มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนขอเสนอ รายการทีทรรศน์ท้องถิ่นในรูปบทความจากโทรทัศน์ ตอน "นักวิชาการเครื่องซักผ้า" โดยวิทยากร อ.ศรีศักร วัลลิโภดม, อ.ฉลาดชาย รมิตานนท์, อ.ชัยพันธุ์ ประภาสะวัต, คุณไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ, ดำเนินรายการโดย อ.ประมวล เพ็งจันทร์ ความรู้ของนักวิชาการเป็นสิ่งที่สังคมให้การยอมรับ
ในเวลาเดียวกันนั้น
นักวิชาการส่วนหนึ่ง
ก็ได้เอาประโยชน์ที่สังคมให้ความไว้วางใจดังกล่าว
ไปใช้กับผลประโยชน์ของตนเอง
โดยการประพฤติปฏิบัติที่ออกมาในรูปของ
นักวิชาการเครื่องซักผ้า. สนใจโปรดคลิกไปอ่านได้ที่แบนเนอร์ midnight's article ในหัวข้อที่ 35
|
|
หลังจากได้มีโอกาสชมผลงานศิลปะหรือภาพยนตร์กันมาแล้ว น.ศ., สมาชิก, และ ผู้สนใจท่านใด อยากจะวิจารณ์ผลงานทางด้านศิลปะ ภาพยนตร์ กรุณาส่งบทวิจารณ์พร้อมภาพประกอบมายัง หน้าวิจารณ์ศิลปะและภาพยนตร์นี้ เพื่อเผยแพร่ต่อสังคมวงกว้าง ภาพยนตร์แนวปรัชญาของ James Foley สร้างโดยบริษัท Miramax TWO BITS เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ. เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงวันเดียวในวันที่ 26 สิงหาคม 1933 ตั้งแต่ตื่นเช้าจนถึงเที่ยงคืนวันนั้นในเมืองฟิลาเดลเฟีย เป็นเรื่องราวของการรำพึงถึงของชายวัยกลางคนคนหนึ่ง รำลึกถึงตนเองในช่วงวัยเด็ก ซึ่งมีเขาในฐานะหลานชายอายุ 12 กับ คุณตาชายชราในช่วงปัจฉิมวัย ที่มีเรื่องคุยกันตั้งแต่เช้าจนกระทั่งเที่ยงคืน จากนั้นตาก็ต้องลาจากโลกนี้ไป และได้ทิ้งคำพูดที่เด็กอายุ 12 ขวบในเวลานั้น ไม่อาจเข้าใจความหมายได้ คือ ให้รักษาความอยากเอาไว้ไปจนตลอดชีวิต ในเช้าวันนั้น ขณะที่จานาโร เด็กน้อยอายุ 12 ปียังคงนอนเล่นอยู่บนเตียง เขาได้ยินเสียงรถแห่โฆษณากำลังป่าวประกาศไปทั่วบนท้องถนนว่า โรงภาพยนตร์ลาปาโลม่ายุคปรับปรุงใหม่ กำลังจะเปิดให้บริการด้วยรูปลักษณ์ใหม่ แอร์เย็นสบาย พรมก็ปูใหม่ และพนักงานเดินตั๋วก็ใหม่ด้วย ราคาค่าเข้าชมเพียง 25 เซนต์เท่านั้น ก่อน 6 โมงเย็นวันนั้น เสียงประกาศจากรถโฆษณานี้ กระตุ้นให้จานาโรพยายามพยายามที่จะแสวงหาเงิน 25 เซนต์เพื่อเข้าชมภาพยนตร์ในวันนั้นให้ได้ พอดีกับที่ตา(แสดงโดย อัล ปาชิโน)ก็บอกกับเขาว่า จะให้เงิน 25 เซนต์นั้นเป็นมรดก ถ้าหากว่าเขาต้องตายในวันนั้น. เรื่องราวดำเนินไปทั้งวัน