Odalisque with a slave
by Jean Auguste Dominique Ingres, painted in 1842
The Midnight University
บทวิพากษ์ผลงานจิตรกรรมสมัยอาณานิคม
นางบำเรอที่ถูกทำให้ผิวขาว:
กากตกค้างของปิตาธิปไตย
สมเกียรติ ตั้งนโม : แปล
สาขาจิตรกรรม
คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
The Midnight University
บทความชิ้นนี้เป็นบทเสนอในเรื่อง
Ethics and exploitation in the human body
ซึ่งผู้แปลเสนอให้เป็นหัวข้ออภิปรายกับกลุ่มเชียงใหม่สำนึก (จิตวิวัฒน์เชียงใหม่)
ดังนั้นจึงได้มีการเตรียมบทความชิ้นดังกล่าวขึ้น เพื่อเป็นฐานของการนำเสนอ
สำหรับการเปิดประเด็นทางจริยธรรม และการตักตวงประโยชน์จากร่างกายของมนุษย์
นอกจากนี้ยังมีบทเตรียมที่รวมไปถึงเรื่องเกี่ยวกับ
การค้ามนุษย์
และการทำให้มนุษย์เป็นสินค้า
ซึ่งได้มีการนำเสนอบนเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนไปแล้วก่อนหน้านี้
(บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา)
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ 809
เผยแพร่บนเว็บไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๔๙
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ
27.5 หน้ากระดาษ A4)
นางบำเรอที่ถูกทำให้ผิวขาว:
กากตกค้างของปิตาธิปไตย
White-skinned
Odalisques: The Residue of Patriarchy; The Means to Subvert It
By Jenna Judd
บทคัดย่อ:
ถึงแม้จะมีการยอมรับเกี่ยวกับความจริงที่ว่า บรรดาจิตรกรที่วาดภาพเกี่ยวกับบูรพาทิศในช่วงคริสตศตวรรษที่
19 จะเขียนภาพภาพผู้หญิงและผู้ชายตะวันออกกลางที่ได้รับการแสดงออกมาด้วยผิวสีขาว,
แต่เอกสารชิ้นนี้จะทำการสำรวจถึงแรงกระตุ้นโดยเฉพาะที่อยู่เบื้องหลังภาพวาดที่มีอยู่ต่อมา
เกี่ยวกับ ภาพการกระทำทางเพศที่มีต่อกัน และ ภาพผู้หญิงผิวขาวที่ทำให้เป็นตะวันออก
เช่นเดียวกับผลของศิลปกรรมเหล่านี้ต่อบรรดาผู้ดูร่วมสมัย
ตลอดการสำรวจทั้งในส่วนของการจ้องมองของผู้ชาย และการทำความเข้าใจเกี่ยวกับชัยชนะของจักรพรรดิ์นิยม ผ่านการอุปมาอุปมัยของชัยชนะทางเพศของผู้ชาย, เอกสารฉบับนี้จะสนับสนุนคำอธิบายถึงแรงกระตุ้นที่อยู่เบื้องหลัง ซึ่งจะขยายไปถึงการยืนยันของ Ivan Kalmar ว่า ภาพจิตรกรรมเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับภาพของผู้หญิงที่ทำให้เป็นตะวันออก ที่ประสบความสำเร็จในการฉายให้เห็นถึงผู้หญิงชาวยุโรปในบทบาทของทาสีบำเรอทางเพศต่างๆ ของผู้ชายชาวยุโรป
วัตถุประสงค์ประการที่สองของงานชิ้นนี้ เป็นการส่องสว่างเกี่ยวกับการมีอยู่อย่างถูกต้องตามกฎหมายของการอ่านผู้หญิงอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน ในภาพวาดเกี่ยวกับคุณลักษณ์ของผู้หญิง ทั้งในส่วนศิลปะแบบบูรพาทิศ(orientalist art) และผลงานภาพเปลือย(nude) เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่า ผู้หญิงในสมัยนั้นจะได้รับความพึงพอใจผ่านการรับรู้และความเข้าใจ รวมทั้งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับลักษณะของนางบำเรอ(odalisque)อย่างไร มันเป็นการทำให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันที่ได้ถูกทำให้แข็งแรงขึ้นโดยการนำเสนอภาพคนผิวขาว
แม้ว่าการสร้างภาพจินตนาการอันเพ้อฝันของผู้หญิงเกี่ยวกับภาพฉายด้วยภาพผู้หญิงตะวันออก เป็นไปได้ที่จะขัดกับความเข้าใจในเรื่องเชื้อชาติของตนเองของผู้หญิงชาวยุโรปในเรื่องความต่างระหว่าง "ผู้หญิงยุโรป" กับ "ผู้หญิงตะวันออกกลาง", แต่การทำให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนั้น ได้แสดงให้ผู้หญิงตระหนักรวมทั้งยอมรับ และประนีประนอมกับฐานะตำแหน่งที่ด้อยของตัวพวกเธอกว่าผู้ชายชาวยุโรปในสังคมร่วมสมัย, ความด้อยกว่านั้นมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับฐานะตำแหน่งของปัจเจกชนตะวันออกกลาง ซึ่งมีสถานภาพที่ต่ำกว่าปัจเจกชนชาวยุโรป
ทั้งการอ่านผู้หญิงและการอ่านผู้ชายเกี่ยวกับภาพชาวตะวันออกกลางที่ถูกทำให้เป็นผิวขาว ได้นำเสนอให้เห็นความจริงที่มีอยู่ในแนวความคิดของชาวยุโรปโดยทั่วไปเกี่ยวกับตะวันออก และความสัมพันธ์ของสิ่งเหล่านี้กับตะวันตก, ผู้หญิงชาวยุโรปและปัจเจกชนตะวันออกกลางถูกทำให้เกาะเกี่ยวเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด
คำนำ
ในการเผชิญหน้ากับภาพต่างๆของนางบำเรอตะวันออก ที่ได้รับการเขียนขึ้นมาในคริสตศตวรษที่
19 ในแบบของภาพเขียนตะวันออก(Orientalist Art) มันกลายเป็นเรื่องยุ่งยากที่จะให้เหตุผลหรือคำอธิบายเกี่ยวกับ
สีขาวๆที่ไม่เป็นความจริงของผิวเนื้อของนางแบบ. การตีความต่างๆเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทั้งหลายที่ฝังแน่นอยู่ภายใต้เงื่อนไขการอ่านต่างๆ
ที่หลากหลายซึ่งกำหนดขึ้นมา ขานรับต่อการแสดงออกของภาพเกี่ยวกับผู้หญิงในงานศิลปะทั่วๆไป
เรื่องซึ่งมีนัยสำคัญคือว่า
ทั้งภาพแบบบูรพาทิศที่ถูกทำขึ้นมาอย่างโดดเด่นขึ้นหน้าขึ้นตาโดยผู้ชาย และสิ่งเหล่านั้น
ที่มันแสดงให้เห็นในภาพตัวแทนของภาพชาวตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นภาพแบบฉบับผู้หญิง
และในบางกรณีภาพของผู้ชายที่ถูกทำให้เป็นหญิง เช่นดังในภาพตัวอย่างของ Jerome
ใน "The Snake Charmer"(หมองู). (ซึ่งในความเรียงชิ้นนี้จะพิจารณาเพียงภาพของผู้หญิงโดยเฉพาะเท่านั้น)
จะเห็นว่าเพศสภาพของคนที่เป็นตัวแทนตะวันออก ได้ถูกทำให้เบรอหรือคลุมเครือ.
ขนบธรรมเนียมนี้ทรงพลังมากๆ เนื่องจากความคลุมเครือของมัน ซึ่งเรียกร้องต้องการการตีต่างๆร่วมกันอย่างมาก
เพื่อจะเข้าใจความหมาย
(หมายเหตุ : ชื่อภาพต่างๆที่ปรากฏในบทความแปลชิ้นนี้
สามารถค้นดูภาพได้จาก google image โดยผู้แปลได้ทำการสำรวจแล้ว
ส่วนชื่อภาพใดที่ขีดเส้นใต้ สามารถคลิกดูภาพได้โดยตรงจากบทความนี้)
ในการอ่านภาพที่ปรากฏแก่ตาของผู้หญิงที่ถูกทำให้เป็นเรื่องเพศในงานศิลปะ
เป็นการแสดงออกอันหนึ่งของความปรารถนาในลักษณะของการที่ผู้ชายเป็นใหญ่(phallocentric)เหนือผู้หญิง
สำหรับผู้ชายทั้งหลายที่ต้องการเข้าไปตักตวงทางเพศกับผู้หญิง ความขาวของผิวเนื้อของภาพคนตะวันออกกลายเป็นวิธีการหนึ่งของการวางตำแหน่งหรือสถานะผู้หญิงชาวยุโรป
ลงในบทบาทของทาสีบำเรอทางเพศของผู้ชายชาวยุโรป, การยืนยันในเรื่องนี้ได้รับการนำเสนอโดย
Ivan Kalmar (The Houkan in the Harem)
ในทางตรงข้าม ถ้าหากว่าพวกเรายอมรับความถูกต้อง ความมีเหตุมีผลของการอ่านผู้หญิงด้วยความพึงพอใจเกี่ยวกับภาพตัวแทนของผู้หญิงแบบตะวันออก
อันนี้เป็นไปได้ที่ว่า ความขาวของผิวเนื้อของภาพคนตะวันออกมีหน้าที่ในฐานะที่เป็นพาหนะอันหนึ่งสำหรับผู้หญิงชาวยุโรป
ที่จะสถาปนาความเชื่อมโยงในความเข้าใจความรู้สึกกับภาพคนในช่วงระหว่างการก่อตัวขึ้นมาเป็นรูปร่างของการอ่านที่ชัดเจน
และให้อำนาจกับข้อมูลทางสายตา(visual text)
ไม่ว่าปรากฏการณ์อันนี้จะถูกตีความในฐานะที่เป็นกากตกค้างเกี่ยวกับการควบคุมทางเพศของผู้ชาย ที่มีอยู่เหนือผู้หญิง หรือในฐานะที่เป็นเครื่องมือให้ความสะดวกเกี่ยวกับการอ่านแบบบ่อนทำลายผู้หญิง ที่มุ่งหมายเพื่อเอาชนะข้อกำหนดเกี่ยวกับข้อจำกัดต่างๆ ที่มีต่ออัตลักษณ์ของผู้หญิงด้วยลักษณะทางเพศของตัวเธอเอง และสะดวกที่จะหนีให้พ้นไปจากข้อจำกัดทั้งหลายของสังคมที่มีต่อผู้หญิง, การล้อมจับเครื่องหมายต่างๆเกี่ยวกับตะวันออกและตะวันตกนี้จึงเป็นเรื่องที่ปลอดภัย
ผลที่ตามมา ภารกิจสุดยอดที่อยู่ต่อหน้าเราก็คือ เรื่องที่เกี่ยวกับการกำหนดแรงกระตุ้นต่างๆที่อยู่เบื้องหลังความเชื่อมโยงกันนี้ ของผู้หญิงชาวยุโรปกับปัจเจกชนชาวตะวันออกกลาง ซึ่งมีหลักฐานอยู่ในภาพที่ปรากฏแก่สายตาของศิลปะบูรพาทิศ เช่นเดียวกันกับผลศิลปะต่างๆที่มีต่อบรรดาผู้ดูชาวยุโรปร่วมสมัย. ท้ายที่สุด ความเกี่ยวเนื่องกันระหว่างอัตลักษณ์ทั้งสองเหล่านี้ ซึ่งได้รับการนำเสนออยู่ในภาพเขียนเกี่ยวกับปัจเจกชนชาวตะวันออกกลางด้วยผิวกายขาว ซึ่งสะท้อนถึงความจริงที่มีอยู่ในแนวความคิดของชาวยุโรปเกี่ยวกับตะวันออก และความสัมพันธ์ของตะวันตกที่มีต่อตะวันออก, ผู้หญิงชาวยุโรปและปัจเจกชนชาวตะวันออกกลางกลายเป็นสิ่งที่เกาะเกี่ยวฝั่นเกลียวเข้าด้วยกัน
ถ้ำมอง: การจ้องมองของผู้ชาย
Voyeurism: the Male Gaze.
ตามข้อความในหนังสือเรื่อง Ways of Seeing, ของ John Berger ซึ่งตีพิมพ์ในปี
ค.ศ. 1972 เขียนเอาไว้ว่า
"ถัวเฉลี่ยของภาพจิตรกรรมสีน้ำมันของยุโรปเกี่ยวกับภาพเปลือย ลักษณะความคิดใหม่ๆ
ที่สำคัญไม่เคยได้รับการเขียนขึ้นมาเลย ผู้ดูคือคนที่อยู่ต่อหน้าผลงานภาพดังกล่าว
และผู้ดูนั้นถูกสันนิษฐานว่าเป็นผู้ชายคนหนึ่งเสมอ. ทุกสิ่งทุกอย่างได้ถูกพูดออกมากับตัวเขา.
ทุกสิ่งทุกอย่างจักต้องปรากฏในฐานะที่เป็นผลของการที่เขายืนอยู่ที่นั่น. สำหรับตัวเขาแล้ว
ภาพเปลือยเหล่านั้นได้ถูกทึกทักว่าเป็นความเปล่าเปลือยสำหรับพวกเขา (Berger:
54)
การตีความที่มีอิทธิพลของ Burger เกี่ยวกับพลวัตของพลังเพศสภาพได้รับการใส่ระหัสในภาพของผู้หญิงที่ปรากฏแก่สายตา ในประเภทของภาพเปลือยที่สร้างขึ้นมาที่ผู้ชายกำลังจ้องมองอยู่ ซึ่งได้รับการนิยามขึ้นมาโดยคำมั่นสัญญาเกี่ยวกับอำนาจของมัน การครอบงำทางเพศ และการควบคุมอย่างคล่องแคล่วเกี่ยวกับภาพผู้หญิงที่ได้รับการทำขึ้นมาให้เป็นวัตถุ ซึ่งอยู่ข้างใต้กลไกเบื้องหลังที่ผลผลิตและความซาบซึ้งเกี่ยวกับข้อมูลทางสายตา ได้อุทิศให้กับภาพที่ปรากฏกับสายตาในรูปของผู้หญิงเปลือย(Berger 1972)
ความเข้าใจของ Berger ในเรื่องพลวัตเพศสภาพที่ปฏิบัติการอยู่ และปราศจากข้อมูลทางสายตาที่เกิดขึ้นมาจากประเพณีของภาพเปลือย ที่นำไปใช้เป็นประโยชน์ได้กับงานศิลปะบูรพาทิศส่วนใหญ่ในทำนองเดียวกัน ได้รับการอุทิศให้กับภาพตัวแทนของผู้หญิงที่ถูกทำให้เป็นเรื่องทางเพศ. ในการตระหนักว่า ภาพเปลือยทั้งหลายนั้นเป็นการแสดงออกต่างๆ และการลุ่มหลงมัวเมาสำหรับผู้ชายที่มีความรักกับเพศตรงข้าม(heterosexual male)จ้องมอง, การตีความทั้งหลายของ Berger เกี่ยวกับภาพที่ปรากฏแก่สายตาของภาพผู้หญิงเปลือยในงานศิลปะของยุโรป จึงยอมรับว่า การนำเสนอภาพผู้หญิงกลายเป็นช่องทางระบายสำหรับความปรารถนาทางเพศของผู้ชายที่รักเพศตรงข้าม
ในสภาพผลงานต่างๆทางศิลปะแบบบูรพาทิศที่นำเสนอ ทั้งภาพที่ส่อไปในทางเพศและเป็นตะวันออก อันนี้ คล้ายๆกับงานที่เขียนขึ้นมาโดยศิลปินทั้งหลาย อย่างเช่น Gerome, Ingres และ Delacoix รวมทั้งภาพ "Le Bain maure" (1870), "Le Bain Turc" (1862-3) และ "Odalisque allongee sur divan" (1827-8) ในบริบทเกี่ยวกับการอ่านของ Berger สำหรับภาพที่ปรากฏแก่สายตาเกี่ยวกับผู้หญิงเปลือย ภาพผู้หญิงที่ถูกวาดไม่ได้สวมเสื้อผ้า ทั้งนี้เป็นไปเพื่อความพึงพอใจของศิลปินและผู้ดูที่เป็นชายของพวกเธอ
ถึงแม้ว่าภาพผู้หญิงจะมองย้อนกลับไปยังศิลปิน/ผู้ดูที่เป็นชาย ที่ตรวจตราร่างกายอันเปลือยเปล่าของเธออย่างละเอียด, แต่ในความคิดของ Berger เธอ"ไม่ได้เปลือยเปล่า, อย่างไรก็ตามมันเป็นการแสดงอารมณ์อันหนึ่งเกี่ยวกับความรู้ของตัวเธอเอง; มันคือเครื่องหมายของการยอมจำนน ต่อความรู้สึกและความต้องการทั้งหลายของเจ้าของตัวเธอ. (ผู้เป็นเจ้าของทั้งผู้หญิงและภาพเขียน)" (Berger: 52)
Berger บรรยายต่อโดยการยืนยันว่า
องค์ประกอบเกี่ยวกับร่างกายของภาพผู้หญิง ทำหน้าที่ในฐานะที่เป็นพาหนะที่ไปเพิ่มพูนความพึงพอใจเกี่ยวกับการมองของผู้ชายอย่างเต็มที่.
