึ่งเดียวที่มีเอกภาพ หากเสมือน "อกแตก" แยกออกเป็น "สองนัคราประชาธิปไตย" ในเมืองกับในชนบท

2) กล่าวคือ คนชั้นกลางในเมืองฐานะมั่งคั่งกว่า ได้รับโอกาสทางการศึกษาและเศรษฐกิจสมัยใหม่ รวมทั้งเข้าถึงสื่อสารมวลชนและสถาบันการเมือง-ราชการได้ดีกว่า จะเล่นบทส่งอิทธิพลเป็นฐานนโยบายของรัฐบาล

ขณะที่ชาวนาชาวไร่ในชนบทยากไร้กว่า ขาดด้อยโอกาสทางการศึกษาและเศรษฐกิจสมัยใหม่ และเอื้อมไม่ค่อยถึงสื่อสารมวลชนและสถาบันการเมือง-ราชการ จึงมักไม่สามารถส่งอิทธิพลไปกำหนดนโยบายของรัฐบาลได้ แต่กระนั้นก็อาศัยจำนวนประชากรในชนบทที่มีมากกว่า กลับกลายเป็นฐานเสียงสำคัญที่สุดของรัฐบาลในการชนะเลือกตั้งไป

รัฐบาลแห่งระบอบ "สองนัคราประชาธิปไตย" จึงมีฐานเสียงอยู่ที่ชนบท (based on rural constituencies) แต่กลับมีนโยบายลำเอียงเข้าข้างเมือง (urban-biased policy)

3) รัฐบาลในลักษณะนี้ย่อมไร้เสถียรภาพยิ่ง เพราะด้านหนึ่งความโง่-จน-เจ็บของฐานเสียงชนบทเปิดช่องให้การเลือกตั้งในชนบท ถูกครอบงำผูกขาดโดยเจ้าพ่อผู้มีอิทธิพลผ่านระบบหัวคะแนน ซึ่งสามารถอาศัยชัยชนะในการเลือกตั้งชำระชะฟอกและดีดเด้งตัวเองทางการเมือง ตีลังกาไปนั่ง "กินบ้านกินเมือง" เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้ทรงเกียรติในเมืองหลวง แล้วรวมตัวกันเป็นมุ้งการเมืองต่อรองเอาตำแหน่งบริหารเข้าไปนั่งคุมกระทรวงทบวงกรมอยู่ในคณะรัฐมนตรีอีกต่อหนึ่ง

ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อใช้อำนาจรัฐรวมศูนย์ส่วนกลางผัน [งบประมาณและทรัพยากรของหลวง + ค่าเช่าเศรษฐกิจในรูปแบบต่างๆ + เงินทุจริตติดสินบาทคาดสินบน] ย้อนกลับมาหล่อเลี้ยงเส้นสายเครือข่ายเลือกตั้งอุปถัมภ์ของตนจาก [ครม.> มุ้ง > ส.ส. > เจ้าพ่อ > หัวคะแนน > ชาวบ้านในพื้นที่] ไว้เป็นฐานเสียงสนับสนุนในการเลือกตั้งครั้งต่อไป

เป็นเรื่องง่ายที่จะชี้หน้าด่าประฌามว่า นี่เป็นความชั่วร้ายเลวทรามทางศีลธรรมส่วนตัวของ "คนไม่ดี" ที่ได้รับเลือกตั้งขึ้นมามีอำนาจ ซึ่งก็คงมีส่วนจริงอยู่ไม่น้อย ทว่าที่ยากยิ่งกว่าคือมองทะลุทะลวงไปถึงเหตุปัจจัยเชิงโครงสร้างว่าบรรดา "นักเลือกตั้ง" เหล่านี้ถูก "ล็อค" ด้วยระบบให้ต้องทุจริต มิฉะนั้นก็มิอาจหาเงินมาอุปถัมภ์ช่วยเหลือชาวบ้าน และหว่านซื้อรักษาฐานเสียงไว้ได้

เพราะหากแม้นแทนที่จะอาเงินมาซื้อเสียง พวกเขาจะเลือกซื้อใจชาวบ้านด้วยการเสนอและผลักดันนโยบายที่ชาวบ้านชนบทมีส่วนร่วมกำหนด และสะท้อนแทนตามผลประโยชน์ของตัวเองอย่างแท้จริง, ก็มิอาจทำได้อีกเหมือนกัน เพราะตลาดนโยบายของรัฐถูก "ล็อค" ไว้เสียแล้ว โดยคนชั้นกลางชาวเมืองผู้พูดได้ไอดัง ครอบงำสื่อสารมวลชนทางแนวคิด และวิถีชีวิตในฐานะผู้บริโภคสื่อกลุ่มใหญ่ที่สุด จนสามารถเป็นฐานนโยบายส่งอิทธิพลกดดัน กำหนด ตีกรอบ จำกัดนโยบายหลักของรัฐให้ลำเอียงเข้าข้างเมืองเรื่อยมาได้

