บรรณาธิการแถลง: บทความทุกชิ้นซึ่งได้รับการเผยแพร่บนเว็บไซต์แห่งนี้
มุ่งเพื่อประโยชน์สาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อวัตถุประสงค์ในการขยายพรมแดนแห่งความรู้ให้กับสังคมไทยอย่างกว้างขวาง
นอกจากนี้ยังมุ่งทำหน้าที่เป็นยุ้งฉางเล็กๆ แห่งหนึ่งสำหรับเก็บสะสมความรู้ เพื่อให้ทุกคนสามารถหยิบฉวยไปใช้ได้ตามสะดวก
ในฐานะที่เป็นสมบัติร่วมของชุมชน สังคม และสมบัติที่ต่างช่วยกันสร้างสรรค์และดูแลรักษามาโดยตลอด.
สำหรับผู้สนใจร่วมนำเสนอบทความ หรือ แนะนำบทความที่น่าสนใจ(ในทุกๆสาขาวิชา) จากเว็บไซต์ต่างๆ
ทั่วโลก สามารถส่งบทความหรือแนะนำไปได้ที่ midnightuniv(at)gmail.com
(กองบรรณาธิการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน: ๒๘ มกาคม ๒๕๕๐)
Neo-Buddhism
Midnight University
แนวคิดและขบวนการพระพุทธศาสนาเพื่อสังคม
การปฎิวัติพุทธศาสนามาแก้ปัญหาสังคมหลังสมัยใหม่
(ตอนที่ ๓)
พระมหาสมบูรณ์ วุฑฺฒิกโร : เขียน
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
บทความวิชาการพุทธศาสนาเพื่อสังคมชิ้นนี้
กองบรรณาธิการได้รับมาจากผู้เขียน
เดิมชื่อ: แนวคิดและขบวนการพระพุทธศาสนาเพื่อสังคม
ซึ่งมีความยาวกว่า ๗๐ หน้ากระดาษ A4 ด้วยเหตุนี้ จึงได้มีการนำเสนอเป็นตอนๆ
เพื่อเหมาะสมกับรูปแบบการนำเสนอบนเว็บเพจแห่งนี้
สำหรับสาระสำคัญของบทความขนาดยาวนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการสำรวจถึงความเป็นมา
ในเชิงพัฒนาการของพระพุทธศาสนาในแนวรับใช้สังคมในสถานการณ์ปัจจุบัน
โดยพยายามที่จะตอบคำถามที่ว่า (๑) กลุ่มนักคิดและนักวิชาการได้ถกเถียงประเด็น
ปัญหาเกี่ยวกับแนวคิดเชิงสังคมในพระพุทธศาสนาอย่างไร และ (๒) การอธิบายศีล ๕
ตามแนวจารีตประเพณีแบบเดิมมีปัญหาในการตอบปัญหาสังคมยุคใหม่อย่างไร
และเครือข่ายนี้ได้เสนอทางออกด้วยการตีความศีล ๕ แบบใหม่อย่างไร?
midnightuniv(at)gmail.com
บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา
ข้อความที่ปรากฏบนเว็บเพจนี้
ได้รักษาเนื้อความตามต้นฉบับเดิมมากที่สุด
เพื่อนำเสนอเนื้อหาตามที่ผู้เขียนต้องการสื่อ กองบรรณาธิการเพียงตรวจสอบตัวสะกด
และปรับปรุงบางส่วนเพื่อความเหมาะสมสำหรับการเผยแพร่ รวมทั้งได้เว้นวรรค
ย่อหน้าใหม่ และจัดทำหัวข้อเพิ่มเติมสำหรับการค้นคว้าทางวิชาการ
บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ลำดับที่ ๑๓๕๓
เผยแพร่บนเว็บไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่
๑๑ กันยายน ๒๕๕๐
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ
๒๒ หน้ากระดาษ A4)
++++++++++++++++++++++++++++++++++
แนวคิดและขบวนการพระพุทธศาสนาเพื่อสังคม
การปฎิวัติพระพุทธศาสนามาแก้ปัญหาสังคมหลังสมัยใหม่
(ตอนที่ ๓)
พระมหาสมบูรณ์ วุฑฺฒิกโร : เขียน
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
๓. การตีความศีล ๕ ของเครือข่ายพุทธศาสนิกเพื่อสังคมนานาชาติ
แนวคิดในการตีความศีล ๕ แนวใหม่ของเครือข่ายพุทธศาสนิกเพื่อสังคมนานาชาติ ส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดของบุคคลสำคัญอย่างน้อย
๒ ท่านด้วยกัน คือ แนวคิดเรื่อง "อริยวินัย" ที่พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต)
เสนอไว้ในบทความเรื่องศีลกับเจตนารมณ์ทางสังคมดังได้กล่าวมาแล้ว และแนวคิดของพระติช
นัท ฮันห์ เกี่ยวกับการตีความศีล ๕ แนวใหม่ ดังนั้น ในส่วนที่ ๓ นี้ นอกจากจะอภิปรายในประเด็นการตีความศีล
๕ ของเครือข่ายพุทธศาสนิกเพื่อสังคมนานาชาติแล้ว ผู้เขียนยังจะเสนอแนวคิดเรื่อง
"อริยวินัย" และหลักการสทานศีล ๕ ของพระติช นัท ฮันห์ ควบคู่กันไปด้วย
เพื่อให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างแนวคิดทั้งสองนี้กับแนวคิดในการตีความศีล ๕ ของเครือข่ายพุทธศาสนิกเพื่อสังคมนานาชาติ
๓.๑ เครือข่ายพุทธศาสนิกเพื่อสังคมนานาชาติ
เครือข่ายพุทธศาสนิกเพื่อสังคมนานาชาติ (พ.พ.ส.) (International Network of Engaged
Buddhists-INEB) ตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๐ โดยการริเริ่มของสุลักษณ์ ศิวรักษ์
โดยมีบุคคลสำคัญที่รับเป็นองค์อุปถัมภ์ เช่น องค์ทะไล ลามะ, สมเด็จพระมหาโฆษนันทะ
(กัมพูชา), พระติช นัท ฮันห์, พุทธทาสภิกขุ, มีสมาชิกจากประเทศต่าง ๆ มากกว่า
๕๐๐ คน (1) สุลักษณ์ได้กล่าวถึงจุดยืนในการตั้งองค์กรว่า
INEB หรือพุทธศาสนิกเพื่อสังคม มีจุดยืนตรงที่ช่วยให้ชาวพุทธร่วมสมัยเห็นความทุกข์ยากต่างๆ โดยเอียงข้างอยู่ฝ่ายผู้ยากไร้และคนปลายอ้อปลายแขมที่ถูกเอาเปรียบ หากไม่สอนให้เกลียดผู้ที่ข่มเหงคะเนงร้ายเรา โดยหาทางเข้าถึงโครงสร้างอันอยุติธรรมทางสังคม แล้วหาทางออกจากทุกขสัจทางสังคม ตามแนวทางของพระอริยมรรคอย่างสันติ (2)
สำหรับวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งองค์กรมี ๔ ประการ คือ
๑) มุ่งพัฒนาแนวความคิดพุทธศาสนาเพื่อสังคม (Socially engaged Buddhism) ที่มีฐานอยู่บนความมีสติ ปัญญา และกรุณา
๒) จัดอบรมระดับพื้นฐานในเอเชียเพื่อส่งเสริมความเข้าใจ การวิเคราะห์ และการสร้างพลังอำนาจเพื่อนำไปสู่ความสามัคคีและความยุติธรรมในโลก ให้แก่ปัจเจกบุคคล ชุมชน และสังคม (ในรูปแบบของการจัดประชุมปฏิบัติการ การจัดสัมมนา และการศึกษาดูงาน)๓) สร้างเครือข่ายที่กว้างขวาง และการทำงานร่วมกันในหมู่ชาวพุทธและกลุ่มที่ทำงานเพื่อสังคมอื่นๆ
๔) ส่งเสริมความเข้าใจและความร่วมมือระหว่างชาวพุทธ และระหว่างศาสนาต่างๆ
โครงการอริยวินัย
นอกจากนั้น "โครงการอริยวินัย" ก็เป็นอีกองค์กรหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มเดียวกับเครือข่ายพุทธศาสนิกเพื่อสังคมนานาชาติ
ก่อตั้งโดยสุลักษณ์ ศิวรักษ์ และ ดร. วีระ สมบูรณ์ จุดมุ่งหมายของโครงการนี้
คือ ต้องการฟื้นฟูพุทธธรรมในส่วนของศีลหรือวินัย ให้กลับมามีบทบาทและมีพลังในการอธิบายปัญหาของสังคมโลกยุคใหม่
โครงการนี้มีผู้เข้ามาร่วมเป็นสมาชิกทั้งที่เป็นชาวพุทธและศาสนิกในศาสนาอื่นๆ
ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ มีการจัดประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและหาคำตอบออกจากปัญหาความรุนแรงในสังคมหลายๆ
ด้าน เช่น ปัญหาความรุนแรงเชิงโครงสร้าง (Structural Violence) ความรุนแรงเชิงวัฒนธรรม
(Cultural Violence) ปัญหาวัฒนธรรมบริโภคนิยม ผู้ที่เข้ามาร่วมเป็นสมาชิกของโครงการนี้มีทั้งจากทวีปเอเชีย
