บรรณาธิการแถลง: บทความทุกชิ้นซึ่งได้รับการเผยแพร่บนเว็บไซต์แห่งนี้
มุ่งเพื่อประโยชน์สาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อวัตถุประสงค์ในการขยายพรมแดนแห่งความรู้ให้กับสังคมไทยอย่างกว้างขวาง
นอกจากนี้ยังมุ่งทำหน้าที่เป็นยุ้งฉางเล็กๆ แห่งหนึ่งสำหรับเก็บสะสมความรู้ เพื่อให้ทุกคนสามารถหยิบฉวยไปใช้ได้ตามสะดวก
ในฐานะที่เป็นสมบัติร่วมของชุมชน สังคม และสมบัติที่ต่างช่วยกันสร้างสรรค์และดูแลรักษามาโดยตลอด.
สำหรับผู้สนใจร่วมนำเสนอบทความ หรือ แนะนำบทความที่น่าสนใจ(ในทุกๆสาขาวิชา) จากเว็บไซต์ต่างๆ
ทั่วโลก สามารถส่งบทความหรือแนะนำไปได้ที่ midnightuniv(at)gmail.com
(กองบรรณาธิการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน: ๒๘ มกราคม ๒๕๕๐)
The Rainbow Coalition
Midnight
University
ประวัติการต่อสู้ของนักสิทธิพลเมืองอเมริกันผิวดำ
และคำปราศรัย
1984 การรวมตัวของสายรุ้ง: คำปราศรัยของ Jesse Jackson
สมเกียรติ
ตั้งนโม: เรียบเรียง
โครงการสื่อเพื่อบริบทสิทธิมนุษยชน
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
บทความวิชาการต่อไปนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการสื่อเพื่อบริบทสิทธิมนุษยชน
ของเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ซึ่งเป็นโครงการไม่เกี่ยวข้องกับผลกำไร
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหาตัวอย่างและกรณีศึกษาเกี่ยวกับเรื่องสิทธิมนุษยชน
จากประเทศชายขอบทั่วโลก มาเป็นตัวแบบในการวิเคราะห์และสังเคราะห์
เพื่อเผชิญกับปัญหาสิทธิมนุษยชน(สิทธิชุมชน)ในประเทศไทย
สำหรับเรื่องราวต่อไปนี้
เป็นการต่อสู้ของสาธุคุณ Jesse Jackson ผู้นำผิวดำอเมริกัน
คนหนึ่ง ซึ่งต่อสู้เพื่อสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง เขาเป็นคนหนึ่งที่เคยทำงานร่วมกับ
มาร์ติน ลูเธอร์ คิงส์ และได้ก่อตั้งองค์กรการรวมตัวของสายรุ้ง ซึ่งได้พยายามรวบรวม
ชนผิวสีและผู้เสียเปรียบของสังคมอเมริกัน มารวมกันเป็นพลังทางการเมือง
ในส่วนของความเรียงนี้ จะกล่าวถึงชีวประวัติและคำปราศรัยของแจ็คสัน โดยลำดับดังนี้
- ประวัติในช่วงวัยเด็ก
และการศึกษา
- แจ็คสันในฐานะผู้นำเรื่องสิทธิพลเมือง
- กิจกรรมต่างๆ ทางการเมืองระหว่างประเทศ
- การลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี 1984 และ1988
- 1984 การรวมตัวของสายรุ้ง: คำปราศรัยของ Jesse Jackson
- ประชาธิปไตยเป็นระบอบที่ประกันในเรื่องโอกาส แต่ไม่ประกันในเรื่องความสำเร็จ
midnightuniv(at)gmail.com
บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา
ข้อความที่ปรากฏบนเว็บเพจนี้
ได้รักษาเนื้อความตามต้นฉบับเดิมมากที่สุด
เพื่อนำเสนอเนื้อหาตามที่ผู้เขียนต้องการสื่อ กองบรรณาธิการเพียงตรวจสอบตัวสะกด
และปรับปรุงบางส่วนเพื่อความเหมาะสมสำหรับการเผยแพร่ รวมทั้งได้เว้นวรรค
ย่อหน้าใหม่ และจัดทำหัวข้อเพิ่มเติมสำหรับการค้นคว้าทางวิชาการ
บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ลำดับที่ ๑๔๙๒
เผยแพร่บนเว็บไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่
๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ
๒๓ หน้ากระดาษ A4)
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ประวัติการต่อสู้ของนักสิทธิพลเมืองอเมริกันผิวดำ
และคำปราศรัย
1984 การรวมตัวของสายรุ้ง: คำปราศรัยของ Jesse Jackson
สมเกียรติ
ตั้งนโม: เรียบเรียง
โครงการสื่อเพื่อบริบทสิทธิมนุษยชน
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
Jesse Louis Jackson (Senior)
(เกิดเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 1941) เป็นนักกิจกรรมสิทธิพลเมืองอเมริกัน และนักสอนศาสนานิกายแบพติสท์
เขาเป็นคนหนึ่งซึ่งได้รับการเสนอชื่อเพื่อลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตทั้งในปี
1984 และ 1988 และทำหน้าที่วุฒิสมาชิกเงา (shadow senator) สำหรับ the District
of Columbia จากปี 1991 ถึง 1997. เขาเป็นผู้ก่อตั้งองค์กรที่ได้ผสมรวมตัวเรียกว่า
Rainbow/PUSH (*).
(*) Rainbow/PUSH
คือองค์กรที่ไม่แสวงผลกำไร ก่อตัวขึ้นมาจากการรวมองค์กรที่ไม่แสวงผลกำไรสองแห่ง
คือ Operation PUSH (People United To Save Humanity) และ the National Rainbow
Coalition เข้าด้วยกัน สำหรับองค์กรนี้ทำการรณรงค์เรื่องเกี่ยวกับความยุติธรรมทางสังคม
สิทธิพลเมือง และกิจกรรมทางการเมือง
ในปี 1971, Jackson ลาออกจาก Operation Breadbasket อันเป็นองค์กรทำงานเพื่อปรับปรุงเงื่อนไขทางเศรษฐกิจให้กับชุมชนคนผิวดำในสหรัฐฯ
หลังจากขัดแย้งกับบาทหลวง Rev. Ralph Abernathy และเขาได้ก่อตั้ง Operation PUSH.
Jackson ได้ก่อตั้ง the National Rainbow Coalition (องค์กรการรวมตัวกันของสายรุ้งแห่งชาติ)ในปี
1984 ซึ่งได้รวมเข้ากับ PUSH ในปี 1996 และมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ South Side
ของ Chicago นอจากนี้ยังมีสาขาอยู่ที่ Washington, D.C., New York City, Los
Angeles, Detroit, Houston, Atlanta, the Silicon Valley, และ New Orleans ด้วย
องค์กร PUSH ค่อนข้างประสบความสำเร็จในการเพิ่มความรับรู้ของสาธารณชนเพื่อน้อมนำสู่การร่วมไม้ร่วมมือและการสนับสนุนจากรัฐบาล.
ในส่วนขององค์กร The National Rainbow coalition กลายเป็นองค์กรทางการเมืองที่โดดเด่นซึ่งได้ทำให้สาธารณชนเรียนรู้มากขึ้นในประเด็นปัญหาต่างๆ
ทางการเมืองและรวมกันเป็นบล็อคคะแนนเสียงขนาดใหญ่บล็อคหนึ่ง องค์กร Rainbow/PUSH
ได้ดำเนินกิจกรรมใหม่ๆ ทางสังคมขึ้นมาเป็นจำนวนมาก
ประวัติในช่วงวัยเด็ก
Jackson เกิดและใช้ชื่อว่า Jesse Louis Burns, เป็นบุตรของ Helen Burns ใน Greenville,
South Carolina, Helen Burns เป็นมารดาอายุ 16 ซึ่งอยู่ลำพังคนเดียวตอนที่เขาถือกำเนิดขึ้น
พ่อของเขาซึ่งเป็นนักชีววิทยา Noah Louis Robinson, ก่อนหน้านี้เคยเป็นนักมวยมืออาชีพและเป็นบุคคลที่โดดเด่นในชุมชนของคนผิวดำ
และได้ไปแต่งงานใหม่กับผู้หญิงอีกคนหนึ่งตอนที่เขาเกิด ดังนั้นพ่อของเขาจึงไม่ได้มีความเกี่ยวพันใดๆ
ในชีวิตของบุตรชายคนนี้เลย. ในปี 1943 สองปีหลังจากที่เขาเกิด แม่ได้แต่งงานอีกครั้งกับ
Charles Henry Jackson ซึ่งได้รับเขาเป็นบุตรในอีก 14 ปีต่อมา เหตุนี้ Jesse
จึงได้ใช้นามสกุลของพ่อบุญธรรมของเขาว่า Jackson
ประวัติการศึกษา
Jackson ได้เข้าเรียนที่ Sterling High School, อันเป็นโรงเรียนมัธยมที่มีการแบ่งแยกเชื้อชาติ
ใน Greenville, ที่นั่นเขาเป็นนักกีฬาโดดเด่น ช่วงจบการศึกษาในปี 1959 เขาปฏิเสธจะทำสัญญากับทีมเบสบอลล์อาชีพ
ดังนั้นเขาจึงสามารถเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยอิลินอยส์ อันเป็นมหาวิทยาลัยที่บูรณาการทางเชื้อชาติ
และได้ทุนในฐานะนักกีฬาฟุตบอล แต่อย่างไรก็ตาม หนึ่งปีต่อมาเขาก็ได้ย้ายไปยัง
North Carolina A&T ซึ่งตั้งอยู่ใน Greensboro, North Carolina. มีคำอธิบายที่ต่างกันสำหรับเหตุผลหลายหลากเบื้องหลังการย้ายมหาวิทยาลัยครั้งนี้
แจ็คสันอ้างว่า การเปลี่ยแปลงที่เรียนดังกล่าวเกิดจากรากฐานการมีอคติทางเชื้อชาติของสถาบันการศึกษา ซึ่งรวมถึงการที่เขาไม่สามารถลงเล่นเป็น quarterback ได้ ทั้งๆ ที่เขาเป็นดาวเด่น quarterback คนหนึ่งจากโรงเรียนมัธยม เช่นเดียวกับการที่เขาถูกลดตำแหน่งเป็นตัวสำรองในทีมแข่งขันการกล่าวสุนทรพจน์ในที่สาธารณะ ทั้งๆ ที่ผู้ให้การสนับสนุนทีมกลุ่มของเขา ซึ่งได้เลือกเขาให้เป็นคนหนึ่งในทีมในฐานะผู้มีความสามารถพิเศษ. อย่างไรก็ตาม ในเว็บไซต์ ESPN.com ได้กล่าวถึงเรื่องนี้แตกต่างออกไป โดยอ้างว่าเรื่องของการกีดกันทางด้านเชื้อชาติในทีมฟุตบอลอาจถูกทำให้เกินจริงไป เพราะว่า starting quarterback คนหนึ่งในปีนั้นเป็นแอฟริกันอเมริกัน. แจ็คสันได้ออกจากมหาวิทยาลัยอิลินอยส์ตอนสิ้นสุดเทอมสองของเขา หลังจากถูกภาคทัณฑ์การเรียน. ภายหลังจบการศึกษาจาก A&T, แจ็คสันได้เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนสอนศาสนา Chicago Theological Seminary โดยความตั้งใจที่จะเป็นนักสอนศาสนา แต่ได้ดร็อปออกมาในปี 1966 และเพ่งความสนใจไปในการเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างเต็มที่ (เขาได้รับการบวชในปี 1968 โดยปราศจากดีกรีการศึกษาทางเทววิทยาใดๆ และได้รับดุษฎีบัณฑิตกิติมศักดิ์สาขาเทววิทยา จากมหาวิทยาลัยชิคาโกในปี 1990)
ในฐานะผู้นำเรื่องสิทธิพลเมือง
ในปี 1965, เขาได้เข้าร่วมกับการเดินขบวน the Selma to Montgomery marches (*)
ซึ่งจัดขึ้นโดย Dr. Martin Luther King, Jr. และบรรดาผู้นำด้านสิทธิพลเมืองคนอื่นๆ
ใน Alabama. เมื่อแจ็คสันหวนกลับจาก Selma, เขาได้เข้าไปร่วมกับ King ในความพยายามที่จะสถาปนาหัวหาดของการประชุมผู้นำคริสเตียนทางภาคใต้(Southern
Christian Leadership Conference) (SCLC) ในชิคาโก. ในปี 1966, King ได้เลือก
Jackson ขึ้นเป็นหัวหน้าองค์กรปฏิบัติการ Operation Breadbasket (**) ของ SCLC
ในชิคาโก และได้ให้การส่งเสริมเขาเป็นผู้อำนวยการแห่งชาติในปี 1967
(*)The Selma to Montgomery
marches, which included Bloody Sunday, were three marches that marked the
political and emotional peak of the American civil rights movement. They were
the culmination of the voting rights movement in Selma, Alabama, launched
by Amelia Boynton Robinson and her husband. Robinson brought many prominent
leaders of the American Civil Rights Movement to Selma, including Dr. Martin
Luther King, Jr., Jim Bevel and Hosea Williams. "Bloody Sunday"
occurred on March 7, 1965, when 600 civil rights marchers were attacked by
state and local police with billy clubs and tear gas. Only the third, and
last, march successfully made it into Montgomery, Alabama. The route is memorialized
as the Selma to Montgomery National Historic Trail.