แม้จะถูก "ล็อค" ด้วยระบบให้ทุจริต แต่ [เจ้าพ่อผู้มีอิทธิพล-นักเลือกตั้ง-นายหน้าการเมือง] เหล่านี้ก็เป็นผู้ได้เปรียบ ได้เสวยอำนาจและผลประโยชน์ในระบบที่ล็อคเขาไว้นั้น พวกเขาจึงตกเป็นเป้าโจมตีวิพากษ์วิจารณ์ดูหมิ่นเกลียดชังของคนชั้นกลางชาวเมือง ทั้งในแง่ความชั่วร้ายทางศีลธรรม, ความคับแคบของโลกทัศน์, ความเป็นท้องถิ่นบ้านนอกทางวัฒนธรรม, การขาดทักษะความรู้ประสบการณ์และด้อยประสิทธิภาพในการบริหารรัฐกิจ - เศรษฐกิจสมัยใหม่ในยุคโลกาภิวัตน์ อันนำไปสู่ปรากฏการณ์ซ้ำซากที่.....

"คนต่างจังหวัดตั้งรัฐบาล คนกรุงเทพฯล้มรัฐบาล" หรือพูดให้ครบถ้วนรัดกุมขึ้นก็คือ
"คนต่างจังหวัดเลือกเจ้าพ่อไปตั้งรัฐบาล คนกรุงเทพฯล้มรัฐบาลของเจ้าพ่อ" นั่นเอง

4) สภาวะ "สองนัคราประชาธิปไตย" มิเพียงทำให้ "นัคราประชาธิปไตยในเมือง" กับ "นัคราประชาธิปไตยในชนบท" แปลกแยกไม่เข้าใจกันเท่านั้น หากยังทำให้มันบั่นทอนกำลังซึ่งกันและกัน กีดขวางการพัฒนาก้าวหน้าของกันและกันด้วย กล่าวคือ

ด้านหนึ่ง มันทำให้การเมืองระดับชาติตกอยู่ใต้การนำการบริหารของชนชั้นนำนักเลือกตั้งจากบ้านนอก-ท้องถิ่น ผู้มีวิสัยทัศน์และจิตตารมณ์มุ่งเน้นเฉพาะถิ่นของตน และขาดแคลนทักษะความรู้ประสบการณ์อันทันสมัยที่จำเป็นและเหมาะสม

อีกด้านหนึ่ง มันก็ทำให้การเมืองท้องถิ่นตกอยู่ใต้นโยบายชี้นำและการตัดสินใจ ที่กำหนดอย่างรวมศูนย์มาจากส่วนกลางระดับชาติ แทนที่จะเริ่มต้นและเกาะติดสภาพความเป็นจริง และเป็นไปได้ในท้องถิ่นรวมทั้งผลประโยชน์ ความเรียกร้องต้องการและวัฒนธรรมประเพณีของชาวบ้านในพื้นที่อย่างแท้จริง

การเมืองระดับชาติถูกยึดกุมเหนี่ยวรั้งโดยชนชั้นนำผู้มีอิทธิพลจากท้องถิ่นมากไป (คนกรุงเทพฯจึงไม่พอใจและลุกขึ้นโค่นรัฐบาลเจ้าพ่อซ้ำซาก) ในทางกลับกันการเมืองท้องถิ่นกลับตกอยู่ใต้การชี้นำกำหนดจากนโยบายระดับชาติของส่วนกลางอย่างรวมศูนย์เกินไป
(ชาวบ้านชนบทจึงต้องพึ่งพาการอุปถัมภ์ของเจ้าพ่อแต่ไม่สามารถพึ่งตนเองได้เรื่อยมา)

5) อาจารย์เอนกได้เสนอแนวทางปฏิรูปการเมือง เศรษฐกิจเพื่อหลุดพ้นสภาวะ "สองนัคราประชาธิปไตย" ไว้พอสรุปได้ว่า:-