สุดท้าย ในความคิดของ Burger, "ผู้หญิงซึ่งอยู่ที่นั่น(ในภาพเขียน)ได้ป้อนความกระหายอยาก
ไม่มีอะไรเลยที่เกี่ยวกับตัวของพวกเธอเอง"(Berger: 55).
Ruth Bernard Yeazell ได้เพิ่มเติมความเข้าใจเกี่ยวกับศิลปะแบบบูรพาทิศ ซึ่งนำเสนอทั้งภาพผู้หญิงที่ถูกทำให้เป็นเรื่องเพศและถูกทำให้เป็นตะวันออกไปพร้อมกัน
ทั้งสองเป็นการแสดงออกและช่องทางระบายสำหรับการจ้องมองทางเพศของผู้ชายในงานของเธอเรื่อง
Harems of the Mind. ตามความคิดของ Yeazell, ความหลงใหลตรึงใจของชาวยุโรปเกี่ยวกับฮาเร็มตะวันออกในช่วงระหว่างยุคอาณานิคม
มีพื้นฐานอยู่บนความสามารถของฮาเร็ม (หรืออย่างน้อยที่สุด แนวความคิดของตะวันตกเกี่ยวกับมัน)
เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ความคิดเพ้อฝันของผู้ชายในความลุ่มหลงมัวเมาทางเพศซึ่งไม่มีการควบคุม
ที่จัดหาทางหนีทีไล่ให้หลุดออกไปจากการเน้นทางด้านวัฒนธรรมของยุโรป ต่อความสำคัญเกี่ยวกับการแต่งงานและขนบธรรมเนียมแบบผัวเดียวเมียเดียว
(Yeazell: 97)
ความจริงที่ว่า ภาพที่ปรากฏแก่สายตาของศิลปินชายที่ทำงานแบบตะวันออกเกี่ยวกับเรื่องฮาเร็ม ที่เป็นทั้งการแสดงออกและช่องทางระบายสำหรับความคิดฝันเฟื่องทางเพศของผู้ชาย ได้รับการสนับสนุนโดยการยืนยันของ Reina Lewis ที่ว่า Ingres (ชื่อศิลปินชาวฝรั่งเศส 1780-1867) ล้มเหลวที่จะเชื่อมประสานคำอรรถาธิบายต่างๆของ Lady Mary Whortley Montagu ในเรื่องเกี่ยวกับประพฤติกรรมของผู้หญิงในสถานที่อาบน้ำแบบตุรกี(Turkish Bath การอาบน้ำร้อน อบไอน้ำ แล้วนวด) ซึ่งเธอได้อธิบายถึงลักษณะพิเศษอันนั้นว่าเป็นทั้งสิ่งที่น่าเคารพนับถือ และไม่เกี่ยวกับการแสดงออกอย่างเปิดเผยในเรื่องทางเพศเลย, แต่แทนที่ศิลปินจะนำเสนอฉากจินตนาการอันหนึ่งเกี่ยวกับสิ่งที่ Lewis อ้างถึง พวกเขากลับนำเสนอภาพดังกล่าวออกมาเป็น"เรื่องเพศและลักษณะที่เกินควร"ทดแทน (Lewis: 129)
ในบริบทนี้ การเสนอภาพตัวแทนต่างๆเกี่ยวกับฮาเร็มตะวันออก และบรรดาผู้ที่อยู่ในภาพทั้งในงานศิลปะและวรรณคดีจึงเป็นการแสดงออกเกี่ยวกับความคิดเพ้อฝันทางเพศของผู้ชาย ซึ่งถูกผลิตขึ้นมาอย่างผิวเผินโดยผู้ชายและเพื่อผู้ชาย และได้รับการอำนวยความสะดวกในแนวคิดเรื่องทางเพศ ผ่านภาพของผู้หญิงที่ถูกทำให้เป็นตะวันออก
Laura Mulvey ตระหนักว่า ทั้งๆที่ข้อเท็จจริงที่ว่า ข้อมูลต่างๆของวัฒนธรรมทางสายตา อย่างเช่น ภาพยนตร์จะได้รับการนิยามโดยหน้าที่การแสดงของพวกมัน: โดยความจริงที่ว่า พวกมันดำรงอยู่เพื่อที่จะ"ได้รับการดู", พวกมันได้รับการสร้างอย่างมั่นคงในหนทางซึ่ง "ได้สร้างมายาภาพอันหนึ่งแก่ผู้ดูเกี่ยวกับการมองเข้าไปในโลกส่วนตัว" (Mulvey: 17)
การสังเกตของ Mulvey เป็นสิ่งที่ประยุกต์ใช้ได้กับศิลปะบูรพาทิศ และได้ช่วยขับเน้นลักษณะท่าทีซึ่งการนำเสนอภาพตัวแทนเกี่ยวกับฮาเร็ม ได้ถูกประกอบสร้างเป็นแบบฉบับ เพื่อที่จะทำให้ผู้ดูข้อมูลอันนั้นรู้สึกราวกับว่า พวกเขาอยู่ในสถานที่ส่วนตัวในการมองดูฉากต้องห้ามและเป็นความลับฉากหนึ่ง อันนี้ได้ก่อให้เกิดผลอันหนึ่ง ซึ่งทำให้ลัทธิถ้ำมอง(voyeurism)ได้ไปเชื่อมโยงหรือสัมพันธ์กันกับการจ้องมองของผู้ชายเพิ่มมากขึ้น (Yeazell: 27)
ยกตัวอย่างเช่น, Yeazell ยืนยันว่า ศิลปิน Ingres มักจะวาดภาพผู้คนตะวันออกแบบใกล้ชิดติดกับผ้าม่านอยู่บ่อยๆ เพื่อที่จะถ่ายทอดความคิดที่ว่า บรรดาผู้ดูงานจิตรกรรมกำลังมองเห็นฉากๆหนึ่งที่มันคลุมเครือ ซึ่งคล้ายๆกับซ่อนเร้นจากการมองหรือคลองสายตา (Yeazell: 27). โดยเฉพาะในการอ้างอิงถึงผลงานของ Delacroix "Femmes d'Alger dans leur appartement" (1834), Ivan Kalmar ได้เพิ่มเสริมความจริงต่างๆ ว่า "ธรรมดาเอามากๆในฉากหลังของภาพต่างๆเกี่ยวกับฮาเร็ม ซึ่งจะนำเสนอเกี่ยวกับภายในถัดเข้าไปที่ลึกลับซับซ้อน" และ"ความเป็นภายในอันนี้ คือความหมายแฝงต่างๆของช่องสังวาสนั่นเอง" "interiority has obvious vaginal connotations" ("The Houkah in the Harem")
ผลที่ตามมา ภาพตัวแทนตะวันออกต่างๆเกี่ยวกับนางบำเรอ จึงสามารถที่จะได้รับการอ่านในฐานะที่เป็นการแสดงออก และช่องระบายสำหรับความคิดเพ้อฝันทางเพศของผู้ชาย ซึ่งได้ถูกอธิบายคุณลักษณะพิเศษโดยการแสดงออกอันหนึ่งเกี่ยวกับพลังอำนาจในการตักตวงทางเพศของผู้ชาย ซึ่งมีอยู่อย่างถาวรในการล่วงล้ำก้ำเกินเข้าไปในที่หวงห้ามและเป็นความลับของฮาเร็ม บนความไม่ล่วงรู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งนั้น และผลที่ตามมา ได้ไปลดทอนการควบคุมหรืออำนาจผู้ครอบครองทั้งหลายในที่แห่งนั้นที่เป็นผู้หญิง มันเป็นปรากฏอันหนึ่งซึ่งได้รับการอำนวยความสะดวกโดยวิธีการเกี่ยวกับการจ้องมองของผู้ชาย
การกระทำของผู้ชายที่รักเพศตรงข้ามร่วมสมัยจะมองข้อมูลทางสายตาอย่างสนุกเพลิดเพลิน ในสิ่งซึ่งเสนอแนะถึงการล่วงล้ำก้ำเกิน และความด้อยกว่าของอวัยวะเพศของผู้หญิง อันนี้เป็นปฏิบัติการที่กลายเป็นสิ่งที่มีค่าเท่ากับการกระทำอันหนึ่งของการล่วงล้ำทางเพศ ที่การจ้องมองของผู้ชายได้เจาะทะลุและครอบครองหรือเป็นเจ้าของร่างกายของผู้หญิงโดยปราศจากการยินยอมของผู้หญิง
ภาพเขียนบนผืนผ้าใบที่เป็นวงกลมของ Ingres ในภาพ "Le Bain Turc" (1862-3) นั้น ได้เพิ่มเติมลัทธิถ้ำมองอย่างมีประสิทธิผล เพราะมันไปเชื่อมโยงกับตัวอย่างต่างๆ เกี่ยวกับการจ้องมองของผู้ชาย อันเป็นการกระทำในเชิงตักตวงและการล่วงล้ำทางเพศของผู้ชาย ที่ได้รับการส่งเสริมโดยกลอุบายทางด้านองค์ประกอบเกี่ยวกับภาพตัวแทนทางสายตาแบบตะวันออกของฉากฮาเร็ม
ตามความคิดของ Yeazell "วงกลมได้ดึงความสนใจในตัวของมันเอง ในฐานะที่เป็นพื้นที่เทียมอันหนึ่งของการมองเห็นของเรา ประหนึ่งว่าเรากำลังมองเห็นเรือนร่างต่างๆที่อยู่ตรงหน้าเรา โดยผ่านช่องผนังอันหนึ่ง" (Yeazell: 28). Yeazell กล่าวต่อไปว่า "ภาพคนอาบน้ำของ Ingres ที่ปรากฏในคลองสายตา คนเหล่านั้นไม่รู้ตัว มันเป็นเสมือนการถูกมองโดยผ่านกล้องส่องทางไกลขนาดเล็ก(spyglass) หรือรูกุญแจ (Yeazell: 29)
ในบริบทเกี่ยวกับความเข้าใจของ Yeazell เกี่ยวกับความคิดเพ้อฝันของผู้ชาย ได้รับการอำนวยความสะดวกโดยฉากฮาเร็มตะวันออกต่างๆ ในฐานะที่เป็นการหนีรอดไปจากรูปแบบและเป็นการยอมรับต่างๆทางสังคมเกี่ยวกับปฏิกริยาทางเพศ: นั่นเป็นผลอันเนื่องมาจากความสัมพันธ์แบบผัวเดียวเมียเดียวแบบปลอมๆ ภายใต้สถาบันการแต่งงาน, เราสามารถยอมรับว่า ความเพ้อฝันทางเพศของผู้ชายที่ฝังตรึงอยู่ในภาพการนำเสนอต่อสายตาแบบตะวันออกของฮาเร็ม ได้ให้สิทธิพเศษแก่ความสำส่อนของผู้ชาย และการครอบงำทางเพศของผู้ชาย และการตักตวงประโยชน์จากร่างกายอของผู้หญิง โดยผ่านการจ้องมองของผู้ชาย (Yeazell: 97)
อุดมคติจักรวรรดิ์นิยม
และศิลปะบูรพาทิศ: ชัยชนะทางเพศและการพิชิตตะวันออก
Imperial Ideology and Orientalist Art: Sexual Conquest and Subjugation of
the Orient
ในการยอมรับว่า ภาพตัวแทนของผู้หญิงตะวันออกที่ส่อไปในทางเพศในงานศิลปะแบบตะวันออก
คือสารัตถะอันหนึ่งของทั้งความพึงพอใจทางเพศของผู้ชายและพลังอำนาจของผู้ชาย
มันกลายเป็นเรื่องง่ายที่จะเชื่อมโยงอย่างตรงประเด็นระหว่างข้อมูลทางสายตา
กับ การเมืองเชิงวัฒนธรรมในสมัยนั้น ซึ่งตระหนักว่า ทั้งผู้หญิงและสมาชิกทั้งหลายของโลกตะวันออกนั้นด้อยกว่าผู้ชายตะวันตก
และผลที่ตามมาคือต้องตกเป็นข้าทาสต่ออิทธิพลครอบงำของตะวันตก
ในบริบทนี้ อัตลักษณ์ของผู้หญิงชาวยุโรปและปัจเจกชนตะวันออก ทั้งคู่ต่างถูกนึกคิดและเข้าใจในลักษณะคล้ายๆกัน. การทำให้เป็นวัตถุทางเพศเกี่ยวกับเรือนร่างผู้หญิง ที่ได้มาในภาพที่นำเสนอต่อสายตาโดยวิธีการถ้ำมอง และการจ้องมองแบบควบคุมของศิลปินชาย และผู้ชมซึ่งเป็นผู้ชาย ซึ่งเป็นการสะท้อนอย่างหนึ่งถึงวาทกรรมแบบจักรวรรดิ์นิยม(imperial discourse)
