Midnight's People Politics
รัฐศาสตร์และโลกาภิวัตน์
ทฤษฎีเกมแห่งอำนาจ
และทฤษฎีโลกแบน
ชำนาญ
จันทร์เรือง
นักวิชาการทางกฎหมายและรัฐศาสตร์
สมาชิกมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
บทความ
๒ เรื่องที่เผยแพร่บนหน้าเว็บเพจนี้ เคยได้รับการตีพิมพ์แล้ว
กองบรรณาธิการได้รับมาจาก อ.ชำนาญ จันทร์เรือง ประกอบด้วย
๑. ทฤษฎีเกมแห่งอำนาจ ๒. ฤาว่าโลกเรานี้แบน
เรื่องแรกเป็นการนำเอาทฤษฎีเกมมาอธิบายปรากฎการณ์และการต่อสู้กันทางการเมือง
ส่วนเรื่องที่สองเป็นการวิเคราะห์ความเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคโลกาภิวัตน์
ที่เสมือนทำให้โลกของเราแบนอีกครั้งหนึ่ง
midnightuniv(at)yahoo.com
(บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา)
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ 1016
เผยแพร่บนเว็บไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่
๒๕ สิงหาคม ๒๕๔๙
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ
6 หน้ากระดาษ A4)
ทฤษฎีเกมแห่งอำนาจและทฤษฎีโลกแบน
ชำนาญ จันทร์เรือง - นักวิชาการทางกฎหมายและรัฐศาสตร์
1. ทฤษฎีเกมแห่งอำนาจ
(Game of Power Theory)
ฮาโรลด์ ลาสเวลล์
(Harold Lasswell) กล่าวไว้ว่า "การเมือง เป็นเรื่องของการได้มาซึ่งอำนาจ
เพื่อที่จะตัดสินว่าใครจะได้อะไร เมื่อใด และอย่างไร"
อำนาจ (power) ในที่นี้หมายถึง พลังอะไรบางอย่างที่จะสามารถบังคับให้คนหรือกลุ่มบุคคลที่มีพลังน้อยกว่ากระทำตามที่ตนต้องการ ฉะนั้น อำนาจจึงเป็นสิ่งที่หอมหวนและน่าพิสมัยเป็นยิ่งนัก บางรายถึงกับเสพย์ติดจนไม่ลืมหูลืมตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักการเมืองหรือข้าราชการระดับสูงทั้งหลาย
เกมส์ (games) หมายถึง สถานการณ์ที่มีการแข่งขันหรือการขัดแย้งระหว่างฝ่ายตั้งแต่ ๒ ฝ่ายขึ้นไป ที่ใช้กันมากได้แก่ เกมในการกีฬา ส่วนในการเมืองก็เช่นเดียวกันมีสถานการณ์แห่งการขัดแย้งและการแข่งขันคล้าย ๆ กับเกมในการกีฬา ผู้ที่เข้าเล่นแต่ละฝ่ายต่างก็ต้องศึกษาถึงกฎเกณฑ์กติกาของการเล่น โดยพยายามคาดคะเนล่วงหน้าถึงวิธีการเล่นของฝ่ายอื่น ๆ หากมีการละเมิดกติกาก็จะต้องมีผู้เข้ามาตัดสิน
จริง ๆ
แล้ว ทฤษฎีเกมนี้เริ่มนำมาเผยแพร่ในปี ค.ศ. ๑๙๒๘ โดยนักคณิตศาสตร์
