บรรณาธิการแถลง: บทความทุกชิ้นซึ่งได้รับการเผยแพร่บนเว็บไซต์แห่งนี้
มุ่งเพื่อประโยชน์สาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อวัตถุประสงค์ในการขยายพรมแดนแห่งความรู้ให้กับสังคมไทยอย่างกว้างขวาง
นอกจากนี้ยังมุ่งทำหน้าที่เป็นยุ้งฉางเล็กๆ แห่งหนึ่งสำหรับเก็บสะสมความรู้ เพื่อให้ทุกคนสามารถหยิบฉวยไปใช้ได้ตามสะดวก
ในฐานะที่เป็นสมบัติร่วมของชุมชน สังคม และสมบัติที่ต่างช่วยกันสร้างสรรค์และดูแลรักษามาโดยตลอด.
สำหรับผู้สนใจร่วมนำเสนอบทความ หรือ แนะนำบทความที่น่าสนใจ(ในทุกๆสาขาวิชา) จากเว็บไซต์ต่างๆ
ทั่วโลก สามารถส่งบทความหรือแนะนำไปได้ที่ midnightuniv(at)gmail.com
(กองบรรณาธิการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน: ๒๘ มกาคม ๒๕๕๐)
พลังงาน: งานที่มีพลัง
- เพื่อความยั่งยืนของระบบพลังงานไทย
เจริญ
วัดอักษร: กับนโยบายสาธารณะด้านพลังงาน
เดชรัต
สุขกำเนิด
: เขียน
ภาควิชาเศรษฐศาสตร์เกษตรและทรัพยากร
คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
บทความวิชาการนี้
กองบรรณาธิการได้รับมาจากผู้เขียน
ซึ่งเป็นผลงานรวบรวมบทความวิชาการ
เพื่อความยั่งยืนของระบบพลังงานไทย
ในชื่อ: พลังงาน งานที่มีพลัง อันเป็นคำที่ยืมมาจากชื่อของชั้นเรียนหนึ่ง
ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ซึ่งจัดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๕
บทความเกือบทั้งหมด เป็นบทความที่เขียนขึ้นเพื่อคอลัมน์พลังงานน่ารู้
ประจำนิตยสารโลกสีเขียว โดยเฉพาะในบทความแรกนี้ ผู้เขียนได้อุทิศให้กับ
การจากไปของเจริญ วัดอักษร นักสู้สามัญชนซึ่งหาญต่อสู้กับมาเฟียพลังงาน
การต่อสู้ของคุณเจริญ, ชาวบ่อนอก และบ้านกรูดทุกท่าน
ถือเป็นหลักกิโลเมตรที่สำคัญของการทำลายการผูกขาดพลังอำนาจความรู้
ซึ่งเคยถูกยึดกุมโดยองค์กรรัฐมาตลอด
midnightuniv(at)gmail.com
บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา
ข้อความที่ปรากฏบนเว็บเพจนี้
ได้รักษาเนื้อความตามต้นฉบับเดิมมากที่สุด
เพื่อนำเสนอเนื้อหาตามที่ผู้เขียนต้องการสื่อ กองบรรณาธิการเพียงเว้นวรรค และย่อหน้าใหม่
เพื่อให้เหมาะสมกับการนำเสนอบนเว็บเพจมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนเท่านั้น
บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ลำดับที่ ๑๒๙๐
เผยแพร่บนเว็บไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่
๒๘ มิถุนายน ๒๕๕๐
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ
๙ หน้ากระดาษ A4)
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
พลังงาน: งานที่มีพลัง
- เพื่อความยั่งยืนของระบบพลังงานไทย
เจริญ
วัดอักษร: กับนโยบายสาธารณะด้านพลังงาน
เดชรัต
สุขกำเนิด
: เขียน
ภาควิชาเศรษฐศาสตร์เกษตรและทรัพยากร
คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
คำนำ
จากจุดเริ่มต้นในการคัดค้านโครงการพลังงานที่ทำลายวิถีชีวิตของชาวบ้าน เมื่อ
10 กว่าปีก่อน ทุกวันนี้ พลังงานกำลังเป็นงานที่เปี่ยมไปด้วยพลังจริงๆ
