อำนาจและพลังทางสังคม
3 ชนิด
หมายเหตุ
ข้อมูลทั้งหมดนี้
เป็นการเก็บความมาจากการบรรยายของ
ศ.นพ.ประเวศ วะสี
ซึ่งบรรยายให้กับนักศึกษาของสถาบันพระปกเกล้าฯ
(ที่เดินทางมาศึกษาภาคสนาม ณ
เขตจังหวัดภาคเหนือ)
ที่จังหวัดเชียงใหม่ ณ
สวนบันรีสอร์ท อ.หางดง ในวันที่ 3
มิถุนายน 2543 เวลา 8.30 น.
(ข้อมูลที่เก็บความมานี้
ได้มีการปรับปรุงขึ้นมาใหม่และจัดแยกหัวข้อตามที่ผู้เรียบเรียงเข้าใจ
และประยุกต์ให้เข้ากันกับสื่ออิเล็คทรอนิค.
ดังนั้น
หากมีข้อผิดพลาดประการใด
ผู้เรียบเรียงขอรับผิดชอบต่อข้อมูลเหล่านี้ที่นำเสนอ.
สมเกียรติ ตั้งนโม)
พลังทางสังคมออกเป็น
3 ส่วนคือ
พลังพลานุภาพ
หมายถึงพลังอำนาจซึ่งมาจากการใช้กำลัง
เป็นอำนาจของการใช้ความรุนแรงเข้าแก้ไขปัญหา
พลังชนิดนี้
ยิ่งใช้ความรุนแรงมากเท่าใด
ก็ยิ่งทำให้เกิดความทุกข์ยากมากทั้งฝ่ายที่ถูกกระทำและฝ่ายที่กระทำ
และในท้ายที่สุดผู้ใช้ความรุนแรงนั้นก็จะอยู่ไม่ได้.
(สังคมที่ใช้พลังแบบพลานุภาพนี้
เป็นสังคมในรูปแบบที่เก่าแก่ที่สุด
มีมาตั้งแต่อดีตจนกระทั่งปัจจุบัน
และมักเป็นสังคมที่ล้าหลัง)
พลังธนานุภาพ
หมายถึงพลังอำนาจซึ่งได้มาจากการใช้อำนาจทางการเงิน
แทรกซึมเข้ามาในการแก้ปัญหา
หรือเข้าแก้ปัญหาโดยตรง.
อำนาจที่มาจากเงินนี้ไม่มีสัญชาติ
แผ่ซ่านแทรกซึมไปได้ทั่วและซับซ้อน
มีความแนบเนียนจนผู้ที่ถูกใช้อำนาจชนิดนี้ไม่ทันรู้ตัว
ดังนั้น
จึงเป็นอันตรายมากเพราะผู้ถูกกระทำไม่ทันได้ระวังตัวเหมือนกับคนที่ใช้ความรุนแรงกับเรา
พลังสังคมานุภาพ
หมายถึงพลังทางสังคมหรือชุมชน
บางท็เรียกว่าประชานุภาพ
พลังชนิดนี้เชื่อในอำนาจของความรู้ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกัน
ร่วมคิดร่วมทำ
และการระดมสมองเพื่อเข้าแก้ไขปัญหาต่างๆ
เป็นอำนาจในลักษณะของการประสานร่วมมือกัน
อำนาจความรู้นี้มีความยั่งยืน.
สำหรับสังคมานุภาพนี้
เป็นพลังอำนาจที่รวมตัวกันอยู่ในพื้นที่จริงทางภูมิศาสตร์หรือทาง
cyber space ก็ได้
โดยผ่านสื่ออีเล็คทรอนิค
ที่ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
พลังเช่นนี้จึงมาจากหลายแหล่งความคิด
และมีอำนาจในการแก้ไขปัญหาทุกชนิด
โดยไม่ต้องใช้ความรุนแรง
2.
รูปธรรมโครงสร้างทางอำนาจ
รูปธรรมทางโครงสร้างพลังพลานุภาพ
จะเป็นไปในลักษณะแนวดิ่งจากบนลงล่างตามลำดับ
มีการสั่งการและมีผู้ปฏิบัติตาม.
โครงสร้างทางอำนาจชนิดนี้มีลักษณะของผู้ชาย
และอำนาจไม่ยั่งยืน กล่าวคือ
เมื่อผู้มีอำนาจแบบนี้ตายลง
โครงสร้างนี้ก็จะเสื่อมทรุดลง
หรือบางครั้งก็พังครืนลงมา
รูปธรรมทางโครงสร้างพลังธนานุภาพ
มีลักษณะเป็นแนวดิ่งและแนวนอน
ทั้งในลักษณะของการสั่งการของผู้มีอำนาจเงินมากกว่าลงมาตามลำดับ
และการแพร่กระจายไปตามแนวนอนแบบเชื้อโรค
อีกทั้งยังทำงานร่วมกับอำนาจแบบพลานุภาพได้ด้วย
ซึ่งจะทำให้อำนาจความรุนแรงเข้มข้นมากขึ้น.