เกี่ยวกับการที่จานาโรพยายามที่จะหาเงิน 25 เซนต์นี้มาดับความอยาก เพื่อที่จะได้เข้าไปชมในโรงภาพยนตร์ลาปาโลม่า โดยเริ่มตั้งแต่การพยายามเข้าไปหางานทำในร้านขายของชำแห่งหนึ่ง แต่ได้มาเพียง 5 เซนต์, จากนั้นก็ไปยืนร้องเพลงเพื่อแลกกับเศษสตางค์ แต่ก็ได้มาเพียง 3 เซนต์เท่านั้น, หลังจากนั้นก็ได้รับการว่าจ้างให้ไปทำความสะอาดเตาผิง และต้องเผชิญหน้ากับหญิงที่สติไม่สมประกอบ ซึ่งต้องการมีเพศสัมพันธ์กับเด็ก ในท้ายที่สุด จนแล้วจนรอด จากความพยายามดังกล่าว ทำให้จานาโรได้เงินมา 25 เซนต์พอดีกับค่ำตั๋วที่จะเข้าชมภาพยนตร์ แต่เกิน 6 โมงเย็นแล้ว ราคาค่าตั๋วเปลี่ยนไปเป็น 50 เซนต์ เขาจึงกลับมาบ้านแบบผิดหวัง และพบว่าตาของเขาใกล้จะถึงวาระสุดท้าย ตาได้พูดกับหลานชายหลายคำเกี่ยวกับเรื่องของความตายและพระเจ้าบนสวรรค์ ตาบอกว่า พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างบ้านด้วยอิฐให้กับคนทุกคนบนสวรรค์ เมื่อไรก็ตามที่คนๆนั้นทำความดีครั้งหนึ่ง พระผู้เป็นเจ้าก็จะนำอิฐมาวางเป็นกำแพงผนังให้ก้อนหนึ่ง แต่หากว่าคนๆนั้นทำความชั่ว พระผู้เป็นเจ้าก็จะนำอิฐออกไปก้อนหนึ่งเสมอ ตายังบอกต่อไปว่า ตอนที่ตาอายุ 19 ตาปรารถนาที่จะจากอิตาลีมายังประเทศอเมริกา คนในหมู่บ้านนั้นต่างบอกว่า ความปรารถนาดังกล่าวมันเป็นไปไม่ได้ แต่ตาก็ทำจนกระทั่งประสบความสำเร็จ. ตาบอกว่าคนในมสมัยนี้ต่างกัน เมื่อไรก็ตามที่มีคนบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ คนเหล่านั้นก็จะยอมแพ้ ซึ่งผิดกับที่สมัยตายังเป็นหนุ่ม. จานาโร หลานรู้ไหม ว่าระหว่างความอยากและความต้องการนั้นต่างกันอย่างไร? จานาโรตอบว่า ไม่รู้. ตาจึงอธิบายว่า ความต้องการเป็นเรื่องของท้อง ในขณะที่ความอยากความปรารถนาเป็นเรื่องของหัวใจ และขอให้รับปากตาก่อนตายด้วยว่าเธอจะต้องมีความอยากตลอดไปให้ได้ แล้วตาก็สิ้นใจ เหรียญที่กำอยู่ในมือ 25 เซนต์ตกลงมาจากมือของตาในช่วงที่ตาหมดลมหายใจนั้น บนเหรียญมีรูปของนกอินทรีย์ที่กางปีกบิน อันเป็นสัญลักษณ์ที่มาย้ำถึงคำพูดประโยคสุดท้าย. จานาโรนำเอาเหรียญที่ตนหาได้ในวันนั้นทั้งหมด บวกกับเหรียญที่คุณตาให้รวมแล้ว 50 เซนต์ ซื้อตั๋วหนังและเข้าไปชมภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์ลาปาโลม่า. พร้อมกับเสียงของคุณตาดังขึ้นมาว่า บนสวรรค์นั้นมีสภาพไม่ต่างไปจากลาปาโลม่าเลย โดยภาพรวมแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ดำเนินเรื่องไปอย่างค่อนข้างจะราบเรียบ และใช้คำพูดดำเนินเรื่องมากกว่าการใช้ฉากเป็นการเล่าเรื่องราว มีการใช้คำพูดที่มีนัยสำคัญบ่งถึงปรัชญาชีวิตอยู่หลายตอน และเป็นคำสอนแบบอเมริกันที่เผยแสดงออกมาผ่านบทภาพยนตร์ เช่น การรักษาความอยากความปรารถนาเอาไว้ เพื่อเป็นหลักชัยที่จะมุ่งไป คำสอนประเภทนี้ มักจะได้ยินอยู่เสมอในสังคมอเมริกัน ยกตัวอย่างเช่น คราวหนึ่งที่ประธานาธิบดีเคนเนดี้ ได้รับเชิญให้ไปแสดงปาฐกถาที่องค์การอวกาศนาซ่า เขาได้เล่าถึงเรื่องของเด็กผู้ชายสองคนที่เดินเล่นกันอยู่ในท้องทุ่ง เป็นการอุปมาอุปมัยว่า เด็กคนหนึ่งได้ปาก้อนหินข้ามกำแพงสูงไปยังอีกด้านหนึ่ง แล้วพยายามที่จะช่วยกันข้ามกำแพงสูงท่วมหัวนั้นให้ได้ เพื่อไปนำเอาหินก้อนนั้นกลับมา สำหรับการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ ฉากส่วนใหญ่จะเป็นภาพของการย้อนยุคกลับไปในช่วง 60 ปีที่แล้ว และมีการจัดแสงที่ค่อนข้างเล่นกับเงามืดโดยตลอด ทำให้บรรยากาศของภาพยนตร์ดูกลับไปสู่วันเวลาในช่วงนั้น ช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ ช่วงที่คนที่แข็งแรงต่างตกงาน และคนที่ไม่เข้มแข็งต้องเสียสติ เพราะไม่มีรายได้ใดๆมาจุนเจือ แสงเงาที่เน้นมากในภาพยนตร์เรื่องนี้ในเกือบทุกฉาก ทำให้เราได้หวนรำลึกถึงคนในฐานะที่มีปริมาตรในเชิงประติมากรรม มากกว่าจะเป็นงานจิตรกรรม อันมีนัยะบ่งถึงความมีมิติของมนุษย์มากกว่าที่จะเป็นเพียงภาพร่างแบนๆ ทำให้ชีวิตมีความสมจริงยิ่งกว่าการเป็นเพียงตัวละครในบทบาทที่ขาดมิติแห่งชีวิต นอกจากคุณความดีที่กล่าวนี้แล้ว สีของภาพยนตร์ก็ย้อนยุคกลับไปในช่วงวันเวลานั้นด้วย กล่าวคือ สีค่อนข้างขมุกขมัวแม้ว่าจะมีสีครบทุกสี แต่คล้ายกับสีหลากสีนั้นนำไปผสมกับสีดำตลอดเวลา ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีเนื้อหาและรูปแบบที่เข้ากันหรือสอดคล้องกันอย่างดี เห็นถึงความพิถีพิถันของผู้สร้างที่คิดถึงรูปแบบและเนื้อหาที่เนียนแนบไปด้วยกัน ทั้งหมดนี้ คือเรื่องราวและแนวคิดวัฒนธรรมแบบอเมริกัน ที่กระตุ้นให้มีความทะยานอยาก และกระทำสิ่งที่ปรารถนานั้นให้สมหวังสมความตั้งใจ เป็นการสะท้อนถึงมิติทางใจที่แตกต่าง หากดูในเชิงเปรียบเทียบกับโลกตะวันออกหรือสังคมไทย สมเกียรติ ตั้งนโม |