นักศึกษา สมาชิก และผู้สนใจทุกท่าน หากประสงค์จะตรวจดูบทความอื่นๆที่เผยแพร่บนเว็บไซค์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ท่านสามารถคลิกไปดูได้จากตรงนี้ ไปหน้าสารบัญ

 

The Midnight University



จากคอลัมน์ฝรั่งมองไทย
ทำอย่างไรในยุคหลังทักษิณ?
What to do in the Post-Thaksin Era?

ไมเคิล ไรท : เขียน
นักเขียนประจำ หนังสือพิมพ์มติชนสุดสัปดาห์


บทความที่ปรากฏบนหน้าเว็บเพจนี้ รวบรวมมาจากผลงานที่ได้รับการตีพิมพ์แล้ว
เป็นเรื่องเกี่ยวกับเหตุบ้านการเมืองไทย ในสายตาของนักวิชาการตะวันตกที่อยู่เมืองไทยมานาน

มองปรากฏการณ์สังคมไทย และทำนายอนาคตการเมืองไทยร่วมสมัย
midnightuniv(at)yahoo.com

(บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา)
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ 879
เผยแพร่บนเว็บไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๔๙
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ 8 หน้ากระดาษ A4)



ทำอย่างไรในยุคหลังทักษิณ? What to do in the Post-Thaksin Era?
ไมเคิล ไรท : นักเขียนประจำในมติชนสุดสัปดาห์

ภาคที่ 1 ก่อนจะถึงทักษิณ
ความนำ
จิตใจมนุษย์เป็นสิ่งลี้ลับซับซ้อนยากที่จะวินิจฉัย คนดีอาจจะเผลอทำชั่วได้, คนชั่วอาจจะทำดีโดยไม่ตั้งใจ นักประวัติศาสตร์(ดีๆ) จึงไม่เสี่ยงตัดสินใจง่ายๆ ว่าใครเป็น "พระ" และใครเป็น "ปีศาจ" บทบาทของ คุณทักษิณ ชินวัตร ก็เช่นกัน, ยังประชิดตัวเรามากไป :- ฟุ้งเต็มจมูก, เปรี้ยวปาก, ขวางตา, ระคายหู, เราจึงควรวางใจเฉยก่อน อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าเขาเป็นนักบุญอย่าง Mother Theresa หรือนักบาปอย่าง Margaret Thatcher

ก่อนเข้าเรื่อง "หลังลัทธิทักษิณ" (Post Thaksinism), ผมขอทบทวนสามประเด็นคือ

1) ประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่
2) ลักษณะของพรรคการเมือง, และ
3) มรดกทางวัฒนธรรมของคุณทักษิณ

1. ประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่
คนเราโดยทั่วไปเข้าใจว่า สยามย่างเข้ามาในโลกสมัยใหม่ทางการเมือง, เทียบเท่า "นานาอารยประเทศ" (ยุโรป) สมัยรัชกาลที่ 5, ซึ่งไม่ค่อยเป็นความจริงทีเดียว

ปี พ.ศ.2428 เจ้าฟ้าปฤษฎางค์ถวายฎีกาว่า สยามควรเป็นราชอาณาจักรใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) ปกครองด้วยสภาที่เลือกตั้ง (Porliamentary Democracy) แต่ ร.5 ทรงรังเกียจ, เราไม่ทราบว่าทำไม บางทีพระองค์ทรงเห็นว่า พระองค์ทรงสมบูรณ์อาญาสิทธิราชย์ อาจจะป้องกันแผ่นดินจากอริราชศัตรูได้ดีกว่า บางทีพระองค์ทรงถูกอังกฤษบังคับให้เปิดประเทศ (ไม้สักในภาคเหนือ, ดีบุกในภาคใต้) ให้อังกฤษโดยมีสัญญาลับ (เราไม่มีหลักฐาน) ว่าอังกฤษจะป้องกันไม่ให้ฝรั่งเศสมารังแก

ปัญหาที่จะเกิดมาภายหลัง (แต่คนยุคนั้นคงมองไม่เห็น) คือ ในเมื่อชนชั้นปกครองสยามสวมบท "ผู้ดี" (อังกฤษ) แล้วปกครองแผ่นดินด้วยสมบูรณาญาสิทธิ์, ราษฎรจำเป็นจะต้องสวมบท "ชนพื้นเมืองล้าหลัง" ที่น้อมรับการปกครองจากเบื้องบน, ไม่มีสิทธิ์มีเสียงที่จะเสริมสร้างสังคม

