โครงการก้าวสู่คริสตศตวรรษที่ ๒๑ ด้วยการทบทวนประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา




Update 26 Jun 2007
Copyleft2007
บทความทุกชิ้นที่นำเสนอบนเว็บไซต์นี้เป็นสมบัติสาธารณะ และขอประกาศสละลิขสิทธิ์ให้กับสังคม
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนเปิดรับบทความทุกประเภท ที่ผู้เขียนปรารถนาจะเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน โดยบทความทุกชิ้นต้องยินดีสละลิขสิทธิ์ให้กับสังคม สนใจส่งบทความ สามารถส่งไปได้ที่ midnightuniv(at)gmail.com โดยกรุณาใช้วิธีการ attach file
H
บทความลำดับที่ ๑๒๘๘ เผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ตั้งแต่วันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๐ (June, 26, 06,.2007) - ไม่สงวนลิขสิทธิ์ในการใช้ประโยชน์
R
power-sharing formulas, options for minority rights, and constitutional safeguards.

บรรณาธิการแถลง: บทความทุกชิ้นซึ่งได้รับการเผยแพร่บนเว็บไซต์แห่งนี้ มุ่งเพื่อประโยชน์สาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อวัตถุประสงค์ในการขยายพรมแดนแห่งความรู้ให้กับสังคมไทยอย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ยังมุ่งทำหน้าที่เป็นยุ้งฉางเล็กๆ แห่งหนึ่งสำหรับเก็บสะสมความรู้ เพื่อให้ทุกคนสามารถหยิบฉวยไปใช้ได้ตามสะดวก ในฐานะที่เป็นสมบัติร่วมของชุมชน สังคม และสมบัติที่ต่างช่วยกันสร้างสรรค์และดูแลรักษามาโดยตลอด. สำหรับผู้สนใจร่วมนำเสนอบทความ หรือ แนะนำบทความที่น่าสนใจ(ในทุกๆสาขาวิชา) จากเว็บไซต์ต่างๆ ทั่วโลก สามารถส่งบทความหรือแนะนำไปได้ที่ midnightuniv(at)gmail.com (กองบรรณาธิการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน: ๒๘ มกาคม ๒๕๕๐)

ในการศึกษาประวัติศาสตร์จีนก็คือ สถานภาพที่แตกต่างกันระหว่างสตรีชาวฮั่นกับสตรีชาว มองโกลและแมนจู ส่งผลให้บทบาทของสตรีเหล่านั้น พลอยแตกต่างกันไปด้วย ชาวจีนฮั่นอาศัยอยู่ในเขตที่สามารถทำการเกษตรและยังชีพได้ตลอดปี โดยไม่ต้องย้ายถิ่นฐานบ่อยๆ การเป็นสังคมที่ไม่ต้องอพยพบ่อย ได้ทำให้ในที่สุดแล้วสตรีชาวฮั่นถูกจำกัดบทบาทแต่เฉพาะภายในเขตที่พักอาศัยของตนเอง โดยรับผิดชอบงานบ้านเป็นหลัก และเพื่อป้องกันไม่ให้สตรีกระทำการใดๆ นอกขอบเขตที่พักอาศัยของตน ประเพณีการมัดเท้าของสตรีชาวฮั่นจึงได้เริ่มขึ้น
26-06-2550

Sinicization
Midnight University

 

H
R
ทุกท่านที่ประสงค์จะติดต่อมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน กรุณาจดหมายไปยัง email address ใหม่ midnightuniv(at)gmail.com
-Free Documentation License-
Copyleft : 2007, 2008, 2009
Everyone is permitted to copy
and distribute verbatim copies
of this license
document, but
changing it is not allowed.

รวมบทความเกี่ยวกับประวัติศาสตร์จีน และทิศทางของจีนร่วมสมัย
จากแมนจูกลายเป็นจีน ซูสีไทเฮา ถึงน้ำมันในแอฟริกา
สิทธิพล เครือรัฐติกาล : เขียน
วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต

บทความวิชาการนี้ กองบรรณาธิการฯ นำมาจากกระดานข่าวมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ซึ่งเป็นบทความขนาดสั้น ๓ เรื่อง เกี่ยวกับประวัติศาสตร์การเมืองของจีน
รวมถึงนโยบายต่างประเทศจีนร่วมสมัย ที่ให้ภาพความเข้าใจและการวิเคราะห์ในมุมมอง
ที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง
การปรับตัวให้กลายเป็นจีนของราชวงศ์ชิง
เรื่อง พระนางซูสีไทเฮาในวัฒนธรรมทางการเมืองของราชวงศ์ชิง และ
เรื่องเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศ และความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับแอฟริกา
midnightuniv(at)gmail.com

บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา
ข้อความที่ปรากฏบนเว็บเพจนี้ ได้รักษาเนื้อความตามต้นฉบับเดิมมากที่สุด
เพื่อนำเสนอเนื้อหาตามที่ผู้เขียนต้องการสื่อ กองบรรณาธิการเพียงเว้นวรรค และย่อหน้าใหม่
เพื่อให้เหมาะสมกับการนำเสนอบนเว็บเพจ
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนเท่านั้น

บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ ๑๒๘๘
เผยแพร่บนเว็บไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๐
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ ๑๐ หน้ากระดาษ A4)

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

รวมบทความเกี่ยวกับประวัติศาสตร์จีน และทิศทางของจีนร่วมสมัย
จากแมนจูกลายเป็นจีน ซูสีไทเฮา ถึงน้ำมันในแอฟริกา
สิทธิพล เครือรัฐติกาล : เขียน
วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต


1. วิพากษ์ "การปรับตัวให้กลายเป็นจีน" ของราชวงศ์ชิง

นอกจากแมนจูซึ่งปกครองจีนได้นานถึง ๓๐๐ ปีด้วยชั้นเชิงเล่ห์เหลี่ยมที่ดีมากแล้ว ยังพยายามปรับปรุงตนเองให้เข้ากับจีนได้ด้วย แต่ก็โดยการปรับปรุงตนให้เข้ากับจีนได้จริงๆเกินไป ผลที่สุดตนเองก็เลยกลายเป็นจีนไปจริงๆ พูดภาษาจีน ใช้หนังสือจีนและขนบธรรมเนียมจีน เมื่อแมนจูยกราชบัลลังก์ให้แก่สาธารณรัฐจีนนั่น แมนจูคงเหลือแต่เสื้อกางเกงชุดเดียวที่เป็นของแมนจู นอกนั้นก็คือคนจีนดีๆนี่เอง
ล.เสถียรสุต

