บทความวิชาการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนบนไซเบอร์สเปซทุกเรื่องไม่สงวนลิขสิทธิ์ไปใช้ประโยชน์ทางวิชาการ








Free Documentation License
Copyleft : 2006, 2007, 2008
Everyone is permitted to copy and distribute verbatim
copies of this license
document,
but changing it is not allowed.
บทความลำดับที่ ๑๐๑๑ เผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ตั้งแต่วันที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๔๙
20-08-2547

Midnight's People Politics

บทความฝรั่งมองไทย
เรื่องของตะวันตก โดยชาวตะวันตกเขียนไทย
ไมเคิล ไรท
คอลัมนิสท์หนังสือพิมพ์มติชนสุดสัปดาห์

บทความชุด"ฝรั่งมองไทย" โดย ไมเคิล ไรท ที่ปรากฏบนหน้าเว็บเพจนี้เคยตีพิมพ์แล้ว
ในหน้าหนังสือพิมพ์มติชนสุดสัปดาห์
ประกอบด้วยบทความคัดสรร ๕ เรื่องคือ
๑. การรื้อฟื้นศิลปวิทยา (อีกแล้ว) Renaissance (Once Again)
๒. เวทมนตร์คาถาชนะโลกอย่างไร How Mumbo-Jumbo Conquered the World
๓. การ์ตูนมูฮัมหมัดกับการประท้วงอย่างรุนแรง The Muhammad Cartoons and Violent Protest
๔. โลกทรรศน์ไทย : ฝรั่งเศสและเผด็จการชนชั้นกรรมาชีพ
The Thai : French Worldview and Dictatorship of the Proletariate
๕. ไขปริศนา The Da Vinci Code

midnightuniv(at)yahoo.com

(บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา)
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ 1010
เผยแพร่บนเว็บไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๔๙
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ 10 หน้ากระดาษ A4)

 

เรื่องของตะวันตก โดยชาวตะวันตกเขียนไทย
ไมเคิล ไรท : คอลัมนิสท์หนังสือพิมพ์มติชนสุดสัปดาห์


1. การรื้อฟื้นศิลปวิทยา (อีกแล้ว) Renaissance (Once Again)
ความนำ
ปี พ.ศ.2546 ผมเขียนบทความจำนวนหนึ่งว่าด้วย"การรื้อฟื้นศิลปวิทยา" หรือ "Renaissance" ที่เกิดในยุโรปราว ค.ศ.1400 - 1600
บทความเหล่านั้น (ในมติชนสุดสัปดาห์) รวบรวมตีพิมพ์เป็นเล่มในหนังสือ "ฝรั่งหลังตะวันตก" (ศิลปวัฒนธรรมฉบับพิเศษ, 2547)

ว่าโดยสรุปผมพบว่า :-

1. เราเข้าใจ "เรเนสซองส์" ไขว้เขว เพราะนักประวัติศาสตร์ศิลป์ยึดเป็นวิชาของตนเฉพาะ แล้วเสนอว่าเป็นยุครุ่งโรจน์ทางจิตรกรรม, ประติมากรรม, สถาปัตยกรรม, และวรรณคดีของยุโรปโดยเฉพาะ นี่คือตัวอย่างชาวยุโรป "เพ่งสะดือตัวเอง", ไม่มองโลกภายนอก

2. ที่จริงเรเนสซองส์เป็นยุคเข็ญที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและการต่อสู้อย่างรุนแรงทั้งทางศาสนา, การเมืองชนชั้น, และเศรษฐกิจการค้า, ทำให้เกิดสงครามกลางเมืองและระหว่างเมืองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ที่สำคัญคือความขัดแย้งระหว่างนักคิดเสรี (Individualists) หรือนักมนุษยนิยม (Humanists) กับอำนาจผูกขาดของศาสนจักร (the Church) และชนชั้นเจ้านาย (Feudal Lords) โดยมากนักคิดเสรีจะถูกปราบปรามครั้งแล้วครั้งเล่า

3. เรเนสซองส์ไม่มีเจ้าของ เผอิญยุคนั้นชาวยุโรป (Copernicus) ตรวจได้ว่าลูกโลกไม่ได้เป็นจุดนิ่งกลางจักรวาล หากโคจรรอบดวงสุริยา, และอีกท่าน (Vesalius) ผ่าศพพบว่า หัวใจไม่ใช่ตัวคิดตัวรู้สึก หากเป็นเพียงปั๊มขับโลหิตให้เดิน อย่างไรก็ตาม การค้นพบเหล่านี้ไม่ได้เป็นกรรมสิทธิ์เฉพาะชาวยุโรป, หากเป็นข้อความจริงสำหรับทุกชาติทุกภาษาที่เป็นมนุษย์ด้วยกัน

4. ชาวยุโรปสมัยนั้นสำคัญแต่ว่า เขากำลังต่อสู้วุ่นวาย, ไม่นึกว่ากำลังเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ชาวยุโรปเพิ่งเริ่มใช้คำว่า Renaissance ในคริสต์ศตวรรษที่ 19-20 เมื่อมองย้อนหลังแล้วเห็นว่าวิธีคิด (ซักถาม, ทดลอง) ต่างกับวิธีคิดสมัยกลาง (หลับหูหลับตาท่องตำรา)

5. สุดท้ายผมลองถามว่า ในร้อย-สองร้อยปีนี้เมืองไทยกำลังประสบเรเนสซองส์ของตนเองไหม? เท่าที่เราเห็นมา เรามีแต่ความขัดแย้งและความวุ่นวายและความเลอะเทอะในปัจจุบัน แต่หากมองย้อนหลังจาก 2-3 ร้อยปีข้างหน้าเราอาจจะเห็นว่ายุคนี้เป็นยุคทองที่กำเนิดวิธีคิดใหม่

วิธีมองเรเนสซองส์ใหม่
เมื่อเร็วๆ นี้ผมได้อ่านหนังสือใหม่ The Renaissance Bazaar ของ Jerry Brotton (Oxford U.P. 2002) หนังสือเล่มนี้แต่งขึ้นมาหลังยุคจักรวรรดินิยมและหลังสงครามเย็น, จึงมองเรเนสซองส์ด้วยสายตาใหม่ ปรากฏว่าในขณะเดียวกัน (ค.ศ.1400 - 1600) มีการรื้อฟื้นศิลปินวิทยาอีกมากแห่งยุโรป เช่น:-

- ในตะวันออกกลาง ศิลปวิทยาถึงจุดสุดยอดภายใต้ราชวงศ์ออตโตมานที่กรุงอิสตันบูล, แบกแดด, อิสวาฮาน และไคโร
- ในอินเดีย มีการพัฒนาศิลปวิทยาอย่างไม่เคยมีมาก่อนภายใต้ราชวงศ์โมคุล, และ

- ที่เมืองจีน ราชวงศ์หมิงรื้อฟื้นทุกสิ่งทุกอย่างกลับคืนดียิ่งกว่าสมัยถัง

สิ่งที่ประหลาดมากและน่าศึกษาคือ ทำไมเรเนสซองส์ต่างๆ ในอุษาทวีปต่างบานสะพรั่งแล้วล้มเหลว, ในขณะที่เรเนสซองส์ของยุโรปมีความต่อเนื่องตลอดจนถึงปัจจุบัน? เป็นไปได้ว่า :-