อย่างไรก็ตาม สยามได้กลายเป็นอัตตาณานิคม (Auto-colony) โดยมีระบอบราชการแบบ ICS (Indian Civil Service) ที่มีหน้าที่บังคับบัญชาราษฎร (ไม่ใช่รับใช้) พร้อมทั้งระบอบการศึกษาเพื่อผลิตเสมียนที่คิดเสรีไม่เป็น ระบอบอัตตาณานิคมทั้งสองนี้ยังครอบครองสังคมไทยจนทุกวันนี้, เว้นแต่คนรวยบางคนไปเรียนนอกจึงหลุดพ้น และคนยากจนบางคนเป็นขบถไม่ยอมเป็นทาสของระบอบ

คนเราโดยมากยังเข้าใจผิดว่า พ.ศ.2475 คณะราษฎรได้ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง, ซึ่งไม่เป็นความจริงเช่นกัน "คณะราษฎร" ประกอบด้วยข้าราชการทหาร-พลเรือนชั้นสูง, ไม่มีราษฎร (ชนชั้นกรรมาชีพ) แม้แต่คนเดียว ชนชั้นข้าราชการ (ผู้ดี) ย่อมมีผลประโยชน์ต่างกับประชาชนส่วนใหญ่ และเขารักษาผลประโยชน์นั้นด้วยการสืบทอดระบอบการปกครอง (และระบอบการศึกษา) แบบอาณานิคมต่อเนื่องจากยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์

ระบอบดังกล่าวใช้ได้ตลอดยุคเผด็จการอย่างมีประสิทธิภาพสูง แม้กระทั่งในยุค "ประชาธิปไตย" หลังๆ นี้ระบอบการปกครองแบบอาณานิคมยังไม่สิ้นอิทธิฤทธิ์, ดังเห็นได้จากวิสามัญฆาตกรรมและการ "อุ้ม" ที่มีกันเป็นธรรมดาในประเทศอาณานิคม (ที่ชาติหนึ่งปกครองอีกชาติหนึ่งตามใจชอบ) หรือประเทศอัตตาณานิคม (รัฐประกอบด้วย "ผู้เจริญ" ปกครองราษฎร "ผู้ล้าหลัง" ตามใจชอบ), แต่ไม่มีในประเทศที่มีกฎหมายรับรองสิทธิเสรีภาพและความปลอดภัยของ "ราษฎร" ทุกคนในชาติเสมอหน้ากัน

ทำนองเดียวกัน, ระบอบการศึกษาก็ดื้อต่อการปฏิรูปจนทุกวันนี้, ไม่ใช่เพราะขาดครูบาอาจารย์ที่ดีหรือเพราะเหตุอื่นใด, แต่เพราะชนชั้นปกครองไม่อยากเห็นการศึกษาดีๆ ตกถึงชนชั้นข้างล่าง, อย่าให้ "มัน" รู้ไต๋ "ผู้ดี"

ปัญหามีอยู่ว่า ทำไมระบอบอัตตาณานิคมนี้จึงรอดมาถึงทุกวันนี้จนได้? เราจะศึกษาจากประเทศอาณานิคมเก่า (เช่น อินเดีย, ลังกา, พม่า, มลายู, สิงคโปร์ ฯลฯ) เห็นจะไม่ได้ เพราะแต่ละประเทศมีลักษณะต่างกันและประสบการณ์ต่างกัน ผมจึงขอชวนหันมาพิจารณาลักษณะพรรคการเมืองในประเทศไทย

2. ลักษณะพรรคการเมืองของไทย
"พรรคการเมือง" หมายถึงหมู่คณะที่ก่อตั้งเพื่อปกป้องและส่งเสริมผลประโยชน์ของชนกลุ่มหนึ่งในสังคม (เช่น คนสูงศักดิ์ Aristocrats, พ่อค้านายทุน Big Business, พ่อค้ารายย่อย Small Business, ชาวนาชาวประมง Agriculturalists, หรือคนกรรมาชีพอุตสาหกรรม Labour เป็นต้น)

เมืองไทยเคยมีพรรคการเมืองจริงหรือ?
"พรรคราษฎร" ไม่ได้เป็นพรรคการเมืองแน่นอน, เพราะประกอบด้วยข้าราชการ ซึ่งเป็นผู้แทนราษฎรไม่ได้ ข้าราชการเป็นบุคลากรของรัฐ, ไม่ใช่ราษฎร, จึงอาจจะจัดตั้งกันเป็นสหภาพ (Union of Civil Servants) ได้ แต่ไม่มีทางเป็นพรรคการเมือง ชะรอยเราควรเรียกเหตุการณ์ปี 2475 ว่า "การปฏิวัติสหภาพข้าราชการทหาร-พลเรือน"?