- แก้ไขลักษณะรวมศูนย์ (centralist) และผูกขาดอธิปัตย์ (monist) ของรัฐด้วยการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นปกครองตนเองอย่างเสรีประชาธิปไตย และแบ่งปันอำนาจให้กลุ่มเอกชนต่างๆ ในสังคมดูแลจัดการตนเองอย่างเป็นเอกเทศ (น.42, 61)

- ทำให้การเมืองระดับชาติถูกกำหนดโดยปัจจัยและอิทธิพลท้องถิ่นน้อยลง (delocalization of national politics) และทำให้การเมืองท้องถิ่นถูกจำกัด หรือถูกกำหนดโดยส่วนกลางให้น้อยลง (denationalization of local politics) (น.52)

- ทำอย่างไรให้คนชั้นกลางไม่เป็นเพียงฐานนโยบาย หากเป็นฐานเสียงของพรรคการเมืองได้ด้วย ไม่เพียงแต่ล้มรัฐบาล หากตั้งรัฐบาลได้ด้วย, ในทางกลับกันทำอย่างไรให้ชาวนาชาวไร่ไม่เป็นเพียงฐานเสียง หากเป็นฐานนโยบายได้ด้วย ไม่เพียงแต่ตั้งรัฐบาล หากควบคุมและถอดถอนรัฐบาลได้เช่นกัน (น.12)

- แก้ไขช่องว่างแตกต่างทางเศรษฐกิจสังคมระหว่างเมืองกับชนบท โดยพัฒนาเมืองขนาดเล็กในชนบท (ซึ่งมีเกษตรกรรมทันสมัยและอุตสาหกรรมท้องถิ่นขนาดเล็ก) และเมืองขนาดกลางในภูมิภาค (ซึ่งมีเศรษฐกิจอุตสาหกรรม) ขึ้นมาให้กลายเป็นส่วนหลักของประเทศ มีหมู่บ้านล้าหลังยากจนและกรุงเทพฯ เป็นเพียงส่วนประกอบ (น.64,75)

นี่คือสภาวะทางการเมืองแต่เดิมที่รัฐบาลทักษิณ ณ ไทยรักไทยทะเยอทะยานจะเปลี่ยนแปลงในการครองตำแหน่งสมัยแรก - ไม่ใช่ตามแนวทางปฏิรูปที่อาจารย์เอนกเสนอ หากแต่ด้วยโครงการทักษิโณมิคส์ + ทักษิณาธิปไตยของตนเอง - จนกระทั่งมันสะดุดหยุดกึกลงในรอบปีที่ผ่านมา

กระบวนการดังกล่าวดำเนินมาอย่างไร ? ด้วยเหตุผลใด ? จะขอกล่าวต่อไปข้างหน้า

3. ที่เรียกว่าสัญญาประชาคมใหม่
เจ้าของทฤษฎีสองนัคราประชาธิปไตย เคยบอกผมตั้งแต่ครั้งยังสอนหนังสืออยู่ด้วยกันที่ธรรมศาสตร์ว่า ในเมืองไทย มีพลังการเมืองเพียงสองพลังเท่านั้นที่สนใจชาวนาจริงจัง คือ ๑. พคท. ๒. ศักดินา. พูดตามความเข้าใจด้วยภาษาของผมก็คือ ใครคิดกุมอำนาจนำเหนือชาติไทย ต้องขบแก้จัดการปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างเมืองกับชนบทไทยให้จงได้

พคท.ใช้ยุทธศาสตร์ปฏิวัติ "ชนบทล้อมเมือง" ตามประธานเหมา เจ๋อ ตุง ที่สรุปเป็นสูตรว่า...อาศัยชาวนาดำเนินสงครามประชาชน สร้างฐานที่มั่นในชนบท ใช้ชนบทล้อมเมือง แล้วเข้ายึดเมืองในที่สุด...แต่ล้มเหลว ก็แล้วถ้า พคท.ยึดอำนาจสำเร็จ จะพัฒนาประเทศอย่างไร?

