บรรณาธิการแถลง: บทความทุกชิ้นซึ่งได้รับการเผยแพร่บนเว็บไซต์แห่งนี้
มุ่งเพื่อประโยชน์สาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อวัตถุประสงค์ในการขยายพรมแดนแห่งความรู้ให้กับสังคมไทยอย่างกว้างขวาง
นอกจากนี้ยังมุ่งทำหน้าที่เป็นยุ้งฉางเล็กๆ แห่งหนึ่งสำหรับเก็บสะสมความรู้ เพื่อให้ทุกคนสามารถหยิบฉวยไปใช้ได้ตามสะดวก
ในฐานะที่เป็นสมบัติร่วมของชุมชน สังคม และสมบัติที่ต่างช่วยกันสร้างสรรค์และดูแลรักษามาโดยตลอด.
สำหรับผู้สนใจร่วมนำเสนอบทความ หรือ แนะนำบทความที่น่าสนใจ(ในทุกๆสาขาวิชา) จากเว็บไซต์ต่างๆ
ทั่วโลก สามารถส่งบทความหรือแนะนำไปได้ที่ midnightuniv(at)gmail.com
(กองบรรณาธิการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน: ๒๘ มกาคม ๒๕๕๐)
คดียุบพรรคการเมือง ภายใต้บรรยากาศการรัฐประหาร
จรัญ โฆษณานันท์: คำพิพากษาที่ไร้การพิพากษา
จรัญ โฆษณานันท์ : เขียน
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง (๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๐)
บทความวิชาการชิ้นนี้
กองบรรณาธิการ ม.เที่ยงคืนได้รับมาจากผู้เขียน
เป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องกับกรณีการยุบพรรค ซึ่งจะตัดสินกันในวันที่ ๓๐ พฤษภาคม
๒๕๕๐
กับข้อพิจารณาบางประการในฝ่ายของความชอบธรรมในสถานะ
ของตุลาการรัฐธรรมนูญภายใต้บรรยากาศของการรัฐประหาร
และข้อกฎหมายบางอย่างเกี่ยวกับการมีผลย้อนหลัง รวมถึงขอควรใส่ใจในเรื่อง
ฐานของความผิดเกี่ยวกับการดิ้นรนของพรรคการเมืองในภาวะอับจน
กับการทำรัฐประหารที่ทำลายระบอบประชาธิปไตย
(midnightuniv(at)gmail.com)
บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา
ข้อความที่ปรากฏบนเว็บเพจนี้
ได้มีการแก้ไขและตัดแต่งไปจากต้นฉบับบางส่วน
เพื่อความเหมาะสมเป็นการเฉพาะสำหรับเว็บไซต์แห่งนี้
บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ ๑๒๕๙
เผยแพร่บนเว็บไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่
๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๐
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ
๔.๕ หน้ากระดาษ A4)
+++++++++++++++++++++++++++++++
คดียุบพรรคการเมือง
ภายใต้บรรยากาศการรัฐประหาร
จรัญ
โฆษณานันท์ : คำพิพากษาที่ไร้การพิพากษา
จรัญ
โฆษณานันท์ : เขียน
๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๐....ในที่สุด สังคมไทยก็ต้องเผชิญกับวันแห่งการพิพากษาคดีประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการยุบพรรคการเมือง ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่ตึงเครียดและอารมณ์ทางสังคมที่กระวนกระวายด้วยความวิตกต่อความรุนแรง หรือกระทั่งสภาพมิคสัญญีที่อาจเกิดขึ้น ทั้งที่หากใคร่ครวญโดยหลักธรรมและหลักการทางนิติศาสตร์แล้ว วันแห่งการพิพากษาคดีเช่นนี้เป็นเรื่องไม่พึงบังเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่