ชื่อ จอห์น ฟอน นิวแมน (John Von Newmann) ที่นำมาอธิบายเรื่องการแข่งขันกันทางเศรษฐกิจ
จนทำให้เขาได้รับสมญานามว่าเป็นบิดาของทฤษฎีเกม โดยทฤษฎีเกมนี้จะเป็นการศึกษากระบวนการตัดสินใจภายใต้สถานการณ์ที่ขัดแย้งกัน
(conflict situations)
ทฤษฎีคณิตศาสตร์ของนิวแมนนี้เรียกว่า "minimax" มีหลักว่า ผู้แข่งขันควรวิเคราะห์ความเคลื่อนไหวก้าวต่อไปของตนในทุก ๆ ความเป็นไปได้ เพื่อคำนวณว่า ความเคลื่อนไหวใดที่อาจเปิดโอกาสให้คู่แข่งขันสามารถสร้างความสูญเสียให้แก่เราได้มากที่สุด ด้วยความคิดแบบนี้ กลยุทธ์ที่ดีที่สุดก็คือเราจะต้องเลือกการเคลื่อนไหวที่ "จะก่อความสูญเสียสูงสุดน้อยที่สุด" (minimum maximum possible loss) เพราะหากเราจะต้องแพ้ก็จะได้ไม่เจ็บปวดมากนัก
เมื่อทฤษฎีเกมของนิวแมนรวมเข้ากับความคิดของออสการ์ มอร์เกนสะเติร์น (Oskar Morgenstern) จึงเกิด "Theory of Games and Economic Behavior ขึ้น โดยถูกนำไปใช้ในศาสตร์ต่าง ๆ อย่างมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการเมือง การทหาร ฯลฯ ในด้านการเมืองนั้นก็มีการนำไปใช้ในการศึกษาพฤติกรรมทางการเมือง การแย่งชิงอำนาจทางการเมือง การแย่งชิงตำแหน่งในหน่วยงาน ฯลฯ
เราสามารถแบ่งเกมออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ ๒ ประเภท คือ
๑) เกมที่มีผลรวมเป็นศูนย์ (zero-sum games) เป็นเกมที่ผลรวมผลได้ของผู้ชนะมีค่าเท่ากับผลรวมความเสียหายที่ผู้แพ้ได้รับ และที่หนักที่สุดคือผู้ชนะได้หมดที่เราเรียกว่า "The winner take all" ซึ่งผู้เสียจะสูญเสียไปทั้งหมด เกมชนิดนี้จึงเป็นเกมที่ต้องต่อสู้กันอย่างถึงพริกถึงขิง แพ้ไม่ได้เพราะถ้าแพ้ก็อาจหมดตัวไปเลย
๒) เกมที่มีผลรวมไม่เป็นศูนย์ (nonzero-sum games) เป็นเกมที่มีกลยุทธ์ที่ผลได้ของผู้ชนะมีค่าไม่เท่ากับความเสียหายที่ผู้แพ้ได้รับ ในเกมชนิดนี้ผู้แข่งขันทุกคนอาจเป็นผู้ชนะ (win-win) หรือในทำนองกลับกันก็อาจจะเป็นผู้แพ้ (loss-loss) ทั้งหมดก็ได้
จากที่กล่าวมาข้างต้น
เมื่อนำมาวิเคราะห์กับสถานการณ์บ้านเมืองของไทยเรา
ในปัจจุบันจะเห็นได้ว่า เป็นการเล่นเกมแห่งอำนาจอย่างชัดเจน โดยมีผู้เล่นอยู่หลาย
ๆ ฝ่าย ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น ๓ ฝ่าย ใหญ่ ๆ คือ