เมืองไทยเคยมีพรรคการเมืองจริงบ้าง, เช่น พรรคประชาธิปัตย์, พรรคคอมมิวนิสต์, พรรคสังคมนิยม, พรรคกิจสังคม, แต่ต่างมีปัจจัยภายใน (อัตวิสัย) หรือปัจจัยภายนอก (ภววิสัย) เป็นเครื่องสะดุดบ่อนทำลาย, ไม่ให้นำประเทศสู่ความเจริญเติบโตทางการเมือง (Political Maturity) ได้. นอกจากพรรคจริงเหล่านี้แล้วก็มีแต่ "แก๊ง" ผลประโยชน์ธุรกิจ (กึ่งดีกึ่งอาชญากร?) ที่มีชื่อพรรคฟังพิลึกพิลั่นเหลวไหล, ไม่มีความหมายทางการเมือง, มีแต่โวหารเสนาะล่อใจคนว่านอนสอนง่าย (Docile)

เราอย่าไปสนใจพรรคคอมมิวนิสต์ (ที่เกิดผิดกาลเทศะ) หรือพรรคสังคมนิยม (ที่ถูกกลั่นแกล้งไม่ให้เติบโต) พรรคกิจสังคมและพรรคประชาธิปัตย์น่าสนใจมากกว่า.

พรรคกิจสังคม เป็นของนายทุนและผู้ดีในเมืองจริง, แต่เป็นพรรคแรกที่หันไปให้ความสำคัญกับราษฎร (คนส่วนใหญ่ของประเทศ) จริงๆ ด้วยนโยบาย "เงินผัน" พรรคนี้เปิดประตูใหม่, แต่แล้วในการหาเสียงก็ต้องอาศัยนายทุน (กึ่งอาชญากร?) ท้องถิ่น เจตนารมณ์ของพรรคจึงล้มเหลว เพราะนายทุนท้องถิ่นไม่ยอมให้ราษฎรมีเสียงหลุดออกจากอำนาจทางเศรษฐกิจของตน เขาซื้อเสียงราษฎรได้แล้วจะขายให้พรรคการเมืองที่รับรองผลประโยชน์ของตัว ผลประโยชน์ของราษฎรจึงล้มเหลวและพรรคกิจสังคมหลุดจากเวที

พรรคประชาธิปัตย์ ก็น่าสนใจมากเช่นกัน เป็นพรรคเก่าแก่เป็นปึกเป็นแผ่นยั่งยืนมั่นคง, แต่โดยธาตุแท้มันคือผู้แทนเฉพาะของคนตระกูลสูง (Gentry), ตระกูลมั่งมีเก่า (Old Money), และชนชั้นกลางในเมือง (Urban Middle Class) โดยทั่วไป หลังๆ นี้ประชาธิปัตย์มีนักคิดดีๆ ชวนพรรคให้ยื่นออกไปสนใจปัญหาและเอาใจใส่ราษฎร, คือประชาชนส่วนใหญ่ในชนบทที่ระบอบการเมืองทอดทิ้ง (และกลั่นแกล้ง) มาตลอด

แต่แล้วประชาธิปัตย์ล้มเหลวในเรื่องนี้เพราะอัตวิสัย "ผู้ดี" เป็นเครื่องพันธนาการขัดตีน, ผูกมือ, ปิดตา, ดังเห็นได้ในหลายกรณี เช่น :

- การปฏิรูปที่ดินให้คนยากจนที่ไม่มีที่ทำกิน, ที่ภูเก็ต เขาแจกที่ให้นายทุนที่สนับสนุนพรรค
- กรณีสอบเข้ามหาวิทยาลัยเกษตรฯ, ลูกคนไม่มีหน้าสอบได้ดี ประชาธิปัตย์สนับสนุนลูกผู้ดีสอบตกเข้าได้
- กรณีย์เขื่อนปากน้ำมูล (และที่อื่นๆ) ประชาธิปัตย์ปัดชาวบ้านว่าช่วยไม่ได้, ผิดกฎหมายบ้านเมือง ฯลฯ

แต่นั้นมาเสียงประชาธิปัตย์ตกไป, แล้วจะให้ประชาธิปัตย์บอกกับใครเล่า? ชะรอยคนหัวแหลม (หรือหัวเหลี่ยม?) ย่อมต้องมาเสียบแทน

ความส่งท้าย
ในบทความนี้ผมไม่คิดจะประณามพรรคหนึ่งพรรคใด, แต่อยากชี้ให้เห็นว่า การเมืองแผนเก่าใช้งานไม่ได้เสียแล้ว การเมืองไทยเหยียบเปลือกกล้วยตั้งแต่ 2475 เมื่อข้าราชการชั้นผู้ใหญ่แย่งสมบูรณาญาสิทธิราชย์จากวงศ์กษัตริย์, ตั้งตนเป็นใหญ่แล้วเขี่ยราษฎร (ราว 90% ของประชากร?) ให้เป็นเพียงฝ่ายรับการปกครอง (Passive) อยู่นอกวงการอำนาจทางการเมืองซึ่งเป็นวงจรปิด ดังนั้น การเมืองไทยกลายเป็นการเล่นละครตลกเชิงทารุณ (Sadistic Comedy) ที่ใช้หลอกกันอยู่เรื่อยมา ราษฎรไม่มีบทบาททางการเมือง และไม่มีอำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจ, แต่เขามี "เสียง" ที่จะหยอดลงไปในตู้เลือกตั้ง

