นักศึกษา สมาชิก และผู้สนใจทุกท่าน หากประสงค์จะตรวจดูบทความอื่นๆที่เผยแพร่บนเว็ปไซค์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ท่านสามารถคลิกไปดูได้จากตรงนี้ ไปหน้าสารบัญ



The Midnight University

ความคิดและปฏิบัติการ การเมืองภาคประชาชน
อำนาจของความไร้อำนาจ
The Power of Powerless : A Sequel

สมเกียรติ ตั้งนโม : เรียบเรียง
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน


บทความชิ้นนี้ต้นฉบับเป็นผลงานของ
Fr. Emmett Jarrett, TSSF
นำมาจาก http://www.anglocatholicsocialism.org/powerofpowerless.html
เขียนขึ้นหลังจากการมีโอกาสได้อ่านงานของ
Vaclav Havel ในเรื่อง The Power of Powerless


(บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา)
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ 794
เผยแพร่บนเว็ปไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๔๙
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ 14 หน้ากระดาษ A4)


The Power of the Powerless: A Sequel
Fr. Emmett Jarrett, TSSF


อำนาจของความไร้อำนาจ: ผลงานลำดับถัดมา
1.
วิญญานตนหนึ่งกำลังเข้าสิงสู่จักรวรรดิ์อเมริกัน: วิญญานตนนั้นคือ nuestra America หรือ "our America"(อเมริกาของเรา) ซึ่งถูกวาดขึ้นมาจากความหวังต่างๆ ของผู้คนในทุกหนแห่ง ที่การปฏิวัติได้ให้คำมั่นสัญญาในช่วงปี 1776, 1863, และทศวรรษที่ 1930s, 1968 ว่ามันจะถูกทำให้บรรลุผลสำเร็จ วิสัยทัศน์ของชาวอเมริกันเกี่ยวกับอิสรภาพและความเสมอภาคได้พลิกผันไปสู่เถ้าถ่านในปากของผู้คนทั่วโลก ซึ่งมองมายังประเทศของเราในฐานะที่เป็นตัวอย่าง ความฝันเกี่ยวกับอิสรภาพและประชาธิปไตยได้ผันเปลี่ยนไปสู่ฝันร้ายของจักรวรรดิ์สำหรับหลายๆประเทศ ซึ่งได้หยิบเอาคำประกาศอิสรภาพของเราไปใช้ในฐานะที่เป็นแบบจำลอง

แม้กระทั่งทุกวันนี้ ความฝันดังกล่าวก็ยังไม่ตายไปเลยทีเดียว ความคาดหวังอันนั้นยังคงไม่แตกสลายดับไป ตัวอย่างกำลังฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่อีกครั้ง จากหลุมฝังศพในความคิดต่างๆและการกระทำของคนอเมริกัน และคนอื่นๆ ซึ่งบรรดาบริษัทสื่อทั้งหลายของเรา เพียงทำได้แค่กระหยิ่มยิ้มเยาะกับ"บรรดาผู้ประท้วง"เท่านั้น

ใครคือเหล่าบรรดาผู้ที่ออกมาประท้วง? พวกเขาประท้วงเรื่องอะไร? ในข้อเท็จจริง พวกเขาสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้าง? Vaclav Havel ได้กล่าวเอาไว้ในความเรียงของเขาเรื่อง "The Power of Powerless"(อำนาจของความไร้อำนาจ) ว่า…

… ในการสำรวจเกี่ยวกับคำถามและข้อสงสัยเหล่านี้ - ในการตรวจสอบถึงศักยภาพของความไร้อำนาจ - สามารถเริ่มต้นขึ้นโดยการสำรวจตรวจตราถึงธรรมชาติของอำนาจในสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งผู้คนที่ไร้อำนาจเหล่านี้ปฏิบัติการอยู่

ผมได้อ่านความเรียงของ Havel ในช่วงระหว่างหลายสัปดาห์ เมื่อตอนที่ Anne และ Mark รวมถึง Laura และตัวผมต่างเป็นสมาชิกของชุมชน St. Francis House ซึ่งได้ทำงานร่วมกับ the Mock Terror Attack Task Force ของเครือข่ายสันติภาพและความยุติธรรมแห่งคอนเนคติกัตตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นงานจำลองภารกิจทางด้านการทหารเกี่ยวกับการโจมตีของผู้ก่อการร้าย และเตรียมการที่จะทำให้สาธารณชนร่วมเป็นพยานในการคัดค้าน TOPOFF 3 ของกระทรวงปกป้องมาตุภูมิ(หน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติ)(the Homeland Security Department's TOPOFF 3) ที่ปฏิบัติการใน New London

ดังที่ได้มีการนำเสนอข้อถกเถียงของเราต่อเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นและสาธารณชนว่า วัตถุประสงค์ที่แท้จริงของ"การจำลองภารกิจทางด้านการทหารเกี่ยวกับการโจมตีของผู้ก่อการร้าย" ในช่วงสัปดาห์ (วันที่) 4-8 เมษายน 2005 ไม่ใช่เป็นการฝึกซ้อมให้คนท้องถิ่นเป็นผู้ตอบโต้ หรือขานรับเป็นอันดับแรกเมื่อเผชิญกับความหายนะต่างๆ เกี่ยวกับการทำลายล้างชนิดใดๆก็ตาม แต่เป็นการปฏิบัติการเพื่อลดกระแสความกลัวของรัฐที่มีต่อการคุกคามของฝ่ายตรงข้ามอันเป็นนโยบายสงครามของรัฐบาล

ผมรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆว่า คำอธิบายของ Havel เกี่ยวกับ"หลังระบอบการปกครองแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จของเชคโกสโลวาเกีย ในเดือนตุลาคม 1978" มันเหมาะเจาะและเข้ากันได้กับ"จักรวรรดิ์อเมริกันภายใต้การนำของประธานาธิบดี George W. Bush ในช่วงเวลานี้"ของเราอย่างยิ่ง. ผมเขียนความเรียงชิ้นนี้ขึ้นมาเป็นเรื่องลำดับถัดมาหลังจากงานเขียนของ Havel ด้วยเหตุผลสอง ประการ คือ

ประการแรก เพื่อขยายความเชิงเปรียบเทียบ และสะท้อนถึงเรื่องราวในทำนองเดียวกัน และ
ประการที่สอง เพื่อยืนยันถึงคนเหล่านั้น ซึ่งได้ทำการต่อต้านพลังอำนาจเดี่ยว(monolithic power)ของจักรวรรดิ์ในช่วงเวลาแเละสถานที่ของพวกเรา กับความมีศักดิ์ศรีและความเข้มแข็งของบรรดานักปฏิวัติทั้งหลายในช่วงต้นๆ ทั้งที่เป็นคนอเมริกันและคนอื่นๆ

2.
แรกสุด ผมสะดุดเข้ากับปฏิบัติการของบรรดาผู้สื่อข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์, นักการเมืองท้องถิ่น, และคนอื่นๆ ซึ่งอ้างอิงถึงพวกเราในฐานะ"นักประท้วง". เพื่อนของเรา Cal Robertson, ทหารผ่านศึกสงครามเวียดนาม และผู้รู้เห็นเป็นพยานเกี่ยวกับสันติภาพมา 21 ปีในคอนเนคติคัตตะวันออกเฉียงใต้, ซึ่งปฏิเสธว่า "ผมไม่ใช่นักประท้วง" เขากล่าว "ผมเป็นพยานผู้รู้เห็น". นักประท้วงคนหนึ่งซึ่งกำลังปฏิเสธกับบางสิ่งบางอย่าง; พยานผู้รู้เห็นกล่าวถึงสิ่งที่เขาเชื่อว่ามันเป็นความจริง และต้องการจะเสี่ยงชีวิตของเขาเพื่อความจริงนั้น

"นักประท้วง" เป็นศัพท์รวมๆซึ่งไม่ชี้เฉพาะใดๆสำหรับใครคนใดคนหนึ่งม ซึ่งคิดและกระทำในหนทางที่แตกต่างไปจากผู้คนทั่วไป มันเป็นคำที่ค่อนข้างสูงส่ง. แต่พลเมืองทั้งหลายที่เข้าร่วมกับเวทีอภิปรายของชุมชนในเดือนมีนาคมวันที่ 13 ถูกอ้างว่าเป็นบรรดานักประท้วง แม้ว่าผู้ประสานงานในภาวะการณ์ฉุกเฉินของเมืองจะอยู่ท่ามกลางฝูงชนและได้พูดเกี่ยวกับประเด็นต่างๆเหล่านี้ด้วย