ยุโรป และอเมริกา (3)
โครงการอริยวินัย เกิดจากการขยายแนวคิดเรื่อง "อริยวินัย" ที่พระธรรมปิฎกเขียนไว้ในหนังสือพุทธธรรม (4) วีระ สมบูรณ์ ในฐานะผู้มีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งโครงการ ได้ให้ความหมายของคำว่า "อริยวินัย" ในฐานะเป็นองค์ประกอบส่วนนอกสุดของระบบพุทธธรรม เป็นเรื่องของการนำเอาหลักอริยธรรมมาประยุกต์ใช้ โดยกำหนดออกมาเป็นแบบแผน กฎเกณฑ์ และข้อบัญญัติต่างๆ เพื่อจะนำมนุษย์ไปตามเส้นทางของอริยธรรมและก็เข้าสู่อริยสัจในที่สุด
วินัยหรือตัวแบบแผนการปฏิบัติต่างๆ ที่อยู่รอบนอกนี้ จะต้องแปรเปลี่ยนไปตามยุคสมัย เปลี่ยนไปตามกลุ่มชน แปรเปลี่ยนไปตามสภาพต่างๆ ขึ้นอยู่กับการใช้ชีวิต ระบบความสัมพันธ์ ตลอดจนองค์ความรู้ต่างๆ ของแต่ละยุคสมัย ดังนั้น อริยวินัยต้องเป็นส่วนที่มีความยืดหยุ่น เป็นส่วนที่ควรมีการประยุกต์ปรับเปลี่ยนไปตามกาลเวลา สถานที่ ชุมชน และเงื่อนไขปัจจัยอื่นๆ แต่ทั้งนี้ก็ย่อมต้องอยู่ในขอบข่ายที่จะเอื้อให้มนุษย์ได้เข้าสู่เส้นทางของอริยธรรม (5)
นอกจากนั้น พระไพศาล วิสาโล ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของเครือข่ายพุทธศาสนิกเพื่อสังคมนานาชาติ ได้ให้ความหมายของอริยวินัยเพิ่มเติมว่า อริยวินัย หมายถึงระบบความสัมพันธ์และระบบการฝึกฝนอบรมที่นำมนุษย์เข้าสู่อริยธรรม เพื่อเข้าถึงอริยสัจในที่สุด อีกนัยหนึ่ง อริยวินัย หมายถึงแบบแผนที่สร้างอารยวัฒิให้แก่หมู่คนในสังคม ได้แก่ ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปัญญา กล่าวคือ
(๑) ศรัทธา คือความเชื่อมั่นคุณธรรมและความดีงาม ยิ่งกว่าจะเอาความเชื่อฝากไว้กับวัตถุ ศรัทธาดังกล่าวรวมไปถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของมนุษย์ว่า จะสามารถประจักษ์แจ้งในสัจธรรมจนจิตเป็นอิสระและเข้าถึงความดีงามสูงสุดได้
(๒) ศีล คือความประพฤติด้วยความเอื้ออาทรต่อกัน มีน้ำใจและไม่ละเมิดผู้อื่น ตระหนักถึงหน้าที่ที่พึงมีต่อสังคม และกระทำโดยคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม(๓) สุตะ คือการสดับความรู้ที่ช่วยให้ดำเนินชีวิตในทางที่ดีงาม การรวมกลุ่มช่วยเหลือกันและเรียนรู้ร่วมกัน การสร้างองค์ความรู้ที่ส่งเสริมการพัฒนาตนอย่างเป็นองค์รวม ช่วยให้ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการสร้างสรรค์ชีวิตที่ดีงาม
(๔) จาคะ คือการเสียสละแบ่งปัน ทั้งนี้ด้วยการสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น จนพร้อมที่จะเสียสละและช่วยเหลือกัน ยิ่งบำเพ็ญสมาธิภาวนาจนความเห็นแก่ตัวลดลง ก็ยิ่งช่วยเหลือผู้อื่นได้มากขึ้นเท่านั้น
(๕) ปัญญา คือ กระบวนการเรียนรู้ในชุมชน และการพัฒนาองค์ความรู้ที่ช่วยให้เห็นความเป็นจริงอย่างเป็นองค์รวม (6)
๓.๒ เหตุผลที่ต้องตีความศีล
๕ แบบใหม่
สังคมอินเดียโบราณอันเป็นบริบทแวดล้อมแห่งการเกิดขึ้นของพระพุทธศาสนา เป็นสังคมแบบเกษตรกรรม
สภาพของปัญหาและความซับซ้อนของปัญหาไม่อาจจะเทียบได้กับปัญหาของสังคมปัจจุบัน
แน่นอนว่าศีล ๕ ซึ่งเป็นหลักพุทธจริยธรรมที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาสังคม จึงถูกออกแบบมาให้สอดคล้องกับปัญหาจริยธรรมในสังคมเกษตรกรรม
สามารถใช้อธิบายปรากฏการณ์ทางศีลธรรมที่เป็นความผิดตรงไปตรงมาเท่านั้น เช่น ศีลข้อปาณาติบาต
พระอรรกถาจารย์ได้สร้างเกณฑ์ตัดสินไว้ว่า (๑) สัตว์มีชีวิต (๒) รู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต
(๓) มีจิตคิดจะฆ่า (๔) พยายามฆ่า (๕) สัตว์ตายด้วยความพยายามฆ่านั้น (7) ถ้าครบองค์ประกอบทั้ง
๕ ประการนี้จึงถือว่าละเมิดศีลข้อนี้ เกณฑ์วินิจฉัยเหล่านี้สามารถอธิบายปัญหาทาง
จริยธรรมในสังคมเกษตรกรรมซึ่งเป็นปัญหาแบบง่ายๆ ตรงไปตรงมาได้
แต่เมื่อสังคมเริ่มเปลี่ยนแปลงจากสังคมเกษตรกรรมโบราณ มาเป็นสังคมแบบใหม่ที่ค่อยๆ ทวีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น จึงมีคำถามตามว่า การฆ่าในศีลข้อนี้มีความหมายแค่ไหน มีความหมายตรงๆ ตามตัวอักษรเท่านั้น (คือลงมือฆ่าด้วยอาวุธ ยาพิษ หรืออุปกรณ์ล้างผลาญอื่นๆ) หรือว่าการฆ่าอาจครอบคลุมมาถึงการปล่อยให้ตายอย่างที่เรียกกันในปัจจุบันว่า การุณฆาตแบบลบ (negative euthanasia) หรืออาจรวมถึงการปล่อยสารพิษจากโรงงานแล้วสร้างมลพิษที่บั่นทอนสุขภาพของผู้คน แม้การุณฆาตแบบบวก (positive euthanasia) อันได้แก่การทำให้ตายเพราะความเมตตา ก็อาจก่อให้เกิดคำถามได้ว่าผิดศีลข้อปาณาติบาตหรือไม่ (8) นี่คือส่วนหนึ่งของปัญหาท้าทายในสังคมยุคใหม่ ที่ทำให้ชาวพุทธหลายท่านให้ความสนใจกับการตีความศีล ๕ แนวใหม่ เพื่อให้สามารถตอบประเด็นปัญหาทางจริยธรรมที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้ ดังคำกล่าวของพระติช นัท ฮันห์ ที่ว่า "ศีล ๕ เป็นของเก่าแก่มาก ซึ่งย้อนกลับไปได้ถึงสมัยพุทธกาล พวกเรารู้สึกว่ามันควรได้รับการพูดเสียใหม่ ควรได้รับการพูดถึงอีกครั้งในความหมายที่เข้าใจได้ง่ายขึ้นสำหรับคนในยุคปัจจุบัน" (9)
สุลักษณ์ ศิวรักษ์ มองว่า การอธิบายความหมายและขอบเขตของศีล ๕ อย่างที่ชาวพุทธส่วนใหญ่เข้าใจอยู่เดิมนั้น ยังไม่ครอบคลุมสภาพปัญหาของสังคมปัจจุบัน แท้จริงแล้วศีล ๕ เป็นหลักปฏิบัติสำหรับฆราวาสชาวพุทธ ให้มีส่วนร่วมในการช่วยกันลดปัญหาของสังคมปัจจุบัน จึงจำเป็นที่จะต้องอธิบายขยายความหมายของศีล ๕ ในแต่ละข้อ ให้ครอบคลุมกับสภาพปัญหาสังคมปัจจุบัน (10)
วีระ สมบูรณ์ (11) มองความหมายของศีลในเชิงพลวัตรว่า สภาพสังคมมีการเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา รูปแบบของปัญหาทางศีลธรรมไม่ว่าจะเป็นการฆ่า การลักทรัพย์ การขโมย เป็นต้น ก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย ขอบเขตในการตีความศีล ๕ นั้น เราไม่สามารถที่จะกำหนดตายตัวได้แน่นอนว่าอะไรแค่ไหนจึงจะเหมาะสม ขึ้นอยู่กับว่าในช่วงเวลานั้นอะไรเป็นปัญหา อะไรเป็นประเด็นของสังคม แล้วเราก็เอาศีลไปจับแล้วหาคำตอบให้แก่สังคมว่า อะไรแค่ไหนถือว่าก้าวล่วงขอบเขตศีลธรรม นอกจากนั้น ต้องทำให้คนเปลี่ยนทัศนคติต่อศีล ๕ ในเชิงลบ (negative) มาเป็นเชิงบวก (positive) คือ แทนที่จะมองว่า ศีลเป็นข้อห้ามหรือข้อบังคับ ก็เปลี่ยนมามองถึงประโยชน์จากการรักษาศีลที่เกิดแก่ตนเองและสังคมทั้งหมด รวมทั้งผลเสียที่เกิดจากการประพฤติผิดศีลที่จะกระทบต่อตนเอง สังคม และคนรอบข้าง นั่นคือ ต้องมองให้เห็นความสัมพันธ์เชื่อมโยงถึงกันหมด