(**)Operation Breadbasket (ปฏิบัติการตระกร้าขนมปัง) เป็นองค์กรที่อุทิศการทำงานให้กับการปรับปรุงเงื่อนไขทางเศรษฐกิจของชุมชนคนผิวดำต่างๆ
ทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา. องค์กรปฏิบัติการตระกร้าขนมปัง ได้รับการตั้งขึ้นในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของการประชุมผู้นำคริสเตียนภาคใต้ของมาร์ติน
ลูเธอร์ คิง ในปี ค.ศ.1962 กิจกรรมในช่วงต้นๆ เกือบทั้งหมด ล้วนทำขึ้นที่แอตแลนต้า
และเมืองทางภาคใต้ต่างๆ
โดยการดำเนินรอยตามบาทหลวง Reverend Leon Sullivan แห่งฟิลาเดลเฟีย เป้าหมายหลักของกลุ่มใหม่ก็คือ
ให้การสนับสนุน"การเลือกซื้อ"(คว่ำบาตร)ในฐานะที่เป็นเครื่องมือหนึ่งเพื่อกดดันธุรกิจของคนขาวให้มีการจ้างงานคนผิวดำ
และรับซื้อสินค้าต่างๆ และบริการรับเหมาจากคนดำ. หนึ่งในผู้ดำรงตำแหน่งมาก่อน
Sullivan คือ Dr. T.R.M. Howard, ด็อกเตอร์และนักลงทุนทางการเงินผู้ร่ำรวยของ
South Side และเป็นคนทีให้การสนับสนุนด้านการเงินคนสำคัญต่อองค์กรปฏิบัติการตระกร้าขนมปัง.
ก่อนหน้าเขาจะย้ายจาก Mississippi ไปยัง Chicago ในปี 1956, Howard, เป็นหัวหน้าของสภาท้องถิ่นผู้นำนิโกร(the
Regional Council of Negro Leadership), ซึ่งประสบความสำเร็จในการคว่ำบาตรสถานบริการต่างๆ
ที่ปฏิเสธการจัดหาห้องพักให้กับคนผิวดำ
Jackson ได้ร่วมกับ King ใน Memphis, Tennessee ตอนที่ King ได้ถูกลอบสังหารในวันที่ 4 เมษายน 1968 หลังวันปราศรัยอันมีชื่อเสียงของ King "I've been to the mountaintop" (ผมอยู่บนยอดภูเขา) ซึ่งได้แสดงที่ the Mason Temple.
เริ่มต้นปี 1968 แจ็คสันมีความขัดแย้งเพิ่มขึ้นกับบาทหลวง Ralph Abernathy ซึ่งเป็นผู้สืบทอดต่อมาจาก King ในฐานะหัวหน้า SCLC แห่งชาติ. เดือนธันวามคม 1971, ความไม่ลงรอยกันได้ฟักตัวอย่างเต็มที่, Abernathy ได้แขวน Jackson ไว้ในตำแหน่บริหารที่ไม่เหมาะสมและกล่าวหาว่าเขาได้ทำซ้ำเกี่ยวกับการละเมิดนโยบายขององค์กรเสมอ" แจ็คสันจึงลาออก พร้อมพรรคพวกของเขา และได้มารวมตัวกันก่อตั้งองค์กร Operation PUSH ซึ่งถือกำเนิดขึ้นในเดือนเดียวกัน. กลุ่มเคลื่อนไหวใหม่นี้ได้รับการจัดตั้งขึ้นในบ้านของ Dr. T.R.M. Howard ซึ่งกลายเป็นสมาชิกคนหนึ่งของคณะกรรมการผู้อำนวยการ และเป็นประธานเกี่ยวกับอนุกรรมการด้านการเงิน
ในปี 1984 แจ็คสันได้ก่อตั้งองค์กรการรวมตัวกันของสายรุ้ง หรือ the Rainbow Coalition, ซึ่งต่อมาได้หลอมรวมเข้ากับ Operation PUSH ในปี 1996. องค์กรใหม่นี้ได้ก่อรูปเป็น Rainbow PUSH ขึ้นมา โดยเน้นไปที่บทบาทของการสอนศาสนาในฐานะที่เป็นองค์กรจัดตั้งที่สำคัญและมีประสิทธิผลต่อความคิดกระแสหลัก. Al Sharpton ยังได้ถอนตัวจาก the SCLC เพื่อเป็นการประท้วงและตามแจ็คสันออกมา ภายหลังเขาได้ก่อตั้งขบวนการเยาวชนแห่งชาติขึ้น (the National Youth Movement)
กิจกรรมต่างๆ ระหว่างประเทศ
ระหว่างทศวรรษที่ 1980s แจ็คสันประสบกับความมีชื่อเสียงอย่างกว้างขวางในฐานะแอฟริกันอเมริกันและในฐานะนักการเมืองคนหนึ่ง
เช่นเดียวกับการกลายเป็นนักพูดที่มีคนรู้จักกันทั่วไปสำหรับประเด็นปัญหาเกี่ยวกับสิทธิพลเมือง
อิทธิพลของเขาได้แผ่ขยายไปสู่เรื่องราวสำคัญระหว่างประเทศในทศวรรษที่ 1980s และ
1990s ด้วย ตัวอย่างเช่น ในปี 1983 แจ็คสันได้เดินทางไปยังซีเรีย เพื่อคุ้มครองการปล่อยตัวนักบินอเมริกันที่ถูกจับตัวไป
คือ Navy Lt. Robert Goodman ซึ่งได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาลซีเรีย เครื่องบินของ
Goodman ถูกยิงตกเหนือเลบานอนในขณะที่ปฏิบัติภารกิจในการทิ้งระเบิดเป้าหมายต่างๆ
ในซีเรีย หลังจากการร้องขอส่วนตัวที่เร้าอารมณ์ ซึ่งแจ็คสันได้เจรจากับประธานาธิบดีซีเรียน
Hafez al-Assad, Goodman ก็ได้รับการปล่อยตัวออกมา
ในขั้นแรก คณะผู้บริหารของประธานาธิบดีเรแกนได้ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับการเดินทางไปซีเรียของแจ็คสัน แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากที่แจ็คสันได้ทำการช่วยเหลือและมีการปล่อยตัว Goodman แล้ว ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ได้เชื้อเชิญทั้งแจ็คสันและกู๊ดแมนมายังทำเนียบขาวในวันที่ 4 กรกฎาคม 1984 (วันชาติสหรัฐฯ). อันนี้ส่งให้แจ็คสันเป็นทีรู้จักและได้รับความนิยมในฐานะผู้รักชาติอเมริกัน และมันเป็นสปริงบอร์ดที่ส่งเขาขึ้นสู่หนทางการลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 1984. ในเดือนมิถุนายน 1984 แจ็คสันได้ทำการเจรจาตกลงเพื่อให้มีการปล่อยตัวชาวอเมริกัน 22 คนที่ถูกจับในประเทศคิวบา หลังจากที่เขาได้รับการเชื้อเชิญโดยประธานาธิบดีคิวบา Fidel Castro.
แจ็คสันได้ก่อให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกที่รุนแรงขึ้นในปี 1995 เมื่อเขาได้เขียนข้อความประท้วงรายการของสถานี FOX network ในรายการโทรทัศน์ Mighty Morphin Power Rangers (ดูภาพประกอบ) ซึ่งแรงเจอร์ขาว(White Ranger) พูดว่า "พลังขาว" (White Power) เป็นเสียงแห่งสงคราม ต่อมาแจ็คสันได้ถอนแถลงการณ์ประท้วงของเขา. อย่างไรก็ตาม FOX ได้มีการเซนเซอร์ประโยคดังกล่าวในการออกอากาศในเวลาต่อมา
เขาได้เดินทางไปยังเคนย่าในปี 1997 เพื่อพบกับประธานาธิบดี Daniel Arap Moi แห่งเคนย่าในฐานะตัวแทนพิเศษทางด้านประชาธิปไตยของ Bill Clinton ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการเลือกตั้งเสรีและยุติธรรมขึ้น. ต่อมาในเดือนเมษายน 1999 ระหว่างสงครามโคโซโว แจ็คสันได้เดินทางไปยังกรุงเบลเกรด เพื่อเจรจาให้มีการปล่อยตัวเชลยศึกสหรัฐฯ 3 คน ซึ่งถูกจับที่พรมแดนมาซีโดเนีย ขณะที่ทำการลาดตระเวณกับกองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ เขาได้พบกับประธานาธิบดี Slobodan Milosevic, ซึ่งต่อมาตกลงที่จะปล่อยตัวทหารทั้ง 3 คนนั้น
ความพยายามของแจ็คสันระดับนานาชาติยังคงดำเนินต่อไปในช่วงระหว่างทศวรรษที่ 2000s กล่าวคือในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2003 แจ็คสันได้พูดต่อหน้าฝูงชนประมาณหนึ่งล้านคนที่สวนสาธารณะ Hyde Park, กรุงลอนดอน ช่วงสูงสุดที่มีการเดินขบวนประท้วงและต่อต้านสงครามในการรุกรานครั้งใหญ่ของสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรเข้าไปในอิรัก. ในเดือนพฤศจิกายน 2004 แจ็คสันได้พบกับนักการเมืองอาวุโสต่างๆ และบรรดานักกิจกรรมชุมชนในไอร์แลนด์เหนือ ในความพยายามที่จะให้การสนับสนุนความสัมพันธ์ข้ามชุมชนให้ดีขึ้น และสรรค์สร้างขบวนการสันติภาพขึ้นมาใหม่และทำการฟื้นฟูสถาบันที่เป็นทางการต่างๆ เกี่ยวกับการทำข้อตกลงเบลฟาสท์(Belfast Agreement)
เดือนสิงหาคม 2005 แจ็คสันเดินทางไปยังเวเนซุเอลา เพื่อพบปะกับประธานาธิบดีฮูโก ชาเวซ แห่งเวเนซุเอลา ตามมาด้วยการแสดงความคิดเห็นในเชิงโต้แย้งต่างๆ กับนักจัดรายการศาสนาทางโทรทัศน์ Pat Robertson ซึ่งเขาได้แสดงนัยยะว่าชาเวซ ควรถูกลอบสังหาร แจ็คสันได้ประณามคำกล่าวของ Robertson ในฐานะที่เป็นคำพูดที่ไร้ศีลธรรม หลังจากที่ได้พบกับประธานาธิบดีชาเวซและมีการปราศรัยที่รัฐสภาเวเนซุเอลา แจ็คสันกล่าวว่า ไม่มีหลักฐานใดๆ ว่าเวเนซุเอลาจะเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐฯ นอกจากนี้เขายังได้พบกับบรรดาผู้แทนจากชุมชนแอฟโฟรเวเนซุเอลา และชุมชนต่างๆ ที่เป็นคนท้องถิ่นด้วย
ตามโพลล์สำรวจของ AP-AOL "Black Voices" (เสียงของคนดำ)ในเดือนกุมภาพันธ์ 2006 แจ็คสันได้รับการลงคะแนนเสียงว่าเป็นผู้นำคนผิวดำที่สำคัญที่สุด"โดยการได้รับคะแนนเสียง 15 เปอร์เซ็นต์ ตามมาด้วยคอนโดลีซ่า ไรส์ ซึ่งได้คะแนนประมาณ 11 เปอร์เซ็นต์
การลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี
การเลือกตั้งสหรัฐในปี 1984
ในปี 1984 แจ็คสันถือเป็นคนที่สองของแอฟริกันอเมริกัน (หลังจาก Shirley Chisholm)
(*) ที่ขึ้นมารณรงค์ระดับชาติอย่างกว้างขวางในการเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ภายใต้พรรคเดโมแครต ในการหยั่งเสียงขั้นแรก(primaries), แจ็คสันได้รับการแสดงความเห็นโดยบรรดาผู้เชี่ยวชาญในฐานะที่เป็นคนชายขอบของการลงสมัครรับเลือกตั้ง
ซึ่งมีโอกาสเพียงเล็กน้อยที่จะได้รับชัยชนะในการเสนอชื่อ แต่เป็นที่ประหลาดใจของผู้คนจำนวนมากเมื่อเขาอยู่ในอันดับที่สามรองจากวุฒิสมาชิก
Gary Hart และรองประธานาธิบดี Walter Mondale, ซึ่งในท้ายที่สุดเขาได้รับชัยชนะและได้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี
แจ็คสันได้เก็บเกี่ยวการคะแนนหยั่งเสียงขั้นแรกได้ถึง 3,282,431 หรือ 18.2 เปอร์เซนต์ของทั้งหมด ในปี 1984 และได้ชัยชนะการหยั่งเสียงขั้นต้นและการประชุมกลุ่มผู้นำพรรคเพื่อเลือกตัวแทนเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีถึง 5 ครั้ง ประกอบด้วยรัฐ Louisiana, the District of Columbia, South Carolina, Virginia, และหนึ่งในสองของการแข่งขันในรัฐ Mississippi.