1. ยุโรปพัฒนาด้านศึกสงครามก่อนเพื่อน จึงสามารถบุกรุกปล้นสะดมบ่อนทำลายความเจริญในอุษาทวีป

2. ยุโรปมีศูนย์อำนาจกระจัดกระจาย (Florence, Venice, Basle, Paris, Amsterdam, London ฯลฯ)
แต่ละแห่งอาจจะมีช่วงเสื่อม แต่แล้วมีศูนย์อื่นรับช่วงอย่างต่อเนื่อง, ผิดกับประเทศตะวันออกที่มักมีศูนย์อำนาจเพียงแห่งเดียว (ปักกิ่ง, เดลฮี, อยุธยา ฯลฯ) ซึ่งห่างกันไกลมาก, รับช่วงต่อๆ กันไม่ได้ ดังนั้น เมื่อราชธานีเสื่อม, เรเนสซองส์ของประเทศนั้นก็เสื่อมไปด้วย

3. ในสมัยเรเนสซองส์ในยุโรปเริ่มมีการกระจายอำนาจในสังคมด้วยการพัฒนาการค้า, การลงทุนและเทคโนโลยีการพิมพ์ สามัญชนพ่อค้าชนชั้นกลาง (กฎุมพี) จึงเริ่มมีโอกาสศึกษา และมีอำนาจซื้อพอที่จะมีบทบาทในการส่งเสริมศิลปวิทยา, ผิดกับอุษาทวีปที่โดยมากอำนาจและสิทธิคิดเสรีเป็นของชนชั้นเจ้านายโดยเฉพาะ, ชนชั้นกลางไม่เกิด, และประชาชนโดยทั่วไปไม่มีบทบาทใดๆ ในการรื้อฟื้นศิลปวิทยา

ผมว่าท่านผู้อ่านควรเลือกคำตอบตามวิสัยหรือคิดคำตอบขึ้นมาเองตามอัตวิสัย

นอกนี้หนังสือ Renaissance Bazaar ยังมีข้อสังเกตน่าคิดหลายอย่าง เช่น :

- เลขอาหรับที่ใช้กันทุกวันนี้, ฝรั่งเรียกว่า "เลขอาหรับ" เพราะยืมอาหรับเขามา, แต่ชาวอาหรับเรียกตัวเลขที่แสนสะดวกเหล่านี้ว่า "เลขฮินดู" เพราะเขายืมมาจากอินเดีย. ทั้งนี้แสดงว่า เรเนสซองส์ ไม่ได้เกิดจากความเจริญภายในและไม่ได้เป็นของชาติหนึ่งชาติใด, แต่เกิดจากการมองออกไปข้างนอกและยืมเขามาอย่างเฉลียวฉลาด (และขี้โกง เช่น โปรตุเกส ขโมยแผนที่อาหรับถึงรู้หนทางในมหาสมุทรอินเดีย)

- เรเนสซองส์ ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องสวยๆ งามๆ ดังที่นักประวัติศาสตร์ศิลป์เสนอ, หากเป็นเรื่องการค้าการลงทุน, ความขัดแย้งทางสังคม การเมือง และการต่อสู้เพื่อสิทธิความคิดเสรี

นอกนี้ เรเนสซองส์ยังมีด้านลบ, ด้านมืด (The Black Side) คือเป็นยุคเบียดเบียนทางศาสนาที่ทารุณยิ่งระหว่างฝ่ายอนุรักษนิยมกับฝ่ายปฏิรูป มันเป็นยุคล้างชาติทำลายวัฒนธรรมดั้งเดิมในทวีปแอฟริกา และอเมริกา, เป็นจุดเริ่มต้นของทุนนิยมสมัยใหม่พร้อมกับการค้าทาสเป็นหลักเศรษฐกิจ, และเป็นยุคที่โลกคริสต์และโลกมุสลิมหักเหเป็นศัตรูอาฆาตกัน

ความส่งท้าย
นังโมหิณีแมวแสนรู้ขอฝากคำถามไว้กับท่านผู้อ่านว่า
ทำไมเรเนสซองส์ต่างๆ ของชาวเอเชียจึงล้มเหลว? และทำไมเรเนสซองส์ของยุโรปจึงยั่งยืนจนกลายเป็นวัฒนธรรมระดับโลกทุกวันนี้? เพราะฝรั่งคิดประดิษฐ์ปืนร้ายแรงก่อนเพื่อน? หรือเพราะฝรั่งคิดแท่นพิมพ์หนังสือให้ประชาชนจำนวนมากรู้เห็นโลก และชีวิตของตน?

ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น อีแมวเหมียวจะไปตัดสินใจได้อย่างไร?
สุดท้ายนี้ผมขอเสริมต่อคำถามของอีโมหิณีด้วยคำถามใหม่ที่นักคิดดีๆ ชาวตะวันตกกำลังถามกันคือ :-

"เรเนสซองส์ของตะวันตกกำลังหมดน้ำยาหรือ? สังคมนิยมพ่ายยับแล้ว ทุนนิยมกลายเป็นโจราธิปไตย และขบวนการล้วงกระเป๋า แล้วเราจะเอาอุดมการณ์ใดอุดแทน?"

ทั้งผมและนังโมหิณีหมดปัญญา ท่านผู้อ่านโปรดช่วยคิด… ส่วนผม (ไมเคิล ไรท, ไม่ใช่อีแมวบ้า) เชื่อว่าเมืองไทยกำลังเกิดเรเนสซองส์จริง ทั้งนี้ เพราะเรเนสซองส์เป็นขบวนการวุ่นวาย, ขัดแย้งและท้าทาย, เมืองไทยกำลังวุ่นวายก้นขวิดหัวคว่ำไม่ใช่หรือ? ดังนั้น ผู้รักศิลปวิทยาและเสรีภาพคงจะต้องสู้ต่อไปไม่ให้ใครดึงแผ่นดินกลับสู่ยุคมืด, ยุคเงียบ, ยุคงมงาย "ตามท่านผู้นำ"

(อนึ่ง สำนักพิมพ์มติชนหมายจะแปลและพิมพ์หนังสือ Renaissance Bazaar เป็นฉบับภาษาไทย ชื่อหนังสือยังไม่กำหนดกัน แต่น่าจะเป็น "ตลาดนัดเรเนสซองส์" หรืออะไรทำนองนั้น ท่านผู้อ่านช่วยดู)

2. เวทมนตร์คาถาชนะโลกอย่างไร How Mumbo-Jumbo Conquered the World
ความนำ
หนังสือ How Mumbo-Jumbo Conquered the World โดย Francis Wheen (Harper Perennial, London, 2004) มีชื่อรองว่า "A Short History of Modern Delusions" (ประวัติสังเขปความหลงสมัยใหม่) ผมอ่านแล้วเห็นว่า เขาวิเคราะห์สถานการณ์โลกปัจจุบันได้ดีว่ามันเกิดจาก ความหลง ทางปรัชญาด้านเศรษฐกิจสังคมและการเมือง, และยังอาจจะช่วยให้เราเข้าใจความเหลวไหลของสถานการณ์การเมืองในเมืองไทยอีกด้วย

