บรรณาธิการแถลง:
บทความทุกชิ้นซึ่งได้รับการเผยแพร่บนเว็บไซต์แห่งนี้ มุ่งเพื่อประโยชน์สาธารณะ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อวัตถุประสงค์ในการขยายพรมแดนแห่งความรู้ให้กับสังคมไทยอย่างกว้างขวาง
เพื่อให้ทุกคนสามารถหยิบฉวยไปใช้ได้ตามสะดวก ในฐานะที่เป็นสมบัติร่วมของชุมชน
สังคม และสมบัติที่ต่างช่วยกันสร้างสรรค์และดูแลรักษามาโดยตลอด. สำหรับผู้สนใจร่วมนำเสนอบทความ
หรือ แนะนำบทความที่น่าสนใจ(ในทุกๆสาขาวิชา) จากเว็บไซต์ต่างๆ ทั่วโลก สามารถส่งบทความหรือแนะนำไปได้ที่
midnightuniv(at)gmail.com (กองบรรณาธิการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
Coup
d' etat
Midnight University
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
41
42
43
44
45
46
47
48
49
50
51
52
53
54
55
56
57
58
59
60
61
62
63
64
65
66
67
68
69
70
71
72
73
74
75
บทความชิ้นนี้
เป็นการพิจารณาการทำรัฐประหารในประเทศไทยเมื่อ
วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ในแง่มุมสิทธิเสรีภาพและระเบียบทางการเมือง
โดยบทความนี้เดิมชื่อ ไม่มีรัฐประหารไหนพิเศษกว่ารัฐประหารอื่น:
พิจารณารัฐประหาร ๑๙ กันยายน ในแง่สิทธิเสรีภาพและระเบียบการเมือง
ประกอบด้วยสาระสำคัญดังหัวข้อสังเขปต่อไปนี้
- สิทธิเสรีภาพพลเมืองและสิทธิเสรีภาพในรัฐธรรมนูญ
- สิทธิเสรีภาพมีอยู่โดยธรรมชาติ
- สิทธิเสรีภาพพลเมืองเป็นเส้นแบ่งการเมืองสมัยใหม่กับการเมืองโบราณ
- สิทธิเสรีภาพของพลเมืองในทัศนะนักกฎหมายไทย
- ประวัติความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพ
- รัฐประหาร 19 กันยายน ในทฤษฎีรัฐประหาร
- ความแตกต่างของรัฐประหาร การก่อจลาจล และการปฏิวัติ
- การรัฐประหาร = Official Revolution - ต้นทุนต่ำ กำไรสูง
midnightuniv(at)gmail.com
บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา
ข้อความที่ปรากฏบนเว็บเพจนี้
ได้รักษาเนื้อความตามต้นฉบับเดิมมากที่สุด
เพื่อนำเสนอเนื้อหาตามที่ผู้เขียนต้องการสื่อ กองบรรณาธิการเพียงตรวจสอบตัวสะกด
และปรับปรุงบางส่วนเพื่อความเหมาะสมสำหรับการเผยแพร่ รวมทั้งได้เว้นวรรค
ย่อหน้าใหม่ และจัดทำหัวข้อเพิ่มเติมสำหรับการค้นคว้าทางวิชาการ
บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ลำดับที่ ๑๓๕๐
เผยแพร่บนเว็บไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่
๐๗ กันยายน ๒๕๕๐
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ
๑๔.๕ หน้ากระดาษ A4)
+++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไม่มีรัฐประหารไหนพิเศษกว่ารัฐประหารอื่น:
(ตอน ๒)
พิจารณารัฐประหาร 19 กันยายน ในแง่สิทธิเสรีภาพและระเบียบการเมือง
รัฐประหารหลากหลายรูปแบบ
ไฟเนอร์ในงานชิ้นสำคัญของเขาเรื่อง The Man on the Horseback อภิปรายความหมายของการรัฐประหารไว้น่าสนใจ
เขากล่าวว่าคำว่า Coup D' Etat เป็นคำที่อยู่ภายใต้ข้อจำกัดทางภาษาและประสบการณ์ทางการเมืองของโลกตะวันตกอยู่มาก
ผลก็คือคำๆ นี้มีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า Coup De Force จนไม่สามารถฉายภาพการยึดอำนาจด้วยกำลังทหารให้ละเอียดและรอบด้านได้
ทั้งที่การรัฐประหารนั้นมีหลายแบบ และแต่ละแบบก็มีบุคลิกลักษณะที่พึงได้รับความสนใจในระดับที่ไม่น้อยไปกว่ากัน
ไม่ว่าจะเป็น
- การปฏิวัติของกองทัพ (Military Revolt)
- การรัฐประหารโดยนายทหารระดับล่างต่อผู้บังคับบัญชาเบื้องบน (Mutiny),
- การกบฏ (Rebellion)
- การยึดอำนาจโดยเฉียบพลัน (Coup)
- การปฏิวัติ การยึดอำนาจรัฐเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพทางสังคมและการเมืองขนานใหญ่ (Revolution) [25]
โดยต้องไม่ลืมว่า รัฐประหารหลายหนไม่ได้มีลักษณะของการใช้กำลังทหารเข้าไปเกี่ยวข้องโดยตรง แต่เป็นรัฐประหารแบบที่ ลุตวาค เรียกว่า "การปฏิวัติในพระราชวัง" (palace revolution) [26] หรือการอาศัยอิทธิพลนอกกฎหมายและพลังนอกวิถีทางรัฐธรรมนูญ ไปเกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายยอมรับการเปลี่ยนแปลงตัวประมุขของรัฐ หัวใจของรัฐประหารประเภทนี้จึงได้แก่การกดดันเป็นการภายในระหว่างฝ่ายผู้มีอำนาจด้วยกันเอง
คำอภิปรายของไฟเนอร์มีนัยยะของการเสนอให้พิจารณาการรัฐประหารโดยอาศัยไวยากรณ์การคิดแบบที่อยู่นอกเหนือประสบการณ์ของโลกตะวันตก ซึ่งในกรณีนี้ก็หมายถึงประสบการณ์จากรัฐประหารในละตินอเมริกา รัฐประหารในไวยากรณ์การคิดแบบนี้มี 3 ประเภท
รัฐประหารประเภทแรก คือ Golpe de estado หรือการล้มล้างรัฐบาลเก่าอย่างเฉียบพลัน ความสำเร็จของรัฐประหารประเภทนี้ขึ้นอยู่กับการคุมกำลัง และวางแผนที่เต็มไปด้วยความรอบคอบ รวมทั้งการจัดองค์กรอย่างรัดกุมและมีระเบียบกฎเกณฑ์ โดยที่ส่วนใหญ่ของรัฐประหารแบบนี้ มักจบลงด้วยการไล่ล่าและสังหารชีวิตของผู้นำชุดก่อนในบั้นปลาย
รัฐประหารประเภทที่สอง คือ Cuartelazo อันเป็นการรัฐประหารในสถานการณ์ที่กำลังฝ่ายต่างๆ ไม่มีเอกภาพนัก ทำให้ปฏิบัติการยึดอำนาจเกิดขึ้นโดยทหารหน่วยใดหน่วยหนึ่งเพียงหน่วยเดียว ความสำเร็จของรัฐประหารประเภทนี้ ขึ้นอยู่กับความสามารถในการประเมินดุลกำลังระหว่างกองกำลังฝ่ายต่างๆ ซึ่งหากประเมินผิด ฝ่ายผู้ก่อรัฐประหารย่อมอยู่ในสถานะกบฏ ถึงขั้นอาจไม่มีแผ่นดินอยู่ก็เป็นได้ รัฐประหารประเภทนี้จึงมีกระบวนการทางการเมือง-การทหาร ที่ต้องทำในช่วงก่อนและหลังปฏิบัติการยึดอำนาจอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นการหยั่งความเห็นนายทหารระดับคุมกำลังแต่ละฝ่าย การยึดระบบสื่อสารมวลชน การประกาศยึดอำนาจรัฐ รวมทั้งการให้คำมั่นสัญญาว่าจะยึดอำนาจเป็นการชั่วคราว
รัฐประหารประเภทที่สาม เป็นการผสมผสาน Golpe และ Cuatelazo เข้าด้วยกัน [27]
