นักศึกษา สมาชิก และผู้สนใจทุกท่าน หากประสงค์จะตรวจดูบทความอื่นๆที่เผยแพร่บนเว็ปไซค์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ท่านสามารถคลิกไปดูได้จากตรงนี้ ไปหน้าสารบัญ
ผลงานวิชาการชิ้นนี้ เผยแพร่ครั้งแรกบนเว็ปไซต์วันที่ ๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๘ : ไม่สงวนสิทธิ์ในการใช้ประโยชน์ทางวิชาการ
เว็ปไซต์นี้สร้างขึ้นเพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงอุดมศึกษาได้โดยไม่จำกัดคุณวุฒิ
สำหรับผู้สนใจส่งบทความทางวิชาการเพื่อเผยแพร่ต่อสาธารณชน กรุณาส่งผลงานของท่านมายัง midarticle(at)yahoo.com หรือ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com
The author of this work hereby waives all claim of copyright (economic and moral) in this work and immediately places it in the public domain... [copyleft] กรุณานำบทความไปใช้ต่อโดยอ้างอิงแหล่งที่มาตามสมควร


The Midnight University

แก้ผ้ามหาอำนาจ - อเมริกันล่อนจ้อน
นาวาเศรษฐกิจสหรัฐฯ : ฤาจะเป็นเรือไททานิค?
ภัควดี วีระภาสพงษ์ : เรียบเรียง
นักวิชาการและนักแปลอิสระ

บทความชิ้นนี้ได้รับมาจากผู้เรียบเรียง
เรียบเรียง จาก
THE NAKED HEGEMON
Andre Gunder Frank
Part 1: Why the emperor has no clothes
PART 2: The center of the doughnut
www.atimes.com; Jan 6, 2005
หมายเหตุ :
อังเดร กุนเดอร์ ฟรังก์ นักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกันเชื้อสายเยอรมัน เป็นหนึ่งในเจ้าสำนักทฤษฎีพึ่งพาที่เคยมีอิทธิพลอย่างมากในสมัยทศวรรษ 1960
มีผลงานเป็นที่ยอมรับทั้งในสหรัฐอเมริกา ยุโรปและละตินอเมริกา ผลงานได้รับการแปลไปกว่า 30 ภาษาทั่วโลก
เขามีความรู้ความเชี่ยวชาญไม่เฉพาะในสาขาเศรษฐศาสตร์ แต่ยังสอนและทำงานวิจัยทั้งในสาขา
มานุษยวิทยา, สังคมวิทยา, ภูมิศาสตร์, ประวัติศาสตร์, รัฐศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
จัดว่าเป็นนักวิชาการในแนวสหวิทยาการอย่างแท้จริง
และ
What Could Go Wrong in 2005?
Marshall Auerback

www.TomDispatch.com; January 21, 2005

มาร์แชล เอาเออร์แบ็ค เป็นผู้เชี่ยวชาญทางการเงินของ David W. Tice & Associates
มีผลงานเขียนให้ Japan Policy Research Institute.
มีงานเขียนเป็นประจำทุกสัปดาห์ที่ prudentbear.com


(บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา)
บทความฟรี มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ 763
เผยแพร่บนเว็ปไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๔๘

(บทความทั้งหมดยาวประมาณ 8.5 หน้ากระดาษ A4)



นาวาเศรษฐกิจสหรัฐฯ : ฤาจะเป็นเรือไททานิค? และอะไรคือภูเขาน้ำแข็ง?

ค่าเงินดอลลาร์ที่ดิ่งลง หนี้ต่างประเทศและการขาดดุลการค้าอย่างมโหฬาร สงครามที่ยืดเยื้อในอิรัก กำลังสร้างความประหวั่นแก่นักเศรษฐศาสตร์และนักการเงินว่า ประวัติศาสตร์ อาจย่ำรอยเดิม ไม่มีใครอยากเห็นภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่เหมือนในช่วงทศวรรษ 1930 หรือความซบเซาทางเศรษฐกิจเป็นเวลายาวนานหลังสงครามเวียดนาม แต่ที่ร้ายกว่านั้น หากนาวาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชนภูเขาน้ำแข็งล่มลง เรือไททานิคยักษ์คงไม่จมลงไปลำเดียว แต่ฉุดลากเรือเล็กเรือน้อยทั่วโลกให้จมลงไปพร้อมกันด้วย

อังเดร กุนเดอร์ ฟรังก์ นักเศรษฐศาสตร์ระดับเจ้าสำนักทฤษฎีพึ่งพา กล่าวว่าอำนาจของสหรัฐฯ ตั้งอยู่บนเสาหลักสองเสา นั่นคือเพนตากอนและดอลลาร์กระดาษ หากโลกเปรียบเสมือนโดนัทที่มีรูตรงกลางกลวงโบ๋ รูตรงกลางที่ว่างเปล่านั่นแหละคือระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ประเทศอื่น ๆ ในโลกที่เป็นเนื้อวงแหวนโดนัทต้องทุ่มเททุกอย่าง เพื่อเป่าให้รูตรงกลางคงรูปคงร่างและลอยอยู่ได้ มิฉะนั้น โลกโดนัทโลกนี้จะต้องยุ่ยสลายกลายเป็นฝุ่นแป้งไปในพริบตา