ในบทนำเขาชี้ให้เห็นว่า ตั้งแต่ "ยุคได้ความสว่าง" (The Enlightenment ราวคริสต์ศตวรรษที่ 17-18) โลกตะวันตกเริ่มหลุดพ้นจากความงมงายด้วยเหตุผลนิยม (Rationlism), เสรีนิยม (Liberalism) และมนุษยนิยม (Humanism) แน่นอนทีเดียว ความเจริญดังกล่าวเดินล้มลุก, บางครั้งล้มอย่างแสนสาหัส, แต่ว่าโดยทั่วไปมีก้าวมากกว่าถอย

ว่าโดยสรุปในระยะดังกล่าว รัฐที่เจริญห้ามทรมานนักโทษหรือผู้ต้องสงสัยเป็นอันขาด, เลิกประหารชีวิตประจาน, และหาทางบรรเทาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจสังคม หลังสงครามโลก รัฐที่เจริญมีปฏิญญาเลิกล่าเมืองขึ้น, จะรักษาสิทธิมนุษยชน, เลิกประหารชีวิตทุกกรณี, และตั้งสหประชาชาติประนีประนอมปัญหาระหว่างประเทศ ฯลฯ แต่ในระยะหลังๆ นี้ดูเหมือนกับว่า "โลกที่เจริญ" กำลังถอยหลังกลับสู่ความงมงายและความป่าเถื่อน :- มติสหประชาชาติถูกละเมิดหน้าตาเฉย, มีการล่าเมืองขึ้นใหม่ (อิรัก), รัฐอ้างสิทธิทรมานผู้ต้องสงสัย ฯลฯ อีกมากมาย

นาย Wheen จับได้ว่า ความถอยจากเหตุผลนิยม, เสรีนิยมและมนุษยนิยม นี้ เริ่มเกิดเมื่อปี ค.ศ.1979 (พ.ศ.2522)

ชัยชนะของสองศาสดา
ในปี ค.ศ.1979 มีสองศาสดาขึ้นเถลิงอำนาจ, คือ Ayatollah Khomeini ในอิหร่าน และ Margaret Thatcher ในอังกฤษ, ซึ่งต่างมีโลกทัศน์ชัดเจนสำเร็จรูปว่า อนาคตของโลกที่ดีควรเป็นอย่างไร? ในกรณีอิหร่าน ท่านอิหม่ามหมายจะพาประเทศ (และโลกมุสลิมทั้งหมด) กลับไปสู่อดีตอันอุดม (Ideal Past) เมื่อท่านนบีโมฮัมหมัดครองแผ่นดินด้วยธรรม (อิสลามแท้) ท่านจึงก่อตั้ง รัฐเทวนิยม (Theocracy) ที่มีศาสนาจารย์ (บรรดาอิหม่าม) เป็นผู้นำ

เราพอเห็นใจท่านอิหม่ามได้บ้างเพราะ :-

1. งานของท่านเป็นปฏิกิริยาต่อต้านพระเจ้าซาร์ที่เป็นสมุนตะวันตก เหยียดหยามทำลายคนดีอิหร่านจนประชาชนส่วนใหญ่ทนไม่ได้
2. ท่านสุจริตอ้างแต่เทวศาสตร์และพระคัมภีร์, ไม่อวดศาสตร์สมัยใหม่ เช่น เศรษฐศาสตร์หรือรัฐศาสตร์

อย่างไรก็ตาม การปฏิวัติของท่านอิหม่ามไม่ได้นำประเทศสู่ความอุดมสุข, หากก่อความยุ่งเหยิงขัดแย้งระส่ำระสายอีกต่อมาจนถึงปัจจุบัน

ในกรณีอังกฤษ นาง Thatcher ไม่รู้เรื่องประวัติศาสตร์ ไม่สนใจอดีต จึงมุ่งจะพาประเทศ (และโลกตะวันตกทั้งหมด) เข้าสู่อนาคตอันอุดม (Ideal Future) ว่าอีกนัยท่านเป็น "ศาสดา" อีกคนที่มีโลกทัศน์แน่ชัดสำเร็จรูป. หลักธรรมของนาง Thatcher มีอยู่ว่า "สังคมไม่มีตัวตน, มีแต่ผู้ชนะและผู้แพ้" (There is no such thing as society, only winners and losers.)

แต่หลักธรรมเอกคือ "กลไกตลาดเสรีสามารถอำนวยความยุติธรรมและความอุดมโดยทั่วกัน" (Free market mechanisms ensure justice and prosperity for all.) นี่หรือคือเศรษฐศาสตร์ (ว่าด้วยวัตถุ)? หรือเทวศาสตร์ (Theology)? หรือความเชื่องมงาย (Superstition)?

ตลาดเสรีมีจริงหรือ? หรือเป็นสัตว์ที่จินตนาการขึ้นมา เช่น คชสีห์ หรือกินนร-กินนรี? หากตลาดเสรีมีขึ้นมาจริง, ในไม่ช้าจะต้องมี "มือลับ" (Invisible Hands) เข้ามาล้วงละเมิดบ่อนทำลายเพื่อหาประโยชน์ส่วนตัว ว่าอีกนัย ตลาดเสรีเป็นเพียงความงมงายเพ้อฝันถึง "อำนาจศักดิ์สิทธิ์" ที่ไม่มีใครมองเห็น แต่ทุกคนต้องนบนอบยอมรับ

ในกรณีสหรัฐ Ronald Reagen เป็นศิษย์เอกของลัทธิแทตเชอริสม์ ที่นำลัทธินี้ไปใช้ในอเมริกา, แล้วตระกูล Bush และบรรดาเจ้าพ่อบรรษัทน้ำมันนำไปใช้ในระดับโลก มีการรื้อฟื้นลัทธิล่าเมืองขึ้น, ละเมิดมติสหประชาชาติ, และประกาศสิทธิของรัฐที่จะทรมานผู้ต้องสงสัย ในสหรัฐเองเศรษฐกิจและระบบประชาธิปไตยถูกบ่อนทำลายยับเยินเพื่อเสริมอำนาจและรักษาผลประโยชน์ของบรรษัทใหญ่ ในขณะเดียวกันมีการเสริมเสียงชาวคริสต์บ้าลัทธิ (Christian Fundamentalists) และสวัสดิการรัฐถูกตัดงบประมาณ ฯลฯ

ที่น่ากลัวและน่าสลดใจที่สุดคือ ภาษาถูกบ่อนทำลาย แต่ก่อน Liberal หมายถึงคนคิดเสรีที่หวังดีต่อเพื่อนมนุษย์ บัดนี้ฝ่ายขวาจัดแย่งคำ Liberal ให้หมายถึง "คนนิยมตลาดเสรี" แล้วป้ายสีว่า Liberal เก่าคือพวกล้าหลังงี่เง่าไม่รู้เรื่อง

นายวีนสรุปว่า ค่านิยม (เหตุผลนิยม, เสรีนิยม, มนุษยนิยม) ที่เราได้รับเป็นมรดกจาก "ยุคได้ความสว่าง" แล้วอุตส่าห์พัฒนาด้วยความเจ็บปวด และความเสียสละนั้น กำลังถูกทำลายต่อหน้าต่อตา พวก "คิดใหม่ทำใหม่" ฝ่ายขวากำลังดึงมนุษย์กลับสู่ยุคมืดที่ "อำนาจ" และ "ทรัพย์" เป็นตัวนำ ส่วนเหตุผล, เสรีภาพ และมนุษย์ ต่างเหลวไหลไม่มีคุณค่าหรือความหมาย