- เป็นพลังแห่งการสร้างสรรค์ของภาคส่วนต่างๆ ที่ตั้งใจมุ่งมั่นจะปรับเปลี่ยนนโยบายพลังงานให้ตอบสนองต่อความยั่งยืน
และอยู่บนฐานของความพอเพียงในสังคมไทย
- เป็นพลังที่มุ่งสร้างสรรค์ทางเลือกใหม่ในเชิงนโยบาย และการปฏิบัติการ เพื่อให้ระบบพลังงานไทย
เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและชีวิตผู้คนมากขึ้น
- เป็นพลังที่มุ่งตรวจสอบความไม่โปร่งใส และการผูกขาดของธุรกิจพลังงานขนาดยักษ์ที่ยังแฝงเร้นอยู่ในระบบพลังงานไทย
แน่นอนว่า พลังแห่งความสร้างสรรค์ดังกล่าว มิได้เกิดขึ้นโดยปราศจากแรงหรือพลังต่อต้านจากผู้ที่ผูกขาดและกุมผลประโยชน์ในระบบพลังงานอยู่ ในทางตรงกันข้าม พลังแห่งความสร้างสรรค์นั้นจำเป็นต้องต่อสู้ ขับเคี่ยว และในบางครั้งก็ต้องร่วมไม้ร่วมมือกับอำนาจที่ดำรงอยู่ในสังคมไทย แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การผลักดันอย่างไม่ย่อท้อ ก็กลายเป็นกำลังสำคัญให้มีการตรวจสอบการตัดสินใจต่างๆ ของรัฐอย่างเข้มงวด จนกระทั่งมีการฟ้องร้องต่อศาลปกครอง เพื่อดึงให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยกลับมาเป็นของแผ่นดินอีกครั้งหนึ่ง
ขณะเดียวกัน พลังแห่งความสร้างสรรค์ดังกล่าว ก็มีส่วนช่วยผลักดันให้พลังงานหมุนเวียนได้ก้าวขึ้นมาสู่จุดที่มีกำลังการผลิต 1,000 เมกะวัตต์ในปีพ.ศ. 2549 ที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่ประมาณ 7 ปีก่อนหน้านั้น รัฐบาลของเรายังไม่เชื่อเสียด้วยซ้ำว่า ประเทศไทยของเราจะมีศักยภาพของพลังงานหมุนเวียนถึง 1,000 เมกะวัตต์
เอกสารรวบรวมบทความวิชาการเล่มนี้ เป็นความพยายามเล็กๆ ในการจับภาพความเคลื่อนไหวแห่งพลังที่สร้างสรรค์สังคมไทยดังกล่าว เพื่อให้เกิดการชวนคิด ชวนคุย และการขยายผล ขยายพลังแห่งความสร้างสรรค์ต่อไป เอกสารเล่มนี้ แม้จะเป็นเพียงเล่มเล็ก ก็คงจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่ได้รับการสนับสนุนและแรงบันดาลใจจากหลายๆ ฝ่าย
คำว่า "พลังงาน: งานที่มีพลังงาน" เป็นคำที่ยืมมาจากชื่อของชั้นเรียนหนึ่งของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ซึ่งจัดขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2545. บทความเกือบทั้งหมด เป็นบทความที่เขียนขึ้นเพื่อคอลัมน์พลังงานน่ารู้ ประจำนิตยสารโลกสีเขียว ผู้เขียนต้องขอขอบคุณนิตยสารโลกสีเขียว ที่เปิดโอกาสให้ผู้เขียนต้องขบคิดและจับภาพความเคลื่อนไหวของงานที่มีพลัง ทุกๆ รอบ 2 เดือน
นอกจากนี้ ความตั้งใจเรียนอย่างกระตือรือล้น
ของนิสิตชั้นปีที่ 3 ของภาควิชาเศรษฐศาสตร์เกษตรและทรัพยากร ในวิชาเศรษฐศาสตร์พลังงานชีวภาพ
ก็เป็นแรงบันดาลใจสำคัญให้ผู้เขียนรวบรวมบทความต่างๆ ขึ้นมาเป็นเอกสารเล่มนี้
ผู้เขียนขอขอบคุณทิพย์ กระติ๊บ แดนไท และคุณพ่อ-คุณแม่สำหรับแรงสนับสนุนด้วยดีเสมอมา
และผู้เป็นแรงบันดาลใจที่สำคัญที่สุดคือ ประชาชนที่ต้องต่อสู้ และใช้สิทธิ เพื่อปกป้องวิถีชีวิตของพวกเขาไว้อย่างสุดความสามารถ