หรือมันอาจจะเป็นอย่างที่มาร์แชล เอาเออร์แบ็ค ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน เปรียบไว้ว่า เศรษฐกิจของสหรัฐฯ คือกองฟางที่ราดน้ำมันจนชุ่มโชก รออยู่แต่ว่าปัจจัยตัวไหนจะกลายเป็นไม้ขีดไฟที่โยนลงไปจุดฟางกองนี้ให้ลุกพรึ่บขึ้นเท่านั้น ขณะที่บนเรือไททานิคเพิ่งเสร็จสิ้นจากการถ่ายทอดสดการแข่งขันเทนนิสระหว่างยอร์จ ดับเบิลยู บุช และจอห์น แคร์รี ซึ่งดำเนินไปอย่างดุเดือดเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของผู้โดยสารเรือ (โดยที่ผู้โดยสารลืมดูไปว่า ผู้แข่งขันทั้งสองไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย) เราลองเบนสายตาออกไปนอกเรือและพิจารณาภูเขาน้ำแข็งใหญ่ ๆ บางลูกดีกว่า

ภูเขาหนี้สิน
ภูเขาน้ำแข็งลูกแรกคือปัญหาหนี้สินในสหรัฐฯ สมมติฐานที่มักเชื่อตาม ๆ กันก็คือ การเพิ่มปริมาณสินเชื่อจะช่วยกระตุ้นอุปสงค์ของผู้บริโภค มันอาจใช้ได้ในระยะสั้น แต่ในระยะยาวนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อดูจากระดับหนี้สินในสหรัฐฯ ที่สูงอยู่แล้ว การขยายสินเชื่อกลับกลายเป็นตัวถ่วงระบบเศรษฐกิจได้เหมือนกัน สัญญาณมีมาให้เห็นแล้ว กล่าวคือ แม้จะมีการขยายสินเชื่อครั้งมโหฬารในประวัติศาสตร์ แต่เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดีบุชสมัยที่แล้วกลับขยายตัวได้อย่างกระปลกกระเปลี้ยเต็มทน

หนี้สินครัวเรือนของลุงแซม เช่น หนี้บัตรเครดิต สูงถึง 100% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (จีดีพี) ส่วนรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ตอนนี้มีหนี้ถึง 7.5 ล้านล้านดอลลาร์ แม้ส่วนใหญ่เป็นหนี้ที่สะสมมาตลอดสามสิบปี แต่เพียงแค่สองปีที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯ สร้างหนี้เพิ่มขึ้นถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ นี่หมายถึงดอกเบี้ยมูลค่า 300 พันล้านดอลลาร์ต่อปี เท่านี้ยังไม่พอ ล่าสุด สภาคองเกรสอนุมัติเพดานเงินกู้ขึ้นไปเป็น 8.2 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อให้เห็นภาพกันชัด ๆ เงิน 1 ล้านล้านดอลลาร์เทียบได้กับธนบัตรใบละพันดอลลาร์กองสูง 100 กิโลเมตร

ถ้ารวมหนี้สินของภาครัฐและเอกชนเข้าด้วยกัน กล่าวคือหนี้ครัวเรือน เช่น บัตรเครดิต การจำนอง ฯลฯ หนี้ของผู้ประกอบการและสถาบันการเงิน หนี้พันธบัตร ตราสารอนุพันธ์ ฯลฯ หนี้ของรัฐบาลทั้งส่วนกลาง มลรัฐและท้องถิ่น จำนวนหนี้ทั้งหมดจะมหึมาจนจินตนาการไม่ออก โดยมีมูลค่าประมาณ 37 ล้านล้านเหรียญ

ในขณะเดียวกัน ชาวอเมริกันที่ถูกกระตุ้นให้บริโภคอยู่ตลอดเวลา มีเงินออมลดลงไปจนเหลือเพียง 0.2% ของรายได้ เมื่อเปรียบเทียบกับประชาชนในประเทศยากจนที่มักมีเงินออม 20-30% ของรายได้ เงินออมของชาวอเมริกันหายไปในมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังโป่งพองเป็นฟองสบู่ หากฟองสบู่แตกเมื่อไร มันจะสร้างผลกระทบเป็นโดมิโนขึ้นมาทันที แค่ตัวแปรตัวนี้ก็สามารถทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ตกอยู่ในภาวะถดถอยเป็นเวลานานได้

