The Midnight University
ไม่จำเป็นต้องเอาชนะโลก
แค่สร้างมันขึ้นมาใหม่ก็พอแล้ว
การปฏิวัติแบบพาราด็อกซ์ของชาวซัปปาติสตา
พิภพ
อุดมอิทธิพงศ์ : แปล
นักวิชาการอิสระ
หมายเหตุ
บทความนี้ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่โดยคุณพิภพ อุดมอิทธิพงศ์
ผู้แปลหนังสือเรื่อง รั้วกับหน้าต่าง เขียนโดย นาโอมี ไคลน์
เรื่องราวของการต่อสู้ของประชาชนทั่วโลกกับอำนาจทุนข้ามชาติขนาดใหญ่ในยุคโลกาภิวัตน์
สำหรับบทความนี้นำมาจากหัวข้อเดิมชื่อ
ขบถในเชียปาส
รองผู้บัญชาการมาร์กอสและชาวซัปปาติสตา
กับการปฏิวัติที่อาศัยคำพูดมากกว่ากระสุนปืน
(บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา)
บทความฟรี
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ 740
เผยแพร่บนเว็ปไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๘
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ 11.5 หน้ากระดาษ A4)
http://aztlan.net/zapafotos.htm
http://aztlan.net/zocalo.htm
(ผู้สนใจสามารถคลิกไปดูภาพเพิ่มเติมได้ที่ URL ดังกล่าว)
Our
Word is Our Weapon
ขบถในเชียปาส
รองผู้บัญชาการมาร์กอสและชาวซัปปาติสตา
กับการปฏิวัติที่อาศัยคำพูดมากกว่ากระสุนปืน
มีนาคม 2544
เมื่อหนึ่งเดือนที่แล้ว ดิฉันได้รับอีเมล์จากเกรก รุทจิเอโร่ ผู้จัดพิมพ์หนังสือ "คำพูดของเราคืออาวุธของเรา" (Our Word is Our Weapon) ซึ่งรวบรวมงานเขียนของรองผู้บัญชาการมาร์กอส โฆษกของกองทัพเพื่อการปลดปล่อยแห่งชาติซัปปาติสตาแห่งแคว้นเชียปาส เม็กซิโก เขาบอกว่ากลุ่มผู้บัญชาการของกองทัพซัปปาติสตา จะเดินทางเป็นกองคาราวานมายังกรุงเม็กซิโกซิตี้ และเหตุการณ์ครั้งนี้จะยิ่งใหญ่เทียบได้กับ "การเดินขบวนที่นำโดยนายมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ในกรุงวอชิงตัน" ทีเดียว
ดิฉันจ้องดูประโยคนี้เป็นเวลานาน ดิฉันเคยดูหนังข่าวที่แสดงภาพของนายคิงขณะกล่าวคำว่า "ข้าพเจ้ามีความฝัน" มานับหมื่นครั้ง โดยมากมักจะเป็นโฆษณาขายกองทุนรวม หรือรายการข่าวตามเคเบิ้ลทีวี ด้วยความที่เติบโตหลังประวัติศาสตร์สิ้นสุดไปแล้ว ดิฉันจึงไม่คิดว่าจะมีประวัติศาสตร์ช่วงใดที่สะกดด้วยตัว H (ยิ่งใหญ่) ในลักษณะเดียวกันเกิดขึ้นอีก
พอรู้ตัวอีกที ดิฉันกำลังโทรศัพท์ไปที่สายการบิน ยกเลิกกำหนดการกับที่ต่าง ๆ กล่าวขอโทษอย่างวุ่นวายโดยอ้างถึงกลุ่มซัปปาติสตาและมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ใครจะไปสนล่ะว่ามันฟังดูไม่เข้าท่าสักเท่าไร ดิฉันรู้อยู่อย่างเดียวว่า ต้องไปอยู่ที่กรุงเม็กซิโกซิตี้ในวันที่ 11 มีนาคม 2544 ให้ได้ ซึ่งเป็นวันที่นายมาร์กอสและชาวซัปปาติสตามีกำหนดยาตราครั้งยิ่งใหญ่เข้าสู่เมืองหลวง
ตอนนี้คงเป็นช่วงเวลาเหมาะที่จะสารภาพว่า ดิฉันเองไม่เคยไปที่เชียปาสมาก่อน ไม่เคยจาริกแสวงบุญไปที่ป่าลาคันดอน ไม่เคยนั่งอยู่ท่ามกลางโคลนและหมอกในลา เรียลลีดัด ไม่เคยขอหรือนัดหมายพูดคุยกับรองผู้บัญชาการมาร์กอส บุรุษผู้ใส่หน้ากาก ผู้เป็นหน้าที่ไร้หน้าของกองทัพเพื่อการปลดปล่อยแห่งชาติซัปปาติสตาแห่งเม็กซิโก ทั้ง ๆ ที่ดิฉันรู้จักคนที่เคยมีโอกาสขอนัดหมายกับเขาหลายคนด้วยซ้ำไป
ในปี 2537 ฤดูร้อนภายหลังการก่อกบฏของกองทัพซัปปาติสตา กองคาราวานที่มุ่งหน้าไปสู่แคว้นเชียปาสเป็นกิจกรรมที่ร้อนแรงสุดขีดในแวดวงนักเคลื่อนไหวในอเมริกาเหนือ พรรคพวกเรารวมตัวกันและเรี่ยไรเงินเพื่อซื้อรถตู้มือสอง และใส่สัมภาระเข้าไปมากมาย จากนั้นก็ขับลงใต้ไปที่เมืองซาน คริสโตบาล ดี ลาส คาร์ซัส และทิ้งรถตู้ไว้ที่นั่น ตอนนั้นดิฉันไม่ได้สนใจเรื่องนี้สักเท่าไร ความคลั่งไคล้ต่อกลุ่มซัปปาติสตาออกจะเป็นเรื่องน่าเคลือบแคลงสงสัย เหมือนกับพวกฝ่ายซ้ายซึ่งรู้สึกผิด และพากันล้างบาปด้วยการแสดงความหลงใหลคลั่งไคล้ต่อพวกละตินอเมริกาอย่างงมงายอีกครั้ง
ก็แค่กองทัพปฏิวัติแนวมาร์กซิสต์อีกกลุ่มหนึ่ง ผู้นำแบบคลั่งไคล้ในความเป็นชายชาตรีอีกคน หรือไม่ก็เป็นแค่การหาโอกาสโฉบลงไปทางใต้เพื่อซื้อเสื้อผ้าสีสันงดงามขึ้นมาเท่านั้นเอง เราไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อนหรือ แล้วมันไม่ได้จบลงอย่างน่าทุเรศล่ะหรือ
แต่มีบางสิ่งซึ่งต่างไปสำหรับกองคาราวานของชาวซัปปาติสตาในครั้งนี้ ประการแรก มันไม่ได้จบลงแค่ที่เมืองซาน คริสโตบาล ดี ลาส คาร์ซัส แต่มันเริ่มที่เมืองแห่งนั้นและซิกแซกไปตามเขตชนบทในประเทศเม็กซิโก ก่อนจะจบลงที่ใจกลางเมืองของกรุงเม็กซิโกซิตี้ กองคาราวานซึ่งมีชื่อเล่นเรียกกันว่า "ซาปาทัวร์" ในหมู่สื่อมวลชนในเม็กซิโก นำโดยกลุ่มระดับผู้บังคับบัญชา 24 นาย ของชาวซัปปาติสตา พวกเขาแต่งกายในชุดเต็มยศและสวมหน้ากาก (แม้จะไม่มีอาวุธก็ตาม) ซึ่งรวมทั้งรองผู้บัญชาการมาร์กอสด้วย เพราะไม่เคยมีรายงานมาก่อนว่า ฝ่ายบัญชาการของกลุ่มซัปปาติสตาเคยเดินทางออกนอกแคว้นเชียปาส (เป็นเหตุให้มีข่าวลือว่ามีคนจ้องจะทำร้ายนายมาร์กอสไปตลอดการเดินทาง)