เรือนร่างของผู้หญิงที่ได้มาในฐานะที่เป็นวัตถุของการจ้องมองของผู้ชาย เป็นปฏิบัติการอันหนึ่งเกี่ยวกับการเอาชนะทางเพศซึ่งเริ่มต้นมาจากลัทธิปิตาธิปไตย. การกระทำอันนี้ในการครอบงำทางเพศ สามารถถูกทำความเข้าใจในฐานะที่เป็นการอุปมาอุปมัยอย่างหนึ่ง สำหรับความพยายามของลัทธิจักรวรรดิ์อาณานิคมของยุโรปที่ได้พิชิตตะวันออก
ในเชิงตรงข้ามลัทธิจักรวรรดิ์อาณานิคมยุโรปและเป้าหมายของมัน เกี่ยวกับการปราบปรามและเอาชนะตะวันออก สามารถที่จะได้รับการทำความเข้าใจในเชิงอุปมาอุปมัยสำหรับความปรารถนาผู้ชายยุโรปในสมัยดังกล่าวที่รักเพศตรงข้ามทั่วๆไป ซึ่งอันนี้เป็นการยืนยันถึงการครอบงำทางสังคมและรูปแบบการควบคุมทางเพศอย่างชัดเจนเหนือผู้หญิงชาวยุโรป
ในบริบทนี้ ขนบธรรมเนียมทางศิลปะเกี่ยวกับภาพตัวแทนผู้คนชาวตะวันออกกลาง ด้วยผิวเนื้อขาวที่ไม่เป็นไปตามความจริง ได้เป็นตัวแทนการเหลื่อมซ้อนกันอันหนึ่งของการอุปมาอุปมัยต่างๆ. ผู้หญิงชาวยุโรป ถูกแฝงนัยะโดยผิวเนื้อขาวของภาพชาวตะวันออกกลาง ที่แสดงถึงฐานะตำแหน่งของตะวันออกในแนวความคิดของจักรวรรดิ์อาณานิคมยุโรปที่มีอำนาจบาตรใหญ่โดยผ่านวิธีการอุปมาอุปมัย
เอกลักษณ์ของตะวันออกกลาง ได้รับการแสดงออกและแยกแยะอย่างชัดแจ้งจากผู้ดู โดยรูปสัญญะ(signifiers)ต่างๆตามจารีตเกี่ยวกับ"ความเป็นอื่น"(otherness)ของตะวันออก และลักษณะที่เป็นอัตลักษณ์ของตะวันออกที่ได้รับการรับรองเกี่ยวกับความไร้เหตุผล(irrationality), ความเป็นเรื่องความพึงพอใจทางเพศ, ความเสื่อทราม, ความเกียจคร้าน, การยอมจำนนและการมีประสิทธิภาพทางเพศ("The Houkah and the Harem") ที่ได้ให้ภาพจำลองอันหนึ่งสำหรับแนวความคิดสมัยนั้นทั่วไปเกี่ยวกับผู้หญิงยุโรป
- เธอเป็นคนที่ไร้เหตุผลอย่างชัดเจน ถูกนึกคิดว่าขาดเสียซึ่งลักษณะในเชิงบวกที่แสดงออกโดยผู้ชายยุโรปที่รักเพศตรงข้าม ผู้ซึ่งให้นิยามเธอในฐานะที่ด้อยกว่าและเป็นคนอื่น และคาดหวังตัวเธอที่ะเป็นทั้งคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชา และใช้ตักตวงประโยชน์ทางเพศได้ -
เอกลักษณ์ต่างๆของปัจเจกชนตะวันออกกลาง และผู้หญิงยุโรปเป็นสิ่งที่สามารถสลับปรับเปลี่ยนกันไปมาได้ส่วนใหญ่ในแนวความคิดทั่วๆไปของผู้ชายยุโรปในยุคนั้นที่รักเพศตรงข้าม. ด้วยเหตุดังนั้น มันจึงไม่ทำให้รู้สึกช็อคที่เอกลักษณ์ต่างๆของพวกเธอจะกลายเป็นการคลุกเคล้ากัน ในภาพนำเสนอทางสายตาของช่วงวันเวลาดังกล่าว
นี่ไม่ใช่อุบัติเหตุ ดังที่ Kalmar ส่อให้เห็นว่า "ความเบ่งบานที่สุดของศิลปะแบบตะวันออกเกิดขึ้นเวลาเดียวกันกับการแผ่ขยายพลังอำนาจของยุโรปในประเทศมุสลิมตะวันออก" ("The Houkah in the Harem"). สิ่งที่ฝังตรึงอยู่ในภาพตัวแทนเหล่านั้นซึ่งครอบงำผลงานประเภทดังกล่าว อย่างเช่นผลงานทั้งหลายที่สร้างสรรค์ขึ้นมาโดย Ingres, Gerome และ Delacroix, เป็นแนวคิดในเชิงอุปมาอุปมัยเกี่ยวกับการพิชิตตะวันออกของชาวยุโรป เช่นเดียวกับกาครอบครองทางเพศของผู้ชายที่มีต่อผู้หญิงนั่นเอง
พลวัตต่างๆทางเพศสภาพที่ Berger จำแนกแยกแยะในกลไกของภาพเปลือยนั้น ได้รับการยอมรับในทำนองเดียวกันดังที่ปฏิบัติการอยู่ในศิลปะแบบตะวันออก (Doy: 222) ซึ่งในเชิงแนวคิด เป็นการเขียนถึงตะวันตกที่มีชัยชนะเหนือตะวันออก. ยกตัวอย่างเช่น การกีดกันการมีอยู่ของผู้ชายตะวันออกในภาพที่ปรากฏแก่สายตาให้ออกไปจากผลงานศิลปะเกี่ยวกับฮาเร็ม ซึ่งอันนี้ไม่ใช่เพียงเพื่ออำนวยความสะดวกแก่การครอบครองบทบาทของศิลปินและผู้ดูที่เป็นชายชาวยุโรปเท่านั้น, เกี่ยวกับความสำคัญของภาพผู้ชายในงานจิตรกรรมที่มีต่อภาพความเปลือยเปล่าแบบตะวันออกที่ถูกควบคุม, แต่พ้นไปจากผลอันนี้ มันคือการปฏิเสธการมีอยู่ในเชิงตรรกเกี่ยวกับชายชาวมุสลิมที่เป็นเจ้าของฮาเร็มจากฉากอันนั้นด้วย(The Houkah in the Harem)
Kalmar ยืนยันว่า การไม่ปรากฏตัวของภาพผู้ชายนี้เป็นเรื่องที่มีนัยสำคัญ เพราะมันอำนวยความสะดวกให้กับจินตนาการเพ้อฝันของเพศชายและพลังอำนาจของชายในการแฝงนัยของมันที่ว่า ศิลปินและผู้ดูที่เป็นชายชาวยุโรป ได้เข้าไปสู่ฮาเร็มเพื่อตักตวงประโยชน์กับนางบำเรอทั้งหลายในที่แห่งนั้นได้อย่างสมปรารถนาโดยปราศจากผู้ชายฝ่ายตรงข้าม เพราะ, "เป็นการสมมุติว่า คู่ต่อสู้มุสลิมของเขาได้ถูกทำให้พ่ายแพ้ไปแล้วนั่นเอง" (The Houkah and the Harem)
ในทำนองเดียวกัน งานจิตรกรรมต่างๆตามแบบฉบับนี้เน้นไปที่ความด้อยกว่า ซึ่งเป็นความหมายแฝงเกี่ยวกับการทะลุทะลวงเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้หญิง "และยังได้เน้นถึงผู้ชาย, ผู้ดูที่เป็นชาวยุโรป - และศิลปิน - ซึ่งมีทักษะความชำนาญในการเจาะทะลุเข้าไปในพื้นที่หวงห้ามของมุสลิม", นี่คือข้อยืนยันอันหนึ่งที่ได้รับการเสนอความคิดเห็นออกมาโดย Kalmar (The Houkah and the Harem)
การยอมรับส่วนตัวของศิลปินและผู้ดูเกี่ยวกับความสำเร็จอันนี้ ในการทะลุทะลวงเข้าไปในอาณาเขตพื้นที่ของตะวันออก สามารถที่จะได้รับการขยายไปถึงการตระหนักของชาวยุโรปเกี่ยวกับการเจาะทะลุที่สำเร็จสมประสงค์ของมันเกี่ยวกับตะวันออก ในท้ายที่สุด พลวัตทางเพศที่เข้าข้างสนับสนุนการควบคุมและการเจาะทะลุของเพศชายเข้าไปในร่างกายต่างๆของผู้หญิง ได้แผ่หรือทะลักเข้าไปและพรรณาถึงความพยายามในเชิงความคิดของยุโรปในยุคนั้นที่จะครอบงำตะวันออก
การควบคุมทางเพศต่อผู้หญิง กลายเป็นการอุปมาอุปมัยอันหนึ่งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในเชิงขูดรีด และตักตวงประโยชน์ของยุโรปที่มีต่อตะวันออก. แน่นอน ยุโรปมีลักษณะในบทบาทเกี่ยวกับการให้อำนาจแก่ผู้ชาย ในขณะเดียวกันตะวันออกก็ถูกเข้าใจว่าเป็นผู้ปราชัย และผู้มีชัยชนะยังมีชัยชนะทางเพศเหนือผู้หญิงของพวกเขาด้วย
ในความเรียงของ Edward Said ในปี 1975 เรื่อง "Shattered Myths"(มายาคติต่างๆที่ถูกทำลายลง) Said ยอมรับว่า การอุปมาอุปมัยดังกล่าวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในลักษณะการตักตวงประโยชน์ทางเพศระหว่างผู้ชาย(ชาวยุโรป) และผู้หญิง(ตะวันออก) ที่ทำกันอยู่ในความนึกคิดของนักวิชาการตะวันออก(บูรพานิยม)ที่เป็นผู้ชาย มีความสัมพันธ์กับคนที่ให้ข้อมูลซึ่งเป็นคนท้องถิ่นของเขา
ตามความคิดของ Said ในความสัมพันธ์ที่อธิบายเรื่องเพศนี้, "ตะวันออกกลางเป็นคนที่ลุกขึ้นมาต่อต้านเช่นผู้บริสุทธิ์ทั้งหลายควรจะเป็น แต่นักวิชาการผู้ชายได้ชัยชนะและรางวัลดังกล่าว โดยการระเบิดเปิดทางทะลุทะลวงผ่านเงื่อนปมทองคำ (เทพเจ้าแห่งการแต่งงาน), โดยไม่คำนึงถึงภารกิจที่ต้องลงแรงพยายาม(การกอดจูบลูบไล้ อันมีพลังปลุกเร้า) (Said: 93)
อย่างมีนัยะสำคัญ, แนวความคิดนี้เกี่ยวกับปฏิกริยาระหว่างตะวันตกและตะวันออกในฐานะเรื่องเพศ เป็นสิ่งที่มีผลในการแสดงออกที่มีอยู่ในแนวความคิดตะวันตก ความสัมพันธ์ดังกล่าว "ไม่ใช่โดยผ่านการดำรงอยู่ของความเท่าเทียมกัน", อันนี้คือข้อยืนยันอันหนึ่งที่เสนออกมาโดย Said (Said: 93)
สุดท้าย ดังการอ้างของ Kalmar "ในการยอมรับความถูกต้องเกี่ยวกับการยืนยันนี้ โดยผ่านงานจิตรกรรมดังที่ปรากฏในภาพของคนตะวันออกได้รับการจินตนาการด้วยผิวเนื้อขาว มันเป็นการสะท้อนถึงความจริงที่ผู้หญิงยุโรปและตะวันออก กลายเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดในทำนองเดียวกัน ดังที่ Homi K. Bhaba อ้างถึงว่า
"ช่องว่างหรือรอยแยกของการทับซ้อน และการเข้าแทนที่ของอาณาเขตของความแตกต่าง โดยผ่านสิ่งซึ่งมีประสบการณ์ในเชิงอัตวิสัยร่วมกัน และประสบการณ์รวมๆของ"ความเป็นชาติ", ผลประโยชน์ชุมชน, หรือคุณค่าทางวัฒนธรรม [หรือในกรณีนี้ ความเข้าใจโดยรวมของชาวยุโรปสมัยนั้นเกี่ยวกับตะวันออก] ที่ถูกสลับปรับเปลี่ยนกันและกันได้" (Bhaba: 2).