ขณะที่เขาได้รับป๊อปปูลาร์โวท์ 21 เปอร์เซ็นต์ แต่ในส่วนของตัวแทนหรือที่เรียกว่า delegates เขาได้เพียง 8 เปอร์เซนต์เท่านั้น หลังจากนั้น เขาได้บ่นทำนองไม่พอใจว่าเป็นผู้เสียเปรียบโดยกฎเกณฑ์ต่างๆ ของพรรค. ขณะที่ Mondale (ในคำพูดต่างๆ ของเขา)ได้ถูกกำหนดให้เป็นแบบอย่างด้วยการให้ผู้ลงสมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีของเขาเป็นผู้หญิงหรือชนกลุ่มน้อยที่แสดงออกอย่างชัดเจน แจ็คสันวิจารณ์กระบวนการนำเสนอภาพในฐานะขบวนแถวการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับบุคลิกภาพส่วนตัว. เขายังได้เยาะเย้ย Mondale ด้วยว่า Hubert Humphrey (*) เป็นนักการเมืองคนสุดท้ายที่สำคัญ ซึ่งโดดมาจากพื้นที่เขต St. Paul-Minneapolis" area.
การเลือกตั้งในปี
1988
สี่ปีต่อมา, ในปี 1988 แจ็คสันได้เสนอตัวอีกครั้งเพื่อเป็นตัวแทนได้รับการเสนอชื่อให้ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ของพรรคเดโมแครต ในวาระนี้ เนื่องจากความสำเร็จของเขาในอดีต ทำให้แจ็คสันค่อนข้างเป็นที่เชื่อถือในฐานะผู้ลงสมัครแข่งขัน
และเขามีทั้งเงินสนับสนุนที่ดีกว่าและการจัดตั้งที่เหนือกว่า. แม้ว่าผู้คนส่วนใหญ่ดูเหมือนจะไม่เชื่อว่าเขาจะมีโอกาสจริงจังใดๆ
ในการได้รับชัยชนะครั้งนี้ แต่แจ็คสัน อีกครั้งที่ความคาดหวังของเขาเกินกว่าผลลัพธ์ที่เขาได้รับเมื่อคราวที่แล้วถึงสองเท่า.
R.W. Apple บรรณาธิการร่วมของ New York Times คนหนึ่งเรียกปี 1988 ว่า "ปีของแจ็คสัน"(the
Year of Jackson) เขาได้คะแนนเสียงถึง 6.9 ล้านเสียงและชนะการแข่งขันถึง 11 ครั้ง,
นั่นคือ การการหยั่งเสียงขั้นต้น 7 ครั้ง (ที่รัฐ Alabama, the District of Columbia,
Georgia, Louisiana, Mississippi, Puerto Rico and Virginia) และได้ชัยชนะจากกลุ่มผู้นำพรรค
4 ครั้ง (ที่ Delaware, Michigan, South Carolina และ Vermont). (*)
(*) ดูรายละเอียดเพิ่มเติมใน http://en.wikipedia.org/wiki/Jesse_jackson
คำปราศรัยที่สำคัญของแจ็คสัน
ข้างล่างต่อไปนี้เป็นคำปราศรัยที่สำคัญของแจ็คสัน ในคราวลงสมัครเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต
เพื่อได้รับการเสนอชื่อลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี ค.ศ.1984. คำปราศรัยนี้น่าสนใจตรงที่เขาได้นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับการผสานรวมกันของชนหลายเชื้อชาติในอเมริกาให้เป็นหนึ่งเดียว
เพื่อเปลี่ยนแปลงและสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับคนอเมริกันชายขอบ โดยเน้นประเด็นเรื่องมนุษยธรรม
ความเท่าเทียม การมีงานทำ และสวัสดิการที่ดีขึ้นทั้งในด้านการศึกษา และการสาธารณสุข
ฯลฯ
1984 การรวมตัวของสายรุ้ง:
คำปราศรัยของ Jesse Jackson
1984 Democratic National Convention Keynote Address
The Rainbow Coalition: การรวมตัวของสายรุ้ง
http://www.americanrhetoric.com/speeches/jessejackson1984dnc.htm
ขอบคุณมากครับ
คืนนี้เรามาร่วมกันด้วยศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพลานุภาพของพวกเรา โดยความเคารพรักอย่างแท้จริงในประเทศนี้และมรดกที่สืบทอดกันมาของพรรคการเมืองที่ยิ่งใหญ่
พรรคเดโมแครต อันเป็นความหวังสูงสุดสำหรับการปรับเปลี่ยนประเทศของเราไปสู่ความมีเมตตาและความมีมนุษยธรรมมากขึ้น
และการน้อมนำไปสู่เส้นทางแห่งสันติภาพ
นี่ไม่ใช่พรรคการเมืองที่สมบูรณ์ เราเองก็มิใช่มนุษย์ที่สมบูรณ์เช่นกัน กระนั้นก็ตาม เราต่างเรียกร้องพันธกิจที่มุ่งสู่ความสมบูรณ์ ซึ่งพันธกิจของพวกเราคือ การส่งมอบความอิ่มเอมให้กับผู้ที่หิวโหย สวมใส่เสื้อผ้าให้กับผู้ที่เปลือยเปล่า และหาที่อยู่อาศัยให้กับคนไร้ที่พักพิง สอนคนที่ไม่รู้หนังสือให้อ่านออกเขียนได้ พร้อมจัดหางานให้กับคนว่างงาน และเลือกจะแข่งขันกันพัฒนาด้านมนุษยธรรมแทนที่การแข่งขันกันพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์
สัปดาห์นี้ พวกเรามารวมกันอยู่ ณ ที่นี่เพื่อเสนอชื่อผู้สมัครชิงตำแหน่ง และรับฟังคำปราศรัยที่จะแผ่ขยาย, รวมเป็นหนึ่งเดียว, กำกับ, และให้แรงบันดาลใจต่อพรรคการเมืองและประเทศชาติของเราเพื่อบรรลุพันธกิจนี้ ประชาชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในเขตของข้าพเจ้าคือผู้ที่สิ้นหวัง ถูกประณาม ถูกเพิกถอนสิทธิ ขาดการให้ความเคารพ และได้รับการดูถูกเหยียดหยาม พวกเขากระวนกระวายและแสวงหาหนทางผ่อนคลาย พวกเขามีเสียงที่จะลงคะแนนอยู่ในมือ พร้อมจะลงทุนให้กับศรัทธา ความหวัง และความไว้วางใจซึ่งพวกเขามีอยู่เช่นเดียวกับเรา. พรรคเดโมแครตจะต้องส่งสัญญานให้พวกเขาทราบว่า พวกเรารู้สึกกังวลใจในความทุกข์ของพวกเขาเพียงใด และข้าพเจ้าปฏิญญานเอาไว้สูงสุดว่า จะไม่ปล่อยให้พวกเขาต้องตกระกำลำบาก
มันคือเสียงเพรียกของสำนึก การไถ่บาป การเผยแผ่ การเยียวยารักษา และความเป็นเอกภาพ. ความเป็นผู้นำจะต้องเอาใจใส่ต่อสิ่งเหล่านี้ สำหรับสิ่งเหล่านี้คือกุญแจสำคัญที่นำไปสู่การบรรลุผลสำเร็จในพันธกิจของเรา. เวลาเป็นสิ่งที่เป็นกลางและไม่ได้เปลี่ยนแปลงสิ่งใดๆ ด้วยความกล้าหาญและการริเริ่ม บรรดาผู้นำจะเป็นผู้เปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ เหล่านั้น
ไม่มีคนรุ่นใดสามารถเลือกยุคสมัย สถานที่เกิด หรือสภาพแวดล้อมได้ แต่โดยผ่านความเป็นผู้นำสามารถเลือกที่จะสรรค์สร้างยุคสมัยอันเป็นการจุดกำเนิดแห่งยุคสว่างได้(an age of enlightenment), ยุคของการมีงานทำกันทั่วหน้า มีสันติภาพและความยุติธรรม. เพียงความเป็นผู้นำ - ร่วมกับพรสวรรค์ต่างๆ, การฝึกฝนและการมีวินัย, ข้อมูลข่าวสาร, สถานการณ์แวดล้อม, ความกล้า, เวลา, เจตจำนงและแรงบันดาลใจอันเยี่ยมยอด สามารถจะนำเราหลุดพ้นจากวิกฤตที่เราทั้งหลายประสบด้วยตัวของเราเองได้. ความเป็นผู้นำสามารถทำให้ความทุกข์ยากของประชาชาติเราบรรเทาลงได้ ความเป็นผู้นำสามารถแยกท้องทะเลและน้อมนำประชาชาติเราไปสู่ทิศทางแห่งดินแดนพันธสัญญา ความเป็นผู้นำสามารถยกเรือขึ้นจากก้นมหาสมุทรได้
ข้าพเจ้ามีโอกาสน้อยมากที่จะจ้องดูคนเจ็ดคน และต่อจากนั้นสอง หลั่งรินจิตวิญญานของพวกเขาออกมา เสนอตัวเพื่อการบริการของพวกเขา และเยียวยาให้ความเอาใจใส่สิ่งที่เรียกว่าภาระหน้าที่ในการกำกับเส้นทางประเทศชาติของเรา มันเป็นฤดูกาลที่เหมาะสมสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง มันคือห้วงเวลาของการหว่านเมล็ดพันธุ์และช่วงเวลาของการเก็บเกี่ยว. มันเป็นเวลาของการแข่งขันและเวลาแห่งการร่วมมือ ข้าพเจ้าขอคะแนนเสียงจากบัตรเลือกตั้งของพวกท่าน เพื่อนำไปสู่ทิศทางใหม่สำหรับพรรคการเมืองนี้และประเทศชาติของเรา - นั่นคือ คะแนนเสียงของความมั่นใจ คะแนนเสียงของความสำนึก. และข้าพเจ้าภาคภูมิใจที่จะให้การสนับสนุนผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงตำแหน่งของที่ประชุมนี้ เพื่อดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา
ข้าพเจ้าได้เฝ้ามองความเป็นผู้นำของพรรคการเมืองเราที่พัฒนาและเติบโตขึ้น ความนับถือที่ข้าพเจ้ามีต่อทั้งMr. Mondale และ Mr. Hart (ทั้งคู่ต่างลงแข่งขันให้ได้รับการเสนอชื่อเพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ของพรรคเดโมแครต)เป็นความยิ่งใหญ่มาก ข้าพเจ้าจ้องมองพวกเขาต่อสู้กับลม ฝน และไฟของความคิดเห็นในฐานะบุคคลที่รับใช้สาธารณะ และข้าพเจ้าเชื่อว่าพวกเขาทั้งคู่จะยังคงพยายามรับใช้เราอย่างศรัทธา. ข้าพเจ้ารู้สึกปิติและมีความสุขโดยการรับรู้ที่ว่า สำหรับช่วงเวลาแรกในประวัติศาสตร์ของเรา ผู้หญิงคนหนึ่ง Geraldine Ferraro (*), จะได้รับการรับรองให้มีส่วนร่วมปันในบัตรเลือกตั้งของพวกเรา(ในฐานะรองประธานาธิบดี)
(*)Geraldine Anne Ferraro
(born August 26, 1935) is a Democratic politician and a former member of the
United States House of Representatives. She is perhaps best known as the first
and to date only woman to represent a major U.S. political party as a candidate
for Vice President.
Ferraro was a teacher, lawyer, and member of the Queens County District Attorney's
Office prior to being elected the United States Congress in 1978. In 1984
former Vice President and Presidential candidate Walter Mondale selected Ferraro
to be his running mate in the upcoming election. While Ferraro was a capable
candidate, outshining even Mondale, the positive polling Mondale received
when she joined him did not last until November, and they were defeated in
an electoral landslide by incumbent President Ronald Reagan and Vice President
George H. W. Bush.
Following the 1984 elections
she twice attempted election to the United States Senate, but was defeated
by wafer-thin margins. She is currently a businesswoman and is involved in
the presidential campaign of the U.S. Senator from New York, Hillary Rodham
Clinton.
ตลอดการรณรงค์ครั้งนี้ ข้าพเจ้าพยายามเสนอความเป็นผู้นำให้กับพรรคเดโมแครตและประเทศ
ในช่วงขณะสูงสุดของข้าพเจ้า ถ้าข้าพเจ้าได้กระทำสิ่งดีๆ บางอย่าง ได้ให้บริการบางชนิด
ฉายความสว่างไปบางที่ รักษาบาดแผลให้บางคน จุดประกายความหวังบางชนิด หรือกระตุ้นคนบางคนที่นิ่งเฉยและไม่สนใจอะไร
หรือไม่ว่าจะช่วยเหลือใครด้วยวิธีใดก็ตาม นั่นคือการรณรงค์ที่มันจะไม่ไร้ประโยชน์.