ด้วยกระบวนการทางปัญญา ที่นำพาให้สังคมไทยได้เรียนรู้และขบคิด ในค้นหาแนวทางการพัฒนาระบบพลังงานที่ยั่งยืนกว่าเดิม
หนึ่งในจำนวนนั้นคือ คุณเจริญ วัดอักษร นักสู้แห่งบ้านบ่อนอก เพื่อต่อสู้เพื่อความถูกต้องจนชีวิตหาไม่
หวังว่า พลังแห่งความสร้างสรรค์จะมั่นคงและเพิ่มพูนตลอดไป เพื่อความงอกงามและร่มเย็นในสังคมไทย
พฤษภาคม 2550
ขอขอบคุณ : มูลนิธิโลกสีเขียว มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน และสถาบันระบบสาธารณสุข
หากเอกสารเล่มนี้มีคุณความดีใดๆ
ต่อสังคมไทย ผู้เขียนขออุทิศคุณความดีทั้งหมดนั้นแด่
คุณเจริญ วัดอักษรนักสู้แห่งบ้านบ่อนอก ผู้ร่วมจุดประกายนโยบายสาธารณะด้านพลังงาน
เพื่อความยั่งยืนในสังคมไทย
เจริญ วัดอักษร: กับนโยบายสาธารณะด้านพลังงาน
(ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารโลกสีเขียว กันยายน-ตุลาคม 2547)
หากย้อนหลังกลับไปเมื่อประมาณ ๗ ปีก่อน (ประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๐) ผมคิดว่าคงมีคนไทยเพียงไม่กี่คนที่ทราบว่า
การวางแผนก่อสร้างโรงไฟฟ้า หรือการรับซื้อไฟฟ้าเอกชนนั้นทำกันอย่างไร และการตัดสินใจดังกล่าวมีผลต่อค่าไฟฟ้าหรือค่า
Ft ที่ผู้บริโภคต้องจ่ายอย่างไร รวมถึงคงไม่มีใครให้ความสนใจว่า กระบวนการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมมีความรอบคอบและถูกต้องมากน้อยเพียงใด
อาจกล่าวได้ว่าในห้วงเวลานั้น
ภาคประชาชนของเราหรือสังคมไทยตกอยู่ในความมืดบอดของกระบวนการตัดสินใจสาธารณะที่ดำเนินการโดยรัฐ
แม้ว่าการตัดสินใจนั้นจะมีผลกระทบใหญ่หลวงต่อตนเองก็ตาม ปัจจุบัน ความมืดบอดดังกล่าว
เริ่มถูกแทนที่ด้วยความเข้าใจที่กระจ่างชัดถึงกระบวนการกำหนดนโยบายและการตัดสินใจดังกล่าว
และความมุ่งมั่นที่จะปรับเปลี่ยนกระบวนการเหล่านั้นไปสู่กระบวนการที่มีความรอบคอบ
มีความเป็นธรรม และการเปิดให้ทุกภาคส่วนในสังคมมีส่วนร่วมอย่างจริงจัง
รูปธรรมที่เห็นได้ชัดคือ การขึ้นค่าไฟฟ้าแต่ละครั้งจะต้องถูกสังคมตรวจสอบ การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมแบบเดิมไม่เป็นที่ยอมรับของสังคมอีกต่อไป
การพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าและแผนพัฒนากำลังการผลิตของการไฟฟ้าฯ ถูกวิพากษ์วิจารณ์และเสนอให้มีการเปลี่ยนแปลง
การพัฒนาพลังงานทางเลือกกำลังขยายตัว และได้รับความสนใจจากสังคมไทยเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
พัฒนาการของความรู้และความเข้าใจทั้งหลายเหล่านี้ล้วนเกี่ยวพันกับการต่อสู้ของคนเล็กๆ หรือคนที่ไม่มีอำนาจใดๆ ในสังคมไทย โดยเฉพาะคนกลุ่มหนึ่งซึ่งมีสำคัญเป็นอย่างมากต่อพัฒนาการดังกล่าวคือ ชาวบ่อนอก และชาวบ้านกรูด รวมถึงชาย ผู้หนึ่งจากบ้านบ่อนอกที่ชื่อว่า "เจริญ วัดอักษร"
คอลัมน์พลังงานน่ารู้จะขอร่วมรำลึกถึงคุณงามความดีของ "เจริญ วัดอักษร" ผู้จุดประกายความรู้และความเข้าใจกระบวนการนโยบายสาธารณะด้านพลังงานให้กับสังคมไทย โดยการประมวลพัฒนาการของกระบวนการนโยบายสาธารณะด้านพลังงานจากการต่อสู้ของภาคประชาชน และการวิเคราะห์ความท้าทายต่างๆ ที่รอพวกเราอยู่เบื้องหน้า ทั้งนี้เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการร่วมกันสานต่อเจตนารมณ์ของคุณ "เจริญ วัดอักษร" ให้ดำรงและงอกงามในสังคมไทย