"แปลกไหมครับที่เกิดการซื้อ-ขายเสียงเป็นธุรกิจเอิกเกริก? ใครมีทุนมากก็ซื้อเสียงได้มาก (ในราคาถูก) แล้วอ้างว่าเป็นเครื่องรับรองสิทธิอำนาจทางการเมืองของตน, หรืออาจจะขายต่อ (ราคากันเอง) กับแก๊ง (พรรคการเมือง) ที่รับปากว่าจะคุมผลประโยชน์ทางธุรกิจให้ ขบวนการนี้ครั้งแรกคงเป็นความคิดของคนชั่วหัวใสไม่กี่คน, แต่ต่อมาเติบโตสะพรั่งกลายเป็นขบวนการหลักของการเมืองไทยจนแม้พรรคดีๆ และนักการเมืองที่ซื่อสัตย์สุจริตจำเป็นต้องรำวงตาม

แล้วคุณทักษิณและพรรคไทยรักไทย ได้ "คิดใหม่ทำใหม่" แหวกแนวละครน้ำเน่าหรือวงจรปิดนี้บ้างไหม?
ขอชวนติดตามในฉบับหน้า

ภาคที่ 2 ทักษิณและหลังทักษิณ
ความนำ
ในบทความครั้งก่อนเราได้พิจารณาความล้มเหลว (หรือความลุกไม่ขึ้น) ของระบอบการเมืองเก่าที่มีมาตั้งแต่ พ.ศ.2475 ตลอดจนถึงปัจจุบัน. มองในแง่ดีมันเป็นเพียงการเล่นละครหลอกกันเอง มองในแง่ร้ายมันเป็นการค้าขายสิทธิมนุษย์, เป็นการปล้นแผ่นดิน และเป็นการเหยีดยหยามความเป็นมนุษย์ของราษฎร (ประชาชนส่วนใหญ่)

ขอหันมาดูคุณทักษิณและพรรค ว่าท่านได้ "คิดใหม่ทำใหม่" อะไรบ้าง? และได้ทิ้งมรดกดีๆ ไว้ให้คน หลังทักษิณ (Post-thaksin) เอาไปใช้บ้าง? อย่าให้ผมสาธยายอาชญกรรมหรืออกุศลกิจของท่าน เพราะมีแน่นหน้าหนังสือพิมพ์มานานแล้ว และพิมพ์เป็นเล่มหนาปึกหลายเล่ม

ในบทความนี้ผมขอหันไปพิจารณาบุคลิกลักษณะเฉพาะของคุณทักษิณ ที่ต่างกับนักการเมืองไทยโดยทั่วไป พร้อมทั้งสิ่งที่ท่านทำแหวกแนว ที่นักการเมืองไทยอื่นๆ ไม่ค่อยได้ทำ

บุคลิกเฉพาะของคุณทักษิณ
ที่เทียบคุณทักษิณกับฮิตเลอร์นั้นผมไม่เห็นด้วย ฮิตเลอร์ (และมูสโสลีนี) เรืองอำนาจในยุคระหว่างสงครามโลกทั้งสอง, หลังปฏิวัติในรัสเซีย ขณะที่จักรวรรดิยุโรปกำลังหมดน้ำยา และเศรษฐกิจโลกกำลังปั่นป่วน (The Great Depression) ทำให้ระบบประชาธิปไตยดูชราภาพป้อแป้ไม่น่าศรัทธา ดังนั้น ชาวยุโรปหลายคนหดหู่ใจพร้อมจะฝากเนื้อฝากตัวกับผู้เผด็จการ "ท่านผู้นำ" ที่รับปากว่าจะ "รับผิดชอบทั้งหมด" แก้ความเลอะเทอะ ทำให้บ้านเมืองกลับสู่สภาพปกติและรุ่งโรจน์อย่างไม่เคยมีมาก่อน!