คำถามสำคัญประการหนึ่งของผู้ที่ศึกษาประวัติศาสตร์ราชวงศ์ชิงก็คือ เหตุใด "อนารยชน" อย่างชาวแมนจู ผู้ซึ่งในต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗ ยังไม่มีแม้กระทั่งตัวอักษรเป็นของตนเอง สามารถสถาปนาราชวงศ์ชิงและปกครองประเทศจีนได้เป็นระยะเวลายาวนานกว่า ๒๖๗ ปี (ค.ศ. ๑๖๔๔-๑๙๑๑) คำอธิบายทั่วไปเกี่ยวกับความสำเร็จของราชวงศ์ชิงก็คือ ชนชั้นปกครองชาวแมนจูมิได้ปกครองชาวฮั่นด้วยแสนยานุภาพทางทหารแต่เพียงอย่างเดียว หากแต่ได้พยายามปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมชาวฮั่นจนกลายเป็นจีน (Sinicization) ไม่ว่าจะเป็นระบบราชการที่ยังคงยึดแบบอย่างจากราชวงศ์หมิง การเปิดโอกาสให้ชาวฮั่นเข้ารับราชการและเลื่อนขั้นสู่ตำแหน่งระดับสูงได้ การที่ภาษาจีนยังคงเป็นภาษาที่ใช้ในงานราชการควบคู่ไปกับภาษาแมนจู การที่จักรพรรดิแมนจูยังคงปฏิบัติหน้าที่โอรสแห่งสวรรค์ด้วยการประกอบพิธีบูชาฟ้าที่หอเทียนถานตามแบบจักรพรรดิชาวฮั่น เป็นต้น

ถ้าไม่นับการที่ราชวงศ์ชิงบังคับให้ชายชาวฮั่นทุกคนต้องโกนผมด้านหน้าออกและไว้เปียด้านหลังแล้ว ถือได้ว่าการเข้ามาของแมนจูนั้น ส่งผลกระทบต่อระเบียบทางการเมืองและสังคมของจีนน้อยมาก ทำให้ราชวงศ์ชิงมีความยั่งยืนกว่าราชวงศ์หยวนของชาวมองโกลซึ่งปกครองจีน "บนหลังม้า" ได้เพียง ๙๒ ปีเท่านั้น (ค.ศ. ๑๒๗๖-๑๓๖๘) คำอธิบายเช่นนี้พบได้ทั่วไปในหมู่ผู้ศึกษาเรื่องจีนทั้งในโลกตะวันออกและตะวันตก

อย่างไรก็ตามถ้าเราพิจารณาถึงสภาพการณ์ของราชวงศ์ชิงอย่างละเอียดแล้วจะพบว่า แนวคิดเรื่องการปรับตัวให้กลายเป็นจีน (Sinicization) ไม่อาจอธิบายความสำเร็จของราชวงศ์ชิงได้อย่างสมบูรณ์ ราชวงศ์ชิงนั้นแตกต่างไปจากราชวงศ์อื่นๆ ของจีนในแง่ที่ว่า ถ้าไม่นับราชวงศ์หยวนของชาวมองโกลแล้ว อาณาเขตการปกครองของราชวงศ์ชิงนับว่ากว้างใหญ่ไพศาลกว่าราชวงศ์ใดๆ ในประวัติศาสตร์จีน ใน ค.ศ. ๑๖๔๔ ที่กองทัพแมนจูบุกยึดกรุงปักกิ่งนั้น อำนาจการปกครองของราชวงศ์ชิงยังจำกัดอยู่เพียงตอนบนของแม่น้ำฉางเจียงเท่านั้น ตราบจนเมื่อจักรพรรดิคังซีทรงดำเนินการปราบกบฏสามเจ้าศักดินา และทำสงครามรวมเกาะไต้หวันได้สำเร็จในต้นทศวรรษ ๑๖๘๐ อำนาจการปกครองของพระองค์จึงขยายไปตลอดชายฝั่งทะเลตอนใต้และมณฑลหยุนหนาน

ต่อมาเมื่อถึงทศวรรษ ๑๖๙๐ ราชวงศ์ชิงสามารถปราบพวกมองโกลเผ่าจุงการ์ (Zunghar) ได้สำเร็จ และได้เริ่มสถาปนาอำนาจการปกครองเหนือทิเบต ชิงไห่ และซินเจียงในกลางคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่จีนสามารถสถาปนาอำนาจการปกครองเหนือดินแดนเหล่านี้ ราชวงศ์ชิงจึงมีลักษณะที่พิเศษไปจากราชวงศ์ก่อนๆ ของจีน นั่นคือการเป็นจักรวรรดิหลายชาติพันธุ์ (multiethnic empire) อันประกอบไปด้วยกลุ่มชนใหญ่ๆ คือ ฮั่น แมนจู มองโกล ทิเบต และมุสลิม

การที่ราชวงศ์ชิงในกลางคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลและครอบคลุมชนหลายชาติพันธุ์ นำมาซึ่งความท้าทายต่อสถาบันจักรพรรดิของจีน กล่าวคือ หลักความเชื่อของชาวจีนที่ว่าจักรพรรดิเป็นโอรสแห่งสวรรค์ (เทียนจื่อ) ผู้ได้รับอาณัติจากสวรรค์ (เทียนมิ่ง) ให้มาปกครองโลกมนุษย์นั้น ไม่อาจนำไปปรับใช้ได้กับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ที่มีวัฒนธรรมและคติความเชื่อเกี่ยวกับผู้นำที่แตกต่างออกไป ดังนั้นจักรพรรดิราชวงศ์ชิงจึงต้องพยายามสร้างอัตลักษณ์ (identity) ของพระองค์เองให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมและคติความเชื่อของชนชาติพันธุ์นั้นๆ

ตัวอย่างงานที่ศึกษาในเรื่องนี้คือหนังสือของ Evelyn S. Rawski เรื่อง The Last Emperors: A Social History of Qing Imperial Institution ด้วยเหตุนี้ แนวคิดว่าด้วยการปรับตัวให้กลายเป็นจีน (Sinicization) จึงสามารถอธิบายความสำเร็จของจักรพรรดิแมนจูได้เพียงส่วนเดียว นั่นคือ ความสำเร็จในการปกครองชาวจีนฮั่น หากแต่ไม่อาจอธิบายความสำเร็จในการปกครองชนชาติพันธุ์อื่นๆ ที่อยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์ชิงได้