ในกรณีเมืองไทยเราเห็นได้ไม่ยากว่า นักคิดในพรรคไทยรักไทยได้หลงเสน่ห์นโยบายของพรรครีพับลิกันของสหรัฐ ซึ่งนำโดยนักคิดขวาจัดที่เรียกกันว่า อนุรักษนิยมแนวใหม่ (Neo-Cons) นโยบายหลักคือ

1. ควบคุมสื่อมวลชนอิสระและองค์กรอิสระที่มีหน้าทีทักท้วงรัฐ,
2. ใช้อำนาจโดยไม่ฟังเสียง ไม่ไว้หน้าใคร (Authoritarianism)
3. นำ "ตลาดเสรี" มาใช้ ซึ่งในภาคปฏิบัติหมายความว่า "ใครมือยาวสาวได้สาวเอา"

บางท่านอาจจะทำโดยบริสุทธิ์ใจ คือเชื่อว่านี่คือวิธีนำประเทศสู่ความเจริญสุข บางท่านอาจจะทำโดยทุจริตใจ คือโลภหวังได้ลาภยิ่งๆ ขึ้น แต่ประเด็นที่ทุกฝ่าย (ทั้งคนดีและคนชั่ว) มองข้ามคือ เขากำลังทำลายค่านิยมดีงาม (เหตุผลนิยม, เสรีนิยม, มนุษยนิยม) ที่คนไทยดีๆ ได้พัฒนาขึ้นมาด้วยความยากลำบากมาช้านานแล้ว

คนจำนวนมากประท้วงคุณทักษิณทำไม?
ไม่ใช่เพราะเขาติดกิเลส โกรธ โลภ หลง, แต่เพราะเขาอยากรักษาค่านิยมและความเจริญทางสังคมเท่าที่ได้สะสมมา และไม่ยอมให้ Mumbo Jumbo กลับคืนมาครองเมืองไทยอีก

3. การ์ตูนมูฮัมหมัดกับการประท้วงอย่างรุนแรง The Muhammad Cartoons and Violent Protest
ท่านนะบีมูฮัมหมัด, เปอร์เซีย, คริสต์ศตวรรษที่ 16
ผมควรเขียนบทความนี้หรือ? ผมเป็นกลางจริงหรือ? และเป็นกลางเพียงพอหรือ?
ผมเคารพศาสนาคริสต์แต่ไม่เคารพชาวคริสต์ปลอม (อย่างนายบุช) ที่อ้างว่า รู้พระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า จึงเปิดศึกสงครามกับประเทศในโลกมุสลิม (และยิ่งไม่เคารพคนอย่าง โทนี่ แบลร์ ที่เห็นนายบุชเป็นโฆษกของพระผู้เป็นเจ้า). ในขณะเดียวกัน ผมเคารพศาสนาอิสลาม แต่ไม่เห็นด้วยกับชาวมุสลิมที่อ้างว่ารู้พระประสงค์ของพระอัลเลาะฮ์, ว่าพระองค์ทรงนิยมการก่อการร้าย

คนดีๆ ในโลกนี้ย่อมอยากรู้พระประสงค์, จะได้ทำตามให้ชีวิตของตนงามและมีความหมาย, ให้มีความสัมพันธ์อันดีงามกับเพื่อนมนุษย์ให้สังสารวัฏ, และให้โลกเจริญด้วยความดี ความงาม และความจริง. น่าเสียดายที่พระองค์ท่านไม่เคยเสด็จมา "กระซิบข้างหู" ใคร ดังนั้น คนเราต่างต้องหมั่นเพียรศึกษาถามหา พระประสงค์แต่น้อยจนตาย ส่วนใครอวดว่าตน "รู้ใจพระ" มักเป็นความกะล่อนที่ควรสงสัย

การ์ตูนนะบีมูฮัมหมัด
ท่านผู้อ่านเคยเห็นภาพการ์ตูนที่เป็นปัญหาไหม? ผมไม่เคยเห็นเช่นกัน, แต่อ่านเรื่องราวจากหน้าหนังสือพิมพ์อังกฤษ (Independent 5/2/2006) ว่าเรื่องทั้งหมดมีเบื้องหลังดังนี้ :-

กลางปีที่แล้ว นาย Kaare Bluigen (นักเขียนสารคดีสำหรับเด็กๆ ชาวเดนมาร์ก) นึกเห็นว่าเด็กๆ ไม่รู้เรื่องโลกอิสลาม จึงมีใจกุศลคิดจะแต่งหนังสือชีวประวัติท่านนะบีมูฮัมหมัดสำหรับเด็ก เพื่อสร้างความเข้าใจและความเคารพระหว่างคนต่างศาสนา (เล่มนี้ดี-ร้ายอย่างไร ผมไม่รู้เพราะไม่เคยอ่าน) แล้วเขาเจอะปัญหา :- หนังสือเด็กต้องมีภาพประกอบถึงจะถูกใจเด็ก, แต่ท่านนะบีมูฮัมหมัดมีรูปร่างสัณฐานหน้าตาอย่างไร?

เขาปรึกษาบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ Jyllands-Posten บรรณาธิการจึงวานเพื่อนนักเขียนการ์ตูนให้ช่วยกันคิดรูปภาพท่านมูฮัมหมัด ผลก็คือ ภาพสิบสองรูปที่เขานำไปพิมพ์ในรายวันผมไม่เคยเห็น, แต่เขาว่าสิบเอ็ดภาพเป็นรูปชายสูงอายุ, มีเคราสีขาว, แต่งชุดอาหรับ, ดั่งฝรั่ง พอนึกได้ แต่มีอยู่รูปหนึ่งมีลูกระเบิด (Bomb) ผูกอยู่ในผ้าโพกหัว

ผมไม่รู้ใจคนเขียนรูป, แต่สงสัยว่า

1.เขาคงเข้าใจคำสั่งของบรรณาธิการผิด, หรือ
2.เขาโง่บัดซบสุดขีด

การประท้วงขึ้นต้นที่เดนมาร์กอย่างสมเหตุสมผล, แต่แล้วข่าวกระจายไปทั่วโลกมุสลิม (ที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยดูภาพต้นเหตุและไม่รู้เบื้องต้น) จนกลายเป็นการจลาจลวุ่นวาย ลอบฆ่าคน จับเชลย เผาร้าน บุกสถานทูต. ผมเห็นด้วยว่าชาวมุสลิมมีสิทธิและสมควรจะประท้วงการ์ตูนครั้งนี้ แต่การ์ตูนอยู่ในหมวดหรือระดับ "การสื่อสาร" ดังนั้น ผู้ประท้วงก็ควรมีปฏิกิริยาในระดับ "สื่อสาร" เช่นกัน, คือควรแสดงความไม่พอใจด้วยวาจาคำเขียน อธิบายว่าการ์ตูนฉบับนี้บาดใจชาวมุสลิมมากเพียงใด และทำไม อย่างนี้ชาวตะวันตกที่เข้าใจและเห็นใจโลกมุสลิมจะได้มีข้อมูลดีๆ ไว้ในมือเพื่อเถียงและพยายามยับยั้งอันธพาลระดับโลก (ตะวันตก)