บาทหลวง Canon Edward Rodman ได้พูดถึงแบบแผนในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับการใช้ความกลัวเพื่อข่มขู่คุกคามบรรดาผู้คัดค้านและผู้สนับสนุนสงคราม, และ Megan Barlett, ผู้ขานรับคนแรกของกรุงนิวยอร์คต่อเหตุการณ์วันที่ 11 กันยา 2001 และผู้ก่อตั้งกลุ่มสันติภาพ Ground Zero for Peace, พูดถึงความต้องการที่จะฝึกให้ผู้คนในการตอบโต้ว่า อย่าได้เป็นห่วงใยต่อผู้ก่อการร้ายตามที่รัฐโน้มนำ, แต่ทั้งคู่ต่างก็ได้รับการปิดป้ายฉลากว่าเป็น"พวกนักประท้วง"

ในการประชุมพบปะกันของพวกเควกเกอร์เกี่ยวกับเหตุการณ์จำลองภารกิจทางด้านการทหารต่อการโจมตีของผู้ก่อการร้าย เพื่อนที่ปรารถนาดีแต่นำมาซึ่งภัยเสมอ(well meaning Friend)แนะว่า พวกเราจะต้องระมัดระวัง อย่าให้มันปรากฏขึ้นมาเหมือนกับพวกฮิบปี้ในช่วงทศวรรษที่ 1960s ในการต่อต้านการดำเนินการของเรา. แต่ใครล่ะที่ทำให้เกิดอัตลักษณ์ขึ้นมาในการเป็นพยานรู้เห็นสำหรับสันติภาพในหนทางนี้ ?

ใครได้รับประโยชน์จากการวาดภาพผู้ให้การสนับสนุนทั้งหลาย เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสังคมโดยไม่ใช้ความรุนแรงในฐานะพวกฮิบปี้? การประท้วงเป็นกิจกรรมที่ถูกต้องตามกฎหมายอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อใครคนใดคนหนึ่งยอมรับสมมุติฐานเกี่ยวกับระบบการเมือง และปรารถนาที่จะคัดค้านนโยบายอันใดอันหนึ่งภายในระบบนั้น. แต่เมื่อใครคนใดคนหนึ่งปรารถนาที่จะรู้เห็นเป็นพยานซึ่งมีหนทางที่ต่างออกไปจากที่เป็นอยู่ ซึ่งแย้งกับระบบการเมืองภายใต้สิ่งซึ่งคนๆหนึ่งดำรงอยู่ มันไม่ใช่"การประท้วง" แต่เป็น"การรู้เห็นเป็นพยาน"ในสิ่งซึ่งคนๆหนึ่งได้เข้าไปผูกพัน

ข้อคิดเห็นและการวิจารณ์ต่างๆของ Havel เกี่ยวกับการใช้ศัพท์คำว่า"คนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล"(dissident) สำหรับตัวเขาเองและคนอื่นๆ ในช่วง" ระบอบการปกครองหลังยุคเผด็จการเบ็ดเสร็จ"ของเชคโกสโลวาเกีย, โปแลนด์, และท้ายที่สุดรัสเซียเอง นับว่าเป็นประโยชน์ในการพิจารณาครั้งนี้. สิ่งพิมพ์ที่ตกอยู่ภายใต้การครอบงำของพรรคคอมมิวนิสท์อ้างถึงเขาและเพื่อนๆในฐานะ"บรรดาคนที่ไม่เห็นด้วย" อันหมายถึง"พวกคนทรยศ"(renegades) หรือพวกย้อนยุค(backsliders)จากทัศนะสังคมนิยม

แต่เขาถกว่า "คนที่ไม่เห็นด้วย คือนักฟิสิกส์, นักสังคมวิทยา, คนงาน, นักกวี, ปัจเจกชนซึ่งกำลังทำในสิ่งที่พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาจะต้องทำ และผลที่ตามมา พวกเขาพบว่าตัวเองกำลังอยู่ในความขัดแย้งอย่างเปิดเผยกับระบอบการปกครองดังกล่าว"

พยานผู้รู้เห็นที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่งซึ่งได้มาร่วมกับพวกเรา ซึ่งเหมาะสมกับคำอธิบายนี้อย่างสมบูรณ์ก็คือ Sandra Pike ที่ทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลท้องถิ่นในฐานะนักบำบัดทางด้านระบบทางเดินหายใจ เธอได้ผันตัวเองเข้ามาสู่การต่อต้านกับกลุ่มท้าทายมาตรการป้องกันการโจมตีของผู้ก่อการร้าย เพราะว่า เธอถูกทำให้มั่นใจว่ามันเป็นเรื่องที่ผิดพลาด. มันเป็นการกระทำครั้งแรกของชีวิตเธอเกี่ยวกับการต่อต้านทางการเมือง เธอไม่สมควรที่จะถูกเพิกเฉยโดยแนวร่วมพลเมือง แต่ควรได้รับการชื่นชมและให้ความเคารพสำหรับความศรัทธาและความหาญกล้าของเธอ

เธอเป็นผู้เป็นพยานรู้เห็นคนหนึ่ง คล้ายกับ"บรรดาผู้ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล"ในสังคมของ Havel ไม่ใช่เพียงเพราะเธอเป็นนักกิจกรรมตัวยงทางการเมือง แต่เป็นเพราะท่าทีหรือทัศนคติอันหนึ่งที่มีอยู่เกี่ยวกับคนที่รักอิสระในการเผชิญหน้ากับการปราบปราม. การอยู่ที่นั่นอย่างต่อเนื่องในเขตที่เรียกว่า"Fear Free Zone"(เขตที่เป็นอิสระจากความกลัว)ใน New London's Union Plaza ทำให้การเป็นพยานรู้เห็นมีพลังมากขึ้นกว่าการที่ไม่มีเธออยู่

3.
ใครคือคนเหล่านี้ที่ได้รับการเรียกขานว่าผู้ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล ? Havel ตั้งคำถาม และ "จริงๆแล้ว พวกเขาสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้าง ?" พวกเรากำลังเกี่ยวข้องกับคำถามและข้อสงสัยเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของเราทั้งหมด ตามที่เป็นจริง เราสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้าง ? นี่คือข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องพลังอำนาจ. บรรดานักกิจกรรมไร้ความรุนแรงในสหรัฐอเมริกาทุกวันนี้ เกือบทั้งหมดไม่มีพลังอำนาจใดๆ ดังที่ Havel และเพื่อนๆของเขาในยุโรปเป็นในช่วงทศวรรษที่ 1970s. แต่อะไรล่ะคือธรรมชาติของอำนาจ?

Havel ได้นิยามถึงระบบภายใต้สิ่งซึ่งเขาดำรงอยู่ - สิ่งซึ่งเราในอเมริกาเรียกว่า"the Soviet bloc"(หมายถึง ประเทศกลุ่มสหภาพโซเวียตที่ส่วนใหญ่อยู่ในยุโรปตะวันออก) - ในฐานะ" ระบอบการปกครองหลังยุคเผด็จการเบ็ดเสร็จ". มันไม่ใช่เผด็จการธรรมดา ในความหมายคลาสสิกของกลุ่มคนเล็กๆซึ่งเข้ามาครอบครองอำนาจในสังคมหนึ่ง และปกครองโดยพวกทหารและตำรวจ

ระบบดังกล่าวดำรงอยู่ ณ ที่นั่นยาวนานหลายทศวรรษ และใช้รูปแบบต่างๆภายนอกของรัฐบาลประชาธิปไตย โดยมีการประกันและรับรองถึงเรื่องสิทธิมนุษยชน. ที่จริง พรรคคอมมิวนิสต์ได้ปกครองประเทศต่างๆเหล่านี้ และอ้างถึง "บทบาทการนำ"ในเชิงสถาบันของพรรคคนงานในสังคม. เขาเห็นด้วยว่า สังคมประชาธิปไตยตะวันตกมีความคล้ายคลึงมากกับสังคมระบอบการปกครองหลังยุคเผด็จการเบ็ดเสร็จ สำหรับรัฐบาลระบอบการปกครองหลังยุคเผด็จการเบ็ดเสร็จทั้งหลาย ที่ล่มลงในปี 1989 ต่างเป็นรูปแบบอีกอันหนึ่งของสังคมบริโภคและสังคมอุตสาหกรรมธรรมดา ด้วยผลที่ตามมาต้อยๆในเชิงสังคม, สติปัญญา, และจิตวิทยาในลักษณะเดียวกัน"