ที่กล่าวไปทั้งหมดนั้นคือการแสดงให้เห็นว่ารัฐประหารเป็นเรื่องของการใช้ พละกำลัง (forces) ข่มขู่และประทุษร้ายเพื่อเป้าหมายทางการเมือง รัฐประหารจึงเป็นความรุนแรงทางการเมือง ที่ผู้ก่อรัฐประหารกระทำต่อตัวผู้มีอำนาจและต่อสังคมการเมืองทั้งหมด ความรุนแรงทางการเมืองในที่นี้ไม่ได้หมายถึงแต่ ความรุนแรงทางการเมือง ซึ่งเกิดขึ้นในทันทีที่คณะผู้ก่อรัฐประหารกระทำการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองโดยพลการ รวมทั้งไม่ได้หมายถึงแค่ความรุนแรงในแง่การปล้นสดมภ์อำนาจการตัดสินใจทางการเมืองของคนทุกฝ่าย ไปไว้ยังกลุ่มผู้รัฐประหาร แต่ยังหมายความถึง ความรุนแรงทางกายภาพ ซึ่งปรากฏขึ้นในขณะมีปฏิบัติการรัฐประหาร ไม่ว่าจะเป็นปฏิบัติการทางทหาร เมื่อฝ่ายรัฐประหารมุ่งกระทำการยึดอำนาจให้บรรลุผลในเวลาอันรวดเร็วที่สุด โดยวิธีต่างๆ ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว หรือปฏิบัติการทางการเมืองที่ตามมาเมื่อการยึดอำนาจเสร็จสิ้น โดยที่เป้าหมายของความรุนแรงประเภทนี้ ได้แก่ การควบคุม หรือ กำจัดบุคคลและองค์กรที่มีศักยภาพจะทำการต่อต้านการรัฐประหาร ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะเป็นพลเรือน, ข้าราชการ, สหภาพแรงงาน, ตำรวจ , สื่อมวลชน, นักการเมือง หรือแม้กระทั่งนายทหารด้วยกันเองก็ตามที
ธรรมชาติของการรัฐประหารคือความรุนแรง ถึงแม้จะเป็นไปได้ที่การยึดอำนาจบางกรณีจะไม่เกิดความรุนแรงทางกายภาพถึงขั้นมีการปะทะทางทหารหรือการนองเลือดและบาดเจ็บล้มตาย แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ปรากฎการใช้ความรุนแรงในแง่ใดแง่หนึ่งขึ้นในปฏิบัติทางการเมือง-การทหาร ในช่วงที่การยึดอำนาจประสบความสำเร็จแล้ว โดยเฉพาะความรุนแรงในแง่ของการจำกัดสิทธิเสรีภาพต่อผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็นฝ่ายตรงข้ามกับคณะรัฐประหาร เพราะความรุนแรงนี้เป็นความจำเป็นทางการเมืองเพื่อสร้างความมั่นคงทางอำนาจให้กับฝ่ายผู้ก่อรัฐประหารเอง [28]
หากพิจารณารัฐประหาร 19 กันยายน โดยเทียบเคียงกับความรู้ทางรัฐศาสตร์ที่กล่าวมา ก็จะเห็นว่าแม้รัฐประหารครั้งนี้จะปราศจากการนองเลือดหรือการปะทะทางทหาร แต่คุณลักษณะนี้ก็ไม่ได้ทำให้รัฐประหารนี้ผิดแผกไปจากรัฐประหารครั้งอื่นจนเป็นเรื่องวิจิตรพิสดาร [29] ในทางตรงข้าม รัฐประหารครั้งนี้มีขั้นตอนที่ดำเนินไปตามขนบของการรัฐประหาร ซึ่งเกิดขึ้นมาแล้วในหลายมุมหลายแง่ ไม่ว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการรัฐประหารที่มาจากนายทหารบางคน ซึ่งมีความยึดมั่นถือมั่นในความเชื่อบางอย่างในระดับที่รุนแรง [30] การริเริ่มสมคบคิดภายในกลุ่มนายทหารที่มียศชั้นและความคิดคล้ายคลึงกัน การแสวงหาความร่วมมือจากผู้บังคับบัญชาชั้นสูง [31] การสร้างสถานการณ์จูงใจให้ผู้คนสนับสนุนรัฐประหาร [32] การเคลื่อนกำลังเพื่อยึดอำนาจในเวลาที่ฝ่ายตรงข้ามไม่ทันตั้งตัว การยึดสถานที่ราชการและสื่อมวลชนหลักทุกแขนง การห้ามการรวมกลุ่มของผู้ไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร การแต่งตั้งสมาชิกคณะรัฐประหารและเครือข่ายไปดำรงตำแหน่งทางการเมืองและการบริหารที่สำคัญ รวมทั้งการเขียนกติกาการเมืองเพื่อสวัสดิภาพของผู้ทำรัฐประหารในอนาคต [33]
ส่วนข้อแตกต่างที่แท้จริงของรัฐประหารครั้งนี้กลับมีการอภิปรายโดยเปิดเผยไม่มากนัก โดยเฉพาะการที่รัฐประหาร 19 กันยายน เกิดจากแรงผลักดันของพลังทางประเพณีและพลังทางการเมืองการทหาร กลุ่มที่ต้องการบ่อนเซาะพื้นฐานของการปกครองแบบประชาธิปไตยรัฐสภา [34]
สิทธิเสรีภาพพลเมืองในสถานการณ์รัฐประหาร
บทความนี้ไม่ได้ปฏิเสธว่ารัฐประหาร 19 กันยายน แตกต่างจากรัฐประหารครั้งอื่นในสังคมไทย
ในทางตรงกันข้าม รัฐประหารนี้ต่างจากรัฐประหารอื่นหลายแง่ แต่ความต่างนี้ไม่ใช่เรื่องพิเศษ
เพราะไม่มีรัฐประหารครั้งไหนเป็นเอกเทศในตัวเองมากพอๆ กับที่ไม่มีรัฐประหารครั้งไหนเป็นต้นแบบของรัฐประหารครั้งอื่นโดยสมบูรณ์แบบ
การบอกว่า 19 กันยายน คือปรากฏการณ์พิเศษ เป็นเรื่องเหลวไหลไม่น้อยไปกว่าการพูดว่า
19 กันยายน เป็นแค่การยึดอำนาจเหมือนรัฐประหารครั้งอื่น บทความนี้จึงเห็นว่าจำเป็นต้องทำความเข้าใจปรากฏการณ์นี้ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของการรัฐประหารทั่วไป
และขณะเดียวกัน ก็ต้องอธิบายเหตุการณ์นี้โดยคำนึงถึงเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์และสังคมที่ผลักดันให้มันดำเนินไปทิศทางอย่างที่เป็นมา
[35]
ผู้สนับสนุนรัฐประหาร 19 กันยายน มักอ้างว่า การยึดอำนาจหนนี้แตกต่างจากการยึดอำนาจหนอื่น เพราะผู้ยึดอำนาจได้บัญญัติไว้ในมาตรา 3 ของธรรมนูญการปกครองว่า จะคุ้มครองความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 ที่ถูกล้มล้างไปแล้ว แต่ประเด็นที่คนกลุ่มนี้จงใจไม่พูดถึงก็คือ ธรรมนูญฉบับนี้มีบทบัญญัติเรื่องสิทธิเสรีภาพแตกต่างจากรัฐธรรมนูญฉบับก่อนจนเห็นได้ชัด เพราะรัฐธรรมนูญก่อนนั้นบัญญัติว่า "ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ และเสรีภาพของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง" อันเป็นการรับรองว่า หลักการเหล่านี้คือสิ่งที่มีคุณค่าสูงสุด ซึ่งรัฐมีพันธะ หน้าที่ ต้องปฏิบัติตามในทุกกรณี ขณะที่ธรรมนูญฉบับปัจจุบันนี้พูดถึงเพียงแต่ "ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค บรรดาที่ชนชาวไทยเคยได้รับการคุ้มครองตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข" อันแสดงให้เห็นว่าหลักการเหล่านี้มีสถานะต่ำกว่าจารีตการปกครองที่อยู่นอกรัฐธรรมนูญออกไป ซ้ำยังจำกัดอยู่แต่ในคนที่ได้ชื่อว่าเป็น "ชนชาวไทย" เท่านั้น สิทธิเสรีภาพและความเป็นมนุษย์จึงไม่ใช่เรื่องที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ทั้งปวง ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ทุกคนมีติดตัวมาแต่กำเนิด ไม่ใช่ระบบคุณค่าที่มีความสำคัญสูงสุด และรัฐไทยก็ไม่ได้มีหน้าที่ต้องเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในทุกกรณี
ในแง่นี้แล้ว ก็สามารถกล่าวได้ว่าธรรมนูญการปกครองฉบับ 2549 มีลักษณะการใช้ถ้อยคำและภาษาเพื่อหลอกลวงให้เห็นว่า คณะรัฐประหารชุดนี้เคารพสิทธิเสรีภาพและยึดมั่นประชาธิปไตย แต่อันที่จริง ภาษาลักษณะนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความเปลี่ยนแปลงด้านความคิดเรื่องสิทธิเสรีภาพที่เกิดขึ้นภายหลังรัฐประหารทั้งหมด นั่นก็คือสภาพที่สิทธิเสรีภาพพลเมืองไม่ใช่ส่วนหนึ่งของข้อตกลงทางการเมืองในขณะนี้ ทำให้แม้พลเมืองจะมีสิทธิเสรีภาพตามกฎหมาย แต่รัฐก็มีอำนาจตามกฎหมายที่จะเพิกถอนสิทธิเสรีภาพและความเป็นมนุษย์ของสมาชิกในสังคมได้ตลอดเวลา เหตุผลคือ รัฐในกรณีนี้ไม่ได้มีบทบาทขั้นมูลฐานอยู่ที่การปกป้องระบบคุณค่าด้านสิทธิเสรีภาพและความเป็นมนุษย์ หากคือการรักษาการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์กลาง สิทธิเสรีภาพของพลเมืองและสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญในเงื่อนไขนี้ จึงมีความสำคัญน้อยกว่าแบบแผนการปกครองเป็นธรรมดา
เพราะเหตุดังนี้ ธรรมนูญการปกครองฉบับ 2549 จึงไม่ใช่ข้อตกลงทางการเมืองระหว่างรัฐกับสมาชิกในสังคม แต่เป็นข้อบังคับทางการเมืองที่เกิดขึ้น ภายใต้ความพยายามทำให้สิทธิเสรีภาพตามที่เป็นลายลักษณ์อักษร (Constitutional Laws) ตกอยู่ภายใต้ระเบียบทางการเมืองที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า และได้รับการค้ำยันจากอำนาจรัฐตลอดเวลา
ในภาษาที่ใช้กันแพร่หลายในการศึกษาเรื่องเมืองไทย สภาวะทางการเมืองแบบนี้เรียกว่า รัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรม แต่คำว่า "รัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรม" เชื่อมโยงให้เห็นสภาพทางการเมืองที่มโนทัศน์ (concept) นี้ต้องการอธิบายได้ไม่ดีนัก เพราะชวนให้เข้าใจว่าระเบียบการเมืองแบบนี้เป็นเรื่องปกติ มีอยู่อย่างนี้มานานแล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ฯลฯ [36] อันที่จริง นักทฤษฎีการเมืองคนสำคัญอย่าง คาร์ล ชมิทท์ เคยอธิบายสภาวะทางการเมืองลักษณะเดียวกันนี้โดยอาศัยแนวคิดบางอย่าง ที่มีประโยชน์ต่อการทำความเข้าใจการเมืองไทยในปัจจุบัน นั่นก็คือแนวคิดแบบที่เน้นการแบ่งแยกระหว่าง "กฎหมายรัฐธรรมนูญ" (Constitutional Laws) และธรรมนูญ (The Constitution) โดยธรรมนูญหมายถึงกฎหมายรัฐธรรมนูญ กำเนิด พัฒนาการ รวมทั้งความเปลี่ยนแปลงด้านความคิดที่สำคัญในเรื่องนี้ทั้งหมด ธรรมนูญจึงประกอบด้วยองค์ประกอบทางการเมืองและองค์ประกอบทางกฎหมาย [37] โดย
- องค์ประกอบทางกฎหมาย คือ กฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ซึ่งแตกต่างไปในแต่ละสังคม
- ส่วนองค์ประกอบทางการเมือง ได้แก่เป้าหมายของการเคลื่อนตัวทางเมืองในห้วงเวลาหนึ่งๆ
หากพิจารณาความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและกฎหมาย ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยช่วงหลังรัฐประหาร 19 กันยายน ด้วยแนวคิดแบบนี้ ก็จะเห็นว่า "ธรรมนูญ" ของการเมืองไทยในช่วงหลังวันยึดอำนาจ ล้วนเกี่ยวข้องกับความพยายามสถาปนาสภาพบังคับทางการเมืองแบบที่พระมหากษัตริย์เป็นศูนย์กลาง ของระเบียบการเมืองทั้งหมด ตัวอย่างเช่นการบัญญัติให้พระองค์มีอำนาจเต็มในการตั้งนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 14 ซึ่งสภาพแบบนี้ไม่ได้มีอยู่โดยธรรมชาติ แต่เป็นสภาวะทางการเมืองที่เพิ่งสร้างขึ้นในเวลาไม่นาน
แม้ในความรู้สึกของคนทั่วไป รวมทั้งในแนวคิด "รัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรม" จะเห็นว่าพระราชอำนาจเต็มในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี เป็น จารีตประเพณีทางการเมือง ที่ปฏิบัติกันมานาน แต่ข้อเท็จจริงก็คือพระราชอำนาจลักษณะนี้ไม่ได้ถูกบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญอย่างต่อเนื่อง เพราะในช่วงที่มีสภาผู้แทนราษฎรและมีรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้นายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้งนั้น หลายครั้งที่อำนาจนี้เป็นอำนาจพิธีกรรมเชิงสัญลักษณ์มากกว่าจะเป็นอำนาจในการแต่งตั้งที่เป็นจริง ส่วนในช่วงที่อยู่ภายใต้การปกครองของทหารที่มีอำนาจด้วยวิธีรัฐประหาร พระราชอำนาจมักถูกกำกับอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรในรัฐธรรมนูญว่าจะทรงแต่งตั้งได้ก็แต่บุคคลที่ได้รับการ "กราบบังคมทูล" ของทหารผู้เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ, ปฏิรูป หรือคณะผู้ยึดอำนาจในชื่อต่างๆ นานา ตัวอย่างเช่น
- รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2520 ระบุไว้ในมาตรา 21 ว่า "พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งตามคำกราบบังคมทูลของประธานสภานโยบายแห่งชาติ และทรงซึ่งพระราชอำนาจในการให้นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง ตามที่ประธานสภานโยบายแห่งชาติถวายคำแนะนำ" โดยประธานสภานโยบายแห่งชาติก็คือนายพลผู้เป็นหัวหน้าคณะผู้ยึดอำนาจใน
- หรือ ธรรมนูญการปกครอง พ.ศ.2534 ก็บัญญัติในมาตรา 21 และ 22 ว่า "พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีตามคำกราบบังคมทูลของประธานสภารักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ" และ "ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่ให้นายกรัฐมนตรีลาออก ตามประธานสภารักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติถวายคำแนะนำ" ซึ่งก็คือผู้บัญชาการทหารสูงสุดผู้เป็นหัวหน้าการรัฐประหารในเวลานั้นนั่นเอง ที่ดำรงตำแหน่งประธานสภารักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติไปพร้อมๆ กัน
อย่างไรก็ดี ในมาตรา 14 ของธรรมนูญการปกครองฉบับที่ใช้อยู่ในขณะนี้ พระราชอำนาจไม่ใช่พิธีกรรมหรือสัญลักษณ์ และยิ่งไม่ได้ถูกกำกับด้วยอำนาจภายนอกอื่น แต่เป็นพระราชอำนาจที่มีความสมบูรณ์ในตัวเอง ความแตกต่างนี้เป็นมากกว่าความแตกต่างในระดับตัวอักษร เพราะไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นว่า ธรรมนูญการปกครองนี้แตกต่างจากรัฐธรรมนูญในอดีตในแง่มุมไหน หากยังเป็นเครื่องหมายของเจตจำนงทางการเมืองในหมู่ผู้ยึดอำนาจหนนี้อย่างมีนัยยะสำคัญ [38]
ประเด็นที่ควรพิจารณาก็คือ ระเบียบการเมืองแบบนี้จะส่งผลกระทบต่อสภาพด้านสิทธิเสรีภาพของพลเมืองอย่างไร?