แต่เมื่อชาวมุสลิมบางกลุ่มประท้วงการ์ตูน (เลวๆ โง่ๆ) ด้วยกิริยารุนแรงสุดขีด, ชาวตะวันตกที่หวังดีต่างขายหน้าและต้องหุบปาก, ขณะที่พวกหวังร้ายต่างได้ใจชี้หน้าพลางอวดว่า "ดูซิๆ, บอกไม่เชื่อ! แขกบ้า, ใช้แต่ความรุนแรง, พูดกันไม่รู้เรื่อง!" (ผมทราบดีอยู่ว่า "บุชและแบลร์เป็นฝรั่งบ้า, ใช้แต่ความรุนแรง, พูดกันไม่รู้เรื่อง!" เป็นความจริง, แต่เป็นคนละเรื่อง)

ตามหนังสือพิมพ์ในโลกตะวันตกมีการ์ตูนดีๆ เยอะแยะ ประณามบุช, แบลร์, ชารอน และการรณรงค์สงครามอย่างผิดหลักนิติธรรมและมนุษยธรรมในตะวันออกกลาง, แต่ไม่เห็นชาวมุสลิมผู้ใดออกมาสรรเสริญหรือขอบใจ

ผมเข้าใจว่าทำไมชาวมุสลิมเสียใจมากกับการ์ตูนล้อท่านนะบีมูฮัมหมัด, แต่ผมสันนิษฐานว่าผู้เขียนการ์ตูนไม่ได้เจตนาประทุษร้าย, เพราะตัวไม่รู้เรื่องศาสนาอิสลาม ดังนั้น จะโกรธเขามากได้อย่างไร? เป็นไปได้ไหมว่า ที่ชาวมุสลิมบางคนเต้นเป็นกาเป็นแร้งโกรธการ์ตูนนี้ เป็นพฤติกรรมที่จิตแพทย์เรียกว่า Displacement (เบนจุดมุ่งหมายของอารมณ์, หรือการสลับตัวของความโกรธ) เช่น ผัวโกรธเมียก็เตะหมา?

ขอให้พิจารณาการ์ตูนนี้เถิด :- เราควรใช้พลังประท้วงอะไรกันดีกว่า?
คนหวังดีย่อมไม่อยากให้ใครโกรธกันทั้งนั้น, แต่จำเป็นต้องเห็นใจชาวมุสลิมบางกลุ่มที่มีใจเคียดแค้นในเรื่องความโหดร้ายทารุณยิ่งของตะวันตก. ดังนี้ คนหวังดีไม่อยากเห็นชาวมุสลิมเบนอารมณ์จากเรื่องหนักๆ มาเสียเวลาเล่นงานนักเขียนการ์ตูนที่ไม่มีรสนิยม, ไม่มีอารมณ์ขัน, ไม่มีความรู้, ไม่มีฝีมือ, และไม่มีใครรู้จักมาก่อน

4. โลกทรรศน์ไทย : ฝรั่งเศสและเผด็จการชนชั้นกรรมาชีพ
The Thai : French Worldview and Dictatorship of the Proletariate

ความนำ
อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ เคยเขียนลงมติชนสุดสัปดาห์เมื่อไม่นานมานี้ ว่าทำไมท่านจึงไม่ร่วมขบวนการขับไล่คุณทักษิณ ท่านว่าจะไล่เขาไปทำไม ในเมื่อคนในสังคมอีกจำนวนมากยังมีโลกทรรศน์, ค่านิยม และอุดมการณ์เช่นเดียวกับคุณทักษิณ? เราจะขจัดจ่าฝูงหมาป่าก็น่าสะใจ, แต่จะมีประโยชน์อะไรในเมื่อหมาป่ายังจัดเป็นฝูงอยู่และพร้อมจะแต่งตั้งจ่าฝูงใหม่ได้ทุกเมื่อ?

บทความของอาจารย์นิธินี้ชวนให้ผมสงสัยว่า ทำไมสังคมไทย (โดยมาก) นิยม "เอกรัฐรวมศูนย์" (Unitary Centralized State) ที่มีกฎหมายบัญญัติตายตัว, มีราชการเผด็จการคุมชีวีตทุกด้าน (วัฒนธรรม, ภาษา, การศึกษา ฯลฯ), และมีผู้นำรัฐบาล "อำนาจนิยม" (Authoritarian) คุมเศรษฐกิจและเล่นมายากลกับความทุกข์-สุขของประชาชนได้ทุกเมื่อ? และทำไมคนไทยจำนวนไม่น้อยยินยอมอยู่ในอุปถัมภ์ของรัฐบาลที่มีพฤติกรรมไม่น่าไว้วางใจ?

มีคนอธิบายต่างๆ นานา, เช่น "การศึกษาดีๆ แพร่ไม่ถึง", "รัฐบาลคุมสื่อไฟฟ้า" ฯลฯ ซึ่งก็มีส่วนจริงบ้าง แต่ผมยังรู้สึกว่า น่าจะมีสาเหตุลึกกว่านั้น, เป็นเหตุทางประวัติศาสตร์ที่ถูกอำพราง, ใครๆ (รวมทั้งผม) จึงมองไม่เห็น

ในที่สุด ผมถึงบางอ้อครั้งยิ่งใหญ่เมื่ออ่านหนังสือ Sixty Million Frenchmen Can"t Be Wrong (What makes the French so French?) โดย Jean-Beniot Nadeau & Julie Barlow (Robson Books, London, 2004)

นักเขียนสองคนผัวเมียนี้เป็นชาวแคนาเดียน, ไปอยู่ฝรั่งเศสสามปีเพื่อศึกษาว่าทำไมฝรั่งเศสจึงไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน? และทำไมฝรั่งเศสยังเป็นประเทศชั้นนำของโลกทั้งๆ ที่ระบบการเมืองหัวขวิดก้นคว่ำตลอดมา? ผลการศึกษาครั้งนี้น่าจะเป็นที่น่าสนใจสำหรับชาวไทยที่กำลังงงงันกับสถานการณ์บ้านเมืองปัจจุบัน

กรณีฝรั่งเศส
ปรากฏว่า ใน 200 ปีเศษหลังปฏิวัติยกเลิกระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (1789) ฝรั่งเศสเคยเป็นสาธารณรัฐ 5 ครั้ง, จักรวรรดิ 2 ครั้ง, ราชอาณาจักร 3 ครั้ง, และเผด็จการฟาสซิสต์ 1 ครั้ง; ใน 12 ปีหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เคยเปลี่ยนรัฐบาลถึง 20 ครั้ง! โดยเทียบแล้วเมืองไทยเรียบร้อยราบรื่นกว่ากันตั้งแยะ

ทำไมเป็นเช่นนี้? หนังสือเล่มนี้แต่งขึ้นมาให้คนพูดภาษาอังกฤษอ่าน, เขาจึงขึ้นต้นโดยยกอังกฤษและสหรัฐเป็นแนวเทียบ :- อังกฤษ ค่อยๆ พัฒนาสังคมและสถาบันการเมืองโดยวิธีทดลอง (Empiricism), ไม่มีใครบังคับบัญชาตามอุดมการณ์ (Idealism) ดังนั้น อังกฤษจึงได้ระบบ "ยืดหยุ่นหลากหลาย" (Flexible & Diverse); จุดไหนเกิดฝืดเคืองก็จะคิดกลไกแก้เฉพาะกิจ (Adhoc Solution)