นี่เป็นเรื่องยากสำหรับคนอเมริกันที่จะเข้าใจ เพราะว่าพวกเรามีรูปแบบที่เหลือเฟือมากมายเกี่ยวกับประชาธิปไตยในสังคมเรา สำนึกอุดมคติแบบจักรพรรดิ์นิยมของเรา ส่วนใหญ่แล้วเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นหรือซ่อนเร้นอยู่ ทั้งนี้เพราะ เราเองเชื่อจริงๆว่าเรามีอิสระและเสรีภาพ แม้ในข้อเท็จจริงพวกเราถูกหลอกให้ติดกับอย่างลึกซึ้งอยู่ในระบบของเรา เช่นดังชาวเชค, ชาวโป(แลนด์), และชาวรัสเซียถูกหลอกให้ติดอยู่กับระบบของพวกเขา

ยกตัวอย่างเช่น ความคล้ายคลึงกับพวกเขา เรามีการเลือกตั้ง ซึ่งจริงๆแล้วไม่ได้ให้ความเป็นไปได้ใดๆเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงระบบของเราเลย. ดังที่ Howard Zinn ได้ตั้งข้อสังเกตในประวัติศาสตร์ผู้คนของสหรัฐอเมริกาว่า เราเรียนรู้ในหนังสือประวัติศาสตร์ของเรา ในฐานะความเป็นพลเมือง การกระทำที่สูงสุดของเราก็คือ การเลือกในท่ามกลางผู้ที่จะมาช่วยให้เรารอดหรือกอบกู้ โดยการเข้าไปในคูหาเลือกตั้งทุกๆสี่ปี เพื่อเลือกระหว่างคนขาวสองคน และเป็นผู้ชายเชื้อสายแองโกล-แซกซันซึ่งมีฐานะดี มีความคิดแบบออร์ธอด็อก และบุคลิกภาพไม่มีพิษมีภัย"

การมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งครั้งแรกของผม เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1960 ซึ่งเป็นการแข่งขันกันระหว่าง John F. Kennedy และ Richard M. Nixon. ความรู้สึกของผม ในฐานะทหารหนุ่มซึ่งทำหน้าที่ปกป้องจักรวรรดิ์ จากชายฝั่งต่างๆของโอกินาวาในทะเลจีนตะวันออก คล้ายกับการเลือกจริงๆ... แต่สำหรับ Dorothy Day กล่าวว่า เมื่อมันไม่มีทางเลือกอย่างเป็นแก่นสารที่กระทำลงไป การเลือกตั้งก็เป็นเพียงเรื่องตลกโง่ๆ และไม่ได้ออกเสียงเลือกตั้งใดๆ… ซึ่งมาถึงตอนนี้ ผมเชื่อแล้วว่าเธอพูดได้ถูกต้อง

4.
Havel ให้เหตุผลว่า การออกเสียงในการเลือกตั้งพวกนั้น เป็นการร่วมมือกับระบบ เป็นการให้ความเห็นชอบรับรอง และการประสาทพรกับคนๆหนึ่ง ความเชื่อที่ว่าการเลือกตั้งนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เป็นการกำลังสมรู้ร่วมคิดกับอุดมคติของการโกหกมดเท็จ และธำรงรักษาพลังอำนาจอันนั้นเอาไว้. เขากล่าวว่า อุดมคติเป็นหนทางที่ดูเหมือนจะมีเหตุผลในการเกี่ยวพันกับโลก มันสร้างมายาภาพให้กับมนุษย์เกี่ยวกับเรื่องเอกลักษณ์, ความมีศักดิ์ศรี, และศีลธรรม ขณะที่ทำให้มันง่ายมากสำหรับพวกเขาในการเป็นส่วนหนึ่งของพวกเดียวกัน

พวกเราพูดกันในอเมริกาในช่วงทศวรรษที่ 1950s เกี่ยวกับ"การสิ้นสุดลงของอุดมคติ" และความเชื่อที่ว่า เราอยู่กับอย่างปราศจากอุดมคติ ซึ่งเป็นยุทธวิธีที่ฉลาดแยบยลและมีประสิทธิผลเกี่ยวกับอุดมคติจักรพรรดิ์นิยมของพวกเราในการปกป้องตัวของมันเอง. ใครสักคนไม่รู้สึกรังเกียจและกบฎต่อบางสิ่งบางอย่างที่มันไม่มีอยู่

ตัวอย่างหนึ่งเกี่ยวกับอุดมคติของเราที่ทำงานอยู่ คือ ความเชื่อที่แผ่กว้างออกไปที่ว่า สหภาพโซเวียตล่มสลายเพราะเนื่องมาจากยุทธศาสตร์ทางด้านการทหารของประธานาธิบดี Ronald Reagan ซึ่งอันที่จริงมันเป็นผลงานของผู้คนอย่าง Havel ในเชคโกสโลวาเกีย, Lech Walesa ในโปแลนด์และคนอื่นๆ ซึ่งแปลกประหลาดอย่างไม่น่าเชื่อ ที่ได้นำอิสรภาพมาให้กับผู้คนของพวกเขา

Reagan และผู้สืบทอดต่อมาภายหลังจากเขา - เดโมแครตและรีพับลิกันคล้ายๆกัน - อ้างว่า การสิ้นสุดของจักรวรรดิ์โซเวียตคือชัยชนะของลัทธิทุนนิยม แต่ในข้อเท็จจริง มันคือชัยชนะของคนงาน ที่แสวงหาหนทางการดำรงอยู่ ที่จะอยู่อย่างมีอิสรภาพ. บรรดาคนงานอุตสาหกรรมโปแลนด์ต่อสู้เพื่อสหภาพ ทำให้รัฐบาลล่มสลายลง ไม่ใช่ลัทธิทุนนิยม. ข้อเท็จจริงที่ว่า การดิ้นรนต่อสู้ของพวกเขาที่เป็นไปในลักษณะไม่ใช้ความรุนแรง ทำให้บรรดาผู้ปกครองทั้งหมดพบกับความโศกเศร้าเอามากๆ ซึ่งเราคนอเมริกันปฏิเสธที่จะเชื่อมั่นในเรื่องนี้. อุดมคติ โดยธรรมชาติที่แท้ของมันแล้ว ถูกทำให้ตรงข้ามหรือค้านกับการแสวงหาความจริงของมนุษย์

เป็นความจริงที่ว่า ประเด็นปัญหาสำหรับเราในทุกวันนี้ มันเป็นอย่างเดียวกันกับในช่วงทศวรรษที่ 1980s. "หลักการที่เกี่ยวข้องในที่นี้" Havel เขียน, "คือว่า ศูนย์กลางของอำนาจ มันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับศูนย์กลางของความจริง". เมื่อระบบเป็นเรื่องฉ้อฉล ชายและหญิงที่พูดว่า"ไม่" จากช่องทางเล็กๆบางช่องทาง ก็เริ่มอยู่กับความจริง และเปิดโปงระบบดังกล่าวในฐานะเป็นการโกหก

Havel ใช้เรื่องราวของคนขายผักผลไม้ ซึ่งปฏิเสธจะวางคำขวัญทางการเมืองในตู้โชว์หน้าร้านของเขา. มันไม่ใช่ เขาไม่เชื่อในสโลแกนดังกล่าว. ไม่มีใครเชื่อมันด้วย เว้นแต่รัฐบาลที่พูดถึงอุดมคติดังกล่าวออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ. แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธมันเช่นกัน และด้วยเหตุดังนั้น คำโกหกดังกล่าวจึงยังคงดำรงอยู่ต่อมา