ถ้าเห็นว่าระเบียบการเมืองแบบนี้ไม่สามารถดำรงอยู่โดยลำพังตัวเอง หากต้องอาศัยการค้ำยันจากสถาบันอื่น โดยเฉพาะสถาบันทหาร [39] ก็คงเห็นต่อไปว่า การจรรโลงระเบียบการเมืองนี้ย่อมเกี่ยวพันกับการออกแบบระบบการเมืองให้ทหารมีอำนาจในระบบอย่างเป็นทางการมากขึ้น ระเบียบการเมืองนี้จึงเป็นอุปสรรคของการทำให้สิทธิเสรีภาพมีสถานะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตทางการเมือง เพราะสิทธิเสรีภาพที่สมบูรณ์นั้นย่อมขัดขวางการแทรกแซงการเมืองของฝ่ายทหาร ซ้ำยังอาจกระทบต่อความมั่นคงของระเบียบการเมืองได้โดยตรง แต่ประเด็นสำคัญคือ อำนาจในระบบของทหารนั้นไม่ได้หมายถึงการทำให้กองทัพเป็นหน่วยทางการเมืองที่เข้มแข็งและเป็นอิสระโดยสมบูรณ์ เพราะกองทัพที่เข้มแข็งและเป็นอิสระเกินไปนั้นเป็นอันตรายในแง่ที่อาจแปรสภาพเป็นลัทธิทหารนิยม หรือให้กำเนิดผู้นำทหารที่มากบารมีจนสั่นคลอนตัวระเบียบเองได้ [40] ความเข้มแข็งจึงเป็นสิ่งที่ต้องควบคุมให้อยู่ภายใต้กรอบของระเบียบการเมืองโดยซื่อสัตย์และเคร่งครัด [41] นั่นคือเป็นกองทัพที่เข้มแข็งเพราะเป็นอิสระจากรัฐสภา, ระบบราชการ และพลังประชาสังคมอื่น แต่ไม่ได้เข้มแข็งในตัวเองถึงขั้นเป็นเอกเทศอย่างสมบูรณ์ ความสัมพันธ์ระหว่างองคมนตรีกับกองทัพในฐานะห่วงเชื่อมระหว่างระเบียบการเมืองกับกำลังที่เป็นรากฐานของระเบียบการเมือง จึงสำคัญต่อการจรรโลงเสถียรภาพทางการเมือง
แน่นอนว่า ทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความถึงสถาปนาระเบียบการเมือง ตามเจตจำนงของคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดได้อย่างเบ็ดเสร็จ เพราะการสถาปนาระเบียบการเมืองนั้น ต้องอยู่ภายใต้คติเรื่องการเมืองที่ชอบธรรมแบบสภาวะสมัยใหม่ 2 ข้อ
- ข้อแรกคือ อำนาจอธิปไตยในชุมชนการเมืองต้องเป็นของปวงชน
- ข้อสองคือรัฐบาลที่ชอบธรรมได้แก่ รัฐบาลที่มีอำนาจโดยฉันทานุมัติ
แต่ปัญหาคือคติการเมืองแบบนี้ไม่ได้ผูกพันกับรูปแบบการปกครองแบบใดแบบหนึ่งโดยแน่ชัด ทำให้ไม่ว่าจะเสรีประชาธิปไตย, คณาธิปไตย, เผด็จการรวมศูนย์ หรือราชาธิปไตย ก็ล้วนอ้างว่าเป็นการปกครองที่ชอบธรรมได้ทั้งนั้น หากสามารถแสดงให้เห็นว่ามีอำนาจด้วยอาณัติมอบหมาย (mandate) ของประชาชน [42] คติเรื่องการเมืองที่ชอบธรรมแบบนี้จึงหละหลวม และเปิดโอกาสให้ระเบียบการเมืองปรับตัวเองตามรูปแบบของการเมืองสมัยใหม่ขั้นต่ำสุดได้ [43] นั่นคือเป็นระเบียบที่มีกษัตริย์เป็นประมุข พร้อมกับมีการปกครองรัฐสภารูปแบบต่างๆ แล้วอาศัยกองทัพค้ำยันอำนาจทางการเมือง รัฐสภาในที่นี้ไม่จำเป็นต้องหมายถึงรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้ง, ไม่จำเป็นต้องเป็นสภาของผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้งของราษฎร รวมทั้งไม่จำเป็นต้องเป็นรัฐสภาเสรีประชาธิปไตย ที่มีพันธะในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพพลเมือง โดยรับรองสิทธิเหล่านี้ให้มีสถานะทางกฎหมายชัดเจนและเคร่งครัด แต่สามารถเป็นสภานิติบัญญัติแห่งชาติ, สภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน, สภานโยบายแห่งชาติ ฯลฯ ที่แต่งตั้งขึ้นโดยคนหยิบมือเดียว โดยอาศัยสภาทำหน้าที่ตีความและบังคับใช้บทบัญญัติด้านสิทธิเสรีภาพ โดยยึดความมั่นคงของระเบียบการเมืองเป็นศูนย์กลาง (ทำให้สามารถร่างรัฐธรรมนูญได้โดยบุคคลที่ไม่ได้เป็นตัวแทนของใครในสังคม นอกจากผู้ทำรัฐประหารถูกใจ)
ในแง่นี้แล้ว รัฐประหาร 2549 ไม่ได้เพียงปฏิเสธหลักสิทธิเสรีภาพพลเมืองในฐานะสิทธิที่มีโดยธรรมชาติของมนุษย์ หากยังล้มล้างหลักสิทธิเสรีภาพตามกฎหมายลงไปด้วย ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำลายบรรทัดฐานด้านสิทธิเสรีภาพที่อยู่ในสังคมไทยมาเกือบ 1 ทศวรรษ โดยรัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งนอกจากจะทำให้สิทธิเสรีภาพกลายเป็น หน้าที่ ซึ่งรัฐและกลไกรัฐมีพันธะต้องปฏิบัติตามแล้ว ยังทำให้เกิดความเป็นไปได้ที่พลเมืองจะยกบทบัญญัติเหล่านี้ไปเรียกร้องสิทธิเสรีภาพในขอบเขตที่กว้างขวางขึ้นไปอีก กระบวนการนี้ทำให้สิทธิเสรีภาพมีสถานภาพเป็นส่วนหนึ่งของระเบียบการเมืองในช่วง 2540 - 2549
ขณะที่ระเบียบการเมืองในปัจจุบันกลับตาลปัตร ให้รัฐมีอัตวินิจฉัยในการยกเลิกสิทธิเสรีภาพที่ขัดแย้งกับระเบียบการเมืองได้ นั่นเท่ากับว่าความมั่นคงของฝ่ายการเมือง มีสถานภาพเหนือกว่าสิทธิเสรีภาพพลเมืองและหลักกฎหมาย ซึ่งถ้าเข้าใจว่าสิทธิเสรีภาพโดยพื้นฐานแล้วเป็นเรื่องของขอบเขตอำนาจเหนือชีวิตและร่างกายของมนุษย์ ก็จะมองเห็นต่อไปว่า ระเบียบการเมืองในขณะนี้ถือว่าเสถียรภาพของฝ่ายการเมืองสำคัญกว่าชีวิตพลเมืองทั้งหมด การเรียกร้องให้พลเมืองสละเสรีภาพหรือยอมตายเพื่อระเบียบบ้านเมือง จึงไม่ใช่การปลุกระดมหรือตีสำนวนโวหาร แต่เป็นสิ่งที่ฝังเป็นส่วนหนึ่งของระเบียบการเมืองนี้จริงๆ
รัฐประหาร 2549 ในแง่มุมนี้ เป็นจุดเริ่มต้นของการสถาปนาระเบียบการเมืองที่ดำรงอยู่ได้ด้วยการกดบังคับให้พลเมืองรู้สึกว่าระเบียบนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต (way of life) ถึงขั้นสละชีพเพื่อสิ่งนี้ได้ (jus vitae ac nacis) [44] ปรากฏการณ์นี้สำคัญและไม่เคยมีแม้กระทั่งในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์สยาม ในช่วงก่อนเปลี่ยนการปกครองฯ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 รัฐประหารครั้งนี้จึงไม่ใช่การกลับไปสู่สภาวะก่อน 2475 อย่างที่ผู้ต่อต้านรัฐประหารเข้าใจ แต่คือการก้าวไปสู่สภาวะการเมืองใหม่ที่ทำงานบนการยกระดับให้ระเบียบการเมืองกลายเป็นวิถีชีวิต สภาพนี้นำไปสู่การเกิดการเมืองเชิงปทัสถานซึ่งมีแกนกลางอยู่ที่ปริมณฑลเหนือรัฐธรรมนูญและกฎเกณฑ์ที่เป็นทางการ พลเมืองในจินตนาการนี้มีความเป็นเอกภาพถึงขั้นที่รัฐถือว่าคนใต้ปกครองทั้งหมด ล้วนขึ้นต่อปทัสถานนี้อย่างไม่มีข้อยกเว้น