- ฝ่ายเชียร์ทักษิณและต้องการให้ทักษิณเป็นนายกฯ
- ฝ่ายไม่เอาทักษิณ และต้องการคนกลางเป็นนายกฯ
- ฝ่ายไม่เอาทักษิณ แต่ไม่ต้องการคนกลางเป็นนายกฯ
ฝ่ายแรก
คือฝ่ายที่เชียร์คุณทักษิณซึ่งก็แน่นอนว่าคือฝ่ายที่ชื่นชอบในฝีไม้ลายมือของคุณทักษิณ
และในที่นี้หมายความรวมถึงผู้ที่ชื่นชอบพรรคไทยรักไทยด้วย โดยอนุมานเอาว่า
๑๖ ล้านเสียงที่ลงคะแนนให้การเลือกตั้งคราวที่ผ่านมา อยู่ฝ่ายแรกนี้
ฝ่ายที่สอง ก็หมายถึงฝ่ายพันธมิตรฯ รวมถึงพรรคประชาธิปัตย์
(ในคราวที่เรียกร้อง มาตรา ๗) โดยมองว่าคุณทักษิณคือเป้าหมายอันดับแรกสุดที่จะต้องถูกกำจัดให้ออกจากเวทีการเมืองไทย
เพราะเห็นว่าเป็นภัยร้ายแรงต่อชาติ จึงเลือกเอาวิถีทางที่คิดว่าอาจไม่เป็นประชาธิปไตยนักแต่เมื่อเทียบความเสียหายแล้ว
ถ้าให้คุณทักษิณอยู่ต่อไปจะเสียหายมากกว่า จึงมีการเรียกร้องให้คุณทักษิณลาออกหรือเว้นวรรคอยู่อย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ฝ่ายที่สาม ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นฝ่ายนักวิชาการหัวก้าวหน้าที่เห็นว่า
ทั้งฝ่ายแรกและฝ่ายที่สอง ล้วนแล้วแต่เป็นภัยต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในระยะยาว
แต่ฝ่ายที่สามนี้ก็ถูกตอบโต้ว่าเป็น "กระฎุมพีบนหอคอย" เช่นกัน ซึ่งฝ่ายที่สองกับฝ่ายที่สามนั้นตอนแรก
ๆ ดูเหมือนว่าจะพอไปกันได้ แต่ในที่สุดก็มีการแตกขั้วกันออกมาอย่างชัดเจน
แต่เมื่อเรานำทฤษฎีเกมเข้ามาวิเคราะห์แล้วจะเห็นได้ว่า "เป็นเกมแห่งการแย่งชิงและรักษาอำนาจ" ดี ๆ นี่เอง แต่ว่าเกมแห่งอำนาจของการเมืองไทยนี้มีปัจจัยที่จะต้องนำมาศึกษาและวิเคราะห์ เพื่อประกอบในกลยุทธ์ที่จะใช้ต่อสู้เพื่อแย่งชิงและรักษาอำนาจที่ว่านั้น ซึ่งมีปัจจัยแตกต่างและมากกว่าบ้านเมืองอื่นพอสมควร
ที่ว่าแตกต่างจากบ้านเมืองอื่นก็คือ
โดยปกติแล้วการตัดสินเกมแห่งอำนาจเพื่อ
ชัยชนะทางการเมืองในบรรดาประเทศประชาธิปไตยทั่ว ๆ ไปแล้ว ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ชี้ขาดก็คือ
ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง ผู้ที่ทำหน้าที่คอยตรวจสอบและรักษากติกาก็คือ
องค์กรที่จัดการเลือกตั้งและองค์กรตุลาการ ที่พิจารณาพิพากษาคดีในกรณีที่มีปัญหาในด้านความชอบด้วยกฎหมายเกิดขึ้น.