การต่อต้านที่ง่ายดายก็คือการตั้งคำถามกับระบบทั้งหมด. ความปรารถนาที่จะอยู่อย่างมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรี ด้วยด้วยความเคารพนับถือตัวเองพอสมควร ปฏิเสธความมีเหตุผลหรือความสมบูรณ์ของอุดมคติที่ครอบงำ. นั่นคือเหตุผลว่า ทำไมพวกเราจึงต่อต้านกับมาตรการทางด้านการทหารต่อการโจมตีของผู้ก่อการร้ายที่ New London - ท่าที อากัปกริยาเล็กๆอันหนึ่ง ที่ไม่ได้รับความสนใจจากผู้คนส่วนใหญ่ รู้กันเพียงคนกลุ่มเล็กๆ แต่มันมีความสำคัญมาก. การพูดความจริงกับระบบหนึ่งที่กำลังโกหกพกลม การทำเช่นนั้นถือว่าเป็นพยานรู้เห็นที่อันตราย

แต่อะไรคือความจริง และใครกล้าอ้างว่าจะพูดความจริง ? สังคมอเมริกันในคริสตศตวรรษที่ 21 อาจกำลังอยู่ในใจของ Yeats เมื่อตอนที่เขากล่าวว่า "เรื่องดีๆ ขาดเสียซึ่งความเชื่อมั่น, ขณะที่เรื่องเลวๆเต็มไปด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้า"

นักคิดทางวิชาการหลังสมัยใหม่ ดูเหมือนว่าจะปฏิเสธการมีอยู่ของความจริงทางด้านภววิสัยใดๆ พวกเขาฉวยเอาข้อเท็จจริงที่ว่า นักสังเกตการณ์ที่ต่างกัน อธิบายประสบการณ์ของสิ่งๆหนึ่งๆ หรือความรู้สึก หรือแนวความคิดแตกต่างกันออกไป และกระโจนสู่ข้อสรุปว่ามันเป็นเรื่องของอัตวิสัยทั้งหมด. คริสเตียนปีกขวาในทางการเมืองยืนยันถึงคตินิยมลดทอน(reductionism)ของคริสตจักร และพยายามที่จะยัดเยียดมันให้กับคนอื่นๆ

Valclav Havel, พูดถึงเรื่องระบอบการปกครองหลังยุคเผด็จการเบ็ดเสร็จในหนังสืออีกเล่มหนึ่ง อ้างว่า จริงๆแล้ว เราคือคนที่มีโลกทัศน์ปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้าคนแรก. เราโอนกรรมสิทธิ์ให้กับระบบความจริงของชีวิต. ระบบเจ้าขุนมูลนายของเราพยายามหาหนทาง อย่างน้อยที่สุด คนที่มามีอำนาจอิทธิพลในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์. พวกเราประกาศอย่างเปิดเผยว่า เราเปิดสู่อิสรภาพและความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับธรรมชาติมนุษย์ แต่ในท้ายที่สุด เราก็ปฏิเสธความแตกต่าง โดยการทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างและทุกคนเป็นอย่างเดียวกันดังคนอื่นทั้งหมด

5.
ธาตุแท้ที่สำคัญอันหนึ่งในการทำความเข้าใจความเป็นอย่างเดียวกัน(similarity - ความเหมือนกัน) เกี่ยวกับสถานการณ์ของผู้ที่ต่อต้านสงครามโดยไม่ใช้ความรุนแรง ที่ถูกเรียกว่าเป็น"พวกที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล" ในสังคมต่างๆของระบอบการปกครองหลังยุคเผด็จการเบ็ดเสร็จที่ผ่านมาสองทศวรรษ เป็นความเข้าใจอันหนึ่งเกี่ยวกับธรรมชาติของลัทธิเจ้าขุนมูลนายหรือระบบราชการ. แต่ลัทธิเจ้าขุนมูลนาย(ระบบราชการ)เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตในสหรัฐฯเอามากๆ เท่าๆกันกับที่มันเป็นเช่นนั้นในประเทศกลุ่มสหภาพโซเวียต

Havel เขียนถึงระบบหนึ่งที่ "ฝังแน่นอย่างลึกซึ้งด้วยความต้องการที่จะผูกมัดทุกสิ่งทุกอย่างให้อยู่ในแบบแผนเพียงอันเดียว(bind everything in a single order): ชีวิตในรัฐนั้น ได้รับการซึมซาบมาตลอดโดยเครือข่ายที่อัดแน่นไปด้วยกฎเกณฑ์, คำประกาศหรือแถลงการณ์, การชี้นำ, บรรทัดฐาน, คำสั่ง, และกฎข้อบังคับต่างๆ. (มันจะไม่ถูกเรียกว่าเป็นระบบลัทธิเจ้าขุนมูลนายระบบหนึ่ง โดยปราศจากเหตุผลที่ดี)

คำอรรถาธิบายนี้ฟังดูแล้ว คล้ายคลึงกับประสบการณ์ของพวกเราเกี่ยวกับรัฐบาลสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลัทธิเจ้าขุนมูลนายหรือระบบราชการที่กำลังผลิหน่อแตกกออยู่ในกระทรวงปกป้องมาตุภูมิ(the Department of Homeland Security). "ด้วยการเพิ่มขึ้นอย่างคงเส้นคงวา มันผูกเอาการแสดงออกทั้งหมด และจุดมุ่งหมายต่างๆของชีวิตกับจิตวิญญานของมันเข้ากับวัตถุประสงค์ทั้งหลายของมันเอง: ผลประโยชน์ที่ตายตัวเกี่ยวกับความสงบราบเรียบของมันเอง, และปฏิบัติการที่เป็นไปโดยอัตโนมัติ"

Alisdair MacIntyre, ในผลงานสัมนาของเขาเกี่ยวกับเรื่องปรัชญาศีลธรรม, After Virtue[หลังคุณธรรมความดี] (1981), ได้พูดถึงการแบ่งแยกออกเป็นสองส่วนในโลกสังคมของพวกเรา สู่โครงสร้างต่างๆในลักษณะองค์กร ซึ่ง "จุดหมายปลายทางต่างๆได้รับการพิจารณาให้เป็นไปอย่างนั้น และใช้วิธีการตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วยด้วยเหตุผลไม่ได้" กับ โลกส่วนตัวซึ่งมีการถกเถียงกันเกี่ยวกับเรื่องคุณค่าเป็นแกนกลาง "แต่เป็นเรื่องที่ไม่มีจุดยืนที่แน่วแน่ทางสังคมอย่างมีเหตุผลเกี่ยวกับประเด็นปัญหาต่างๆที่นำมาใช้ได้".

MacIntyre เปรียบเทียบสังคมต่างๆ โดยเฉพาะ ซึ่งได้นิยามความหมายตัวเองในกรณีหลายหลากเกี่ยวกับเสรีภาพของปัจเจกชน และสิ่งเหล่านั้นซึ่งโฟกัสลงไปที่การวางแผนและคุณความดีต่างๆทางสังคม และบันทึกว่า ทั้งสองสังคมต่างเป็นองค์กรเจ้าขุนมูลนายหรือข้าราชการด้วยกันทั้งคู่. เขาได้ยกเอาคำพูดของนักเขียนนวนิยายชาวรัสเซีย Solzhenitzyn มาใช้ที่ว่า "ทั้งสองทางของชีวิต ในระยะยาว ไม่อาจจะทนทานต่อไปได้"

ในช่วงวันก่อนการจำลองเหตุการณ์ทางทหารเพื่อป้องกันการโจมตีของผู้ก่อการร้ายใน New London, กระทรวงปกป้องมาตุภูมิในรัฐคอนเนติกัตทราบว่า พวกเราบางคนกำลังวางแผนที่จะกระทำการในนามของ"ปฏิบัติการเกี่ยวกับความศรัทธาและการต่อต้าน"(acts of faith and resistence). พวกเขารู้เรื่องนี้มาจากการจ่ายค่าโฆษณาในหน้าหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของพวกเรา และติดต่อกับตำรวจ Groton city ผู้ซึ่งมีประสบการณ์กับปฏิบัติการต่อต้านสงคราม ณ ฐานเรือดำน้ำของสหรัฐฯ และบริษัทเรือไฟฟ้าใน Groton