วิธีคิดแบบนี้ ส่งผลให้การสถาปนาระเบียบการเมืองมีลักษณะของการต่อสู้ทางศาสนา ในแง่ที่มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายทางศีลธรรมจนชอบที่จะใช้อำนาจต่อฝ่ายตรงข้ามตามอำเภอใจ [45] การแยกมิตรแยกศัตรูเช่นนี้ ทำให้ไม่มีทางที่ระเบียบใหม่จะให้กำเนิดการเมืองแบบเสรีประชาธิปไตยได้ เพราะหัวใจของเสรีนิยมคือการเปิดให้โอกาสทุกฝ่ายแข่งขันโดยอิสระ โดยไม่เป็นศัตรูอย่างแข็งทื่อตายตัว [46] ส่วนหัวใจของประชาธิปไตย อย่างเช่น หลักสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียม ก็ถูกทำลายไปตั้งแต่วันแรกรัฐประหารแล้ว ผลของความเป็นการเมืองที่ไม่เป็นเสรีประชาธิปไตยคือ การช่วงชิงดุลกำลังทหารและการเจรจาต่อรองกันภายในที่ทวีความสำคัญทางการเมืองมากยิ่งขึ้น โอกาสของการเกิดประชาธิปไตยรัฐสภาที่เข้มแข็งนั้น เป็นเรื่องที่แทบไม่มีความเป็นไปได้แต่อย่างใด
อนาคตของระเบียบการเมืองใหม่
โดยส่วนใหญ่ของความขัดแย้งเรื่องสถานะของรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มีใจกลางอยู่ที่ความแตกต่างในการประเมินสถานะของประชาธิปไตยในสังคมไทย
ผู้สนับสนุนรัฐประหารส่วนใหญ่เชื่อว่า การเมืองไทยก่อน 19 กันยายน ไม่เป็นประชาธิปไตยมานานแล้ว
การยึดอำนาจจึงชอบธรรมในฐานะวิธีสร้างประชาธิปไตยให้สมบูรณ์ขึ้น ส่วนผู้ไม่เห็นด้วยนั้นเห็นว่าแม้การเมืองก่อนวันที่
19 กันยายน จะไม่สมบูรณ์ไปทุกด้าน แต่รัฐประหารก็ทำให้ประชาธิปไตยถอยหลังลงคลอง
ฝ่ายแรกเสนอการพัฒนาการเมืองภายใต้การนำของกองทัพ, ผู้มีบารมี, เทคโนแครตภาคเอกชน และตุลาการภิวัฒน์ ส่วนฝ่ายหลังเห็นว่าบุคคลและสถาบันเหล่านี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตย ฝ่ายแรกร่วมมือกับคณะรัฐประหารเพื่อร่างรัฐธรรมนูญที่เพิ่มอำนาจสถาบันที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ฝ่ายหลังต้านรัฐประหารด้วยการเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว ฝ่ายแรกไม่ได้ตอบปัญหาการบิดเบือนเจตนารมณ์ทั่วไปของพลเมืองและความรับผิดชอบทางการเมืองของสถาบันที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ส่วนฝ่ายหลังไม่ได้ตอบว่าจะแก้ปัญหาประชาธิปไตยอำนาจนิยมที่เคยเกิดขึ้นแล้วอย่างไร รวมทั้งจริงหรือไม่ที่มาตรการนี้จะจัดการกับปัญหาหลักทางการเมืองของสังคมไทยในปัจจุบัน
บทความนี้ไม่ได้พิจารณารัฐประหารด้วยความคิดเรื่องประชาธิปไตย จึงไม่ได้โจมตีรัฐประหารครั้งนี้ในแง่ที่ทำลายพื้นฐานของประชาธิปไตยในสังคมการเมืองไทยไปทั้งหมด นี่ไม่ได้หมายความว่าประเด็นนี้ไม่สำคัญ ในทางตรงกันข้าม ประเด็นนี้สำคัญจนผู้เขียนได้อภิปรายเรื่องนี้ในที่อื่นๆ เอาไว้มากแล้ว จนเห็นความจำเป็นของการชี้ชวนให้มองเห็นว่า ปัญหาของรัฐประหาร 19 กันยายน หาได้จำกัดอยู่แค่เรื่องเป็นประชาธิปไตยหรือไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะเมื่อพิเคราะห์รัฐประหารนี้โดยคำนึงถึงประสบการณ์ของความเป็นจริงด้านสิทธิเสรีภาพ และระเบียบการเมืองในสังคมไทยเอง ก็จะเข้าใจว่ารัฐประหารตามนัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามสถาปนาระเบียบการเมืองใหม่ ที่ทำให้รัฐมีลักษณะส่วนบุคคลสูงขึ้น ส่วนโครงสร้างพื้นฐานของเสรีระชาธิปไตยเสื่อมทรามลง
ในแง่มุมระเบียบการเมืองนั้น รัฐประหาร 19 กันยายน เปลี่ยนบทบาทขององค์อธิปัตย์จากความเป็นองค์อธิปัตย์ในสถานการณ์ฉุกเฉิน [47] ไปสู่ความเป็นองค์ประธานของความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองโดยตรง เสถียรภาพของระเบียบการเมืองใหม่ ขึ้นอยู่กับความสามารถในการสร้างความหมายทางการเมืองให้ผูกพันกับคุณลักษณะส่วนบุคคลอย่างต่อเนื่องสู่อนาคต แต่การปรับสภาพองค์อธิปัตย์จากความเป็นหน่วยที่มีอำนาจตัดสินใจทางการเมืองสูงสุด (sovereign) ไปสู่หน่วยที่ใช้อำนาจกึ่งบริหาร (authority) นี้ เกิดขึ้นท่ามกลางความเป็นการเมือง และการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายที่ทำให้สังคมการเมืองแตกร้าวอย่างแทบไม่เคยมีมาก่อน การสูญเสียคุณลักษณะเป็นกลางและไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดขององค์อธิปัตย์ ทำให้การจรรโลงความหมายทางการเมืองนี้ไม่มีทางทำได้ง่ายๆ อย่างที่เคยทำในอดีต สภาพทางการเมืองนี้ผลักดันให้สิทธิเสรีภาพตามกฎหมายอยู่ภายใต้อำนาจที่อยู่เหนือและมีมาก่อนกฎหมาย (meta-law) [48] เช่นเดียวกับที่สิทธิเสรีภาพพลเมืองถูกจำกัดให้อยู่ในขอบเขตที่ไม่อันตรายต่อระเบียบการเมือง ความสำคัญของพละกำลัง (forces) ต่อการจรรโลงความสัมพันธ์ทางการเมืองนี้ ส่งผลให้เส้นแบ่งทางตรรกะระหว่างอำนาจการเมืองที่มีอารยะ กับการปกครองโดยการใช้กำลังไม่มีอยู่อีกต่อไป
โครงการสถาปนาระเบียบการเมืองใหม่
ทำให้อำนาจลักษณะปิตาธิปไตยเป็นฝ่ายกำหนดอาณาบริเวณของการต่อสู้เพื่อสิทธิทางสังคมและเสรีภาพ
(negative liberties) ในสังคมการเมือง อนาคตของระเบียบการเมืองใหม่ขึ้นอยู่กับการควบคุมพลังภายในระบบ,
การดูดกลืนพลังมวลชนที่มีลักษณะถึงรากถึงโคน รวมทั้งการครอบงำของตรรกะทางการเมืองเหนือตรรกะทางเศรษฐกิจและสังคมทั้งหมด
ความเสื่อมสลายของพลังการเมืองและระบบคุณค่าอื่นๆ หมายความถึงการสูญเสียความเป็นไปได้ที่สังคมจะสร้างความหมายทางการเมืองที่เป็นอิสระจากระเบียบการเมืองนี้
ความจำเป็นของการสร้างการปกครองแบบรัฐสภาและรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตย
ส่งผลให้เสรีประชาธิปไตยไม่มีความหมายต่อสังคมการเมืองในปัจจุบันและอนาคต ความล่มสลายของการต่อสู้ในระดับความหมายทางการเมือง
ส่งผลให้สังคมไทยเผชิญปัญหาที่ไปไกลกว่าการต่อสู้ระหว่างประชาธิปไตย / เผด็จการ,
กษัตริย์นิยม / ทุนนิยม หรือ ระบบราชการ / นักเลือกตั้ง รัฐประหาร 19 กันยายน
จึงไม่ได้เป็นสัญลักษณ์ของการฟื้นอำนาจแบบขัตติยาธิปไตยหรือเผด็จการทหารแบบที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
ราคาของความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้มีแค่ความหายนะทางการเมืองของผู้ที่เกี่ยวข้องกับรัฐประหาร
แต่คือการพังทลายของระเบียบการเมือง อันเนื่องมาจากข้อจำกัดจำนวนมากของตัวระเบียบการเมืองเอง
+++++++++++++++++++++++++++ คลิกกลับไปทบทวนตอนที่
๑
เชิงอรรถ
[25] Samuel E. Finer , The Man on Horseback : the Role of the Military in Politics 2nd edition (Middlesex: Penguin Books, 1976), p,139.