ประชา หุตานุวัตร (12) มองว่า การตีความศีล ๕ แนวใหม่ เป็นการประยุกต์สาระของศีลมาอธิบายให้เหมาะสมกับยุคสมัย เพราะการตีความศีลแบบเดิมไม่สามารถครอบคลุมปัญหาใหม่ๆ ของสังคมได้ ปัญหาการละเมิดศีลได้เปลี่ยนรูปแบบไปแล้ว การตีความศีล ๕ ในพระไตรปิฎกนั้น เป็นการตีความตามสภาพสังคมเกษตรกรรมที่ไม่มีความสลับซับซ้อนอะไรมากนัก เน้นปัญหาระหว่างบุคคลกับบุคคลเป็นหลัก. การตีความศีล ๕ แนวใหม่เป็นความพยายามที่จะทำให้ศีลเหมาะสมกับสังคมอุตสาหกรรมและสังคมข้อมูลข่าวสาร ซึ่งมีโครงสร้างทางสังคมที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น ถามว่าระบบธนาคารปัจจุบันเป็นระบบอทินนาทานหรือเปล่า เพราะเป็นการขโมยผลได้จากการนำน้ำพักน้ำแรงของคนจำนวนมากไปไว้กับคนจำนวนน้อย ธนาคารหลายแห่งมีการนำเงินฝากของประชาชนไปลงทุนในบริษัทที่ผลิตหรือค้าอาวุธ เป็นต้น ดังนั้น การยังยึดอยู่ในกรอบของศีลแบบเดิมๆ มีแต่จะทำให้พระพุทธศาสนากลายเป็นเรื่องของคนแก่ และเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลจำนวนน้อยเท่านั้น
โจเซฟ จอห์นเซน (Joseph Johnsen) มองปัญหาศีลธรรมในเชิงความรุนแรงเชิงโครงสร้างว่า ศีล ๕ จำเป็นต้องได้รับการอธิบายให้สมสมัย ให้สามารถอธิบายโครงสร้างและปรากฏการณ์ทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง สังคมปัจจุบันมีปัญหาความรุนแรง (Violence) แฝงอยู่ในสังคมมากมาย ทั้งการดำรงชีวิตและการเสพบริโภคล้วนมีความรุนแรงที่เจือปนอยู่ ดังนั้น ศีลควรจะเป็นตัวช่วยให้ความรุนแรงลดลง และควรทำให้พ้นออกไปจากความเป็นปัจเจกชนสู่สังคม (13)
อธิษฐาน คงทรัพย์ มองปัญหาการละเมิดศีลปัจจุบันโดยโยงไปถึงความสัมพันธ์ทางสังคมว่า ปัญหาสังคมปัจจุบันมีความเชื่อมโยงถึงกันหมด ปัญหาหนึ่งๆ เชื่อมโยงเกี่ยวพันกับอีกหลายสาเหตุ เช่น การกินอาหารจานด่วน(fast-food) ก็เชื่อมไปถึงการเสพอาหารที่ไม่มีประโยชน์ต่อตัวเอง การกินที่เบียดเบียนสัตว์ การตีความศีล ๕ ก็เช่นเดียวกัน เราไม่สามารถที่ตีความศีลข้อใดข้อหนึ่งอย่างโดดๆ ต้องตีความหมายให้กว้างถึงสังคม ไม่ควรมองว่าเป็นเรื่องของส่วนตัวที่ใครอยากปฏิบัติก็ปฏิบัติไป แต่ควรจะมองว่าเป็นเรื่องของสังคมที่จะต้องรับผิดชอบต่อสังคมร่วมกัน (14)
โดยรวมแล้ว เหตุผลหลักๆ ที่กลุ่มเครือข่ายพุทธศาสนิกเพื่อสังคมฯ เสนอให้มีการตีความศีล ๔ แบบใหม่ คือ
(๑) ศีล ๕ ในความหมายเดิมออกแบบมาเพื่อให้คอดคล้องกับสภาพปัญหาของสังคมเกษตรกรรม เมื่อสังคมเปลี่ยนแปลงไป ความหมายของศีล ๕ ก็สมควรได้รับการตีความใหม่ด้วย
(๒) ปัญหาทางศีลธรรมในสังคมปัจจุบัน มีความซับซ้อนเกินกว่าที่จะอธิบายได้ด้วยความหมายของศีล ๕ แบบเดิม ดังนั้น จึงจำเป็นต้องตีความศีล ๕ แบบใหม่เพื่อให้ทันกับความซับซ้อนของปัญหา(๓) การตีความศีล ๕ แบบเดิมเน้นความหมายในเชิงลบ (negative) คือมองว่าการรักษาศีล ๕ คือการงดเว้นไม่ได้เบียดเบียนคนอื่นอย่างเดียว ทำให้ละเลยความหมายของศีล ๕ ในเชิงบวก (positive) คือ ความกระตือรือร้นล้นในการเข้าร่วมหรือขัดขวางไม่ให้บุคคลอื่นละเมิดศีลธรรม
(๔) การตีความศีล ๕ แบบเดิมในเน้นความหมายในเชิงปัจเจกมากกว่าความหมายในเชิงสังคม คือ เน้นความหมายในแง่ที่ว่า การรักษาศีล ๕ เป็นความดีส่วนตัวของใครของมัน แทนที่จะมองเป็นเรื่องของสังคม เป็นเรื่องของการจัดโครงสร้างทางสังคม การจัดองค์กร หรือสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์เพื่อเป็นรากฐานของศีลธรรม
๓.๓ การตีความศีล ๕ แบบใหม่
๓.๓.๑ การตีความศีลข้อปาณาติบาต :
พระติช นัท ฮันห์ ได้เสนอหลักการสมาทานศีลข้อที่ ๑ ว่า "ด้วยความตระหนักรู้ถึงความทุกข์ทรมานอันเกิดจากการทำลายชีวิต
ฉันขอตั้งสัตย์ปฏิญาณว่าจะบ่มเพาะความกรุณา และเรียนรู้วิธีที่จะปกป้องชีวิตของผู้คน
สรรพสัตว์ พืช และแร่ธาตุ ฉันตั้งจิตมั่นที่จะไม่ทำลายชีวิต ไม่ยอมให้ผู้อื่นทำลายชีวิต
และจะไม่มองข้ามการทำลายชีวิตโลกนี้ ในมโนสำนึกและวิถีชีวิตของฉัน" (15)
จะเห็นว่า ขอบเขตของศีลข้อนี้ให้ครอบคลุมมิติทั้ง ๔ ด้าน (๑) จิตใจที่ตระหนักรู้ถึงความทุกข์ของสัตว์ที่จะได้รับจากการถูกฆ่าหรือถูกเบียดเบียน
(๒) การงดเว้นไม่เบียดสัตว์ (๓) การปกป้องสัตว์ไม่ให้ได้รับการเบียดเบียน และ
(๔) การขัดขวางมิให้ผู้อื่นฆ่าหรือเบียดเบียนสัตว์
นอกจากนั้น ความเมตตากรุณาถือว่าเป็นรากฐานสำคัญที่จะทำให้รักษาศีลได้อย่างยั้งยืน
ดังคำกล่าวของหลายท่านที่ว่า
สุลักษณ์ ศิวรักษ์
มองว่า ศีลข้อนี้นอกจากจะหมายถึงการไม่ฆ่าสัตว์แล้ว ยังขยายความไปถึงความขัดแย้งทั้งภายในและภายนอก
ที่นำไปสู่การใช้ความรุนแรงหรือขบวนการที่สนับสนุนความรุนแรงในสังคม เช่น การผลิตอาวุธสงคราม
และอาวุธทุกอย่างที่นำไปสู่การคุกคามสิ่งมีชีวิต (16)
วีระ สมบูรณ์ มองว่า ปัจจุบันการฆ่าไม่ใช่เพียงแค่การลงมือฆ่าด้วยตนเอง แต่ยังโยงไปถึงระบบอำนาจที่สนับสนุนการฆ่าของรัฐ
โครงสร้างทางอำนาจที่ก่อให้เกิดการฆ่า โดยเฉพาะการทำสงคราม ถือว่าเป็นรูปแบบการฆ่าที่เป็นระบบ
มีการจัดการ เป็นการฆ่าที่เป็นกระบวนอย่างใหญ่โตและคนส่วนมากก็มองว่าเป็นความธรรมชอบที่จะทำสงคราม
(17) ดังนั้น ถ้าเรายึดความหมายเพียงแค่การฆ่าสัตว์แบบตรงๆ จะไม่สามารถอธิบายหรือให้คำตอบแก่ระบบสังคมที่มีการเอารัดเอาเปรียบกัน
เช่น การค้าอาวุธ การใช้แรงงานอย่างไม่เป็นธรรม การกดขี่ข่มเหงของนายจ้าง เป็นต้น
นอกจากนั้น การบริโภคผลิตภัณฑ์สินค้าที่เกิดจากการเบียดสัตว์หรือเพื่อนมนุษย์
ก็เป็นสิ่งที่ชาวพุทธควรจะตระหนักรู้ สินค้าที่ผลิตมาจาการกดขี่ข่มเหง การใช้แรงงานไม่เป็นธรรม
ก็ถือว่าอยู่ในขอบข่ายของศีลข้อที่ ๑ เช่นเดียวกัน (18)
การฆ่าในความหมายของศีลข้อที่ ๑ จะต้องครอบคลุมทั้งการฆ่าแบบตรงและฆ่าแบบแอบแฝง ไม่ว่าจะเป็นการทำเกษตรกรรมแบบใช้สารเคมี การปล่อยสารพิษสู่อากาศ การทำลายสิ่งแวดล้อม ก็ถือว่าเป็นการฆ่าแบบแอบแฝง รวมถึงการค้าอาวุธ ก็เป็นการฆ่าทางอ้อมเช่นเดียวกัน ดังนั้น เราต้องตระหนักรู้ถึงโครงสร้างสังคมที่ก่อให้เกิดการฆ่า เช่น การทำสงคราม ถ้าเราไม่ลุกขึ้นมาคัดค้าน ปล่อยให้เกิดการฆ่า ก็หมายความว่า ชาวพุทธเห็นด้วยกับการฆ่า ดังนั้น ศีลข้อนี้ หากไม่มีการมอง หรือขยายความหมายออกไปให้กว้าง ชาวพุทธก็ไม่เข้าใจทุกข์ของสังคม นอกจากเราจะไม่ฆ่าแล้ว ยังรวมไปถึงการไม่อนุญาตให้เกิดฆ่า ดังการประท้วงสงครามก็เป็นการพยายามที่ขัดขวางการฆ่าโดยสันติวิธี (19)