Joanne Sheehan แห่งสหพันธ์ผู้ต่อต้านสงคราม(War Resisters League) และผมได้เผชิญหน้ากับพวกเขา. พวกเขารู้สึกผ่อนคลายความกังวลเมื่อรู้ว่า พวกเราไม่ตั้งใจที่จะปิดกั้นรถปฐมพยาบาล หรือเอาตัวเราไปนอนขวางหน้ารถดับเพลิงในช่วงระหว่างการฝึกซ้อม และพวกเราก็เป็นสุขที่รู้ว่า ปฏิบัติการต่างๆของพวกเราได้รับความเข้าใจในฐานะที่เป็นการประท้วง โดยคำแปรญัติข้อที่หนึ่งของรัฐธรรมนูญสหรัฐที่ว่าด้วยการรับรองในสิทธิเกี่ยวกับการแสดงออกอย่างอิสระ รวมถึงการมีเสรีภาพที่จะชุมนุมกัน มีอิสระที่จะพูด เขียน และตีพิมพ์ ฯลฯ

ดังที่พวกเราพูด มันเป็นที่ชัดเจนว่า ตำรวจและเจ้าหน้าที่กระทรวงปกป้องมาตุภูมิในท้องถิ่น คิดในเทอมต่างๆของกิจกรรมและปฏิบัติการ ที่จะต้องมีการขานรับเป็นพวกแรกหลังการถูกโจมตี: ตำรวจ, นักดับเพลิง, นักเทคนิคเกี่ยวกับการปฐมพยาบาลฉุกเฉิน ฯลฯ, และพวกเรากำลังคิดในเทอมของมุมมองทางการเมืองที่กว้างกว่าเกี่ยวกับ"สงครามกับลัทธิก่อการร้าย"

พวกเราพยายามขยายการพูดคุยออกไป แต่กลับพบกับความเชื่อที่ว่า "พวกคุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผู้คนที่อยู่ระดับสูงสุดได้". หลังจากการเปลี่ยนแปลงอันไร้ผลหลายต่อหลายครั้ง ผมได้พูดกับคนหนุ่มที่เข้าร่วมในการฝึกซ้อมดังกล่าว: "แต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้ได้ ณ จุดสูงสุด!" อันนั้นคือธรรมชาติของระบบข้าราชการหรือเจ้าขุนมูลนายที่มีอำนาจเดี่ยว ซึ่งมันยากมากสำหรับปัญญาชนและคนที่มีหัวจิตหัวใจที่ดีซึ่งเชื่อมั่นในความเป็นไปได้เกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลง

6.
หนึ่งในหนทางต่างๆที่เราแสวงหาเพื่อให้การศึกษาตัวของเราเอง และเพื่อนพลเมืองเกี่ยวกับเหตุการณ์ท้าทายการฝึกซ้อมดังกล่าวที่กำลังจะเกิดขึ้นก็คือ ภาพยนตร์ชุดหนึ่ง และหนึ่งในภาพยนตร์ชุดนั้นที่เรานำเสนอคือ ชุดภาพยนตร์ PBS เกี่ยวกับการปฏิวัติทางสังคมที่ไร้ความรุนแรงในคริสตศตวรรษที่ยี่สิบ. ในบรรดาคนที่ผมรู้จักมากที่สุดคือการปลดปล่อยชาวอินเดียจากจักรวรรดิ์อังกฤษภายใต้การนำของคานธี ขบวนการสิทธิพลเมืองในสหรัฐนำโดยมาร์ติน ลูเธอร์ คิง และการดิ้นรนต่อสู้ของแอฟริกาใต้ต่อการแบ่งแยกผิว นำโดยเนลสัน แมนเดลา ด้วยการสนับสนุนอย่างแข็งขันจากโบสถ์คริสเตียนในประเทศนั้น

เรื่องราวแรกที่ผมได้ดู เกี่ยวกับเรื่องคนงานชาวโปแลนด์ที่ทำการปฏิวัติต่อรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสท์ของพวกเขา นำโดยขบวนการ Solidarity. มันอยู่ที่นั่น ผมได้ค้นพบความเรียงของ Vaclav Havel, "The Power of the Powerless"(อำนาจของความไร้อำนาจ" สำหรับบรรดาผู้นำของ Solidarity ต่างได้รับแรงบันดาลใจโดยผลงานชิ้นดังกล่าว)

ไม่ควรต้องรู้สึกประหลาดใจว่า การต่อสู้ดิ้นรนนั้นไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ใช่จากข้อผูกมัดในเชิงทฤษฎีเกี่ยวกบการไร้ความรุนแรง ดังเช่นที่คานธีและคิงกระทำ แต่จากปฏิบัติการจริงที่ชาวโปแลนด์มีความหวังเพียงเล็กน้อยในการต่อสู้กับทหารแดงในรัสเซีย ซึ่งได้เข้าแทรกซึมในฮังการีและเชคโกสโลวาเกีย. พวกเขาปฏิบัติการโดยไม่ใช้ความรุแรงเพื่อสร้างสิ่งที่ Havel เรียกว่า "โครงสร้างคู่ขนาน"(parallel structures) ซึ่งในที่สุดจะเข้าแทนที่โครงสร้างในเชิงอุดมคติของรัฐ

บรรดาคนงานอู่ต่อเรือ Gdansk มีสหภาพแรงงานของพวกเขาเอง - สิ่งที่เราในสหรัฐฯเรียกว่า"company union"(สหภาพแรงงานของบริษัท) ที่รับใช้ผลประโยชน์ของพรรคมากกว่าคนงานทั้งหลาย - ด้วยเหตุดังนั้น พวกเขาจึงก่อตั้งสหภาพของพวกเขาเองขึ้นมา ที่ขานรับต่อความต้องการทั้งหลายของพวกเขาเอง และอันที่จริง สหภาพของพวกเขาทำหน้าที่เป็นตัวแทนบรรดาคนงาน พวกเขาบีบบังคับรัฐบาลให้ตระหนักถึงการมีอยู่ของพวกเขา

ถ้าผมมองย้อนกลับไปยัง Dorothy Day และขบวนการคนงานคาธอลิคช่วงต้นๆ ในช่วงเวลาของความสับสนอลหม่านทางด้านแรงงานในสหรัฐฯ ผมยังจดจำได้ถึงบรรดาคนงานอุตสาหกรรมของโลกทั้งหลาย อย่างเช่น IWW (1), และ the Wobblies (2) ซึ่งยุทธวิธีของพวกเขาได้ถูกทำให้ปรากฏเป็นรูปร่างขึ้นในคำขวัญของพวกเขาที่ว่า "จงสร้างสังคมใหม่ขึ้นมาในกระดองเก่า". Solidarity ได้ทำเช่นนั้น ผมเชื่อว่าเราสามารถกระทำสิ่งนั้นได้ในอเมริกา

(1) IWW, - A former international labor union and radical labor movement in the United States; founded in Chicago in 1905 and dedicated to the overthrow of capitalism; its membership declined after World War I) (สหภาพแรงงานระหว่างประเทศและขบวนการแรงงานหัวรุนแรงในสหรัฐฯแต่ก่อน ซึ่งก่อตั้งขึ้นในชิคาโกในปี ค.ศ. 1905 และอุทิศตัวเพื่อล้มล้างลัทธิทุนนิยม; สมาชิกภาพขององค์กรนี้ได้เสื่อมสลายลงภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1)

(2) the "Wobblies" - the members of the Industrial Workers of the World) (สมาชิกแรงงานอุตสหกรรมโลก)

มันมีคำถามข้อหนึ่งเกี่ยวกับอำนาจ. Havel เรียกความเรียงของเขาว่า "The power of the Powerless", และผมกำลังเขียนความเรียงชิ้นนี้ในฐานะ"a sequel"(ความเรียงชิ้นต่อมา). อะไรคือธรรมชาติของอำนาจในโลกของเรานี้ และอะไรคืออำนาจของความไร้อำนาจของพวกเรา?

