ผลงานวิชาการชิ้นนี้ เผยแพร่ครั้งแรกบนเว็ปไซต์ วันที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๘ : ไม่สงวนสิทธิ์ในการใช้ประโยชน์ทางวิชาการ
เว็ปไซท์นี้มีการคลิกโดยเฉลี่ยต่อวัน 3-50000 ครั้ง สำรวจเมื่อเดือนมิถุนายน 2548 - ขอขอบคุณ www.thaiis.com ที่ให้ใช้พื้นที่
นักศึกษา สมาชิกและผู้สนใจ หากประสงค์จะตรวจดูบทความอื่นๆที่เผยแพร่บนเว็ปไซค์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ท่านสามารถคลิกไปดูได้จากตรงนี้ ไปหน้าสารบัญ
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็ปไซคทั้งหมด กว่า 640 เรื่อง หนากว่า 8500 หน้า
ในรูปของ CD-ROM ในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง) สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)yahoo.com
หรือ ส่งธนาณัติถึง สมเกียรติ ตั้งนโม : ไปรษณีย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 50202

กรุณาส่งธนาณัติแลกเงินไปยัง สมเกียรติ ตั้งนโม : คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 50202 และอย่าลืมเขียนชื่อ ที่อยู่ ของผู้รับตัวบรรจงด้วยครับ เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการจัดส่งทางไปรษณีย์

The Midnight University

นาทีสุดท้ายไปสู่จุดจบหรือวันใหม่ที่ดีกว่าเดิม
ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ : หนึ่งนาทีก่อนเที่ยงคืน
พระไพศาล วิสาโล

คอลัมน์ จิตวิวัฒน์
โดย พระไพศาล วิสาโล แผนงานพัฒนาจิตเพื่อสุขภาพ มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์
สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.)
[email protected]


บทความฟรี มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ 652
เผยแพร่บนเว็ปไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๔๘

(บทความทั้งหมดยาวประมาณ 3.5 หน้ากระดาษ A4)

หมายเหตุ
บทความเรื่องนี้ได้รับการตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์มติชนรายวันแล้ว


หนึ่งนาทีก่อนเที่ยงคืน
ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติแทบจะแยกไม่ออกจากการทำสงครามประหัตประหารกัน และนับวันดูจะรุนแรงมากขึ้น เพียงแค่ถอยหลังไป 100 ปี คือระหว่างปี ค.ศ. 1900-1989 อันเป็นปีที่สงครามเย็นยุติ คาดกันว่ามีคนตายไปเพราะสงครามถึง 86 ล้านคน

ถ้านับจำเพาะหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (1945) มาจนถึงปี 1990 มีคนตายเพราะสงครามถึง 22 ล้านคน ทั้งนี้ยังไม่นับถึงคนที่ตายเพราะน้ำมือของรัฐบาลตนเองอีก 48 ล้านคน (ดังที่เกิดในรัสเซียสมัยสตาลิน จีนสมัยเหมา และเขมรสมัยพลพต)

แม้ขึ้นศตวรรษใหม่แล้ว สงครามก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะน้อยลง ปัจจุบันมีประมาณ 1 ใน 8 ของประเทศทั่วโลกที่พัวพันกับสงคราม โดยส่วนใหญ่เป็นสงครามกลางเมือง ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ร้อยละ 90 ของเหยื่อสงครามในปัจจุบันเป็นพลเรือน ขณะที่ผู้บาดเจ็บล้มตายในสงครามเมื่อศตวรรษที่แล้วร้อยละ 90 เป็นทหาร

ปรากฏการณ์ดังกล่าวน่าจะเป็นหลักฐานชี้ชัดว่ามนุษย์นั้นนิยมความรุนแรงและใฝ่สงคราม อย่างไรก็ตาม เมื่อย้อนหลังไปนับหมื่นๆ ปี กลับพบหลักฐานน้อยมากที่ยืนยันข้อสรุปดังกล่าว

