Document 1186

แนะนำหนังสือเตือนภัยความพินาศของสังคม
Collapse: How Societies Choose to Fail or Succeed
สมเกียรติ ตั้งนโม : เรียบเรียง
หลักสูตรสื่อศิลปะและการออกแบบสื่อ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

บทความเรียบเรียงชิ้นนี้ เป็นการแนะนำหนังสือและตัวผู้เขียน
ซึ่งได้ทำการสืบค้นเกี่ยวกับการล่มสลายของอารยธรรมอันเก่าแก่ที่ผ่านมา
ในขณะที่นักประวัติศาสตร์คนอื่นๆให้ความสนใจในแง่วัฒนธรรม อันเป็นสาเหตุของความพินาศของสังคม
Jared Diamond ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้กลับให้ความสำคัญของธรรมชาติและนิเวศวิทยาเป็นหลัก
สำหรับบทความเรียบเรียงชิ้นนี้ มีทั้งฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
ผู้ที่สนใจอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษ คลิกไปอ่านได้จากที่นี่
(~~midnightuniv(at)gmail.com~~)

บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา
ข้อความที่ปรากฏบนเว็บเพจนี้ ได้มีการแก้ไขและตัดแต่งไปจากต้นฉบับบางส่วน
เพื่อความเหมาะสมเป็นการเฉพาะสำหรับเว็บไซต์แห่งนี้
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ ๑๑๘๖
เผยแพร่บนเว็บไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๐
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ ๑๙ หน้ากระดาษ A4)

+++++++++++++++++++++++++++++++++++

แนะนำหนังสือ Collapse: How Societies Choose to Fail or Succeed
(From Wikipedia, the free encyclopedia)
สมเกียรติ ตั้งนโม : เรียบเรียง
(บทความชิ้นนี้ขอยกให้วิกีพีเดียภาษาไทยนำไปใช้ประโยชน์ทางวิชาการได้ และขอประกาศสละลิขสิทธิ์ให้กับสถาบันการศึกษาต่างๆ)

การล่มสลาย: สังคมเลือกที่จะประสบความสำเร็จหรือประสบความล้มเหลวกันอย่างไร
Collapse: How Societies Choose to Fail or Succeed
ข้างต้นนี้ คือชื่อของหนังสือที่ตีพิมพ์ในภาษาอังกฤษเล่มหนึ่งในปี ค.ศ.2005 เขียนโดย Jared Diamond ศาสตราจารย์ทางด้านภูมิศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย, ลอสแองเจลิส

หลักฐานข้อสนับสนุนกว้างๆเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ของ Diamond เป็นเรื่องการล่มสลายของสังคมต่างๆ ที่เกี่ยวพันกับองค์ประกอบทางด้านสภาพแวดล้อม และในบางกรณีได้รับการสนับสนุนจากการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศด้วย รวมไปถึงเพื่อนบ้านที่เป็นศัตรู, เรื่องของหุ้นส่วนทางการค้า, เสริมด้วยคำถามต่างๆ เกี่ยวกับการตอบโต้และขานรับทางสังคม. ในการเขียนหนังสือเล่มดังกล่าว Diamond ตั้งใจให้บรรดาผู้อ่านควรเรียนรู้จากประวัติศาสตร์

ความโดยสรุปของหนังสือ
ในอารัมภบท Diamond ได้สรุปถึง"การล่มสลาย"ในย่อหน้าหนึ่ง ความว่า:

หนังสือเล่มนี้ได้ใช้แนวศึกษาเชิงเปรียบเทียบเพื่อทำความเข้าใจการล่มสลายของสังคม ซึ่งปัญหาต่างๆ ทางด้านสิ่งแวดล้อมได้มีส่วนสนับสนุน. หนังสือของข้าพเจ้าก่อนหน้านี้เรื่อง (Guns, Germs, and Steel: The Fates of Human Societies), ก็ได้ใช้วิธีการศึกษาเชิงเปรียบเทียบกับปัญหาในทางตรงข้าม กล่าวคือ เป็นเรื่องของอัตราส่วนใน"การพัฒนา"(buildup)ของสังคมมนุษย์บนพื้นทวีปที่แตกต่าง ในช่วงประมาณ 13,000 ปีที่ผ่านมา, สำหรับหนังสือเล่มนี้ได้โฟกัสลงไปที่"การล่มสลาย"(collapse)มากกว่าเรื่องของการพัฒนา

ข้าพเจ้าได้เปรียบเทียบสังคมในอดีตและปัจจุบันจำนวนมากที่แตกต่างกัน โดยให้การเอาใจใส่เกี่ยวกับความเปราะบางของสภาพแวดล้อม, สัมพันธ์กับสังคมเพื่อนบ้าน, สถาบันทางการเมือง, และความผันแปรที่นำเข้ามา(input)ต่างๆ อันเป็นสมมุติฐานที่มีอิทธิพลต่อความมั่นคงและความมีเสถียรภาพของสังคม. ความผันแปรที่ส่งออก(output) ที่ข้าพเจ้าทำการสำรวจคือ ความพินาศและการอยู่รอด และรูปแบบของการล่มสลายที่เกิดขึ้น. โดยความสัมพันธ์กับความผันแปรของการนำเข้าและส่งออก ข้าพเจ้ามีเป้าประสงค์ที่จะแยกแยะอิทธิพลความเป็นไปได้เกี่ยวกับความผันแปรที่นำเข้า อันมีผลต่อการล่มสลายของสังคม