สำหรับเพื่อนๆ คนที่รักและห่วงใยในตัวข้าพเจ้า และสำหรับพระผู้เป็นเจ้าซึ่งพระองค์ทรงผ่อนปรนให้กับข้าพเจ้า
และสำหรับครอบครัวซึ่งเต็มไปด้วยความเข้าใจ ข้าพเจ้ารู้สึกสำนึกในบุญคุณชั่วนิรันดร์
ในช่วงขณะที่ข้าพเจ้าตกต่ำ แม้ในคำพูด การกระทำ และความคิด โดยผ่านความผิดพลาดของอารมณ์ รสนิยม หรือโทนเสียง ซึ่งข้าพเจ้าเป็นต้นเหตุให้ใครบางคนไม่สบายใจ ก่อให้เกิดความทุกข์ หรือกระตุ้นให้บางคนรู้สึกกลัว นั่นมิใช่ตัวตนของข้าพเจ้าที่แท้จริง ถ้าในบางครั้งเมื่อเหล้าองุ่นของข้าพเจ้าเปลี่ยนไปเป็นองุ่นแห้ง และระฆังแห่งความสนุกสนานสูญเสียความกังวานของมันไป ขอได้โปรดยกโทษให้กับข้าพเจ้า ขอให้ตักเตือนสมองของข้าพเจ้าแต่ไม่ใช่หัวใจ. สมองของข้าพเจ้า มันมีขีดจำกัดในตัวของมันเองมาก ส่วนหัวใจของข้าพเจ้า มันกว้างใหญ่เต็มไปด้วยความรักต่อครอบครัวมนุษย์อย่างไม่มีสิ้นสุด. ข้าพเจ้ามิใช่ข้ารับใช้ที่สมบูรณ์แบบ ข้าพเจ้าเป็นคนรับใช้สาธารณะพร้อมกระทำในสิ่งที่ดีที่สุดสวนทางกลับสิ่งที่เลวร้าย ดังที่ข้าพเจ้าได้พัฒนาและรับใช้ ด้วยความอดทน นั่นคือ พระผู้เป็นเจ้าซึ่งพระองค์จะไม่สิ้นสุดไปพร้อมกับข้าพเจ้า
การรณรงค์ครั้งนี้ได้สอนข้าพเจ้าอย่างมากว่า บรรดาผู้นำทั้งหลายจะต้องได้รับการสอนสั่งให้มากพอเพื่อจะต่อสู้ และมีความอ่อนโยนเพียงพอที่จะร้องไห้ เป็นมนุษย์พอที่จะทำในสิ่งที่ผิดพลาด ถ่อมตนมากพอที่จะยอมรับผู้คนทั้งหลาย แข็งแกร่งเพียงพอที่จะดูดซับความเจ็บปวด และฟื้นตัวพอที่จะหวนคืนและยังคงเดินหน้าต่อไป. สำหรับผู้นำทั้งหลาย ความเจ็บปวดมักเป็นสิ่งที่เข้มข้นรุนแรง แต่คุณจะต้องยิ้มด้วยน้ำตาและเคลื่อนไหวต่อไปด้วยความศรัทธา ซึ่งนำไปสู่ด้านที่สว่างในบางหนแห่ง
ผมได้ไปเยี่ยม Hubert Humphrey สามวันก่อนที่เขาจะถึงแก่อนิจกรรม เขาเพิ่งจะเรียก Richard Nixon จากเตียงที่เขากำลังจะตาย และผู้คนมากมายสงสัยว่าทำไม ผมได้มีโอกาสถามเขา. เขากล่าวว่า"Jesse, จากจุดที่ได้เปรียบนี้ ดวงอาทิตย์กำลังถึงเวลาอัสดงในชีวิตฉัน คำพูดทั้งหมด การประชุมทางการเมือง ฝูงชน และการต่อสู้อันยิ่งใหญ่ เหตุการณ์เหล่านี้จะอยู่ภายหลังชีวิตของฉัน ณ ห้วงเวลาคล้ายกันนี้ คุณถูกบังคับให้เกี่ยวข้องกับแก่นแท้ที่ไม่อาจลดน้อยไปกว่านี้ได้ ถูกบีบให้ต้องยึดมั่นและต่อสู้กับสิ่งซึ่งสำคัญยิ่งสำหรับคุณ และนั่นคือสิ่งที่ฉันสรุปเกี่ยวกับชีวิต", Hubert Humphrey กล่าวต่อ "เมื่อทั้งหมดได้พูดและทำ เราต้องยกโทษให้แก่กันและกัน พร้อมก้าวเดินต่อไป"
พรรคของเรากำลังปรากฏตัวขึ้นมาจากการต่อสู้อันหนึ่ง ซึ่งรุนแรงที่สุดสำหรับการคัดสรรตัวแทนชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรคเดโมแครตในประวัติศาสตร์ของเรา และการชิงชัยที่เข้มข้นสมบูรณ์ควรจะทำให้เราดีขึ้น มิใช่ทำให้เราแย่ลงและขื่นขม. เราจะต้องใช้ประโยชน์ของความเข้าใจที่ชัดเจน สติปัญญา และประสบการณ์ในช่วงบั้นปลายของ Hubert Humphrey ในฐานะที่เป็นขี้ผึ้งสำหรับสมานแผลในพรรคของเรา ประเทศของเรา และโลกของเราใบนี้. เราจะต้องให้อภัยแก่กันและกัน ชดเชยให้กันและกัน รวมตัวกันใหม่อีกครั้ง และเคลื่อนไปข้างหน้าเหมือนเป็นหนึ่งเดียว ธงชาติของเราสีแดง ขาวและน้ำเงิน แต่ประเทศของเราคือสีรุ้ง แดง, เหลือง, น้ำตาล, ดำ, และขาว - และเราทั้งมวลคือสิ่งล้ำค่าในสายพระเนตรของพระผู้เป็นเจ้า
อเมริกันมิใช่ผ้าห่ม - ผืนผ้าขนาดใหญ่ผืนเดียว มีสีเดียวกัน มีเนื้อผ้าอย่างเดียวกัน และขนาดเหมือนๆ กัน. อเมริกันมีลักษณะคล้ายกับผ้าคลุมเตียงมากกกว่า(America is more like a quilt): นั่นคือ มันได้รับการปะติดปะต่อ, ผ้าหลายๆ ชิ้น, หลากหลายสีสรร, ประกอบด้วยผ้าหลายขนาด ทั้งหมดถูกเย็บเข้าด้วยกันโดยด้ายธรรมดา. คนขาว, คนเชื้อสายสเปน, คนดำ, คนอาหรับ, คนยิว, คนพื้นเมือง, ผู้หญิง, ชาวนารายย่อย, นักธุรกิจ, นักสิ่งแวดล้อม, นักรณรงค์เพื่อสันติภาพ, เยาวชน, คนแก่, เลสเบี้ยน, เกย์, และบุคคลไร้ความสามารถ ที่ช่วยกันสร้างให้เกิดผ้าคลุมเตียงอเมริกัน(the American quilt.)
กระทั่งในรัฐที่ถูกทำให้แตกร้าว เราทั้งหมดถูกนับรวมเข้าไปและเหมาะที่จะอยู่ในที่บางแห่ง เราพิสูจน์มาแล้วว่าเราสามารถอยู่รอดได้โดยปราศจากกันและกัน แต่เราไม่เคยพิสูจน์ว่า เราสามารถชนะและก่อให้เกิดความก้าวหน้าได้โดยปราศจากกันและกัน ดังนั้น เราจะต้องร่วมมือกัน
จาก Fannie Lou Hamer (*) ใน Atlantic City ปี 1964 สู่การประสานรวมเป็นหนึ่งเดียวของสายรุ้ง(the Rainbow Coalition)ใน San Francisco วันนี้, จากมหาสมุทนแอตแลนติกถึงมหาสมุทรแปซิฟิก เราต่างมีประสบการณ์อันเจ็บปวดแต่ก้าวหน้าไป ขณะที่เราได้ยุติกฎหมายการแบ่งแยกสีผิวอเมริกัน(American apartheid laws). เราได้ที่พักอาศัยสาธารณะ, เราได้รับประกันในสิทธิต่างๆ เกี่ยวกับการออกเสียง, เราได้รับบ้านซึ่งพร้อมจะเปิดประตูรับผู้คน ขณะที่เยาวชนได้รับสิทธิ์ในการออกเสียงลงคะแนน. เราสูญเสีย Malcolm, Martin, Medgar, Bobby, John, และ Viola. ทีมทำงานที่ทำให้เรามาอยู่ ณ ที่นี้ ซึ่งจะต้องทำให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไป มิใช่ละทิ้งภารกิจดังกล่าว
(*)Fannie Lou Hamer (born
Fannie Lou Townsend on October 6, 1917 - March 14, 1977) was an American voting
rights activist and civil rights leader.
She was instrumental in organizing Mississippi's "Freedom Summer"
for the Student Nonviolent Coordinating Committee (SNCC), and later became
the Vice-Chair of the Mississippi Freedom Democratic Party, attending the
1964 Democratic National Convention in Atlantic City, New Jersey, in that
capacity. Her plain-spoken manner and fervent belief in the Biblical righteousness
of her cause gained her a reputation as an electrifying speaker and constant
champion of civil rights.
ยี่สิบปีมาแล้ว น้ำตาเอ่อท้นนัยน์ตาของพวกเราอันเนื่องมาจากร่างของ Schwerner,
Goodman, และ Chaney ที่ถูกขุดขึ้นมาจากส่วนลึกของแม่น้ำสายหนึ่งใน Mississippi.
ยี่สิบปีต่อมา ชุมชนทั้งหลายของเรา, คนดำและคนยิว, ต่างรู้สึกโกรธ เจ็บปวดและรวดร้าว
ความรู้สึกต่างๆ กระหน่ำมาจากทั้งสองด้าน มันเป็นวิกฤตการณ์ในด้านการสื่อสาร
ความสับสนรวยรินอยู่ในอากาศ แต่เราไม่อาจที่จะสูญเสียเส้นทางของพวกเรา เราอาจเห็นห้องที่จะยอมรับ
หรือเห็นพ้องที่จะไม่ให้การยอมรับต่อประเด็นต่างๆ แต่เราต้องนำมันกลับไปสู่ความเป็นพลเมืองดี
ความสุภาพเต็มไปด้วยอัธยาศัยต่อความขึ้งเครียดทั้งหลายเหล่านี้
เราต่างเป็นหุ้นส่วนกันในประวัติศาสตร์ศาสนาอันยาวนานและอุดมสมบูรณ์ ของขนบจารีตจูดาห์-คริสเตียน(Judeo-Christian) (*). คนดำและคนยิวจำนวนมากต่างร่วมปันในความรู้สึกดูดดื่มกับความยุติธรรมทางสังคมที่บ้านเกิดอันเต็มไปด้วยสันติภาพที่แผ่ไพศาล เราจะต้องแสวงหาการฟื้นคืนของจิตวิญญาน, ได้รับแรงดลใจโดยวิสัยทัศน์และความเป็นไปได้ใหม่ๆ เราจะต้องหวนกลับไปสู่พื้นฐานที่สูงกว่า เราต่างถูกผูกเข้าด้วยกันโดย Moses และ Jesus, และยังเชื่อมต่อกับอิสลามและศาสดามุฮัมหมัด ศาสนาอันยิ่งใหญ่ทั้งสามนี้ ศาสนาจูดาห์, ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม ทั้งหมดต่างถือกำเนิดในเมืองอันศักดิ์สิทธิ์และควรแก่การเคารพ เยรูซาเร็ม
(*) Judeo-Christian is
a term used to describe the body of concepts and values which are thought
to be held in common by Judaism and adapted by Christianity, and typically
considered (sometimes along with classical Greco-Roman civilization) a fundamental
basis for Western legal codes and moral values. In particular, the term refers
to the common Old Testament/Tanakh (which is a basis of both moral traditions,
including particularly the Ten Commandments); and implies a common set of
values present in the modern Western World. The term has been criticized by
some for suggesting more commonality than may actually exist.