ผมยอมรับว่า คุณทักษิณกับฮิตเลอร์มีส่วนคล้ายกัน คือถนัดใช้วิสามัญฆาตกรรม "แก้ปัญหา" ยึดครองทำลายเสรีภาพของสื่อมวลชน และถือว่าตนถูกต้องเสมอไม่ฟังเสียงใคร (แต่ฮิตเลอร์ไม่มีครอบครัวและไม่มีผลประโยชน์ทางธุรกิจ) นอกจากนี้คุณทักษิณยังคล้ายฮิตเลอร์ตรงที่ท่านมาได้อำนาจในขณะที่คนไทยกำลังหดหู่ใจ หมดที่พึ่งหลังเศรษฐกิจฟองสบู่แตก (พ.ศ.2540)

แต่นี้เป็นเพียงภาพระยะสั้น ถ้าจะเข้าใจคุณทักษิณเราต้องมองภาพใหญ่ว่าท่านมาเรืองอำนาจใน ยุคหลังสงครามเย็น หรือ โลกขั้วเดียว (สหรัฐ) ที่เศรษฐกิจทุนนิยม (เทียม?) กำลังปลอดภัยมั่งคั่งมั่นคงอย่างไม่เคยมีมาก่อน ดังนั้น จะเทียบคุณทักษิณกับฮิตเลอร์ไม่ได้ แต่ควรเทียบกับนายบุชและบรรดาอาจารย์ "อนุรักษนิยมแนวใหม่" (Neo-Cons) ที่บิดเบือนหลักประชาธิปไตยให้ทุนนิยมเถื่อนทำอะไรตามใจชอบ ว่าอีกนัยเป็นการลบเส้นตายที่เคยมีขีดกันระหว่าง "ธุรกิจ" กับ "อาชญากรรมเศรษฐกิจ"

มาบัดนี้ราษฎรและนายทุนดีๆ ยังอยู่ใต้กฎหมายบ้านเมือง แต่นายทุนนักเล่นมายากลลอยอยู่เหนือเมฆ ใครจะฟ้องศาลรับฟังคดีไม่ได้ เพราะไม่มีความผิดทางกฎหมาย

คุณทักษิณเคยอ่านอะไรเอ่ย? ท่านคงไม่เคยอ่าน Mein Kampf แน่ๆ คาร์ล มาร์กซ์ บรรดานักปราชญ์รุ่นคลาสสิคทางรัฐศาสตร์และเศรษฐศาสตร์? เป็นไปได้ยาก รายชื่อหนังสือที่ท่านแนะนำให้ประชาชนอ่านนั้นเต็มไปด้วยเรื่อง "ฮาวทู" ฉาบฉวยไร้แก่นสาร, ไม่มีคุณทางวิชาการหรือจริยธรรมทั้งสิ้น ผมไม่อยากเชื่อว่า นี่คือ "ห้องสมุด" ของคุณทักษิณ แต่น่ากลัวจะเป็นเช่นนั้น หรือท่านสงวนแหล่งปัญญาของท่านไว้ไม่ให้ใครรู้?

ในที่สุดเราเหลือทางเดียวที่จะเข้าใจคุณทักษิณ นั้นคือในบริบทของการเมืองสหรัฐสมัยหลังนี้ ตั้งแต่นายเรแกนและนายบุชองค์ที่ 1 และนายบุชองค์ที่ 2 ในระยะดังกล่าว บรรดาบรรษัทใหญ่ได้ซื้ออำนาจรัฐ, ละเมิดแก่นสารของรัฐธรรมนูญ, เย้ยหยันหลักประชาธิปไตย, ยกเลิกรัฐสวัสดิการสำหรับประชาชน, ก่อตั้งรัฐสวัสดิการสำหรับนายทุน (ใครทำกิจเจ๊ง รัฐนำเงินภาษีมาอุด) และยก "ตลาด" เป็นองค์ประธานเหนือรัฐธรรมนูญ เหนือศีลธรรม เหนือความยุติธรรม และเหนือจริยธรรม

นายบุชรำงามเพียงใด นายทักษิณก็รำสวยเหมือนกัน
แต่เราอย่ามองคุณทักษิณในแง่ลบอย่างเดียว รัฐบาลไทยรักไทยยังได้ทำอะไรอย่างหนึ่งที่สง่างาม และควรได้รับการพิจารณาในแง่บวก อย่างน้อยมันเป็น "มรดก" ที่นักการเมืองวันหน้ามองข้ามไม่ได้

มรดกของคุณทักษิณ
รัฐบาลไทยรักไทยให้ความสำคัญ เข้าถึง และปลุกระดมชนชั้นราษฎรชาวชนบทอย่างไม่เคยมีมาก่อน นโยบายนี้จะมีผลดี-ผลร้ายต่อไปเรายังมองไม่เห็น แต่เราต้องยกย่องว่าเป็นกุศโลบายที่ยกฐานะการเมืองไทยจาก "การเล่นละครของชนกลุ่มน้อย" มาอยู่ในระดับ "ชีวิตจริงของคนส่วนใหญ่" ซึ่ง ดีไม่ดี หมายถึงการเติบโตทางการปกครองบ้านเมือง (Political Maturity)