กล่าวโดยสรุป กลุ่มเครือข่ายพุทธศาสนิกเพื่อสังคมนานาชาติได้ตีความศีลข้อว่าด้วยการฆ่าสัตว์ (ปาณาติบาต) ให้ครอบคลุมปัญหาทางจริยธรรมในสังคมสมัยใหม่ ดังนี้
๑) ปาณาติบาตในรูปของการฆ่าโดยตรง : หมายถึง การลงมือฆ่าสัตว์อื่นหรือบุคคลอื่นแบบตรงไปตรงมา ซึ่งปาณาติบาตในความหมายนี้ กลุ่มเครือข่ายพุทธศาสนิกเพื่อสังคมฯ มองว่า เป็นความหมายของศีลข้อที่ ๑ แบบเดิมหรือแบบที่ยึดถือตามจารีตประเพณีในสังคมไทย ซึ่งเป็นความหมายที่แคบและไม่สามารถอธิบายสภาพปัญหาของสังคมปัจจุบันได้ทั้งหมด
๒) ปาณาติบาตในเชิงโครงสร้างที่ส่งเสริมความรุนแรง : หมายถึง โครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจ ระบบราชการ วัฒนธรรม เป็นต้น ที่ขาดความยุติธรรมและส่งเสริมการใช้ความรุนแรงในสังคม เช่น ระบบเศรษฐกิจแบบแข่งขันแบบแพ้คัดออก หรือผู้ที่แข็งแรงที่สุดถึงจะอยู่รอด เป็นต้น ล้วนเป็นเหตุนำมาซึ่งความรุนแรงและผิดศีลข้อที่ ๑ ได้ทั้งสิ้น
๓) ปาณาติบาตในรูปของสินค้าที่ส่งเสริมความรุนแรง : หมายถึง การผลิตสินค้าหรือขายสินค้าที่ส่งเสริมความรุนแรง เช่น การผลิตอาวุธสงคราม การผลิตสารเคมีที่เป็นพิษ การผลิตยาฆ่าแมลง การผลิตเสื้อผ้าจากหนังหรือขนสัตว์ เป็นต้น ในความหมายนี้ ผู้ผลิตหรือผู้ขายอาจจะไม่ได้ฆ่าสัตว์โดยตรง แต่การผลิตหรือการขายสินค้าที่นำไปสู่ความรุนแรงนี้ ก็ถือว่าอยู่ในข่ายของการละเมินศีลข้อที่ ๑ เช่นเดียวกัน
๔) ปาณาติบาตในรูปของการลดบริโภคสินค้าที่ส่งเสริมความรุนแรง : หมายถึง ผู้เสพหรือผู้ใช้สินค้าที่ส่งเสริมความรุนแรง เช่น การซื้ออาวุธส่งคราม การใช้ยาฆ่าแมลง การใช้เครื่องนุ่งห่มที่ผลิตจากหนังหรือขนสัตว์ หรือการบริโภคสินค้าที่เกิดจากเอาเปรียบแรงงานเด็ก ผู้หญิง หรือคนยากจน ล้วนเป็นรูปแบบของการส่งเสริมการใช้ความรุนแรงทั้งสิ้น
๕) ปาณาติบาตในรูปของการใช้แรงงาน : หมายถึง การใช้แรงงานเด็กหรือผู้หญิงแบบกดขี่ทารุณและเอารัดเอาเปรียบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การใช้แรงงานในโรงงานอุตสาหกรรม ถือว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของการใช้ความรุนแรงที่อยู่ในข่ายของศีลข้อที่ ๑
๖) ปาณาติบาตในรูปของการสนับสนุนความรุนแรง : หมายถึง การสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลหรือของประเทศมหาอำนาจที่ชอบใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา เช่น การทำสงครามเป็นต้น การสนับสนุนนี้ถือว่าเป็นการส่งเสริมให้รัฐหรือผู้มีอำนาจ มีความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ดังนั้น จึงถือว่าอยู่ในข่ายของการผิดศีลข้อที่ ๑
๗) ปาณาติบาตในรูปของโรงงานอุตสาหกรรม : หมายถึง โรงงานอุตสาหกรรมที่ปล่อยของเสียหรือสารพิษที่เป็นอันตรายต่อ คน สัตว์ และสิ่งแวดล้อมทั้งหมด เช่น ทำให้น้ำเสีย ทำให้อากาศเป็นพิษ เป็นต้น ถือว่าเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการผิดศีลข้อที่ ๑ เช่นเดียวกัน
๓.๓.๒ การตีความศีลข้ออทินนาทาน
:
พระติช นัท ฮันห์ ได้เสนอหลักการสมาทานศีลข้อที่ ๒ ว่า "ด้วยการตระหนักถึงความทุกข์ทรมานอันเกิดจากการขูดรีด
การลักขโมย และการกดขี่ ฉันตั้งสัตย์ปฏิญาณว่าจะบ่มเพาะความรักความเมตตา และเรียนรู้วิธีที่จะทำให้ผู้คน
สรรพสัตว์ พืช และแร่ธาตุ ฉันตั้งสัตย์ปฏิญาณที่จะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่โดยการแบ่งเวลา
พลังงาน และวัตถุให้แก่ผู้ที่มีความจำเป็นต้องใช้ ฉันตั้งจิตมั่นที่จะไม่ลักขโมยและไม่ครอบครองสิ่งที่ควรเป็นของผู้อื่น
ฉันจะเคารพในทรัพย์สมบัติของผู้อื่น และจะป้องกันไม่ให้ผู้อื่นหาประโยชน์จากความทุกข์ทรมานของเพื่อนมนุษย์
หรือความทุกข์ทรมานของสรรพสิ่งต่างๆ ในโลกนี้" (20) จะเห็นว่า ขอบเขตของศีลข้อที่
๒ ตามทัศนะของพระติช นัท ฮันห์ ครอบคลุมถึงมิติถึง ๔ ด้าน (๑) ด้านจิตสำนึกที่ตระหนักถึงความทุกข์ทรมานของสัตว์ที่จะได้รับจากการถูกลักขโมย
(๒) ด้านการแบ่งปันเวลา พลังงาน และสิ่งของให้แก่ผู้จำเป็นต้องใช้ (๓) ด้านการงดเว้นจากการขโมยทรัพย์สินของผู้อื่น
(๔) ด้านการป้องกันไม่ให้ผู้อื่นหาผลประโยชน์จากความทุกข์ทรมานของเพื่อนมนุษย์
สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ตีความโดยโยงไปถึงอทินนาทานด้านความอยุติธรรมทางเศรษฐกิจและการกอบโกยทรัพยากรของประเทศว่า ศีลข้อ ๒ นอกจากไม่ลักทรัพย์แล้ว จะต้องขยายความไปถึงการมีสัมมาอาชีวะ และความยุติธรรมทางเศรษฐกิจ การทำธุรกิจที่เอาเปรียบประชาชน การกอบโกยทรัพยากรของประเทศ หรือการไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายและความรุนแรงที่มีสาเหตุมาจากการทำธุรกิจของตน ก็ถือว่าเป็นการลักทรัพย์เช่นเดียวกัน (21)
วีระ สมบูรณ์ เสนอการตีความโดยโยงไปการละเมิดทรัพย์แบบใหม่ในสังคมปัจจุบัน
เขามองว่า ปัจจุบันรูปแบบของทรัพย์สินเปลี่ยนแปลงไป ทรัพย์สินไม่ใช่สิ่งที่สามารถที่จับต้องได้ทันที
การขโมยทรัพย์สินก็เปลี่ยนแปลงไป ดังที่เรียกว่า ทรัพย์สินทางปัญญา เช่น โปรแกรมคอมพิวเตอร์
การนำโปรแกรมคอมพิวเตอร์มาใส่ไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา โดยที่เราไม่ได้รับอนุญาต
ก็ถือว่าได้เราได้ละเมิดทรัพย์ของผู้อื่น หรือการขโมยข่าวสารข้อมูลของนักล้วงข้อมูลที่เรียกว่า
"แฮคเกอร์" (Hacker) หรือการก้าวก่ายสิทธิส่วนบุคคล ก็เป็นการขโมยอีกชนิดหนึ่งในสังคมสมัยใหม่
การปั่นราคาหุ้นหรือการแสวงหากำไรจากการปั่นราคาหุ้น ก็เป็นการแสวงหาผลประโยชน์บนข้อมูลที่ได้เปรียบคนอื่น
ความจริงแล้ว การเล่นหุ้นก็ไม่ได้มีความเสียหายอะไร แต่ที่ก่อความเสียหายเกิดจากการปกปิดข้อมูล
และการได้เปรียบในเชิงข้อมูลแล้วแสวงหาผลประโยชน์จากความได้เปรียบนั้น (22)
ยงยุทธ บูรณเจริญกิจ ตีความโดยโยงอทินนาทานไปถึงเรื่องตลาดหุ้น และการปล่อยเงินกู้ของธนาคารว่า
มิติของศีลข้อนี้ควรขยายออกไปสู่สังคมให้ครอบคลุมถึงการเก็งกำไรจากตลาดหุ้น การปั่นหุ้น
การโยกย้ายทรัพยากรหรือหาเงินโดยที่ไม่ได้ลงแรง แต่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่คนเป็นจำนวนมาก
แม้การฝากเงินกับธนาคาร ก็เป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณา เพราะธนาคารได้นำเงินที่ผู้คนไปฝากแล้วไปให้บริษัทค้าอาวุธกู้