ส่วนการสืบทอดอำนาจนั้นเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
รูปธรรมทางโครงสร้างพลังสังคมานุภาพ
จะเป็นไปในลักษณะแนวนอน
และร่วมประสานความร่วมมือ
อำนาจนี้มีความยั่งยืนกว่า
และเป็นอำนาจแบบผู้หญิง
คือถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกัน
ไม่มีลักษณะของความเป็นผู้นำที่โดดเด่น
หรือการสืบทอดอำนาจตลอดกาล
3. สังคมานุภาพ
สังคมานุภาพ
เกิดขึ้นมาได้จากหลายๆสาเหตุ
บางครั้งเริ่มต้นขึ้นมาจากการพยายามหาทางแก้ปัญหาร่วมกันในสิ่งที่นำมาซึ่งความทุกข์
อาจเริ่มจากความทุกข์ของปัจเจกชน
และพัฒนาไปสู่การร่วมกันกับคนที่มีความทุกข์อย่างเดียวกัน
และพยายามค้นหาทางออกพร้อมๆกัน.
การร่วมทุกข์นี้ในทางพุทธศาสนาถือว่าจะทำให้ความรู้สึกทุกข์นั้นน้อยลง
และที่สำคัญ
การร่วมทุกข์ทำให้ได้มีการปรับทุกข์
ได้รับการปรึกษาหารือกัน
จากหนักกลายเป็นเบา
4. หลักธรรมแห่งสังคมานุภาพ
ในทางพระพุทธศาสนา
มีหลักธรรมที่นำมาประยุกต์ใช้ได้กับพลังแห่งสังคมานุภาพคือ
หลักแห่งอปริหานิยธรรม(หรือ
ธรรมะที่ไม่ทำให้ฉิบหาย)[ปริหานิยธรรม
ธรรมแห่งความฉิบหาย]
ซึ่งพระพุทธองค์ทรงตรัสสอนให้มีการหมั่นประชุมกันเนืองนิจ
ในหนังสือเรื่อง Making Democracy
World : civic tradition of modern Itary
เป็นหนังสือเกี่ยวกับการไปศึกษาเชิงเปรียบเทียบถึงความแตกต่างของประเทศอิตาลีว่า
ทำไมเมืองมิลาโน
ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของอิตาลี
จึงมีความเจริญทั้งทางด้านเศรษฐกิจ
สังคม และการเมือง,
แต่พอมาศึกษาที่ซิซิลี
ซึ่งอยู่ทางตอนใต้
ทำไมจึงพบว่ามีแต่การคอรัปชั่น
การฆ่ากัน การโกงกัน และมาเฟีย.
ผมสรุปของการศึกษาเชิงเปรียบเทียบนี้ออกมาคือ
เป็นเพราะเมืองมิลาโนมีประชาคม
ในขณะที่ซิซิลีไม่มีประชาคม.
การมีประชาคม ทำให้การเมือง
เศรษฐกิจ และสังคมดี มีศีลธรรม
สรุปทั้งหมดของหนังสือเล่มนี้
หากใช้คำพูดที่รวบรัดและสั้นที่สุดก็คือ
ประชาคม, ประชาสังคม,
และความร่วมมือกันนั่นเอง
เก็บตกสาระ
(Anthology)
เขื่อนกับการทำลาย /
การสร้างเขื่อนกักน้ำขึ้นมาเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้านั้น
เพื่อนำไปใช้ในเชิงธุรกิจ
อุตสาหกรรม และเกษตรกรรม
เป็นการลงทุนให้กับเศรษฐกิจแบบกระแสหลัก
โดยทำลายเศรษฐกิจแบบพอเพียงของผู้คนที่อยู่หลังเขื่อนนับเป็นหมื่นคนอย่างถาวร.