จักรพรรดิเฉียนหลงผู้ปกครองจีนระหว่าง ค.ศ. ๑๗๓๕-๑๗๙๕ อันเป็นช่วงที่ราชวงศ์ชิงขึ้นสู่จุดสูงสุดของอำนาจ เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนในการสร้างอัตลักษณ์ของพระองค์ ให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมและคติความเชื่อของกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ภายใต้การปกครองของพระองค์. ในด้านความสัมพันธ์กับชาวมองโกล จักรพรรดิเฉียนหลงทรงพยายามแสดงพระองค์เป็นนักรบบนหลังม้า ในการเสด็จแปรพระราชฐานไปล่าสัตว์ที่เมืองเฉิงเต๋อ (Chengde) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงปักกิ่ง พระองค์มักจะเชิญผู้นำเผ่ามองโกลมาร่วมงานด้วย พระราชวังหลบร้อนเมืองเฉิงเต๋อจึงกลายเป็นสถานที่ที่จักรพรรดิและชนชั้นนำชาวแมนจู ได้แสดงความสามารถทางการรบให้เป็นที่ประจักษ์แก่ผู้นำชาวมองโกล และทำให้ชาวมองโกลซึ่งมีวัฒนธรรมยกย่องผู้มีความสามารถทางการรบนั้น ยอมรับความชอบธรรมในการเป็นผู้นำของจักรพรรดิราชวงศ์ชิง ดังนั้นในสายตาของผู้นำชาวมองโกล จักรพรรดิเฉียนหลงจึงเปรียบเสมือน "ข่านผู้อยู่เหนือข่านทั้งปวง"

ส่วนความสัมพันธ์กับทิเบต ราชวงศ์ชิงให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เนื่องด้วยศาสนาพุทธแบบทิเบตนั้นเผยแผ่ไปถึงชาวมองโกล ดังนั้นถ้าราชวงศ์ชิงมีความสัมพันธ์อันดีกับลามะของทิเบต บรรดาลามะก็จะคอยใช้หลักการของพระพุทธศาสนาเกลี้ยกล่อมมิให้พวกมองโกลกระทำการที่ก้าวร้าวต่อราชวงศ์ชิง จักรพรรดิเฉียนหลงทรงแสดงพระองค์เป็นพุทธศาสนูปถัมภกในหลายด้าน เช่น การสร้างพระราชวังโปตาลา (Potala) องค์จำลองขึ้น ณ เมืองเฉิงเต๋อ โดยเลียนแบบมาจากพระราชวังโปตาลาของทะไลลามะที่นครลาซา ทรงยกพระตำหนักยงเหอกง (Yonghegong) ในกรุงปักกิ่งอันเป็นที่ประทับเดิมของพระราชบิดาให้เป็นวัดลามะอีกด้วย ฝ่ายลามะจึงได้ตอบแทนการอุปถัมภ์ของจักรพรรดิเฉียนหลงด้วยการขนานนามพระองค์ว่า "พระโพธิสัตว์มัญชูศรี" (Manjusri) ดังปรากฏออกมาเป็นภาพวาดของพระองค์ในเครื่องแต่งกายแบบพระโพธิสัตว์องค์ดังกล่าว ดังนั้นในสายตาชาวทิเบต จักรพรรดิเฉียนหลงทรงเป็นผู้นำทั้งฝ่ายอาณาจักรและศาสนจักร กล่าวคือ ทรงเป็นทั้ง "ธรรมราชา" และ "พระโพธิสัตว์"

ในสายตาของจักรพรรดิราชวงศ์ชิง การทูตมีความสำคัญเป็นอย่างมากในการสร้างความจงรักภักดีที่กลุ่มชนต่างๆ จะมีต่อพระองค์. หนังสือของ Rawski ได้อ้างงานของนักวิชาการจีนอย่าง Yuan Hongqi ซึ่งให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า จักรพรรดิเฉียนหลงทรงพยายามศึกษาภาษาอื่นๆ เพิ่มเติมนอกเหนือไปจากภาษาจีนและภาษาแมนจู โดยทรงเริ่มศึกษาภาษามองโกล ภาษาอุยกูร์ และภาษาทิเบตใน ค.ศ. ๑๗๔๓ ค.ศ. ๑๗๖๐ และ ค.ศ. ๑๗๗๖ ตามลำดับ ทำให้ทรงสามารถต้อนรับคณะทูตจากเอเชียตอนใน (Inner Asia) ได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้ล่ามในการแปล

จักรพรรดิราชวงศ์ชิงมักใช้พระราชวังเมืองเฉิงเต๋อ ในการต้อนรับคณะฑูตจากดินแดนเหล่านี้แทนกรุงปักกิ่ง ซึ่งมีข้อจำกัดตรงที่มีการวางผังเมืองตามแบบชาวจีนฮั่นที่ค่อนข้างตายตัวมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิงแล้ว ต่างจากเฉิงเต๋อ ซึ่งมีทั้งสถานที่ล่าสัตว์และวัดแบบทิเบต อันเหมาะกับการที่จักรพรรดิจะทรงแสดงความเป็นนักรบ และพุทธศาสนูปถัมภกให้ชาวมองโกลและชาวทิเบตได้ประจักษ์ ทั้งหมดนี้คือวิธีการของจักรพรรดิที่จะให้กลุ่มชนต่างๆ ยอมรับความเป็นใหญ่ของราชวงศ์ชิง

จะเห็นได้ว่าแนวคิดเรื่องการปรับตัวให้กลายเป็นจีน (Sinicization) สามารถอธิบายได้เพียงความสำเร็จของราชวงศ์ชิงในการปกครองชาวจีนฮั่นเท่านั้น ส่วนความสำเร็จในการปกครองชนชาติพันธุ์อื่นๆ มาจากการที่จักรพรรดิแมนจูสามารถหาวิธีการและสร้างอัตลักษณ์ของพระองค์ ให้สอดคล้องกับพื้นฐานวัฒนธรรมของชนกลุ่มนั้นๆ

ด้วยเหตุนี้ การทำความเข้าใจต่อการเป็นจักรวรรดิหลายชาติพันธุ์ของราชวงศ์ชิงจึงมีความสำคัญ และอาจเป็นเครื่องมือในการมองนโยบายชนชาติส่วนน้อยของสาธารณรัฐประชาชนจีนในปัจจุบันได้อีกด้วย เพราะทั้งสาธารณรัฐจีน (ค.ศ. ๑๙๑๒-๑๙๔๙) และสาธารณรัฐประชาชนจีน (ค.ศ. ๑๙๔๙-ปัจจุบัน) ต่างเป็นผู้รับมรดกของการเป็น "จักรวรรดิหลายชาติพันธุ์" ต่อจากจักรพรรดิราชวงศ์ชิง

2. พระนางซูสีไทเฮาในวัฒนธรรมทางการเมืองของราชวงศ์ชิง



พระนางซูสีไทเฮา (ค.ศ. 1835 - ค.ศ. 1908) เป็นสตรีที่มีบทบาททางการเมืองอย่างมากในช่วงทศวรรษท้ายๆ ของราชวงศ์ชิง พระนางคือผู้ปกครองจีนหลังม่าน ตลอดรัชสมัยจักรพรรดิถงจื้อ (ค.ศ. 1861 - ค.ศ. 1875) ผู้เป็นพระราชโอรส และต่อเนื่องมาจนสิ้นรัชสมัยจักรพรรดิกวางสู (ค.ศ. 1875 - ค.ศ. 1908) ผู้เป็นพระราชโอรสบุญธรรม และก่อนที่พระนางจะสิ้นพระชนม์ก็ได้แต่งตั้งให้เจ้าชายผู่อี๋ ขึ้นครองราชสมบัติเป็นจักรพรรดิซวนถ่ง (ค.ศ. 1908 - ค.ศ. 1912) อันเป็นรัชกาลสุดท้ายของระบอบจักรพรรดิจีนที่ยาวนานมาหลายพันปี