ซาปาทัวร์ครั้งนี้จึงต้องมีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด สภากาชาดปฏิเสธที่จะทำงานนี้ ดังนั้น หน้าที่ให้การคุ้มครองจึงตกเป็นของกลุ่มนักเคลื่อนไหวหลายร้อยคนจากประเทศอิตาลี ซึ่งเรียกตนเองว่า กลุ่ม "ยา บัสตา!" (หมายถึง "มันมากเกินพอแล้ว!") ซึ่งเป็นชื่อกลุ่มที่ตั้งขึ้นตามคำประกาศสงครามของชาวซัปปาติสตา (แต่ในท้ายที่สุด มีกลุ่มในท้องถิ่นเป็นผู้ให้ความคุ้มครอง)
นักศึกษา ชาวนารายย่อยและนักเคลื่อนไหวหลายร้อยคน เข้าร่วมการเดินขบวน และอีกหลายพันคนคอยต้อนรับพวกเขาระหว่างทาง นักเดินทางเหล่านี้ต่างจากผู้ที่ไปเยือนแคว้นเชียปาสเมื่อก่อน เพราะพวกเขากล่าวว่า ที่มาร่วมเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่เพราะอยากแสดง "ความเป็นเอกภาพ" กับชาวซัปปาติสตา หากเพราะพวกเขาเป็นชาวซัปปาติสตา บางคนถึงกับอ้างว่า พวกเขาเป็นรองผู้บัญชาการมาร์กอสเองด้วยซ้ำ สิ่งที่พวกเขาพูดทำให้เกิดความสับสนในหมู่ผู้สื่อข่าว เมื่อพวกเขาประกาศว่า "พวกเราทุกคนคือรองผู้บัญชาการมาร์กอส"
บางที คงมีแต่ผู้ชายซึ่งไม่เคยถอดหน้ากากออก และปกปิดชื่อจริงคนนี้เท่านั้น ที่สามารถนำกองคาราวานอันประกอบไปด้วยพวกที่ปฏิเสธความเชื่อเดิม พวกขบถ พวกที่เลือกทางโดดเดี่ยวและพวกอนาธิปัตย์เป็นเวลาถึงสองสัปดาห์ คนเหล่านี้เรียนรู้ที่จะอยู่ห่าง ๆ จากอุดมการณ์สำเร็จรูปที่เหมาะกับทุกสถานการณ์ และไม่นิยมผู้นำที่มีบารมี พวกนี้ไม่ใช่คนที่ซื่อสัตย์ต่อพรรค แต่เป็นสมาชิกของกลุ่มที่ภาคภูมิใจในความเป็นตัวของตัวเองและไม่มีโครงสร้างบังคับบัญชาที่ลดหลั่นกัน
และนายมาร์กอสภายใต้หน้ากากขนแกะสีดำ แววตาเข้มข้นและกล้องสูบยาเส้น ดูจะมีบุคลิกต่อต้านผู้นำ ซึ่งเหมาะสำหรับกลุ่มคนที่มักตั้งข้อสงสัยและมีท่าทีวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้เป็นอย่างยิ่ง เขาไม่ได้แค่ปฏิเสธที่จะแสดงใบหน้า ลดทอนความโด่งดังของตนเอง (พร้อม ๆ กับแพร่สะพัดความโด่งดังนั้นออกไป) แต่เรื่องราวของนายมาร์กอสคือตำนานของผู้ชายคนหนึ่งที่ขึ้นสู่ฐานะผู้นำ ไม่ใช่ด้วยการวางก้ามว่ามีความชัดเจนทางการเมือง แต่โดยการเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอนของความเชื่อทางการเมือง และเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ตาม
แม้ว่าแทบจะไม่มีใครสามารถยืนยันได้ถึงเบื้องหลังความเป็นมาที่แท้จริงของนายมาร์กอส แต่เรื่องราวที่เล่ากันซ้ำแล้วซ้ำเล่าเกี่ยวกับตัวเขามีอยู่ในทำนองว่า เขาเคยเป็นปัญญาชนและนักเคลื่อนไหวแนวมาร์กซิสต์ในเมืองมาก่อน ฝ่ายรัฐบาลต้องการตัวเขา และเขารู้สึกไม่ปลอดภัยที่จะอยู่ในเมืองต่อไป เขาจึงหลบหนีไปแถบเทือกเขาในแคว้นเชียปาสทางตะวันออกเฉียงใต้ของเม็กซิโก โดยหอบเอาโวหารและทฤษฎีเกี่ยวกับการปฏิวัติไปมากมาย หวังจะไปเปลี่ยนจารีตของมวลชนพื้นเมืองผู้ยากจน เพื่อให้เกิดการลุกฮือต่อสู้ด้วยอาวุธโดยชนชั้นกรรมาชีพต่อพวกกระฏุมพี
ในขณะที่เขาบอกว่าชนชั้นกรรมาชีพในโลกต้องรวมตัวกัน ชาวมายาพื้นเมืองเอาแต่จ้องมองเขา ชาวพื้นเมืองบอกเขาว่า พวกเขาไม่ใช่ชนชั้นกรรมาชีพ และนอกจากนั้น ที่ดินก็ไม่ใช่ทรัพย์สิน แต่เป็นหัวใจของชุมชน เมื่อล้มเหลวจากการเป็นนักเผยแพร่ศาสนาแนวมาร์กซิสต์ นายมาร์กอสจึงหลอมรวมตัวเองเข้ากับวัฒนธรรมของชาวมายา ยิ่งได้เรียนรู้มากเท่าไร ก็ยิ่งรู้ตัวว่ารู้น้อยเท่านั้น จากกระบวนการนี้เอง กองทัพแบบใหม่จึงเกิดขึ้นในนามของ "EZLN" หรือ กองทัพเพื่อการปลดปล่อยแห่งชาติซัปปาติสตา ซึ่งไม่ได้อยู่ใต้การควบคุมของผู้บัญชาการกองทหาร แต่อยู่ใต้การควบคุมของชุมชน
โดยผ่านการประชุมทั้งที่ลับและที่แจ้ง นายมาร์กอสบอกว่า "กองทหารของเรามีลักษณะแบบชาวพื้นเมืองจนน่าหัวเราะเยาะ" นั่นหมายถึงว่าเขาไม่ได้เป็นผู้บัญชาการที่เที่ยวตะโกนออกคำสั่ง หากเป็นรองผู้บัญชาการ เป็นเพียงโฆษกแถลงเจตนารมณ์ของที่ประชุมชาวพื้นเมืองเท่านั้นเอง คำพูดประโยคแรกของเขาเมื่ออยู่ในตัวตนใหม่นี้ก็คือ "ข้าพเจ้าเพียงแต่เป็นปากที่คอยบอกเจตนารมณ์ของกองทัพ เพื่อการปลดปล่อยแห่งชาติซัปปาติสตา"
นายมาร์กอสลดบทบาทตนเองลงไปอีก ด้วยการบอกแก่คนที่มุ่งค้นหาตัวเขาว่า เขาไม่ใช่ผู้นำ แต่หน้ากากสีดำของเขาเป็นเสมือนกระจกที่สะท้อนการต่อสู้แต่ละครั้ง กล่าวคือชาวซัปปาติสตาคือใครก็ตามที่ต่อสู้กับความอยุติธรรมในทุกแห่งหน และบอกว่า "เราก็คือท่าน" คำพูดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดได้แก่ ครั้งหนึ่งเขาพูดกับผู้สื่อข่าวว่า "มาร์กอสก็คือพวกรักร่วมเพศในซานฟรานซิสโก คนผิวดำในอัฟริกาใต้ ชาวเอเชียในยุโรป ชาวชิคาโนในเมืองซาน ยีโร่ (ชิคาโนหมายถึงพวกลูกผสมอเมริกัน-เม็กซิกัน บางครั้งเป็นคำที่ใช้เรียกในเชิงดูถูก) นักอนาธิปัตย์ในสเปน ชาวปาเลสไตน์ในอิสราเอล ชาวพื้นเมืองมายาตามท้องถนนในเมืองซาน คริสโตบาล ชาวยิวในเยอรมัน ชาวยิปซีในโปแลนด์ ชาวโมฮ็อกในแคว้นควิเบก ผู้รักสันติในบอสเนีย ผู้หญิงโสดที่อยู่ตามสถานีรถไฟใต้ดินตอนสี่ทุ่ม ชาวนาไร้ที่ดิน สมาชิกแก๊งในสลัม คนงานตกงาน นักศึกษาที่ไม่มีความสุข และแน่นอน ชาวซัปปาติสตาในเทือกเขา"