เพื่อไปทำการผลิตอาวุธ การที่นำเงินไปขูดรีดประชาชน ให้ประชาชนกู้ยืมอย่างไม่เป็นธรรม
การแสวงหาผลกำไรจากดอกเบี้ยที่ไม่เป็นธรรม ก็ถือว่าอยู่ในภายในขอบเขตของศีลข้อนี้ด้วย
(23)
กล่าวโดยสรุป กลุ่มเครือข่ายพุทธศาสนิกเพื่อสังคมนานาชาติได้ตีความศีลข้อที่ว่าด้วยการลักทรัพย์ (อทินนาทาน) ให้ครอบคลุมปัญหาทางจริยธรรมของสังคมสมัยใหม่ ดังนี้
๑) อทินนาทานรูปของการขโมยโดยตรง : ได้แก่ การขโมยหรือการละเมิดทรัพย์ของคนอื่นโดยตรง เฉพาะทรัพย์สินประเภทที่จับต้องได้หรือเคลื่อนย้ายได้ นี้เป็นความหมายของศีลข้ออทินนาทานแบบเดิม ซึ่งเหมาะสำหรับอธิบายปัญหาจริยธรรมในสังคมที่ไม่ซับซ้อนอย่างสังคมเกษตรกรรม เป็นต้น
๒) อทินนาทานในรูปของทรัพย์สินทางปัญหา : ได้แก่ อทินนาทานอันเกิดจากการละเมิดลิขสิทธิ์ทางปัญญาของคนอื่น สมัยปัจจุบันถือว่าเป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่งซึ่งไม่มีในสมัยโบราณ เช่น การคัดลอกทรัพย์สินที่บรรจุในแผ่นซีดี-รอม ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ดนตรี เพลง หนัง หรือข้อมูลทางวิชาการอื่นๆ เช่น ความรู้ ภูมิปัญญา หรือการค้นพบใหม่ๆ ทางวิทยาศาสตร์ (ข้อนี้ควรพิจารณาให้รอบคอบ เนื่องจากทรัพย์สินทางปัญญาอาจเป็นเรื่องของการค้ากำไรเกินควร ซึ่งเข้าข่ายอทินนาทาน ส่วนการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาซึ่งอ้างว่าเป็นการต่อต้านการค้ากำไรเกินควรด้วยวิธีการขโมย ก็ผิดในแง่ที่เป็นเรื่องของอทินนาทานเช่นกัน ดังนั้นทางออกของปัญหานี้ควรมีการอภิปรายเพิ่มเติม - กอง บก. มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)๓) อทินนาทานในรูปของการเล่นหุ้น : ได้แก่ อทินนาทานอันเกิดจากการเล่นหุ้นแบบเอาเปรียบคนอื่น เช่น การปั่นราคาหุ้น การปล่อยข่าวลือเพื่อให้ราคาหุ้นขึ้นหรือตก รวมทั้งการโจมตีค่าเงินเพื่อให้ได้มาซึ่งกำไรจากการค้าเงิน พฤติกรรมเหล่านี้ถือว่าเป็นการลักทรัพย์และผิดศีลข้อที่ ๒ ด้วย
๔) อทินนาทานในรูปของการล้วงข้อมูล : ได้แก่ อทินนาทานอันเกิดจากการขโมยหรือการล้วงข้อมูลลับของคนอื่นทางอินเทอร์เนท เช่น พวกแฮคเกอร์(Hacker) ที่เจาะเข้าไปในเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อล้วงข้อมูลลับของคนอื่น
๕) อทินนาทานในรูปของความไม่ยุติธรรมทางเศรษฐกิจ : ได้แก่ อทินนาทานอันเกิดจากการพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ไม่กระจายรายได้แก่ประชาชนอย่างยุติธรรม เช่น การเอื้อประโยชน์แก่คนรวยจำนวนน้อย หรือการพัฒนาที่ดึงเอาทรัพยากรท้องถิ่นเข้าส่วนกลาง โดยที่คนในท้องได้ไม่ได้รับประโยชน์จากทรัพยากรนั้น กรณีนี้ถือว่าเป็นการละเมิดทรัพย์ของประชาชนส่วนรวม หรือแม้แต่การทำธุรกิจที่เอาเปรียบผู้ใช้แรงงาน ก็ถือว่าเป็นการละเมิดผลประโยชน์ที่พวกเขาควรจะได้เช่นเดียวกัน
๖) อทินนาทานในรูปของการครอบครองทรัพยากรของประเทศ : ได้แก่ อทินนาทานอ้นเกิดจากครอบครองทรัพยากรส่วนร่วมของประเทศ เช่น นักการเมือง นักธุรกิจ หรือผู้มีอิทธิพลเข้าบุกรุกพื้นที่สาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นป่าไม้ แม่น้ำลำธาร ภูเขา ทะเล แล้วกอบโดยผลประโยชน์จากพื้นที่นั้นแต่ผู้เดียว กรณีดังกล่าวถือว่าเป็นการลักทรัพย์ของสาธารณะ และถือว่าเป็นการละเมิดศีลข้อที่ ๒ ด้วย
๗) อทินนาทานในรูปของการปล่อยเงินกู้ : ได้แก่ อทินนาทานอันเกิดจากการที่ธนาคารปล่อยเงินกู้แล้วเก็บดอกเบี้ยสูงอย่างไม่ยุติธรรม รวมทั้งการนำเงินฝากของประชาชนไปปล่อยกู้แก่ธุรกิจที่ผิดศีลธรรม เช่น ปล่อยกู้ให้แก่บริษัทค้าอาวุธสงคราม บริษัทผลผลิตสิ่งเสพติดเป็นต้น ถือว่าจัดอยู่ในข่ายของการผิดศีลข้อที่ ๒ เช่นเดียวกัน
๓.๓.๓ การตีความศีลข้อกาเมสุมิจฉาจาร
:
พระติช นัท ฮันห์ ได้เสนอหลักการสมาทานศีลข้อที่ ๓ ว่า "ด้วยการตระหนักรู้ถึงความทุกข์ทรมานอันเกิดจากการประพฤติผิดในกาม
ฉันตั้งสัตย์ปฏิญาณว่าจะมีความรับผิดชอบและเรียนรู้วิธีที่จะคุ้มครองป้องกันความปลอดภัยและเกียรติยศของปัจเจกบุคคลคู่สมรส
ครอบครัว และสังคม ฉันตั้งใจที่จะไม่มีเพศสัมพันธ์โดยปราศจากความรักและพันธสัญญาที่ยาวนาน
เพื่อที่จะปกปักรักษาความสุขของตนเองและผู้อื่น ฉันตั้งจิตมั่นที่จะเคารพในพันธสัญญาของฉันและผู้อื่น
จะทำทุกอย่างตามกำลังความสามารถในอันที่จะป้องกันเด็กๆ จากการถูกทารุณกรรมทางเพศ
และป้องกันไม่ให้คู่สมรสและครอบครัวแตกแยกเนื่องจากการประพฤติผิดทางเพศ"
(24)
จะเห็นว่า หลักการสมาทานนี้
ได้แบ่งมิติของศีลข้อกาเมสุมิจฉาจารเป็น ๔ ด้าน คือ (๑) ด้านความตระหนักรู้ถึงความทุกข์ทรมานอันเกิดจากการประพฤติผิดในกาม
(๒) ด้านการตั้งปฏิญาณที่จะรับผิดชอบและปกป้องคุ้มครองความปลอดภัยและเกียรติยศของปัจเจกบุคคล
คู่สมรส ครอบครัว และสังคม (๓) ด้านความเคารพในพันธสัญญาของตนเองและคนอื่น (๔)
ด้านการป้องกันเด็กๆ จากการถูกทารุณกรรมทางเพศ (๕) ด้านการป้องกันคู่สมรสไม่ให้แตกแยกจากการประพฤติผิดทางเพศ
สุลักษณ์ ศิวรักษ์ มองว่า ศีลข้อ ๓ นอกจากไม่ประพฤติผิดในกามแล้ว จะต้องขยายความไปถึงการคุกคามทางเพศ
การกีดกั้นสิทธิสตรี การยกย่องเพศชายให้เหนือกว่าเพศหญิงอย่างงมงายจนถึงกับฆ่าทารกหญิงที่อยู่ในครรภ์
การค้าประเวณีที่นำผู้หญิงที่มีฐานะทางเศรษฐกิจยากจนมาขายตัว ก็ถือว่าเป็นการประพฤติผิดในกามด้วยเหมือนกัน
(25). ส่วนวีระ สมบูรณ์ ตีความว่า ปัญหาที่สำคัญของศีลข้อนี้ในสังคมปัจจุบัน
คือปัญหาโสเภณี โดยเฉพาะปัญหาโสเภณีเด็กที่มีการทำเป็นขบวนการใหญ่โต การไปเที่ยวโสเภณีก็เป็นการส่งเสริมให้การค้ามนุษย์ดำเนินต่อไป
การละเมิดศีลข้อนี้นำไปสู่การทำลายสังคม การทำลายครอบครัว แม้แต่การมี "กิ๊ก"
ก็เป็นประเด็นทางสังคมที่นำไปสู่การผิดข้อ ๓ ด้วย เพราะมันมีการโกหกและพูดปด
ยงยุทธ บูรณเจริญกิจ มองว่า การดูภาพลามกอนาจารที่ยั่วยุกามารมณ์น่าจะอยู่ในข่ายผิดศีลข้อ
๓ นี้ด้วย เพราะการดูภาพลามกอนาจาร ถ้ามองให้ลึกอย่างเป็นองค์รวมขึ้นไป เราจะพบว่า
มันเป็นการเบียดเบียนผู้อื่น เป็นการส่งเสริมค้าประเวณีไปในตัวด้วย นอกจากนั้น
หากการดูภาพเหล่านี้ยังเป็นการส่งเสริมการล่อลวงผู้หญิงและเด็กมาถ่ายภาพด้วย
และการดูภาพเหล่านี้ยังเป็นสนับสนุนให้กิจกรรมการละเมิดชีวิตผู้อื่นดำเนินต่อไปได้
เพราะไม่ใช่แค่เราดูภาพคนเดียวแล้วปัญหามันจบ การไปซื้อหนังสือโป๊หรือว่าสินค้าเหล่านี้
ก็ถือว่าส่งเสริมให้มีการผลิตต่อไป ซึ่งในฐานะชาวพุทธเราควรจะมองให้ลึกซึ้งถึงความเกี่ยวพันเชื่อมโยงของปัญหาทั้งหมด