ผู้หญิงยุโรปและตะวันออก
ในฐานะทาสบำเรอทางเพศ
European Women and Orientals as Sex Slaves
เป็นความเข้าใจของข้าพเจ้าเกี่ยวกับการยืนยันของ Kalmar ที่ว่า ผิวเนื้อขาวของนางบำเรอในงานศิลปะแบบตะวันอออก
นำเสนอ"ภาพฉายที่บิดเบือนของผู้หญิงตะวันตก สู่คนที่มีสถานะอยู่ในบังคับของอาณานิคมซึ่งเป็นทาสทางกามที่ไร้อำนาจ(powerless
sex slave)", เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอันหนึ่งซึ่งสะท้อนถึง "การตอบสนองในลักษณะปิตาธิปไตยต่อการเมืองเพศสภาพในช่วงคริสตศตวรรษที่
19 และช่วงต้นคริสตศตวรรษที่ 20 ของยุโรป"(The Hookah in the Harem) ซึ่งใช้ได้และเกิดขึ้นมาจากความจริงที่ว่า
ผู้หญิงยุโรปและตะวันออกทั้งหลาย กลายเป็นการคลุกเคล้ากันอยู่ในแนวคิดครอบงำของตะวันตกเกี่ยวกับตะวันออก
และความสัมพันธ์ของตะวันตกที่มีต่อตะวันออก
ดังที่ Anne McClintock ยืนยันในเรื่อง Imperial Leather, ถึงความพยายามของเจ้าอาณานิคมยุโรปที่จะเอาชนะตะวันออก ที่ถูกนำเสนอออกมาในรูปความพยายามที่จะสถาปนาการควบคุมในแบบปิตาธิปไตยใหม่อีกครั้ง ซึ่งกำลังเริ่มจะไม่มีเสถียรภาพหรือมั่นคงในบ้านเมืองตน(McClintock: 240). ท้ายที่สุด ในการควบคุมตะวันออกและการนิยามความหมายผู้คงแก่เรียนตะวันออก และชนชั้นปกครองในฐานะที่มีบุรุษเป็นผู้นำ(ผู้ชายเป็นใหญ่ - patriarch)ของตะวันออกในฐานะที่เป็นผู้หญิง
มันเป็นความพยายามของจักรวรรดิ์ยุโรปที่ประสบความสำเร็จ ในการฟื้นคืนระบบการปกครองเป็นลำดับชั้นแบบจารีตของ "ครอบครัวคนขาวของผู้ชาย" โดยการยืนยันความเป็นปกติที่เข้าใจกัน และไม่เป็นธรรมชาติของการครอบงำโดยผู้ชายคนขาวเหนือผู้หญิงคนขาวขึ้นมาใหม่ และการเป็นตัวแทนของเชื้อชาติที่เชื่อว่าด้อยกว่า (McClintock: 232-57)
ดังการแสดงออกต่างๆของลักษณะปิตาธิปไตย และกฎเกณฑ์บังคับทางวัฒนธรรมของจักรวรรดิ์ยุโรป, งานจิตรกรรมทั้งหลายแบบตะวันออกโดยจารีตนั้น ที่ทำให้เรื่องเพศเป็นรูปธรรมและทำให้ผู้หญิงเป็นแบบตะวันออก เพื่อความพึงพอใจในการมองโดยผู้ชายชาวยุโรป และประสบความสำเร็จในการทำให้เป็นอาณานิคม ทั้งในส่วนเกี่ยวกับร่างกายของผู้หญิงยุโรปและเรือนร่างของตะวันออก พาดข้ามหรือแผ่ไปทั่วผิวหน้าของผืนผ้าใบ ผู้หญิงคนขาวกลายเป็นผู้อยู่ในบังคับบัญชาทางความคิดและจินตนาการเพ้อฝันของผู้ชายเป็นใหญ่ในท้ายที่สุด: พวกเธอได้ถูกหล่อหลอมให้เป็นทาสบำเรอกาม สำหรับความพึงพอใจทางเพศของผู้ชายยุโรปโดยปราศจากความยินยอมพร้อมใจ
ในทำนองเดียวกัน ชาวยุโรปซึ่งมีชัยชนะเหนือตะวันออกเป็นสิ่งที่ได้มาในเชิงอุปมาอุปมัยโดยผ่านงานจิตรกรรมสีน้ำมัน ที่ช่วยอำนวยความสะดวกต่อการเจาะทะลุของศิลปินและผู้ดูที่เป็นผู้ชายชาวยุโรปเข้าไปในพื้นที่ซึ่งเป็น "อาณาเขตหวงห้ามของมุสลิม" (forbidden, Muslim space) โดยผ่านการจ้องมองของผู้ชาย(The Houkah and the Harem) สุดท้าย มันไม่ใช่เพียงแค่ผู้หญิงชาวยุโรปที่ถูกหล่อหลอมให้เป็นทาสบำเรอกามเท่านั้น; แต่หมายรวมไปถึงสมาชิกทั้งหลายของตะวันออกด้วย ที่ถูกกระทำเช่นนั้น
ในความคิดความเข้าใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างตะวันออกและตะวันตก ในฐานะที่เป็นความสัมพันธ์ทางเพศระหว่าง ผู้หญิงที่ไร้อำนาจ(โลกตะวันออก) และผู้ชายที่ทรงอำนาจ(โลกตะวันตก)(Said: 93), นักบูรพนิยมชาวยุโรปได้ประสบความสำเร็จในการเคลื่อนย้าย ถอดถอนการมีอยู่ของผู้ชายตะวันออก ไปจากแนวคิดในเชิงอุปมาอุปมัยของตะวันตกเกี่ยวกับตะวันออกในวิธีการเดียวกัน ซึ่งบรรดาศิลปินแนวตะวันออกทั้งหลาย ได้ถอดถอนเจ้าของฮาเร็มชายชาวมุสลิมออกไปจากภาพนำเสนอทางสายตาเกี่ยวกับฮาเร็ม ในผลงานทัศนศิลป์(The Houkah and the Harem)
ผู้ชายตะวันออก, เนื่องจากการรับรู้ในแบบผู้ชายมันไร้ประโยชน์หรือไม่เป็นที่น่าพอใจแก่เขา(Said: 95-8), การทำให้เปรอะเปื้อนเป็นมลพิษ โดยความสง่างามของตะวันออก, เรื่องทางเพศของเขา, ความไร้เหตุผลของเขา และความเกียจคร้านของเขา จึงไม่ได้มีอยู่ในนิยามความหมายของความเป็นชายที่ได้ถูกนำเสนอโดยยุโรป(The Houkah and the Harem)
โดยสาระแล้ว การมีอยู่ของผู้ชายตะวันออกภายในแนวความคิดเกี่ยวกับตะวันออกของชาวยุโรปที่มีอิทธิพลครอบงำ ได้ถูกลดทอนลงสู่บทบาทที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยแบบพวกขันที(หรือผู้ชายที่ไม่มีองคชาติ) หรือถูกขจัดออกไปอย่างง่ายๆ นั่นคือได้ถูกปราบหรือเอาชนะโดยเอกลักษณ์ของชาวชาวยุโรป ซึ่งมีความเป็นชายที่แท้จริง(มีองคชาติ) ซึ่งเป็นผู้ประสบชัยชนะในที่สุด
ผลที่ตามมา ตะวันออกกลายเป็นสิ่งที่ถูกรับรู้เข้าใจในฐานะของความเป็นหญิงในที่สุด และถูกพิชิตโดยตะวันตก ได้รับการให้ความหมายในฐานะที่เป็นการยืนยันเกี่ยวกับการควบคุมทางเพศของผู้ชาย(ชาวยุโรป)เกี่ยวกับเรือนร่างของผู้หญิง(พื้นที่ตะวันออก). ผลเนื่องมาจากอันนี้ มันเป็นความเชื่อของข้าพเจ้าที่ว่า ผิวเนื้อขาวของนางบำเรอตะวันออก คือสิ่งที่ส่อถึงภาพฉายต่างๆของกันและกัน ระหว่างผู้หญิงผิวขาวและตะวันออก ซึ่งมีบทบาทเกี่ยวกับการเป็นทาสบำเรอกามต่างๆของชายชาวยุโรปนั่นเอง
การเป็นผู้ชมของผู้หญิง
และการจ้องมองของผู้หญิง: ตำแหน่งที่ต้องเลือกที่ไม่ได้เรื่องทั้งคู่
Female Spectatorship and the Female Gaze: 'Stuck between a Rock and Hard
Place'
Mary Devereaux ได้นำเสนอภาพประกอบระหว่างระดับของอำนาจที่มาจากการจ้องมองของผู้ชายและผู้หญิงที่ปฏิบัติกันทั้งในศิลปะแบบตะวันออก
และงานศิลปะประเภทภาพเปลือยดังคำกล่าวต่อไปนี้
"การจ้องมองของผู้ชาย กินความมากกว่าการมองดูธรรมดา; มันมาพร้อมกับการคุกคามในเชิงการกระทำและการครอบครอง. พลังอำนาจนี้เกี่ยวกับการกระทำและการครอบครองไม่ใช่ในลักษณะต่างตอบแทนกัน. ผู้หญิงสามารถรับรู้และสารมารถมองย้อนกลับการจ้องมอง แต่พวกเธอไม่สามารถกระทำการนั้นได้" (Chicago: 102)
Linda Williams ได้ช่วยเสริมความจริงเพิ่มขึ้น เกี่ยวกับการกระทำที่มีข้อจำกัดในการจ้องมองของผู้หญิง โดยยืนยันว่า ในบริบทของการนำเสนอภาพทางสายตาเกี่ยวกับผู้หญิงในข้อมูลทางวัฒนธรรมต่างๆ รูปแบบเกี่ยวกับการจ้องมองของผู้หญิง ใช้ได้กับภาพผู้หญิงภายในข้อมูลดังกล่าว ที่โดยแบบฉบับถูกจำกัดต่อ"การจ้องมองในลักษณะตอบโต้"(reactionary gaze) (Williams: 203)
"การจ้องมองในลักษณะตอบโต้" เป็นกริยาหรือท่าทีเกี่ยวกับการมอง ซึ่งใช้ได้กับบุคคลคนหนึ่งในสถานการณ์ที่เธอหรือเขาได้ถูกลดทอนลงสู่การเป็นวัตถุ นั่นคือชี้ถึงผู้ชาย ในระดับที่เขาได้แสดงลักษณะของการควบคุมการกระทำ และการทำให้ภาพตัวแทนความเป็นหญิงกลายเป็นวัตถุ(Williams: 203). ในบริบทนี้ การจ้องมองในลักษณะตอบโต้เป็นการจ้องมองของผู้หญิงจริงๆเท่านั้น ที่ปฏิบัติการภายในข้อมูลทางสายตาต่างๆเกี่ยวกับศิลปะแบบตะวันออก ภาพคนที่ถูกนำเสนอ สามารถเพียงแค่มองย้อนกลับในปฏิกริยาที่มีต่อการถูกทำให้เป็นวัตถุของเธอหรือเขาเท่านั้น ที่ได้รับการได้มาโดยผู้วาดภาพเธอหรือเขา และนักถ้ำมองทั้งหลาย
สำหรับเหตุผลอันนั้น ศิลปะแบบตะวันออกก็มีลักษณะที่คล้ายๆกันกับภาพเขียนเปลือย ซึ่งส่วนใหญ่ได้ถูก"ให้นิยามความหมายโดยผู้ชาย", เช่นดังที่ Heather Dawkins ได้ให้คุณลักษณะถึงจารีตประเพณีของภาพเปลือย(Dawkins: I)ว่า, ผลลัพธ์ของมันจากข้อมูลทางสายตา ส่วนใหญ่แล้วได้รับการปฏิบัติโดยผู้ชายและเพื่อการเป็นผู้ดูของผู้ชาย
แต่อย่างไรก็ตาม รูปแบบปฏิบัติการเกี่ยวกับการจ้องมองของผู้หญิงในบริบทของงานศิลปะแบบตะวันออก ไม่สามารถที่จะถูกจำกัดสู่การจ้องมองในลักษณะโต้ตอบเกี่ยวกับภาพผู้หญิงที่ถูกนำเสนอ และไม่สามารถเป็นเรื่องของจ้องมองที่มีพลังอำนาจและเป็นฝ่ายกระทำไปได้ เช่นเดียวกับความจริงที่เป็นของผู้ชายโดยเฉพาะ. ทั้งๆที่มาตรฐานในเชิงบังคับเกี่ยวกับมารยาทหรือความเหมาะสมของผู้หญิงนั้น ไม่ส่งเสริมหรือกีดกันการมีส่วนร่วมของผู้หญิง ในสนามทางวัฒนธรรมเกี่ยวกับการผลิตงานศิลปะ และการวิจารณ์งานศิลปะ เช่นเดียวกันกับการมองแบบพึงพอใจเกี่ยวกับภาพผู้หญิงเปลือย และศิลปะแบบตะวันออก(ซึ่งนั่นมักพ้องกันอยู่บ่อยๆ) โดยบรรดาผู้ดูที่เป็นผู้หญิง, ผู้หญิงจึงถูกนำเข้ามาเกี่ยวข้องกับพื้นที่ทั้งหมดเหล่านี้อย่างไม่อาจปฏิเสธได้ (Pollock: 136)
การสำรวจของ Charlotte Bronte เกี่ยวกับประสบการณ์ของ Lucy Snowe ในแกลอรี(หรือห้องแสดงภาพ)แห่งหนึ่ง ประสบความสำเร็จในการนำเสนอภาพในบริบทอันนั้น เกี่ยวกับการกำหนดความซาบซึ้งของผู้หญิงในเชิงที่แตกต่าง ของการนำเสนอภาพทางสายตาเกี่ยวกับผู้หญิงที่โดดเด่นหรือมีอำนาจในยุควิคตอเรีย, ผู้หญิงที่อยู่ใน"ตำแหน่งซึ่งต้องเลือกระหว่างสองสิ่งที่ไม่ได้เรื่องทั้งคู่". แนวความคิดนี้ได้รับการแสดงออกในปฏิกริยาระหว่าง Lucy Snowe(ในฐานะนางแบบ) และ Monsieur Paul(ในฐานะศิลปิน), ผู้ซึ่งต่อมาภายหลังพบว่า Lucy ได้นั่งอยู่แถวหน้าของภาพเปลือยแบบบูรพาทิศ
เป็นการซักถามด้วยความลำบากยากยิ่งว่า Lucy กล้าเสี่ยงไปที่แกลอรี่ลำพังหรือไม่ (Bronte: 275). Paul คำรามตามมาว่า "เจ้าหนุ่มกล้าดีอย่างไร, นั่งลงก่อนและใจเย็นๆ, ควบคุมอารมณ์ของตนเองเอาไว้ด้วย และจ้องมองไปที่ภาพนั้น?(Bronte: 275). ในไม่ช้าหลังจากนั้น, Monsieur Paul หยิบเอาภาพวาดร่างกายของเธอ(หมายถึง Lucy)จากมุมห้องนั้นมาให้"คนที่มาใหม่ซึ่งดูทึ่มๆคนหนึ่งดู และตอนนี้มันมาอยู่ต่อหน้า"คนกลุ่มเล็กๆ"ที่ดูหม่นหมองน่าเบื่อเป็นพิเศษ ซึ่งนั่นเป็นตัวแทนขั้นตอนที่หลากหลายเกี่ยวกับชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่ง (Bronte: 275)
ในการตีความของ Griselda Pollock's เกี่ยวกับประสบการณ์ในห้องแสดงภาพของ Lucy, "Lucy Snowe, เป็นคนที่มีการศึกษาที่หาเลี้ยงตัวเองได้ และเป็นผู้หญิงที่มีความอยากความปรารถนา, เธอถูกกำหนดให้ถูกมองเป็นผู้หญิงในฐานะเจ้าสาว, ภรรยา, แม่ และแม่หม้าย(Pollock: 136), ภาพลักษณ์ต่างๆของความเป็นผู้หญิงซึ่ง Lucy ปฏิเสธที่จะกอดหรือไขว่คว้าไว้
การอธิบายคุณลักษณะเฉพาะที่นำเสนอภาพความไม่สอดคล้องกันระหว่าง ผลงานต่างๆทางศิลปะที่ใช้การได้สำหรับการเป็นผู้ดู ซึ่งสลับกันระหว่างสิ่งที่ Pollock อ้างถึง ในฐานะที่เป็น "ภาพเล็กๆ, งานจิตรกรรมในเชิงสอนสั่งและกำกับ ซึ่งดำเนินรอยตามพื้นที่ต่างๆอันจำกัด ของสถานที่ที่ได้รับอนุญาตของผู้หญิงในการปกครองของผู้ชาย - ในฐานะวัตถุต่างๆของการแลกเปลี่ยนและถูกใช้ประโยชน์โดยผู้ชาย(Pollock: 136) และภาพต่างๆที่ส่อไปในเรื่องทางเพศของผู้หญิง ที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยผู้ชายและเพื่อผู้ชายที่รักเพศตรงข้ามส่วนใหญ่ ซึ่งมองดูด้วยความเพลิดเพลิน
Brinte พิจารณาผู้หญิงร่วมสมัยคนหนึ่งโต้ตอบกับอย่างหลังโดยการสำรวจการโต้ตอบที่เป็นอัตวิสัยของ Lucy Snowe ต่อภาพตัวแทนที่นำเสนอในแบบตะวันออกภาพหนึ่ง "Cleopatra"(คลีโอพัตรา) ดังข้อความต่อไปนี้:
"อันที่จริง เธอได้รับการเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดีมากๆ: เต็มไปด้วยเนื้อของพ่อค้าเนื้อ - ไม่ต้องกล่าวถึงขนมปังแต่อย่างใด, พืชผักนานาชนิด, และเครื่องดื่ม - เธอจักต้องบริโภคเพื่อได้มาซึ่งความกว้างและความสูง, ความสมบูรณ์ของกล้ามเนื้อ, ความอุดมนั้นของเนื้อหนังมังสา. เธออยู่ในท่านอนตะแคงบนเก้าอี้ยาว: ทำไมมันจึงยากที่จะกล่าว เธอมุ่งหมายที่จะยืน หรืออย่างน้อยที่สุดนั่งอย่างหลังตรง. เธอไม่มีกิจอันใดที่จะต้องเอนกายเสมอในช่วงกลางวันบนโซฟา. นอกจากนั้นเธอควรที่จะสวมใส่อาภรณ์อันเหมาะสม; อาภรณ์ในชุดยาวที่ปกคลุมร่างของเธออย่างสมบูรณ์ ซึ่งนั่นไม่ใช่ประเด็น" (Bronte: 275).