เราต่างได้รับการผูกเข้าด้วยกันโดย Dr. Martin Luther King Jr. และ Rabbi Abraham
Heschel (*), ซึ่งส่งเสียงร่ำร้องออกมาจากหลุมศพของพวกเขา เพื่อให้เรามาถึงจุดของความเข้าใจร่วมกัน
เราต่างผูกพันกันโดยเลือดและการสังเวย เราต่างฉลาดมีสติปัญญามากมาย และผูกพันเหนียวแน่นด้วยมรดกแห่งจูดาห์-คริสเตียน
และรู้สึกร่วมกันในการตกเป็นเป็นเหยื่อของลัทธิเหยียดเชื้อชาติ, ลัทธิกีดกันทางเพศ,
ลัทธิทหาร, และลัทธิต่อต้านยิวและอาหรับ, เราต่างถูกคุกคามในฐานะแพะรับบาปทางประวัติศาสตร์เพื่อนำไปสู่การแบ่งแยกจากกันและกัน
เราจะต้องเปลี่ยนจากการชี้นิ้วไปสู่การจับมือกัน เราจะต้องร่วมกันแบกรับภารกิจของพวกเรา
และสนุกสนานร่วมกันอีกครั้ง เราจะต้องหันหน้าเข้าหากันไม่ใช่หันหน้าไปคนละทาง
และเลือกวางรากฐานอันสูงส่ง
(*) Rabbi Abraham Joshua
Heschel (January 11, 1907, Warsaw, then Russian Empire - December 23, 1972)
was considered by many to be one of the most significant Jewish theologians
of the 20th century. Heschel was a descendant of preeminent rabbinic families
of Europe. In his teens he received a traditional yeshiva education, and obtained
traditional semicha, rabbinical ordination. He then studied at the University
of Berlin, where he obtained his doctorate, and at the Hochschule fur die
Wissenschaft des Judentums, where he earned a second liberal rabbinic ordination.
Heschel was famed as an activist for civil rights in the USA, and an activist
for freedom for Soviet Jewry. He is among the few Jewish theologians widely
read by Christians. His most influential works include Man is Not Alone, God
in Search of Man, The Sabbath, and The Prophets.
He was chosen by American
Jewish organizations to negotiate with leaders of the Roman Catholic church
at the Vatican Council II. Heschel persuaded the church to eliminate or modify
passages in its liturgy that demeaned the Jews, or expected their conversion
to Christianity.[citation needed] His theological works argued that the religious
experience was fundamentally human impulse, not just a Jewish one, and that
no religious community could claim a monopoly on religious truth.
ยี่สิบปีภายหลัง เราไม่อาจรู้สึกพอใจกับการฟื้นคืนความประสานร่วมมือกันเท่านั้น
หนังสัตว์เก่าๆ ที่ใช้บรรจุไวน์ใหม่ เราต้องเยียวยารักษาและแพร่ขยายมันออกไป
การรวมกันของสายรุ้งกำลังสร้างห้องว่างให้สำหรับชนอาหรับอเมริกัน พวกเขาเช่นกันที่รู้สึกถึงความเจ็บปวดทุกข์ทรมานกับการปฏิเสธเรื่องเชื้อชาติและศาสนา
พวกเขาจะต้องไม่ถูกทำให้เป็นพวกนอกคอกหรือคนที่สังคมรังเกียจอีกต่อไป การรวมตัวของสายรุ้งกำลังสร้างห้องหับสำหรับชาวอเมริกันฮิสแปนิก(พวกที่ใช้ภาษาสเปน)
ผู้ซึ่งแต่ละคืนกำลังอยู่ภายใต้การคุกคามของร่างพระราชบัญญัติการอพยพ Simpson-Mazzoli
bill (*) ; และคนงานในฟาร์มจากโอไฮโอ ซึ่งกำลังต่อสู้กับบริษัท Campbell Soup
โดยการบอยคอตเพื่อบรรลุถึงสิทธิการทำงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย
(*) The Immigration Reform
and Control Act (IRCA), also Simpson-Mazzoli Act (Pub.L. 99-603, 100 Stat.
3359, signed by President Ronald Reagan on November 6, 1986) is an Act of
Congress which reformed United States immigration law. The Act made it illegal
to knowingly hire or recruit undocumented immigrants (immigrants who do not
possess lawful work authorization), required employers to attest to their
employees' immigration status, and granted amnesty to undocumented immigrants
who entered the United States before January 1, 1982 and had resided there
continuously.
สายรุ้งกำลังให้พื้นที่สำหรับชนพื้นเมืองอเมริกัน คนที่ถูกตักตวงผลประโยชน์มากสุดในหมู่คนชายขอบ
คนกลุ่มหนึ่งซึ่งมีข้ออ้างทางศีลธรรมที่สำคัญที่สุดท่ามกลางหมู่พวกเรา เราสนับสนุนพวกเขาดังที่พวกเขาพยายามแสวงหาเพื่อฟื้นฟูสิทธิในผืนแผ่นดินและสายน้ำ
ดังที่พวกเขาพยายามธำรงรักษาภูมิลำเนาแห่งบรรพบุรุษและความงดงามของแผ่นดิน ซึ่งครั้งหนึ่ง
ทั้งหมดนี้เคยเป็นของพวกเขา พวกเขาไม่เคยได้รับส่วนแบ่งที่เที่ยงธรรมสำหรับสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาให้กับพวกเรา
ในท้ายที่สุด พวกเขาจะต้องได้รับโอกาสอันยุติธรรมเพื่อพัฒนาทรัพยากรอันยิ่งใหญ่ของพวกเขา
และสามารถธำรงรักษาผู้คนและวัฒนธรรมของพวกเขาต่อไปได้
การรวมตัวกันของสายรุ้งรวมไปถึงชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียด้วย ซึ่งตอนนี้กำลังถูกฆ่าอยู่บนท้องถนนของเรา เป็นแพะรับบาปสำหรับความล้มเหลวของบริษัท, อุตสาหกรรม และนโยบายทางเศรษฐกิจ. สายรุ้งกำลังให้พื้นที่สำหรับเยาวชนอเมริกัน เมื่อยี่สิบปีที่ผ่านมา เยาวชนหนุ่มสาวของเราต้องตายในสงครามซึ่งพวกเขาไม่มีโอกาสแม้กระทั่งการออกเสียง ยี่สิบปีต่อมา เยาวชนหนุ่มสาวอเมริกันมีพลังที่หยุดยั้งสงครามในอเมริกากลางและแสดงความรับผิดชอบต่อการออกเสียงจำนวนมาก เยาวชนอเมริกันทั้งหลายต้องกระตือรือร้นในทางการเมืองในปี 1984. ทางเลือกของพวกเขาคือ"สงคราม"หรือ"สันติภาพ" เราจะต้องให้พื้นที่สำหรับเยาวชนคนหนุ่มสาวอเมริกัน
สายรุ้งยังหลอมรวมทหารผ่านศึกที่ทุพลภาพ แผนผังสีดังกล่าวเหมาะที่จะรวมอยู่ในสีแห่งสายรุ้ง ภาวะทุพลภาพที่เป็นข้อเสียเปรียบของพวกเขา มันได้ปิดบังซ่อนเร้นอัจฉริยภาพของพวกเขา กล่าวคือ ร่างกายที่มีสมรรถภาพได้เผยความมีอัจริยภาพของพวกเขา ส่วนการไร้ความสามารถ(ทุพลภาพ)ได้บดบังอัจฉริยภาพดังกล่าว. แต่ในท้ายที่สุด เราจะต้องตัดสินผู้คนโดยคุณค่าต่างๆ และการช่วยเหลือสนับสนุนของพวกเขา เราต้องไม่ทอดทิ้งใครไปเลยแม้แต่คนเดียว ข้าพเจ้าชอบที่จะมี Roosevelt อยู่บนเก้าอี้ล้อเข็นมากกว่า Reagan อยู่บนหลังม้า
สายรุ้งกำลังสร้างพื้นที่สำหรับชาวนารายย่อย พวกเขาต่างทุกข์ยากอย่างยิ่งภายใต้ระบอบ Reagan. พวกเขาอาจได้รับเงินอุดหนุน 90 เปอร์เซนต์หรือ 100 เปอร์เซนต์จากเงินบริจาค เราต้องกล่าวถึงความห่วงกังวลที่มีต่อพวกเขาและมีพื้นที่สำหรับพวกเขาเหล่านั้น สายรุ้งยังรวมเอาเลสเบียนและเกย์เข้ามาไว้ด้วย ไม่มีพลเมืองอเมริกันคนใดควรจะถูกปฏิเสธเท่าๆ กันกับการปกป้องด้วยกฎหมาย
ไม่ธรรมดาที่เราจะถูกผูกมัดและห่วงกังวลกับการที่เราได้ขยับขยายครอบครัวให้รวมถึงสมาชิกใหม่ๆ ของเราเข้ามาด้วย ทั้งหมดของพวกเราต้องอดทน อดกลั้น และเข้าอกเข้าใจ ขณะที่กลัวและรู้สึกกังวลใจเกี่ยวกับการถูกปฏิเสธ และผู้นำของพรรคได้แสดงออกซึ่งวิถีทางที่แตกต่างหลากหลายของพวกเขา บ่อยมากทีเดียวที่เราเรียกร้องความโกรธเกลียด - ราวกับว่ามันเป็นปรัชญาหรือยุทธศาสตร์ที่หยั่งรากอย่างลึกซึ้ง - นั่นคือความเมินเฉย กังวลใจ หวาดระแวง กลัว และความรู้สึกไม่ปลอดภัย. ภาวะความเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง เราต้องทุกข์ทนต่อความเจ็บปวดมายาวนาน ดังที่เราแสวงหาหนทางแก้ไขความผิดพลาดเกี่ยวกับพรรคของเราและประเทศชาติของเรา เราจะต้องขยับขยายพรรคของเรา เยียวยารักษาพรรคของเรา และทำให้พรรคของเรามีเอกภาพเป็นหนึ่งเดียว นั่นคือพันธกิจของเราแห่งปี 1984
เรามักถูกทำให้รำลึกว่าเราอาศัยอยู่ในประเทศที่ยิ่งใหญ่อยู่เสมอ และเราก็รู้สึกเช่นนั้นจริงๆ แต่มันสามารถทำให้ยิ่งใหญ่กว่านี้ได้ สายรุ้งกำลังให้อำนาจนิยามใหม่เกี่ยวกับความยิ่งใหญ่ เราจะต้องไม่วัดความยิ่งใหญ่จากคฤหาสน์ที่ปลูกสร้าง แต่ต้องวัดมันด้วยรางหญ้าที่เพิ่มขึ้น พระเยซูทรงตรัสว่า เราไม่สมควรได้รับการตัดสินโดยเปลือกนอกที่เราสวมใส่ แต่ด้วยผลไม้ที่ผลิดอกออกผล พระองค์ทรงตรัสว่าเราต้องวัดความยิ่งใหญ่ด้วยการที่เราได้ปฏิบัติกับสิ่งซึ่งเล็กน้อยที่สุดเหล่านี้อย่างไร
ประธานาธิบดีเรแกนกล่าวว่า ประเทศชาติอยู่ในภาวะการฟื้นคืนสู่สภาพปกติ บริษัทจำนวน 9 หมื่นแห่งเหล่านั้นที่ได้ทำกำไรเมื่อปีที่แล้ว แต่ไม่ได้จ่ายภาษีให้กับประเทศชาติที่กำลังฟื้นคืนสภาพเลย. บรรดาผู้ทำสัญญากับทางกองทัพ 3 หมื่น 7 พันราย ที่ได้รับผลประโยชน์จากประธานาธิบดีเรแกน กำไรของพวกเขาเพิ่มพูนกว่า 2 เท่าของงบประมาณกองทัพในช่วงเวลาแห่งสันติ แน่นอน พวกเขากำลังฟื้นคืนสู่สภาวะปกติ. บรรษัทขนาดใหญ่และบรรดาคนรวยทั้งหลาย พวกเขากำลังได้รับประโยชน์จากการตัดลดภาษีหลายพันล้านเหรียญในสามปีที่ผ่านมาจากเรแกน นั่นแหละที่พวกเขากำลังฟื้นคืนสู่ภาวะปกติ แต่ไม่มีการฟื้นคืนสู่สภาวะปกติของคนเล็กคนน้อยเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้เลย
กระแสน้ำขึ้นไม่ได้ยกเรือทุกลำ โดยเฉพาะเรือที่จมอยู่ที่ก้นมหาสมุทร สำหรับเรือที่จ่อมจมอยู่ที่ก้นบึ้งมันคือดัชนีของความทุกข์ยาก การบริหารงานของรัฐบาลนี้ทำให้ชีวิตประสบกับความทุกข์ยากมากขึ้นสำหรับคนยากจน ทัศนคติหรือท่าทีของมันเป็นสิ่งซึ่งน่าเหยียดหยาม โครงการและนโยบายของมันเป็นเรื่องที่โหดร้ายและเจ็บปวด อีกทั้งยังไม่ยุติธรรมต่อคนทำงานทั้งหลายด้วย พวกเขาต้องแบกรับความรับผิดชอบในเดือนพฤศจิกายนต่อการตายของทารกที่เพิ่มขึ้นท่ามกลางคนยากจน
ในดีทรอยท์ หนึ่งในเมืองขนาดใหญ่ของโลกตะวันตก เด็กๆ กำลังเสียชีวิตในอัตราเดียวกันกับที่ฮอนดูรัสในอเมริกากลาง ประเทศด้อยพัฒนาที่สุดแห่งหนึ่งของซีกโลกเรา การบริหารงานนี้จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อนโยบายต่างๆ ที่ให้การสนับสนุนต่อความยากจนที่งอกงามขึ้นในอเมริกา. ขณะนี้เรามีผู้คนที่ยากจน 34 ล้านคนที่ตกอยู่ในความยากจน, 15 เปอร์เซ็นต์ในประเทศของเรา. 23 ล้านคนคือคนผิวขาว, 11 ล้านคนเป็นคนผิวดำ, ฮิสแปนิก, เอเชียน, และอื่นๆ - ส่วนใหญ่ในจำนวนนี้คือผู้หญิงและเด็ก. โดยในช่วงสิ้นสุดของปีนี้ มันจะเพิ่มเป็น 41 ล้านคนที่ยังตกอยู่ในท่ามกลางความจนยาก เราไม่สามารถเฝ้าดูดายกับสิ่งเหล่านี้ได้ เราต้องต่อสู้เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเดี๋ยวนี้