ซึ่งถ้าเราไม่ไปสนับสนุนสินค้าเหล่านี้ พวกนี้ก็อยู่ไม่ได้ (26)
ลภาพรรณ ศุภมันตา มองว่า ศีลข้อ ๓ นอกจากจะหมายถึงการไม่ล่วงละเมิดภรรยา ลูกคนอื่นแล้ว
ยังหมายถึงการค้าประเวณี การซื้อบริการโสเภณี แหล่งบันเทิงเริงรมย์ สื่อมวลชนที่ทำให้คนหลงมัวเมาในกาม
สอดคล้องกับทัศนะของโจเซฟ จอห์นเซน ที่ว่า ศีลข้อ ๓ ควรครอบคลุมถึงปัญหาโสเภณี
แม้บางประเทศจะอนุญาตให้เป็นอาชีพที่ถูกต้อง แต่ก็เป็นอาชีพที่สร้างความทุกข์ความเจ็บปวดแก่ผู้หญิง
นอกจากนั้น การดูภาพลามกอนาจรที่สื่อไปในทางเพศก็ถือว่าละเมิดศีลข้อนี้ด้วย เพราะภาพเหล่านี้จะทำให้คนขาดสติและสมาธิยับยั้งตน
ทำให้ขาดปัญญาไตร่ตรองพิจารณา และจะนำไปสู่การประกอบอาชญากรรมต่อไป (27)
โดยสรุปแล้ว การตีความศีลข้อว่าด้วยการประพฤติผิดในกาม (กาเมสุมิจฉาจาร) กลุ่มเครือข่ายพุทธศาสนิกเพื่อสังคมนานาชาติ
ครอบคลุมประเด็นดังต่อไปนี้
๑) กาเมสุมิจฉาจารโดยตรง : ได้แก่ การไปมีเพศสัมพันธ์กับคนที่มีเจ้าของอยู่แล้ว กล่าวคือ ภรรยาและสามีคนอื่น หรือเด็กชายหญิงที่ยังอยู่ในปกครองของคนอื่น นี้คือการตีความศีลข้อ ๓ ตามที่ยึดถือกันมาตามจารีตประเพณี
๒) กาเมสุมิจฉาจารในรูปของการค้าประเวณี : ได้แก่ กาเมสุมิจฉาจารอันเกี่ยวกับการทำธุรกิจให้บริการทางเพศทั้งโสเภณีผู้ให้บริการ ผู้ซื้อบริการ เจ้าของธุรกิจบริการทางเพศ การล่อลวงเด็กและผู้หญิงมาขายบริการทางเพศ เป็นต้น ล้วนอยู่ในขบวนการของการละเมิดศีลข้อดังกล่าวทั้งสิ้น๓) กาเมสุมิจฉาจารในรูปของการกดขี่ทางเพศ : ได้แก่ กาเมสุมิจฉาจารอันเกี่ยวกับการกีดกั้นทางเพศ การกดขี่สตรี การละเมิดสิทธิสตรี ค่านิยมที่ยกย่องผู้ขายเป็นใหญ่ เป็นต้น
๔) กาเมสุมิจฉาจารในรูปของารผลิต / การเสพสื่อลามกอนาจาร : ได้แก่ กาเมสุมิจฉาจารอันเกี่ยวกับสื่อที่เผยแพร่ภาพลามกอนาจาร เช่น หนังสือโป๊ หนังโป๊ ภาพโป๊ทางอินเทอร์เนท ภาพโป๊ทางหน้าหนังสือพิมพ์ เป็นต้น และการเสพสื่อลามกอนาจาร ทั้งผู้ผลิต ผู้จำหน่าย และผู้เสพ ล้วนอยู่ในข่ายของการผิดศีลข้อ ๓ ทั้งสิ้น เพราะเป็นการยั่วยุให้เกิดกามารมณ์อันอาจจะนำไปสู่การละเมิดทางเพศได้
๕) กาเมสุมิจฉาจารในรูปของการเปิดสถานบันเทิงเริงรมย์ : ได้แก่ กาเมสุมิจฉาจารอันเกี่ยวกับสถานบันเทิงที่ยั่วยวนกามารมณ์ เช่น บาร์, คลับ, อาบ อบ นวด, เป็นต้น สถานที่เหล่านี้ล้วนเป็นแหล่งยั่วยุทางกามารมณ์ อันจะเป็นสาเหตุของการล่วงละเมิดทางเพศ
๖) กาเมสุมิจฉาจารในรูปของการมีเพศสัมพันธ์ด้วยความละโมบ : ได้แก่ กาเมสุมิจฉาจารอันเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์เพื่อบำรุงบำเรอตนด้วยความโลภในกาม มีเพศสัมพันธ์แบบไม่รับผิดชอบและไม่มีพันธะต่อกัน โดยเอาเรื่องเพศเป็นเป้าหมายและลดคุณค่าของมนุษย์ให้เหลือเพียงแค่วัตถุ ถือว่าอยู่ในข่ายของการละเมิดศีลข้อที่ ๓ เช่นเดียวกัน
๓.๓.๔ การตีความศีลข้อมุสาวาท
:
พระติช นัท ฮันห์ ได้เสนอหลักการสมาทานศีลข้อนี้ว่า "ด้วยการตระหนักรู้ถึงความทุกข์จากการกล่าวถ้อยคำที่ขาดความยั้งคิดและระคายหูผู้อื่น
ฉันตั้งสัตย์ปฏิญาณว่า จะกล่าววาจาที่ไพเราะและฟังอย่างตั้งใจเพื่อที่จะนำมาซึ่งความสดชื่นรื่นเริงและความสุขของผู้อื่น
และบรรเทาความทุกข์ทรมานของพวกเขาด้วยการรู้ว่า ถ้อยคำนั้นสามารถสร้างสรรค์ได้ทั้งความสุขหรือความทุกข์ทรมาน
ฉันตั้งสัตย์ปฏิญาณที่จะเรียนรู้การพูดความจริงด้วยถ้อยคำที่บันดาลให้เกิดความมั่นใจในตนเอง
ความสดชื่นรื่นเริงและความหวัง ฉันตั้งจิตมั่นที่จะไม่กระจายข่าวที่ฉันไม่รู้จริง
และไม่วิพากษ์วิจารณ์หรือตำหนิติเตียนในสิ่งที่ฉันไม่แน่ใจ ฉันจะละเว้นจากการพูดจาซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้เกิดความแตกแยก
หรือความขัดแย้งหรือทำให้ครอบครัวหรือชุมชนแตกสลาย ฉันจะพยายามทุกวิธีทางที่จะประนีประนอม
และแก้ไขความขัดแย้งต่างๆ ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็กเพียงใด" (28)
หลักการสมาทานนี้ แยกได้เป็น ๔ ด้าน คือ (๑) ด้านจิตสำนึกที่ตระรู้ถึงความทุกข์ทรมานของสัตว์อันเกิดจากการพูดปด และการพูดที่ระคายโสตคนอื่น (๒) ด้านการตั้งสัตย์ปฏิญาณที่จะกล่าวถ้อยคำไพเราะ และฟังคนอื่นพูดด้วยความตั้งใจ (๓) ด้านการละเว้นจาการกระจายข่าวที่ตนไม่รู้จริง จากการวิพากษ์วิจารณ์และการตำหนิติเตียน จากการพูดจาส่อเสียดใส่ร้ายป้ายสีให้เกิดความขัดแย้งและแตกแยก (๔) ด้านความพยายามที่จะหาทางประนีประนอมและแก้ไขความขัดแย้งต่างๆ
สุลักษณ์ ศิวรักษ์ มองว่า
ศีลข้อ ๔ นอกจากไม่พูดมุสาแล้ว จะต้องขยายความไปถึงการพูดความจริง การไม่บิดเบือนความเป็นจริงของข่าวเพื่อเป็นการเข้าข้างเชื้อชาติและประเทศของตน
แม้แต่การโฆษณาที่ไม่เป็นความจริง แต่เป็นการลวงให้คนเข้าใจผิดหรือสร้างค่านิยมที่ผิดๆ
เพื่อให้ผู้คนจ่ายสตางค์เพื่อกำไรทางการค้าของตน เช่น การโฆษณาเครื่องดื่มที่บอกว่า
ดื่มแล้วทำให้เป็นคนทันสมัยหรือก้าวหน้า (29)
ส่วนวีระ สมบูรณ์ มองว่า การโกหกในสังคมสมัยใหม่มีรูปแบบที่เปลี่ยนไป คือ การไม่พูดความจริง
หรือทำให้อีกฝ่ายได้รับความจริงไม่หมด ซึ่งทำให้ตัวเองได้รับผลประโยชน์จากการปกปิดข้อมูลนั้น
เช่น การโฆษณาสินค้าเกินจริงทางโทรทัศน์ อาชีพนักการเมืองที่ปกปิดข้อเท็จจริงเพื่อประโยชน์ของตัวเองและพรรคพวก
หรืออาชีพทนายความที่บิดเบือน ปกปิดความจริง ถือว่าเป็นประเด็นที่ชาวพุทธน่าจะตระหนักให้มาก
แต่บางอย่าง เช่น ข้อมูลที่จำเป็นต่อความปลอดภัย การไม่บอก ไม่เปิดเผย ก็เป็นสิ่งที่ทำได้เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม
แต่โดยพื้นฐานแล้ว ความโปร่งใส ความไม่มีเจตนาที่ทำให้ผู้อื่นเสียหาย ก็น่าจะเป็นบรรทัดฐานในการรักษาศีลข้อนี้
(30)
โจเซฟ จอห์นเซน มองว่า พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานได้พัฒนาศีลข้อนี้ไปไกลมาก ในสัทธรรมปุณฑริกสูตร ถือว่าการพูดไม่จริงที่ประกอบด้วยปัญญาและมีเจตนาดีก็ไม่ได้เสียหายอะไร หากการพูดนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของผู้อื่น เช่น กรณีพ่อหลอกลูกให้ออกมาจากบ้านที่กำลังไฟไหม้อยู่ หรือกรณีของหมอ โดยพื้นฐานต้องตั้งอยู่บนความจริง หมอต้องชี้แจงความจริงแก่คนไข้ว่า ความจริงของชีวิตมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ให้คนไข้ตระหนักรู้ถึงความจริงของชีวิต แต่หมอไม่จำเป็นต้องบอกความจริงบางอย่างที่อาจกระทบกระเตือนจิตใจของคนไข้ เพราะการเลี่ยงไม่พูด ก็ไม่ถือว่าพูดปด ถ้าสิ่งที่ทำลงไปไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง (31)