บทบาททางการเมืองที่ยาวนานกว่าครึ่งศตวรรษของพระนาง มักได้รับการเปรียบเทียบกับบทบาทของพระนางอู่เจ๋อเทียน (ค.ศ. 627 - ค.ศ. 705) พระมเหสีของจักรพรรดิเกาจง แห่งราชวงศ์ถัง ต่างกันแต่เพียงว่าพระนางซูสีไทเฮานั้น แสดงบทบาทเป็น "อำนาจหลังราชบัลลังก์" หากแต่พระนางอู่เจ๋อเทียนนั้น สามารถก้าวขึ้นมาเป็นจักรพรรดิหญิงพระองค์เดียวในประวัติศาสตร์จีนได้สำเร็จใน ค.ศ. 690

ช่วงเวลาที่พระนางซูสีไทเฮามีบทบาททางการเมืองอยู่นั้น ตรงกับยุคหลังสงครามฝิ่นและสนธิสัญญานานกิง อันเป็นจุดเริ่มต้นของยุคแห่งความอัปยศอดสูของจีน จีนต้องเผชิญทั้งความวุ่นวายภายในและการรุกรานจากภายนอก ไม่ว่าจะเป็นสงครามฝิ่นครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1856 - ค.ศ. 1860) กบฏไท่ผิง (ค.ศ. 1851 - ค.ศ. 1864) สงครามจีน-ฝรั่งเศส (ค.ศ. 1884) สงครามจีน-ญี่ปุ่น (ค.ศ. 1894 - ค.ศ. 1895) กรณีนักมวยและการที่แปดชาติมหาอำนาจบุกยึดกรุงปักกิ่ง (ค.ศ. 1900) โดยมองกันว่า พระนางซูสีไทเฮาเป็นตัวการสำคัญที่นำความหายนะมาสู่แผ่นดิน

ไม่ว่าจะเป็นการที่พระนางเจียดเอางบประมาณกองทัพเรือ ไปใช้ในการบูรณะพระราชวังฤดูร้อนอี๋เหอหยวน เพื่อให้ตนเองได้ใช้พักผ่อนหย่อนใจ จนทำให้กองทัพเรือจีนต้องพ่ายแพ้แก่ญี่ปุ่น หรือการที่พระนางขัดขวางการปฏิรูปประเทศของจักรพรรดิกวางสู และนำจีนไปสู่ความหายนะด้วยการสนับสนุนพวกนักมวยเพื่อต่อต้านอิทธิพลต่างชาติ เป็นต้น. อย่างไรก็ตาม ถ้าเราพิจารณาถึงบทบาททางการเมืองของพระนางในฐานะพระราชวงศ์ฝ่ายใน โดยตัดประเด็นเรื่องความวุ่นวายจากภายในและภายนอกประเทศออกไปแล้ว จะพบว่า บทบาทของพระนางนั้นมิได้เป็นสิ่งที่ผิดปกติแต่อย่างใดสำหรับพระราชวงศ์ฝ่ายในชาวแมนจู

ข้อควรสังเกตประการหนึ่งในการศึกษาประวัติศาสตร์จีนก็คือ สถานภาพที่แตกต่างกันระหว่างสตรีชาวฮั่นกับสตรีชาว "อนารยชน" อย่างมองโกลและแมนจู ส่งผลให้บทบาททางการเมืองของสตรีเหล่านั้น พลอยแตกต่างกันไปด้วย ชาวจีนฮั่นอาศัยอยู่ในเขตที่สามารถทำการเกษตรและยังชีพได้ตลอดปี โดยไม่ต้องย้ายถิ่นฐานบ่อยๆ (ยกเว้นเกิดภัยธรรมชาติอย่างรุนแรง) การเป็นสังคมที่ไม่ต้องอพยพบ่อย ได้ทำให้ในที่สุดแล้วสตรีชาวฮั่นถูกจำกัดบทบาทแต่เฉพาะภายในเขตที่พักอาศัยของตนเอง โดยรับผิดชอบงานบ้านเป็นหลัก และเพื่อป้องกันไม่ให้สตรีกระทำการใดๆ นอกขอบเขตที่พักอาศัยของตน ประเพณีการมัดเท้าของสตรีชาวฮั่นจึงได้เริ่มขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 10 และปฏิบัติสืบต่อกันมานานกว่า 1,000 ปี. พระราชวงศ์ฝ่ายในสมัยราชวงศ์ซ่ง (ค.ศ. 960 - ค.ศ. 1279) และราชวงศ์หมิง (ค.ศ. 1368 - ค.ศ. 1644) มีบทบาทส่วนใหญ่จำกัดอยู่เฉพาะในเขตพระราชฐานชั้นในเท่านั้น

ในทางตรงกันข้าม สังคมของ "อนารยชน" อย่างชาวมองโกลและแมนจูนั้น เป็นสังคมทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ที่มีการอพยพไปตามฤดูกาล สตรีในสังคมดังกล่าวจึงมิอาจอยู่กับที่ได้ ดังนั้นพวกเธอจึงไม่ถูกจำกัดบทบาทเฉกเช่นสตรีชาวฮั่น และยิ่งถ้าเป็นพระราชวงศ์ฝ่ายใน ก็มักจะได้เข้ามาแสดงบทบาททางการเมืองอีกด้วย ถ้าเราพิจารณาประวัติศาสตร์สมัยราชวงศ์หยวน (ค.ศ. 1206 - ค.ศ. 1368) ที่สถาปนาโดยชาวมองโกลแล้วจะพบว่า ได้มีจักรพรรดินีขึ้นปกครองประเทศในช่วงที่เกิดสุญญากาศทางการเมืองหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดินีไหน่หม่าเจิน (ค.ศ. 1241 - ค.ศ. 1245) จักรพรรดินีไห่หมี่ซื่อ (ค.ศ. 1248 - ค.ศ. 1250) และจักรพรรดินีเสี้ยนจง (ค.ศ. 1250 - ค.ศ. 1259)