ฮวนน่า ปอนซ์ ดี ลีออง ซึ่งเป็นผู้บรรณาธิการงานเขียนของนายมาร์กอสบอกว่า "ความไม่มีตัวตนเช่นนี้ทำให้นายมาร์กอสกลายเป็นโฆษกสำหรับชุมชนชาวพื้นเมืองได้ เขาเป็นความโปร่งใสและเป็นสัญลักษณ์บางอย่าง" กระนั้นก็ตาม ความจริงที่ขัดแย้งของนายมาร์กอสและชาวซัปปาติสตาก็คือ แม้ว่าจะสวมหน้ากาก แสดงความไม่มีตัวตน แสดงความลี้ลับ แต่การต่อสู้ของพวกเขาเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับการไม่มีชื่อเสียง กล่าวคือพวกเขาต่อสู้เพื่อให้คนอื่นได้เห็นความทุกข์ยากของตนเอง
เมื่อชาวซัปปาติสตาเริ่มจับอาวุธและประกาศว่า "มันมากเกินพอแล้ว" เมื่อปี 2531 พวกเขากำลังปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนแปลงสถานภาพของตนเองที่ถูกสังคมละเลย ชาวมายาในแคว้นเชียปาสก็เหมือนกับกลุ่มคนอื่น ๆ จำนวนมากที่ถูกทิ้งให้ล้าหลังจากกระบวนการโลกาภิวัตน์ และตกสำรวจจากแผนที่ทางเศรษฐกิจ "ในเมืองเบื้องล่างโน้น" คำแถลงของกลุ่ม EZLN ระบุว่า "เราไม่ได้มีตัวตนอยู่ ชีวิตของเรามีค่าน้อยกว่าเครื่องจักรหรือสัตว์เลี้ยง พวกเราเป็นเหมือนก้อนหิน เหมือนวัชพืชตามท้องถนน พวกเราถูกปิดปากเงียบ ไร้หน้าค่าตา"
การจับอาวุธและสวมหน้ากากตามคำอธิบายของชาวซัปปาติสตา ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาพยายามทำตัวเหมือนสมาชิกจักรวาลในภายนตร์เรื่องสตาร์เทรค ซึ่งเป็นคนที่ไม่มีอัตลักษณ์ แต่ต่อสู้เพื่อเป้าหมายเดียวกัน สิ่งที่ชาวซัปปาติสตาทำคือ การกระตุ้นให้โลกหยุดละเลยต่อชะตากรรมของพวกเขา เพื่อให้โลกได้เห็นใบหน้าที่ถูกลืมเลือนไปเนิ่นนานแล้ว ชาวซัปปาติสตาเป็น "เสียงที่ติดอาวุธตนเองเพื่อให้คนอื่นได้ยิน ใบหน้าที่หลบซ่อนเพื่อให้คนอื่นได้เห็น"
ในขณะเดียวกัน นายมาร์กอสเอง ซึ่งแม้จะพยายามสวมบทไร้ตัวตน ทำตัวเป็นแค่โฆษก เป็นกระจก เขาก็มีงานเขียนที่สะท้อนความเป็นส่วนตัวและความเป็นกวี แสดงถึงเอกลักษณ์อย่างโดดเด่นเฉพาะตัว เท่ากับเขากำลังลดทอนและทำลายความไม่มีชื่อ ซึ่งมาพร้อมกับหน้ากากและการใช้นามแฝง ว่ากันว่าอาวุธที่ดีที่สุดของชาวซัปปาติสตาคือเครือข่ายอินเตอร์เน็ต แต่อาวุธลับที่แท้จริงของพวกเขาคือภาษา
ในหนังสือ "คำพูดของเราคืออาวุธของเรา" เราได้อ่านแถลงการณ์และคำประกาศสงครามที่เป็นทั้งบทกวี ตำนานและบทเพลงท่อนสั้น ๆ มีบุคลิกภาพบางอย่างเผยออกมาจากเบื้องหลังหน้ากาก มาร์กอสเป็นนักปฏิวัติที่เขียนจดหมายขนาดยาวและลึกซึ้งน่าใคร่ครวญไปถึงเอนดูอาโด กาลิโน นักเขียนชาวอุรุกวัย เกี่ยวกับความหมายของความเงียบ
เขาเป็นผู้อธิบายว่าลัทธิล่าอาณานิคมเป็นชุดของ "ตลกร้ายที่ถูกบอกเล่าอย่างน่าทุเรศ" อ้างคำพูดของลูว์อิส แคร์โรล เช็คสเปียร์ และบอร์เฮส (Borges นักเขียนชาวอาร์เจนตินา มีชื่อเสียงโดยเฉพาะกับเรื่องสั้นในแนวอภิปรัชญา) เขียนว่าการต่อต้านเกิดขึ้น "เมื่อใดก็ตามที่ผู้ชายหรือผู้หญิงเป็นขบถจนถึงจุดที่สามารถฉีกเสื้อผ้าที่การยอมจำนนถักทอขึ้นมาห่อหุ้มตนเอง และความเกลียดชังถูกย้อมให้เป็นสีเทา (grey มีอีกความหมายหนึ่งว่าเป็นสมาชิกของกลุ่มทหารขบถ)" และเป็นผู้ส่งโทรเลขล้อเลียนแบบน่ารักไปยัง "ประชาสังคม" ทั้งหลายว่า "ขบถ (สีเทา) หวังชนะ ต้องการสายรุ้งด่วน"
มาร์กอสรู้ดีว่า ตัวเองเป็นเหมือนวีรบุรุษโรแมนติกที่มีมนตร์ขลัง เขาคือตัวละครแบบอิซาเบล อัลเยนเด้ เพียงแต่กลับกัน นั่นคือ แทนที่จะเป็นชาวนายากจนที่ผันตัวเองเป็นขบถมาร์กซิสต์ แต่มาร์กอสเป็นปัญญาชนมาร์กซิสต์ซึ่งผันตัวเองเป็นชาวนายากจน เขาเล่นกับบทบาทนี้ หยอกล้อกับมัน บอกว่าไม่สามารถเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงได้ เพราะกลัวว่าจะทำให้แฟน ๆ ที่เป็นผู้หญิงผิดหวัง อาจเป็นเพราะเกรงว่าจะเล่นจนคุมเกมต่อไปไม่ได้ ในที่สุด มาร์กอสก็เลือกเอาช่วงหนึ่งวันก่อนวันวาเลนไทน์ในปีนี้เพื่อประกาศข่าวร้ายว่า เขาแต่งงานแล้วและกำลังมีความรักอย่างลึกซึ้ง และคนรักของเขาชื่อ ลา มาร์ ("ทะเล" แล้วมันจะเป็นอย่างอื่นได้อย่างไร)
นี่คือขบวนการที่ตระหนักเป็นอย่างดีถึงพลังของคำพูดและสัญลักษณ์ สมาชิกในระดับผู้บังคับบัญชาที่เข้มแข็งทั้ง 24 คนของกองทัพซัปปาติสตาวางแผนจะเดินทางเข้าสู่กรุงเม็กซิโกซิตี้อย่างยิ่งใหญ่ โดยขี่ม้าเข้าไปเหมือนวีรบุรุษของชาวพื้นเมือง (แต่ในที่สุด พวกเขาก็เข้าเมืองด้วยการยืนตรงกระบะของรถบรรทุกที่เต็มไปด้วยฟาง) แต่กองคาราวานนี้มีบางอย่างมากกว่าสัญลักษณ์ เป้าหมายคือการปราศรัยต่อที่ประชุมรัฐสภาแห่งเม็กซิโก และเรียกร้องให้สภานิติบัญญัติผ่านพระราชบัญญัติว่าด้วยสิทธิของชาวพื้นเมือง ซึ่งเป็นกฎหมายที่เคยเสนอมาแล้วในการเจรจาสันติภาพที่ล้มเหลวระหว่างกองทัพซัปปาติสตากับอดีตประธานาธิบดีเอิร์นเนสโต้ เซดิโล