ภายใต้ระบอบที่เราจ้องมองไปที่ความมั่นคงทางสังคม งบประมาณในปี 1981 ได้ตัดรอนผลประโยชน์เพื่อความมั่นคงของสังคมอย่างยั่งยืนไป 9 รายการ รวมแล้วเราตัดงบประมาณไป 2 หมื่นล้านเหรียญในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจขนาดเล็กประสบกับความทุกข์ยากภายใต้การตัดลดภาษี ทั้งนี้เพราะมีเพียง 18 เปอร์เซนต์เท่านั้นของภาษีที่ตัดให้กับบริษัทต่างๆ ตกไปถึงพวกเขา, ส่วน 82 เปอร์เซนต์ได้ประโยชน์กับธุรกิจขนาดใหญ่. การดูแลสุขภาพภายใต้การบริหารของเรแกนได้ถูกตัดไปอย่างเหี้ยนเตียน การศึกษาภายใต้ระบอบเรแกนได้ถูกตัดงบประมาณไป 25 เปอร์เซ็นต์
ภายใต้การบริหารของเรแกนขณะนี้ ผู้หญิง 9.7 ล้านคนเป็นหัวหน้าครอบครัว พวกเธอคือตัวแทน 16 เปอร์เซนต์ของครอบครัวทั้งหมด จำนวนครึ่งหนึ่งในกลุ่มนี้คือคนยากจน. 70 เปอร์เซนต์ของเด็กยากจนทั้งหมดอยู่ในบ้านที่มีหัวหน้าครอบครัวเป็นผู้หญิง ที่ซึ่งไม่มีผู้ชายอยู่แม้แต่คนเดียว. ภายใต้การบริหารงานของเรแกน ได้ทำความสะอาดคลังเก็บอาวุธเคมีเพียง 6 แห่งในจำนวน 546 แห่งที่อยู่ในภาวะเร่งด่วนและเป็นอันตราย. รายได้ที่แท้จริงของชาวนา พวกเขาได้รับเพียงแค่ครึ่งหนึ่งของระดับรายได้ในปี 1979 เท่านั้น
ผู้คนมากมายกล่าวว่า การแข่งขันในเดือนพฤศจิกายนจะได้รับการตัดสินจากทางภาคใต้ ประธานาธิบดีเรแกนกำลังขึ้นอยู่กับบรรดาพวกอนุรักษ์นิยมทางใต้ที่จะทำให้เขากลับเข้ามาดำรงตำแหน่ง แต่ทางภาคใต้ ข้าพเจ้าขอบอกกับพวกเราว่า ไม่ใช่พวกอนุรักษ์นิยมโดยธรรมชาติ ทางใต้เป็นดินแดนแห่งความยากจนในประเทศของเรา และด้วยเหตุนี้จึงมีพวกอนุรักษ์นิยมอยู่น้อย ในความดึงดูดใจของเขาต่อผู้คนทางใต้ เรแกนกำลังพยายามที่จะเปลี่ยนธงและเสื้อผ้าไปเป็นนักบวช สำหรับอาหารและเครื่องนุ่งห่ม รวมถึงการศึกษา การสาธารณสุข และที่อยู่อาศัย
เรแกนจะขอให้เราสวดมนต์ และข้าพเจ้าเชื่อในการสวดอ้อนวอน ข้าพเจ้าได้มาสู่เส้นทางนี้โดยพลังอำนาจของการสวด แต่เราจะต้องเฝ้าดูการพยากรณ์ที่ผิดพลาด เขาตัดความช่วยเหลือด้านพลังงานที่ให้กับคนยากจน ตัดโครงการอาหารเช้าจากปากของพวกเด็กๆ ตัดรอนโครงการอาหารกลางวันสำหรับเด็กนักเรียน และพรากการฝึกงานจากพวกเด็กทั้งหลายด้วย และโดยเหตุนี้จึงกล่าวได้ว่า บนโต๊ะอาหารจะว่างเปล่า, "ขอให้พวกเราสวด". อย่างที่ปรากฏ เขาไม่คุ้นเคยกับแบบแผนของนักสวด คุณขอบพระทัยพระผู้เป็นเจ้าสำหรับอาหารที่คุณได้รับ ไม่ใช่อาหารที่เพิ่งหมดไป. ข้าพเจ้าคิดว่าเราควรสวด แต่ต้องไม่ใช่สวดสำหรับอาหารที่เพิ่งหมดไป ไม่ใช่สวดภาวนาให้กับคนที่หยิบเอาอาหารไปจากเรา ทั้งหมดนี้เราต้องการเปลี่ยนแปลง เราต้องการการเปลี่ยนแปลงในเดือนพฤศจิกายน
ภายใต้รัฐบาลเรแกน ดัชนีความทุกข์ยากเพิ่มขึ้นสำหรับความยากจน ดัชนีอันตรายเพิ่มสูงขึ้นสำหรับทุกๆ คน ภายใต้การบริหารงานนี้ เราสูญเสียชีวิตเด็กๆ ของเราในอเมริกากลางและฮอนดูรัส, ในเกรนาดา, ในเลบานอน, ในข้อตกลงการป้องกันนิวเคลียร์ที่ยุโรป. ภายใต้การปกครองนี้ หนึ่งในสามของเด็กๆ เชื่อว่าพวกเขาจะตายในสงครามนิวเคลียร์ ดัชนีชี้ถึงอันตรายที่กำลังเพิ่มสูงขึ้นในโลกทุกวันนี้ ทั้งหมดของการพูดคุยเกี่ยวกับการต่อต้านรัสเซีย เรือดำน้ำรัสเซียอยู่ใกล้เรามาก และขีปนาวุธของพวกเขาก็แม่นยำมากขึ้นด้วย เราอยู่ในโลกของคืนวันที่ค่อนข้างไร้ความสุข และโลกที่ไม่มีความปลอดภัยเพิ่มขึ้น
ขณะที่ Reaganomics และ Reaganism หรือระบอบบเศรษฐกิจเรแกนและลัทธิเรแกนได้ถูกพูดถึงอยู่เสมอ บ่อยมากๆ แต่เราไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริง. ลัทธิเรแกนคือจิตวิญญานหนึ่ง และระบอบเศรษฐกิจเรแกนคือตัวแทนข้อเท็จจริงทางเศรษฐกิจของชีวิต. ในปี 1980, George Bush, ชายที่มีเหตุผลซึ่งเข้าถึงเรแกน เขาได้วิเคราะห์เกี่ยวกับแผนการทางเศรษฐกิจของเรแกน. George Bush สรุปว่าแผนการของเรแกนก็คือ"เศรษฐกิจวูดู"(voodoo economics) (*). เขาสรุปได้ถูกต้องทีเดียว. บุคคลที่สามที่ลงสมัครแข่งขัน John Anderson กล่าวว่า "การรวบรวมเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายทางด้านการทหาร, การตัดลดภาษี, และการทำงบประมาณสมดุลในปี 1984 จะบรรลุผลสำเร็จได้ด้วยควันไฟและกระจกเงา (blue smoke and mirrors) (**) หรือมายากลนั่นเอง". พวกเขาถูกทั้งคู่
(*) http://news.bbc.co.uk/1/hi/world/americas/270292.stm
(**) Trickery or deception, often in a political context.
Origin: This expression alludes to the performances of stage conjurers who
use actual smoke and mirrors to deceive the audience. The figurative use that
is now more common refers to the obscuring or embellishing of the truth that
is employed by spin doctors and the like in order to deceive the general public.
This later usage comes from the writings of the American journalist Jimmy
Breslin. In his Notes from Impeachment Summer, 1975, Breslin twice refers
to smoke and mirrors being used in the US political scene:
"All political power is primarily an illusion... Mirrors and blue smoke, beautiful blue smoke rolling over the surface of highly polished mirrors... If somebody tells you how to look, there can be seen in the smoke great, magnificent shapes, castles and kingdoms, and maybe they can be yours."
"The ability to create the illusion of power, to use mirrors and blue smoke, is one found in unusual people."
(http://www.phrases.org.uk/meanings/324700.html)
เรแกนพูดเกี่ยวกับการฟื้นคืนสภาพปกติอย่างเป็นพลวัต มันมีมาตรการบางอย่างเกี่ยวกับการฟื้นคืนสภาพดังกล่าว สามปีครึ่งต่อมา การว่างงานได้คืบต่ำลง ซึ่งต่ำกว่าที่มันเป็นในช่วงที่เขาได้เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในปี 1981 แต่ยังคงมีผู้คนถึง 8.1 ล้านคนไม่มีงานทำตามตัวเลข. ผู้คนจำนวน 11 ล้านคนทำงานแบบไม่เต็มเวลา ภาวะเงินเฟ้อน้อยลง แต่ขอให้เราวิเคราะห์ดูสักนิดว่าใครเป็นคนที่ต้องจ่ายสำหรับการฟื้นคืนสภาพปกติทางเศรษฐกิจอันผิวเผินนี้
เรแกนควบคุมภาวะเงินเฟ้อโดยการตัดอุปสงค์ผู้บริโภค เขาตัดอุปสงค์ผู้บริโภคอย่างมีสำนึก ด้วยงบประมาณแผ่นดินอย่างเฉยชาและโดยนโยบายต่างๆ ทางการเงิน เขาใช้งบประมาณประเทศเพื่อนำไปสู่การว่างงานอย่างรอบคอบ และควบคุมค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสังคม ถัดมาเขาได้ให้น้ำหนักและสนับสนุนนโยบายการเงินตึงตัวของคณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐฯ เพื่อเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอย่างสุขุม อีกครั้งที่เข้าควบคุมอุปสงค์ผู้บริโภคโดยผ่านการกู้ยืมเงิน การว่างงานเพิ่มขึ้นถึง 10.7 เปอร์เซ็นต์ เราต่างมีประสบการณ์อัตราดอกเบี้ยติดจรวด(skyrocketing interest rates) เงินดอลล่าร์ของเราเพิ่มขึ้น. มีรายงานข้อมูลเกี่ยวกับความล้มเหลวของธนาคาร โดยข้อมูลชี้ว่า ชาวไร่ชาวนาถูกยึดทรัพย์สินที่จำนองไว้ มีข้อมูลระบุว่าธุรกิจล้มละลายเป็นจำนวนมาก และมีบันทึกรายงานงบประมาณขาดดุล การค้าขาดดุลเต็มไปหมด
เรแกนทำให้ภาวะเงินเฟ้อลดลงโดยการทำให้เศรษฐกิจของเราไร้เสถียรภาพ และชีวิตครอบครัวประสบกับความยุ่งเหยิงและแตกแยก เขาสัญญา - เขาได้ให้คำมั่นสัญญาในปี 1980 ว่าจะทำงบประมาณแบบสมดุล แต่ตอนนี้เราได้เห็นรายงานข้อมูลว่า งบประมาณขาดดุลไป 2 แสนล้านดอลล่าร์. ภายใต้การบริหารของเรแกน เราได้เห็น งบประมาณขาดดุลสะสมเพิ่มพูนขึ้นสำหรับ 4 ปีแห่งการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขา ซึ่งมากกว่าจำนวนรวมทั้งหมดของการขาดดุลงบประมาณ นับจากประธานาธิบดี George Washington ถึง ประธานาธิบดี Jimmy Carter รวมกัน. ข้าพเจ้าขอบอกกับคุณว่า เราต้องการความเปลี่ยนแปลง
เขากำลังใช้จ่ายเงินอย่างไรเพื่องานในระยะเวลาอันสั้นเหล่านี้? การฟื้นคืนสู่สภาพปกติทางเศรษฐกิจของเรแกนกำลังหาเงินทุนโดยการใช้จ่ายแบบขาดดุล - นั่นคือ 2 แสนล้านเหรียญในหนึ่งปี. การใช้จ่ายทางด้านการทหาร, มูลเหตุหลักอันหนึ่งของการขาดดุลนี้คือ โครงการในอีกห้าปีข้างหน้าที่จะใช้เงินถึง 2 ล้านล้านดอลล่าร์ และนั่นคือจำนวนเงิน 4 หมื่นดอลล่าร์สำหรับทุกๆ ครอบครัวที่ต้องจ่ายภาษีเพื่อการนี้. เมื่อรัฐบาลขอยืมเงิน 2 แสนล้านเหรียญทุกๆ ปีเพื่อมาเติมส่วนที่ขาดหายไป อันนี้ได้ไปกระตุ้นภาคเอกชนให้ทำเงินของพวกเขาอย่างผิดธรรมชาติจากอัตราดอกเบี้ย ซึ่งตรงข้ามกับการพัฒนาและความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่แท้จริง
กระทั่งเงินจากภายนอก เราไม่มีเงินภายในประเทศมากพอเพื่อการชำระหนี้สิน ดังนั้นตอนนี้เรากำลังยืมเงินจากต่างประเทศ จากธนาคารต่างชาติ รวมไปถึงรัฐบาลและสถาบันการเงินทั้งหลาย: 4 หมื่นล้านดอลล่าร์ในปี 1983; 7-8 หมื่นล้านดอลล่าร์ในปี 1984 นั่นคือ 40 เปอร์เซนต์ของยอดรวมทั้งหมด; มากกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ - 50 เปอร์เซนต์ของยอดรวมทั้งหมด - ในปี 1985. โดยในปี 1989 มันถูกฉายให้เห็นว่า 50 เปอร์เซนต์ของภาษีรายได้ปัจเจกชนทั้งหมด จะถูกนำไปใช้จ่ายเกี่ยวกับการจ่ายคืนดอกเบี้ยของเงินกู้ยืมนั้น. สหรัฐอเมริกาเคยเป็นประเทศส่งออกทางการเงินที่ยิ่งใหญ่ แต่ภายใต้การบริหารงานของเรแกน เป็นไปได้ทีเดียวที่เราจะกลายเป็นประเทศที่มีหนี้สินมากที่สุด
ประมาณสองสัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 4 กรกฎาคม เราได้เฉลิมฉลองเนื่องในวันประกาศอิสรภาพ กระนั้นก็ตาม ในด้านอุปทานทางเศรษฐกิจกำลังทำให้ประเทศของเรากลายเป็นประเทศที่ต้องพึ่งพาทางการเงินมากยิ่งขึ้น และมีความเป็นอิสระน้อยลง. 5-6 เปอร์เซนต์ของ GNP (Gross National Product - ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ) ปัจจุบันกำลังสิ้นเปลืองมากด้วยงบประมาณขาดดุลของประธานาธิบดีเรแกน. การพึ่งพาอำนาจทางทหารในต่างประเทศเพื่อปกป้องและเพื่อความปลอดภัยของประเทศเรา กำลังดูน่าหัวเราะและไร้สติ มันทำให้เราต้องขึ้นอยู่กับความมั่นคงแต่มีความปลอดภัยน้อยลง กระนั้นก็ตาม เศรษฐกิจแบบเรแกน หรือ Reaganomics ทำให้เราต้องพึ่งพาแหล่งเศรษฐกิจต่างประเทศ. การบริโภคนี้ - ที่ดำเนินไปด้วยการฟื้นคืนสภาพโดยการขาดดุล เป็นสิ่งที่ทำให้เสียสมดุลและเป็นของเทียม เรากำลังเผชิญกับความท้าทายที่พรรคเดโมแครตจะต้องเป็นผู้ชี้ทางออก
ประชาธิปไตยเป็นระบอบที่ประกันในเรื่องโอกาส
แต่ไม่ประกันในเรื่องความสำเร็จ
(Democracy guarantees opportunity, not success)
ประชาธิปไตยประกันในเรื่องสิทธิที่จะมีส่วนร่วม แต่ไม่ใช่ใบอนุญาตที่จะให้เสียงส่วนใหญ่หรือเสียงส่วนน้อยมาครอบงำ.