การที่เราเข้าไปเดินในห้างสรรพสินค้าซึ่งติดแอร์คอนดิชั่นเย็นฉ่ำ
เราเคยรู้สึกสำนึกไหมว่า
ความสะดวกสบายเหล่านี้ที่ได้มา
แลกมาด้วยความทุกข์และความตายอันเนื่องมาจากเขื่อนขนาดใหญ่
เบื้องหลังของความสบายของเรา
คือความเดือดร้อนของผู้คนและการทำลายธรรมชาติที่อยู่หลังเขื่อน
คนเล็กคนน้อยเหล่านี้เป็นผู้ที่ต้องจ่ายให้กับความสะดวกของคนในเมือง
เพราะถูกผลกระทบ เช่น
น้ำท่วมที่อยู่ที่ทำกิน
ซึ่งได้อาศัยอยู่มาแต่เดิมนับชั่วอายุคนลงไปอย่างไม่มีวันเรียกคืนกลับมาได้
พันธุ์ปลาหายไปเป็นจำนวนมาก
ปัญหาดินเค็ม
เหล่านี้คือต้นทุนทั้งหมดที่ต้องนับรวมเข้าไปด้วยกับโครงการเขื่อน
ซึ่งผู้ที่จ่ายไม่ได้ใช้
และผู้ใช้ไม่ได้จ่าย
และสิ่งที่ต้องจ่ายเป็นต้นทุนเหล่านี้มันจึงไม่ใช่เพียงแค่งบประมาณในรูปตัวเงิน
ปลักควายคือแหล่งน้ำสุดท้าย
และเป็นที่มาของความคิดบ่อปลาของพ่อสุก
/ คุณโสภณ สุภาพงษ์
ได้เล่าให้นักศึกษาสถาบันพระปกเกล้าฯฟังว่า
เคยไปถามเรื่องบ่อปลาของพ่อสุกว่า
ทำไมจึงเก็บน้ำเอาไว้ได้
ทั้งๆที่อยู่ในภาคอีสาน ?.
พ่อสุกอธิบายว่า
ความเป็นครูของตน.
เพราะตนเรียนรู้เรื่องนี้ได้โดยการสังเกตุปลักควายว่า
สภาพอากาศในฤดูร้อนอย่างนี้
ทำไมปลักควายจึงยังมีน้ำอยู่
ทำไมมันจึงไม่แห้งเหือดไปเหมือนกันกับแหล่งน้ำอย่างอื่นๆ
จากคำถามและข้อสงสัยนี้ทำให้ค้นหาคำตอบออกมาได้ว่า
เป็นเพราะควายมันลงไปนอนกลิ้งเกลือกอยู่ในปลัก
ในขณะที่มันนอนกลิ้งเกลือกเพื่อคลายความร้อนนั้น
มันก็ได้ทำหน้าที่ยาก้นบ่อด้วยดินเหนียวไปในตัวด้วย
ทำให้น้ำไม่ดูดซึมหายลงไปในดิน
ทั้งหมดนี้
พ่อสุกสรุปว่าควายเป็นครูของตน,
ควายกำลังสอนคน.
หลังจากนั้นพ่อสุกจึงทำบ่อปลาของตนขึ้นมาโดยยาก้นบ่อด้วยดินเหนียว
และบ่อปลาของพ่อสุกนั้นยังป้องกันเรื่องดินเค็มในภาคอีสานได้ด้วยทั้งนี้โดยการยกขอบบ่อขึ้นมา
แทนที่จะเป็นการขุดลงไป
การกำหนดเส้นแบ่งของความยากจนในปัจจุบันมีอยู่ด้วยกันหลายวิธี
คุณโสภณ สุภาพงษ์
กล่าวถึงเส้นแบ่งความยากจนโดยอาศัยปริมาณของสารอาหารที่บริโภคเข้าไปในแต่ละวัน
ด้วยการดูที่การได้มาซึ่งปริมาณแคลอรี่ที่บริโภคเข้าไปในแต่ละวัน
และพบว่า ทุกๆ 4
คนที่เดินสวนกันกับเรา จะมี 1
คนที่เรียกว่าเป็นคนจนตามเส้นแบ่งนี้
ทั้งนี้เพราะคน 1 คนนั้น
ได้แคลอรี่ต่อวันไม่ถึงมาตรฐาน,
คน 1
คนนั้นจึงมีสภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ต่ำกว่าวัว
เพราะวัวแต่ละตัวได้แคลอรี่จากอาหารที่มันบริโภคเข้าไปพอเพียง
(เก็บความมาจากการบรรยายของคุณโสภณ
สุภาพงษ์
ซึ่งบรรยายให้กับนักศึกษาของสถาบันพระปกเกล้าฯ
ที่เดินทางมาศึกษาภาคสนาม ณ
เขตจังหวัดภาคเหนือ
ที่จังหวัดเชียงใหม่ ณ
สวนบันรีสอร์ท อ.หางดง ในวันที่ 3
มิถุนายน 2543)
|