[26] Edward Luttwak, Coup D' Etat 2nd edition (London: Allen Lane, 1979) , pp.20-1.
[27] Finer, Ibid., pp.140-8.
[28] Farcau, Ibid., p.9.[29] ความเห็นฉาบฉวยและไร้เหตุผลในทางประวัติศาสตร์ข้อนี้ แพร่หลายทั้งในหมู่อาจารย์มหาวิทยาลัย นักพัฒนาเอกชน วุฒิสมาชิก นักการเมือง ปัญญาชนสาธารณะ นักหนังสือพิมพ์ ฯลฯ ที่สดุดีรัฐประหาร 19 กันยายน ยิ่งกว่าตัวทหารผู้ก่อรัฐประหารเองด้วยซ้ำ ทั้งที่มีการรัฐประหารในโลกและในสังคมไทยนับครั้งไม่ถ้วนที่เกิดขึ้นในลักษณะนี้ และถ้าใช้บรรทัดฐานแบบนี้ต่อไปจริงๆ ก็คงต้องถือว่ารัฐประหารแทบทุกครั้งเป็น "การปฏิวัติงดงาม" ไปทั้งหมด ไม่เว้นแม้กระทั่งรัฐประหารของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่นำไปสู่การจับกุมปัญญาชนและประชาชนผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับคณะรัฐประหารจำนวนมาก รวมทั้งการปกครองด้วยกฎอัยการศึกและมาตรา 17 ซึ่งอนุญาตให้นายกรัฐมนตรีสั่งประหารชีวิตบุคคลต่างๆ ได้ตามอำเภอใจ
หรือแม้กระทั่งการรัฐประหารตัวเองของจอมพล ถนอม กิตติขจร อันเป็นชนวนสำคัญของเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และคงมีแต่รัฐประหาร 6 ตุลาคม 2519 ที่ถือว่าเป็น "ปฏิวัติไม่งดงาม" เพราะมีการฆ่านักศึกษาประชาชนจำนวนมากที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยมีผู้มีอำนาจ, สถาบันจารีตประเพณี และนายทหารในกองทัพหลายต่อหลายฝ่ายเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ถึงวันนี้ก็ยังไม่มีใครประณามรัฐประหาร 6 ตุลาคม2519 และการก่อการทางการเมืองทั้งหมดเพื่อปูทางไปสู่เหตุการณ์นี้อย่างจริงจัง
สำหรับแนวการอธิบายเหตุการณ์ 6 ตุลาคม ดู สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล, ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง (กรุงเทพ: สำนักพิมพ์ 6 ตุลารำลึก , 2544) เปรียบเทียบกับ Benjamin Anderson, "Withdrawal Symptoms: Social and Cultural Aspects of the October 6 Coup." Bulletin of Concerned Asian Scholars 9 (3): 13-30. (Reprinted as 'Withdrawal Symptoms' in Benedict Anderson, The Specter of Comparisons: Nationalism , Southeast Asia and the World (London: Verso, 1998), pp. 139-173.)
[30] ดูคำสัมภาษณ์ของ สพรั่ง กัลยาณมิตร ใน สกุลไทย (ฉบับที่ 2729 ปีที่ 53 ประจำวันอังคาร ที่ 6 เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 ) ซึ่งตอบคำถามเรื่องความรู้สึกหลังการรัฐประหารไว้ว่า "ผมเคยอยู่ในค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราชมาก่อน ผมรู้สึกซาบซึ้งในความเป็นนักรบผู้กล้าหาญ การได้ซาบซึ้งถึงบรรพบุรุษและวีรกษัตริย์ไทยในอดีตเป็นกำลังใจ ทำให้เรามีอุดมการณ์ มีธรรมะช่วยในการตัดสินใจการทำงาน" เทียบเคียงกับคำสัมภาษณ์ในเวลาใกล้เคียงกันว่า "ผมไม่เคยเกลียดนักการเมือง แต่เกลียดพฤติกรรมกลุ่มการเมือง" เพราะ "แข่งกันทำลายชาติบ้านเมือง ทำลายระบอบ ภาพลักษณ์ประเทศชาติ ความเป็นประชาธิปไตย" ใน คมชัดลึก วันที่ 9 มกราคม 2550
[31] คำสัมภาษณ์ของสนธิ บุญรัตนกลิน, สพรั่ง กัลยาณมิตร และ อนุพงษ์ เผ่าจินดา แสดงแง่มุมแบบนี้ไว้น่าสนใจ หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์และแนวหน้ารายงานข่าวการเตรียมก่อรัฐประหารโดยกองทัพภาคที่ 3 ไว้อย่างน้อยก็ตั้งแต่ วันที่ 21 กรกฎาคม 2549 โดยที่รายงานเดียวกันนั้น ยังพูดถึงการโยกย้ายนายทหารระดับคุมกำลังนอกวาระโดย อนุพงษ์ เผ่าจินดา เพื่อทำให้กำลังของฝ่ายรัฐประหารเป็นปึกแผ่นที่สุด ขณะที่สะพรั่งเองให้สัมภาษณ์หลายครั้งหลายหนว่า เขาวางแผนรัฐประหารมาราว 8 เดือนแล้ว (คมชัดลึก, 22 ตุลาคม 2549) ส่วน สนธิ บุญยรัตนกลิน กลับพูดไปอีกอย่างว่า เขาใช้เวลาตัดสินใจยึดอำนาจเพียง 2 วัน และ "พล.อ.สะพรั่ง กับผม ไม่ได้คุยเรื่องนี้กัน" (มติชน 14 พฤศจิกายน) ซึ่งหากคนเหล่านี้ไม่มีใครโกหก ก็แสดงว่าการรัฐประหารนี้เริ่มต้นโดยนายทหารระดับแม่ทัพภาค 1 และ 3 ส่วนผู้บัญชาการทหารบกนั้นเพิ่งจะมาเข้าร่วมในแผนการนี้ในภายหลัง โดยมีท่าทีไม่มั่นใจในปฏิบัติการนี้มาตลอดเวลา (มติชนสุดสัปดาห์, 29 กันยายน 2549)
น่าสังเกตด้วยว่าในบรรดาผู้ก่อรัฐประหาร 19 กันยายน ทั้งหมด สนธิ บุญยรัตนกลิน เป็นคนที่มีบุคลิกภาพกำกวมที่สุด บทบาทของเขาในการเตรียมรัฐประหารเป็นเรื่องที่น่าสงสัย แม้เขาจะให้สัมภาษณ์ครั้งหนึ่งว่าวางแผนรัฐประหารมาแล้ว 7 เดือน ก็ตามที (The Nation, October 27, 2006, p. 4.) แต่ผู้สนับสนุนการรัฐประหารคนสำคัญอย่าง สนธิ ลิ้มทองกุล กลับโจมตีสนธิด้วยน้ำเสียงที่รุนแรงหลายต่อหลายครั้งอย่างเปิดเผย เช่น "ระหว่างเพื่อนกับชาติ ท่านรักใครมากกว่ากัน" ขณะที่ท่าทีแบบนี้ไม่เคยปรากฏเลยเมื่อผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญรายนี้พูดถึงสะพรั่งและอนุพงษ์ (ผู้จัดการรายวัน , 8 มกราคม 2550, หน้า 10-11)