แต่ของไทยเรานอกเหนือจากปัจจัยที่ว่ามานี้แล้วยังมีปัจจัยอื่นที่จะต้องนำมาพิจารณาอีก
อาทิ กลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ ที่อยู่เบื้องหลังพรรคการเมือง กลุ่มอำมาตยาธิปไตย
กลุ่มพลังอำนาจทั้งในระบบและนอกระบบ ตลอดจนผู้คนที่ประชาชนให้ความเคารพนับถือในสังคม
ฯลฯ
ฉะนั้น ทฤษฎีเกมแห่งอำนาจที่จะใช้อธิบายการต่อสู้แย่งชิงอำนาจในวิกฤติการณ์ของการเมืองไทยในคราวนี้ จึงอธิบายได้ว่า มิใช่เป็นเพียงการต่อสู้แย่งชิงอำนาจระหว่างกลุ่มของพรรคการเมืองเท่านั้น ผลของการแพ้ชนะในการต่อสู้ทางการเมืองในครั้งนี้จึงมิใช่ zero-sum games หรือ the winner take all แต่จะเป็น nonzero-sum games เพราะจวบจนถึงปัจจุบันนี้ยังมองไม่เห็นว่าใครจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากชัยชนะในการต่อสู้ในครั้งนี้ มีแต่มองเห็นความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อทุกฝ่ายจนบางคนต้องติดคุกติดตารางสังเวยเกมแห่งอำนาจนี้
ที่สำคัญก็คือประเทศชาติซึ่งเปรียบเสมือนเวทีของการเล่นเกมแห่งอำนาจนี้ ต้องพลอยได้รับผลแห่งความเสียหายอย่างมิอาจประเมินได้เพราะเหตุแห่งการที่ผู้เล่นเกมหวังมุ่งแต่เพียงชัยชนะโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่ตามมานั่นเอง
2. ฤาว่าโลกเรานี้แบน
(The World is Flat)
ผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือหนาปึกเกือบหกร้อยหน้าชื่อ THE World is FLAT โดย Thomas
L. Friedman ที่พรรคพวกซื้อมาฝาก เพียงครั้งแรกที่เห็นชื่อเรื่องไม่นับรวมสติ๊กเกอร์ที่บ่งบอกว่าเป็นหนังสือขายดีอันดับหนึ่งแล้ว
ก็ให้เป็นฉงนในชื่อเรื่องที่แปลเป็นไทยว่า "โลกแบน" และได้มีโอกาสอ่านสรุปสาระสำคัญของหนังสือเล่มนี้ที่สภาพัฒน์ฯ
ได้สรุปไว้ทำให้ทราบว่า
ในปี ค.ศ. 1492 เมื่อ Christopher Columbus เดินเรือเพื่อหาเส้นทางไปอินเดีย แต่ด้วยความผิดพลาดโดยบังเอิญไปพบทวีปอเมริกาเข้า จากเหตุการณ์ดังกล่าวจึงเป็นที่มาของความเชื่อว่าโลกเรานี้กลมแทนความเชื่อว่าโลกเรานี้แบนมาแต่เดิม
ในปัจุจุบันยุคของโลกาภิวัตน์ อินเดียกลับกลายเป็นศูนย์กลางของ Business Process Outsourcing (BPO) ให้บริการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการรับเขียน Software กรอกแบบภาษี วิเคราะห์ผล X-ray ติดตามกระเป๋าเดินทางที่สูญหายให้แก่สายการบิน โดยให้บริการแก่บริษัทต่าง ๆ ทั่วโลกผ่านทาง Internet ส่วนประเทศจีนมีแรงงาน ที่สามารถพูดภาษาญี่ปุ่นหลายพันคนกําลังให้บริการ BPO แก่บริษัทต่าง ๆ ของประเทศญี่ปุ่น ประสบการณ์เหล่านี้เปรียบเสมือนว่าปัจจุบันเราอยู่ในโลกที่แบน และผลที่เกิดขึ้นก็คือ การเผชิญหน้ากันในสนามการแข่งขันภายใต้สภาพแวดล้อมเดียวกัน (level playing field)
กระแสโลกาภิวัตน์ที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์มี 3 ช่วง ได้ แก่
(1) Globalization 1.0 เริ่มจาก ค.ศ. 1492 กลไกการเปลี่ยนแปลงคือประเทศตะวันตก เช่น สเปนและอังกฤษ เป็นต้น ที่เดินทางแสวงหาอาณานิคม ทําให้โลกเสมือนลดขนาดลงจากขนาดใหญ่ เป็นขนาดกลาง