สหรัฐอเมริกา เมื่อแรกปฏิวัติ (1775-1783) ก็ตั้งใจจะก่อตั้งรัฐตามหลักเหตุผลและอุดมการณ์ (Rationalism Idealism) แต่ทำไม่ได้ เพราะอาณานิคมอังกฤษในอเมริกาก่อตั้งเป็น 13 รัฐอยู่แล้ว, และแต่ละรัฐไม่ยอมสลายตัว ดังนั้น ต้องประนีประนอมกัน, ยืดหยุ่นรักษาความหลากหลายให้แต่ละรัฐมีรัฐบาลและกฎหมายของตนเอง, และรัฐบาลกลาง (ที่วอชิงตัน) มีบทบาทจำกัด. ความผูกพันแบบสหพันธ์ (Federalism) นี้เป็นที่ถกเถียงตลอดจนถึงทุกวันนี้

ฝรั่งเศส มีประสบการณ์ตรงกันข้ามกับอังกฤษและสหรัฐ นักปราชญ์ที่นำการปฏิวัติฝรั่งเศส (1789) ตั้งใจจะก่อตั้งสาธารณรัฐ (Republic) ที่เป็น "เอกรัฐรวมศูนย์" (Unitary Centralized State) ตามหลักเหตุผลอุดมคติ (Ideal Rationalism), และผู้ที่สืบทอดอำนาจต่อไป (เช่น ขุนศึกนโปเลียน) ก็สืบทอดเจตนารมณ์นี้ตลอดมา

หลักการนี้หมายความว่า ประเทศจะต้องมีศูนย์กลางเดียว (กรุงปารีส), มีศูนย์อำนาจเดียว (แต่ศูนย์นั้นจะอยู่ที่กระทรวงมหาดไทยหรือทำเนียบรัฐบาล, ยังเป็นปริศนา), และกฎหมายเป็นฉบับเขียนตายตัว (Napoleonic Code) ไม่มีทางยืดหยุ่น ตีความตามประเพณีดังมีกันในกฎหมายอังกฤษ

หลักการสำคัญของนักปราชญ์ปฏิวัติฝรั่งเศสคือ "ราษฎรเป็นคนในบังคับของรัฐ" (Citizens one subjects of the State) จึงไม่ควรมีการจัดตั้งองค์กรใดๆ ในระดับท้องถิ่นหรือชุมชนที่อาจจะขวางกั้นระหว่างราษฎรกับรัฐ
ดังนั้น ฝรั่งเศสจึงกลายเป็น "รัฐราชการ" (Bureaucratic State) ที่ระบบราชการ (ที่จริงควรเรียกว่า "รัฐการ") มีอำนาจเชิงเผด็จการ และมีหน้าที่บ่อนทำลายความหลากหลายเสรีท้องถิ่น และปราบปรามการก่อตั้งองค์กรสามัคคีชุมชนที่อาจจะท้าทายอำนาจของรัฐ

ผลก็คือ ในบรรยากาศดังกล่าว, ประชาธิปไตยฝรั่งเศสพัฒนาภาคปฏิบัติได้ยาก ประชาชนจะมีส่วนร่วม (Participate) ได้ก็มีทางเดียว, คือลุกเป็นขบวนประท้วงตามท้องถนน, ซึ่งมีประจำทุกวันในกรุงปารีส บางครั้งถึงขั้นเป็นจลาจล คุณผู้อ่านเห็นหรือยังว่า เมืองไทยกับฝรั่งเศสมีอะไรคล้ายกัน

กรณีเมืองไทย
เป็นที่สังเกตว่า :-

1. กฎหมายไทยร่างขึ้นมาตามแบบกฎหมายฝรั่งเศส (Napol Code) เป็นหลัก กฎหมายทำนองนี้ดีมาก เพราะชัดเจนตายตัวไม่ต้องสงสัย, จึงมีการใช้กันแพร่หลายทั่วโลก แต่ก็ยังมีข้อเสียตรงที่เป็น "คัมภีร์" (Written Text) ชวนให้ผู้พิพากษากลายเป็น "คัมภีราจารย์" ตีความตัวบท (Text) โดยไม่คำนึงถึง "เจตนารมณ์เบื้องหลัง" (Spirit of the Law) หรือ "บริบททางสังคมและประเพณี" (Social and Customary Context)

2. ในการปฏิวัติสยาม (1932/2475) ผู้นำทางความคิดล้วนเป็นนักเรียนฝรั่งเศส ท่านจะเจตนาอย่างไรเราไม่ทราบ, แต่ท่านได้ก่อตั้งสยาม/ไทยแลนด์ใหม่ให้เป็น "เอกรัฐรวมศูนย์" (Centralized Unitary State), มี "รัฐนิยม" และหน่วยราชการควบคุมชีวิตประจำวันของราษฎร (ภาษา, วัฒนธรรม, ประเพณี) ขจัดความหลากหลาย, และมีมาตรการทำลายความสามัคคีชุมชนเสรีไม่ให้ผุดไม่ให้เกิด, หรือหากเกิดแล้วต้องเด็ด

ด้วยเงื่อนไขดังกล่าว, เป็นการแปลกไหมครับ, ที่ประชาธิปไตยไทยจึงเดินล้มลุกคล้ายระบบการเมืองฝรั่งเศสตลอดมา?

ปัจจุบันและอนาคต
ในบทความครั้งก่อน (มติชนสุดสัปดาห์ 5-11 พ.ย.) อีนังโมหิณี, แมวมาร์กซิสต์ของผม, ได้ฉวยความไม่มั่นคงของประชาธิปไตย สร้างความแตกแยกเป็นสองค่าย (โปร และ แอนตี้-ทักษิณ) ในขณะเดียวกันท่านพยายามใช้ลัทธิเลนินปลุกระดมชาวชนบทเป็นแนวสนับสนุน, คล้ายกับว่าจะก่อตั้ง "เผด็จการชนชั้นกรรมาชีพ" ด้วย "19 ล้านเสียง"

มาล่าสุด ท่านเล่นแร่แปรธาตุให้ตัวท่านดูเป็น "ผู้พิทักษ์ประชาธิปไตย" และศัตรูของตนดูเป็น "ผู้บ่อนทำลายประชาธิปไตย" ดังนั้น, หากศาลต่างๆ ขาดกึ๋นจริงๆ, ประชาชนชาวไทยคงต้องเดินประท้วงตากแดดตากฝน (คล้ายประชาชนชาวฝรั่งเศส) อีกต่อไป, เพื่อป้องกันไม่ให้ระบบ โจราธิปไตย ตั้งถาวรในคราบของ เผด็จการชนชั้นกรรมาชีพ

ระบอบประชาธิปไตยถูกบิดเบือนบ่อนทำลายเสียแล้ว จึงจำเป็นต้องสะสางเรื่องนี้เสียก่อน การจะรื้อฟื้นประชาธิปไตยกลับคืนมา, ค่อยว่ากันทีหลัง เมื่อบรรดาภูตผีปีศาจถูกไล่กลับป่าช้าจริงๆ, ไม่ใช่เพียงอ้างว่า "เว้นวรรค" แล้วใช้สมุนโผล่ออกจากโลงแหกตาแหกปากหลอกหลอนชาวบ้านตามสถานีทีวีของรัฐ