ภูเขาเจ้าหนี้ต่างประเทศ
เจ้าหนี้รายใหญ่ของสหรัฐฯ นั้น ก็คือบรรดาประเทศที่เป็นเนื้อโดนัทของระบบเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจสหรัฐฯ เฟื่องฟูมาได้ก็ด้วยการกู้ยืมเงินจากต่างประเทศ เพื่อให้ผู้บริโภคชาวอเมริกันมีปัญญาซื้อสินค้านำเข้า ซึ่งเท่ากับไปเพิ่มการขาดดุลการค้าอีกทีหนึ่ง โดยที่ชาวอเมริกันไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย แต่ความมั่งคั่งของสังคมอเมริกันนั้นได้มาจาก "ความเอื้ออาทรของคนแปลกหน้า" หาใช่ความสามารถทางเศรษฐกิจแต่อย่างใด (สินค้าเพียงสองอย่างที่สหรัฐฯ สามารถส่งออกคือ สินค้าทางการเกษตรและอาวุธสงคราม ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลอเมริกันจำนวนมหาศาล)

สหรัฐฯ สามารถรีดเร้นเอาความเอื้ออาทรมาจากประเทศต่าง ๆ ก็เพราะมันเป็นประเทศเดียวในโลกที่สามารถพิมพ์เงินสำรองของโลกออกมาได้ตามใจชอบ หากมองในแง่เศรษฐกิจล้วน ๆ เงินดอลลาร์ไม่ได้มีมูลค่าอะไรเลยนอกจากแผ่นกระดาษกับน้ำหมึก ลุงแซมสามารถผลักภาระเงินเฟ้อที่เกิดจากการพิมพ์ดอลลาร์ล้นเกิน (ซึ่งเฟ้อไปแล้วอย่างน้อยสามเท่า) ไปไว้ที่ประเทศอื่น ๆ และอย่าลืมว่าหนี้ "ต่างประเทศ" ของสหรัฐฯ เกือบทั้งหมด เป็นหนี้ในสกุลเงินดอลลาร์ของสหรัฐฯ เอง ประเทศอื่น ๆ ทั้งที่เป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้ต่างก็ต้องมารุมซื้อเงินดอลลาร์จากสหรัฐฯ

ดังนั้น ลุงแซมจึงมีชีวิตมั่งคั่งด้วยการบริโภคความอุดมสมบูรณ์และหยาดเหงื่อแรงงานจากประเทศที่เหลือในโลก สหรัฐฯ ไม่วิตกกังวลเรื่องเงินออมก็เพราะมันดูดซับเงินออมไปจากประชาชนประเทศอื่น ๆ ที่ยากจนกว่า โดยเฉพาะบรรดาประเทศที่ธนาคารกลางใช้สกุลเงินดอลลาร์เป็นเงินสำรองระหว่างประเทศ ยังไม่นับนักลงทุนเอกชนที่เอาเงินมาลงทุนในวอลล์สตรีท หากดูเฉพาะธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ ในปีหนึ่ง ๆ สหรัฐฯ ได้มากกว่า 100 พันล้านดอลลาร์จากยุโรป กว่า 100 พันล้านดอลลาร์จากจีน 140 พันล้านดอลลาร์จากญี่ปุ่น และอีกหลายสิบพันล้านดอลลาร์จากทั่วโลก ซึ่งรวมถึงโลกที่สาม

แต่เจ้าหนี้ต่างประเทศที่คอยค้ำชูสหรัฐฯ มาตลอด อาจกลายเป็นภูเขาล่มเรือไททานิคลงได้ ถ้าเพียงแค่เจ้าหนี้บางราย โดยเฉพาะรายใหญ่ ๆ อย่างญี่ปุ่น จีนและยุโรป เกิดตัดสินใจลดการให้เงินกู้ยืมแก่สหรัฐฯ ด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ (เรื่องการทวงคืนหนี้เดิมนั้นเป็นอันตัดไปได้ เพราะประเทศเหล่านี้รู้แก่ใจดีว่า มันเป็นไปไม่ได้ และสหรัฐฯ เองก็ไม่เคยคิดจะคืนหนี้ให้ใครเลย แม้ตัวเองจะเรียกร้องให้ประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะโลกที่สาม เข้มงวดในการชำระหนี้ก็ตาม)

ระบบเศรษฐกิจสหรัฐฯ ตั้งอยู่บนความเชื่อว่า ประเทศเจ้าหนี้ทั้งหลาย โดยเฉพาะจีนและญี่ปุ่น เต็มใจที่จะค้ำจุนสภาพที่เป็นอยู่นี้ไปตลอดกาล เพราะการส่งออกสินค้าและการจ้างงานในประเทศมีมูลค่าเกินกว่าจะยอมเสี่ยงให้ตลาดผู้บริโภคที่สำคัญที่สุดล่มสลายลง แต่ลองจินตนาการดูว่า หากมีชนวนอะไรสักอย่างที่ส่อเค้าลางให้เห็นวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ ยกตัวอย่างเช่น…

เกิดวิกฤตการณ์ธนาคารในจีน (ซึ่งโป่งพองเป็นฟองสบู่อยู่แล้วในขณะนี้) ปักกิ่งอาจไม่มีทางเลือก นอกจากเริ่มเทขายพันธบัตรสหรัฐฯ บางส่วนออกไป เพื่อนำเงินส่วนนี้มาแก้ปัญหาระบบการเงินของตน หรือบรรเทาความไม่สงบทางการเมืองที่เกิดจากการว่างงานในประเทศ โครงสร้างสถาปัตยกรรมการเงินโลกอันง่อนแง่น อาจพังครืนลงมาทันที