อำนาจ ดูเหมือนว่าจะเป็น"อำนาจเหนือ"ผู้อื่น, อำนาจครอบงำ. หรือ"อำนาจเกี่ยวกับความเป็นอยู่", ความสามารถที่จะกระทำในสิ่งที่คุณเลือกที่จะทำในการดำรงชีวิต. มันง่ายมากที่จะพบเห็นความแตกต่างในการดำรงชีวิตของแต่ละปัจเจกบุคคล. การครอบงำของคนๆหนึ่งที่มีเหนือคนอีกคนหนึ่ง ดูเหมือนเป็นเรื่องที่ผิดพลาดและมันไม่ใช่สำหรับเรา ที่จริงมันควรเป็นปฏิบัติการอันเกี่ยวกับความสามารถในการสร้างสรรค์, การทำงาน, ในความสัมพันธ์กับคนอื่น ซึ่งอันนี้ดูเหมือนว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง

กวีนามว่า Robert Duncan พูดมาหลายปีแล้วว่า "ข้าพเจ้าสร้างบทกวีขึ้นมาเช่นดังที่คนอื่นทำความรัก ทำสงคราม สร้างรัฐ หรือทำการปฏิวัติ กล่าวคือมันเป็นการกระทำด้วยความสามารถต่างๆของข้าพเจ้าทั้งหมด". อำนาจของความไร้อำนาจ - พลังอำนาจทางสังคมอันหนึ่งสำหรับคนเหล่านั้นที่รัฐหรือระบบปฏิเสธไม่ยอมให้อำนาจ - เช่นดังที่ Hevel กล่าวต่อไปนี้:

"ด้วยเหตุนี้ อำนาจดังกล่าวจึงไม่ได้วางอยู่กับตัวของทหารเอง แต่อยู่กับทหารของศัตรู - กล่าวคือ ทุกๆคนซึ่งมีชีวิตอยู่ภายใต้การโกหก และผู้ที่อาจถูกตบตี ณ เวลาใดก็ได้(อย่างน้อยที่สุดในเชิงทฤษฎี) โดยอำนาจบังคับของความจริง (หรือผู้ที่ หลุดไปจากความปรารถนาโดยสัญชาตญานเพื่อปกป้องฐานะตำแหน่งของพวกเขา อย่างน้อยที่สุด อาจปรับตัวไปกับอำนาจบังคับนั้น)… อำนาจนี้ไม่มีส่วนร่วมในการต่อสู้ใดๆโดยตรงเพื่ออำนาจ; แต่มันค่อนข้างสร้างอิทธิพลของมันให้รู้สึกอยู่ในพื้นที่ที่มืดมัว คลุมเครือ ของการเป็นอยู่ในตัวของมันเอง"

ในระบบของผู้เผด็จการของ"อำนาจเหนือบุคคลอื่น" ปัจเจกชนทั้งหลายหรือกลุ่มบุคคลต่างๆ ซึ่งเป็นคนแรกๆที่เห็นถึงความจริงของสถานการณ์ดังกล่าว และต่อจากนั้นได้กระทำการบางอย่างในบางช่องทางซึ่งเริ่มต้นด้วยการกระทำเพียงเล็กๆ ด้วยการกล่าวคำว่า"ไม่" ต่อการอ้างความจริงและอำนาจโดยระบบ คือ"ความไร้อำนาจ"ของคนที่ผมพูดถึง

เมื่อพวกเรามีคนจำนวน 50 คนใน Union Plaza ของ New London, และกำลังอ่านสุนทรพจน์ Riverside Church ปี 1967 ของมาร์ติน ลูเธอร์ คิง, ส่วนรัฐบาลมีผู้สื่อข่าว 600 คนอยู่บนรถบัสที่จะมาทำข่าวการชุมนุม, และเหยื่อจำนวน 1200 คน ที่มุ่งไปยังโรงพยาบาล โดยไม่ต้องพูดถึงเจ้าหน้าที่กระทรวงปกป้องมาตุภูมิ, ตำรวจ, นักผจญเพลิง, นักปฐมพยาบาลในภาวะฉุกเฉิน(EMT - emergency medical technician) และท้ายที่สุดทหารสหรัฐฯ, พวกเราเป็นเพียงคนแค่กลุ่มเล็กๆเท่านั้น

แต่การที่พวกเราบอกว่า"ไม่"ต่อแนวคิดเรื่องความกลัว ในฐานะมาตรการป้องกันเพื่อความปลอดภัย ที่เป็นพลังอำนาจของรัฐบาลสหรัฐฯที่กำลังส่งเสริม. พวกเราอยู่ในช่วงขณะนั้น ด้วยความเชื่อมั่นแบบชนชาวคริสตเตียนที่ว่า "มันไม่มีความกลัวในความรัก และความรักที่แท้จริงสมบูรณ์ จะขจัดความกลัวทิ้งไป. (I John 4:18). พวกเรามีพลังอำนาจในชั่วขณะดังกล่าว - พลังอำนาจของความไร้อำนาจ

7.
คำว่า"อิสรภาพ"ได้ถูกใช้มากในทุกวันนี้ และมันมีความหมายหลากหลายเช่นกัน เราจะต้องชัดเจนว่า"ตลาดเสรี"และ"คนที่รักอิสระเสรี"ไม่ใช่อย่างเดียวกัน และอันที่จริงบ่อยครั้ง อาจจะคัดค้านและไม่เห็นด้วยกับอีกอันหนึ่งเลย

นัยะถัดมา ทั้งการวางแผนของรัฐและการครอบงำของบริษัท ต่างทำงานโดยผ่านโครงสร้างต่างๆในแบบราชการหรือระบบเจ้าขุนมูลนาย ซึ่งปฏิเสธอิสรภาพของปัจเจกบุคคลและชุมชนต่างๆ. อุดมคติแบบจักรพรรดิ์นิยมได้สวมใส่หน้ากากอำพรางความจริงเกี่ยวกับอิสรภาพของมนุษย์และการต่อต้านเอาไว้ และให้ความประทับใจเกี่ยวกับอำนาจเดี่ยว นั่นคือ, ถ้ามันไม่มีคุณค่ากับชีวิตมนุษย์ มันก็ไม่อาจข่มหรือต้านทานมนุษย์ได้

ในหนทางใดหนทางหนึ่ง พวกเราต่างถูกทำให้ติดกับโดยสถานการณ์แวดล้อมต่างๆของพวกเรา. แต่สถานการณ์ดังกล่าวกลับรับใช้ผลประโยชน์ของพวกชนชั้นสูง นั่นคือ ในฐานะที่เป็นพลังอำนาจ - และในฐานะความผิดพลาด - เช่นเดียวกันกับบรรดาผู้นำทั้งหลายของสังคมระบอบการปกครองหลังยุคเผด็จการเบ็ดเสร็จ

สิ่งสำคัญอันหนึ่งเกี่ยวกับอิสรภาพก็คือ คุณจะสูญเสียมันไป ถ้าเผื่อว่าคุณไม่ใช้มัน. เราจะไม่มีอิสระถ้าหากว่าเราไม่กระทำการใดๆเกี่ยวกับอิสรภาพ. ข้อความสรุปของคำเทศนาบนภูเขา(the Sermon on the Mouth) พระเยซูทรงสอนสั่งสานุศิษย์ของพระองค์ให้"เข้าไปโดยผ่านประตูแคบๆ; สำหรับประตูนั้นมันกว้างและหนทางนั้นมันช่างง่ายดาย ซึ่งน้อมนำไปสู่การทำลาย และคนที่ผ่านประตูดังกล่าวมีเป็นจำนวนมาก

สำหรับประตูนั้นเป็นช่องแคบๆ และช่องทางก็ยากลำบาก ซึ่งนำไปสู่ชีวิต และคนที่ค้นพบมันมีไม่มากนัก(Matthew 7:13-14)

ทุกวันนี้ พวกเรายืนอยู่ต่อหน้าประตูแคบๆ ผู้คนมากมายกำลังถูกรวมกันเป็นฝูงโดยผ่านประตูที่กว้างใหญ่ เพื่อเข้าไปสู่คุกทางศีลธรรมและปัญญาของอำนาจจักรพรรดินิยม. ข้อเท็จจริงที่ว่า บรรดาผู้ที่ต่อต้านมีจำนวนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่ความผิดหวัง. มันเป็นเรื่องที่เรารู้ได้จากประสบการณ์. การปฏิวัติทั้งมวลเริ่มต้นด้วยคนจำนวนน้อย ซึ่งตระหนักและสำนึกเกี่ยวกับคำโกหก และเริ่มต้นโดยหนทางที่เล็กๆเพื่อดำรงความจริง ในการเผชิญหน้ากับระบบดังกล่าว