นายวินเซนต์ ฟ็อกส์ ประธานาธิบดีที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาใหม่ ซึ่งเคยคุยโวไว้ในระหว่างการหาเสียงว่า เขาสามารถแก้ปัญหาของกองทัพซัปปาติสตาได้ "ภายใน 15 นาที" เขาเคยขอนัดพบกับนายมาร์กอส แต่ก็ถูกปฏิเสธมาตลอดจนถึงในขณะนี้ มาร์กอสบอกว่าจะไม่พบกับนายฟ็อกส์ จนกว่าจะมีการผ่านพระราชบัญญัติฉบับนี้ จนกว่าจะมีการถอนทหารออกไปจากเขตแดนของชาวซัปปาติสตามากกว่านี้ จนกว่านักโทษการเมืองชาวซัปปาติสตาจะถูกปล่อยออกมา มาร์กอสเคยถูกหักหลังมาก่อนและกล่าวหาว่านายฟ็อกส์กำลัง "เสแสร้งว่ามีสันติภาพ" เกิดขึ้น ก่อนที่การเจรจาสันติภาพจะเริ่มต้นขึ้นใหม่ด้วยซ้ำไป
สิ่งที่ชัดเจนในภาวะช่วงชิงทางการเมืองก็คือ บางสิ่งบางอย่างที่ลึกซึ้งได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจในเม็กซิโก ชาวซัปปาติสตาเป็นฝ่ายรุกก่อน ซึ่งนี่มีความสำคัญมาก เพราะที่ผ่านมา พวกเขาไม่เคยมีนิสัยของฝ่ายริเริ่ม การลุกฮือติดอาวุธซึ่งเริ่มต้นจากกลุ่มเล็ก ๆ ในช่วงเจ็ดปีที่ผ่านมา ได้พัฒนาไปสู่จุดที่เป็นขบวนการของมหาชนอย่างสันติ ขบวนการนี้ช่วยขับไล่ระบอบปกครองอันฉ้อฉลของพรรค Institutional Revolutionary ซึ่งครองอำนาจมาถึง 71 ปี และทำให้ประเด็นเกี่ยวกับสิทธิของชาวพื้นเมืองเป็นวาระทางการเมืองที่สำคัญของประเทศเม็กซิโก
นี้เป็นเหตุให้มาร์กอสรู้สึกขุ่นเคือง เมื่อถูกมองว่าเป็นแค่ชายอีกคนหนึ่งที่หันมาจับปืน "มีกองกำลังอื่นอีกไหมที่สามารถจัดตั้งขบวนการประชาธิปไตยในระดับชาติ ประกอบด้วยมหาชนและใช้แนวทางสันติ จนทำให้การต่อสู้ด้วยอาวุธกลายเป็นสิ่งไร้ค่าไป" เขาตั้งคำถาม "มีกองกำลังอื่นอีกไหมที่ถามมวลชนที่สนับสนุนพวกเขาก่อนจะลงมือทำอะไร มีกองกำลังอื่นอีกไหมที่ต่อสู้เพื่อให้ได้พื้นที่ประชาธิปไตย แต่ไม่เข้าไปยึดอำนาจเพื่อตัวเอง มีกองกำลังอื่นอีกไหมที่พึ่งพาคำพูดมากกว่ากระสุนปืน"
ชาวซัปปาติสตาเลือกวันที่ 1 มกราคม 2537 ซึ่งเป็นวันที่ข้อตกลงการค้าเสรีแห่งอเมริกาเหนือ (NAFTA) มีผลบังคับใช้ เพื่อ "ประกาศสงคราม" ต่อกองทัพเม็กซิโก จากนั้นได้เริ่มออกปฏิบัติการและสามารถยึดครองเมืองซาน คริสโตบาล ดี ลาส คาร์ซัส และอีกห้าเมืองในแคว้นเชียปาสไว้ได้เป็นระยะเวลาสั้น ๆ พวกเขาออกแถลงการณ์เพื่ออธิบายว่า ข้อตกลง NAFTA ที่ห้ามให้เงินอุดหนุนระบบสหกรณ์การเกษตรของชาวพื้นเมือง เปรียบได้กับ "การวิสามัญฆาตกรรม" ชาวพื้นเมืองเม็กซิโกถึงสี่ล้านคนในแคว้นเชียปาส ซึ่งเป็นแคว้นที่ยากจนที่สุดในประเทศ
เกือบร้อยปีผ่านไปแล้วที่การปฏิวัติเม็กซิโกสัญญาว่า จะคืนที่ดินให้ชาวพื้นเมืองโดยผ่านการปฏิรูปด้านเกษตรกรรม แต่คำสัญญาก็ไม่ได้รับการปฏิบัติ และข้อตกลง NAFTA เป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้าย "พวกเราเป็นผลลัพธ์ของการต่อสู้เป็นเวลา 500 ปี แต่ในวันนี้เราขอบอกว่า "ยา บาสตา!" "มันมากเกินพอแล้ว" พวกขบถเรียกตนเองว่าซัปปาติสตา ซึ่งเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นตามชื่อของ เอ็มมิลิเอโน่ ซาปาตา ซึ่งเป็นวีรบุรุษของการปฏิวัติในปี 2453 ที่ถูกฆ่าตายไป เขาเข้าร่วมกับกองทัพชาวนารายย่อย ที่ต่อสู้เพื่อให้ได้ที่ดินซึ่งถูกยึดครองโดยเจ้าที่ดินรายใหญ่ และนำที่ดินมามอบคืนแก่ชาวนาและเกษตรกรพื้นเมือง
ในช่วงเจ็ดปีที่ผ่านมา หลังจากมีบทบาทเด่นชัดขึ้น ชาวซัปปาติสตากลายเป็นตัวแทนของพลังสองประการพร้อม ๆ กัน. ประการแรก พวกเขาเป็นขบถที่ต่อสู้เพื่อต่อต้านความแร้นแค้น และการดูหมิ่นศักดิ์ศรีชนพื้นเมืองตามเทือกเขาในแคว้นเชียปาส แต่เหนือไปกว่านั้นก็คือ ความเป็นนักทฤษฎีของขบวนการใหม่ พวกเขาเสนอแนวทางเลือกในการคิดเกี่ยวกับอำนาจ การต่อสู้และโลกาภิวัตน์ ทฤษฎีที่เรียกว่า ซาปาติสโม่ ไม่ใช่แค่พลิกกลับยุทธวิธีสู้รบแบบกองโจรดั้งเดิมเท่านั้น แต่ยังพลิกคว่ำกลับหัวกลับหางการเมืองแบบฝ่ายซ้ายด้วย
ดิฉันเฝ้าติดตามการแพร่ขยายแนวคิดของชาวซัปปาติสตาในแวดวงของนักเคลื่อนไหว จากมือที่สองไปสู่มือที่สาม ทั้งวลีต่าง ๆ วิธีดำเนินการประชุม และอุปมาอุปมัยที่ทำให้เราหัวหมุนได้ มาร์กอสไม่ได้ใช้วิธีแบบนักปฏิวัติดั้งเดิมที่เอาแต่เทศนาผ่านโทรโข่ง หรือผ่านพิธีกรรมต่าง ๆ แต่เผยแพร่คำพูดของชาวซัปปาติสตาโดยผ่านปริศนาและความเงียบงันอย่างอุกฤตและยาวนาน พวกเขาเป็นนักปฏิวัติที่ไม่กระหายอำนาจ เป็นผู้ที่ซ่อนใบหน้าตนเองไม่ให้ใครเห็น เป็นโลกที่ประกอบด้วยโลกหลายใบอยู่ในนั้น