(2) Globalization 2.0 เริ่มจาก ค.ศ. 1800-2000 โดยกลไกคือบริษัทข้ามชาติที่แสวงหาตลาดและแรงงานในโลกตะวันออก ทําให้โลกเสมือนลดจากขนาดกลางเป็นขนาดเล็ก
(3) Globalization 3.0 เริ่มจาก ค.ศ. 2000 ที่เทคโนโลยีสารสนเทศทําให้โลกเสมือนลดจากขนาดเล็กเป็นขนาดจิ๋ว โดยกลไกคือคนทุกคนและทุกกลุ่มที่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยี (plug and play) และร่วมในกระแสโลกาภิวัตน์นี้ได้โดยไม่จํากัดเฉพาะชาวตะวันตกอีกต่อไป
ในหนังสือนี้ผู้เขียนได้กล่าวถึงเหตุการณ์สําคัญ ที่ทําให้โลกแบน ได้แก่
(1) 11/9/89 The wall came down and Windows came up. วันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1989 (11/9) กําแพงเบอร์ลินถูกทําลาย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ ของการเริ่มโลกไร้พรมแดน และหลังจากนั้นอีก 5 เดือน โปรแกรม Windows 3.0 เริ่มวางตลาด
(2) 8/9/95 People to people connectivity วันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1995 บริษัท Netscape เข้าเป็นบริษัทมหาชน ซึ่งทําให้เกิดสิ่งสําคัญ 3 เรื่อง
2.1) มี browser ที่ทําให้การใช้ Internet เกิดเป็นที่นิยมทั่วโลก
2.2) ทําให้มีมาตรฐานที่การติดต่อสื่อสารและเชื่อมโยงกัน ระหว่างผู้ใช้คอมพิวเตอร์ระบบต่าง ๆ เกิดขึ้นได้
2.3) เกิดกระแส Dot-Com boom จนเกิดการลงทุนในการวางสาย Fiber Optic มูลค่าประมาณ 1 ล้านล้านเหรียญ ซึ่งทําให้เกิดการสื่อสารได้ทั่วโลกโดยต้นทุนการส่งเอกสาร เพลง หรือข้อมูลลดลงอย่างมหาศาล
(3) Work Flow Software (Application to application connectivity) การที่มีมาตรฐานและการเชื่อมโยงให้เกิดการสื่อสารกันได้ ระหว่างผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์ต่างกันและโปรแกรมต่างกันได้ ทําให้เกิดการแปลี่ยนแปลงในกระบวนการทํางาน (work flow) อย่างมาก การแบ่งปันความรู้และการร่วมงานกันเกิดขึ้นระหว่างคนที่อยู่ต่างสถานที่ ต่างเวลา อย่างไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์
(4) Open-sourcing เช่นการเปิดให้ใช้โปรแกรม Linux ฟรีแก่คนทั่วไป ทําให้เกิดรูปแบบใหม่ของการสร้างสรรค์(new industrial model of creation) และการร่วมทํางานกัน
(5) Outsourcing เป็นรูปแบบใหม่ของการร่วมกันในกระบวนการทํางาน โดยกิจกรรมต่าง ๆ ของบริษัท สามารถแยกออกไปทํานอกบริษัทในที่อื่นได้
(6) Offshoring การที่จีนเข้าร่วม WTO กระตุ้นการย้ายฐานการผลิตหรือแยกกิจกรรมต่าง ๆ ของบริษัทไปต่างประเทศ (offshoring) ที่มีต้นทุนถูกกว่ามากขึ้น
(7) Supply Chaining การบริหารห่วงโซ่อุปทานในปัจจุบันทําได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก บริษัท Wal-Mart ซื้อของจากประเทศจีนเป็นมูลค่าอันดับที่ 8 เมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้าของจีน (มากกว่าการส่งออกของจีนไป คานาดา หรือ ออสเตรเลีย)