ต่อมาในสมัยราชวงศ์ชิง (ค.ศ. 1644 - ค.ศ. 1912) สตรีชาวแมนจูก็มีอิสระมากกว่าสตรีชาวฮั่น พวกเธอไม่ต้องมัดเท้า พระราชวงศ์ฝ่ายในสมัยราชวงศ์ชิงมีอิสระในการออกสู่สาธารณชนมากกว่าสมัยราชวงศ์ซ่งและราชวงศ์หมิง และมิต้องจำกัดตนเองอยู่แต่ในพระราชฐานชั้นใน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือเจ้าหญิงเหอเสี้ยว พระราชธิดาองค์ที่ 10 ในจักรพรรดิเฉียนหลง (ค.ศ. 1735 - ค.ศ. 1795) เจ้าหญิงองค์ดังกล่าวนิยมการขี่ม้า และได้ตามเสด็จพระราชบิดาไปล่าสัตว์เป็นประจำ นอกจากเสรีภาพนอกเขตพระราชฐานชั้นในแล้ว วัฒนธรรมทางการเมืองของชาวแมนจู ยังได้อนุญาตให้พระราชวงศ์ฝ่ายในเข้ามามีบทบาทในยามที่เกิดวิกฤตหรือสุญญากาศทางการเมืองอีกด้วย ตัวอย่างที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้รวม 2 กรณี จะช่วยให้เราเข้าใจประเด็นดังกล่าวชัดเจนยิ่งขึ้น

กรณีแรก เกิดขึ้นใน ค.ศ. 1626 เมื่อจักรพรรดิเทียนมิ่ง หรือนูร์ฮาชือ สิ้นพระชนม์ลงโดยมิได้ทรงตั้งรัชทายาท หากแต่ในที่สุดแล้วพระราชโอรสองค์ที่ 8 นามว่าหวงไท่จี๋ ได้ยึดอำนาจด้วยการบังคับให้พระราชชายา ของพระราชบิดา นามว่า อาปา ไห้ฆ่าตัวตาย จากนั้นพระองค์จึงขึ้นครองราชสมบัติเป็นจักรพรรดิเทียนชง. งานศึกษาของ Evelyn S. Rawski (1998) เรื่อง The Last Emperor: A Social History of Qing Imperial Institutions ได้ชี้ให้เห็นถึงสาเหตุที่หวงไท่จี๋ต้องบังคับให้อาปาไห้ทำเช่นนี้ เพราะว่า หากพระนางยังมีพระชนม์ชีพอยู่ต่อไป พระนางอาจจะใช้สิทธิธรรมทางการเมืองตามประเพณีแมนจู กำหนดให้พระโอรสของพระนางนามว่า ตัวเอ่อร์คุน เป็นผู้สืบราชสมบัติ

กรณีที่สอง เกิดขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1820 และเกี่ยวข้องกับการสืบราชสมบัติเช่นเดียวกับกรณีแรก กล่าวคือ จักรพรรดิเจียชิ่ง ได้สิ้นพระชนม์ลงอย่างกะทันหันที่พระราชวังหลบร้อนเมืองเฉิงเต๋อ ตามธรรมเนียมปฏิบัติที่จักรพรรดิยงเจิ้ง ได้กำหนดไว้เมื่อ ค.ศ. 1723 นั้น จักรพรรดิจะทรงเขียนชื่อผู้สืบราชสมบัติใส่ไว้ในกล่อง แล้วนำกล่องนั้นไปซ่อนไว้หลังป้ายเจิ้งต้ากวางหมิง (ในท้องพระโรงพระตำหนักเฉียนชิง ในพระราชวังต้องห้าม เมื่อจักรพรรดิสิ้นพระชนม์ลงแล้ว เจ้าพนักงานจะขึ้นไปหยิบกล่องดังกล่าวมาเปิดดูชื่อผู้สืบราชสมบัติ หากแต่เมื่อจักรพรรดิเจียชิ่งสิ้นพระชนม์ลง เจ้าพนักงานกลับไม่พบกล่องดังกล่าว ทั้งๆที่จักรพรรดิเจียชิ่งเคยทรงประกาศว่าพระองค์ได้กำหนดชื่อรัชทายาทใส่ไว้ในกล่องและซ่อนไว้หลังป้ายแล้ว

หนังสือชื่อ ความจริงเกี่ยวกับสิบสองจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ชิง โดย เหยียนฉงเหนียน นักวิจัยด้านแมนจูศึกษาแห่งสถาบันสังคมศาสตร์กรุงปักกิ่ง ได้ชี้ให้เห็นถึงบทบาทที่สำคัญในช่วงเวลาดังกล่าวของพระนางเสี้ยวเหอ จักรพรรดินีในจักรพรรดิเจียชิ่ง กล่าวคือ เมื่อเจ้าพนักงานไม่พบกล่องดังกล่าวจนทำให้ไม่อาจกำหนดผู้สืบราชสมบัติได้ พระนางเสี้ยวเหอจึงได้ให้เจ้าพนักงานขี่ม้าด่วนเชิญพระราชเสาวนีย์ของพระนาง ไปประกาศยังพระราชวังหลบร้อนเมืองเฉิงเต๋อ ใจความว่า พระนางมีพระราชประสงค์ให้เจ้าชายหมินหนิง พระราชโอรสของจักรพรรดิเจียชิ่งที่ประสูติจากพระนางเสี้ยวซู จักรพรรดินีผู้ล่วงลับไปก่อนหน้านี้แล้ว ให้ขึ้นสืบราชสมบัติต่อจากพระราชบิดา แม้ว่าต่อมาเจ้าพนักงานจะค้นพบกล่องใส่ชื่อผู้สืบราชสมบัติของจักรพรรดิเจียชิ่ง และเจ้าชายหมินหนิงก็ได้ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิเต้า กวง ตามพระราชประสงค์ของพระราชบิดา หากแต่การกระทำของพระนางเสี้ยวเหอในครั้งนั้นสะท้อนว่า ธรรมเนียมปฏิบัติของราชวงศ์ชิงได้เปิดโอกาสให้พระราชวงศ์ฝ่ายในเข้ามามีบทบาททางการเมืองในยามวิกฤตได้

งานศึกษาของ Evelyn S. Rawski (1998) ยังชี้ให้เห็นประเด็นเพิ่มเติมด้วยว่า นอกจากความชอบธรรมของพระราชวงศ์ฝ่ายในในการเข้ามามีบทบาททางการเมืองแล้ว พระราชวงศ์ฝ่ายในสมัยราชวงศ์ชิงยังมีวิธีการสร้างฐานอำนาจที่แตกต่างไปจากพระราชวงศ์ฝ่ายในในราชวงศ์ของชาวฮั่นอีกด้วย กล่าวคือ ขณะที่พระราชวงศ์ฝ่ายในชาวฮั่นสร้างฐานอำนาจด้วยการดึงคนในตระกูลของตนเองเข้ามารับราชการในตำแหน่งสำคัญ ตัวอย่างเช่น ในราชวงศ์ถังที่พระนางอู่เจ๋อเทียนสนับสนุนคนแซ่อู๋ ให้เข้ารับราชการในตำแหน่งสำคัญ หากแต่พระราชวงศ์ฝ่ายในชาวแมนจูกลับสร้างฐานอำนาจด้วยการแสวงหาความร่วมมือกับเหล่าเชื้อพระวงศ์ด้วยกันเอง