5. ไขปริศนา The Da Vinci Code
ตั้งแต่ผมยังหนุ่มผมอยากเป็นนักวิจารณ์ภาพยนตร์ผู้มีชื่อเสียง แต่ที่ไหนได้? ผมมีแต่ชื่อเสียเพราะชอบวิจารณ์หนังที่ผมไม่เคยดู เช่น สอง-สามปีที่แล้วผมวิจารณ์ The Passion of The Christ (ที่ผมไม่ได้ดูและไม่กล้าดู) จนได้ปฏิกิริยาอย่างน่าสนใจ ผู้อ่านบางท่านโกรธผมมาก โดยมากเป็นชาวพุธหรือชาวคริสต์ที่ไม่สันทัดหลักการและประวัติศาสตร์พระศาสนา

บางท่านก็มีแก่ใจเขียนมาสนับสนุนผม โดยมากเป็นชาวคริสต์ที่ถนัดหลักศาสนาของตน และทราบถึงปัญหาของศาสนาในประวัติศาสตร์ มาคราวนี้ (กลางเดือนพฤษภาคม) มีชาวคริสต์บางกลุ่มออกมาประท้วงภาพยนตร์ The Da Vinci Code บางท่านอยากห้ามไม่ให้ฉาย บางท่านอยากให้ตัดแต่ง (Censor) บ้าง

ผมไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ แต่เคยอ่านหนังสืออย่างละเอียดถี่ถ้วนจึงรู้เรื่องพอสมควร และพออธิบายได้ถึงแก่นสารหรือเจตนารมณ์ของผู้ประพันธ์ แน่นอนทีเดียว ผมเห็นใจชาวคริสต์ที่ประท้วงหนังเรื่องนี้ แต่สงสัยว่าท่านใจละเอียดหรือคิดมากไปหน่อย ผมเห็นดังนี้เพราะ :-

1. The Da Vinci Code เป็นเพียงนิยาย (Fiction) ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ (History) คนไทยแยกแยะออกจากกันได้ไหม?

2. มันเป็นนิทานนักสืบ (Detective Novel) หรือ ฆาตกรรมปริศนา (Murdes Mystery) สมัยใหม่ที่ไม่เกี่ยวกับองค์พระเยซูคริสตเจ้า และองค์พระเยซูไม่เกี่ยวข้อง พระเยซูไม่มีบทบาททั้งสิ้นใน The Da Vinci Code ที่มุ่งหมายจะเล่นงานพระศาสนจักรคาทอลิก (ที่เคยมีอำนาจทางการเมืองมากในโลกตะวันตก) กับองค์กร Opus Dei (ที่ชาวตะวันตกหลายคนสงสัยว่ามุ่งจะยึดอำนาจรัฐโดยทางลับ) อย่างไรก็ตาม ผู้ใหญ่ฝ่ายคาทอลิก และ Opus Dei โดยมากไม่ค่อยออกโรงต่อต้านหนังเรื่องนี้ เพราะรู้ๆ อยู่ว่าเป็นเพียงนิทาน จะเต้นเป็นแร้งเป็นกาได้แต่จะสร้างความสนใจมากขึ้น

3. The Da Vinci Code ไม่เกี่ยวกับพระเยซูคริสตเจ้าดังว่ามาแล้ว แต่มันอ้างอิงถึง ตำนานสมัยกลาง ว่าด้วย "จอกศักดิ์สิทธิ์" และ "ราชโลหิต"

ยุโรปตะวันตกมีตำนาน (อย่างมั่วๆ หลายสำนวน) ว่า สาวกพระเยซูได้รองรับพระโลหิตจากไม้กางเขนด้วยจอกทองคำ (อีกสำนวน ว่าเป็นจอกที่พระเยซูใช้ในงานเลี้ยงอาหารค่ำสุดท้าย) ต่อมาภายหลังมีคนแอบนำจอกนั้นมาไว้ในยุโรปตะวันตก ซึ่งใครๆ นับถือเป็นพระธาตุสำคัญ อยากได้เป็นเครื่องประดับบารมีคล้ายพระเขี้ยวแก้วในลังกาหรือพระแก้วมรกตในโลกไทย-ลาว ใครมีพระธาตุองค์นี้ไว้ในครอบครองปรนนิบัติบูชา ก็ย่อมมีสิทธิ์อำนาจครองแผ่นดิน

ตำนานพระธาตุจอกศักดิ์สิทธิ์ (Holy Grail) นี้ เป็นบ่อเกิดของบรรดา นิทาน สมัยกลางว่าด้วย "การแสวงหา" เช่นเรื่อง "พระเจ้าอาเธอร์และอัศวินโต๊ะกลม" แต่จนบัดนี้ไม่มีใครรู้ว่า จอกศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ไหน ไม่ใช่เพราะหาไม่เก่ง แต่เพราะจอกนี้ไม่ใช่ของจริง เป็นเพียงของในนิยาย

อย่างไรก็ตาม เรื่องยังไม่จบ ภาษาฝรั่งเศสโบราณเรียกจอกศักดิ์สิทธิ์ว่า Saint Graal ออกเสียงว่า แซงกราล (ผมเล่าตามความทรงจำเพราะไม่มีพจนานุกรมภาษายุโรปโบราณติดตัว) คำ Saint Graal นี้ออกเสียงคล้ายอีกคำหนึ่ง Saing Real (แซงเรียล) ที่แปลว่า "(สายพระ) ราชโลหิต"

จากการฟังเสียงสับสนนี้บันดาลให้เกิดตำนานใหม่ (หรือกระแสซุบซิบ) ว่า พระเยซูทรงมีบุตรธิดาที่ก่อวงศ์กษัตริย์แท้จริง (สายพระโลหิต) ท่านสงวนพระองค์เป็นความลับ มีแต่คน "วงใน" ทราบว่าเป็นใคร อยู่ที่ไหน ท่านจะปรากฏพระองค์เมื่อเกิดกลียุคแล้วครองแผ่นดินด้วยธรรม. ความเชื่อนี้ผิดทั้งหลักศาสนาและประวัติศาสตร์ แต่เป็นที่นิยมในยามวิกฤตเมื่อประชาชนหมดที่พึ่ง คล้ายขบวนการ "ผู้มีบุญ" ของไทยสมัยโบราณ

4. ตำนานเรื่องทำนองนี้น่าจะเป็นที่นิยมในยุคมืด ขณะที่กองทัพมุสลิมกำลังรุกรานยุโรปทั้งด้านตะวันออกและตะวันตก มาบัดนี้ไม่มีใครเชื่อ เว้นแค่คนที่คิดว่าเย็ลทำความเย็นเป็นสัตว์ต่างดาว (เรื่องหลังนี้อย่าโทษฝรั่งสิครับ ต้องโทษระบบการศึกษาของไทย)

5. ผู้เขียน The Da Vinci Code ไม่ได้อ้างอิงตำนานโบราณเพื่อลบหลู่คริสต์ศาสนาหรือองค์พระเยซู แต่มุ่งจะให้คนอ่านสนุกสนานและตื่นคิด สงสัย อยากรู้อยากเห็นเรื่องศิลปะและประวัติศาสตร์ของตน ว่ามีความเป็นมาอย่างไร ดังนี้ผมมองไม่เห็นว่าชาวคริสต์จะเดือดร้อนทำไม