นั่นคือ"ศาสดาปลอม"ที่มีอยู่เกลื่อนก่น. ศาสดาทั้งหลายของคริสตจักรในลักษณะปัจเจกและยึดถือคติลดทอนน้อมนำไปสู่หนทางผิดๆมากมาย. ศาสนาทั้งหลายของความพินาศ ซึ่งกล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ และน้อมนำไปสู่การถอนตัว ยอมจำนน และการสูญสิ้นความหวังมากขึ้น. บรรดาคนคุกทั้งหลายของความหวังเห็นถึงประตูแคบๆ และเชื้อเชิญเราให้ตามมันไปเพื่อออกจากที่คุมขังเปิดสู่อิสรภาพของการเป็นบุตรทั้งหลายของพระผู้เป็นเจ้า. พระเยซูทรงตรัสว่า "ไม่ใช่ทุกคนที่มาพูดกับข้าพเจ้าและพระผู้เป็นเจ้า คนเหล่านั้นจะเข้าสู่อาณาจักรแห่งสรวงสวรรค์ และเขาผู้ใดกระทำตามความปรารถนาของพระบิดาของข้าพเจ้า ผู้นั้นได้อยู่ในสรวงสวรรค์แล้ว"(Matthew 7:21)

8.
"ถ้าเช่นนั้น อะไรคือสิ่งที่ควรทำ?" Vaclav Havel ได้ตั้งคำถามนี้ในปี ค.ศ.1978 เพื่อรำลึกถึงคำถามของเลนิน ในช่วงเวลาของการปฏิวัติรัสเซียในปี 1917. พวกเราได้ตั้งคำถามกับตัวของเราเองทุกวันนี้ว่า อะไรคือสิ่งที่ควรทำ? ผมมักจะตั้งคำถามนี้อยู่บ่อยๆในอีกรูปหนึ่ง. มาร์ติน ลูเธอร์ คิง และคานธีอยู่ที่ไหนของทุกวันนี้? ใครจะน้อมนำเราไปสู่ดินแดนแห่งพันธะสัญญานั้นได้? ใครจะเป็นผู้ช่วยชีวิตเรา? คำตอบของผมคือ: เราไม่ต้องการคนช่วยชีวิต เราต้องการความวางใจในประสบการณ์ และเริ่มอยู่อย่างอิสรชนทั้งชายและหญิงในทุกวันนี้

บรรดาชาวพุทธทั้งหลายกล่าวว่า เมื่อนักเรียนพร้อม ครูก็จะปรากฏตัวขึ้น. ผมพูดว่า เมื่อพวกเราพร้อมที่จะกล่าวคำว่า"ไม่"กับคำโกหก นั่นคือการเริ่มต้นมีชีวิตอยู่ในอิสรภาพ เราจะสร้างผู้นำของเราเองขึ้นมา และเดินไปโดยหันหน้าสู่อิสรภาพ. ดังที่ Ella Baker พูดในขบวนการสิทธิพลเมืองว่า "เราไม่ต้องการขบวนการต่างๆที่ยึดผู้นำเป็นศูนย์กลาง แต่เราต้องการผู้นำที่ยึดขบวนการเป็นศูนย์กลาง" (leader-centered เราไม่เอา, แต่เราจะเอา movement-centered)

สิ่งแรกที่เราควรตระหนักและสำนึกก็คือ เราไม่ได้เป็นอิสระ อุดมคติจักรพรรดินิยมอเมริกันได้อำพรางความเป็นทาสของเรา. Havel เขียนเอาไว้ว่า:

ระบอบการปกครองหลังยุคเผด็จการเบ็ดเสร็จจัดเป็นแง่มุมหนึ่งเท่านั้น - แง่มุมที่รุนแรงอันมีลักษณะเฉพาะ และทั้งหมดได้เปิดเผยออกมามากขึ้น เกี่ยวกับจุดกำเนิดที่แท้จริงของมัน - เกี่ยวกับความไร้สมรรถภาพอันนี้ของความเป็นมนุษย์สมัยใหม่ ซึ่งเป็นนายของสถานการณ์ของตัวเอง. ลักษณะของการเป็นไปโดยอัตโนมัติของระบอบการปกครองหลังยุคเผด็จการเบ็ดเสร็จ เป็นเพียงเรื่องของความสุดขั้วของลักษณะที่เป็นไปโดยอัตโนมัติของโลกอารยธรรมเทคโนโลยี. ความล้มเหลวของมนุษย์ที่มันสะท้อนออกมา เป็นเพียงการผันแปรอันหนึ่งของความล้มเหลวทั่วๆไปเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์สมัยใหม่

นี่คือปัญหาของเรา จักรวรรดิ์โซเวียตได้ผ่านพ้นไปแล้ว ทำไมจักรวรรดิ์อเมริกันยังคงมีงบประมาณทางด้านการทหาร ที่ขูดรีดบีบรัดงบทางด้านการศึกษา, การสงเคราะห์ทางด้านที่อยู่อาศัย, การดูแลทางด้านสุขภาพพลเมืองออกไป และทำไมยังคงมีการส่งออกทางด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ไปยังรัฐลูกค้าอยู่ต่อไป ? ทำไมเรายังต้องคงกองกำลังทหารภายนอกประเทศต่อไป เมื่อไม่มีใครแล้วเว้นแต่เกาหลีเหนือที่กำลังคุกคามพวกเราด้วยการโจมตีโดยขีปนาวุธพิสัยไกล ? อะไรล่ะที่เกิดขึ้นกับสันติภาพที่ถูกแบ่งแยกตลอดมา ?

เมื่อเราตระหนักและรับรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ของเรา เราจักต้องทำอะไรคล้ายๆกับ"บรรดาคนที่ไม่เห็นด้วย"ในยุโรปตะวันออกรุ่นที่แล้ว เริ่มต้นด้วยการสร้าง"โครงสร้างคู่ขนานต่างๆของสังคม"(parallel structures of society)ขึ้นมา ที่ซึ่งเราจะได้สามารถปฏิบัติการเกี่ยวกับอิสรภาพของเราได้ในฐานะพลเมือง

ไม่ว่าเราจะเคร่งศาสนาหรือไม่ก็ตาม เราต้องสำนึกเอาไว้ว่ามติทางจิตวิญญานเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ของเรา และการให้เกียรติในจารีตประเพณีนั้น ได้หล่อเลี้ยงเราในอดีตที่ผ่านมา: คริสเตียน, ยิว, มุสลิม, และคนอื่นๆ รวมไปถึงสิ่งที่ดีเลิศของขนบประเพณีเกี่ยวกับสังคมทางโลก(secular society) ที่ได้รับข้อมูลมาจากการแสดงออกอย่างอิสระเกี่ยวกับศรัทธาโดยผู้คนทั้งหลาย ผู้ซึ่งเชื่อในพระผู้เป็นเจ้าแห่งความยุติธรรมและสันติภาพ

คนเหล่านั้นที่เป็นคริสเตียนมีพันธะในการรับผิดชอบพิเศษอันหนึ่ง เราจักต้องยืนยันถึงอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบของพระเยซูและท่านศาสดาทั้งหลาย. เราจะต้องเริ่มต้นมีชีวิตอยู่เช่นดังที่พระองค์ทรงดำรงพระชนม์ชีพ ไม่ใช่ในเขตที่มีผู้คนอาศัยอยู่กันอย่างหนาแน่นด้วยศรัทธา ที่ได้รับการปกป้องโดยกำลังทหารของจักรวรรดิ์ของเรา. เราต้องปฏิเสธที่จะบูชาซีซาร์ด้วยเครื่องหอมและธูปเทียนแม้เพียงเล็กน้อย และจะต้องตั้งความปรารถนาที่จะตายเพื่อศรัทธาของเรามากกว่าที่จะถูกฆ่า ดำรงชีวิตอยู่เพื่อพระคริสต์มากกว่า"ฆ่าคอมมิวนิสท์"(kill a Commie - communist) เราจะต้องอยู่เพื่อศาสนามากกว่าพรรครีพับลิกันหรือผู้ก่อการร้าย

เราจะต้องดำเนินรอยตามตัวอย่างของคานธี และทำงานร่วมกันในการประกอบสร้างปัจเจกบุคคลและชุมชนที่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี. ณ ดินแดนที่ปลอดจากความกลัว หรือ Fear Free Zone ใน New London สัปดาห์ที่ผ่านมา เรากำหนดให้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นไปได้ขึ้นมา รวมถึงการทำบ้าน, งานที่สร้างสรรค์, ศิลปะและดนตรี, รูปแบบทางเลือกของการขนส่งและการเดินทาง (จักรยาน ซึ่งไม่ต้องการน้ำมัน), ภาพยนตร์ที่เสนอเป็นชุดๆอย่างต่อเนื่อง, การทำงานร่วมกับบรรดาทหารผ่านศึกและครอบครัว, ต่อต้านการเกณฑ์ทหารในโรงเรียนต่างๆ, และอะไรมีมากมายหลายอย่างเกี่ยวกับดินแดนที่ปลอดจากความกลัว