จุดเริ่มต้นของการต่อสู้
การต่อสู้ของชาวบ่อนอกและชาวบ้านกรูด เริ่มเป็นที่รับทราบของสังคมไทยตั้งแต่การปิดถนนเพชรเกษมประท้วงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเมื่อปลายปี
พ.ศ. ๒๕๔๐
การต่อสู้ในครั้งนั้นก็คล้ายคลึงกับการต่อสู้ของภาคประชาชนในที่อื่นๆ
คือ การแสดงจุดยืนของความไม่เห็นด้วยในการนำทรัพยากรของตน ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน
น้ำ สัตว์น้ำ หาดทราย และอากาศบริสุทธิ์ ไปใช้เพื่อการผลิตไฟฟ้า เพื่อตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้า
และสร้างผลกำไรของคนอีกกลุ่มหนึ่ง
การต่อสู้ในเบื้องต้นจึงถือเป็นการต่อสู้กับการเอารัดเอาเปรียบในการจัดสรรทรัพยากรในสังคม
ทั้งนี้ ก็เพื่อให้ตนเองได้มีโอกาสสืบทอดวิถีชีวิตของตนเองต่อไป
จากความพยายามในการแสดงจุดยืนของชาวบ่อนอก-บ้านกรูด ไม่ว่าจะโดยการยื่นหนังสือต่อหน่วยราชการต่างๆ การติดป้ายประท้วง หรือการปิดถนนประท้วง ในช่วงระยะหนึ่ง ก็ทำให้ชาวบ่อนอก-บ้านกรูด ได้รับรู้ถึงปัญหาในกระบวนการนโยบายสาธารณะอีกระดับหนึ่ง นั้นคือ การครอบงำการตัดสินใจของภาครัฐ โดยอาศัยกระบวนการและข้ออ้างทางเทคนิคต่างๆ หรืออาจเรียกว่า เป็นการข่มกันในการใช้เหตุผลเพื่อการตัดสินใจ
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ เมื่อชาวบ้านแสดงความกังวลถึงผลกระทบต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อมของตน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็จะอ้างถึงรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ได้รับความเห็นชอบแล้ว เมื่อชาวบ้านถามถึงความจำเป็นในการก่อสร้างโรงไฟฟ้า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็จะอ้างถึงแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า และเมื่อชาวบ้านถามถึงความเหมาะสมของสถานที่ตั้ง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็อ้างถึงวิสัยทัศน์ของการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันตก ที่กำหนดให้จังหวัดประจวบคีรีขันธ์เป็นแหล่งพลังงานและอุตสาหกรรมหนัก
ข้อเรียกร้องต่างๆ ของชาวบ่อนอกและบ้านกรูดจึงเป็นหมัน แต่แทนที่ชาวบ่อนอกและชาวบ้านกรูดจะหมดกำลังใจ ชาวบ่อนอกและบ้านกรูดกลับดิ้นรนยกระดับการต่อสู้ของตน มาสู่การต่อสู้กับการใช้เหตุผลข่มกันของภาครัฐ ซึ่งการต่อสู้ดังกล่าวจะกระทำได้ก็โดยผ่านการวิเคราะห์และตรวจสอบการใช้เหตุผลของภาครัฐ และการนำเสนอเหตุผลที่เหมาะสมกว่าสำหรับสังคมไทย
และนี่คือ จุดเริ่มต้นและพลังสำคัญที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ และความรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับกระบวนการนโยบายสาธารณะด้านพลังงานอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในสังคมไทยของเรา
การเรียนรู้ในกระบวนการนโยบายสาธารณะ
ชาวบ่อนอกและชาวบ้านกรูดเริ่มต้นกระบวนการเรียนรู้ของตน โดยการนำคำตอบที่ได้รับจากหน่วยงานต่างๆ
มาทำการวิเคราะห์ร่วมกัน โดยพิจารณาถึงความสมเหตุสมผลของข้อกล่าวอ้างต่างๆ และสภาพความจริงที่พวกตนได้รับรู้
(เช่นความสมบูรณ์ของทรัพยากรในพื้นที่ หรือกำลังการผลิตไฟฟ้าที่เกินพอ) ร่วมกับนักวิชาการและองค์กรพัฒนาเอกชนต่างๆ
จนนำมาสู่ข้อค้นพบต่างๆ มากมายที่กำลังพลิกโฉมนโยบายสาธารณะด้านพลังงานในปัจจุบัน
ข้อค้นพบแรก ที่สั่นสะเทือนวงการสิ่งแวดล้อมเมืองไทยคือ ความไม่ถูกต้องของรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการไม่พบปะการังที่บ้านกรูด หรือการไม่พบปลาวาฬที่บ่อนอกก็ตาม) ข้อค้นพบดังกล่าวไม่เพียงแต่ทำให้ต้องมีการแก้ไขรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมในสองโครงการนี้เท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากลของระบบการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม จนนำมาสู่การปฏิรูประบบการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมทั้งระบบ ที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๖
ข้อค้นพบที่สอง คือการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าที่ผิดพลาด โดยมีการคาดการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าที่สูงเกินจริง ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องให้มีการก่อสร้างโรงไฟฟ้า และมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเกินกว่าความต้องการ และกลายเป็นต้นทุนส่วนเกินที่ผู้บริโภคทุกคนจะต้องจ่ายผ่านทางค่า Ft ในแต่ละเดือน
ข้อค้นพบนี้ได้นำไปสู่การถกเถียงทางวิชาการถึงความเหมาะสมของ วิธีการ และข้อสมมติต่างๆ ในการพยากรณ์ และกลายเป็นเวทีถกเถียงในระดับนโยบายที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๕๔๔ จนในที่สุดในปี พ.ศ. ๒๕๔๕ รัฐบาลก็เลื่อนโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินทั้งสองออกไป และมีการทบทวนการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้า รวมถึงนโยบายการลดการใช้พลังงานในช่วงความต้องการสูงสุด (หรือที่รัฐมนตรีพลังงานท่านเรียกว่า Cut peak) ในปัจจุบัน ก็เป็นผลส่วนหนึ่งมาจากการถกเถียงในเวทีนี้เช่น
กัน
ข้อค้นพบที่สองนี่ยังกลายเป็น "ภาพต่อ" หรือจิกซอว์ตัวสำคัญที่นำไปสู่ความเข้าใจเรื่องวงจรหายนะของการวางแผนภาคพลังงานไทยกล่าวคือ วงจรดังกล่าวเริ่มต้นจาก(ก) การพยากรณ์เกินความเป็นจริง ซึ่งนำมาสู่
(ข) ภาระการลงทุนที่ไม่จำเป็น (คือหลีกเลี่ยงได้) และทำให้เกิด
(ค) การกระตุ้นให้มีการใช้พลังงานจากกำลังการผลิตที่ได้ลงทุนไปแล้ว ซึ่งก็จะย้อนมาสู่การใช้พลังงานที่ไม่ประสิทธิภาพ การพยากรณ์ที่เกินจริง และการลงทุนที่ไม่จำเป็นอีกต่อหนึ่งข้อค้นพบนี้นอกจากจะทำให้เกิดความเคลื่อนไหวที่จะปรับเปลี่ยนแนวทางการวางแผนพลังงานของไทยแล้ว เมื่อผนวกกับข้อเท็จจริงเรื่องภาระที่ผู้บริโภคต้องจ่ายค่า take-or-pay จากโครงการท่อก๊าซไทย-พม่า ยังมีส่วนช่วยเปลี่ยนแปลงความเชื่อเดิมๆ ที่ว่า การลงทุนใดๆ ล้วนเป็นสิ่งที่ดีต่อระบบเศรษฐกิจ มาสู่ความจริงที่ว่า "การลงทุนที่ไม่จำเป็นถือเป็นภาระของระบบเศรษฐกิจ"