การดูถูกของ Lucy สำหรับ"ภาพที่น่าเกลียดมากอันนั้น" (Bronte: 275) ดูเหมือนว่าแสดงออกถึงการยอมรับและความไม่พึงพอใจของเธอไปพร้อมกัน กับผู้วาดภาพที่เป็นชายในงานจิตรกรรมชิ้นนี้ และหน้าที่ของมันในฐานะที่เป็นช่องทางระบายสำหรับความพึงพอใจในการดูของผู้ชายที่มีความรักต่างเพศ. ถ้าเผื่อว่างานจิตรกรรมชิ้นดังกล่าว ได้รับการทำขึ้นมาโดยผู้หญิงและเพื่อผู้หญิงอย่าง Lucy, เราอาจถูกเบี่ยงเบนความเชื่อไปว่า ภาพดังกล่าวอาจจะมาเพิ่มเติมความสูงศักดิ์ ความสง่างามเกี่ยวกับเรือนร่างของเธอ ทั้งในส่วนของความกระฉับกระเฉงและท้าทาย และการไม่ยอมจำนนต่อการทำให้เป็นวัตถุทางเพศ
ถึงแม้ว่า ผู้หญิงที่มีการศึกษาและเป็นอิสระอย่างเช่น Lucy และผู้ที่สร้างเธอขึ้นมาอย่างโดดเด่น, Charlotte Bronte จะล้มเหลวที่จะสร้างการอ่านในลักษณะที่ให้อำนาจและเป็นไปในเชิงบวกเกี่ยวกับงานจิตรกรรมทั้งหลายแบบบูรพาทิศ ซึ่ง ภาพของผู้หญิงที่ถูกทำให้เป็นตะวันออกและทำให้เป็นเรื่องเพศร่วมกัน มันเป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่านั่นคือผู้หญิง
การเป็นผู้ชมที่พึงพอใจของผู้หญิงเกี่ยวกับงานศิลปะแบบบูรพาทิศ
Female Pleasurable Spectatorship of Orientalist Art
ความจริงทั้งหลาย ทั้งในส่วนของเรื่องราว "Moorish Bath" ของ Gerome
ที่ถูกอุทิศให้กับลูกสาวของเขา (Doy: 224) และในส่วนของผู้หญิงคนหนึ่ง Caroline
Bonaparte Murat, น้องสาวคนเล็กสุดของนโปเลียน ซึ่งมอบหมายให้ Ingres เขียนขึ้นในภาพ
"La
Grande Odalisque" (Ockman: 33) มีนัยะว่า ผู้หญิงชาวยุโรปได้พบความพึงพอใจกับการมองดูภาพผู้หญิงต่างๆของตะวันออก
การยอมรับของ Kalmar เกี่ยวกับปฏิบัติการที่เป็นการแสดงออกถึงมิติต่างๆอันหลากหลาย ของประสาทสัมผัส ในการจัดภาพในงาน "La Grande Odalisque" ซึ่งได้มาเสริมเพิ่มพลังดึงดูดใจของงานจิตรกรรมต่อความรู้สึกทางกามารมณ์ของผู้หญิง ซึ่งขยายไปเพิ่มเติมและพ้นไปจากมิติความเป็นชายเกี่ยวกับการมองดูอย่างบริสุทธิ์ เพื่อครอบคลุมการสัมผัสสิ่งที่เด่นสะดุดตาที่สุด ประสบการณ์ทางด้านประสาทสัมผัสอันเต็มเปี่ยมของผู้ดู ถูกทำให้สัมฤทธิผลโดยผ่านการเขียนภาพในเชิงกามารมณ์ของสิ่งซึ่งสัมผัสได้ทั้งหมด: ผิวเนื้ออันนิ่มนวลของนางบำเรอและเรือนกายที่ดึงดูดใจ, ผืนผิวอันรุ่มรวยของผ้าม่านต่างๆและเนื้อผ้า รวมทั้งขนนกยูงอันอ่อนนุ่ม(The Houkah and the Harem) ล้วนประกอบอยู่ในภาพ
ความรู้สึกทางกามารมณ์อันดึงดูดใจของฉากดังกล่าว เป็นไปได้ที่มันอาจจะให้ความเพลิดเพลินและความพึงพอใจต่อผู้ดูทั้งหญิงและชาย คล้ายคลึงกับสิ่งที่ได้รับการพัฒนาขึ้นต่อมา โดยผ่านการเสนอแนะของกลิ่นผลไม้อันหอมหวล และรสชาติของควันที่ถูกปลุกโดยกล้องยาสูบอันมันวาว เหล่านี้ได้รับการยอมรับโดย Kalmar (The Houkah and the Harem)
โดยเฉพาะ Wendy Leeks ได้กล่าวถึงความเป็นไปได้สำหรับผู้หญิงที่ได้รับความพึงพอใจจากการดู ด้วยการมองภาพต่างๆที่นำเสนอออกมาในรูปของนางบำเรอทั้งหลายของศิลปิน Ingres ในบทความชิ้นหนึ่งของเธอในปี ค.ศ.1986 เรื่อง "Ingres and Beyond" ในคำพูดของ Leek, กล่าวว่า
"มีบางสิ่งที่ไม่ปกติหรือแปลกๆเกี่ยวกับ bathers/odalisques (คนอาบน้ำ/นางบำเรอ) ของ Ingres - ความแปลกประหลาดอันหนึ่งซึ่งได้ถูกบันทึกโดยบรรดานักวิจารณ์ ในความสนใจของพวกเขาที่มีต่อกายวิภาคซึ่งบิดเบี้ยวไปเกี่ยวกับภาพคน หรือความสัมพันธ์ต่างๆเกี่ยวกับที่ว่างซึ่งถูกบิดเบือนภายในงานจิตรกรรม(Leeks: 30)
ความแปลกประหลาดที่ไม่อาจอธิบายได้ส่วนใหญ่เกี่ยวกับนางบำเรอของ Ingres ที่มีการนำเสนอทั้งความดึงดูดดุดแม่เหล็กอันยากที่จะอรรถาธิบายของภาพคน เช่นเดียวกับการแยกตัวไปจากการทำให้เป็นวัตถุทางเพศตรงๆ ของภาพผู้หญิงในงานภาพเขียนต่างๆของ Ingres. ท้ายที่สุด ในความคิดของ Leek ความมีลักษณะเฉพาะตัวเกี่ยวกับบรรดานางบำเรอของ Ingres เกิดขึ้นจากการไม่อาจเข้าถึงภาพคนตามทัศนะของบรรดานักวิจารณ์ทั้งหลาย, ดูเหมือนมันจะให้คำมั่นสัญญาเกี่ยวกับความพึงพอใจทางเพศแก่ผู้ดูที่เป็นชาย ขณะเดียวกันก็ปฏิเสธการทำให้เขาสำเร็จความใคร่ไปพร้อมกัน และยังคงปิดล้อมอยู่ในโลกส่วนตัวของพวกเขา(Leeks: 30)
แม้ว่าในงานจิตรกรรมแบบบูรพาทิศส่วนใหญ่ พวกเราต้องการสมมุติว่าการมองของผู้ชมเป็นผู้ชาย คือการที่ผู้ชายชาวยุโรปได้เข้าแทนที่ผู้เป็นเจ้าของฮาเร็มชาวมุสลิม, ในผลงานจิตรกรรมของ Ingres ส่วนใหญ่ ผู้ดูที่เป็นชายไม่เคยอิ่มเอมในความปรารถนาของพวกเขา ด้วยการจ้องมองของตัวเองด้วยเหตุผลที่ว่า เขาไม่เคยเข้าไปในภาพได้อย่างเต็มที่ เพื่อทำให้ความคิดและจินตนาการเพ้อฝันของเขาเป็นรูปธรรมขึ้นมา (Leeks: 31)
ผลลัพธ์ต่อมา ดังคำยืนยันของ Leek "ความสนุกเพลิดเพลินเกี่ยวกับการถ้ำมองในลักษณะนี้ อย่างน้อยที่สุดได้ถูกทำให้ไม่สมหวังในบางส่วนในผลงานต่างๆของ Ingres" และภาพผู้หญิงที่ได้รับการนำเสนอ ผู้ดูทั้งหลายไม่สามารถเอาชนะได้จนประสบผลสำเร็จ(Leeks: 31). ตามทัศนะของ Leeks "ไม่เหมือนกับภาพนำเสนอส่วนใหญ่เกี่ยวกับภาพเปลือยของผู้หญิงทั่วๆไป กล่าวคือในงานจิตรกรรมเหล่านี้ ผู้ดูที่เป็นชายไม่ใช่ศูนย์กลางของผลงานพวกนั้น
ภาพคนทั้งหลายเหล่านี้ไม่ได้แสดงถึงความแตกต่างทางเพศของพวกเธอ สำหรับการสำรวจตรวจสอบของผู้ดู (Leeks: 31). Leeks ยืนยันว่า, "แม้แต่'Grande Odalisque,'(นางบำเรอที่ยิ่งใหญ่) ที่ซึ่งภาพคนกำลังมองออกไปจากภาพเขียนสู่ผู้ดู, เป็นสิ่งที่ไม่อาจทำให้พ่ายแพ้ได้, การจ้องมองแบบสุขุม ราบเรียบ ขาดเสียซึ่งความสะเทิ้นอาย หรือการล่อลวงโดยทั่วๆไป ซึ่งถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาโดยศิลปินชายให้กับภาพผู้หญิงอันเปลือยเปล่าต่างๆ. ภาพผู้หญิงในงานจิตรกรรมเหล่านี้ อยู่กับหรือรับใช้การเห็นและการได้ยินในโลกของพวกเธอเอง; พวกเธอมีเจตนาและความตั้งใจในความพึงพอใจของพวกเธอเอง"(Leek: 31)
การยอมรับของ Leeks เกี่ยวกับการไม่อาจเจาะทะลวงเข้าไปได้ ที่มีอยู่แต่เดิมเกี่ยวกับการจ้องมองของนางบำเรอที่ยิ่งใหญ่ ได้ไปทำลายสถานะในเชิงวัตถุที่ไร้อำนาจของภาพผู้หญิงเกี่ยวกับข้อมูลทางสายตาที่ได้รับการตระหนักโดย Mary Devereux โดยผ่านความสัมพันธ์ของเธอกับภาพที่ได้รับการนำเสนอต่อการจ้องตอบ(reactionary gaze)ซึ่งนิยามโดย Williams. ยิ่งกว่านั้น การตีความต่างๆของ Leeks ยังยินยอมให้เรายอมรับความเป็นไปไม่ได้เกี่ยวกับการก่อตัวขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่าง ของการอ่านอย่างพึงพอใจของผู้หญิงเกี่ยวกับภาพนางบำเรอของ Ingres หลายๆภาพ
ที่น่าสังเกตที่สุดคือ "La Grande Odalisque" และ "Baigneuse Valcipon", งานจิตรกรรมทั้งสองชิ้นบนผืนผ้าใบดังกล่าว ส่วนใหญ่ได้ถูกอุทิศให้กับความงามซึ่งไม่อาจแตะต้องได้ของภาพผู้หญิงคนหนึ่ง อัตลักษณ์ทางเพศของเธอแต่เดิมยังคงเปิดเผย และถูกตรวจตราอย่างละเอียดจากผู้ชาย(Leeks: 31-2)
ดังที่ Leeks ยืนยัน, นางบำเรอจำนวนมากที่เข้าไปอยู่บนผืนผ้าใบ และองค์ประกอบของงานจิตรกรรมดังกล่าวกลายเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อกับลัทธิถ้ำมองเกี่ยวกับการจ้องมองของผู้ชาย เช่นดังในกรณีของผืนผ้าใบที่ทำเป็นรูปทรงกลมในภาพ "Le Bain Turc", การสร้างการอ่านที่พึงพอใจของผู้หญิงยังคงถูกปฏิเสธ (Leeks: 32). Leeks รับเอาภาพ "La Grande Odalisque" และ "Baigneuse Valcipon" ของ Ingres มาเพิ่มเติมเสริมความเป็นไปได้ที่ว่า ผู้ดูทั้งหลายที่เป็นผู้หญิงได้รับความพึงพอใจจากการดูภาพต่างๆ ซึ่งหน้าที่ที่อยู่ข้างใต้ของภาพดังกล่าว ขยายพ้นไปจากการถูกทำให้เป็นวัตถุอันบริสุทธิ์ของภาพผู้หญิงโดยการจ้องมองของผู้ชาย
น่าจะเป็นไปได้ที่ว่า พลวัตต่างๆของงานจิตรกรรมแบบตะวันออกที่ดี ซึ่งอยู่สูงกว่าการทำให้เป็นวัตถุทางเพศอย่างง่ายๆของภาพผู้หญิงคนหนึ่ง ได้รับการสนับสนุนโดยความเชื่อของ Peter Fuller ที่ว่า "กิจกรรมอันแสนเหนื่อยยาก, จินตนาการ, และการประกอบสร้าง"ที่เกี่ยวพันอยู่ในงานจิตรกรรมในภาพผู้หญิงเปลือย ได้แสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่ที่มีอยู่แต่เดิมต่อเรือนร่างของผู้หญิง(Fuller: 30) แน่นอน สิ่งที่อยู่ข้างใต้ผลงานภาพ "La Grande Odalisque" ของ Ingres คือการแสดงออกอันหนึ่งของความเคารพนับถือของศิลปินต่อความงดงามของผู้หญิง
ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าจะเห็นด้วยกับความเป็นไปได้ที่ว่า ความพึงพอใจของผู้หญิงได้รับมาจากการมองดูภาพตัวแทนของผู้หญิง ซึ่งได้ปีนไต่ขึ้นมาจากการทำให้เป็นวัตถุทางเพศอย่างง่ายๆ ของผู้หญิงโดยการจ้องมองของผู้ชาย, แต่มันก็เป็นไปได้ที่ว่า ผู้ดูที่เป็นผู้หญิงร่วมสมัยบางคนจะได้รับความรู้สึกเพลิดเพลินและความพึงพอใจส่วนตัวในการมองดูผลงานจิตรกรรมเหล่านั้นด้วย ซึ่งโดยจารีตแล้ว ภาพเหล่านั้นถูกยอมรับในฐานะที่เป็นการแสดงออกต่างๆของ "การเป็นช่องระบายอารมณ์สำหรับการจ้องมองของผู้ชาย"
สู่การอ่านที่ให้อำนาจแก่ผู้หญิงเกี่ยวกับภาพแบบบูรพาทิศของรูปผู้หญิง
Towards an Empowering Female Reading of Orientalist Representations of the
Female Figure
Heather Dawkins ยอมรับเอาไว้ในการวิจารณ์ของ Marie-Amelie Chartroule de Montifaud
เกี่ยวกับงานจิตรกรรมในคริศตศตวรรษที่ 19 (ที่ได้รับการเขียนขึ้นภายใต้นามแฝง
Marc de Montifaud) ในเรื่อง "mission to search for sensuous portrayals
of the human body in art" (ภารกิจในการค้นหาภาพความพึงอใจทางเพศเกี่ยวกับเรือนร่างมนุษย์ในงานศิลปะ
(Dawkins: 144)
ในการวิจารณ์ของเธอ Montifaud ได้แสดงออกถึงความตื่นตระหนกต่อการเข้ามาแทนที่ของการศึกษาภาพเปลือยของผู้หญิง โดยภาพทิวทัศน์ที่ได้รับความชื่นชมโดยบรรดาศิลปินอิมเพรสชั่นนิสท์ เช่นเดียวกับ ความรู้สึกไม่สมหวังของเธอเกี่ยวกับลัทธิอนุรักษ์นิยม, การปราบปรามและการเซ็นเซอร์ที่มาบังคับและจำกัดการวาดภาพเปลือย และการวิจารณ์ต่างๆเกี่ยวกับภาพเหล่านี้(Dawkins: 147). ตามทัศนะของ Dawkins, ความคิดเห็นของ Montifaud, "เธออยากจะเห็นบรรดาศิลปินเขียนภาพเปลือยที่ไม่ค่อยดีหรือไม่สมบูรณ์นัก มากกว่าที่จะทอดทิ้งจารีตดังกล่าว เพื่อไปเขียนภาพพวกผู้ดีที่อยู่ในเสื้อผ้าอาภารณ์อย่างปลอดภัย"(Dawkins: 146)
แน่นอน ความรู้สึกอันนี้ได้ไปช่วยเพิ่มเติมความจริงที่ว่า ภาพเขียนประเภทภาพเปลือย และภาพที่กระตุ้นความรู้สึกทางเพศของผู้หญิงทั่วๆไป เป็นสิ่งที่มีคุณค่า อย่างน้อยที่สุดสำหรับผู้ดูและนักวิจารณ์ทั้งหลายที่เป็นผู้หญิง. ในความเรียงของเธอเกี่ยวกับภาพเปลือยโดย Charbonnel, Montifaud ให้การยกย่องการทำงานที่ทรงพลังของศิลปินเกี่ยวกับเรือนร่างของผู้หญิง ที่นำเสนอวัตถุประสงค์ของเขาได้อย่างประสบผลสำเร็จ "เกี่ยวกับการตรึงธรรมชาติในความจริงที่เต้นตุบๆของทั้งหมดเอาไว้, เป็นการแปลมันออกมาเป็นการสั่นระรัวของผิวเนื้อ ซึ่งทำให้ขนสั้นๆที่โคนขาและหน้าท้องสั่นไหวไปชั่วกาลนาน (Dawkins: 145)
ในการวิจารณ์อีกอันหนึ่ง, Montifaud แสดงถึงความชื่นชอบของเธอ สำหรับงานจิตรกรรมภาพเปลือยของ Jules Lefebvre ในภาพ"Chloe" ซึ่งการจ้องมองของนักวิจารณ์ได้ค้นหาความลุ่มหลงใน "ความเต็มเปี่ยมของภาพโครงร่าง, ความน่าตื่นเต้น มีชีวิตชีวา ซึ่งเรือนร่างอันงดงามเหล่านี้ได้ถูกวาดขึ้นมา" (Dawkins: 146). การเน้นย้ำเกี่ยวกับการวิจารณ์ของ Montifaud บนคุณค่าของความเหมือนจริง และภาพตัวแทนอันมีชีวิตชีวาเกี่ยวกับเรือนร่างของผู้หญิง แน่นอน แสดงออกถึงความพึงพอใจของเธอในการมองดูผลงานต่างๆ ที่ได้รับการยอมรับในเชิงขนบประเพณี ในฐานะที่เป็นการแสดงออกต่างๆ และช่องระบายทั้งหลายสำหรับการจ้องมองของผู้ชาย
ความพึงพอใจส่วนตัวของ Montifaud ในการมองดูรูปลักษณ์ของผู้หญิงได้รับการแสดงออกในลักษณะทำนองเดียวกัน ในคำวิจารณ์ของเธอสำหรับผลงานศิลปะนั้นคือ "ผ้าที่แขวนเอาไว้อย่างดี ทำให้ผู้ดูเกิดความประทับใจในอย่างเดียวกันกับผู้หญิงสวยคนหนึ่ง ซึ่งกำลังจินตนาการว่าได้สวมใส่อาภรณ์ที่งดงามผืนนั้น มันเป็นอุบัติการณ์หรือความบังเอิญอันหนึ่งของช่วงระยะเวลาสั้นๆ (Dawkins: 146).