อันที่จริง มีสัญญาณส่อเค้ามาแล้วว่า จีนอาจมีความตั้งใจระยะยาวบางอย่างเกี่ยวกับเงินดอลลาร์ นับแต่ปี ค.ศ. 2001 จีนเน้นการถือครองดอลลาร์เป็นเงินสกุลหลักมาตลอด แต่พอมาปีที่แล้ว ขณะที่ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของจีนเพิ่มขึ้นถึง 112 พันล้านดอลลาร์ อัตราส่วนของเงินจำนวนนี้ที่เป็นดอลลาร์กลับมีแค่ 25% หรือ 25 พันล้านดอลลาร์เท่านั้น

ปักกิ่งเริ่มแสดงท่าทีว่า มันต้องการกระจายสกุลเงินในทุนสำรองเงินตราต่างประเทศออกไป และให้ความสำคัญแก่ดอลลาร์น้อยลง ในฐานะเจ้าหนี้ต่างประเทศรายใหญ่ที่สุดของอเมริกา หากจู่ ๆ จีนตัดสินใจเคลื่อนย้ายเงินทุนไปที่อื่น สินเชื่อที่ผู้บริโภคชาวอเมริกันเคยได้มาง่าย ๆ ย่อมเหือดหายลงทันใด อัตราดอกเบี้ยในสหรัฐฯ อาจพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนทำให้มาตรฐานการครองชีพของชาวอเมริกันจำนวนมากตกต่ำลงอย่างเฉียบพลัน

ต่อให้จีน ญี่ปุ่นและประเทศเอเชียตะวันออกอื่น ๆ ร่วมใจกันเป่าฟองสบู่การเงินสหรัฐฯ ไปเรื่อย ๆ แต่การปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ก็อาจถูกจุดชนวนขึ้นมาจากการบริโภคล้นเกินจนส่งผลกระทบต่อการเงิน การจัดทำงบประมาณขาดดุลและเงินออมครัวเรือนที่เหลือแค่ศูนย์เป็นส่วนผสมที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในประวัติศาสตร์ ในสมัยทศวรรษ 1980 เมื่อการขาดดุลงบประมาณของส่วนกลางอยู่ในระดับเดียวกัน แต่ตอนนั้นอัตราเงินออมครัวเรือนยังอยู่ที่ 9% ลองนึกภาพว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากเกิดภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจ ขณะที่ไม่มีเงินออมในประเทศเลย

ภูเขาสงคราม
สงครามอิรักที่มีแนวโน้มจะยืดเยื้อเรื้อรังออกไปคล้ายสงครามเวียดนามคือภูเขาลูกต่อไป หากลองย้อนกลับไปดูสงครามเวียดนาม ในสมัยประธานาธิบดีจอห์นสันและนิกสัน รัฐบาลของสองประธานาธิบดีในสมัยนั้น หาเงินมาสนับสนุนการทำสงครามด้วยการกู้ยืมและปล่อยให้เกิดภาวะเงินเฟ้อเช่นกัน โดยไม่ยอมเก็บภาษีเพิ่มขึ้นเพราะกริ่งเกรงจะเสียความนิยมทางการเมือง ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ตามมาจากสงครามเวียดนามคือ ภาวะวิกฤตซ้ำซ้อนที่ต่อเนื่องยาวนาน ตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1960 เรื่อยมาจนถึงปี ค.ศ. 1982

ในแง่หนึ่ง การที่ค่าเงินดอลลาร์ตกต่ำลงเรื่อย ๆ ตลอดปีที่แล้ว (โดยเฉพาะในอัตราแลกเปลี่ยนกับเงินยูโร) ทั้ง ๆ ที่ธนาคารกลางของหลายประเทศพยายามเข้ามาแทรกแซงแล้วก็ตาม มันสะท้อนถึงการสูญเสียความน่าเชื่อถือในการดำเนินนโยบายของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการผูกโยงเงินดอลลาร์กับเพนตากอนเพื่อออกไปล่าอาณานิคมยุคใหม่ ประเทศที่ไม่สามารถผลิตสิ่งที่ตัวเองต้องการและหันไปลงทุนในด้าน "ความมั่นคง" ทางการทหารแทน ลงท้ายมันจะพาตัวเองไปอยู่ในจุดที่ต้องใช้กำลังทหารบังคับ หรือขู่บังคับสิ่งที่ต้องการจากคนอื่นร่ำไป