ข้อค้นพบที่สำคัญประการสุดท้าย คือการชี้ให้เห็นว่า การตัดสินใจในการวางแผนพลังงานของไทย มิได้เกิดมาจากการวิเคราะห์ทางเลือกอย่างรอบด้าน พลังงานทางเลือกทั้งหลายล้วนมิได้อยู่ในกรอบของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ในการวางแผนกำลังการผลิตแต่ละครั้ง
แม้ว่าในระยะเริ่มต้น ข้อเรียกร้องของชาวบ่อนอกและบ้านกรูดที่ให้พิจารณาถึงทางเลือกอื่นๆ ที่มีความยั่งยืนมากกว่าในการผลิตพลังงาน จะถูกจำกัดเป็นให้เป็นการถกเถียงทางเทคนิคว่า พลังงานทางเลือก มีความเป็นไปได้ทางปฏิบัติหรือไม่ อย่างไรก็ดี ต่อมาไม่นาน ข้อเรียกร้องดังกล่าวก็ได้พัฒนามาสู่ความตื่นตัวในเชิงนโยบายการพัฒนาพลังงานทางเลือก และการพัฒนานโยบายพลังงานทางเลือกในปลายปี พ.ศ. ๒๕๔๖ ในที่สุด
การเรียนรู้ของชาวบ่อนอกและบ้านกรูด ร่วมกับภาคประชาสังคมต่างๆ ในสังคมไทย ได้ทำลายการผูกขาดทางวิชาการ (ซึ่งหมายถึง การข่มกันในการใช้เหตุผลของภาครัฐ) ในการกำหนดนโยบายและวางแผนพลังงานลง และได้นำสังคมไทยเข้าสู่กระบวนการไตร่ตรองทางนโยบายอย่างครบถ้วนรอบด้านมากขึ้น แทนที่จะปล่อยให้เป็นไปตามการตัดสินใจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแต่เพียงอย่างเดียว เหมือนที่ผ่านมา
การทำลายการผูกขาดในการใช้เหตุผล และการมีส่วนร่วมกันในการไตร่ตรองนโยบายที่จะมีผลกระทบต่อสาธารณะอย่างรอบด้านคือ เงื่อนไขที่สำคัญที่สุดของกระบวนการนโยบายสาธารณะในสังคมประชาธิปไตย
ความเคลื่อนไหวในปัจจุบัน
วันนี้ วงล้อแห่งการเรียนรู้และการผลักดันนโยบายสาธารณะทางด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมที่คุณเจริญ
วัดอักษร ชาวบ่อนอก-บ้านกรูด และคนเล็กคนน้อยทั้งหลายในสังคมไทยได้เริ่มผลักดันกันมา
ยังคงหมุนต่อไป และกำลังก้าวเข้าสู่อีกขั้นตอนหนึ่งหรืออีกระดับหนึ่งของการต่อสู้ในกระบวนการนโยบายสาธารณะ
วันนี้ไม่มีใครเถียงกันแล้วว่า เราจำเป็นต้องปรับปรุงระบบการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้โปร่งใส
และเปิดให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมอย่างเป็นธรรม นักวิชาการสิ่งแวดล้อมทั้งหลายต่างจับมือกันในการปรับปรุงระบบดังกล่าวอย่างเอาจริงเอาจัง
โดยรับฟังความเห็นจากทุกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง จนนำมาสู่ข้อสรุปร่วมกัน แต่ก็ยังไม่มีใครทราบว่า
ภาคการเมืองจะตัดสินใจอย่างไร และการปฏิรูปดังกล่าวจะมีผลในทางปฏิบัติเมื่อไร
วันนี้ ไม่มีใครเถียงกันอีกแล้วว่าประเทศไทยจะต้องพัฒนาพลังงานทางเลือกของเราขึ้นมา (โดยเฉพาะในยุคน้ำมันแพง) และเรามีศักยภาพที่จะทำได้จริงตามที่ชาวบ่อนอก-บ้านกรูดเสนอกันไว้จริงๆ รัฐบาลเองก็ได้ตั้งเป้าหมายการพัฒนาพลังงานทางเลือกไว้อย่างชัดเจนเช่นกัน