ในขณะเดียวกันเราควรสังเกตว่า

1. ไม่มี "ราษฎร" ผู้ใดเป็น ส.ส. หรือถือตำแหน่งสำคัญในพรรค ซึ่งล้วนเป็นนายทุนหรือปัญญาชนผู้ดี

2. พรรคไม่เคยฟังเสียงองค์กรราษฎรรากหญ้า (เช่น สมัชชาคนจน ฯลฯ) แต่ตั้งเป็นปฏิปักษ์กีดขวาง


3. พรรคไม่เคยเป็นธุระจะแก้ปัญหาเดือดร้อนเฉพาะหน้า เช่น ปากมูล และเขื่อนอื่นๆ ส่วนสามจังหวัดปักษ์ใต้ท่านยุแหย่ให้ลุกเป็นไฟยิ่งขึ้น


4. โครงการสวัสดิการต่างๆ ล้วนมีผลดีและล่อใจชาวบ้านในระยะสั้น แต่เป็นการเล่นมายากลที่จะมีผลร้ายในระยะยาว เรื่องนี้ชาวบ้านมองไม่เห็นเพราะต่างต้องหากินวันยังค่ำ ไม่มีเวลาจะไปเปิดตำราเศรษฐศาสตร์


5. ท่านมัวแต่แก้ปัญหาความยากจนรายนี้รายนั้น แต่ไม่เคยเสนอว่าจะแก้โครงสร้างเศรษฐกิจที่พันธนาการคนส่วนใหญ่ให้หากินวันยังค่ำ แล้วอำนวยให้คนจำนวนน้อยเป็นมหาเศรษฐีระดับโลก

ผมไม่รู้เรื่องภายในพรรคไทยรักไทย แต่พอสันนิษฐานได้ว่า นโยบาย "เข้าหาประชาชน" นี้ คงเกิดจากปัญญาชน 14 ตุลาฯ / 6 ตุลาฯ ที่เป็น ส.ส. ในพรรค ท่านศึกษาลึกและประสบการณ์กว้างในปรัชญาการปกครองและเศรษฐศาสตร์ เคยหนีกระทะเผด็จการขวาแล้วตกไฟเผด็จการซ้าย (พรรคคอมมิวนิสต์) จนต้องหลบหนีอีกครั้ง เจ็บปวดแสนสาหัส

นักคิดที่น่าเคารพรุ่นนี้ เห็นนโยบายปลุกระดมราษฎรของพรรคไทยรักไทยนี้เข้าลักษณะ "ปลดปล่อย" ของ Thomas Paine และ Karl Marx? หรือเข้าลักษณะ "ผูกมัด" ของ Lenin, Hitler และ Stalin? วีรชนตุลาฯ ต้องรู้เรื่องประวัติศาสตร์โลกดีกว่าผม เพราะท่านเคยประสบด้วยตนเอง ไม่ใช่เพียงเรียนจากหนังสืออย่างผม

นโยบายเข้าถึงและปลุกระดมราษฎรของพรรคไทยรักไทยจะดีหรือชั่ว เราตัดสินไม่ได้เพราะเหตุการณ์ยังอยู่ประชิดตัวมากไป อย่างไรก็ตาม เราแน่ใจได้ว่าเข็มนาฬิกาไม่เดินทวนกลับหรอก ราษฎรผู้ยากจนในชนบทจะไม่หลับใหลกลับเข้าสู่ยุคนิทราอีกต่อไป ต่อไปนี้พรรคการเมืองใดๆ ที่อยากบริหารบ้านเมืองก็จำเป็นต้องเข้าถึงราษฎรและแก้ปัญหาของราษฎรอย่างจริงจังไม่ใช่หลอกกันเล่น

นี่แหละคือมรดกของคุณทักษิณ

ยุคหลังทักษิณ
บทความท่อนนี้ต้องถือว่าเป็น "บทตลก" เพราะฝรั่งโง่ๆ อย่างผมไม่มีสิทธิ์และไม่สามารถแนะนำคนไทยว่าควรทำอย่างไรกับบ้านเมืองของตน อย่างไรก็ตาม ผมขอเสนอเล่นๆ ว่าในยุคหลังทักษิณ การเมืองไทยจะมีโฉมหน้าอะไรบ้าง

ดังว่ามาแล้ว คุณทักษิณได้ปลุกราษฎรชาวชนบทให้ตื่นจากภวังค์และเริ่มมีน้ำหนักทางการเมือง เราไม่ทราบว่าท่านหวังดีหรือหวังร้าย แต่ต้องยอมรับและชมว่า ท่านทำได้ อย่างน่าอัศจรรย์ใจขนาดพรรคคอมมิวนิสต์เพียรพยายามถึง 50 ปีก็ไม่สำเร็จ ต่อไปนี้พรรคใดๆ ที่ไม่คิดเอาเยี่ยงอย่างคุณทักษิณในเรื่องนี้ ก็น่าจะไปหากิจการอื่นๆ มาทำ จะได้ไม่เสียทรัพย์เสียเวลาเปล่าๆ