พวกเขาเป็นขบวนการของการปฏิเสธเพียงหนึ่ง แต่ตอบรับหลายอย่าง
วลีเหล่านี้ดูเหมือนเรียบง่ายในการพิจารณาครั้งแรก แต่เราอย่าไปหลงคิดเช่นนั้น ถ้อยคำเหล่านี้มีวิธีชอนไชเข้าไปในจิตสำนึก ผุดขึ้นมาในบริบทที่แปลกประหลาด และถูกพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกจนมีสภาพเสมือนเป็นสัจจะ แต่ก็ไม่ใช่สัจจะเพียงหนึ่งเดียว แต่เป็นสัจจะที่ประกอบด้วยสัจจะหลาย ๆ ประการ ดังที่ชาวซัปปาติสตาบอก ในประเทศแคนาดา การประท้วงของชนพื้นเมืองมักจะออกมาในรูปของการขัดขวาง อย่างเช่น การเอาร่างกายตัวเองเข้าไปขวางการก่อสร้างสนามกอล์ฟที่รุกล้ำเข้ามาในพื้นที่สุสานของบรรพชน การขัดขวางการก่อสร้างเขื่อนพลังไฟฟ้า การขัดขวางไม่ให้มีการตัดไม้ในป่าดั้งเดิม
การประท้วงของชาวซัปปาติสตาเป็นหนทางใหม่สำหรับการปกป้องผืนดินและวัฒนธรรม แทนที่พวกเขาจะกระทำการโดยแยกตัวออกจากโลกส่วนอื่น ๆ ชาวซัปปาติสตาได้เปิดประตูออกและเชื้อเชิญให้โลกภายนอกเข้ามาข้างใน แม้จะเต็มไปด้วยความยากจนและเคยอยู่ใต้การยึดครองของกองทหารมาอย่างต่อเนื่อง แคว้นเชียปาสได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นที่ชุมนุมของนักเคลื่อนไหว ปัญญาชนและกลุ่มคนพื้นเมืองจากทั่วโลก
นับตั้งแต่คำแถลงฉบับแรก ชาวซัปปาติสตาเชื้อเชิญให้ชุมชนนานาชาติ "จับตามองและคอยควบคุมการต่อสู้ของเรา" ในฤดูร้อนภายหลังการลุกฮือขึ้น พวกเขาได้เป็นเจ้าภาพจัดประชุมประชาธิปไตยแห่งชาติในป่า มีผู้เข้าร่วมประชุม 6,000 คน ส่วนใหญ่มาจากเม็กซิโก ในปี 2539 พวกเขาเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมของมนุษยชาติ เพื่อต่อต้านลัทธิเสรีนิยมใหม่ (Encuentro for Humanity Against Neo-Liberalism) เป็นครั้งแรก นักเคลื่อนไหวกว่า 3,000 คนได้เดินทางมายังแคว้นเชียปาส เพื่อประชุมร่วมกับผู้เข้าร่วมประชุมที่มาจากทั่วโลก
มาร์กอสเองเป็นผู้ทำงานเชื่อมโยงเครือข่ายต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เขาสามารถสื่อสารได้อย่างมีพลัง เขาแสวงหาความร่วมมืออยู่เสมอ สร้างสายสัมพันธ์ให้เกิดขึ้นระหว่างการต่อสู้และประเด็นปัญหาที่แตกต่างกัน คำแถลงของเขาประกอบไปด้วยรายชื่อกลุ่มต่าง ๆ ที่จินตนาการว่าเป็นพันธมิตรของชาวซัปปาติสตา ตั้งแต่เจ้าของร้านชำรายย่อย พลเมืองเกษียนอายุและผู้พิการ รวมทั้งคนงานตามโรงงานและเกษตรกรตามไร่นา เขาเขียนจดหมายไปหานายมูเมีย อาบู-จามาล และลีโอนาร์ด เพลเทียร์ นักโทษการเมือง เขาเป็นเพื่อนทางจดหมายกับนักแต่งนวนิยายผู้มีชื่อเสียงมากที่สุดในละตินอเมริกา เขาเขียนจดหมายที่จ่าหน้าถึง "ประชาชนของโลก"
ในช่วงต้นของการก่อกบฏ ฝ่ายรัฐบาลพยายามชี้นำว่าการลุกฮือเป็นเพียงปัญหา "ในระดับท้องถิ่น" เป็นแค่ข้อพิพาทระหว่างชาติพันธุ์ที่สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย ชัยชนะทางยุทธศาสตร์ของชาวซัปปาติสตาได้แก่การยกระดับการต่อสู้ และยืนยันว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในแคว้นเชียปาสไม่ได้เป็นแค่การต่อสู้ระหว่าง "ชาติพันธุ์" อันคับแคบ แต่เป็นปัญหาที่มีลักษณะเฉพาะ และมีลักษณะสากลในเวลาเดียวกัน
พวกเขาทำเช่นนี้ด้วยการประกาศว่า ศัตรูของพวกเขาไม่ได้มีแค่รัฐบาลอเมริกัน แต่ยังรวมไปถึงนโยบายเศรษฐกิจที่รู้จักกันในนามของลัทธิเสรีนิยมใหม่ มาร์กอสยืนยันว่าความยากจนและความทุกข์ยากในแคว้นเชียปาส เป็นเพียงรูปแบบปัญหาที่ค่อนข้างรุนแรงเมื่อเทียบกับปัญหาอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก เขาชี้ให้เห็นถึงคนจำนวนมากมายที่ถูกทอดทิ้งอยู่เบื้องหลังความเจริญรุ่งเรือง คนเหล่านี้ต้องเสียสละที่ดินและงานเพื่อให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองดังกล่าว
"การกระจายทรัพยากรโลกอย่างใหม่ เป็นการกีดกัน 'ชนกลุ่มน้อย'" มาร์กอสกล่าว "ชนพื้นเมือง เยาวชน สตรี พวกรักร่วมเพศ พวกเลสเบี้ยน คนผิวสี ผู้อพยพ คนงาน ชาวนา ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของโลกกลับถูกมองว่าต้องเป็นฝ่ายเสียสละเพื่ออำนาจ การกระจายทรัพยากรของโลกเป็นการกีดกันคนส่วนใหญ่"
ชาวซัปปาติสตาดำเนินการต่อสู้อย่างเปิดเผย ไม่ว่าใครก็เข้าร่วมได้หากคิดว่าตนเองเป็นคนที่ถูกกีดกันอยู่ข้างนอก เป็นเพียงคนส่วนใหญ่ที่มีแต่เงา จากการประมาณในขั้นต่ำ ในปัจจุบันมีเว็บไซต์เกี่ยวกับชาวซัปปาติสตามากถึง 45,000 เว็บไซต์ใน 26 ประเทศ คำแถลงของนายมาร์กอสปรากฏอย่างน้อยใน 14 ภาษา นอกจากนั้นยังมีอุตสาหกรรมย่อม ๆ ของชาวซัปปาติสตา เช่น การผลิตเสื้อยืดสีดำที่มีดาวห้าแฉกสีแดง เสื้อยืดสีขาวมีตราสัญลักษณ์ EZLN พิมพ์ด้วยตัวสีดำ และยังมีหมวกเบสบอล หน้ากากสกีสีดำสัญลักษณ์ EZLN ตุ๊กตาและรถบรรทุกเด็กเล่นที่ทำโดยชาวมายา และยังมีโปสเตอร์อย่างเช่นที่เป็นรูปของผู้บัญชาการราโมน่า ซึ่งเป็นนักรบของกลุ่ม EZLN ที่มีผู้นิยมมากและเทียบได้กับภาพโมนาลิซ่าทีเดียว