ในช่วงเวลา 10,000 ปีก่อนหน้านี้ขึ้นไป นักโบราณคดีแทบไม่พบหลักฐานที่ชัดเจนเกี่ยวกับสงครามหรือการใช้ความรุนแรงอย่างเป็นระบบ

ในหนังสือเรื่อง Troubled Times: Violence and Warfare in the Past (1996) ได้มีการศึกษาเกี่ยวกับความรุนแรงในยุคก่อนประวัติศาสตร์อย่างละเอียด สิ่งที่ค้นพบก็คือ ความรุนแรงเกือบทั้งหมดของมนุษย์นั้นเกิดขึ้นในช่วง 8,000 ปีที่ผ่านมานี้เอง ในบทปิดท้าย ไบรอัน เฟอร์กูสัน ได้สรุปว่า "ดูเหมือนว่าการฆ่ากันระหว่างบุคคลมีน้อยมาก และแทบจะไม่มีการฆ่าอย่างเป็นระบบเลยตลอดอดีตการใช้ชีวิตทั้งหมดของเรา"

ข้อสรุปดังกล่าวส่วนหนึ่งได้มาจากข้อเท็จจริงที่ว่า ยังไม่เคยพบอาวุธสำหรับทำสงครามชิ้นใดที่เก่าแก่ไปกว่ากริชและคทาอายุ 8,000 ปี ที่เมืองคาทาลฮูยุคในตะวันออกกลาง ขณะเดียวกันป้อมปราการเก่าแก่ที่สุดที่พบก็คือ กำแพงเจอริโค อายุ 10,000 ปี ซึ่งก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่า อาจสร้างขึ้นเพื่อป้องกันน้ำท่วมมากกว่าเพื่อป้องกันการรุกราน

จริงอยู่มนุษย์ยุคหินรู้จักทำอาวุธมานานแล้ว แต่อาวุธเหล่านั้นใช้ในการล่าสัตว์มากกว่าที่จะทำร้ายมนุษย์ด้วยกัน ภาพวาดตามผนังถ้ำก่อนยุคประวัติศาสตร์อย่างมากก็เป็นเรื่องราวการล่าสัตว์ด้วยธนูและหอก แต่แทบไม่มีภาพเกี่ยวกับการต่อสู้กันด้วยอาวุธเลย ตรงกันข้ามกับภาพวาดบนกำแพงและรูปปั้นของชาวสุเมเรียนและอียิปต์เมื่อราว 5,000 ปีที่แล้ว จะเต็มไปด้วยเรื่องราวของการต่อสู้และทำสงครามกัน

มนุษย์นั้นถือกำเนิดขึ้นมาในโลกไม่น้อยกว่า 2 ล้านปีมาแล้ว แต่มีเพียง 10,000 ปีสุดท้ายเท่านั้นที่พบหลักฐานการทำสงครามหรือการสู้รบกันเป็นกลุ่มและอย่างเป็นระบบ และเมื่อศึกษาให้ละเอียด จะพบว่าการสู้รบกันอย่างนองเลือดจนล้มตายกันเป็นเบือนั้นกระจุกตัวอยู่ในช่วง 2,000 ปีที่ผ่านมา นั่นหมายความว่าประวัติศาสตร์อันนองเลือดของมนุษย์นั้นกินเวลาเพียง 0.1% ของประวัติศาสตร์มนุษยชาติทั้งหมด

ถ้ายกเอา 10,000 ปีสุดท้ายออกไปแล้ว กล่าวได้ว่า 99.5% ของประวัติศาสตร์มนุษยชาติเป็นช่วงเวลาแห่งการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ น่าสังเกตว่ามนุษย์เมื่อ 10,000 ปีก่อนยังชีพด้วยการล่าสัตว์และหาของป่า วิถีชีวิตดังกล่าวมีส่วนไม่น้อยในการทำให้มนุษย์ห่างไกลจากสงคราม เนื่องจากต้องเคลื่อนย้ายอยู่เสมอ ที่ดินจึงไม่ใช่สิ่งสำคัญที่จะต้องแย่งชิงกัน ขณะเดียวกันประชากรยังมีจำนวนน้อย พื้นที่ว่างมีมาก ประชากรเฉลี่ย 1 คนต่อพื้นที่ 1 ตารางไมล์ โอกาสที่จะกระทบกระทั่งกันระหว่างบุคคลหรือระหว่างเผ่าจึงมีน้อย