อย่างไรก็ดี รูปธรรมในทางปฏิบัติจะเป็นเช่นไร ยังเป็นสิ่งต้องต่อสู้กันต่อไป การกำหนดแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าฉบับใหม่ (หรือ PDP2004) ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ยังกำหนดเป้าหมายการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานทางเลือกไว้ต่ำกว่าเป้าหมายของรัฐบาล และการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานทางเลือกยังผูกติดกับการขยายตัวของโรงไฟฟ้าแบบเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ (ฟอสซิล) กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ หากไม่มีการขยายตัวของโรงไฟฟ้าแบบเดิมก็ไม่มีการขยายตัวของพลังงานทางเลือก
วันนี้ไม่มีใครเถียงกันอีกแล้วว่า การลงทุนที่เกินความจำเป็นจะเป็นภาระต่อเศรษฐกิจของประเทศ (นายกรัฐมนตรีเองก็ยังบอกว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ลงทุนเกินความจำเป็นไปสี่แสนล้านบาท) แต่การพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าก็ยังเกินกว่าความเป็นจริงเสมอมา แม้กระทั่ง ล่าสุดในปีนี้ ก็ยังพยากรณ์คลาดเคลื่อนไป ๒๐๐ กว่าเมกะวัตต์ แต่การไฟฟ้าฯก็ปฏิเสธที่จะปรับปรุงแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของตน
วันนี้ไม่มีใครเถียงกันอีกแล้วว่า การวางแผนพลังงานจะต้องเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้มีส่วนร่วมกันในการพิจารณาอย่างรอบด้าน แต่แผนทางเลือกในการพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าที่ภาคประชาชนเสนอเข้ามาผ่านทางสภาที่ปรึกษาฯ (ซึ่งน่าจะช่วยลดภาระในการลงทุนของสังคมไทยได้หลายแสนล้านบาท) ก็ยังไม่มีเวทีสำหรับการพิจารณาเปรียบเทียบกันอย่างจริงจัง กับแผนพัฒนากำลังการผลิตที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ทำขึ้นมา
ความท้าทายสำหรับอนาคต
จากวันนั้น เมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๕๔๐ มาถึงวันนี้ ในปี พ.ศ. ๒๕๔๗ กระบวนการเรียนรู้ที่คุณเจริญและคนเล็กคนน้อยทั้งหลายได้ร่วมพัฒนากันขึ้นมา
ได้กลายเป็น "ชุดความคิด" ที่สามารถใช้อธิบายในกระบวนการกำหนดนโยบายสาธารณะด้านพลังงาน
โดยไม่ถูกใครๆ ในสังคม "ข่ม" ได้ง่ายๆ อีกต่อไปแล้ว
อย่างไรก็ดี แม้ว่าภาครัฐจะไม่สามารถผูกขาดความคิดเห็น และข่มชุดความคิดของภาคประชาชนได้ แต่สิ่งที่ภาครัฐที่มีฐานความคิดเดิมทำได้และกำลังทำอยู่คือ การยึดกุมหรือการผูกขาดในทางปฏิบัติ โดยถือเป็นอำนาจหน้าที่และสิทธิขาดของภาครัฐเท่านั้น และนี่เป็นอีกขั้นตอนหนึ่งของการต่อสู้ในกระบวนการนโยบายสาธารณะของภาคประชาชน นั่นคือ ความยากลำบากในการผลักดันชุดความคิดของตน (ซึ่งสามารถถกเถียงกับชุดความคิดเดิมได้อย่างทัดเทียมกันแล้ว) ให้ไปสู่ชุดของการปฏิบัติการจริงในวงกว้าง ภายใต้การกำกับดูแลร่วมกันของคนในสังคม