๑) มุสาวาทในรูปของการพูดเท็จโดยตรง : ได้แก่ มุสาวาทจากพูดเท็จตรง ๆ ซึ่งเป็นความหมายของศีลข้อนี้ตามที่รับรู้กันตามจารีต
๒) มุสาวาทในรูปของการปกปิดความจริง : ได้แก่ มุสาวาทอันเกิดจากการไม่นำเสนอความจริงต่อประชาชนอย่างครบถ้วนหรือทุกแง่มุม เช่น การโฆษณาสินค้าหรือการหาเสียงของนักการเมือง ที่ไม่นำความจริงด้านที่เป็นข้อเสียหรือจุดบกพร่องของสินค้าหรือนโยบายมาบอกให้ประชาชนรับทราบ ทำให้เกิดความผิดพลาดในการตัดสินใจของประชาชน๓) มุสาวาทในรูปของการโฆษณาเกินจริง : ได้แก่ มุสาวาทอันเกิดจากการโฆษณา การพูด หรือการประชาสัมพันธ์เกินกว่าความจริงที่มีอยู่ คือ ดีน้อยทำให้ดีมาก จริงน้อยทำให้จริงมาก หรือไม่จริงเลยแต่สร้างความจริงลวงขึ้นมา เช่น ดื่มเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อนี้แล้วจะให้เป็นลูกผู้ชายตัวจริง หรือใช้เครื่องสำอางยี่ห้อนี้แล้วจะทำให้ผิวดำกลายเป็นผิวขาว เป็นต้น
๓.๓.๕ การตีความศีลข้อสุราเมรยมัชชปมาทัฏฐาน
:
พระติช นัท ฮันห์ ได้เสนอหลักการสมาทานศีลข้อนี้ว่า "ด้วยการตระหนักรู้ถึงความทุกข์อันเกิดจากการบริโภคที่ขาดสติ
ฉันตั้งสัตย์ปฏิญาณที่จะรักษาสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจเพื่อตัวฉันเอง ครอบครัวและสังคมของฉันโดยการกิน
ดื่ม และบริโภคอย่างมีสติ ฉันตั้งสัตย์ปฏิญาณที่จะบริโภคแต่สิ่งที่ถนอมรักษาศานติ
ความมีสุขภาพดีและความสดชื่นรื่นเริงในร่างกายและจิตสำนึกของฉันและในร่างกายและจิตสำนึกของครอบครัวและสังคม
ฉันตั้งจิตมั่นที่จะไม่ดื่มเหล้า หรือเครื่องดองของเมาอื่นใด หรือเสพรับอาหารหรือสิ่งอื่นๆ
ที่มีพิษภัย เช่น รายการโทรทัศน์ นิตยสาร หนังสือ ภาพยนตร์ และการสนทนา ฉันตระหนักว่าการบั่นทอนทำลายร่างกาย
หรือจิตสำนึกของฉันด้วยพิษภัยเหล่านี้เป็นการไม่ซื่อสัตย์ต่อบรรพบุรุษ พ่อแม่
สังคมของฉัน รวมทั้งคนรุ่นต่อไปด้วย ฉันจะทำการเปลี่ยนแปลงความรุนแรง ความหวาดกลัว
ความโกรธ และความสับสนในตัวฉันและในสังคม ด้วยการฝึกการบริโภคเพื่อตัวฉันและสังคม
ฉันตระหนักว่าอาการที่ถูกต้องเหมาะสมนั้น เป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการเปลี่ยนแปลงตนเองและสังคม"
(32)
มิติของศีลข้อนี้ในทัศนะของพระติช นัท ฮันห์ มี ๔ ด้าน คือ (๑) ด้านความตระหนักรู้ถึงความทุกข์อันเกิดจากการบริโภคที่ขาดสติ
(๒) ด้านการตั้งสัตย์ปฏิญาณที่จะรักษาสุขภาพกายและจิตใจของตัวเอง ครอบครัวและสังคม
โดยการกิน ดื่ม และบริโภคอย่างมีสติ (๓) ด้านการตั้งสัตย์ปฏิญาณที่จะบริโภคแต่สิ่งที่ทำให้ร่างกายและจิตใจของตน
ครอบครัว และสังคม มีสุขภาพดีและร่าเริงแจ่มใส (๔) ด้านการตั้งจิตมั่นที่จะไม่ดื่มเหล้า
เครื่องดองของเมา อาหาร หรือสิ่งอื่นๆ ที่มีพิษภัย เช่น รายการโทรทัศน์ นิตยสาร
หนังสือ ภาพยนตร์ และการสนทนา (๕) ด้านการตระหนักว่า การบั่นทอนทำลายร่างกายหรือจิตวิญญาณของตนด้วยพิษภัยเหล่านี้
เป็นการไม่ซื่อสัตย์ต่อบรรพบุรุษ พ่อแม่ และสังคม รวมทั้งคนรุ่นต่อไป (๖) ด้านความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงความรุนแรง
ความหวาดกลัว ความโกรธ และความสับสนในตัวเองและสังคม ด้วยการฝึกการบริโภค
สุลักษณ์ ศิวรักษ์ มองว่า ศีลข้อ ๕ นอกจากไม่ดื่มสุราและเมรัยแล้ว จะต้องขยายความไปถึงขบวนการส่งเสริมสิ่งเสพติดทุกรูปแบบ ไม่ว่าการปลูกพืชเสพติด เช่น ฝิ่น เฮโรอิน ใบยาสูบ หรือแม้แต่อุตสาหกรรมด้านสิ่งเสพติด เช่น โรงงานผลิตและขายสิ่งมึนเมา (33) ส่วนวีระ สมบูรณ์ มองว่า สิ่งที่ทำให้เกิดความมัวเมา ลุ่มหลง ยึดติด และสูญเสียสติสัมปชัญญะก็น่าจะจัดเข้าข่ายของศีลข้อนี้ด้วย แม้แต่สื่อบันเทิง เช่น ละครที่มอมเมาทำให้คนหลงติด ก็สมควรจะเข้าข่ายการละเมิดศีลข้อนี้ด้วย (34)
ยงยุทธ บูรณเจริญกิจ มองว่า ศีลข้อ ๕ นี้นอกจากจะหมายถึงการดื่มสุราและเมรัยที่ทำให้เกิดความมึนเมาเสียสติแล้ว ยังหมายถึงความมอมเมาที่เกิดจากการครอบงำของสื่อด้วย ไม่ว่าจะเป็นการโฆษณาสินค้าที่ทำให้คนหลงมัวเมา หรือยึดติดในค่านิยมบางอย่าง เช่น ค่านิยมที่ว่าผู้หญิงสวยจะต้องขาวและผอมบางเท่านั้น ซึ่งทำให้ผู้หญิงอ้วนและดำรู้สึกมีปมด้อย และเป็นที่ดูหมิ่นของสังคม (35) เช่นเดียวกับแนวคิดของ ลภาพรรณ ศุภมันตา ที่ว่า ศีลข้อ ๕ นี้ไม่ใช่เรื่องของการเสพของมึนเมาเท่านั้น แต่โยงไปถึงความลุ่มหลงในสิ่งบันเทิง แฟชั่น เครื่องสำอาง รวมถึงการศึกษาที่มอมเมาคน ทำให้คนหลงติด การศึกษาที่ล้างสมองเด็กให้แข่งขัน การศึกษาเพื่อตักตวง เพื่อตนเอง เพื่อให้รู้ช่องทางที่จะหาประโยชน์จากคนอื่น และการศึกษาที่ส่งเสริมโลภจริต (36)
๑) การเสพสุราและเมรัยโดยตรง : ได้แก่ การผิดศีลข้อ ๕ เพราะดื่มสุราและเมรัยโดยตรง เป็นความหมายของศีลแบบจารีตประเพณีที่เน้นการผิดศีลเป็นรายบุคคลเป็นสำคัญ ความหมายนี้กลุ่มเครือพุทธศาสนิกเพื่อสังคมให้การยอมรับ แต่ถ้าจำกัดความหมายเพียงแค่นี้จะไม่สามารถอธิบายปัญหาศีลธรรมที่เกี่ยวกับสิ่งมึนเมาในสังคมปัจจุบันทั้งหมดได้
๒) ธุรกิจเกี่ยวกับสิ่งมึนเมา : ได้แก่ การผิดศีลข้อ ๕ ในรูปของการทำธุรกิจสิ่งมึนเมา ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้านักธุรกิจ ที่ผลิตหรือขายสิ่งมึนเมาทั้งที่ถูกกฏหมายและผิดกฏหมาย เช่น ยาบ้า ยาอี เฮโรอีน กัญชา เหล้า เบียร์ บุหรี่ เครื่องดื่มชูกำลัง เป็นต้น ผู้ที่อยู่ในขบวนการธุรกิจเหล่านี้ถือว่าผิดศีลข้อนี้ทั้งหมด เพราะมีส่วนร่วมในการสร้างความมึนเมาให้ประชาชน๓) สื่อที่มอมเมาประชาชน : รูปแบบของสิ่งมึนเมาในสังคมปัจจุบันไม่จำเป็นต้องอยู่ในรูปของเครื่องดื่มหรือเสพเข้าสู่ร่างกาย แม้แต่สื่อต่างๆ ที่ทำให้ประชาชนมัวเมา เช่น สื่อบันเทิงประเภทละครน้ำเน่า หนัง เพลง หรือสื่อโฆษณาที่ทำให้ประชาชนหลงใหลในค่านิยมที่ผิดๆ เป็นต้น
โดยสรุปแล้ว แม้กลุ่มชาวพุทธเพื่อสังคมจะให้ความหมายศีล ๕ แตกต่างกันบ้างในรายละเอียด แต่มีความเห็นร่วมกันอย่างหนึ่งว่า ศีล ๕ มีส่วนประกอบ ๒ อย่าง คือ ส่วนที่เป็นเจตนารมณ์ดั้งเดิมของศีล และส่วนที่เป็นคำอธิบายหรือคำนิยามของศีล