เราพบว่าในหมู่ชนดั้งเดิมที่ยังชีพด้วยการล่าสัตว์และหาของป่า แม้กระทั่งทุกวันนี้ การใช้ความรุนแรงมีน้อยมาก อัตราการฆาตกรรมในกลุ่มชาวคุงซึ่งยังชีพแบบดั้งเดิมในแอฟริกามีน้อยกว่า 1 ใน 3 ของสังคมสมัยใหม่ เมื่อมีการทะเลาะกัน ชาวบุชเมนจะรีบขอให้คนอื่นมาเป็นผู้ไกล่เกลี่ย เมื่อมีคนจากกลุ่มหนึ่งเข้ามาล่าสัตว์ในเขตของอีกกลุ่มโดยไม่ได้ขออนุญาต ฝ่ายที่เป็น "เจ้าของ" เขตแดนจะขอให้เพื่อนบ้านไปเป็นพยาน และเข้าไปพูดคุยกับผู้บุกรุก พร้อมกับตักเตือนไม่ให้ทำเช่นนั้นอีก

เมื่อมีผู้นำภาพสงครามจากนิตยสาร ไทม์ ไปให้ชาวบุชเมนดู พวกเขากลับแสดงความพิศวง มีทั้งความไม่เชื่อและเข้าใจไม่ได้ว่าทำไมต้องใช้วิธีที่โหดร้ายเช่นนั้น

จริงอยู่ชนเผ่าพื้นเมืองที่ดุร้ายก็มีอยู่ อาทิ เผ่ายาโนมามีในบราซิล หรือวาโอรานีในเอกวาดอร์ แต่กรณีชนเผ่าบุชเมนและอีกหลายชนเผ่าทั่วโลก รวมทั้งหลักฐานทางโบราณคดีเมื่อหมื่นกว่าปีขึ้นไปได้ชี้ว่า มนุษย์นั้นไม่ได้มีสัญชาตญาณใฝ่ความรุนแรงไปเสียหมด หรือไม่ได้มีสัญชาตญาณเช่นนั้นอย่างเดียว มนุษย์ยังมีสัญชาตญาณใฝ่สันติอยู่ด้วย สัญชาตญาณดังกล่าวได้รับการหนุนเสริมจากการเรียนรู้ว่า เมื่อใช้ความรุนแรงย่อมถูกตอบโต้ด้วยความรุนแรง

เคยมีคนถามชนเผ่าเซไมในมาเลเซียว่า "ทำไมคุณไม่ไปตีคนอื่น" คำตอบที่ได้ก็คือ "แล้วถ้าเขาตีตอบล่ะ?" ใช่แต่เท่านั้น ความจำเป็นที่ต้องพึ่งพาอาศัยกันท่ามกลางธรรมชาติที่ไม่อำนวย ย่อมทำให้ผู้คนตระหนักว่า การร่วมมือกันและการหันหน้าเข้าหากันเป็นวิธีการอยู่รอดที่ดีที่สุด

ที่น่าสนใจก็คือการร่วมมือและคืนดีกันนั้นเป็นสัญชาตญาณที่มีอยู่ในสัตว์นานาชนิดด้วย โลมานั้นหลังจากวิวาทกันไม่นาน คู่กรณีทั้ง 2 ฝ่ายก็มักจะเอาตัวเข้ามาถูกันอย่างนุ่มนวลหรือไม่ก็ดุนตัวกัน หมาป่าไฮยีนาซึ่งได้ชื่อว่าดุร้ายและชอบวิวาท แต่ไม่ถึง 5 นาที หลังจากสู้กันมันก็จะกลับมาหยอกล้อกัน เลียตัวกันหรือถูตัวให้กัน ยิ่งลิงด้วยแล้วการทะเลาะกันมักจะลงเอยด้วยการคืนดีกันเสมอ ถ้าเป็นชิมแปนซี ตัวที่แพ้จะเป็นฝ่ายเข้าไปคืนดี แต่ถ้าเป็นโบโนโบตัวที่ชนะมักจะเข้าไปง้อก่อน