หากดูตัวอย่างจีนยุคเหมาฯ เมื่อยึดอำนาจรัฐได้แล้วก็ไม่ยอมเดินหนทางการพัฒนาแบบทุนนิยม และหลีกเลี่ยงความผิดพลาดในการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมนิยมแบบสหภาพโซเวียต โดยพยายามรักษาดุลยภาพระหว่างเมืองกับชนบทไว้ ไม่ให้เกิดช่องว่างถีบห่างแตกต่างกันเกินไป ประสานจังหวะก้าวการพัฒนาเมือง-ชนบทเข้าหากัน สร้างสรรค์อุตสาหกรรมท้องถิ่นควบคู่ไปกับเกษตรกรรมในคอมมูน จำกัดควบคุมการเคลื่อนย้ายประชากร โดยเฉพาะจากชนบทสู่เมืองอย่างเข้มงวด ฯลฯ

แต่กระนั้น เมื่อดูแนวโน้มภาพรวมในระยะยาว เอาเข้าจริงจีนยุคเหมาฯก็ยังโอนย้ายถ่ายเทส่วนเกินทางเศรษฐกิจ (economic surplus) จากภาคเกษตรในชนบ ไปสร้างอุตสาหกรรมหนักในเมืองผ่านกลไกบริหารจัดการเศรษฐกิจของรัฐ เพื่อแก้ปัญหาการสะสมทุนขั้นปฐม (primitive accumulation of capital) ของการเปลี่ยนแปลงประเทศเป็นแบบอุตสาหกรรม (industrialization) อยู่ดี

ขณะที่ตามตรรกะของการพัฒนาเศรษฐกิจทุนนิยม ชาวนา (the peasantry) เป็นชนชั้นที่ต้องจากไปทางประวัติศาสตร์ (depeasantization) คือต้องเกิดการแตกตัวทางชนชั้น (class differentiation) ออกเป็นกระฎุมพีกับกรรมาชีพ (bourgeoisie & proletariat) พร้อมกับการแทรกทะลวงของทุนนิยมเข้าสู่ชนบทยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับนั้น

ในเมืองไทย ทางเลือกการพัฒนาที่ถูกนำเสนอคือ แนวทางเศรษฐกิจพอเพียงในกรอบเศรษฐกิจทุนนิยมโลก โดยผูกทอสายใยเชื่อมโยงเมือง-ชนบท ผ่านโครงการพระราชดำริ นี่เป็นเรื่องราวก่อนตั้งพรรคไทยรักไทยและระบอบทักษิณได้อำนาจรัฐ

เพื่อกุมอำนาจนำเหนือชาติไทย รัฐบาลทักษิณ ณ พรรคไทยรัก ไทยได้เสนอสัญญาประชาคมใหม่เพื่อเชื่อมร้อยเมือง-ชนบท กล่าวคือ :-

จัดความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างเมืองกับชนบทเสียใหม่ โดยวางมันอยู่บนเงื่อนไขข้อแลกเปลี่ยนที่จะ [กระตุ้นความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเมืองอย่างต่อเนื่อง] + [แล้วใช้กลไกภาษี, มาตรการกึ่งการคลัง และการตั้งงบฯ กลางถ่ายโอนรายได้ไปดำเนินนโยบาย "ประชานิยม" แบบอุปถัมภ์-บริโภคนิยมสำหรับคนชนบท] ผ่านการสื่อประสานและการนำแบบรวมศูนย์องค์เดียวของรัฐบาลทักษิณ ณ พรรคไทยรักไทย

นี่คือฐานที่มาของความเข้าใจตนเองว่า "พรรคเรามันตั้งด้วยทั้งคนกรุงเทพฯ และคนต่างจังหวัด และรัฐบาลของเราก็อยู่ด้วยคนกรุงเทพฯและคนต่างจังหวัด" รวมทั้งวาทะเด็ดๆ ว่า "จังหวัดไหนมอบความไว้วางใจให้เรา ต้องดูแลเป็นพิเศษ...จังหวัดที่ไว้วางใจเราน้อย ต้องเอาไว้ทีหลัง"

เพื่อต่อสายตรงจาก [ผู้นำพรรค/รัฐบาล ---> ผ่าน รมว., ส.ส. และเจ้าหน้าที่ของพรรค/รัฐบาล ---> ไปยังคนชนบท] ก็ต้องตัดตอนนายหน้าคนกลางทางการเมืองหรือนัยหนึ่ง [เจ้าพ่อผู้มีอิทธิพล-หัวคะแนน-นักเลือกตั้ง] ออกไปเสีย

นี่เป็นที่มาส่วนหนึ่งของนโยบาย "สงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด" และ "สงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะผู้มีอิทธิพล" ที่มุ่งขจัด "ทุนล้าหลัง-ท้องถิ่น, ค้ายาเสพติด, บ่อน, ซ่อง, หวยเถื่อน" ออกไปจากวงการเมือง (ถ้อยคำของชัยอนันต์ สมุทวณิช)