ต้องยอมรับว่าการตัดสินคดียุบพรรคการเมืองห้าพรรค ภายใต้การวินิจฉัยของ "คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ" มีความซับซ้อนและละเอียดอ่อนอย่างมากทั้งในแง่ข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง และการตัดสินต้องอาศัยระดับการรับรู้อย่างมากในปรัชญาทางกฎหมาย /ทัศนคติทางนิติศาสตร์หรือสิทธิพื้นฐานของมนุษย์อันถูกต้อง รวมทั้งความเข้าใจสภาพปัญหาทางการเมืองอันซับซ้อนที่มีทั้งการเมืองระดับบนของชนชั้นนำ/อภิชน และการเมืองระดับล่างในหมู่นักการเมือง/ประชาชนทั่วไป
แม้กระนั้นประเด็นพิจารณาเบื้องต้นสุดน่าจะอยู่ที่ปัญหาสถานภาพ-ความชอบธรรมของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ สืบแต่การตั้งคณะตุลาการรัฐธรรมนูญหลังการรัฐประหารครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่มีการตั้งองค์กรในลักษณะนี้ซึ่งไม่เคยปรากฎมาก่อน ระบบศาลรัฐธรรมนูญของไทยมีขึ้นครั้งแรกในรัฐธรรมนูญ พศ.๒๔๘๙ และสืบเนื่องเรื่อยมา แต่ในช่วงที่มีการทำปฏิวัติรัฐประหารนับจากปี พศ.๒๔๙๐ ,๒๕๐๒, ๒๕๑๙ หรือ ๒๕๓๔ ธรรมนูญการปกครอง/รัฐธรรมนูญชั่วคราวของคณะรัฐประหารไม่เคยบัญญัติเรื่องศาล/ตุลาการรัฐธรรมนูญ ขณะที่ศาลยุติธรรมจะเข้ามาแสดงบทบาทแทนศาลรัฐธรรมนูญในช่วงดังกล่าว (คำพิพากษาศาลฏีกาที่ ๒๑/๒๔๙๒ ,๗๖๖/๒๕๐๕)
กำเนิดที่ไม่ปกติ ไม่เป็นไปตามครรลองประชาธิปไตยของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญปัจจุบัน ส่งผลสืบเนื่องต่อสถานะอันชอบธรรมของตัวองค์กร/การใช้อำนาจอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น ในทางทฤษฏี กำเนิดที่มาขององค์กรที่เรียกว่าศาล/ตุลาการรัฐธรรมนูญผูกพันใกล้ชิดกับหลักคิดเรื่องรัฐธรรมนูญนิยม(Constitutionalism) ที่ยืนยันความสำคัญสูงสุดของรัฐธรรมนูญที่ละเมิดมิได้ โดยมีศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรค้ำประกันความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ ขณะเดียวกับที่หลักคิดรัฐธรรมนูญนิยมซึ่งเป็นต้นตอของศาลรัฐธรรมนูญ ก็ได้รับอิทธิพลหรือมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับปรัชญากฎหมายธรรมชาติ ที่ให้กำเนิดหลักความเป็นโมฆะของกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม หลักสิทธิมนุษยชน รวมทั้งแยกไม่ออกจากระบบประชาธิปไตยสมัยใหม่
เมื่อพิจารณาจากกรอบทฤษฏีอันเป็นรากฐานของศาลรัฐธรรมนูญ กำเนิดที่มาของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญปัจจุบัน ที่ผูกติดกับอำนาจคณะรัฐประหารจึงส่งผลให้สถานภาพขององค์กรนี้ มีปัญหาความชอบธรรมอย่างยิ่งภายใต้หลักรัฐธรรมนูญนิยม ความพร่ามัวในสถานะของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญยังถูกสำทับด้วยภาวะหมิ่นเหม่ต่อการเป็นศาลพิเศษ ที่จงใจตั้งขึ้นมาเพื่อพิจารณาคดียุบพรรคการเมืองเพียงคดีเดียว หาใช่ศาลรัฐธรรมนูญทั่วไปที่อาจรับพิจารณาคดีเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญใดๆ ดังอย่างน้อยก็ไม่สามารถพิจารณา/ตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ของบรรดาประกาศ/คำสั่งคณะปฏิรูปการปกครองฯ ตามที่มีบทบัญญัติในมาตรา ๓๖ ของรัฐธรรมนูญ(ชั่วคราว) ๒๕๔๙ ยืนยันความชอบด้วยรัฐธรรมนูญไว้ล่วงหน้าแล้ว ใช่หรือไม่ ที่หลักความเสมอภาคเท่าเทียมทางกฎหมาย หรือหลักการไม่เลือกปฏิบัติซึ่งล้วนเป็นแก่นสำคัญของ "หลักนิติธรรม"-หลักสิทธิมนุษยชนล้วนตกอยู่ในภาวะสั่นคลอนจากสภาพการณ์ดังกล่าว