พฤติกรรมเหล่านี้ล้วนมีเหตุผลรองรับ สัตว์เหล่านี้รู้ดีว่าหากมีความขัดแย้งเกิดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อความอยู่รอดของกลุ่มทั้งหมด หากมีสมาชิกหนีออกไปเรื่อยๆ เพราะมีเรื่องมีราวกันกลุ่มก็จะมีขนาดเล็กลงทำให้หาอาหารได้น้อยลง และมีกำลังน้อยลงในการต่อสู้กับผู้รุกราน และถึงแม้จะไม่มีการหนีจากกลุ่ม แต่ถ้ายังมีความบาดหมางกันอยู่ ทั้งสองฝ่ายก็จะเกิดความกังวลและต้องคอยระแวดระวังเพราะกลัวจะถูกทำร้าย ทำให้เกิดความเครียด ซึ่งมีผลต่อภูมิต้านทานในร่างกาย เคยมีการตรวจสอบร่างกายของสัตว์เหล่านี้ พบว่าการคืนดีนั้นช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจ ทำให้เครียดน้อยลง

นักสัตววิทยาพบว่า ยิ่งสัตว์มีการพึ่งพากันมากเท่าไร การปล่อยให้ความบาดหมางยืดยาวออกไปย่อมก่อผลเสียต่อตัวเองมากเท่านั้น การศึกษาลิงบางชนิดพบว่า การคืนดีหลังการต่อสู้กันมักจะเกิดกับคู่ที่มักจะช่วยกันหาอาหารมากกว่ากับคู่อื่นๆ จะว่าไปแล้วนี้ก็เป็นเหตุผลเดียวกับที่ชนเผ่าดั้งเดิมพยายามหันหน้าเข้าหากันเมื่อเกิดความขัดแย้ง

พวกเขารู้ดีว่าทุกคนต้องพึ่งพาอาศัยกันถึงจะอยู่รอดได้ ถ้ามีความร้าวฉานเกิดขึ้น กลุ่มก็จะอ่อนแอและทุกคนก็อยู่ในความเสี่ยง ระบบเศรษฐกิจการเมืองและเทคโนโลยีในสังคมสมัยใหม่ ทำให้ผู้คนสำคัญผิดว่าตนเองสามารถอยู่คนเดียวได้โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร เพียงมีเงินในกระเป๋าก็เอาตัวรอดได้ จะทำอะไรก็อาศัยเทคโนโลยีโดยไม่จำต้องงอนง้อใคร

แต่นั่นเป็นภาพลวงตา เพราะถึงที่สุดแล้วความผาสุกของแต่ละคนไม่อาจแยกจากของส่วนรวมได้ ยิ่งโลกาภิวัตน์ทำให้คนทั้งโลกมาใกล้ชิดกันมากขึ้น ก็ยิ่งมีผลกระทบต่อกันมากขึ้น แต่ละคนอยู่ได้ด้วยตนเองก็เพียงชั่วครั้งชั่วคราว แต่ในระยะยาวแล้วย่อมไม่อาจแยกขาดจากส่วนรวมได้

สันติภาพและการคืนดีจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อตระหนักว่าเราทุกคนล้วนพึ่งพาอาศัยกัน ความผาสุกของผู้อื่นคือความผาสุกของเราด้วย และที่จะลืมไม่ได้ก็คือการตระหนักว่า ความรุนแรงไม่ใช่สัญชาตญาณของมนุษย์เท่านั้น ความรักสันติก็เป็นสัญชาตญาณของเราด้วยเช่นกัน

แม้ว่าความขัดแย้งจะเป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่ขณะเดียวกันเราก็คือ "เผ่าพันธุ์นักไกล่เกลี่ยคืนดี" การเห็นธรรมชาติของมนุษย์อย่างรอบด้าน จะช่วยให้สัญชาตญาณใฝ่สันติของมนุษย์มีโอกาสที่จะเติบโตทัดเทียม หรือยิ่งกว่าสัญชาตญาณใฝ่ความรุนแรง และสามารถนำพามนุษยชาติสู่สันติภาพอันยั่งยืนได้