พรรคประชาธิปัตย์ เป็นพรรคเก่าแก่เป็นปึกเป็นแผ่น แต่เป็นผู้แทนของผู้ดีและชนชั้นกลางเท่านั้น หากอยากเป็นผู้แทนของประชาชนโดยทั่วไป พรรคก็จำเป็นต้องปฏิรูปตนเองอย่างแท้จริง คือเปลี่ยนน้ำใจ ทัศนคติและเจตนารมณ์ ไม่ใช่เล่นตลบตะแลงเปลี่ยนแต่ภาพพจน์ (Image) เหมือนเด็กหลอกกันเล่น มิเช่นนั้นหากประชาธิปัตย์อยากรักษาเจตนารมณ์และบทบาทเดิม ก็น่าเปลี่ยนชื่อเป็น "พรรคอนุรักษนิยม" (Conservative Party) ดูแลผลประโยชน์ของผู้ดี ชนชั้นกลาง และนายทุนต่อไป นายทุนดีๆ คงสนับสนุนพรรคนี้ตามภววิสัยอย่างเต็มอกและบริสุทธิ์ใจ

พรรคไทยรักไทย ยังมีความดีและคนดีอยู่มาก (หากขับถ่ายบรรดานักล้วงกระเป๋ารัฐและนักเล่นปาหี่ได้) แกนนำดีๆ ของพรรคอาจจะกู้เกียรติศักดิ์ด้วยการก่อตั้งเป็น "พรรคแรงงาน" (Labour Party) รับใช้ผลประโยชน์ของคนกรรมาชีพทั้งในเมืองและชนบท (แต่ต้องทำจริงๆ ไม่ใช่เล่นเป็นละคร) นายทุนดีๆ คงสนับสนุนพรรคนี้ไม่น้อยตามอัตวิสัยรักความเป็นธรรม

(ส่วนคุณทักษิณในยุคหลังนี้ อาจจะใช้เวลาว่างแต่งหนังสือ"ฮาวทูอี" เล่มงาม คือ How to Make Enemies and Alienate People)

สรุปเบื้องต้น
ถ้าหากว่าเราจัดตั้งกันได้ทำนองนี้ (เพียงคร่าวๆ ไม่ต้องเหมือน) การเมืองไทยน่าจะหายมัวหมองและมีอนาคตอันดีงาม คนทั้งหลาย (ทั้งนักรัฐศาสตร์จุฬาฯ และตาสีตาสาจบ ป.4) จะได้มองเห็นว่าใครมีจุดยืนตรงไหน และพรรคไหนดูแลผลประโยชน์ของชนชั้นไหน

หากราษฎรชาวชนบทตื่นจากภวังค์จริง (ขอบคุณคุณทักษิณ) และมองเห็นเจตนารมณ์ของแต่ละพรรคอย่างแจ่มแจ้ง ก็คงใช้สิทธิเลือกตั้งตามใจชอบและตามผลประโยชน์ของตน ดังนี้ บทบาทของบรรดานักซื้อ-ขายเสียงจะค่อยหดหายไปจากเวทีการเมืองไทย และเขาจะกลับไปค้ายาเสพติด หวยเถื่อน หรือประเวณี ตามแต่จะถนัด

ความตบท้าย
นังโมหิณี แมวรักของผม ขอตบท้ายและถกเถียงดังนี้ :-
"ไอ้ไมค์ มึงสร้างภาพ Utopia ได้สวยงามน่ารักจะตายไป แต่มันบกพร่อง ตามหลักประชาธิปไตย ชนทุกชั้นควรมีพรรคดูแลผลประโยชน์ มึงเสนอให้มีสองพรรคคอยดูแลผลประโยชน์ของ

1) ผู้ดี, 2) ชนชั้นกลางในเมือง, 3) คนกรรมาชีพในเมืองและชนบท, 4) นายทุนดีๆ

"แต่ไอ้ไมค์เอ๋ย มึงลืมว่าเมืองไทยยังมีชนชั้นอีกชนชั้นหนึ่งที่สำคัญมาก มองข้ามไม่ได้ นั่นคือชนชั้น นายทุนสามานย์ ประกอบด้วย นักฮั้ว, นักฉ้อราษฎร์บังหลวง, ซุกหุ้น เล่นซ่อนหามายากล ประเดี๋ยวเงินผุดประเดี๋ยวเงินหาย, ซื้อ-ขายเสียงเลือกตั้งของประชาชน "บรรดานายทุนสามานย์นี้ อีฉันว่าสมควรจะก่อตั้งเป็นพรรคการเมืองรักษาผลประโยชน์ของตนเช่นเดียวกับชนชั้นอื่น