ประเด็นการละเมิดหลักนิติธรรม ที่น่าจะสร้างความกระอักกระอ่วนทางจิตสำนึกเชิงนิติศาสตร์ของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญข้างต้น คณะปฏิรูปการปกครองฯ กลับเสริมต่อด้วยประกาศคณะปฏิรูปฯ ฉบับที่ ๒๗ ที่ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคการเมืองที่ต้องคำสั่งให้ยุบ มีกำหนด ๕ ปี อันมีสภาพเป็นการออกกฎเกณฑ์ที่มีบทลงโทษย้อนหลังที่กระทบต่อสิทธิพื้นฐานอย่างยิ่งของความเป็นพลเมือง
เท่าที่ผ่านมาในวงการนิติศาสตร์ไทย ต่างเชื่อมั่นในหลักการที่ห้ามการออกกฎหมายที่มีโทษย้อนหลัง แต่ขณะเดียวกันก็มีการแยกออกเป็นสองขั้วความคิด
- ฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าหลักการดังกล่าวใช้ได้เฉพาะกฎหมายที่มีโทษทางอาญา การตัดสิทธิเลือกตั้งไม่ใช่โทษอาญาจึงสามารถย้อนหลังได้
- แต่อีกฝ่ายกลับยืนยันว่าหลักการนี้มิได้จำกัดเพียงเฉพาะโทษทางอาญาเท่านั้น การตัดสิทธิเลือกตั้งซึ่งเป็นเรื่องสำคัญเสมือนพรากความเป็นพลเมืองจึงมิอาจกระทำได้
ในความเป็นจริงหลักการห้ามตรา/ใช้กฎหมายที่มีผลย้อนหลัง เป็นหลักการทางนิติศาสตร์ที่มีมานับพันปีตั้งแต่สมัยโรมัน และพัฒนาสืบเนื่องมาจนเป็นส่วนสำคัญหนึ่งในหลักนิติธรรมสมัยใหม่ ที่ใช้บังคับกับกฎหมายทุกๆ เรื่อง(All law should be prospective) โดยยึดโยงกับความเชื่อมั่น-คุ้มครองความเป็นมนุษย์ / ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ที่เชื่อว่าสามารถกำหนดเจตจำนง / วิถีชีวิตตนเองตามกรอบกฎเกณฑ์แห่งกฎหมายที่ประกาศใช้เปิดเผยทั่วไป และรับทราบล่วงหน้าก่อนการกำหนดตัดสินการกระทำใดๆ อย่างมีเสรีด้วยตัวเอง(Self-direction)
อย่างไรก็ตาม ความที่หลักดังกล่าวจัดเป็นส่วนสำคัญหนึ่งของหลักนิติธรรม และหลักความยุติธรรม/ความเที่ยงธรรม การปรับใช้หลักการนี้จึงมีความละเอียดอ่อนซับซ้อนอยู่ในตัว โดยมีการแปลความในเรื่องข้อยกเว้นเข้ามาเกี่ยวข้อง นักนิติศาสตร์แนวอนุรักษ์นิยมบางฝ่ายถึงขนาดยืนยันว่า หลักการนี้อาจมีข้อยกเว้นได้เสมอหากมีเหตุผลความจำเป็นโดยอาจย้อนหลังได้ทั้งกฎหมายที่มีโทษทางอาญาหรือมิใช่โทษทางอาญา ดังคดีอาชญากรสงครามที่ Nuremberg หลังสงครามโลกครั้งที่สองอาจถูกหยิบยกเป็นตัวอย่าง หากน่าสังเกตว่าศาลฏีกาของไทยกลับไม่ยอมรับหลักข้อยกเว้นนี้ในคดีอาชญากรสงครามคล้ายคลึงกัน(คำพิพากษาคดีอาชญากรสงครามที่ ๑/๒๔๘๙)
แต่กระนั้นในอีกหลายๆ กรณีศาลไทยกลับหลีกเลี่ยงการบังคับใช้หลักการห้ามออกกฎหมายย้อนหลัง โดยอ้าง/ตีความอย่างแคบว่าหลักนี้ไม่อาจใช้กับกฎหมายสบัญญัติ(คำพิพากษาฏีกาที่ ๗๗๑-๗๗๒/๒๕๐๖) หรือตีความอย่างแคบว่าใช้ไม่ได้กับเรื่องวิธีการเพื่อความปลอดภัยในกรณีกฎหมายบุคคลอันธพาลในยุคเผด็จการ (คำวินิจฉัยตุลาการรัฐธรรมนูญ ลงวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๑๓)