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ ในช่วงต้นรัชสมัยซุ่นจื้อ (ค.ศ. 1644 - ค.ศ. 1661) พระนางเสี้ยวจวง พระราชชนนีของจักรพรรดิผู้เยาว์วัยได้สร้างความมั่นคงทางอำนาจด้วยการร่วมมือกับตัวเอ่อร์คุน ผู้นำกองทัพธงขาวและเป็นพระปิตุลาของจักรพรรดิ ดังนั้นคำว่า "พระญาติฝ่ายมเหสี" จึงแทบจะมิได้ปรากฏออกมาในสมัยราชวงศ์ชิง หรือแม้จะปรากฏออกมาบ้างเล็กน้อย แต่ก็มิได้ช่วยเพิ่มพูนอำนาจให้กับพระราชวงศ์ฝ่ายในองค์ดังกล่าว

ตัวอย่างของพระญาติฝ่ายมเหสีสมัยราชวงศ์ชิงก็คือ ถงกั๋วกัง และ ถงกั๋วเหวย สองพี่น้องที่เป็นพระอนุชาของพระนางเสี้ยวคัง พระราชชนนีของจักรพรรดิคังซี (ค.ศ. 1661 - ค.ศ. 1722) ทั้งสองเป็นขุนนางผู้ใหญ่ในช่วงกลางรัชสมัยคังซี บุตรชายของถงกั๋วเหวยนามว่า หลงเคอตัว นั้นต่อมาได้มีบทบาทสนับสนุนให้พระราชโอรสองค์ที่ 4 ของจักรพรรดิคังซีได้ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิยงเจิ้งใน ค.ศ. 1722 อย่างไรก็ตามบทบาทและอำนาจของพวกเขาเหล่านี้ มิได้เอื้อประโยชน์ต่อพระนางเสี้ยวคังแต่อย่างใด เนื่องจากพระนางได้สิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่ปีแรกๆ ของรัชสมัยคังซีแล้ว

การพิจารณาประเด็นที่กล่าวมาข้างต้น จะช่วยให้เราเข้าใจบทบาทของพระนางซูสีไทเฮาได้ดียิ่งขึ้น พระนางขึ้นมามีอำนาจโดยอาศัยความร่วมมือกับเชื้อพระวงศ์ฝ่ายชายอย่างเจ้าชายกง ในช่วงต้นรัชสมัยถงจื้อ และเจ้าชายฉุน ในต้นรัชสมัยกวางสู ซึ่งแนวทางดังกล่าวนั้นเป็นไปในทำนองเดียวกับการที่พระนางเสี้ยวจวงร่วมมือกับพระปิตุลาตัวเอ่อร์คุนเมื่อสองศตวรรษก่อนหน้านั้น นอกจากนี้ยังเป็นที่น่าสังเกตอีกว่าตลอดเวลาที่พระนางซูสีไทเฮามีบทบาททางการเมือง คนในตระกูลเย่เห่อน่าลา ของพระนางกลับมิได้เข้ามารับราชการในตำแหน่งสำคัญเลย แม้กระทั่งสตรีฝ่ายในที่ห้อมล้อมพระนางอยู่ในพระราชฐานชั้นใน ส่วนใหญ่ก็มิใช่คนในตระกูลของพระนาง จะมีก็แต่พระนางหลงยู่ จักรพรรดินีในจักรพรรดิกวางสูเท่านั้นที่มาจากตระกูลเย่เห่อน่าลา นอกนั้นต่างเป็นพระธิดาของพระราชวงศ์แมนจูทั้งสิ้น เช่น เจ้าหญิงกู้หลุน พระธิดาในเจ้าชายกง เจ้าหญิงเต๋อหลิง พระธิดาในเจ้าชายชิ่ง เป็นต้น

ดังนั้นเราจึงไม่อาจเทียบเคียงพระนาง"ซูสีไทเฮา"กับพระนาง"อู่เจ๋อเทียน"ในแง่ของการสร้างฐานอำนาจได้ เนื่องจากพระนางอู่เจ๋อเทียนได้สร้างฐานอำนาจใหม่ที่เป็นอิสระจากเชื้อพระวงศ์ราชวงศ์ถัง หากแต่พระนางซูสีไทเฮากลับใช้เชื้อพระวงศ์ที่มีอยู่ของราชวงศ์ชิง ให้เป็นประโยชน์ในการเสริมสร้างอำนาจ และการกระทำของพระนางในเรื่องนี้ก็สอดคล้องกับแนวทางที่พระราชวงศ์ฝ่ายในชาวแมนจู ปฏิบัติสืบต่อกันมาแต่ครั้งต้นราชวงศ์

ปัญหาการแต่งตั้งรัชทายาทระหว่าง ค.ศ. 1899 - ค.ศ. 1900 เป็นกรณีหนึ่งที่นักประวัติศาสตร์มักลงความเห็นกันว่า พระนางซูสีไทเฮาเป็นบุคคลเลวร้าย กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่พระนางได้ขัดขวางการปฏิรูปประเทศของจักรพรรดิกวางสูใน ค.ศ. 1898 ได้สำเร็จ จักรพรรดิถูกพระนางสั่งกักบริเวณเอาไว้ในพระที่นั่งกลางทะเลสาบ ทางตะวันตกของพระราชวังต้องห้าม หลังจากนั้นไม่นานพระนางมีดำริจะแต่งตั้งผู่จุ้น โอรสของเจ้าชายตวน ขึ้นเป็นรัชทายาท หากแต่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากต่างชาติ พระนางจึงต้องเลี่ยงกระแสคัดค้านด้วยการแต่งตั้งให้ผู่จุ้นเป็นต้าอาเกอ อันเป็นคำที่ใช้เรียกพระราชโอรสองค์ใหญ่ของจักรพรรดิ การแต่งตั้งรัชทายาทในครั้งนี้มีการมองกันว่าพระนางมีแผนการจะปลงพระชนม์จักรพรรดิกวางสู โดยอ้างว่าทรงพระประชวรจนสิ้นพระชนม์ จากนั้นรัชทายาทผู่จุ้นที่อยู่ภายใต้การควบคุมของพระนางจะได้ขึ้นสืบราชสมบัติ อัตชีวประวัติของจักรพรรดิองค์สุดท้าย เรื่อง จากจักรพรรดิสู่สามัญชน ก็ได้ยืนยันข้อมูลทำนองนี้เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม การค้นคว้าของนักวิชาการที่เข้าถึงเอกสารชั้นต้นกลับให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า พระนางมีเหตุผลไม่น้อยในการแต่งตั้งรัชทายาทในช่วงดังกล่าว หนังสือเรื่อง "ไขปริศนาจากจดหมายเหตุราชวงศ์ชิง" ที่มี หลี่กั๋วหรง และคณะเป็นบรรณาธิการ ได้ให้ข้อมูลจากบันทึกของแพทย์หลวงว่า จักรพรรดิกวางสูมีพระพลานามัยที่ไม่สมบูรณ์มาแต่ยังทรงพระเยาว์ และเมื่อถึง ค.ศ. 1899 พระอาการของพระองค์ได้ทรุดหนักลงมากจนเกรงกันว่าจะสิ้นพระชนม์ในไม่ช้า การที่จักรพรรดิกวางสูไม่มีพระราชโอรสและพระราชธิดา ได้ทำให้พระนางซูสีไทเฮาเกรงว่า ถ้าจักรพรรดิสิ้นพระชนม์ลงจริงจะเกิดปัญหาการสืบราชสมบัติตามมา ดังนั้นเพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว พระนางจึงเห็นความจำเป็นในการแต่งตั้งรัชทายาทไว้ล่วงหน้า และการกระทำดังกล่าวของพระนางก็ถือว่าชอบธรรม เนื่องจากวัฒนธรรมทางการเมืองของราชวงศ์ชิงเปิดโอกาสให้พระราชวงศ์ฝ่ายในเข้าแทรกแซงในยามวิกฤตได้