วิธีการแบบจักรวรรดินิยมอาจใช้ได้ผลในช่วงแรก ๆ แต่มันไม่ใช่วิธีที่ยั่งยืน มันก็เหมือนการน้าวสายคันธนูไปเรื่อย ๆ ซึ่งต้องสุดล้าเข้าสักวันหนึ่ง สหรัฐฯ กำลังเผชิญกับข้อเท็จจริงว่า มันไม่สามารถปกป้องผลประโยชน์ทั้งหมดของตนในโลกได้พร้อมกัน ขณะที่มันทุ่มเทความสนใจไปที่ตะวันออกกลาง ละตินอเมริกากำลังจะแข็งข้อ สหรัฐฯ ที่มีจีดีพี 11 ล้านล้านดอลลาร์และงบประมาณการทหารเฉียด 500 พันล้านเหรียญ (ไม่นับงบพิเศษเพิ่มเติมอีกหลายสิบพันล้าน) ยังไม่สามารถเผด็จชัยชนะเด็ดขาดเหนือกองกำลังติดอาวุธกระจอก ๆ 10,000-20,000 คน ในอิรักที่มีจีดีพีก่อนสงครามน้อยกว่าบรรษัทข้ามชาติใหญ่ ๆ เสียอีก

และหากพิจารณาประวัติศาสตร์ให้ดี สหรัฐฯ ไม่เคยทำสงครามชนะประเทศใหญ่ ๆ ประเทศไหนในโลก และแม้แต่ประเทศเล็ก ๆ ก็มีน้อยมากที่สหรัฐฯ ชนะอย่างเด็ดขาด ถ้าจะหลับหูหลับตาอ้างตามหนังฮอลลีวู้ดว่า สหรัฐฯ ชนะญี่ปุ่นและชนะสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ในทางประวัติศาสตร์ ญี่ปุ่นขอยอมแพ้สงครามตั้งแต่ก่อนที่สหรัฐฯ จะทิ้งระเบิดปรมาณู และชัยชนะขั้นเด็ดขาดของฝ่ายพันธมิตรที่มีเหนือฝ่ายอักษะเกิดขึ้น เมื่อกองทัพรัสเซียรบชนะกองทัพนาซีที่เมืองสตาลินกราดในปี ค.ศ. 1943 ต่างหาก สหรัฐฯ จะเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สองหรือไม่ แทบไม่มีผลต่อการยุติสงครามโลกเลย (แต่มีผลอย่างมากต่อโฉมหน้าของโลกหลังสงคราม)

นอกจากเวียดนามที่กลายเป็นความอดสูของมหาอำนาจลุงแซม สหรัฐฯ เคยบุกเกรนาดา (มีประชากรทั้งหมด 300,000 คน) นิคารากัว (โดยอาศัยความร่วมมือจากอิหร่าน) ปานามา (ฆ่าพลเรือนไป 7,000 คนในคืนเดียว เพื่อจับตัวเพื่อนเก่าของบุชผู้พ่อที่มีชื่อว่า มานูเอล นอริเอกา) อิรัก, โซมาเลีย และยูโกสลาเวีย (ยูโกสลาเวียยอมแพ้ก็ต่อเมื่อรัสเซียถอนความช่วยเหลือไปแล้ว) อัฟกานิสถาน (ด้วยความช่วยเหลือของรัสเซียเช่นกัน) และอิรักในปัจจุบัน นอกจากเกรนาดาแล้ว แทบไม่มีประเทศไหนที่สหรัฐฯ เอาชนะได้ด้วยกำลังทหารเพียงอย่างเดียว และในเกือบทุกประเทศที่กล่าวถึงข้างต้น ลงท้ายสหรัฐฯ ก็ต้องไปขอร้องสหประชาชาติให้เข้าไปช่วยเก็บเศษซากที่หลงเหลือจากสงครามทุกครั้ง

ภูเขาน้ำแข็งสีดำที่เรียกว่า น้ำมัน
แม้ว่าประธานาธิบดีบุชไม่เคยเอ่ยคำว่า น้ำมัน ในคำปราศรัยครั้งใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับอิรัก แต่ทุกคนรู้อยู่แก่ใจดีว่า ปัญหาน้ำมันครอบงำการดำเนินนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ดังที่อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ นายเจมส์ เบเกอร์ กล่าวไว้ในปี ค.ศ. 2001 ว่า

"...โลกกำลังก้าวเข้าสู่ภาวะหมิ่นเหม่ต่อการใช้ความสามารถในการผลิตน้ำมันจนถึงขีดสุด มีโอกาสเกิดวิกฤตการณ์น้ำมัน ที่จะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงยิ่งกว่าครั้งใดในรอบสามทศวรรษ ปัจจัยนี้จะส่งผลกระทบต่อเป้าหมายทางนโยบายของสหรัฐฯ ในทุก ๆ ด้าน ทั้งนโยบายที่มีต่อตะวันออกกลาง อดีตสหภาพโซเวียตและจีน รวมทั้งการต่อสู้กับการก่อการร้ายระหว่างประเทศ"