ดังที่ทักษิณพูดตรงไปตรงมาในที่สัมมนาพรรคไทยรักไทยเมื่อ 18 ธ.ค. ศกก่อนว่า :-
"คำว่าพรรคการเมืองที่หัวใจคือประชาชน คือเราดิวติดต่อตรงไปยังประชาชน นายหน้าค้าความจน นายหน้าค้าความอ่อนแอทางการเมือง ผู้ที่เสียสละประโยชน์จากการที่เราทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการปราบยาเสพติด ปราบผู้มีอิทธิพล หวยเถื่อน หรือแม้กระทั่งปราบนักธุรกิจเลวๆ พวกนี้มันก็ต้องยืนตรงข้ามเราเป็นเรื่องธรรมดาแน่นอน คนเหล่านี้คือประชาชน แต่เป็นประชาชนที่เป็นนายหน้ามาโดยตลอด วันนี้เราต้องการดิวกับประชาชนที่เป็นรากหญ้า ที่เป็นประชาชนกลุ่มใหญ่ๆ ทั้งประเทศ ก็เป็นเรื่องธรรมดาของกระแสคัดค้าน...." (มติชนรายวัน, 19 ธ.ค. 2548, น.2)

ในขณะเดียวกัน รัฐบาลทักษิณ ณ พรรคไทยรักไทย ยังมุ่งพลิกเปลี่ยนเศรษฐกิจสังคมชนบทอย่างถอนรากถอนโคนด้วยนโยบาย "แปลงสินทรัพย์เป็นทุน แปลงตาสีตาสาเป็นเถ้าแก่ SME." สร้างเงื่อนไขทางกฎหมาย ยั่วให้เกษตรกรรายย่อยน้ำลายหก ในอันที่จะเอื้อมถึงสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ แลกกับการเอาที่ดินปฏิรูปไปค้ำประกัน เพื่อนำเงินมาเสี่ยงลงทุนทำธุรกิจ SME.

ส่วนที่ละไว้ในฐานที่ (มึงควร) เข้าใจ (เอาเอง) ระหว่างบรรทัดคือ :-
"แปลงสินทรัพย์เป็นทุน แปลงตาสีตาสา (ที่เก่งกับเฮง 10-20%) เป็นเถ้าแก่ (ส่วนตาสีตาสาที่ห่วยกับซวยอีก 80-90% ก็สมควรแล้วที่จะล้มละลายสิ้นเนื้อประดาตัว ถูกแปลงเป็นลูกจ้างของเถ้าแก่ไป)"

นับเป็นการเร่งรัดกระบวนการแยกสลายชนชั้นชาวนา (depeasantization) ให้แตกตัวทางชนชั้นออกเป็นเถ้าแก่กระฎุมพีและลูกจ้างกรรมาชีพรวดเร็วยิ่งขึ้น ชนชั้นเกษตรกรรายย่อยที่อำเภอ"อาจสามารถ" จังหวัดร้อยเอ็ด และที่อื่นๆ ทั่วประเทศเหล่านี้แหละคือ "คนจน" ที่จะต้องถูกขจัดให้หมดไปเพื่อเห็นแก่ความมั่งคั่งของประเทศชาติ

เมื่อเอาสัญญาประชาคมใหม่ + สงครามต่อสู้เพื่อขจัดตัดตอนนายหน้าคนกลางทางการเมือง + นโยบายแปลงสินทรัพย์เป็นทุน แปลงตาสีตาสาเป็นเถ้าแก่กับลูกจ้าง มาวางเรียงเคียงกัน เราก็จะเห็นแนวนโยบายเต็มหน้ากระดานทั้งทางการเมือง + การสร้างพรรค + การเลือกตั้ง + การพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาลทักษิณ เพื่อพลิกเปลี่ยนเงื่อนไขความสัมพันธ์ระหว่างเมืองกับชนบท ให้หลุดพ้นภาวะตีบตันตามทฤษฎี "สองนัคราประชาธิปไตย" ออกไป

เป็นแนวนโยบายที่หากลองเปรียบเทียบกับข้อเสนอปฏิรูปการเมือง เศรษฐกิจเพื่อประชาธิปไตยของเอนก เหล่าธรรมทัศน์ แล้ว ก็ยิ่งขุดรากถอนโคน เร่งร้อน รวบรัด และเด็ดขาดเหี้ยมเกรียมกว่ามาก. พูดตามความเห็นของอัมมาร สยามวาลา ก็คือ ดูๆ ไปเอาเข้าจริงนโยบายของรัฐบาลทักษิณนี้ อคติลำเอียงเข้าข้างเมืองยิ่งแรง