แน่นอนทีเดียว The Da Vinci Code ไม่ถูกต้องตามหลักประวัติศาสตร์ ทั้งนี้ เพราะว่ามันเป็น Fiction ครับ ท่านผู้อ่านที่นิยม The Passion of the Christ แน่ใจไหมว่า ถูกต้อง? พระเยซูต้องตายเพราะความชั่วร้ายของชาวยิวจริงหรือ? มันเป็น Fiction ครับ แต่เป็นเรื่องที่ควรนำมาถกเถียงกัน ไม่ใช่เรื่องที่ควรตัดหรือห้ามฉาย

ความส่งท้าย

ผมเขย่าซอง Whiskahs ลงไปในชามของ อีโมหิณีให้มันกินเพลิน ไม่ให้พูดมาก
ชาวคริสต์เชื่อไหมว่า The Passion of the Christ จะก่อศรัทธาในหมู่คนนอกศาสนา? ผมสงสัยจะเกิดผลตรงกันข้าม เพราะหนังเรื่องนี้มีฉากหน้าสยดสยองเหลือเกิน ทำให้คนนอกศาสนาคริสต์หันหลังไม่อยากรู้เห็น. ในทางตรงกันข้าม The Da Vinci Code แม้จะไม่เป็น "หนังศรัทธา" ก็อาจจะชักจูงผู้มีปัญญาหันมาอยากรู้อยากเห็นว่าที่จริงศาสนาคริสต์เป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องที่ชาวคริสต์น่าจะดีใจ

สุดท้ายนี้ผมสงสัยว่าชาวคริสต์บางท่านอาจจะโกรธหนังเรื่องนี้ผิดประเด็น ท่านโกรธมากที่ The Da Vinci Code อ้างอิงถึงตำนานโบราณเพี้ยนๆ ว่าพระเยซูมีบุตรธิดา ตามหลักคริสต์ศาสนา (นิกายใหญ่ๆ) พระเยซูทรงเป็นทั้ง พระแท้ และคนแท้ (True God and True man) แน่นอนทีเดียว ตามหลักฐานประวัติศาสตร์เท่าที่เรามีอยู่ พระเยซูไม่มีบุตรธิดา แต่หากพระองค์เป็นคนแท้ ดังที่สอนกัน จะเสียหายตรงไหนหากท่านมีบุตรธิดานับสิบ? มันไม่ผิดคำสอนและไม่ลบหลู่ความดีงามของพระเยซู

ดังนี้ ชาวคริสต์ที่ตั้งใจจะโกรธ The Da Vinci Code ก็น่าหาเรื่องร้ายแรงกว่านี้มาประท้วง แต่อย่าไปเสียเวลาดีกว่า เพราะ The Da Vinci Code เป็นเพียงภาพยนตร์บันเทิงเช่นเดียวกับ The King and I (ลิเกฝรั่ง) ที่ไม่มีใครอาจจะถือได้ว่าเป็น "ประวัติศาสตร์"

ใจผมอยากชวนให้ทุกคนผนวกกำลังประท้วงบรรดาหนังผี Dracula ที่บิดเบือนคริสต์ศาสนาจริงๆ และอวดสรรพคุณ (หรือเหยียดหยาม?) ไม้กางเขนว่าเป็นเพียง "เครื่องรางปราบผี" ตามหลักดิรัจฉานวิชา ผมว่า Dracula ลบหลู่เหยียดหยามคริสต์ศาสนายิ่งกว่า The Da Vinci Code เป็นไหนๆ

ปัญญาชนชาวพุทธและชาวคริสต์ช่วยกันคิดช่วยกันเขียน
อนึ่ง (อีโมหิณีถามว่า "เมื่อไรจะจบเสียที?") หนังเรื่องนี้เพิ่งมาฉายเป็นปฐมฤกษ์ที่เมือง Cannes นักวิจารณ์ภาพยนตร์ชั้นนำของตะวันตกสรุปว่า "น่าเบื่อ" (boring) "ไม่น่าเชื่อ" (incredible) "ยาวไป" (toolong) "เหลวไหล" (Silly) "ติดตามไม่รู้เรื่อง (can"t follow) ฯลฯ ชาวคริสต์ดีๆ จึงไม่น่าต้องผวานักหนากับหนังเรื่องนี้

ในงานฉายเป็นปฐมฤกษ์ที่เมือง Cannes ดาราชื่อ Tom Hanks ให้สัมภาษณ์ว่า

"เท่าที่ผมเข้าใจหลักคริสต์ศาสนาที่สืบทอดมา มวลมนุษย์ได้รับการไถ่ถอนบาป (โดยพระเยซู) ไม่ได้ถูกไถ่ถอนมันสมอง" "...our sins have been taken away, not our brains." (Bangkok Post, 22 May 2006)

ใครไม่เห็นด้วยขอให้ไปเถียงกับ Tom Hanks ผมไม่เกี่ยว


 

นักศึกษา สมาชิก และผู้สนใจบทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ก่อนหน้านี้ สามารถคลิกไปอ่านได้โดยคลิกที่แบนเนอร์




สารบัญข้อมูล : ส่งมาจากองค์กรต่างๆ

ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา 3
I สารบัญเนื้อหา 4 I สารบัญเนื้อหา 5 I สารบัญเนื้อหา 6
ประวัติ ม.เที่ยงคืน

สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง

webboard(1) I webboard(2)

e-mail : midnightuniv(at)yahoo.com

หากประสบปัญหาการส่ง e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com

ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม



มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ทั้งหมด กว่า 1000 เรื่อง หนากว่า 17000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com


สมเกียรติ ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็บไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com

 

 


 

H
R

ในปี ค.ศ.1979 มีสองศาสดาขึ้นเถลิงอำนาจ, คือ Ayatollah Khomeini ในอิหร่าน และ Margaret Thatcher ในอังกฤษ, ซึ่งต่างมีโลกทัศน์ชัดเจนสำเร็จรูปว่า อนาคตของโลกที่ดีควรเป็นอย่างไร? ในกรณีอิหร่าน ท่านอิหม่ามหมายจะพาประเทศ (และโลกมุสลิมทั้งหมด) กลับไปสู่อดีตอันอุดม (Ideal Past) เมื่อท่านนบีโมฮัมหมัดครองแผ่นดินด้วยธรรม (อิสลามแท้) ท่านจึงก่อตั้ง รัฐเทวนิยม (Theocracy) ที่มีศาสนาจารย์ (บรรดาอิหม่าม) เป็นผู้นำ... ในกรณีอังกฤษ นาง Thatcher ไม่รู้เรื่องประวัติศาสตร์ ไม่สนใจอดีต จึงมุ่งจะพาประเทศ (และโลกตะวันตกทั้งหมด) เข้าสู่อนาคตอันอุดม (Ideal Future) ว่าอีกนัยท่านเป็น "ศาสดา" อีกคนที่มีโลกทัศน์แน่ชัดสำเร็จรูป. หลักธรรมของนาง Thatcher มีอยู่ว่า "สังคมไม่มีตัวตน, มีแต่ผู้ชนะและผู้แพ้" (There is no such thing as society, only winners and losers.)

related topic