- ส่วนที่เป็นเจตนารมณ์ของศีล คือ ความมีสติ ความรักความสงสาร (กรุณา) ปรารถนาที่จะให้มนุษย์และสรรพสัตว์อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ไม่มีการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน หรือถ้าพูดอย่างรวบรัด เจตนารมณ์ของศีลก็คือเรื่องของสังคมนั่นเอง ส่วนที่เป็นเจตนารมณ์นี้จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้
- ส่วนคำนิยามของศีล หมายถึงการนิยามความหมายของศีลแต่ละข้อให้สอดคล้องกับปัญหาสังคมแต่ละยุคสมัย ชาวพุทธกลุ่มนี้มองว่า ในอดีตความหมายของศีล ๕ ได้รับการนิยามให้เหมาะสมกับสังคมแบบเกษตรกรรมที่มีปัญหาไม่สลับซับซ้อนมากนัก แต่ปัญหาสังคมยุคใหม่มีความสลับซับซ้อนมาก การฆ่า การลักทรัพย์ การประพฤติผิดในกาม การโกหกหลอกลวง และสิ่งมอมเมาประชาชน ก็มีรูปแบบที่ซับซ้อนแนบเนียนจนแทบจะดูไม่ออกว่าผิดศีลหรือไม่ ด้วยเหตุนี้ ความหมายของศีล ๕ ในสังคมปัจจุบันจะต้องได้รับการนิยามใหม่เพื่อให้สามารถตอบปัญหาสังคมร่วมสมัยได้
+++++++++++++++++++++++++++++++++ (คลิกไปอ่านบทความต่อเนื่อง ตอนที่ ๔)
เชิงอรรถ
(1) "คำถวายรายงานสมเด็จพระสังฆราช", เสขิยธรรม ๕ (เมษายน - มิถุนายน ๒๕๓๘) : ๖๕.(2) ส. ศิวรักษ์, "ประชุมพุทธศาสนาเพื่อสังคมที่เกาหลี," เสขิยธรรม ๕๘ (ตุลาคม-ธันวาคม, ๒๕๔๖) : ๑๑.
(3) " ประชุม 'อริยวินัย' คืบหน้า จัดตั้งองค์กรเยาวชนชาวพุทธนานาชาติ," ธรรมานุรักษ์ ๒ (กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔), หน้า ๑.
(4) พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), พุทธธรรม ฉบับปรับปรุงและขยายความ, หน้า ๔๕๒.(5) วีระ สมบูรณ์, อริยวินัยกับศาสตร์สำหรับคริสต์ศตวรรษที่ ๒๑ (กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิโกมลคีมทอง, ๒๕๔๕), หน้า ๑๔-๑๕.
(6) พระไพศาล วิสาโล, พุทธศาสนาไทยในอนาคต แนวโน้มและทางออกจากวิกฤต, หน้า ๔๓๗-๔๓๘.
(7) ขุ.ขุ.อ.(บาลี) ๒๒-๒๓.(8) สมภาร พรมทา, พุทธปรัชญา มนุษย์ สังคม และปัญหาจริยธรรม ธรรม (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๒), หน้า ๓๕๐-๓๕๑.
(9) "พุทธศาสนาสำหรับสังคมสมัยใหม่ สนทนากับติช นัท ฮันห์," เสขิยธรรม ๔๗ (มกราคม-มีนาคม, ๒๕๔๔) : ๒๖.
(10) อ้างใน Kenneth Kraft, ed., Inner Peace, Inner World : Assays on Buddhism and Non-violence (New York: State University of New York Press), p. 127-133.
(11) วีระ สมบูรณ์, บทสัมภาษณ์เมื่อวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๔๗, คณะรัฐศาสตร์ ภาคความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จุฬาลงณ์มหาวิทยาลัย .
(12) ประชา หุตานุวัตร, บทสัมภาษณ์ผ่านอีเมล เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๔๗.
(13) โจเซฟ จอห์นเซน, ผู้ช่วยโครงการอริยวินัย, บทสัมภาษณ์เมื่อ ๔ มีนาคม ๒๕๔๗, สถาบันสวนเงินมีมา เจริญนคร กรุงเทพ ฯ.(14) อธิษฐาน คงทรัพย์, บทสัมภาษณ์เมื่อวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗, อาศรมสนิทวงศ์ จังหวัดนครนายก
(15) ติช นัท ฮันห์ เขียน, ศานติในเรือนใจ, แปลโดย ธีรเดช อุทัยวิทยารัตน์ (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง, ๒๕๔๓), หน้า ๘๘-๑๐๓.(16) อ้างใน Kenneth Kraft, ed., Inner Peace, Inner World : Assays on Buddhism and Non-violence, p. 127-133.
(17) วีระ สมบูรณ์, บทสัมภาษณ์เมื่อวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๔๗.
(18) ยงยุทธ บูรณเจริญกิจ, บทสัมภาษณ์เมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๔๗.
(19) ลภาวรรณ ศุภมันตา, บทสัมภาษณ์เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๔๗.
(20) ติช นัท ฮันห์ เขียน, ศานติในเรือนใจ, หน้า ๘๘-๑๐๓.
(21) อ้างใน Kenneth Kraft, ed., Inner Peace, Inner World : Assays on Buddhism and Non-violence, p. 127-133.(22) Ibid., p. 127-133.
(23) วีระ สมบูรณ์, บทสัมภาษณ์เมื่อวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๔๗.
(24) ติช นัท ฮันห์ เขียน, ศานติในเรือนใจ, หน้า ๘๘-๑๐๓.
(25) อ้างใน Kenneth Kraft, ed., Inner Peace, Inner World : Assays on Buddhism and Non-violence, p. 127-133.(26) ยงยุทธ บูรณเจริญกิจ, บทสัมภาษณ์เมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๔๗.
(27) โจเซฟ จอห์นเซน, บทสัมภาษณ์เมื่อ ๔ มีนาคม ๒๕๔๗.
(28) ติช นัท ฮันห์ เขียน, ศานติในเรือนใจ, หน้า ๘๘-๑๐๓.
(29) อ้างใน Kenneth Kraft, ed., Inner Peace, Inner World : Assays on Buddhism and Non-violence, p. 127-133.(30) วีระ สมบูรณ์, บทสัมภาษณ์เมื่อวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๔๗.
(31) โจเซฟ จอห์นเซน, บทสัมภาษณ์เมื่อ ๔ มีนาคม ๒๕๔๗,
(32) ติช นัท ฮันห์ เขียน, ศานติในเรือนใจ, หน้า ๘๘-๑๐๓.
(33) Kenneth Kratf ed., Inner Peace, Inner World : Essay s on Buddhism and Non-violence (Now York : State University of New York press), pp. ๑๒๗-๑๓๓.(34) วีระ สมบูรณ์, บทสัมภาษณ์เมื่อวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๔๗.
(35) ยงยุทธ บูรณเจริญกิจ, บทสัมภาษณ์เมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๔๗.
(36) ลภาวรรณ ศุภมันตา, บทสัมภาษณ์เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๔๗.
นักศึกษา
สมาชิก และผู้สนใจบทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ก่อนหน้านี้ สามารถคลิกไปอ่านได้โดยคลิกที่แบนเนอร์
ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา 3 I สารบัญเนื้อหา
4
I สารบัญเนื้อหา
5 I สารบัญเนื้อหา
6
ประวัติ
ม.เที่ยงคืน
สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง
e-mail :
midnightuniv(at)gmail.com
หากประสบปัญหาการส่ง
e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
[email protected]
ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ทั้งหมด
กว่า 1300 เรื่อง หนากว่า 25000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)gmail.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com
สมเกียรติ
ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็บไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ
ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
41
42
43
44
45
46
47
48
49
50
51
52
53
54
55
56
57
58
59
60
61
62
63
64
65
66
67
68
69
70
71
72
73