ชัยชนะของการผสานรวมตัวของสายรุ้งในเวทีถกเถียงวันนี้ ไม่ใช่ทั้งชัยชนะหรือความพ่ายแพ้
แต่เป็นเรื่องที่เราได้หยิบยกประเด็นปัญหาที่ถูกต้องขึ้นมา เราอาจสูญเสียคะแนนเสียง
ประเด็นปัญหาต่างๆ ไม่ได้มีการนำมาหารือกัน เราอาจไม่ได้หลีกเลี่ยงการตั้งคำถามที่ถูกต้อง
การนับถือตนเองของเราและความซื่อสัตย์สุจริตของเราต่างตกอยู่ในความเสี่ยง บางทีศีรษะของเราอาจเต็มไปด้วยเลือด
แต่จะไม่ทำให้เราต้องโค้งคำนับ หลังของเรายังคงยืดตรง เราสามารถกลับไปบ้านและเผชิญหน้ากับผู้คนของเรา
วิสัยทัศน์ของเรากระจ่างแจ้งขึ้น
เมื่อเราคิด ในการเดินทางจากเรือทาสสู่ตำแหน่งผู้ชนะเลิศ นั่นเราได้ดำเนินจากแผ่นไม้กระดานที่บริเวณทางเดินริมชายหาดใน Atlantic City ในปี 1964 สู่การต่อสู้ที่ได้ช่วยจดจารลงบนไม้กระดานเวทีการเมืองใน San Francisco ปี '84, มันคือความรู้สึกจากส่วนลึกและอดทนเกี่ยวกับความสุขแห่งวิญญานของเราทั้งๆ ที่น้ำตาเอ่ออยู่ในเบ้า แม้ว่าไม้กระดานต่างๆ กำลังหายไป กลายเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งที่สร้างขึ้น พรรคของเราสามารถมีชัยชนะได้ แต่เราต้องตระเตรียมความหวังที่จะให้แรงดลใจแก่ผู้คนในการต่อสู้และมุ่งสู่สัมฤิทธิผล ตระเตรียมแผนการที่จะแสดงให้เห็นทางออกเกี่ยวกับภาวะกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก และถัดจากนั้น ตามเส้นทางนำนั้นไป
ในปี 1984, หัวใจของข้าพเจ้าถูกทำให้รู้สึกปลื้มปิติ เพราะข้าพเจ้ารู้ว่ามันมีทางออกหนึ่ง นั่นคือ ความยุติธรรม. ความต้องการนั้นก็เพื่อสร้างอเมริกาที่มีความยุติธรรมขึ้นมาใหม่. ส่วนสำคัญที่สุดของการเมืองที่ก้าวหน้าของประชาชาติเราไม่ได้มาจากทางเหนือ โดยข้อเท็จจริงมันจะมาจากทางใต้. นั่นคือเหตุผลที่ว่า ทำไมข้าพเจ้าจึงถกเถียงแล้วถกเถียงอีก. เรามองจากเวอร์จีเนียตลอดจนถึงเท็กซัส มีเพียงผู้แทนผิวดำคนเดียวเท่านั้นอยู่ในรัฐสภาที่หลุดมาจากจำนวน 115 คน. 19 ปีมานี้ เราถูกล็อคเอาไว้ข้างนอกรัฐสภา, วุฒิสภา และคฤหาสน์ของชนชั้นปกครอง. อะไรคือความหมายของคะแนนเสียงคนผิวดำส่วนใหญ่? ทำไมข้าพเจ้าต่อสู่เพื่อเป็นผู้ชนะเบื้องต้น และทำไมต้องต่อสู้กับการแบ่งเขตเลือกตั้งที่ไม่ยุติธรรมและการผนวกเข้ามาพวกนี้? ทำไมเราต้องต่อสู้กับสิ่งเหล่านั้น? เพราะอย่างที่ข้าพเจ้าบอกกับคุณ คุณไม่สามารถช่วยใครจากท้องร่องได้ เว้นแต่จะไม่อ้อยอิ่งให้เนิ่นช้า เว้นแต่จะไม่เอ้อระเหยต่อไปอีกเท่านั้น
ถ้าคุณต้องการความเปลี่ยนแปลงในประเทศนี้ คุณต้องบีบบังคับพระราชบัญญัติสิทธิในการออกเสียง เราจะได้คนดำ 12-20 คน, ฮิสแปนิก, ผู้หญิง และผู้แทนรัฐสภาที่ก้าวหน้าจากภาคใต้. เราสามารถรักษาฝ้ายเอาไว้ได้ แต่เราต้องต่อสู้กับพวกด้วงสมอฝ้ายต่างๆ เราจะต้องทำเพื่อให้ได้มาซึ่งความยุติธรรม เราจะต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นเที่ยงธรรมที่แท้จริง
ไม่เพียงพอที่จะคาดหวังว่า ERA จะผ่าน, เราสามารถที่จะผ่าน ERA ได้อย่างไร? ถ้าคนดำลงคะแนนเป็นจำนวนมาก คนขาวที่ก้าวหน้าจะชนะ. มันเป็นหนทางเดียวที่คนขาวก้าวหน้าจะชนะ. ถ้าคนดำลงคะแนนเสียงจำนวนมาก ฮิสแปนิกจะชนะ. และเมื่อคนดำ, ฮิสแปนิก, และคนขาวที่ก้าวหน้าลงคะแนนเสียง ผู้หญิงจะชนะ. เมื่อผู้หญิงได้รับชัยชนะ เด็กจะชนะ.เมื่อเด็กและผู้หญิงชนะ, บรรดาคนงานจะชนะ. เราจะต้องเคลื่อนไปข้างหน้าพร้อมๆ กัน เราต้องก้าวขึ้นมาพร้อมๆ กัน
ขอบคุณ สำหรับพวกเราทั้งมวลและความน่าตื่นเต้น เราจะต้องไม่ปกป้องโลกนี้โดยต้องยอมสูญเสียจิตวิญญานของเราไป เราไม่ควรบีบคั้นให้เกิดการลัดวงจรเกี่ยวกับ พรบ.สิทธิการออกเสียงในทุกๆ ระดับ. เมื่อหนึ่งในกลุ่มพวกเราผุดขึ้นมา เราทั้งหมดจะลุกขึ้นด้วย. ความยุติธรรมคือทางออก สันติภาพคือทางออก เราไม่ควรที่จะปฏิบัติราวกับว่าอาวุธนิวเคลียร์คือสิ่งที่เจรจาตกลงกันได้ และสามารถโต้เถียงกันได้
ในโลกใบนี้ซึ่งเราต่างอาศัยพักพิงอยู่ เราทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ลงในญี่ปุ่นและรู้สึกสำนึกผิด แต่ในปี ค.ศ.1984 ชนพื้นเมืองอื่นๆ ได้รับลูกระเบิดต่างๆ ด้วย ในห้วงเวลานี้ ถ้าเราทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ อีกหกนาทีต่อมา เราเช่นกันก็จะถูกทำลายไปด้วย. มันไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับการกำลังทิ้งระเบิดลงใส่ผู้คน เราจะต้องเลือกพัฒนาทางด้านจิตใจเหนือกว่าขีปนาวุธนำวิถีต่างๆ และคิดเรื่องที่นอกเหนือไปจากนี้ และจะต้องไม่คิดแต่เรื่องของการพันตู มันเป็นช่วงเวลาสำหรับความเปลี่ยนแปลง
นโยบายต่างประเทศของเราควรได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นบนคุณลักษณ์พิเศษแห่งการเคารพซึ่งกันและกัน มิใช่ด้วยวิธีการทูตแบบเรือปืน, ไม่ใช่การทูตแบบไม้เรียวใหญ่ ซึ่งเต็มไปด้วยการข่มขู่คุกคาม. ในหนทางที่สุดยอด ประเทศของเราควรเป็นผู้ป้อนอาหารให้กับผู้หิวโหย. ในทางเลวร้ายสุดๆ ประเทศของเราจะวางระเบิดท่าเรือต่างๆ ของนิคารากัว, ณ จุดที่เลวร้ายที่สุด เราจะพยายามโค่นล้มรัฐบาลของพวกเขา, ณ จุดที่เลวร้ายสุดยอด เราได้ตัดความช่วยเหลือและการสนับสนุนด้านการศึกษาจากลูกหลานอเมริกัน และไปเพิ่มความช่วยเหลือให้กับเอล ซาวาดอร์; ณ จุดที่เร็วร้ายมากๆ ประเทศเราจะเป็นหุ้นส่วนกับแอฟริกาใต้. นั่นคือความเสื่อมเสียด้านศีลธรรม มันคือความเสื่อมทรามทางจริยธรรม มันคือความเสื่อมทรุดเกี่ยวกับคุณงามความดี
เราจ้องมองไปที่แอฟริกา เราไม่สามารถเพียงโฟกัสไปที่นโยบายแบ่งแยกสีผิวในแอฟริกาใต้เท่านั้น เราจะต้องต่อสู้สำหรับการค้าขายกับแอฟริกา และไม่เพียงช่วยเหลือต่อแอฟริกา. เราไม่สามารถยืนหยัดอย่างเกียจคร้าน และกล่าวว่าเราจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับนิคารากัว เว้นแต่พวกเขาจะมีการเลือกตั้งที่นั่น และถัดจากนั้นสวมกอดกับระบอบทหารในแอฟริกาที่ล้มล้างรัฐบาลประชาธิปไตยในไนจีเรีย ไลบีเรีย และกีนา. เราจะต้องต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยทั่วโลก และเล่นเกมโดยการวางกฎเกณฑ์ต่างๆ ขึ้นมาชุดหนึ่ง
สันติภาพในโลกนี้ หลักการที่มีอยู่ของเราสำหรับสันติภาพในตะวันออกกลางยังไม่เพียงพอ
มันยังไม่ทำงานได้ผลเท่าที่ควร ในตะวันออกกลางมีประเทศอยู่ 22 ประเทศ ประเทศของเราจะต้องสามารถที่จะพูดและปฏิบัติ
รวมถึงการมีอิทธิพลต่อประเทศเหล่านั้นทั้งหมด เราจะต้องสร้างมันขึ้นมาจาก Camp
David (*) และวัดเรื่องสิทธิมนุษยชนด้วยข้อเท็จจริงและมาตรฐานความสำเร็จ. ในดินแดนตะวันออกกกลางนั้น
เรามีความสนใจและผลประโยชน์อยู่มาก แต่มีเพื่อนฝูงอยู่ที่นั่นน้อย
(*)http://en.wikipedia.org/wiki/Camp_David
ในที่นี้มีทางออกอยู่ทางหนึ่ง นั่นคืองาน. ผลักอเมริกากลับไปสู่การทำงาน. ตอนที่ข้าพเจ้ายังเป็นเด็กซึ่งเติบโตขึ้นที่กรีนวิลล์,
เซาท์ คาโรไลนา, บาทหลวง Sample เคยแสดงธรรม ซึ่งบ่อยมากๆ เป็นเรื่องการเทศนาเกี่ยวกับองค์พระเยซู
และพระองค์ทรงตรัสว่า "ถ้าข้าพเจ้าได้รับการยกขึ้น ข้าพเจ้าก็จะยกมนุษย์ทุกคนขึ้นสู่ระดับเดียวกับข้าพเจ้า.