ปัจจัยเสริม 8 ประการที่ Diamond ใช้ในการให้ข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ถึงการล่มสลายของสังคมต่างๆ ในอดีตมีดังต่อไปนี้

1. Deforestation and habitat destruction (การตัดไม้ทำลายป่า และการทำลายถิ่นที่อยู่อาศัยของพืชและสัตว์)
2. Soil problems (ปัญหาต่างๆ เกี่ยวผืนดิน) [เช่น การกัดกร่อน, ความเค็มของดิน และการสูญเสียความอุดมสมบูรณ์ของผืนดิน] (erosion, salinization, and soil fertility losses)
3. Water management problems (ปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับการจัดการน้ำ)
4. Overhunting (การล่าสัตว์มากเกินไป)
5. Overfishing (การประมงมากเกินไป)
6. Effects of introduced species on native species (อิทธิพลหรือผลกระทบต่างๆ จากสายพันธุ์พืชและสัตว์ที่นำเข้ามาในท้องถิ่น)
7. Human population growth (การเจริญเติบโตของจำนวนประชากร)
8. Increased per-capita impact of people (ผลกระทบในการเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับอัตราส่วนต่อหัวของประชากร)

เงื่อนไขอื่นมากไปกว่านี้ เขาได้พูดถึงปัจจัยอีก 4 ประการ ซึ่งอาจมีส่วนเสริมต่อความอ่อนแอและการล่มสลายของสังคมในปัจจุบันและอนาคตคือ

1. Human-caused climate change (การเปลี่ยนแปลงของสภาพบรรยากาศอันมีสาเหตุมาจากมนุษย์)
2. Buildup of toxic chemicals in the environment (การเพิ่มพูนของสารเคมีที่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม)
3. Energy shortages (การขาดแคลนพลังงาน)
4. Full human utilization of the Earth's photosynthetic capacity
(การใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ของมนุษย์เกี่ยวกับความสามารถในการสังเคราะห์แสงของโลก)

โครงสร้างของหนังสือ
ในหนังสือเรื่อง"การล่มสลาย" (Collapse) ได้แบ่งออกเป็น 4 ส่วนด้วยกันคือ

- ส่วนที่หนึ่ง, อธิบายถึงสภาพแวดล้อมในรัฐมอนตานา(Montana)สหรัฐอเมริกา โดยโฟกัสลงไปที่การอยู่อาศัยของปัจเจกชนที่หลากหลาย เพื่อที่จะทำให้ผู้คนเห็นถึงความสัมพันธ์ที่ส่งผลกระทบต่อกันระหว่างสังคมกับสิ่งแวดล้อม

- ส่วนที่สอง, อธิบายถึงสังคมต่างๆ ในอดีตที่ล่มสลาย. Diamond ได้ใช้กรอบหรือโครงร่างอันหนึ่ง ในการพิจารณาถึงการล่มสลายของสังคม ซึ่งประกอบด้วย"ชุดของปัจจัยต่างๆ" 5 ชุด ที่อาจส่งผลต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับสังคมหนึ่งๆ นั่นคือ การทำร้ายสิ่งแวดล้อม(1), การเปลี่ยนแปลงของสภาพบรรยากาศ(2), เพื่อนบ้านที่เป็นศัตรู(3), การสูญเสียหุ้นส่วนทางการค้า(4), และการตอบโต้ของสังคมเองต่อปัญหาต่างๆ ทางด้านสิ่งแวดล้อมของมัน(5). Diamond ได้อธิบายถึงสังคมทั้งหลายดังต่อไปนี้

- 2.1 Easter Island (สังคมหนึ่งซึ่งได้ล่มสลายลงอย่างสิ้นเชิงอันเนื่องมาจากการทำลายสิ่งแวดล้อม)
- 2.2 The Polynesians of Pitcairn Island (การทำลายสิ่งแวดล้อมและการสูญเสียหุ้นส่วนทางการค้า)
- 2.3 The Anasazi of Southwestern USA (การทำลายสิ่งแวดล้อม และการเปลี่ยนแปลงของสภาพบรรยากาศ)
- 2.4 The Maya of Central America (การทำลายสิ่งแวดล้อม, การเปลี่ยนแปลงของสภาพบรรยากาศ, และเพื่อนบ้านที่เป็นศัตรู)
- 2.5 The Greenland Norse (การทำลายสิ่งแวดล้อม, การสูญเสียหุ้นส่วนทางการค้า, การเปลี่ยนแปลงของสภาพบรรยากาศ, เพื่อนบ้านที่เป็นศัตรู และความดื้อรั้นที่จะเปลี่ยนแปลงในการเผชิญหน้ากับการล่มสลายของสังคม)