รัฐบาลทักษิณ ณ พรรคไทยรักไทยสมัยแรกดำเนินแนวนโยบายนี้ไปได้ระดับหนึ่ง เห็นความเปลี่ยนแปลงบ้างบางด้าน โดยเฉพาะชัยชนะในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไป ต้นปี 2548 ที่ฮือฮามาก อย่างไรก็ตาม ในปีเดียวกันนี้เอง บรรดาเงื่อนไขซึ่งเอื้ออำนวยแก่แนวนโยบายดังกล่าว ก็เริ่มคลี่คลายเปลี่ยนแปลงไปจนดูเหมือนมันติดแหง็ก ชนเพดาน ยากจะผลักดันต่อไปได้


 



บทความที่นำเสนอก่อนหน้านี้ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
หากนักศึกษาและสมาชิกท่านใตสนใจ
สามารถคลิกไปอ่านได้จากที่นี่...คลิกที่ภาพ

 

สารบัญข้อมูล : ส่งมาจากองค์กรต่างๆ

ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา 3
I สารบัญเนื้อหา 4
ประวัติ ม.เที่ยงคืน

สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง

webboard(1) I webboard(2)

e-mail : midnightuniv(at)yahoo.com

หากประสบปัญหาการส่ง e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com

ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม

 

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ทั้งหมด กว่า 800 เรื่อง หนากว่า 11500 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com

 

สมเกียรติ ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็บไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com

 

 

 

H
ขอขอบคุณ www.thaiis.com ที่ให้ใช้พื้นที่ฟรี
ภาพประกอบดัดแปลงเพื่อใช้ประโยชน์ประกอบบทความฟรีของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ไม่สงวนลิขสิทธิ์ในการนำไปใช้ประโยชน์
R
related topic
270149
release date
เว็บไซต์เผยแพร่ความรู้
เพื่อสาธารณประโยชน์

หากนักศึกษาหรือสมาชิก ประสบปัญหาภาพและตัวหนังสือซ้อนกัน กรุณาลด text size ของ font ลง
ขนาด medium จะแก้ปัญหาได้
เว็บไซต์นี้สร้างขึ้นเพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงอุดมศึกษาได้โดยไม่จำกัดคุณวุฒิ สำหรับผู้สนใจส่งบทความทางวิชาการเพื่อเผยแพร่ต่อสาธารณชน กรุณาส่งผลงานไปที่ midarticle(at)yahoo.com
The author of this work hereby waives all claim of copyright (economic and moral) in this work
and immediately places it in the public domain... [copyleft]
กรุณานำบทความไปใช้ต่อโดยอ้างอิงแหล่งที่มาตามสมควร
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนร่วมกับมูลนิธิไฮน์ริคเบิลล์ เปิดชั้นเรียนฟรีสำหรับ น.ศ. และผู้สนใจ เพื่อศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับวิถีมลายูมุสลิมอย่างรอบด้าน
บทความทุกชิ้นที่เผยแพร่บนเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน จะได้รับการเก็บรักษาเอาไว้อย่างถาวร โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไข เพื่อประโยชน์ในการอ้างอิง ความผิดพลาดใดๆก็ตามที่เกิดขึ้นจากการเผยแพร่ อาจเป็นของผู้เขียนหรือกองบรรณาธิการ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้โดยไม่เจตนา
เว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน มีการเสนอบทความใหม่ทุกวัน เพื่อสนองความต้องการของนักศึกษา และผู้สนใจที่คลิกเข้ามาหาความรู้เป็นประจำ

เพราะหากแม้นแทนที่จะอาเงินมาซื้อเสียง พวกเขาจะเลือกซื้อใจชาวบ้านด้วยการเสนอและผลักดันนโยบายที่ชาวบ้านชนบทมีส่วนร่วมกำหนด และสะท้อนแทนตามผลประโยชน์ของตัวเองอย่างแท้จริง, ก็มิอาจทำได้อีกเหมือนกัน เพราะตลาดนโยบายของรัฐถูก "ล็อค" ไว้เสียแล้ว โดยคนชั้นกลางชาวเมืองผู้พูดได้ไอดัง ครอบงำสื่อสารมวลชนทางแนวคิด และวิถีชีวิตในฐานะผู้บริโภคสื่อกลุ่มใหญ่ที่สุด จนสามารถเป็นฐานนโยบายส่งอิทธิพลกดดัน กำหนด ตีกรอบ จำกัดนโยบายหลักของรัฐให้ลำเอียงเข้าข้างเมืองเรื่อยมาได้