และผลกระทบจากขบวนการซัปปาติสตามีมากมายเกินกว่าการให้ความช่วยเหลือสนับสนุนทั่วไป หลายคนที่ได้เข้าร่วมในการประชุม (encuentros) ครั้งแรก มีบทบาทอย่างสำคัญในการประท้วงต่อต้านองค์การค้าโลกที่กรุงซีแอตเติล และการประท้วงธนาคารโลกกับ IMF ที่กรุงวอชิงตัน ดีซี พวกเขามาพร้อมกับความรู้สึกใหม่ที่มีต่อปฏิบัติการทางตรง การตัดสินใจร่วมกันของกลุ่ม และการจัดตั้งแบบกระจายอำนาจ
เมื่อการก่อขบถก่อตัวขึ้น ฝ่ายทหารรัฐบาลเม็กซิโกคิดว่าจะสามารถกำจัดพวกนักรบซัปปาติสตาได้ง่ายดายราวกับขยี้มดแมลง พวกเขาจัดส่งกองทหารพร้อมด้วยอาวุธหนักเข้าไปในพื้นที่ ส่งเครื่องบินเข้าไปทิ้งระเบิดโจมตี พร้อมกับเคลื่อนย้ายกองกำลังทหารนับพันนายเข้าไป แต่แทนที่พวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับแมลงเพียงตัวเดียว พวกเขากลับถูกห้อมล้อมด้วยฝูงนักกิจกรรมจากนานาชาติจำนวนมากที่กระจายอยู่รายรอบแคว้นเชียปาส
ในการศึกษาของกองทัพสหรัฐโดยผ่านองค์การ RAND Corporation พวกเขาพบว่าปฏิบัติการของกลุ่ม EZLN ถือได้ว่าเป็น "ความขัดแย้งในรูปแบบใหม่ เป็น 'สงครามเครือข่าย' ซึ่งผู้ก่อการพึ่งพาอาศัยรูปแบบของเครือข่ายในการจัดตั้ง การกำหนดแนวคิด ยุทธศาสตร์และเทคโนโลยี"
วงล้อมของนักกิจกรรมไม่สามารถปกป้องชาวซัปปาติสตาได้อย่างสมบูรณ์ทั้งหมด ในเดือนธันวาคม 2540 มีการสังหารหมู่ผู้สนับสนุนชาวซัปปาติสตาจำนวน 45 คน ในขณะที่กำลังสวดมนต์อยู่ในโบสถ์แห่งหนึ่งในเมืองแอ็คติออล เหยื่อสังหารส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก และสถานการณ์ในแคว้นเชียปาสก็ยังวิกฤตต่อไป คนจำนวนนับพัน ๆ ต้องอพยพโยกย้ายจากถิ่นฐานของตนเอง แต่ก็อาจจะจริงที่ว่าสถานการณ์ที่เป็นอยู่อาจเลวร้ายมากกว่านี้ก็ได้ หากขาดซึ่งแรงกดดันจากนานาชาติ ซึ่งทำให้กองทัพสหรัฐอเมริกาไม่สามารถเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องมากยิ่งกว่านี้
ผลการศึกษาขององค์การ RAND Corporation ระบุว่า ช่วงที่นักกิจกรรมจากทั่วโลกให้ความสนใจกับกรณีนี้ "เกิดขึ้นในจังหวะเดียวกับที่สหรัฐอเมริกาอาจมีความสนใจอย่างลับ ๆ ที่มุ่งจะให้เกิดการใช้กำลังปราบปรามกลุ่มขบถอย่างรุนแรง"
จึงเป็นเรื่องน่าสนใจที่จะตั้งคำถามว่า แนวคิดอะไรกันแน่ที่มีพลังเหลือเกิน ซึ่งทำให้คนนับจำนวนพัน ๆ ยอมรับและเผยแพร่แนวคิดเหล่านั้นไปทั่วโลก คงจะเป็นแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องของอำนาจและวิธีการมองอำนาจอย่างใหม่ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อไม่กี่ปีก่อน แนวคิดที่ว่าจะมีกลุ่มขบถที่เดินทางไปยังกรุงเม็กซิโกซิตี้เพื่อกล่าวปราศัยในรัฐสภา คงเป็นเรื่องที่ยากจะคิดถึงได้ การเข้าสู่ที่ประชุมของอำนาจทางการเมืองโดยกองโจรใส่หน้ากาก ย่อมแสดงถึงความหมายประการหนึ่ง นั่นคือการปฏิวัติ แต่ชาวซัปปาติสตาไม่สนใจจะโค่นล้มอำนาจรัฐ หรือเสนอชื่อผู้นำของตนเองเป็นประธานาธิบดี
สิ่งที่พวกเขาต้องการคือ
ความปรารถนาที่จะเห็นอำนาจของรัฐมีบทบาทต่อชีวิตของพวกเขาน้อยลง และนอกจากนั้น
มาร์กอสยังบอกว่า ทันทีที่การเจรจาสันติภาพเริ่มต้นขึ้น เขาจะถอดหน้ากากออกและหายตัวไป
[เมื่อชาวซัปปาติสตาได้กล่าวปราศรัยในรัฐสภา มาร์กอสไม่ได้เข้าไปและอยู่แต่ข้างนอก]
การเป็นนักปฏิวัติที่ไม่พยายามทำการปฏิวัตินั้นหมายความว่าอย่างไร นี่คือความจริงที่ขัดแย้งกันสองขั้วที่กลายเป็นหัวใจสำคัญอย่างหนึ่งของขบวนการซัปปาติสตา
ในคำแถลงฉบับหนึ่งจากหลาย ๆ ฉบับ มาร์กอสได้เขียนไว้ว่า "ไม่จำเป็นต้องเอาชนะโลก
แค่สร้างมันขึ้นมาใหม่ก็พอแล้ว" และเขากล่าวเสริมว่า "โดยพวกเรา
ในวันนี้" สิ่งที่ทำให้ปฏิบัติการของซัปปาติสตาต่างจากปฏิบัติการของกองโจรในแนวมาร์กซิสต์ทั่วไปได้แก่
พวกเขาไม่ได้มีเป้าหมายจะเอาชนะและยึดอำนาจรัฐ หากพวกเขาต้องการยึดครองและสร้างสรรค์พื้นที่อันเป็นอิสระ
พื้นที่ซึ่ง "ประชาธิปไตย อิสรภาพและความยุติธรรม" สามารถเติบโตขึ้นได้
แม้ว่าชาวซัปปาติสตาได้กล่าวถึงเป้าหมายที่สำคัญหลายประการของปฏิบัติการต่อต้านของพวกเขา (อย่างเช่นการยึดครองที่ดิน การมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยตรง และการมีสิทธิที่จะปกป้องภาษาและวัฒนธรรมของตนเอง) พวกเขายืนยันว่า ตัวเองไม่มีความสนใจใน "การปฏิวัติ" (Revolution, R ตัวใหญ่) แต่พวกเขาสนใจใน "การปฏิวัติที่ช่วยให้เกิดการปฏิวัติขึ้นได้"