หากเราย่อวิวัฒนาการของมนุษยชาติที่ยาวนานกว่า 2 ล้านปีให้เหลือเพียง 24 ชั่วโมง มนุษย์เราได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติท่ามกลางความขัดแย้งมาตั้งแต่เช้ามืด ตลอดบ่าย เย็น และค่ำจนกระทั่งเกือบเที่ยงคืน ประวัติศาสตร์แห่งความรุนแรงจึงเกิดขึ้น โดยช่วงเวลาที่นองเลือดนั้นเกิดขึ้นเมื่อ 1 นาทีก่อนเที่ยงคืนเท่านั้นเอง

คำถามก็คือเราจะปล่อยให้ 1 นาทีสุดท้ายนั้นพามนุษยชาติไปสู่จุดจบหรือเคลื่อนสู่วันใหม่ที่ดีกว่าเดิม?

 



บทความวิชาการฟรีที่ผ่านมา ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
หากนักศึกษาและสมาชิกท่านใตสนใจ
สามารถคลิกไปอ่านได้จากที่นี่...คลิกที่ภาพ

 

สารบัญข้อมูล : ส่งมาจากองค์กรต่างๆ

ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I สารบัญเนื้อหา 3
ประวัติ ม.เที่ยงคืน

webboard(1) I webboard(2)

e-mail : midnightuniv(at)yahoo.com

หากประสบปัญหาการส่ง e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com

ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม

 

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็ปไซคทั้งหมด กว่า 640 เรื่อง หนากว่า 8400 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com

 

สมเกียรติ ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็ปไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com




 

R
relate topic
290848
release date

คลิกไปหน้าสารบัญ(1)
คลิกไปหน้าสารบัญ
(2)
คลิกไปหน้าสารบัญ(3)
คลิกไปหน้าสารบัญ(4)
เพื่อดูบทความใหม่

เว็ปไซต์เผยแพร่ความรู้
เพื่อสาธารณประโยชน์

หากนักศึกษาหรือสมาชิก ประสบปัญหาภาพและตัวหนังสือซ้อนกัน กรุณาลด text size ของ font ลง
จะช่วยแก้ปัญหาได้

เที่ยงวันคือจุดเริ่มต้นไปสู่ความมืด เที่ยงคืนคือจุดเริ่มต้นไปสู่ความสว่าง
H
เว็ปไซต์นี้สร้างขึ้นเพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงอุดมศึกษาได้โดยไม่จำกัดคุณวุฒิ สำหรับผู้สนใจส่งบทความทางวิชาการเพื่อเผยแพร่ต่อสาธารณชน กรุณาส่งผลงานของท่านมายัง midarticle(at)yahoo.com
The author of this work hereby waives all claim of copyright (economic and moral) in this work and immediately places it in the public domain...
มนุษย์นั้นถือกำเนิดขึ้นมาในโลกไม่น้อยกว่า 2 ล้านปีมาแล้ว แต่มีเพียง 10,000 ปีสุดท้ายเท่านั้นที่พบหลักฐานการทำสงครามหรือการสู้รบกันเป็นกลุ่มและอย่างเป็นระบบ และเมื่อศึกษาให้ละเอียด จะพบว่าการสู้รบกันอย่างนองเลือดจนล้มตายกันเป็นเบือนั้นกระจุกตัวอยู่ในช่วง 2,000 ปีที่ผ่านมา นั่นหมายความว่าประวัติศาสตร์อันนองเลือดของมนุษย์นั้นกินเวลาเพียง 0.1% ของประวัติศาสตร์มนุษยชาติทั้งหมด

ถ้ายกเอา 10,000 ปีสุดท้ายออกไปแล้ว กล่าวได้ว่า 99.5% ของประวัติศาสตร์มนุษยชาติเป็นช่วงเวลาแห่งการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ

.............................