[32] สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี, "การเดินทางสู่ห้วงเหวของการเมืองภาคประชาชน" ฟ้าเดียวกัน (ปีที่ 4 ฉบับที่ 4, 2005), หน้า 37-45 และ สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี, "วิเคราะห์ระบอบสนธิ" ฟ้าเดียวกัน ฉบับ รัฐประหาร 19 กันยายน รัฐประหารเพื่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (2006), หน้า 260-287 บทความนี้สำคัญในฐานะเป็นงานเขียนไม่กี่ชิ้น ที่พยายามประเมินฐานะทางประวัติศาสตร์ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทั้งต่อการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และต่อพัฒนาการทางการเมืองในสังคมไทย
สุภลักษณ์ตั้งข้อสังเกตไว้อย่างน่าเศร้าใจแทนแกนนำพันธมิตรทั้งหลายว่า คนเหล่านี้ทำให้ "ขบวนการประชาชนเป็นกองเชียร์ของอำมาตยาธิปไตยราชานิยม" แต่ก็ไม่มีนักวิเคราะห์คนไหนให้ความสำคัญกับพันธมิตรมากไปกว่าการกล่าวถึงสักหนึ่งหรือสองบรรทัดในบทวิเคราะห์การเมืองไทย พันธมิตรจึงไม่ใช่ "ตัวละครหลัก" ของการต่อสู้ทางการเมืองที่ผ่านมา แต่คือ "กองเชียร์" ที่สมควรได้รับรางวัลกองเชียร์ยอดเยี่ยม ไม่ใช่เหรียญทองจากการแข่งขัน ซึ่งแม้ผู้เขียนจะเห็นด้วยกับข้อสังเกตของสุภลักษณ์ แต่ก็เห็นว่ามีความจำเป็นต้องพิจารณาพันธมิตรในแง่มุมที่ละเอียดกว่านี้พอสมควร
[33] วันที่ 11 กุมภาพันธ์ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กระทรวงกลาโหม และหัวหน้าสำนักงานเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ให้สัมภาษณ์ถึงความจำเป็นต้องมีตัวแทนของทหารในช่วงที่รัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งบังเกิดขึ้นแล้ว เพราะ "ทหารจำเป็นต้องปกป้องผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับทหาร เมื่อมีพรรคการเมืองแล้ว ก็ต้องมาดูว่าใครจะสนับสนุนเราได้" แต่ "จะรูปแบบไหน และจะไปเลือกใคร ก็เป็นอีกเรื่อง" (มติชน, 11 กุมภาพันธ์ 2550)
[34] ดูตัวอย่างของการอภิปรายประเด็นนี้ได้ใน ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์, ประชาธิปไตยไม่ใช่ของเรา (กรุงเทพ : โอเพ่นบุ๊คส์, 2550)
[35] ในแง่ปรัชญาสังคมศาสตร์ ประเด็นนี้เกี่ยวข้องกับปัญหาเรื่องการเปรียบเทียบอย่างมีนัยยะสำคัญ ดู Peter T. Manicas, A Realist Philosophy of Social Sciences: Explanation and Understanding (Cambridge: Cambridge University Press, 2006), pp.103-25
[36] หนึ่งในจุดอ่อนสำคัญคือ แนวคิดนี้ให้น้ำหนักต่อความเป็นวัตถุและเงื่อนไขทางวัตถุของ "รัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรม" น้อยเกินไป ทำให้คำนี้ถูกใช้อย่างโน้มเอียงที่จะหมายถึงแต่ข้อกำหนดสูงสุดที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร เป็นธรรมชาติที่ฝังแน่นมาแต่อดีต ทำลายไม่ได้ ซ้ำยังดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องมานานนับศตวรรษ รัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมตามนัยนี้จึงมีความหมายใกล้เคียงกับค่านิยม ความเชื่อ อุดมการณ์หลัก หรือวาทกรรมที่มีฐานะครอบงำ ในเชิงญาณวิทยานั้น แนวความคิดนี้จึงเชื่อว่าสังคมทุกสังคมมีระบบคุณค่าหรืออัตลักษณ์บางอย่างเป็นแกนกลาง และหากกวดจับแกนกลางนี้ได้ ก็จะเข้าใจสังคมทั้งหมด ทั้งที่สถานะของกษัตริย์ในสังคมไหนก็ไม่ใช่ระบบคุณค่าที่ต่อเนื่องมาจากอดีตล้วนๆ แต่เกี่ยวข้องกับเงื่อนไขทางวัตถุอีกมากในปัจจุบัน เช่นความสัมพันธ์กับกองทัพ คุณลักษณะส่วนบุคคล เครือข่ายทางการเมือง การสะสมทุนส่วนพระองค์ ฯลฯ โดยที่เงื่อนไขหลายอย่างก็เป็นเรื่องที่อาจผันแปรได้ด้วย จึงเป็นการผิดฝาผิดตัวที่จะคิดถึง "รัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรม" ราวกับเป็นสิ่งที่อยู่กลางสุญญากาศ เป็นอกาลิโก ตายตัว และลอยอยู่เหนือความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่ต้องพูดถึงการที่คำนี้มีความคิดรวบยอดคลุมเครือจนไม่ได้มีความหมายพิเศษกว่าคำอื่นๆ ที่มีอยู่แล้ว เช่นกฎเกณฑ์เชิงจารีตประเพณี โดยควรระบุด้วยว่าการใช้มโนทัศน์นี้ในโลกภาษาอังกฤษ ก็มีปัญหาลักษณะเดียวกันกัน
ดูคำอธิบายแนวคิดนี้ใน นิธิ เอียวศรีวงศ์, ชาติไทย เมืองไทย, แบบเรียน และอนุสาวรีย์ (กรุงเทพ: ศิลปวัฒนธรรม, 2538), หน้า 136-171 ส่วนตัวอย่างของอิทธิพลที่คำนี้มีต่อความเข้าใจการเมืองร่วมสมัย ดู ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ และ เกษียร เตชะพีระ, "Reforming Thailand กับ ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ และ เกษียร เตชะพีระ," ใน http://www.onopen.com/2006/editor-spaces/1038 และดูการตีความแนวคิดนี้ในลักษณะสนับสนุนรัฐประหารใน เอนก เหล่าธรรมทัศน์, "'เราต้องดูแลประชาธิปไตย ที่งอกจากดินของเราเอง," กรุงเทพธุรกิจ 9 ธันวาคม 2549
[37] Ellen Kennedy, Constitutional Failure : Carl Schmitt in Weimar (Durham: Duke University Press, 2004), pp.123-5.