แต่ไหนแต่ไรมา ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นจะตามมาด้วยภาวะเศรษฐกิจถดถอยเสมอ ในสภาพที่รุงรังด้วยหนี้สิน หากราคาน้ำมันยังขึ้นไปเรื่อย ๆ มันอาจกลายเป็นชนวนให้เกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจในสหรัฐฯ โดยเฉพาะถ้าประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่บางราย อาทิเช่น รัสเซีย เริ่มส่งออกน้ำมันเป็นเงินยูโร มันจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนตัวอยู่แล้วดิ่งลงเหวทันที

ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นไม่ได้เป็นเพียงผลสะท้อนจากความไม่แน่นอนทางการเมือง และความขัดแย้งในตะวันออกกลางเท่านั้น ยังมีเหตุผลอื่น ๆ ที่ทำให้คาดการณ์ได้ว่า ราคาน้ำมันจะสูงขึ้นต่อไปตลอดสองถึงสามทศวรรษหน้า ปัจจัยหนึ่งที่สำคัญมากคือ ความต้องการบริโภคน้ำมันของเสือเศรษฐกิจตัวใหม่ โดยเฉพาะจีนและอินเดีย

แม้ว่าในปัจจุบัน จีนยังคงเป็นเหมือนเพื่อนตายของสหรัฐฯ (คือถ้าใครคนใดคนหนึ่งตาย ย่อมฉุดอีกคนตายตามไปด้วย) แต่ปัญหาการแย่งชิงพลังงาน อาจกลายเป็นชนวนความขัดแย้งระหว่างเพื่อนตายได้ในอนาคตข้างหน้า. Yukon Huang ที่ปรึกษาอาวุโสของธนาคารโลก ตั้งข้อสังเกตเมื่อไม่นานมานี้ว่า การที่จีนต้องพึ่งพิงการนำเข้าน้ำมัน (รวมทั้งปัญหาสิ่งแวดล้อมและการขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรง) จะกลายเป็นปัญหาสำคัญที่คุกคามการพัฒนาทางเศรษฐกิจในระยะเวลาอันใกล้นี้ นั่นคือ ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า

จีนเองก็สำเหนียกถึงเค้าลางนี้ดี และเริ่มดำเนินนโยบายระยะยาวที่อาจขัดขาสหรัฐฯ ยกตัวอย่างเช่น ประธานาธิบดี อูโก ชาเวซของเวเนซุเอลา เพิ่งกลับจากการเยือนประเทศจีนในช่วงคริสต์มาส พร้อมกับสัญญาการซื้อขายน้ำมันกับจีน (โปรดอย่าลืมว่า ชาเวซคือหนามยอกอกของสหรัฐฯ ที่ยังบ่งไม่ออก ตอนนี้เวเนซุเอลา คิวบา และบราซิลกำลังได้รับเกียรติเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่ง "อักษะของความชั่วร้าย" ชุดที่สอง) แม้แต่แคนาดาก็กำลังต่อรองที่จะขายหนึ่งในสามของปริมาณน้ำมันสำรองให้จีน

กลุ่มบริษัท CNOOC ซึ่งเป็นบรรษัทด้านน้ำมันและก๊าซที่ใหญ่ที่สุดของจีน กำลังพิจารณาข้อเสนอมูลค่ากว่า 13 พันล้านเหรียญ เพื่อซื้อหุ้นของบริษัทอเมริกันคู่แข่ง-ยูโนแคล เมื่อดูจากขนาดของการทำธุรกรรม เห็นได้ชัดว่ารัฐบาลจีนต้องมีบทบาทอยู่เบื้องหลัง สะท้อนให้เห็นเงาตะคุ่มของการแข่งขันแย่งชิงพลังงานโลกระหว่างจีนกับสหรัฐฯ

น้ำมันกำลังจะเป็นปัจจัยขีดเส้นตายให้เกิดสงครามเย็นระดับโลกครั้งที่สอง ความต้องการพลังงานอย่างไม่สิ้นสุด กำลังผลักดันให้ประเทศผู้ผลิตและบริโภคน้ำมันจับกลุ่มเป็นแนวพันธมิตร มีแนวโน้มให้เห็นว่า การจับกลุ่มเพื่อตั้งประจันกับมหาอำนาจอเมริกันกำลังอยู่ในระยะตั้งไข่ กลุ่มพันธมิตรนี้น่าจะประกอบด้วย บราซิล, จีน, อินเดีย, อิหร่าน, รัสเซีย และเวเนซุเอลา

ประธานาธิบดี ปูตินตอบโต้ยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ที่เข้ามาตั้งฐานทัพในดินแดนของอดีตสหภาพโซเวียต ด้วยการจับมือเป็นพันธมิตรทางด้านอุตสาหกรรมน้ำมันกับอิหร่าน โดยมีเป้าหมายที่จะเปิดเส้นทางขนส่งน้ำมันจากเขตทางใต้ของทะเลสาบแคสเปียนไปยังอิหร่าน พร้อมกับเสนอหุ้นในบริษัทน้ำมันยูคอส (อดีตบริษัทน้ำมันเอกชนของรัสเซีย ที่รัฐบาลปูตินบีบให้ล้มละลายและยึดมาเป็นของรัฐ) ให้จีน