ข้าพเจ้าไม่เข้าใจเสียทีเดียวว่าพระองค์ทรงหมายถึงอะไรในขณะที่ยังเป็นเด็ก แต่ตอนนี้ข้าพเจ้าเข้าใจขึ้นบ้างเล็กน้อย
นั่นคือ ถ้าคุณยกย่องความจริง มันคือแม่เหล็ก มันเป็นหนทางหนึ่งของการดึงมนุษย์ขึ้นมา
ด้วยความสับสนทั้งหมดในการประชุมนี้ แสงสว่างที่ฉาดฉาน และพรรคการเมืองต่างๆ พร้อมกับความสนุกสนาน เราจะต้องยกข้อเสนอง่ายๆ อันหนึ่งขึ้นมา นั่นคือ ถ้าเราหยิบยกโครงการป้อนอาหารแก่ผู้ที่หิวโหยขึ้น พวกเขาก็จะเดินต่อไปได้; ถ้าเราหยิบยกโครงการเกี่ยวกับการศึกษาเรื่องของสงครามว่าจะไม่มีมันอีกแล้ว เยาวชนของเราก็จะเดินต่อไปได้; ถ้าเรายกโครงการทำให้อเมริกากลับสู่งาน และทางเลือกระหว่างสวัสดิการกับความสิ้นหวัง พวกเขาก็จะกลับเข้าทำงาน
ถ้าหากว่าพวกเราตัดงบประมาณของกองทัพแต่มิได้ตัดการปกป้องคุ้มครองพวกเรา และใช้เงินส่วนนั้นไปกับการสร้างสะพานขึ้นมาใหม่ จะทำให้บรรดาช่างเหล็กหวนกลับมาทำงาน และใช้เงินที่เหลือและจัดหางานให้กับเมืองใหญ่ๆ ของพวกเรา พร้อมใช้เงินไปกับการสร้างโรงเรียนและจ่ายให้กับครูอาจารย์ เพื่อให้การศึกษาแก่เด็กๆ และสร้างโรงพยาบาล ให้การฝึกอบรมแพทย์-พยาบาล ประเทศของเราทั้งหมดก็จะวิ่งมาหาเรา
ดังที่ข้าพเจ้าฝากไว้กับพวกเรา เราลงคะแนนเสียงในที่ประชุมนี้ และพรักพร้อมที่จะพลิกกลับประเทศของเราในสองวัน ในการรณรงค์ครั้งนี้ ข้าพเจ้าพยายามและมีศรัทธาต่อคำมั่นสัญญาของตนเอง ข้าพเจ้าอาศัยอยู่ในถิ่นของคนที่พูดภาษาสเปน, สลัมชุมชนแออัด, และโครงการบ้านของกรมประชาสงเคราะห์ต่างๆ ข้าพเจ้ามีสารที่ส่งถึงเยาวชนทั้งหลายของพวกเรา ข้าพเจ้าท้าทายพวกเขาให้มีความหวังในมันสมองของพวกเขา และไม่ต้องใช้ยากระตุ้นเส้นเลือด ข้าพเจ้าบอกกับพวกเขาคล้ายดังองค์พระเยซูเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าก็เช่นกัน ถือกำเนิดขึ้นมาในเขตสลัมของเมือง แต่เพียงเพราะเราต่างถือกำเนิดขึ้นในถิ่นสลัม มิได้หมายความว่าสลัมได้ถูกทำให้เกิดขึ้นในตัวพวกเรา
เราสามารถที่จะเจริญเติบโตเหนือมันได้ถ้าหากว่าจิตใจของเราได้รับการสร้างขึ้น ข้าพเจ้าขอบอกกับพวกเราว่า ทุกๆ สลัมมันมีอยู่ 2 ด้าน. เมื่อข้าพเจ้ามองเห็นหน้าต่างแตก นั่นคือด้านหนึ่งของสลัม ขอให้ฝึกฝนเยาวชนทั้งหลายให้กลายเป็นช่างติดกระจก นั่นคือด้านของความสว่างของสลัม. เมื่อข้าพเจ้ามองเห็นก้อนอิฐที่หลุดร่วง นั่นคือด้านที่เป็นสลัมทั่วๆ ไป, ขอให้เด็กๆ ในสหภาพ พร้อมเปลี่ยนแปลงพวกเขาให้เป็นช่างก่ออิฐและสร้างมันขึ้นมาใหม่ นั่นคือด้านความแจ่มใสของสลัม. เมื่อข้าพเจ้ามองเห็นประตูที่หายไป นั่นคือด้านของความเป็นสลัม ให้พวกเราฝึกหัดเยาวชนที่สนใจการเป็นช่างไม้ นั่นคือด้านที่สว่างและสดใส. เมื่อข้าพเจ้าพบเห็นคำหยาบและตัวอักษรต่างๆ ที่บ่งถึงความแร้นแค้นบนผนังกำแพงต่างๆ นั่นคือด้านหนึ่งของความเป็นสลัม ให้ฝึกพวกเยาวชนให้กลายเป็นจิตรกร และนั่นคือด้านที่ส่องสว่างอีกด้านหนึ่ง
พวกเราได้รับการฝากฝังสถานที่นี้เพื่อให้ค้นหาด้านสว่าง เพราะมันมีด้านที่สดใสกว่าอยู่ในบางหนแห่ง ข้าพเจ้ามีความมั่นใจมากกว่าที่เคย ซึ่งพวกเราสามารถมีชัยชนะได้ เราจะกระโดดข้ามด้านที่ขรุขระของภูเขาลูกนี้ เราสามารถมีชัยชนะ ข้าพเจ้าต้องการให้เยาวชนอเมริกันทำในสิ่งที่ข้าพเจ้าชื่นชม เพียงทำในสิ่งที่น่าชื่นชม เรามีสิทธิ์ที่จะฝัน เราจะต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริงอย่างที่มันเป็น. และต่อจากนั้น ความฝันเกี่ยวกับความเป็นจริงที่ควรจะเป็น และจะต้องเป็น. ชีวิตความเป็นอยู่ที่พ้นไปจากความเจ็บปวดของความเป็นจริง ด้วยความฝันเกี่ยวกับแสงสว่างในวันพรุ่งนี้. จงใช้ความหวังและจินตนาการในฐานะอาวุธต่างๆ ของความรอดและความก้าวหน้า จงใช้ความรักเพื่อกระตุ้นตัวเราและผูกพันตัวเราให้รับใช้ครอบครัวมนุษย์
เยาวชนอเมริกัน ความฝัน. จงเลือกเผ่าพันธุ์มนุษย์เหนือการแข่งขันด้านอาวุธนิวเคลียร์. ฝังอาวุธต่างๆ และต้องไม่เผาทำลายมนุษย์. ความฝัน - ความฝันเกี่ยวกับระบบคุณค่าใหม่. บรรดาครูอาจารย์ที่สอนเรื่องชีวิต และไม่เพียงเพื่อการมีชีวิตอยู่เท่านั้น แต่สอนเพราะพวกเขาไม่สามารถช่วยเหลือเกื้อกูลมันได้. ความฝันของบรรดานักกฎหมาย เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความยุติธรรมมากกว่าการตัดสินคดีความ. ความฝันของแพทย์ทั้งหลายเกี่ยวพันกับการสาธารณสุข มากกว่าความร่ำรวยส่วนตัว. ความฝันของนักเทศนาธรรมและนักบวชซึ่งต้องการจะเป็นผู้พยากรณ์ ไม่ใช่ผู้ค้ากำไรเกินควร, การเทศนาสั่งสอนและความฝัน!
ห้วงเวลาของพวกเราได้มาถึงแล้ว ห้วงเวลาของพวกเรามาถึงตรงหน้านี้แล้ว. ความทุกข์ทรมานได้บ่มเพาะอัตลักษณ์ขึ้นมา อัตลักษณ์ได้บ่มเพาะศรัทธาขึ้นมา. ในท้ายสุด ศรัทธาจะไม่ทำให้สิ้นหวัง. ช่วงเวลาของเรามาแล้ว. ความศรัทธาของเรา ความหวัง และความฝันต่างๆ จะเหนือกว่าและเป็นจริง. เวลาของเรามาถึงแล้ว ไม่มีหลุมศพใดสามารถกลบร่างของพวกเราลงได้ ไม่มีคำโกหกใดๆ สามารถคงอยู่ได้ตลอดไป. เราจะต้องละทิ้งรากฐานสงครามเผ่าพันธุ์และนำไปสู่รากฐานเศรษฐกิจร่วมกัน และพื้นฐานทางศีลธรรมที่สูงส่งขึ้น
อเมริกา, เวลาของเรามาถึงแล้ว เรามาจากความอัปยศอดสูสู่ความสง่างามอันน่าพิศวง. โปรดจงมอบความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าของท่านให้กับข้าพเจ้า จงมอบความยากจนให้กับข้าพเจ้า การวมตัวเป็นมวลหมู่ของท่านซึ่งปรารถนาที่จะมีลมหายใจอันเป็นอิสระ และการมาถึงของเดือนพฤศจิกายน นั้นจะเป็นห้วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงอันหนึ่ง เพราะช่วงเวลาของพวกเรามาถึงแล้ว
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นักศึกษา
สมาชิก และผู้สนใจบทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ก่อนหน้านี้ หรือถัดจากนี้สามารถคลิกไปอ่านได้โดยคลิกที่แบนเนอร์
ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา 3 I สารบัญเนื้อหา
4
I สารบัญเนื้อหา
5 I สารบัญเนื้อหา
6
ประวัติ
ม.เที่ยงคืน
สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง
e-mail :
midnightuniv(at)gmail.com
หากประสบปัญหาการส่ง
e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
[email protected]
ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ทั้งหมด
กว่า 1300 เรื่อง หนากว่า 25000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)gmail.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com
สมเกียรติ
ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็บไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ
ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
41
42
43
44
45
46
47
48
49
50
51
52
53
54
55
56
57
58
59
60
61
62
63
64
65
66
67
68
69
70
71
72
73
74
75
76
77
78
79
80
81
82
83
84
85
86
87
88
89
90
การรวมตัวกันของสายรุ้งรวมไปถึงชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียด้วย
ซึ่งตอนนี้กำลังถูกฆ่าอยู่บนท้องถนนของเรา เป็นแพะรับบาปสำหรับความล้มเหลวของบริษัท,
อุตสาหกรรม และนโยบายทางเศรษฐกิจ. สายรุ้งกำลังให้พื้นที่สำหรับเยาวชนอเมริกัน
เมื่อยี่สิบปีที่ผ่านมา เยาวชนหนุ่มสาวของเราต้องตายในสงครามซึ่งพวกเขาไม่มีโอกาสแม้กระทั่งการออกเสียง
ยี่สิบปีต่อมา เยาวชนหนุ่มสาวอเมริกันมีพลังที่หยุดยั้งสงครามในอเมริกากลางและแสดงความรับผิดชอบต่อการออกเสียงจำนวนมาก
เยาวชนอเมริกันทั้งหลายต้องกระตือรือร้นในทางการเมืองในปี 1984. ทางเลือกของพวกเขาคือ"สงคราม"หรือ"สันติภาพ"
เราจะต้องให้พื้นที่สำหรับเยาวชนคนหนุ่มสาวอเมริกัน