งานวิจัยของ Sue Fawn Chung (1979) เรื่อง The Much-Maligned Empress Dowager: A Revisionist Study of the Empress Dowager Tz'u - Hsi (1835-1908) ได้ชี้ให้เห็นว่า ฝ่ายปฏิรูปที่นำโดยคังโหย่วเหวย และเหลียงฉี่เชา ซึ่งเพิ่งจะปราชัยต่อพระนางในการปฏิรูปการปกครอง ค.ศ. 1898 ได้มีส่วนสำคัญในการใช้สื่อสารมวลชนสมัยใหม่คือหนังสือพิมพ์ ในการสร้างภาพลักษณ์ทางลบให้แก่พระนางและบิดเบือนความจริงเกี่ยวกับการแต่งตั้งรัชทายาทในครั้งนี้

ข้อมูลทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า ในการศึกษาบทบาททางการเมืองของพระนางซูสีไทเฮานั้น เราจำเป็นจะต้องนำเอาวัฒนธรรมทางการเมืองของราชวงศ์ชิงมาประกอบการพิจารณาด้วย กล่าวคือ วัฒนธรรมทางการเมืองของราชวงศ์ชิงได้อนุญาตให้พระราชวงศ์ฝ่ายใน "ถือวิสาสะ" เข้ามาแทรกแซงการเมืองในยามวิกฤตได้ ดังนั้นบทบาทของพระนางซูสีไทเฮาจึงเป็นไปตามแนวทางที่พระราชวงศ์ฝ่ายในชาวแมนจูเคยปฏิบัติกันมา

อย่างไรก็ตาม ในบทความนี้ผู้เขียนเน้นถึงความชอบธรรมของพระนางซูสีไทเฮา ในการเข้ามาแสดงบทบาททางการเมืองเท่านั้น ส่วนประเด็นที่ว่าพระนางมีส่วนต้องรับผิดชอบมากน้อยเพียงใดในเหตุการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการสิ้นพระชนม์ก่อนวัยอันควรของจักรพรรดิถงจื้อและกวางสู การสิ้นพระชนม์อย่างมีเงื่อนงำของพระนางฉืออัน ความพ่ายแพ้ของจีนในสงครามกับฝรั่งเศสและญี่ปุ่น ความล้มเหลวในการปฏิรูปการปกครองของจักรพรรดิกวางสู รวมทั้งกรณีนักมวย ทั้งหมดนี้ยังคงเป็นปริศนาที่ต้องศึกษาค้นคว้ากันต่อไป

3. เมื่อจีนบุกแอฟริกา

เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2006 ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีหูจิ่นเทา แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้เป็นเจ้าภาพต้อนรับผู้นำกลุ่มประเทศในทวีปแอฟริกากว่า 40 ประเทศ ที่เดินทางมาประชุมสุดยอดจีน-แอฟริกาที่กรุงปักกิ่ง นับเป็นการประชุมที่มีผู้นำจากประเทศต่างๆ มารวมตัวกันมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเป็นเจ้าภาพของจีน และยังสะท้อนความสำคัญของทวีปแอฟริกาในนโยบายต่างประเทศของจีนปัจจุบันอีกด้วย

จีนรู้จักทวีปแอฟริกา หรือเฟย์โจว มาเป็นเวลาช้านาน ในคริสต์ศตวรรษที่ 12 ซึ่งตรงกับสมัยราชวงศ์ซ่ง ได้มีทาสผิวดำมาใช้แรงงานอยู่แถบชายฝั่งเมืองกว่างโจว ทางตอนใต้ของจีนบ้างแล้ว ต่อมาในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 15 กองทัพเรือของราชวงศ์หมิง นำโดยขันทีเจิ้งเหอ ได้ออกสำรวจทะเลไปไกลถึงชายฝั่งตะวันออกของทวีปแอฟริกา ในครั้งนั้นผู้ปกครองแห่งมาลินดี (ประเทศเคนยาในปัจจุบัน) ได้มอบยีราฟให้แก่คณะของเจิ้งเหอ เพื่อนำไปถวายแด่จักรพรรดิหย่งเล่อ ณ กรุงปักกิ่ง สร้างความพอพระทัยให้แก่จักรพรรดิองค์ดังกล่าวเป็นอย่างยิ่ง ด้วยทรงเข้าพระทัย (ผิด) ว่ายีราฟคือสัตว์ในนิทานปรัมปราของจีนที่เรียกว่า "กิเลน" อันเป็นสัตว์มงคลตามความเชื่อของจีน

ความสัมพันธ์จีน-แอฟริกายุคใหม่เริ่มขึ้นหลังการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนใน ค.ศ. 1949 เหมาเจ๋อตง มองว่าจีนกับแอฟริกามีประสบการณ์ทางประวัติศาสตร์ร่วมกันคือ การถูกครอบงำโดยจักรวรรดินิยมตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ด้วยเหตุนี้จีนกับแอฟริกาควรจะผนึกกำลังกันดำเนินนโยบายต่อต้านจักรวรรดินิยม และเรียกร้องให้ประเทศมหาอำนาจมอบเอกราชแก่อาณานิคมโดยเร็ว ในยุคนี้จีนได้แสดงบทบาทที่สร้างสรรค์ต่อหลายประเทศในแอฟริกา ไม่ว่าจะเป็นการที่จีนส่งข้าวจำนวนหลายพันตันไปให้แก่ประเทศกินี และประเทศเคนยาระหว่าง ค.ศ. 1959-1961 ทั้งๆ ที่ในเวลานั้นจีนเองประสบทุพภิกขภัยอย่างหนัก และที่มีการกล่าวขานกันมากก็คือ การสร้างทางรถไฟสายแทนซาเนีย-แซมเบีย อันเป็นโครงการใหญ่ระหว่าง ค.ศ. 1970-1975