อย่างแน่นอน ความรู้สึกทั้งหลายของ Montifaud แสดงถึงว่า การจ้องมองที่มอบอำนาจให้นั้น ค้นหาความพึงพอใจในภาพตัวแทนทางสายตาที่ทำให้เป็นเรื่องทางเพศของผู้หญิง ซึ่งไม่ได้ถูกสงวนเอาไว้โดยเฉพาะสำหรับผู้ชายเท่านั้น และไม่ได้ถูกลดทอนอำนาจในการจ้องตอบ ที่ได้รับการอธิบายโดย Williams มันเป็นรูปแบบหนึ่งของการจ้องมองของผู้หญิง ที่จับจ้องภาพทางสายตาที่มีอยู่ในภาพ
ในย่อหน้าหนึ่งของเรื่องที่เขียนขึ้นโดย Montifaud ได้อุทิศให้กับการอธิบายเกี่ยวกับตัวละครของเธอ ที่มีความงามซึ่งให้ความรู้สึกทางกามารมณ์, ศักยภาพสำหรับผู้หญิงที่จะปล่อยตัวตามความพอใจ ในความงามเกี่ยวกับรูปลักษณ์ของผู้หญิง ซึ่งถูกแสดงออกมาอย่างชัดแจ้ง:
"อันนี้คือความเปลือยเปล่าภาพหนึ่ง
ซึ่งมุ่งหมายให้ได้รับการสูดกลิ่น เมี่อมันปรากฏออกมาจากเสื้อคลุมที่เบาบางและหลวมๆ
ที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยกลิ่นหอมของมัน. แขนของเธอ, มือของเธอ, หน้าอกของเธอให้แรงดลใจที่ใคร่จะสวมกอดทันที,
ความกดดันอันยืดยาว, การจุมพิตที่ออกจะฟุ่มเฟือย. เท่าๆกันกับผู้หญิงที่รู้สึกเคลิบเคลิ้มอย่างไม่นึกไม่ฝัน
เมื่อเผชิญหน้ากับรูปร่างอันสมบูรณ์แบบ ซึ่งเธอยอมเสนอตัวให้ด้วยความเต็มใจ,
ในช่วงระหว่างการเยี่ยมเยือนฉันท์มิตรภาพ, สู่สัมผัสของผู้ชาย, สู่การสัมผัสกอดจูบลูบไล้ที่แข็งแรงของพวกเขา"
(Dawkins: 150)
บางทีนัยะสำคัญยิ่งกว่า ที่ Montifaud เตือนเราถึงความเป็นไปได้ที่ว่า ประสบการณ์ของผู้หญิงนี้เกี่ยวกับความสนใจที่น่าตื่นเต้นทางเพศที่ได้รับมาอย่างพิถีพิถันจากการสังเกตของผู้หญิง
จากผู้หญิงอีกคนหนึ่งซึ่งกำลังประทับใจในความสนใจทางเพศของผู้ชาย. รูปแบบของการถ้ำมองที่แตกต่างนี้
ได้เพิ่มเติมเสริมความเป็นไปได้ที่ว่า บรรดาผู้ดูงานศิลปะที่เป็นผู้หญิงร่วมสมัย
อันที่จริงสามารถมีประสบการณ์ความพึงพอใจในช่วงระหว่างการมองดูภาพตัวแทนทางเพศของผู้หญิง
โดยผ่านความซาบซึ้งของพวกเธอเกี่ยวกับความงดงามทางเรือนร่างของผู้หญิง และมากยิ่งไปว่านั้น
เนื่องจากการยอมรับอย่างมีสำนึกของพวกเธอว่า ภาพอันโดดเด่นที่ทรงพลังมันรับรองการจ้องมองของผู้ชาย
ภาพฉายเกี่ยวกับการมองของผู้หญิงเข้าไปในตำแหน่งของภาพที่ถูกนำเสนอ ได้อำนวยความสะดวกต่อการก่อตัวเป็นรูปร่างขึ้นมาของความคิดและจินตนาการเพ้อฝัน ซึ่งผู้ดูสามารถรู้สึกว่าตัวของเธอเองกำลังดูดซับความสนใจของนักถ้ำมองชาย โดยผ่านพลังอำนาจความงามและลักษณะทางเพศของเธอ. ในทำนองเดียวกัน, การมองภาพที่ถูกทำให้เป็นเรื่องเพศดังกล่าว ผู้ดูที่เป็นหญิงได้ประสบกับช่วงขณะหนึ่งในสิ่งซึ่งความเป็นหญิงของตัวเธอเอง และรู้สึกหลงใหลในลักษณะทางเพศที่มีอยู่แต่กำเนิด และผลที่ตามมา มันจึงปราบผู้ชายคนหนึ่งให้เชื่อง ให้ตกอยู่ใต้อำนาจด้วยรูปลักษณ์อันทรงพลังของผู้หญิงอย่างชัดแจ้ง
แนวความคิดนี้ที่ว่า ผู้หญิงสามารถได้รับความพึงพอใจจากการเพ่งมองของผู้ชาย ได้ถูกสื่อสารออกมาในย่อหน้าที่เป็นเรื่องทางเพศในนวนิยายของ Montifaud, ซึ่งมาดาม Ducroisy วางท่าเป็นแบบภาพเปลือยทางประติมากรรมให้กับประติมากรชายที่ชื่อว่า Branndt เป็นคนปั้น. Brandt ถึงกับอุทานออกมาด้วยความหลงใหลของเขาต่อความงามอันเปลือยเปล่าของ Ducroisy ว่า, "ณ เวลานี้ ผมมีมันแล้ว ผมต้องการร่างกายของผู้หญิงคนนี้ ในภาวะหนึ่งของความมึนเมาอันเต็มไปด้วยเสน่หา, รู้สึกถึงความเบ่งบานอันฟุ้งฝันเกี่ยวกับโอลิมปัสในความกำหนัดที่มีต่อเธอ. - เรือนร่างของเธอเต่งตึง; ส่วนโค้งต่างๆของเธอช่างสมบูรณ์แบบ"(Dawkins: 151) ข้าพเจ้าถูกโน้มน้าวให้ยอมรับว่า Madame Ducroisy, Montifaud และผู้อ่านที่เป็นหญิงได้รับการกระตุ้นให้มีประสบการณ์ความตื่นเต้นมากเท่าๆกันกับ Monsieur Brandt มีในช่วงเวลานั้น
ในท้ายที่สุด, ความหลงใหลปลาบปลื้มของ Montifaud กับภาพตัวแทนต่างๆของหญิงเปลือย และการสำรวจตรวจตราต่างๆเกี่ยวกับความพึงพอใจที่มีโดยธรรมชาติในการกระทำของผู้หญิง เกี่ยวกับการทำให้เป็นที่หลงใหลจากการจ้องมองของผู้ชายที่ส่อไปในเรื่องเพศ มีหลักฐานอยู่ในการวิจารณ์ของเธอ และเรื่องที่แต่งขึ้นซึ่งโจษขานกัน และได้เสนอหลักฐานตามลำดับที่ว่า ทั้งที่มีและไม่มีภาพทางสายตาเกี่ยวกับผู้หญิงที่ถูกทำให้เป็นเรื่องทางเพศ, การจ้องมองของผู้หญิงไม่ได้ถูกจำกัดเพียงแค่การจ้องตอบเท่านั้นเกี่ยวกับภาพที่ถูกนำเสนอ และผู้หญิงคนนั้นเช่นเดียวกับผู้ชายคือ เธอจะรู้สึกได้รับความเพลิดเพลินใจจากประสบการณ์การมองของพวกเธอ ในภาพผู้หญิงที่ส่อไปในทางเพศในงานทัศนศิลป์
ความสนุกเพลิดเพลินในการจ้องมองของผู้ชาย:
ความลงรอยกันกับปิตาธิปไตย
Revelling in the Male Gaze: Reconciliation to Patriarchy
ในทำนองเดียวกัน จินตนาการเพ้อฝันได้รับการอำนวยความสะดวกโดยนวนิยายโรแมนติค
ภาพที่นำเสนอทางสายตาเกี่ยวกับภาพผู้หญิงในเชิงกามารมณ์ในงานศิลปะแบบบูรพาทิศ
ก็ยินยอมให้ผู้หญิงสมัยนั้นได้ฉายภาพของพวกเธอเองสู่บทบาทของนางบำเรอที่น่าปรารถนา
เพื่อผลของความพึงพอใจ. การทำให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับภาพที่ส่อไปในทางเพศ
ในบรรดาผู้อ่านแบบกระจกสะท้อนในงานศิลปะแบบบูรพาทิศ ดังที่ให้เหตุผลมา เป็นการสร้างความเชื่อมโยงความเข้าอกเข้าใจต่อนางเอกของนวนิยายโรแมนติค
ตามการศึกษาในปี 1984 ของ Janice Radway ในเรื่องเกี่ยวกับนวนิยายโรแมนติคพบว่า สิ่งที่บรรดาผู้อ่านซึ่งเป็นผู้หญิงสนุกสนานเพลิดเพลินที่สุดเกี่ยวกับนวนิยายโรแมนติคคือ "โอกาสที่จะฉายภาพตัวของพวกเธอเองเข้าไปในเรื่องราวอันนั้น, กลายเป็นนางเอก และได้มีส่วนร่วมปันกับความประหลาดใจของเธอ และความพึงพอใจที่ได้ถูกปลุกขึ้นอย่างช้าๆ เกี่ยวกับการถูกจ้องมองอย่างใกล้ชิดมากโดยใครบางคน ซึ่งค้นหาความมีคุณค่าของตัวเธอ และเขาคนนั้นซึ่งเป็นคนที่ค่าคู่ควรแก่ความรัก(Radway: 67-68)
การได้มาซึ่งการจ้องมองของผู้ชาย เป็นที่ทางอันหนึ่งของจินตนาการเพ้อฝันของผู้หญิง ที่ถูกทำให้พอใจโดยการทำให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของผู้ดูที่เป็นหญิง เกี่ยวกับนางบำเรอในงานศิลปะแบบบูรพาทิศ และการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของผู้อ่านที่เป็นหญิงกับนางเอกของนวนิยายแบบโรแมนติค ถึงแม้ว่า การทำให้ตัวตนเป็นวัตถุขึ้นมาของผู้ดู/ผู้อ่านที่เป็นหญิงต่อการจ้องมองของผู้ชาย ซึ่งได้มาในกระบวนการการทำให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับนางบำเรอ/นางเอก, อันนี้จำเป็นจะต้องยอมรับว่า บ่อยครั้ง ผู้ดูและผู้อ่านที่เป็นหญิงจะอ่านภาพฉายนี้ในฐานะการคืนอำนาจ อันเป็นผลลัพธ์เนื่องมาจากความเกี่ยวข้องพันกันอยู่ในสังคมแบบปิตาธิปไตย
เหมือนอย่างในบริบทของนวนิยายโรแมนติค, "ในข้อเท็จจริง, เรื่องโรมานซ์แต่ละเรื่องเป็นมายาคติของผู้หญิงที่ว่า จะบรรลุความสำเร็จในสังคมแบบปิตาธิปไตยได้อย่างไร?". ข้อยืนยันอันหนึ่งที่ได้รับการนำเสนอโดย Radway (Radway: 17), ภาพวาดในงานศิลปะแบบบูรพาทิศเกี่ยวกับผู้หญิงในฐานะที่เป็นวัตถุต่างๆ ของการจ้องมองโดยผู้ชาย ได้สะท้อนและเพิ่มเสริมมารยาหรือท่าทีซึ่งผู้หญิงในสมัยนั้นถูกทำให้เชื่อ และกระตุ้นว่าจะบรรลุถึงเอกลักษณ์ที่พัฒนาขึ้นมาอย่างเต็มที่แล้วอันหนึ่งของผู้หญิง และได้มาซึ่งอำนาจทางสังคม: โดยผ่านการพัฒนาเกี่ยวกับเอกลักษณ์ทางเพศ ที่สามารถจะได้มาโดยการจ้องมองของผู้ชาย