[38] ในแง่นี้แล้ว คำถามหลักทางการเมืองที่ควรพิจารณาก็คือ พระราชอำนาจเรื่องนี้จะดำเนินต่อไปอย่างไร เท่าที่ผ่านมานั้น การกำหนดว่านายกรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องมาจากการเลือกตั้งนั้น คือเงื่อนไขพื้นฐานของกระบวนการนี้ เพราะเมื่อนายกไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ก็ย่อมต้องมาจากการแต่งตั้ง โดยที่อำนาจในการแต่งตั้งนี้ก็สัมพันธ์กับบุคคลผู้มีหน้าที่รับสนองพระบรมราชโองการข้อนี้ ซึ่งโดยส่วนใหญ่ก็มักได้แก่บุคคลซึ่งทรงแต่งตั้งเองได้โดยตรง ตัวอย่างเช่น
รัฐธรรมนูญปี 2490 ก็กำหนดให้ประธานอภิรัฐมนตรีเป็นผู้รับสนอง, รัฐธรรมนูญปี 2493 โอนหน้าที่นี้ไปที่ประธานวุฒิสภา แต่วุฒิสภาก็มาจากการแต่งตั้งที่มีประธานองคมนตรีเป็นผู้รับสนอง, รัฐธรรมนูญปี 2511 และ 2515 ก็ให้ประธานวุฒิสภาเป็นประธานรัฐสภาที่มีหน้าที่นี้ โดยที่วุฒิสภามาจากการแต่งตั้งของพระองค์ การมีนายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง จึงเป็นเงื่อนไขพื้นฐานที่สำคัญต่อพระราชอำนาจในเรื่องนี้อย่างขาดไม่ได้ รัฐธรรมนูญที่กำหนดให้นายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้งอย่างฉบับ พ.ศ.2475, 2517, 2535 และ 2540 จึงเป็นรัฐธรรมนูญที่ทำให้พระราชอำนาจมีลักษณะเบ็ดเสร็จน้อยลง เพราะเท่ากับว่าความเป็นประมุขฝ่ายบริหารไม่ได้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาเป็นการภายใน แต่ต้องได้รับความยอมรับในสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
[39] พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์, "การค้ำยันการเมืองแบบพระราชทาน," ใน http://www.onopen.com/wp-print.php?p=520 บทความนี้สรุปสถานการณ์การเมืองไทยในช่วง พ.ศ.2548-2549 ไว้อย่างแหลมคมว่า "การขอพระราชทานรัฐบาลผ่านการตีความมาตรา 7 นั้นมิได้เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับความจงรักภักดี หรือลัทธินิยมเจ้า มากเท่ากับการปรากฏตัวและดำรงอยู่ของแนวคิดและพฤติกรรมแบบ "ประชาธิปไตยแบบทหารนิยม" อันเป็นการประเมินที่แตกต่างจากนักวิชาการหลายคนที่เห็นว่า ปรากฏการณ์ทางการเมืองในช่วงนั้นเป็นพลังของวิธีคิดแบบนิยมเจ้าที่ต้องการฟื้นฟูบทบาททางการเมืองของกษัตริย์ขึ้นมา
[40] การพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพล.อ.เปรม ในปี 2531 หรือชะตากรรมทางการเมืองของ พล.อ.ชวลิต, พล.อ.สุจินดา หรือแม้แต่ พล.ต.จำลอง เป็นตัวอย่างของความสัมพันธ์แบบนี้ นัยยะทางการเมืองของประเด็นดังกล่าว คือเป็นไปได้ที่ระเบียบการเมืองนี้ จะแสดงบทบาทปฏิเสธผู้นำทหารที่เข้มแข็งจนมีแนวโน้มจะไม่น่าไว้ใจในอนาคต การวิจารณ์ทหารจึงไม่จำเป็นต้องเท่ากับการสร้างประชาธิปไตย อย่างไรก็ดี ปัญหาของแนวการพิจารณาแบบนี้คือ การลดทอนกองทัพให้เป็นแค่ผู้กระทำการที่เฉื่อยชา (passive agent) รวมทั้งไม่ได้สนใจว่าลักษณะทางชนชั้นของผู้นำกองทัพจะส่งผลระเบียบดังกล่าวอย่างไร
[41] แนวการพิจารณานี้ วางอยู่บนการแบ่งแยกระหว่างระเบียบการเมืองที่มีกษัตริย์เป็นประมุข และบทบาทการเมืองของทหาร เพราะมีทฤษฎีและหลักฐานในประวัติศาสตร์เต็มไปหมดที่แสดงให้เห็นว่า สองส่วนนี้เป็นหน่วย (entity) ที่เอกเทศจากกัน ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองหน่วยจึงไม่แน่นอน ไม่มีความจำเป็นที่ฝ่ายใดจะขึ้นต่ออีกฝ่ายอย่างเคร่งครัด โดยกองทัพซึ่งเข้มแข็งมากเกินไปนั้นอาจเป็นอันตรายได้ ทั้งต่อประชาธิปไตยพลเรือน ประชาธิปไตยรัฐสภา สมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรือราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ
สำหรับการพิจารณาบทบาทของกองทัพในประวัติศาสตร์การเมืองไทย โปรดดู Benedict R. O'G Anderson, "Studies of the Thai State: The State of Thai Studies, " in Eliezer B. Ayal (ed.), The Study of Thailand (Athens , Ohio: Ohio Center for International Studies, Southeast Asia Program, 1978), pp. 193-247 แสดงให้เห็นภาพของกองทัพภายใต้กษัตริย์ในช่วงการสร้างรัฐชาติสมัยใหม่ ; ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, ประวัติการเมืองไทย 2475-2500 (กรุงเทพฯ : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2544) พูดถึงความเป็นอิสระทางการเมืองของกองทัพจากกษัตริย์อย่างน่าสนใจ ; Thak Chaloemtiarana, Thailand: The Politics of Despotic Paternalism (Bangkok: Social Science Association of Thailand, 1979) แสดงให้เห็นสภาพที่กษัตริย์และกองทัพเป็นอิสระต่อกัน แต่ก็เกื้อกูลและเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกันในช่วง 2500 ;
Duncan McCargo, "Network Monarchy and Legitimacy Crises in Thailand," The Pacific Review , Vol.18 No.4.(December: 2005), 499-519 แสดงการขยายเครือข่ายของกษัตริย์เหนือกองทัพและประชาสังคม ผ่านองคมนตรีช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา รวมทั้ง ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, " 1 ศตวรรษทหาร กับการเมืองไทย," มติชนสุดสัปดาห์ 9-15 กุมภาพันธ์ 2550 ซึ่งให้ภาพรวมของความสัมพันธ์ระหว่างทหารกับการเมืองไทยได้อย่างกระชับแต่ชัดเจนและมีพลัง
[42] Samuel E. Finer, The History of Government From the Earliest Times Vol. III : Empires, Monarchies, and the Modern State (New York : Oxford University Press, 1997), p.1476.
[43] เพราะเหตุนี้ ลำพังหลักอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน และหลักรัฐบาลโดยฉันทานุมัติจึงไม่ใช่เครื่องประกันความเป็นการเมืองแบบเสรีประชาธิปไตย
[44] Carl Schmitt, The Concept of the Political, trans. George Schwab (Chicago, London: The University of Chicago Press, 1996), pp.45-7.
[45] ดูตัวอย่างการอภิปรายประเด็นนี้ใน เกษม เพ็ญภินันท์, "คุยกับนักปรัชญา: เมื่อ 'ความดี' และ 'คนดี' ทำให้ประชาธิปไตยถอยหลัง," http://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ContentID=5467&
SystemModuleKey=HilightNews&System_Session_Language=Thai[46] Ibid., p.69.
[47] Carl Schmitt, Political Theology: Four Chapters on the Concept of Sovereignty, trans. George Schwab (Cambridge, Massachusetts: The MIT Press, 1988), pp.4-8.
[48] แนวความคิดเรื่อง Meta Law เป็นรากฐานของการเกิดสิ่งที่ Hans Kelsen เรียกว่า grundnorm หรือพื้นฐานของบรรทัดฐานทั้งปวง แนวความคิดนี้เห็นว่า ระบบกฎหมายเสรีนิยมมีคุณลักษณะของ "อภิกฎหมาย" ในแง่ที่ยอมให้อำนาจสามารถแทรกแซงหรือบงการให้มนุษย์ในชุมชนที่มีอารยะ กระทำการซึ่งขัดกับเจตจำนงของเขาได้ หากการใช้เจตจำนงนั้นก่อให้เกิดอันตรายต่อสมาชิกคนอื่นในชุมชนการเมืองเดียวกัน กฎนี้มีลักษณะเป็นคำสั่งเชิงจริยะขั้นเด็ดขาด (categorical imperative) ตามปรัชญาแนวค้านท์ อภิกฎหมายจึงเป็นกฎเกณฑ์ที่ไม่ได้อยู่ในรูปกฎหมาย แต่หักล้างข้อบังคับและกฎหมายลายลักษณ์อักษรได้อย่างสมบูรณ์ ประเด็นทางทฤษฎีที่สำคัญคืออภิกฎหมายไม่ใช่สภาวะพิเศษที่ปรากฎในสถานการณ์ผิดปกติ แต่เป็นกฎเกณฑ์และบรรทัดฐานขั้นสูงที่กฎหมายและระเบียบต่างๆ ต้องปฏิบัติตาม ดู Hans Kelsen, General Theory of Law and State (New Jersey: Lawbook Exchange Ltd. , 2007)
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ทั้งหมด
กว่า 1,300 เรื่อง หนากว่า 25,000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548) เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)gmail.com หรือ
[email protected]
สารบัญเนื้อหา
1-200 I สารบัญเนื้อหา
201-400 I สารบัญเนื้อหา
401- 600
สารบัญเนื้อหา
601-800
I สารบัญเนื้อหา
801-1000 I
สารบัญเนื้อหา
1001-1200
สารบัญเนื้อหา 1201-1400
ประวัติ
ม.เที่ยงคืน
I webboard(1)
I
webboard(2)
e-mail
: midnightuniv(at)gmail.com
[email protected]
สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง
สมเกียรติ
ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็บไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ
ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com