(8) Insourcing คือการที่บริษัทเข้าไปทํางานต่าง ๆ ในบริษัทอื่น เช่น UPS ซึ่งขณะนี้รับทํางาน logistics ให้กับหลายบริษัท การดูแลและให้บริการแก่ลูกค้าซ่อมเครื่องคอมพิวเตอร์ของ Toshiba หรือการให้บริการลูกค้าสั่งซื้อรองเท้าทาง nike.com นั้นจะดําเนินการโดย UPS ตั้งแต่การตอบโทรศัพท์ ซ่อมของ ห่อของ ส่งของจนถึงการเก็บเงิน
(9) Informing เราสามารถหาข้อมูลให้ตัวเองได้อย่างง่ายดายจาก Internet และ search engine เช่น Google
(10) The Steroids Wireless and Voice over the Internet เป็นเครื่องมือที่เหมือนยาชูกําลังที่จะทําให้การร่วมงาน ในรูปแบบต่างๆ ทําได้โดยมีประสิทธิภาพมาก เนื่องจากเราจะสามารถเชื่อมต่อกับใครก็ได้ ที่ไหนก็ได้ ด้วยเครื่องมือที่หลากหลาย
ทั้ง 10
เรื่องนี้เป็นปัจจัยที่ทําให้โลกแบนขึ้นและเรียกปัจจัยเหล่านี้ว่า "flatteners"
โดย flatteners ทั้ง 10 ประการได้มีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน เช่น informing
มีผลต่อ outsourcing; outsourcing มีผลต่อ insourcing; insourcing มีผลต่อ
offshoring เป็นต้น ซึ่งเป็นกระบวนการร่วมและแลกเปลี่ยนงานและความรู้กันทั่วโลกโดยไม่ขึ้นกับความแตกต่างระหว่าง
เวลา ระยะทาง หรือแม้กระทั่งภาษา
หนังสือเล่มนี้ได้ยกตัวตัวอย่างว่า ในยุค globalization 1.0 การซื้อบัตรโดยสารเครื่องบินจะต้องซื้อผ่านบริษัทจําหน่ายบัตรโดยสาร
ซึ่งให้บริการลูกค้า พอถึงยุค globalization 2.0 เริ่มมีเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติ
ที่สนามบินที่ลูกค้าสามารถซื้อได้ด้วยตนเอง ส่วนยุค globalization 3.0 ลูกค้าสามารถซื้อผ่าน
internet และสั่งพิมพ์บัตรโดยสารเองที่บ้านและนําไปขึ้นเครื่องบินได้เลย นั่นคือ
ลูกค้าได้ปรับเปลี่ยนพฤติ กรรมเป็นแนวราบ โดยทํางานแทนพนักงานของบริษัทได้ด้วยตนเอง
จากเนื้อหาที่กล่าวมาโดยย่อนี้ทำให้เราที่ถึงแม้ว่าจะอยู่ในโลกที่โดยสภาพภูมิศาสตร์ที่เป็นสัณฐานกลม
แต่การติดต่อเชื่อมโยง ค้าขาย ฯลฯ ทำได้ทั่วถึงกันไม่ว่าจะอยู่จุดใดของโลก
ฉะนั้น คำกล่าวที่ว่า The World is Flat หรือโลกเรานี้แบน(ราบ) เหมือนความเชื่อในสมัยโบราณคงไม่ผิดไปจากความเป็นจริงเลย
นักศึกษา
สมาชิก และผู้สนใจบทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ก่อนหน้านี้ สามารถคลิกไปอ่านได้โดยคลิกที่แบนเนอร์
ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา 3 I สารบัญเนื้อหา
4
I สารบัญเนื้อหา
5
ประวัติ
ม.เที่ยงคืน
สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง
e-mail :
midnightuniv(at)yahoo.com
หากประสบปัญหาการส่ง
e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com
ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ทั้งหมด
กว่า 1000 เรื่อง หนากว่า 17000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com
สมเกียรติ
ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็บไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ
ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com