(นี่อาจเป็นเหตุผลให้ประธานาธิบดีบุชเปรยว่า อิหร่านอาจเป็นเป้าหมายต่อไป เพราะในบรรดากลุ่มพันธมิตรนี้ อิหร่านเป็นข้อต่อที่อ่อนแอที่สุด)

ในโลกมหาอำนาจขั้วเดียว ท่าทีของประเทศเหล่านี้เป็นการท้าทายอย่างน่าหวาดเสียว แต่มันก็เป็นอาการที่ส่อให้เห็นว่า สหรัฐอเมริกาอาจกำลังเป็นยักษ์ในช่วงขาลงเสียแล้ว แต่มันก็ยังเป็นยักษ์ที่พร้อมจะฟาดโลกให้แหลกลาญหากเข้าตาจนขึ้นมา การครองความเป็นใหญ่ทางทหารและเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะยังคงเป็นแกนหลักที่เหวี่ยงโลกไปในทิศทางต่าง ๆ แต่ขีดจำกัดของมันก็เริ่มปรากฏชัดขึ้นเรื่อย ๆ เราคงต้องจับตาดูและตั้งรับให้ดี

หากเรือไททานิคชนภูเขาน้ำแข็ง...?
อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อเรือไททานิคของลุงแซมชนภูเขาลูกใดลูกหนึ่ง มันย่อมไม่จมลงไปเงียบ ๆ ลำเดียว แต่คงระเบิดกัมปนาทไปทั่วโลก การตกต่ำของเศรษฐกิจสหรัฐฯ หรือแม้กระทั่งแค่ชะลอตัวหรือถดถอย จะลดทอนปริมาณการบริโภคของชาวอเมริกันลงสู่ระดับของความเป็นจริง ซึ่งหมายถึงสร้างความเจ็บปวดแก่ประเทศผู้ส่งออกและผู้ผลิตเกือบทั่วโลก มันอาจขยายกลายเป็นการปรับขบวนเศรษฐกิจโลกขั้นพื้นฐานอย่างถึงรากถึงโคนก็เป็นได้

เมื่อใดที่รูโหว่ตรงกลางขนมโดนัทระเบิดออก เนื้อโดนัทย่อมขาดกระจุยเป็นชิ้น ๆ คนหลายร้อยล้านคนจะต้องประสบกับภาวะวิกฤตอย่างไม่เคยเห็นและนึกภาพไม่ออก เพราะเหตุนี้เอง คนส่วนใหญ่ ไม่ว่ารวยหรือจน มีอำนาจหรือไร้อำนาจ ต่างก็มีส่วนได้ส่วนเสียที่ผูกติดกับระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ดังนั้น หากไม่ถึงที่สุด ทุกประเทศที่เป็นเนื้อโดนัทต่างต้องพยายามเป่าลุงแซมต่อไป ถึงจะเป่าจนโป่งเป็นลูกบอลลูนก็ต้องยอม หรือหากจะเปรียบอีกอุปมาหนึ่งก็คือ ทุกคนต้องเสแสร้งต่อไปจนถึงที่สุดว่า จักรพรรดิยังฉลองพระองค์เต็มยศ แม้ความจริงจะแก้ผ้าล่อนจ้อนก็ตาม

การพังทลายของระบบเศรษฐกิจสหรัฐฯ ครั้งนี้ ย่อมฉุดลากให้โลกทั้งโลกต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน ขณะที่ระบบเศรษฐกิจโลกปรับตัวขนานใหญ่ คนยากไร้ย่อมโดนผลกระทบอย่างรุนแรงที่สุด เมื่อผนวกกับปรากฏการณ์ความแห้งแล้งเอลนีโญ ที่กำลังคุกคามหลาย ๆ ประเทศ ภัยพิบัติคงเลวร้ายสุดคาดคิด

ภูมิภาคที่อาจเอาตัวรอดได้ดีกว่าส่วนอื่น ๆ ในโลก คงจะเป็นเอเชียตะวันออก โดยเฉพาะจีน ซึ่งมีปริมาณการผลิตล้นเกิน แต่มีการบริโภคภายในประเทศต่ำเกินไป จีนอาจต้องปรับตัวครั้งใหญ่ และแทนที่จะส่งสินค้าราคาถูกเหมือนของฟรีให้ชาวอเมริกันบริโภค จีนคงต้องหันมาหาตลาดภายในประเทศแทน แต่นั่นหมายถึงการปรับเปลี่ยนทางการเมืองและเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในแดนมังกร

หลังจากเรือไททานิคชนภูเขาน้ำแข็ง โลกย่อมเปลี่ยนโฉมหน้าไปโดยสิ้นเชิง แป้งร่วน ๆ ที่เคยเป็นขนมโดนัทจะถูกปั้นเป็นขนมอะไร ย่อมขึ้นอยู่กับมือใครเป็นคนปั้น (หมายถึงถ้ายังมีแป้งและมือคนเหลืออยู่บ้าง!)