ถึงแม้ว่าสิ่งที่ได้มาเกี่ยวกับการจ้องมองของผู้ชาย จะเป็นสัญญานการบรรลุความสำเร็จของผู้หญิงเกี่ยวกับลักษณะทางเพศและเอกลักษณ์ของผู้หญิงที่ถูกพัฒนาขึ้น แต่ความปรารถนาเกี่ยวกับการจ้องมองของผู้ชายส่วนใหญ่ มีความรู้สึกพึงพอใจกับผู้หญิง โดยคำมั่นสัญญาเกี่ยวกับการรับรู้ในความรักใคร่ทางอารมณ์ความรู้สึก
ตามทัศนะของ Radway, สำหรับผู้อ่านที่เป็นหญิงของนวนิยามโรแมนติค "การจ้องมองอย่างไม่ลดละของสายตาพระเอก ปลุกเร้าความทรงจำเกี่ยวกับช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตของผู้อ่าน เมื่อเธอเป็นศูนย์กลางของความสนใจของใครคนใดคนหนึ่งอย่างลึกซึ้งด้วยความรักความเสน่หา(Radway: 84). อย่างมีนัยะสำคัญ สำหรับผู้ดูและผู้อ่านที่เป็นหญิง ความคิดเพ้อฝันมิได้จบลงด้วยความสำเร็จเกี่ยวกับการได้มาซึ่งการจ้องมองของผู้ชาย; อันที่จริงจินตนาการอันเพ้อฝัน ขึ้นอยู่กับความสามารถของนางบำเรอ/นางเอก ในการที่จะทำให้ผู้ชายเป็นฝ่ายเชื่อง(ability to "tame" the man) (สายตาที่จ้องของเขา เธอได้มาแล้ว) โดยการได้ความผูกพันทางอารมณ์ความรู้สึกและความซื่อสัตย์ของเขามาด้วย (Radway: 124)
โดยการคาดการณ์ถึงการแต่งงานซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศ ของผู้หญิงคนหนึ่งได้รับการปฏิบัติให้เป็นไปอย่างถูกต้อง มันเป็นการยืนยันทางสังคมและอารมณ์ความรู้สึกต่อผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งอันนี้ถือเป็นการสิ้นสุดเนื่องมาจากผลลัพธ์ของ"การทำให้ผู้ชายเชื่องลง" อันเป็นผลภายหลังของความสมปรารถนาเกี่ยวกับความสำเร็จของผู้หญิงที่ได้มาจากการจ้องมองของผู้ชาย
ในบริบทของยุโรปคริสตศตวรรษที่ 19, ความสัมพันธ์ของผู้หญิงคนหนึ่งกับสามีเธอ เป็นไปในฐานะวิธีการหนึ่งที่ได้มาซึ่งความอยู่รอดทางเศรษฐกิจและสังคม ด้วยเหตุดังนั้น ผู้ดูที่เป็นผู้หญิง จินตนาการเพ้อฝันเกี่ยวกับการเป็นที่หลงใหลในรูปพรรณของผู้ชาย โดยผ่านการได้มาซึ่งการจ้องมองของเขา จะวาดเค้าโครงความเป็นวัตถุขึ้นมาของผู้หญิง ในบริบทของสังคมแบบปิตาธิปไตย: เพื่อได้มาซึ่งความสมปรารถนาทางเพศและอามรมณ์ความรู้สึก รวมถึงอำนาจทางสังคมโดยผ่านการได้มาซึ่งผู้ชายที่จะนำพาเธอไปสู่การแต่งงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ยิ่งไปกว่านั้น การนำเสนอภาพผู้หญิงแบบบูรพาทิศ ที่เสนอให้ผู้หญิงชวยุโรปมีโอกาสที่จะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับนางบำเรอ ที่เปลือยกายและมีราคะอย่างไม่สะทกสะท้าน ซึ่งมีความสุขกับลักษณะทางเพศของของเธอเองที่ให้กับบรรดาผู้ดู ด้วยจินตนาการอันเพ้อฝันอันหนึ่งเกี่ยวกับการหนีรอดไปจากข้อจำกัดของพวกเธอ ที่จะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับลักษณะทางเพศของพวกเธอ ในฐานะที่เป็นผลลัพธ์ของสังคมยุโรป ซึ่งเอกลักษณ์ของผู้หญิงได้ถูกตีกรอบโดยข้อจำกัดต่างๆทางสังคมต่อความเคลื่อนไหวของผู้หญิง ร่างกาย และการมีส่วนร่วมในอาณาเขตของวัฒนธรรม
ท้ายที่สุด ความคิดเพ้อฝันเกี่ยวกับความสำเร็จของผู้หญิงในการได้รับการจ้องมองจากผู้ชาย และทำให้เขาเชื่อง ได้สะท้อนถึงการทำลายลักษณะปิตาธิปไตยลง ซึ่งส่วนใหญ่มันได้เป็นการวางกรอบความสัมพันธ์ทางเพศขึ้นมาใหม่ระหว่างชายและหญิง ดังที่ได้รับการนิยามโดยลักษณะปิตาธิปไตยที่ถูกเชื่อว่าได้ให้อำนาจแก่ผู้หญิง. ในความคิดความเข้าใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์หญิงชาย ที่เป็นผลลัพธ์ของความสำเร็จของผู้หญิงในการทำให้ผู้ชายของเธอเชื่องลง ผู้หญิงกลายเป็นที่เข้าใจว่าเป็นผู้มีส่วนร่วมที่กระตือรือร้นในความสัมพันธ์ดังกล่าว ซึ่งนั่นเป็นการมองผ่านเลนส์ของปิตาธิปไตย ที่ได้รักการยอมรับในฐานะที่ถูกควบคุมโดยผู้ชาย
ในท้ายที่สุด ผิวเนื้อขาวของนางบำเรอที่ได้รับการนำเสนอ ได้ไปยกระดับการทำให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของผู้หญิงยุโรปกับภาพผู้หญิงตะวันออกกลางที่ถูกนำเสนอ สู่ผลที่ผู้ดูชาวยุโรปได้รับการยกขึ้นสู่สถานะที่มีอำนาจของอิตถีเทพต่างๆ(goddesses) (นั่นคือ ได้ถูกนำเสนอโดยการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับนางบำเรอ) ผู้ที่สามารถได้มาซึ่งการจ้องมองของผู้ชาย และคำมั่นสัญญา เกี่ยวกับการมอบอารมณ์ความรู้สึกให้กับผู้ชายด้วยการบริการของเธอ
ผลที่ตามมา บรรดาผู้ดูชาวยุโรปได้ถูกให้อำนาจโดยความสามารถในเชิงจินตนาการของเธอ ที่ประทับใจผู้ชายตะวันตก ความสามารถอันหนึ่งที่แปลไปสู่พลังอำนาจในบริบทของยุโรปคริสตศตวรรษที่ 19. มันเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องตระหนักว่าความแตกต่างระหว่างฐานะตำแหน่งของทาสบำเรอกาม กับ อิตถีเทพ เป็นทั้งสาระอันหนึ่งของความยินยอม และการควบคุมธรรมชาติเกี่ยวกับการแสดงออกในความปรารถนาของผู้ชายด้วย. สำหรับการเป็นทาสบำเรอกาม มันไม่มีความยินยอมต่อความปรารถนาทางเพศของผู้ชายอย่างชัดแจ้ง แต่สำหรับอิตถีเทพ ความยินยอมที่จะโอนอ่อนผ่อนตามความปรารถนาของผู้ชาย เป็นอีกสาระหนึ่ง ที่จะได้มาซึ่งคำมั่นสัญญาที่จะรักอย่างมีอารมณ์และข้อผูกพัน
การจ้องมองแบบจักรวรรดิ์นิยมของผู้หญิง
The Female Imperialist Gaze
มันเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักว่า ผู้หญิงยุโรปก็คล้ายผู้ชายของพวกเธอ ที่จำแนกความแตกต่างของพวกเธอจากสมาชิกของโลกตะวันออก.
มากยิ่งไปกว่านั้น สำหรับเหตุผลที่ว่า เธอเป็นทั้งผู้มีส่วนร่วมและยอมรับในความผิดพลาด
เกี่ยวกับความพยายามต่างๆเกี่ยวกับจักรวรรดิ์อาณานิคมของยุโรป มันเป็นสิ่งที่ง่ายมากต่อการตระหนักว่า
การทำให้เป็นอาณานิคมและลัทธิจักรวรรดิ์นิยมเป็นผลประโยชน์ต่างๆของผู้ชายฝ่ายเดียว
ซึ่งอันนี้เป็นข้อยืนยันอันหนึ่งที่ได้ถูกนำเสนอโดย Gen Doy (Doy: 224)
ในฐานะนักท่องเที่ยวทั้งหลาย, มิสชั่นนารี, ครู, และศิลปิน, ความพยายามบากบั่นของคนเหล่านี้ทำให้จำเป็นต้องเจาะทะลุ และการนำเสนองานภาคเอกสารเกี่ยวกับตะวันออก และประชากรที่หลากหลายของภูมิภาคนี้อย่างไม่อาจปฏิเสธได้ ผู้หญิงได้มีส่วนช่วยเสริมวาทกรรมต่างๆของลัทธิจักรวรรดิ์นิยม และลัทธิบูรพาทิศ(Doy: 224). Reina Lewis ได้เสริมถึงความจริงเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของผู้หญิงในศิลปะแบบตะวันออก ในการศึกษาของเธอเกี่ยวกับ Henriette Browne และการนำเสนอภาพทางสายตาของเธอเกี่ยวกับภาพผู้คนและฉากทิวทัศน์ของตะวันออกกลาง
Lewis ยืนยันว่า ทั้งๆที่เพศสภาพของศิลปินนั้น อาจเป็นผลลัพธ์ในทางตรงข้ามโดยเจตนาต่ออุดมคติการครอบงำหรืออิทธิพลเกี่ยวกับเชื้อชาติ, แต่"พลวัตต่างๆเกี่ยวกับวาทกรรมของจักรวรรดิ์นิยม ได้เข้าไปและสร้างผลงาน(ของศิลปิน)" และผลที่ตามมาก็คล้ายๆกับการที่ผู้ชายได้สร้างภาพของจักรวรรดิ์ขึ้นมา(Lewis: 3), เหตุผลอันหนึ่งที่ว่า มันได้ถูกวางพื้นฐานอยู่บนหลักฐานหรือข้อสนับสนุนต่างๆ ทางวัฒนธรรมทั่วๆไปของอังกฤษและฝรั่งเศสในคริสตศตวรรษที่ 19 "ที่ถูกวางรากฐานอยู่บนการสร้าง และการกีดกันคนอื่นในทางเชื้อชาติ และความเป็นตะวันออกออกไป" (Lewis: 12).