ยิ่งไปกว่านั้น เราจะต้องไม่พยายามกำหนดผลลัพธ์ที่จะออกมาใดๆเกี่ยวกับการสนทนาของพวกเราล่วงหน้า. Joanne Sheehan ชี้ถึงภารกิจอันหนึ่งของพวกเราในการเผชิญหน้ากับความบีบคั้นว่า การเริ่มต้นเกี่ยวกับการต่อต้านเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน และการฝึกป้องกันภัยของพลเรือนในกรุงนิวยอร์ค ช่วงทศวรรษที่ 1950s เป็นเพียงคนกลุ่มเล็กๆเท่านั้น ที่มารรวมตัวกันของปัจเจกจากสมาพันธ์คนงานคาธอลิคและสมาคมผู้ต่อต้านสงคราม

ดิฉันไม่อาจบอกได้ว่า การท้าทายมาตรการป้องกันการโจมตีของผู้ก่อการร้ายของเรานี้ มีรากเหง้ามาจากโครงร่างในอย่างเดียวกันนั้น : St. Francis House และ War Resisters League. การสนทนาของพวกเราท่ามกลางอนุสาวรีย์ทหารหาญและนักเดินเรือใน Union Plaza ที่ New London ได้เพิ่มจำนวนคนที่เข้าร่วมในการต่อต้านครั้งนี้ขึ้นเป็นสองเท่า. บรรดานักต่อต้านหน้าใหม่เหล่านี้จะนำพาวิสัยทัศน์ของพวกเขาเอง และมีปฏิสัมพันธ์กับเราที่จะกำหนดวาระการประชุมใหม่ๆขึ้นมา

พูดถึงองค์กรเกี่ยวกับชีวิตเศรษฐกิจในโลกหลังระบอบประชาธิปไตย(post-democratic world) ซึ่งจะทำให้รัฐหลังระบอบการปกครองแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จประสบผลสำเร็จในยุโรปตะวันออก, Vaclav Havel กล่าวว่า: "ผมเชื่อในหลักการเกี่ยวกับการจัดการตนเอง ซึ่งเป็นไปได้ว่า มันคือหนทางเดียวของความสำเร็จเกี่ยวกับสิ่งที่บรรดานักทฤษฎีสังคมนิยมทั้งหลายได้ฝันถึงมัน นั่นคือ การมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงของคนงานในการตัดสินใจทางเศรษฐกิจ อันจะน้อมนำความรู้สึกหนึ่งเกี่ยวกับความรับผิดชอบอย่างแท้จริงสำหรับงานโดยรวมของพวกเขา. หลักการต่างๆเกี่ยวกับการควบคุมและการมีวินัยควรจะถูกขจัดทิ้งไป เป็นการควบคุมตนเองและการมีวินัยกับตัวเองมากกว่า

บรรดานักศึกษาคานธีทั้งหลายจะคิดออกทันทีเกี่ยวกับคำว่า "swaraj"(สวราช) - นั่นคือ "การปกครองตนเอง"(self-rule) ซึ่งได้ทำให้อินเดียไปไกลเกินกว่าจะอยู่ในปกครองของอังกฤษ ชาวอินเดียเป็นอิสระจากจักรวรรดิ์อังกฤษ นั่นคือความรับผิดชอบของแต่ละคนกับตัวเองและเพื่อนบ้านของเขา รวมถึงความรับผิดชอบของแต่ละชุมชนกับผู้คนของชุมชนนั้นและกับชุมชนอื่นๆ

คุณความดีเหล่านี้ไม่ง่ายที่จะบรรลุถึง นั่นคือมันไม่ง่ายไปกว่าการที่ชาวอินเดียประสบ หรือชาวแอฟริกาใต้ต้องเผชิญ รวมไปถึงชาวโปแลนด์ และเชคโกสโลวาเกีย หรือแม้กระทั่งแอฟริกัน-อเมริกันในสหรัฐฯ. แต่คุณความดีเหล่านั้นต่างเป็นเครื่องมือหรือวิธีการที่นำไปสู่จุดหมายของชีวิตที่ปราศจากความรุนแรงในประเทศเรา, nuestra America, "our America"

Fr. Emmett Jarrett, TSSF
St. Francis House
New London, Connecticut
April 2005

 



บทความที่นำเสนอก่อนหน้านี้ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
หากนักศึกษาและสมาชิกท่านใตสนใจ
สามารถคลิกไปอ่านได้จากที่นี่...คลิกที่ภาพ

 

สารบัญข้อมูล : ส่งมาจากองค์กรต่างๆ

ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา 3
I สารบัญเนื้อหา 4
ประวัติ ม.เที่ยงคืน

สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง

webboard(1) I webboard(2)

e-mail : midnightuniv(at)yahoo.com

หากประสบปัญหาการส่ง e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com

ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม

 

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็ปไซคทั้งหมด กว่า 760 เรื่อง หนากว่า 11000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com

 

สมเกียรติ ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็ปไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com

 

 

 

H
ขอขอบคุณ www.thaiis.com ที่ให้ใช้พื้นที่ฟรี
ภาพประกอบดัดแปลงเพื่อใช้ประโยชน์ประกอบบทความฟรีของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ไม่สงวนลิขสิทธิ์ในการนำไปใช้ประโยชน์
R
related topic
040149
release date
เว็ปไซต์เผยแพร่ความรู้
เพื่อสาธารณประโยชน์

หากนักศึกษาหรือสมาชิก ประสบปัญหาภาพและตัวหนังสือซ้อนกัน กรุณาลด text size ของ font ลง
ขนาด medium จะแก้ปัญหาได้
เว็ปไซต์นี้สร้างขึ้นเพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงอุดมศึกษาได้โดยไม่จำกัดคุณวุฒิ สำหรับผู้สนใจส่งบทความทางวิชาการเพื่อเผยแพร่ต่อสาธารณชน กรุณาส่งผลงานไปที่ midarticle(at)yahoo.com
The author of this work hereby waives all claim of copyright (economic and moral) in this work
and immediately places it in the public domain... [copyleft]
กรุณานำบทความไปใช้ต่อโดยอ้างอิงแหล่งที่มาตามสมควร
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนร่วมกับมูลนิธิไฮน์ริคเบิลล์ เปิดชั้นเรียนฟรีสำหรับ น.ศ. และผู้สนใจ เพื่อศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับวิถีมลายูมุสลิมอย่างรอบด้าน
บทความทุกชิ้นที่เผยแพร่บนเว็ปไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน จะได้รับการเก็บรักษาเอาไว้อย่างถาวร โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไข เพื่อประโยชน์ในการอ้างอิง ความผิดพลาดใดๆก็ตามที่เกิดขึ้นจากการเผยแพร่ อาจเป็นของผู้เขียนหรือกองบรรณาธิการ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้โดยไม่เจตนา
เว็ปไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน มีการเสนอบทความใหม่ทุกวัน เพื่อสนองความต้องการของนักศึกษา และผู้สนใจที่คลิกเข้ามาหาความรู้เป็นประจำ
1234567890 -A12345678
บรรดาชาวพุทธทั้งหลายกล่าวว่า เมื่อนักเรียนพร้อม ครูก็จะปรากฏตัวขึ้น. ผมพูดว่า เมื่อพวกเราพร้อมที่จะกล่าวคำว่า"ไม่"กับคำโกหก นั่นคือการเริ่มต้นมีชีวิตอยู่ในอิสรภาพ เราจะสร้างผู้นำของเราเองขึ้นมา และเดินไปโดยหันหน้าสู่อิสรภาพ. ดังที่ Ella Baker พูดในขบวนการสิทธิพลเมืองว่า "เราไม่ต้องการขบวนการต่างๆที่ยึดผู้นำเป็นศูนย์กลาง แต่เราต้องการผู้นำที่ยึดขบวนการเป็นศูนย์กลาง" (leader-centered เราไม่เอา, แต่เราจะเอา movement-centered)