ภัควดี วีระภาสพงษ์
เรียบเรียงจาก
Andre Gunder Frank, THE NAKED HEGEMON
Part 1: Why the emperor has no clothes
PART 2: The center of the doughnut, www.atimes.com; Jan 6, 2005
(อังเดร กุนเดอร์ ฟรังก์ นักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกันเชื้อสายเยอรมัน เป็นหนึ่งในเจ้าสำนักทฤษฎีพึ่งพาที่เคยมีอิทธิพลอย่างมากในสมัยทศวรรษ 1960 มีผลงานเป็นที่ยอมรับทั้งในสหรัฐอเมริกา ยุโรปและละตินอเมริกา ผลงานได้รับการแปลไปกว่า 30 ภาษาทั่วโลก เขามีความรู้ความเชี่ยวชาญไม่เฉพาะในสาขาเศรษฐศาสตร์ แต่ยังสอนและทำงานวิจัยทั้งในสาขามานุษยวิทยา, สังคมวิทยา, ภูมิศาสตร์, ประวัติศาสตร์, รัฐศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จัดว่าเป็นนักวิชาการในแนวสหวิทยาการอย่างแท้จริง)

Marshall Auerback, "What Could Go Wrong in 2005?", www.TomDispatch.com; January 21, 2005
(มาร์แชล เอาเออร์แบ็ค เป็นผู้เชี่ยวชาญทางการเงินของ David W. Tice & Associates มีผลงานเขียนให้ Japan Policy Research Institute. มีงานเขียนเป็นประจำทุกสัปดาห์ที่ prudentbear.com)


 




บทความที่นำเสนอก่อนหน้านี้ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
หากนักศึกษาและสมาชิกท่านใตสนใจ
สามารถคลิกไปอ่านได้จากที่นี่...คลิกที่ภาพ

 

สารบัญข้อมูล : ส่งมาจากองค์กรต่างๆ

ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา 3
I สารบัญเนื้อหา 4
ประวัติ ม.เที่ยงคืน

สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง

webboard(1) I webboard(2)

e-mail : midnightuniv(at)yahoo.com

หากประสบปัญหาการส่ง e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com

ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม

 

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็ปไซคทั้งหมด กว่า 700 เรื่อง หนากว่า 10000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com

 

สมเกียรติ ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็ปไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com

 

 

 

H
ภาพประกอบดัดแปลงเพื่อใช้ประกอบบทความฟรีสำหรับนักศึกษา จัดทำโดยมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน เพื่อให้ทุกคนที่สนใจศึกษาสามารถ เข้าถึงอุดมศึกษาได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายหรือค่าธรรมเนียมใดๆทั้งสิ้น
ขอขอบคุณ www.thaiis.com ที่ให้ใช้พื้นที่ฟรี

หนี้สินครัวเรือนของลุงแซม เช่น หนี้บัตรเครดิต สูงถึง 100% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (จีดีพี) ส่วนรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ตอนนี้มีหนี้ถึง 7.5 ล้านล้านดอลลาร์ แม้ส่วนใหญ่เป็นหนี้ที่สะสมมาตลอดสามสิบปี แต่เพียงแค่สองปีที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯ สร้างหนี้เพิ่มขึ้นถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ นี่หมายถึงดอกเบี้ยมูลค่า 300 พันล้านดอลลาร์ต่อปี เท่านี้ยังไม่พอ ล่าสุด สภาคองเกรสอนุมัติเพดานเงินกู้ขึ้นไปเป็น 8.2 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อให้เห็นภาพกันชัด ๆ เงิน 1 ล้านล้านดอลลาร์เทียบได้กับธนบัตรใบละพันดอลลาร์กองสูง 100 กิโลเมตร

ถ้ารวมหนี้สินของภาครัฐและเอกชนเข้าด้วยกัน กล่าวคือหนี้ครัวเรือน หนี้ของผู้ประกอบการและสถาบันการเงิน จำนวนหนี้ทั้งหมดจะมหึมาจนจินตนาการไม่ออก โดยมีมูลค่าประมาณ 37 ล้านล้านเหรียญ

 


 

R
related topic
031248
release date
คลิกไปหน้าสารบัญ(1)
คลิกไปหน้าสารบัญ
(2)
คลิกไปหน้าสารบัญ(3)
คลิกไปหน้าสารบัญ(4)
เพื่อดูบทความใหม่สุด
เว็ปไซต์เผยแพร่ความรู้
เพื่อสาธารณประโยชน์

หากนักศึกษาหรือสมาชิก ประสบปัญหาภาพและตัวหนังสือซ้อนกัน กรุณาลด text size ของ font ลง
จะช่วยแก้ปัญหาได้


อุดมศึกษาบนเว็ปไซต์ เพียงคลิกก็พลิกผันความรู้ ทำให้เข้าใจและเรียนรู้โลกมากขึ้น
สนใจค้นหาความรู้ในสารานุกรมมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน คลิกที่แบนเนอร์สีน้ำเงิน
สนใจเพิ่มพูนความรู้เกี่ยวกับคำศัพท์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน คลิกที่แบนเนอร์สีแดง