ตามความคิดของ Lewis, "มันมีห้องหับอยู่ในวาทกรรม(เกี่ยวกับลัทธิบูรพาทิศ)สำหรับผู้หญิง และบางทีจะไม่เกี่ยวกับโรคความเกลียดชังคนอื่น และวัฒนธรรมอื่นอย่างมีเจตนาร้าย, เรื่องของลัทธิบูรพาทิศนั้นได้มีการปรับปรุงและแก้ไข แต่ไม่ได้ขจัดระเบียบกฎเกณฑ์หรือข้อบังคับของจักรวรรดิ์นิยมออกไป (Lewis: 64)
Wendy Leeks ยืนยันว่า ผู้หญิงก็เหมือนผู้ชายที่รับรู้ตะวันออกกลางโดยผ่านการจ้องดูแบบถ้ำมอง โดยที่มีความคิดความเชื่อเกี่ยวกับความเป็นอื่น และความเป็นเรื่องแปลกของบูรพาทิศ ซึ่งได้ถูกกำหนดขึ้น(Leeks: 31). Leeks ยอมรับว่า คำอธิบายของ Lady Mary Whortley Montagu เกี่ยวกับการไปเยี่ยมเยือนของเธอ ณ สถานที่อาบน้ำสาธารณะแบบตุรกีของผู้หญิง ได้แสดงให้เห็นถึงการมีอยู่ของการจ้องมองแบบจักรวรรดิ์ของผู้หญิง (Leeks: 31)
ตามความคิดของ Leeks, แม้ว่าเพศของ Whortley Montagu จะช่วยอำนวยความสะดวกเธอให้เข้าไปในสถานที่อาบน้ำสาธารณะของผู้หญิงได้ แต่สถานภาพของเธอในฐานะที่เป็นชาวยุโรป และในฐานะภรรยาของเอกอัครราชทูต เช่นเดียวกับการปฏิเสธของเธอที่จะมีส่วนร่วมกับพลเมืองหญิงทั้งหลายของตะวันออก โดยการร่วมกับพวกเธอในความเปลือยเปล่า ได้ทำให้ฐานะของเธอ ณ สถานที่อาบน้ำอยู่ในตำแหน่งที่เป็นการถ้ำมอง (Leeks: 31)
ท้ายที่สุด ผู้หญิงตุรกีจึงถูกวัดตามความเชื่อที่เป็นปกติวิสัยส่วนตัวของ Whortley Monagu และได้ถูกขับไล่ไสส่งไปสู่ตำแหน่งของสิ่งแปลกๆ จากต่างแดน, ความเป็นอื่นของบูรพาทิศ(Leeks: 31). ในคำพูดของ Leeks, "ความเชื่ออันหนึ่งเกี่ยวกับความเหนือกว่าหรือพิเศษกว่า ในการที่จะทำให้ผู้หญิงตะวันออกเป็นวัตถุขึ้นมา และลดทอนพวกเธอลงสู่การสอบสวน แม้ว่าการสอบสวนดังกล่าวจะไม่ได้ถูกนำไปเชื่อมโยงกับความปรารถนาทางเพศของผู้เขียนก็ตาม (Leeks: 31)
ยิ่งไปกว่านั้น ตำแหน่งถ้ำมองของ Whortley Montagu ได้ถูกทำให้แตกต่างไปจากบรรดาผู้ชายทั้งหลายในระดับที่ มันไม่ใช่เรื่องความลับและไม่ใช่ลักษณะของประโยชน์ต่างตอบแทนกัน; การมีอยู่ของ Whortley Montagu ณ สถานที่อาบน้ำสาธารณะนั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือมีสิทธิ์เนื่องมาจากเพศสภาพของเธอนั่นเอง, ในทำนองเดียวกัน เธอก็ตกอยู่ในการจ้องมองของผู้หญิงชาวตุรกี
อย่างมีนัยสำคัญ, นอกจากนั้น ระยะห่างของ Whortley Montagu จากผู้หญิงตุรกีได้ถูกลดลงโดยความเห็นพ้องของเธอที่จะเปิดกระโปรง และเผยให้เห็นถึงชุดชั้นในรัดรูปของเธอตามที่ผู้หญิงเหล่านั้นขอร้อง(Leeks: 31). ตามทัศนะอันนี้ของ Leeks, การกระทำดังกล่าว "ได้ไปเพิ่มสิทธิของเธออีกครั้งให้อยู่ ณ ที่นั่นโดยผ่านการเน้นย้ำว่า สิ่งที่เธอและผู้หญิงที่กำลังอาบน้ำที่เป็นอื่นมีร่วมกันคือ - ความเป็นหญิงของพวกเธอ(Leeks: 31)
ประเด็นสำคัญ
The Point
เป็นสิ่งสำคัญที่จะยอมรับว่า ถึงแม้โดยแบบฉบับผู้หญิงยุโรป ตัวของพวกเธอเองจะแตกต่างไปจากปัจเจกชนตะวันออกกลาง
บนพื้นฐานเกี่ยวกับความต่างทางชาติพันธุ์ที่ถูกรับรู้ของพวกเธอ(Lewis: 15),
แต่พวกเธอประสบความสำเร็จในการทำให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับภาพผู้หญิงตะวันออก
ในการอ่านอย่างพึงพอใจของพวกเธอเกี่ยวกับการเป็นภาพทางสายตาในแบบตะวันออก
เหมือนอย่างที่ Whortley Montagu ได้สลัดระยะห่างและตำแหน่งที่ถูกทำให้ต่างของเธอทิ้งไป ในความสัมพันธ์กับผู้หญิงตุรกีที่กำลังอาบน้ำ ด้วยการยอมรับเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ขนานกันของพวกเธอเกี่ยวกับความเป็นผู้หญิง(Leeks: 31), ในการฉายภาพของพวกเธอเองสู่บทบาทของนางบำเรอ, ผู้หญิงชาวยุโรปได้ละทิ้งความแตกต่างตามความนึกคิดของพวกเธอ จากบรรดาสมาชิกของตะวันออกเพื่อที่จะยอมรับความคล้ายคลึงกัน ระหว่างความมีอัตลักษณ์ของพวกเธอไป
อย่างมีนัยสำคัญ, กระบวนการเกี่ยวกับการทำให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของผู้หญิงชาวยุโรป กับภาพแบบตะวันออกที่ได้รับมาอย่างถูกต้องนั้น เพราะว่าหลักฐานเกี่ยวกับความแตกต่างกันทางเชื้อชาติของผู้คนตะวันออกกลาง รากฐานเกี่ยวกับความต่างของตัวตนของผู้หญิงยุโรปจากบรรดาสมาชิกตะวันออก ได้ถูกยักย้ายโดยขนบจารีตเกี่ยวกับการนำเสนอภาพคนด้วยผิวเนื้อขาว
มันเป็นความเชื่อของข้าพเจ้าที่ว่า ในการกระทำของผู้หญิงชาวยุโรปเกี่ยวกับภาพฉายเกี่ยวกับพวกเธอเองนั้น ในบทบาทของนางบำเรอ มันคือการแสดงออกโดยกำเนิดอย่างหนึ่งเกี่ยวกับการยอมรับของผู้หญิงยุโรป และความสอดคล้องต้องกันในฐานะตำแหน่งที่ด้อยกว่าของเธอ เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ชายยุโรปในสังคมแบบปิตาธิปไตย ซึ่งได้ถูกนึกคิดหรือเข้าใจในฐานะที่เป็นสิ่งที่คล้ายคลึงกับฐานะตำแหน่งของบรรดาสมาชิกของตะวันออกกับชาวยุโรป
ในการนำเสนอและการดูภาพคนตะวันออกด้วยการมีผิวเนื้อขาว ผู้หญิงกลายเป็นต้องเผชิญหน้าอย่างปราศจากสำนึก กับความสัมพันธ์ที่ถูกนำเสนอซึ่งเกี่ยวโยงกันระหว่างอัตลักษณ์ต่างๆของผู้หญิงยุโรป กับ ปัจเจกชนตะวันออกกลาง. ในการฉายภาพของพวกเธอเองในตำแหน่งของคนตะวันออก ผู้หญิงยุโรปพิสูจน์ความจริงแท้ถึงความถูกต้องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ได้รับการนำเสนอนี้ ซึ่งจะถูกทำลายลงอย่างมีสำนึกโดยความแตกต่างของตัวตนทางด้านเชื้อชาติ ของผู้หญิงชาวยุโรปเองจากสมาชิกของตะวันออก
ดูเหมือนว่า พื้นฐานเกี่ยวกับผู้หญิงยุโรปและความเป็นประชาชนคนธรรมดาของตะวันออก คือประสบการณ์ที่คู่ขนานกันอันหนึ่งของความเป็นข้าทาสของผู้ชายชาวยุโรป. อย่างมีนัยสำคัญ Reina Lewis ยอมรับว่า ในสังคมแบบปิตาธิปไตยของชาวยุโรป ผู้หญิงตะวันตกคล้ายคลึงกับผู้คนชาวตะวันออก ได้ถูกทำให้เป็น"ตะวันออก"(orientalized)ในระดับที่พวกเธอได้ถูก"สร้างในลักษณะทำนองเดียวกัน โดยผ่านพลังงานต่างๆของลัทธิจักรวรรดิ์นิยม"(Lewis: 21)
ในการลดทอนลงสู่การเป็น"วัตถุต่างๆของการแลกเปลี่ยนและใช้ประโยชน์โดยผู้ชาย" ในสังคมแบบปิตาธิปไตย ข้อยืนยันอันหนึ่งที่ได้รับการเสนอโดย Pollock, ผู้หญิงยุโรปได้ถูกทำให้ตกอยู่ในสถานภาพที่ไร้อำนาจในทำนองเดียวกันกับผู้คนตะวันออกได้ถูกครอบงำ โดยอำนาจบีบบังคับของลัทธิจักวรรดิ์อาณานิคม(Pollock: 136)
ในภาพฉายตามความคิดเพ้อฝันของเธอในเรื่องเกี่ยวกับบทบาทของนางบำเรอ ผู้หญิงชาวยุโรปได้สร้างกรอบตำแหน่งที่ไร้อำนาจของเธอขึ้นมาใหม่สำเร็จ เกี่ยวกับความเป็นวัตถุทางเพศที่ยอมจำนนต่อผู้ชายยุโรป โดยอาศัยจินตนาการเพ้อฝันที่น่าพึงใจในสิ่งซึ่งเธอดำรงอยู่ ในฐานะที่เป็นเทพธิดาที่มีอำนาจและสามารถจะได้รับการจ้องมองของผู้ชายโดยเจตนา และคำมั่นสัญญาเกี่ยวกับการมอบอารมณ์ความรู้สึกของชายคนหนึ่งต่อการปรนิบัติและอำนวยความสุขของเธอ
สุดท้าย จินตนาการเพ้อฝันนั้นที่ผู้หญิงที่มีความตั้งใจคนหนึ่งซึ่งปรารถนาที่จับใจผู้ชายและทำให้เขาเชื่องได้ ทำให้ผู้หญิงยุโรปอยู่ในฐานะตำแหน่งเป็นฝ่ายกระทำในความสัมพันธ์หญิง-ชาย ที่รับรู้กับตามขนบประเพณีในฐานะที่ถูกควบคุมโดยผู้ชาย
ภาพฉายจินตนาการเพ้อฝันอันนี้ของผู้หญิงยุโรปในฐานะตำแหน่งของเทพธิดาแห่งความรัก(ถูกควบคุมโดยการนำเสนอที่โรแมนติคเกี่ยวกับนางบำเรอ) ยินยอมให้ผู้หญิงคนหนึ่งปรองดองตัวเธอเองกับการมีอยู่ที่ด้อยกว่า หรือในฐานะวัตถุทางเพศของผู้ชายในสังคมแบบปิตาธิปไตย โดยการนำเสนอตัวเธอด้วยจินตนาการเพ้อฝันอันหนึ่งของการเป็นตัวแทน
สรุป
ข้างใต้ปรากฏการณ์ที่ภาพตะวันออกกลางได้ถูกนำเสนอด้วยผิวเนื้อขาว
คือหลักฐานสนับสนุนแนวความคิดของชาวยุโรปอันนั้นเกี่ยวกับตะวันออก และความสัมพันธ์ของตะวันตกกับมัน
ผู้หญิงผิวขาวและปัจเจกชนตะวันออกกลางกลายเป็นสิ่งที่สัมพันธ์กัน. อันนี้เป็นจริงในการอ่านปรากฏการณ์เกี่ยวกับภาพคนตะวันออกที่ถูกทำให้ผิวเนื้อเป็นสีขาว
ในฐานะที่เป็นพยานหลักฐานของแนวคิดร่วมกันของผู้ชายชาวยุโรปเกี่ยวกับผู้หญิงยุโรปและผู้หญิงตะวันออก
ในฐานะที่เป็นวัตถุต่างๆ ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของอำนาจที่อุปมาคล้ายคลึงกับความปรารถนาในการตักตวงทางเพศของผู้ชาย
ในทำนองเดียวกัน ถ้าปรากฏการณ์ดังกล่าวถูกอ่านในฐานะที่เป็นเครื่องมือ หรือวิธีการซึ่งอำนวยความสะดวกแก่ภาพฉายที่เป็นจินตนาการเพ้อฝันของผู้หญิงชาวยุโรป เข้าไปสู่บทบาทของภาพผู้หญิงตะวันออก เพื่อที่จะวางกรอบฐานะตำแหน่งที่ถูกทำให้ไร้อำนาจของเธอขึ้นมาใหม่ ในฐานะวัตถุทางเพศของผู้ชายยุโรป ในความคิดเพ้อฝันเกี่ยวกับการยินยอมและการควบคุม หลักการพื้นฐานของฐานะตำแหน่งอุปมาอุปมัยอันนี้มีความคล้ายคลึงระหว่างตะวันออกกับผู้หญิงในแนวความคิดของตะวันตก
สำหรับเหตุผลที่ว่า ทั้งผู้หญิงและผู้คนตะวันออก ต่างถูกทำให้ยอมรับในฐานะที่ด้อยกว่าผู้ชายชาวยุโรป และผลที่ตามมาจึงเป็นผู้ที่อยู่ในบังคับและใต้อิทธิพลครอบงำของเขา, ทั้งอัตลักษณ์ของผู้หญิงยุโรปและปัจเจกชนตะวันออกกลาง ถูกรับรู้และเข้าใจในกรณีที่คล้ายๆกัน และด้วยเหตุนี้มันจึงเป็นตรรกะที่อัตลักษณ์ของพวกเธอได้ผสมกลมเกลียวเข้าด้วยกัน ในการเป็นภาพทางสายตาของภาพคนตะวันออก ที่ถูกทำให้ผิวเนื้อเป็นสีขาว
ในท้ายที่สุด สิ่งที่เราสามารถค้นหาได้จากความโน้มเอียงดังกล่าว ที่ได้วาดภาพคนตะวันนออกกลางขึ้นมาด้วยผิวเนื้อขาว เป็นความจริงอันหนึ่งซึ่งผู้หญิงยุโรปและผู้หญิงตะวันออกกลายเป็นสิ่งที่ถูกวาง หรือกำหนดลงบนสิ่งซึ่ง Homi K. Bhaba อ้างถึงในฐานะที่เป็น "ช่องว่างเล็กๆของ - การทับซ้อนและการเข้าแทนที่ของอาณาเขตต่างๆของความแตกต่าง [โดยผ่านสิ่งซึ่ง] การดำรงอยู่ระหว่างอัตวิสัยและประสบการณ์ร่วมของ [ตะวันออกกับตะวันตก] ที่ถูกนำมาสลับปรับเปลี่ยนกัน (Bhaba: 2)
+++++++++++++++++++++++++++++++++++
ผลงานที่ใช้อ้างอิง
Bhabha,
Homi. "Introduction: Locations of Culture." The Location of Culture.
London: Routledge. 1994. 1-9.
Berger, John. Ways of Seeing. London: British Broadcasting Corporation. 1972.
Bronte, Charlotte. Villette. Ed. Mark Tilly. Harmondsworth: Penguine Books. 1979.
Chicago, Judy and Edward Lucie-Smith. Women and Art: Contested Territory. London: Weidenfeld and Nicolson. 1999.
Dawkins, Heather. The Nude in French Art and Culture, 1870-1910. Cambridge: Cambridge University Press. 2002.
Doy, Gen. Women and Visual Culture in Nineteenth Century France: 1800-1852. London: Leicester University Press. 1998.
Kalmar, Ivan. "The Houkah in the Harem: On Smoking and Orientalist Art," Smoking, ed. by Sander
L. Gilman and Xun Zhou. London: Reaktion Press. <http://www.library.utoronto.ca/moorish/smoking/kalmar%20houkah.htm> November 18th, 2003
Leeks, Wendy. "Ingres Other-Wise." Oxford Art Journal. Volume 9. No. 1. Oxford: Oxford University Press. 1986. 29-37.
Lewis, Reina. Gendering Orientalism: Race, Femininity and Representation. New York: Routledge. 1996.
McClintock, Anne. Imperial Leather: Race, Gender and Sexuality in the Colonial Contest. New York: 1995.
Mulvey, Laura. Visual and Other Pleasures. Bloomington: Indiana University Press. 1989.
Pollock, Griselda. Differencing the Canon: Feminist Desire and the Writing of Art's Histories. London: Routledge. 1999.
Radway, Janice A. Reading the Romance: Women, Patriarchy, and Popular Literature. Chapel Hill: The University of North Carolina Press. 1984.
Said, Edward. "Shattered Myths." Orientalism: A Reader. Ed. A. L. Macfie. New York: New York University Press. 2000. 89-103.
Williams, Linda. Viewing Positions: Ways of Seeing Film. New Brunswick: Rutgers University Press. 1994.
Yeazell, Ruth Bernard. Harems of the Mind: Passages of Western Art and Literature. New Haven: Yale University Press. 2000.
http://www.chass.utoronto.ca/~ikalmar/illustex/juddfashion.htm
บทความที่นำเสนอก่อนหน้านี้ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
หากนักศึกษาและสมาชิกท่านใตสนใจ
สามารถคลิกไปอ่านได้จากที่นี่...คลิกที่ภาพ
ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา 3 I สารบัญเนื้อหา
4
ประวัติ
ม.เที่ยงคืน
สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง
e-mail :
midnightuniv(at)yahoo.com
หากประสบปัญหาการส่ง
e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com
ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ทั้งหมด
กว่า 800 เรื่อง หนากว่า 11500 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com
สมเกียรติ
ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็บไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ
ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com