สาเหตุอีกประการหนึ่งที่ทำให้จีนสนใจทวีปแอฟริกาก็คือ ความพยายามในการขยายอิทธิพลในทวีปแห่งนี้ของทั้งสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต ซึ่งทั้งสองเป็น "ศัตรูหมายเลขหนึ่ง" ของจีนในทศวรรษ 1960 และ 1970 ตามลำดับ ดังนั้นเมื่อสหรัฐอเมริกาในทศวรรษ 1960 ให้การสนับสนุนรัฐบาลของประเทศคองโก-เลโอโปลด์วิลล์ (ปัจจุบันคือสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก) จีนจึงดำเนินนโยบายโต้ตอบด้วยการกระชับความสัมพันธ์กับประเทศที่ตั้งอยู่รายล้อมคองโก-เลโอโปลด์วิลล์ ไม่ว่าจะเป็นคองโก-บราสซาวิลล์ (ปัจจุบันคือสาธารณรัฐคองโก) บุรุนดี และสาธารณรัฐแอฟริกากลาง และเมื่อสหภาพโซเวียตพยายามจะขยายนาวิกานุภาพเหนือมหาสมุทรอินเดียในทศวรรษ 1970 จีนก็ได้กระชับสัมพันธ์กับประเทศในแอฟริกา ที่มีชายฝั่งติดกับมหาสมุทรดังกล่าว เช่น มอริเชียส โมซัมบิก มาดากัสการ์ เป็นต้น

เมื่อถึงปลายทศวรรษ 1980 ความขัดแย้งระหว่างจีนกับโซเวียตสิ้นสุดลง และจีนก็หันมาดำเนินการปฏิรูปเศรษฐกิจ ทำให้ตั้งแต่ทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับแอฟริกาก็เปลี่ยนแปลงไปเป็นความสัมพันธ์ที่เน้นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเป็นหลัก โดยเฉพาะเรื่องของพลังงาน หลายปีที่ผ่านมาความต้องการนำเข้าน้ำมันของจีนเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ การขาดเสถียรภาพทางการเมิองในภูมิภาคที่อุดมไปด้วยน้ำมันอย่างตะวันออกกลาง ทำให้จีนต้องหันมาพึ่งพาน้ำมันจากภูมิภาคอื่นๆ ของโลก ไมว่าจะเป็นรัสเซีย เอเชียกลาง รวมทั้งประเทศในทวีปแอฟริกา

นิตยสาร The Economist ฉบับวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 2006 รายงานว่า ขณะนี้จีนได้วางแผนจะเข้าไปลงทุนด้านการกลั่นน้ำมัน การเกษตร และโรงผลิตกระแสไฟฟ้าในประเทศไนจีเรียเป็นมูลค่ากว่า 4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยแลกกับสิทธิของจีนในการขุดเจาะน้ำมันในประเทศดังกล่าว ขณะเดียวกันจีนก็ได้ให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำแก่ประเทศแองโกลา เพื่อสร้างถนนและสะพาน โดยที่แองโกลาจะชำระหนี้ดังกล่าวให้แก่จีนในรูปของน้ำมัน. ปริมาณการค้าระหว่างจีนกับแอฟริกาได้เพิ่มขึ้นจาก 3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯใน ค.ศ. 1995 เป็น 3.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯใน ค.ศ. 2005

อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์จีน-แอฟริกาก็ปรากฏด้านมืดอยู่ด้วยหลายประการ ดังนี้

1.สินค้าราคาถูกจากจีนเข้าไปตีตลาดแอฟริกาจนทำให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมสิ่งทอของแอฟริกาใต้ มอริเชียส และไนจีเรีย

2. ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่จีนได้รับ ทำให้จีนละเลยประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนในทวีปดังกล่าวไป โดยเฉพาะกรณีของรัฐบาลซูดาน ซึ่งถูกประชาคมโลกประณามเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และการละเมิดสิทธิมนุษยชนในแคว้นดาร์ฟูร์ (Darfur) ขณะที่บริษัทของสหรัฐอเมริกาและแคนาดาได้ถอนการลงทุนจากซูดาน จีนใน ค.ศ. 2004 กลับลงทุนด้านการขุดเจาะน้ำมัน การวางท่อส่งน้ำมัน และการสร้างถนนในซูดานรวมเป็นเงินจำนวนกว่า 150 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

3. ในส่วนลึกแล้ว ชาวจีนจำนวนไม่น้อยยังคงมองว่าชาวแอฟริกันผิวดำเป็นคนชั้นต่ำ และไร้วัฒนธรรม ดังที่เมื่อปลาย ค.ศ. 1988 เคยเกิดการปะทะกันครั้งใหญ่ระหว่างชาวจีนกับชาวแอฟริกันในเมืองนานกิง หางโจว ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ อู่ฮั่น และอู๋ซี หากว่าชาวจีนยังคงมีทัศนคติในทางลบเช่นนี้ต่อไป ก็อาจกระทบต่อความสัมพันธ์จีน-แอฟริกาอีกก็เป็นได้

ประการสุดท้าย บทบาทและอิทธิพลที่เพิ่มขึ้นของจีนในเวทีโลก ทำให้หลายประเทศในทวีปแอฟริกาพากันระแวงว่า ในอนาคตจีนก็ (อาจจะ) ไม่ต่างอะไรจากมหาอำนาจอื่นๆ นั่นคือ .... การเอารัดเอาเปรียบและขูดรีดทางเศรษฐกิจกับบรรดาประเทศกำลังพัฒนาในทวีปแอฟริกานั่นเอง


 

คลิกไปที่ กระดานข่าวธนาคารนโยบายประชาชน

นักศึกษา สมาชิก และผู้สนใจบทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ก่อนหน้านี้ สามารถคลิกไปอ่านได้โดยคลิกที่แบนเนอร์



สารบัญข้อมูล : ส่งมาจากองค์กรต่างๆ

ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา 3
I สารบัญเนื้อหา 4 I สารบัญเนื้อหา 5 I สารบัญเนื้อหา 6
ประวัติ ม.เที่ยงคืน

สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง

webboard(1) I webboard(2)

e-mail : midnightuniv(at)gmail.com

หากประสบปัญหาการส่ง e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com

ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ทั้งหมด กว่า 1200 เรื่อง หนากว่า 20000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com

สมเกียรติ ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็บไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com