มาร์กอสเชื่อว่าสิ่งที่เขาได้เรียนรู้จากแคว้นเชียปาสคือ การตัดสินใจอย่างปราศจากโครงสร้างบังคับบัญชา การจัดตั้งอย่างกระจายอำนาจ และประชาธิปไตยที่มีรากฐานลึกซึ้งในชุมชน ซึ่งล้วนเป็นคำตอบให้กับโลกของคนที่ไม่ได้เป็นชนพื้นเมืองเช่นกัน หากพวกเขาพร้อมจะรับฟังบทเรียนเหล่านี้ การจัดตั้งเช่นนี้ไม่ได้มุ่งแบ่งแยกชุมชนออกเป็นส่วน ๆ อย่างเช่น กลุ่มคนงาน กลุ่มนักรบ กลุ่มกสิกร และกลุ่มนักศึกษา หากมุ่งจัดตั้งชุมชนอย่างเป็นหนึ่งเดียวโดยไม่แบ่งแยกระหว่างภาคส่วนและระหว่างช่วงอายุ เป็นการมุ่งสร้าง "ขบวนการทางสังคม"
สำหรับชาวซัปปาติสตา การมีพื้นที่เป็นอิสระไม่ได้หมายถึงการแยกตัวโดดเดี่ยว หรือการปลีกตัวจากสังคมแบบนักกิจกรรมในยุคทศวรรษ 1960 ทำกัน ตรงกันข้ามทีเดียว มาร์กอสเชื่อว่าพื้นที่อิสระเหล่านี้ การได้ที่ดินกลับคืนมา การมีเกษตรกรรมของชุมชน การต่อต้านการแปรรูป จะทำให้เกิดแรงทัดทานอำนาจของรัฐ และเป็นการเสนอทางเลือกอย่างหนึ่ง
สิ่งเหล่านี้เป็นสาระสำคัญของความเชื่อของชาวซัปปาติสตา และช่วยให้เราเข้าใจข้อเรียกร้องของพวกเขา นั่นคือการเรียกร้องในระดับโลกเพื่อให้เกิดการปฏิวัติ โดยบอกกับเราว่า อย่ารอให้การปฏิวัติเกิดขึ้น แต่จงเริ่มต้นจากจุดที่เรายืนอยู่ เราจะต้องเริ่มจากการต่อสู้ด้วยอาวุธที่เรามี อาจเป็นกล้องถ่ายวิดีโอ คำพูด แนวคิด มาร์กอสเคยเขียนไว้ว่า "'ความหวัง' เป็นอาวุธของเราเช่นกัน" มันเป็นการปฏิวัติที่เกิดขึ้นในระดับย่อม ซึ่งบอกกับเราว่า "ใช่แล้ว คุณสามารถลองปฏิวัติได้ตั้งแต่ที่บ้าน"
รูปแบบการจัดตั้งเช่นนี้เผยแพร่ไปตลอดทั้งทวีปละตินอเมริกาและทั่วโลก คุณสามารถเห็นการจัดตั้งเช่นนี้ในศูนย์สังคม ซึ่งเป็นชุมชนเร่ร่อนของพวกอนาธิปัตย์ในประเทศอิตาลี ในขบวนการชาวนาไร้ที่ดินในประเทศบราซิล ซึ่งยึดครองที่ดินเกษตรกรรมที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์จำนวนมาก และใช้ที่ดินเหล่านั้นเพื่อเกษตรกรรมแบบยั่งยืน เพื่อตลาดและโรงเรียน ภายใต้คำขวัญที่ว่า "ยึดครอง ต่อต้าน ผลิต"
แนวคิดของการจัดตั้งแบบเดียวกันนี้เอง มีส่วนช่วยเหลือผู้ที่ถูกลืมเลือนไปในกระบวนการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ อย่างเช่นขบวนการ Piquetero ของอาร์เจนตินา ซึ่งเป็นองค์กรของคนงานที่ตกงาน และถูกผลักดันด้วยความหิวโหยจนต้องหาวิธีเรียกร้องความช่วยเหลือจากรัฐ แต่แทนที่จะปิดล้อมโรงงานอย่างที่คนงานส่วนใหญ่ทำกัน (คุณไม่สามารถปิดโรงงานได้เพราะมันถูกปิดไปแล้วนั่นเอง) สมาชิกชาว Piquetero ปิดถนนที่มุ่งเข้าสู่เมือง บ่อยครั้งพวกเขาปิดถนนเป็นเวลานานนับสัปดาห์ เพื่อหยุดยั้งไม่ให้มีการเดินทางเข้าออกและการขนส่งสินค้า ซึ่งสร้างแรงกดดันให้นักการเมืองต้องออกมาพบกลุ่มผู้ประท้วงตามท้องถนนและเริ่มเจรจา และชาว Piquetero ก็มักจะได้รับค่าตอบแทนขั้นพื้นฐานต่อการว่างงานสำหรับสมาชิกของพวกเขา
ชาว Piquetero แห่งอาร์เจนตินา (ซึ่งมักจะสวมเสื้อยืดที่มีสัญลักษณ์ของ EZLN ในระหว่างปฏิบัติการด้วย) เชื่อว่า ในประเทศที่ร้อยละ 30 ของประชากรไม่มีงานทำ สหภาพแรงงานจะต้องเริ่มต้นจัดตั้งชุมชนทั้งหมด ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มคนงาน "โรงงานแห่งใหม่ก็คือย่านชุมชนของพวกเขานั่นเอง" นายหลุยส์ ดี เอลีอา ผู้นำกลุ่ม Piquetero กล่าว และความเชื่อของชาวซัปปาติสตา ก็เป็นแรงบันดาลใจอย่างสำคัญของกลุ่มนักศึกษาแห่งมหาวิทยาลัย National Autonomous University ที่ประเทศเม็กซิโก ในระหว่างการปิดล้อมมหาวิทยาลัยอันยาวนานและห้าวหาญเมื่อปีที่แล้ว ซาปาตาเคยกล่าวไว้ครั้งหนึ่งว่า ที่ดินเป็นของผู้ซึ่งใช้ประโยชน์ ป้ายผ้าของนักศึกษาประกาศว่า "เราบอกว่ามหาวิทยาลัยเป็นของผู้เล่าเรียนศึกษา"
ตามความเห็นของมาร์กอส ความเชื่อของชาวซัปปาติสตาไม่ได้มีลักษณะเป็นลัทธิ หากเป็น "ญาณทัศนะ" และเขาตั้งใจโน้มน้าวต่อสิ่งที่อยู่นอกเหนือการคิดโดยหลักตรรกะ สิ่งที่เป็นธรรมชาติฝ่ายดีของเราแต่ละคน สิ่งที่เขาค้นพบในตัวเขาเองเมื่ออยู่ในเทือกเขาเชียปาส ความมหัศจรรย์ ความเชื่อมั่นอย่างแจ่มแจ้ง รหัสยนัยและปาฏิหาริย์ ดังนั้น แทนที่จะออกแถลงการณ์ต่าง ๆ เขากลับบอกเล่าเรื่องราวด้วยบทเพลง ด้วยสมาธิอันยาวนาน ด้วยวลีอันเปี่ยมด้วยจินตนาการ ด้วยความฝันอันรุ่มรวย
ในแง่หนึ่ง นี่คือสงครามกองโจรทางภูมิปัญญา มาร์กอสไม่เผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้ามบนเงื่อนไขของฝ่ายนั้น เขาเป็นฝ่ายกำหนดและเปลี่ยนประเด็นของการเผชิญหน้าเสียใหม่
ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อดิฉันไปถึงประเทศเม็กซิโกในวันที่ 11 มีนาคม 2544 ดิฉันจึงได้เห็นสิ่งที่แตกต่างจากชั่วขณะแห่งประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ ที่เคยจินตนาการไว้เมื่อได้รับอีเมล์เป็นครั้งแรก เมื่อชาวซัปปาติสตาเดินทางเข้าสู่จัตุรัสซอคคาโล่ที่อยู่เบื้องหน้ารัฐสภา ประชาชน 200,000 คนมารวมตัวกันเพื่อต้อนรับพวกเขา แน่นอนว่าประวัติศาสตร์กำลังเกิดขึ้น แต่มันเป็นประวัติศาสตร์ขนาดย่อม สะกดด้วย h ตัวเล็ก เป็นประวัติศาสตร์แบบอ่อนน้อมถ่อมตนยิ่งกว่าภาพข่าวสีขาวดำเสียอีก มันเป็นประวัติศาสตร์ที่บอกว่า "เราไม่สามารถสร้างประวัติศาสตร์ให้คุณได้ แต่เราขอบอกว่า คุณต่างหากที่ต้องสร้างประวัติศาสตร์ขึ้นมาเอง"