คำอธิบายนี้น่าจะใช้ได้กับกรณี พรบ. ป่าชุมชน พรบ.สุขภาพแห่งชาติ การพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืน และอื่นๆ อีกมาก ซึ่งภาครัฐเองก็มิได้มีการถกเถียงต่อสู้ทางความคิดอีกแล้ว (เพราะคงจะปฏิเสธชุดความคิดเหล่านี้ไม่ได้) แต่ความคิดเหล่านี้ก็ยังถูกภาครัฐ "ดองเค็ม" เอาไว้เฉยๆ เพื่อไม่ให้มีผลทางปฏิบัติ หรือขยายตัวต่อไป
ทั้งนี้ มิได้หมายความว่า การต่อสู้ในระดับของชุดความคิดจะจบลงอย่างถาวร ดังจะเห็นได้ว่า ทุกๆ ฤดูร้อน จะมีผู้แทนของหน่วยงานรัฐออกมาประกาศว่ามีการทำลายสถิติ ความต้องการไฟฟ้าสูงสด เพื่อหาความชอบธรรมในการขยายกำลังการผลิตใหม่ต่อไป แบบไม่สิ้นสุด ยิ่งไปกว่านั้น การถูกปิดกั้นมิให้มีการขยายตัวในการปฏิบัติตามชุดความคิดใหม่ ยังถือเป็นการบอนไซชุดความคิดของภาคประชาชนโดยทางอ้อมอีกด้วย
การสืบทอดเจตนารมณ์ของคุณเจริญ วัดอักษร ในห้วงเวลานี้ จึงเป็นการสืบทอดกระบวนการเรียนรู้ของชาวบ่อนอกและบ้านกรูด เพื่อต่อรองและแปรกลไกการปฏิบัติที่อยู่ในมือของภาครัฐที่มีฐานความคิดเดิม ให้มาอยู่ในการกำกับดูแลของสังคมให้มากที่สุด ขณะเดียวกัน ก็ต้องเพิ่มพูนขีดความสามารถของภาคประชาชน (รวมถึงนักวิชาการ นักศึกษา และองค์พัฒนาเอกชน) ให้มีความพร้อมในการปฏิบัติดังกล่าวแทนหรือร่วมกับภาครัฐ
การวางแผนพลังงานระดับท้องถิ่น การนำเสนอแผนทางเลือกในการพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า การประเมินผลกระทบโดยภาคประชาชน การสร้างนโยบายพลังงานทางเลือก ล้วนเป็นตัวอย่างของปฏิบัติการทางสังคมที่จะแปรชุดความคิดไปสู่การปฏิบัติในวงกว้างยิ่งขึ้น และมีการดำเนินการกันอยู่อย่างจริงจังในปัจจุบัน
แม้ว่า ขั้นตอนที่ภาคประชาชนกำลังเผชิญอยู่นี้จะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่ด้วยกระบวนการเรียนรู้ที่คุณเจริญและชาวบ่อนอก-บ้านกรูดได้บุกเบิกมา ย่อมเป็นแสงสว่างนำทางพวกเรา ให้มองเห็นเป้าหมายและทิศทางที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน เมื่อ ๗ ปีที่แล้ว
ไปสู่สุคติเถิด "เจริญ วัดอักษร" ภารกิจที่เหลืออยู่ พวกเราจะสานต่อเอง
(บทความนี้เขียนขึ้นตั้งแต่ปี พศ. ๒๕๔๗)
คลิกไปที่ กระดานข่าวธนาคารนโยบายประชาชน
นักศึกษา
สมาชิก และผู้สนใจบทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ก่อนหน้านี้ สามารถคลิกไปอ่านได้โดยคลิกที่แบนเนอร์
ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา 3 I สารบัญเนื้อหา
4
I สารบัญเนื้อหา
5 I สารบัญเนื้อหา
6
ประวัติ
ม.เที่ยงคืน
สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง
e-mail :
midnightuniv(at)gmail.com
หากประสบปัญหาการส่ง
e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com
ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ทั้งหมด
กว่า 1200 เรื่อง หนากว่า 20000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com
สมเกียรติ
ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็บไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ
ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com