น่าสังเกตว่าความยืดหยุ่นหรือการปรับใช้ข้อยกเว้นของหลักการนี้อย่างง่ายๆ ดูเหมือนแยกไม่ออกจากทัศนคติเชิงอนุรักษ์นิยม ,จุดยืนทางการเมืองหรือความไม่จริงจังต่อหลักสิทธิมนุษยชน แน่นอนว่าหลักการต่างๆ ในหลักนิติธรรมล้วนไม่ใช่สิ่งสัมบูรณ์แต่การปรับใช้ข้อยกเว้นใดๆ จำต้องอาศัยเหตุผลรองรับในท้ายสุด เพียงเฉพาะที่จักส่งเสริมคุณค่าพื้นฐานของหลักนิติธรรม การยกเว้นจำกัดหลักการนี้จะเป็นไปได้ต่อเมื่อ การจำกัดดังกล่าวเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อการค้ำประกัน / ยืนหยัดต่อสถานภาพและศักดิ์ศรีของบุคคลโดยองค์รวมเท่านั้น
ในกรณีการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งซึ่งเป็นปัญหา ความไม่ชอบธรรมของการบังคับใช้กฎหมายย้อนหลัง โดยหลักการเบื้องต้นย่อมถือเป็นการละเมิดต่อหลักนิติธรรมดังกล่าว จริงอยู่ข้อพิจารณาต่อพฤติกรรมของพรรคการเมืองต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับคดียุบพรรคอาจดูมีความซับซ้อนฉ้อฉลโดยรวม แต่การแปลความบทกฎหมายอันเป็นฐานความผิด กล่าวคือมาตรา ๖๖ ใน พรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พศ. ๒๕๔๑ ตามตัวอักษร (กระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองโดยวิธีการ ซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางในรัฐธรรมนูญ) โดยจรดจ่อต่อประเด็นวิธีการต่อสู้แบบปลีกย่อยเชิงยุทธวิธีของแต่ละพรรค เพื่อเอาตัวรอดทางการเมืองเฉพาะหน้า แทนที่การใส่ใจต่อจุดหมายแห่งกฎหมายที่มุ่งขัดขวางกลุ่มบุคคลที่ยึดอำนาจรัฐแบบเผด็จการหรือล้มล้างระบอบประชาธิปไตย ย่อมไม่เพียงอาจสร้างปัญหาคับข้องเรื่องการบิดเบือนกฎหมายเพื่อการทำลายล้างทางการเมือง แต่ยังอาจนำไปสู่การตั้งคำถามต่อมโนธรรมลึกๆ ของผู้วินิจฉัยว่า ในความเป็นจริงแล้วผู้กระทำการยึดอำนาจโดยการทำรัฐประหารอย่างชัดแจ้ง ได้กระทำสิ่งที่ต้องตรงยิ่งกว่ากับความผิดที่บัญญัติในบทกฎหมายดังกล่าวใช่หรือไม่
หากคำนึงถึงพัฒนาการของความขัดแย้งทางการเมืองของทุกฝ่ายในสังคมก่อนหน้าการรัฐประหาร มองโดยภาพรวมอย่างเป็นเหตุเป็นผลเชื่อมโยง ท้ายสุดแล้วเราอาจต้องยอมรับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นมูลฐานความผิด แท้จริงกลับเป็นเสมือนกรรรมร่วมของสังคมที่ทุกฝ่ายในสังคม ไม่เว้นแม้ในภาคประชาชนต่างดิ้นรนต่อสู้เพื่อช่วงชิงชัยชนะเฉพาะหน้ากันในทุกรูปแบบ จนเกิดเป็นปรากฎการณ์ที่ไม่พึงปรารถนาดังกล่าวขึ้น "เหตุผล"ในการออกกฎเกณฑ์ลงโทษย้อนหลังประหนึ่งเป็นข้อยกเว้น จึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอ
ประเด็นสำคัญเพิ่มเติมคือการออกกฎเกณฑ์ย้อนหลังนี้ยังปรากฎในรูปประกาศคณะปฏิรูปการปกครองฯ ที่มิได้ผ่านกระบวนการประชาธิปไตย ปัญหาเกี่ยวกับสถานภาพทางกฎหมายของประกาศดังกล่าวจึงเป็นข้อบกพร่องซ้ำสอง ที่ยิ่งทำให้เกิดปัญหาความชอบธรรมทางนิติศาสตร์ในการปรับใช้ แม้คณะตุลาการรัฐธรรมนูญอาจรู้สึกมั่นใจที่รัฐธรรมนูญ (ม.๓๖) ของฝ่ายรัฐประหาร รับรองความชอบด้วยกฎหมายและชอบด้วยรัฐธรรมนูญไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ก็สมควรฉุกคิดด้วยว่า ถ้ากฎเกณฑ์นี้มีความมั่นคงทางกฎหมายจริงๆ เหตุใดในร่างรัฐธรรมนูญที่กำลังดำเนินการอยู่ขณะนี้ จึงมีผู้พยายามบัญญัติร่าง ม. ๒๙๙ (รับรองความชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญของบรรดาการใดๆ ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๙) ค้ำประกันความมั่นคงอีกชั้นหนึ่ง
หรือแม้คณะตุลาการรัฐธรรมนูญจะอุ่นใจที่ในอดีตมีแนวคำพิพากษาศาลฏีกาหลายๆ ฉบับ (อาทิ คำพิพากษาฏีกาที่ ๔๕/๒๔๙๖ , ๑๖๖๒/๒๕๐๕) รับรองความเป็นกฎหมายของบรรดาประกาศ/คำสั่งคณะปฏิวัติ หากจริงๆ แล้วคำพิพากษาฏีกาเหล่านี้ล้วนตกอยู่ใต้ข้อวิจารณ์ทางนิติศาสตร์มาตลอด และปัญหาเกี่ยวกับสถานภาพทางกฎหมายของบรรดาประกาศ/คำสั่งคณะรัฐประหาร โดยภาพรวมก็มิใช่มีข้อยุติยอมรับเช่นนั้นเสมอไป
ตัวอย่างความกล้าหาญยืนหยัดในหลักการประชาธิปไตยของศาลสูงสุดไนจีเรีย (คศ.๑๙๗๐) , ศาลสูงสุดปากีสถาน (คศ.๑๙๗๒) หรือศาลสูงสุดอาร์เจนตินา (คศ.๑๙๘๔) ที่ปฏิเสธความชอบด้วยกฎหมายของประกาศคณะรัฐประหาร ย่อมเป็นสิ่งที่พึงพิจารณาอย่างมาก หากหวังสร้างบรรทัดฐานใหม่ที่เข้าลักษณะการพิพากษาคดีอย่างก้าวหน้ายึดมั่นในความเป็นธรรมทางสังคม(Judicial Activism)
คำพิพากษาคดีประวัติศาสตร์ยุบพรรคการเมือง จักมีการประกาศในช่วงสัปดาห์แห่งวันวิสาขปุณณมีบูชา ในวาระแห่งการน้อมรำลึกถึงการกำเนิดแห่งพุทธะและการดับสิ้นซึ่งกิเลสอย่างสมบูรณ์
มีเพียงคณะตุลาการรัฐธรรมนูญที่ตระหนักถึงข้อจำกัดในกำเนิดองค์กรและข้อจำกัดทางกฎหมายทั้งปวง ประกาศคำพิพากษาที่เสมือนไม่มีคำพิพากษา คำพิพากษาที่ไม่มีการพิพากษาลงทัณฑ์รุนแรงแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง สังคมไทยจึงอาจกำเนิดใหม่ เริ่มต้นก้าวข้ามวิกฤติการณ์สังคม และกลับตื่นสู่ความมีสติ -ปัญญารวมทั้งความหวังในการสมานฉันท์ร่วมสร้างสรรค์สังคมประชาธิปไตย
จรัญ
โฆษณานันท์
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๐
คลิกไปที่ กระดานข่าวธนาคารนโยบายประชาชน
นักศึกษา
สมาชิก และผู้สนใจบทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ก่อนหน้านี้ สามารถคลิกไปอ่านได้โดยคลิกที่แบนเนอร์
ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา 3 I สารบัญเนื้อหา
4
I สารบัญเนื้อหา
5 I สารบัญเนื้อหา
6
ประวัติ
ม.เที่ยงคืน
สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง
e-mail :
midnightuniv(at)gmail.com
หากประสบปัญหาการส่ง
e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com
ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ทั้งหมด
กว่า 1200 เรื่อง หนากว่า 20000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com
สมเกียรติ
ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็บไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ
ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com