ผู้สนับสนุนกลุ่มซัปปาติสตาอย่างออกนอกหน้าในวันนั้น ดูจะเป็นผู้หญิงในวัยกลางคน ซึ่งเป็นช่วงอายุที่คนอเมริกันมักเรียกว่าเป็นวัยของ "คุณแม่นักฟุตบอล" พวกเธอต้อนรับเหล่านักปฏิวัติด้วยการตะโกนก้องว่า "คุณจะไม่โดดเดี่ยว!" ผู้หญิงบางคนมาเข้าร่วมชุมนุมในระหว่างพักงานจากร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด และยังอยู่ในชุดทำงานลายทาง
เมื่อมองจากภายนอก ความนิยมชื่นชอบต่อกลุ่มซัปปาติสตา ซึ่งเห็นได้จากเสื้อยืดที่มีถึง 40 แบบ แผ่นโปสเตอร์ ธงและตุ๊กตา อาจดูเหมือนการตลาดมวลชน กล่าวคือ เป็น "การสร้างตรายี่ห้อ"ใหม่ให้กับวัฒนธรรมโบราณ แต่เมื่อมองใกล้เข้ามา เราจะมีความรู้สึกอีกอย่างหนึ่ง เราจะรู้สึกถึงความจริงแท้ ความเป็นพื้นบ้านอย่างผิดยุคสมัย ชาวซัปปาติสตาไม่ได้สื่อความคิดออกมาผ่านการโฆษณาแบบการค้า หรือการโฆษณาชวนเชื่ออย่างนักการเมือง แต่ผ่านเรื่องเล่าและสัญลักษณ์ ภาพที่วาดขึ้นด้วยมือบนกำแพง และเรื่องเล่าที่บอกต่อกันปากต่อปาก การใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อทำหน้าที่เป็นเครือข่ายตามธรรมชาติ ก็เพียงช่วยให้พวกเขาสามารถสื่อความเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมเหล่านี้ออกไปได้ทั่วโลก
ในขณะที่ดิฉันรับฟังมาร์กอสกล่าวกับฝูงชนในกรุงเม็กซิโกซิตี้ ดิฉันรู้สึกประหลาดใจที่เขาไม่ได้ทำตัวเหมือนนักการเมือง ที่กำลังพูดระหว่างการรณรงค์หรือนักเทศน์บนธรรมมาสน์ เขาพูดราวกับเขาเป็นกวีซึ่งกำลังร่ายบทกวีอยู่ในที่ประชุมกวีใหญ่ที่สุดของโลก และดิฉันรู้สึกว่า อันที่จริงมาร์กอสไม่เหมือนกับมาร์ติน ลูเธอร์คิง จูเนียร์ หากเขาเป็นทายาทในยุคใหม่ของนายคิง ที่ถือกำเนิดมาท่ามกลางการผสมผสานอย่างยากลำบากระหว่างวิสัยทัศน์และความจำเป็น
ชายหนุ่มผู้สวมหน้ากากและเรียกตัวเองว่ามาร์กอส เป็นทายาทของคิง, เช เกวาร่า, มัลคอล์ม เอ็กซ์, เอ็มมิลิเอโน่, ซาปาตา, และวีรชนคนอื่น ๆ ผู้ซึ่งเทศน์จากธรรมมาสน์และถูกยิงตายไปคนแล้วคนเล่า ทอดทิ้งให้ฝูงชนที่ติดตามพวกเขาเคว้งคว้างอย่างมืดมนและแตกกระจายเป็นเสี่ยง เพราะสูญเสียผู้เป็นหัวขบวนไป บัดนี้ โลกของเรามีวีรชนแบบใหม่เกิดขึ้นมาทดแทน เป็นผู้ซึ่งรับฟังมากกว่าพูด เทศน์ด้วยปริศนา มากกว่าความแน่นอน
ผู้นำที่ไม่ยอมเปิดเผยใบหน้า ผู้ซึ่งบอกว่าหน้ากากก็คือกระจกนั่นเอง และในหมู่ชาวซัปปาติสตา พวกเขาไม่ได้มีแค่ความฝันถึงการปฏิวัติเพียงความฝันเดียว หากเป็นการปฏิวัติในฝัน "นี่คือความฝันของพวกเรา" มาร์กอสเขียนเอาไว้ "ความขัดกันเองแบบซัปปาติสตา ความฝันที่ขโมยการหลับใหลไป ความฝันเพียงหนึ่งเดียวที่ฝันในขณะตื่น ในขณะไม่หลับ ประวัติศาสตร์ถือกำเนิดขึ้นและได้รับการหล่อเลี้ยงจากเบื้องล่าง"
บทความที่นำเสนอก่อนหน้านี้ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
หากนักศึกษาและสมาชิกท่านใตสนใจ
สามารถคลิกไปอ่านได้จากที่นี่...คลิกที่ภาพ
ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา 3 I สารบัญเนื้อหา
4
ประวัติ
ม.เที่ยงคืน
สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง
e-mail :
midnightuniv(at)yahoo.com
หากประสบปัญหาการส่ง
e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com
ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็ปไซคทั้งหมด
กว่า 700 เรื่อง หนากว่า 10000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com
สมเกียรติ
ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็ปไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ
ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com
มาร์กอสลดบทบาทตนเองลงไปอีก ด้วยการบอกแก่คนที่มุ่งค้นหาตัวเขาว่า เขาไม่ใช่ผู้นำ แต่หน้ากากสีดำของเขาเป็นเสมือนกระจกที่สะท้อนการต่อสู้แต่ละครั้ง กล่าวคือชาวซัปปาติสตาคือใครก็ตามที่ต่อสู้กับความอยุติธรรมในทุกแห่งหน และบอกว่า "เราก็คือท่าน" ครั้งหนึ่งเขาพูดกับผู้สื่อข่าวว่า "มาร์กอสก็คือพวกรักร่วมเพศในซานฟรานซิสโก คนผิวดำในอัฟริกาใต้ ชาวเอเชียในยุโรป ชาวชิคาโนในเมืองซาน ยีโร่ (ชิคาโน-พวกลูกผสมอเมริกัน-เม็กซิกัน เป็นคำที่ใช้เรียกในเชิงดูถูก) นักอนาธิปัตย์ในสเปน ชาวปาเลสไตน์ในอิสราเอล ชาวพื้นเมืองมายาตามท้องถนนในเมืองซาน คริสโตบาล ชาวยิวในเยอรมัน ชาวยิปซีในโปแลนด์ ชาวโมฮ็อกในแคว้นควิเบก ผู้รักสันติในบอสเนีย ผู้หญิงโสดที่อยู่ตามสถานีรถไฟใต้ดินตอนสี่ทุ่ม ชาวนาไร้ที่ดิน สมาชิกแก๊งในสลัม คนงานตกงาน นักศึกษาที่ไม่มีความสุข และแน่นอน ชาวซัปปาติสตาในเทือกเขา"