"ส่วนท่านจะขนานนามพรรค อีฉันขอเสนอว่า "พรรคไทยกินไทย" อย่างซื่อสัตย์สุจริตตรงตามเจตนารมณ์ที่แท้จริงของพรรค"






บทความที่นำเสนอก่อนหน้านี้ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
หากนักศึกษาและสมาชิกท่านใตสนใจ
สามารถคลิกไปอ่านได้จากที่นี่...คลิกที่ภาพ

 

สารบัญข้อมูล : ส่งมาจากองค์กรต่างๆ

ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา 3
I สารบัญเนื้อหา 4 I สารบัญเนื้อหา 5
ประวัติ ม.เที่ยงคืน

สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง

webboard(1) I webboard(2)

e-mail : midnightuniv(at)yahoo.com

หากประสบปัญหาการส่ง e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com

ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม

 

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ทั้งหมด กว่า 850 เรื่อง หนากว่า 12000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com

 

สมเกียรติ ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็บไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com

 

 

 

H
ขอขอบคุณ www.thaiis.com ที่ให้ใช้พื้นที่ฟรี
ภาพประกอบดัดแปลงเพื่อใช้ประโยชน์ประกอบบทความฟรีของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ไม่สงวนลิขสิทธิ์ในการนำไปใช้ประโยชน์
R
related topic
020449
release date
เว็บไซต์เผยแพร่ความรู้
เพื่อสาธารณประโยชน์

หากนักศึกษาหรือสมาชิก ประสบปัญหาภาพและตัวหนังสือซ้อนกัน กรุณาลด text size ของ font ลง
ขนาด medium จะแก้ปัญหาได้
เว็บไซต์นี้สร้างขึ้นเพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงอุดมศึกษาได้โดยไม่จำกัดคุณวุฒิ สำหรับผู้สนใจส่งบทความทางวิชาการเพื่อเผยแพร่ต่อสาธารณชน กรุณาส่งผลงานไปที่ midarticle(at)yahoo.com
The author of this work hereby waives all claim of copyright (economic and moral) in this work
and immediately places it in the public domain... [copyleft]
กรุณานำบทความไปใช้ต่อโดยอ้างอิงแหล่งที่มาตามสมควร
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนร่วมกับมูลนิธิไฮน์ริคเบิลล์ เปิดชั้นเรียนฟรีสำหรับ น.ศ. และผู้สนใจ เพื่อศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับวิถีมลายูมุสลิมอย่างรอบด้าน
บทความทุกชิ้นที่เผยแพร่บนเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน จะได้รับการเก็บรักษาเอาไว้อย่างถาวร โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไข เพื่อประโยชน์ในการอ้างอิง ความผิดพลาดใดๆก็ตามที่เกิดขึ้นจากการเผยแพร่ อาจเป็นของผู้เขียนหรือกองบรรณาธิการ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้โดยไม่เจตนา
เว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน มีการเสนอบทความใหม่ทุกวัน เพื่อสนองความต้องการของนักศึกษา และผู้สนใจที่คลิกเข้ามาหาความรู้เป็นประจำ

ที่เทียบคุณทักษิณกับฮิตเลอร์นั้นผมไม่เห็นด้วย ฮิตเลอร์ (และมูสโสลีนี) เรืองอำนาจในยุคระหว่างสงครามโลกทั้งสอง, หลังปฏิวัติในรัสเซีย ขณะที่จักรวรรดิยุโรปกำลังหมดน้ำยา และเศรษฐกิจโลกกำลังปั่นป่วน (The Great Depression) ทำให้ระบบประชาธิปไตยดูชราภาพป้อแป้ไม่น่าศรัทธา ดังนั้น ชาวยุโรปหลายคนหดหู่ใจพร้อมจะฝากเนื้อฝากตัวกับผู้เผด็จการ "ท่านผู้นำ" ที่รับปากว่าจะ "รับผิดชอบทั้งหมด" แก้ความเลอะเทอะ ทำให้บ้านเมืองกลับสู่สภาพปกติและรุ่งโรจน์อย่างไม่เคยมีมาก่อน!
ผมยอมรับว่า คุณทักษิณกับฮิตเลอร์มีส่วนคล้ายกัน คือถนัดใช้วิสามัญฆาตกรรม "แก้ปัญหา" ยึดครองทำลายเสรีภาพของสื่อมวลชน และถือว่าตนถูกต้องเสมอไม่ฟังเสียงใคร

 

The Midnightuniv website 2006