- ท้ายที่สุด, Diamond ได้พูดถึงเรื่องราวความสำเร็จในอดีตไว้ 3 เรื่องคือ

- Tikopia เกาะเล็กๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิค
- ความสำเร็จทางด้านเกษตรกรรมของ central New Guinea
- การจัดการป่าในประเทศญี่ปุ่นในสมัยโตกุกาวา(Tokugawa)

- ส่วนที่สาม, เป็นเรื่องของการสำรวจสังคมสมัยใหม่ต่างๆ ดังต่อไปนี้

- 3.1 การล่มสลายในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของรวันดา, มูลเหตุส่วนหนึ่งเนื่องมาจากประชากรล้นเกิน
- 3.2 ความล้มเหลวของไฮติ เปรียบเทียบกับความสำเร็จค่อนข้างมากของเพื่อนบ้าน, นั่นคือ สาธารณรัฐโดมินิกัน
- 3.3 ปัญหาต่างๆ ที่เผชิญกับประเทศกำลังพัฒนา, อย่างเช่น จีน
- 3.4 ปัญหาต่างๆ ที่เผชิญกับประเทศโลกที่หนึ่ง อย่างเช่น ออสเตรเลีย

- ส่วนที่สี่, เป็นบทสรุปของการศึกษา โดยการพิจารณาถึงเรื่องราวบางอย่าง เช่น ธุรกิจและโลกาภิวัตน์ และการสกัดเอาบทเรียนในเชิงปฏิบัติต่างๆ มาใช้ประโยชน์สำหรับพวกเราในทุกวันนี้. โดยความตั้งใจแล้วเขาต้องการให้ฮอล์แลนด์เป็นแบบจำลองหรือเป็นตัวอย่าง เนื่องจากมีผืนแผ่นดินที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ซึ่งเป็นหนทางหนึ่งที่สังคมดัชท์ ได้จัดการกับปัญหาความท้าทายของสภาพแวดล้อม

บทวิจารณ์เกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้
Tim Flannery
Tim Flannery ได้วิจารณ์เกี่ยวกับหนังสือเรื่อง Collapse ในนิตยสาร Science, ความว่า
"... ตามข้อเท็จจริง, Diamond เป็นหนึ่งในบรรดานักคิดที่มีความคิดริเริ่มที่สุดของโลก ซึ่งเลือกที่จะเขียนงานขนาดมหึมานี้เมื่ออาชีพของเขาได้มาถึงที่สุดของวิชาชีพ. Collapse (การล่มสลาย) ถือเป็นข้อถกเถียงที่จูงใจชิ้นหนึ่ง ซึ่งสมควรได้รับการเอาใจใส่อย่างจริงจัง มันน่าจะเป็นหนังสือเล่มสำคัญที่สุดเท่าที่คุณเคยอ่านมาเลยทีเดียว"

The Economist
บทวิจารณ์ในนิตยสาร The Economist ส่วนใหญ่แล้วได้ให้ความชื่นชมเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ แม้ว่าจะมีนักวิจารณ์บางคนที่ไม่ระบุชื่อแสดงความไม่เห็นด้วยก็ตาม. รายแรก, มีความรู้สึกว่า Diamond ไม่ค่อยมองโลกอนาคตในแง่บวกมากเท่าใดนัก. ส่วนรายที่สอง, อ้างว่า Collapse ได้ให้ข้อมูลสถิติที่ผิดพลาดบางอย่าง ยกตัวอย่างเช่น Diamond ได้พูดเกินจริงไปเกี่ยวกับตัวเลขผู้คนที่อดอยากบนโลก

William Rees
วิลเลี่ยม รีส์ ศาสตราจารย์ทางด้านการวางแผนเชิงนิเวศวิทยา แห่งมหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบีย เขียนเอาไว้ว่า บทเรียนที่สำคัญที่สุดในหนังสือเรื่อง Collapse ก็คือ สังคมส่วนใหญ่ที่สามารถหลีกเลี่ยงการล่มสลายได้ สำหรับสังคมที่มีความกระฉับกระเฉง; พวกมันสามารถรับเอาวิถีปฏิบัติอันเป็นประโยชน์ต่างๆ มาปรับปรุงเพื่อความอยู่รอดของมันเอง และหลีกเลี่ยงวิถีปฏิบัติที่ไม่เป็นประโยชน์

ยิ่งไปกว่านั้น, เขายังเขียนว่า Collapse เป็นยาถอนพิษที่จำเป็นของบรรดาสานุศิษย์ของ Julian Simon อย่างเช่น Bjorn Lomborg ซึ่งเป็นผู้เขียนเรื่อง The Skeptical Environmentalist. รีส์ ได้อธิบายเพื่อเป็นการยืนยันดังข้อความต่อไปนี้:

"พฤติกรรมของมนุษย์ต่อเรื่องนิเวศวิทยา เป็นสิ่งที่ปฏิบัติการกันมาอย่างผิดๆ และตอนนี้ อย่างที่ถกเถียงกันได้ กำลังคุกคามความมั่นคงและเสถียรภาพในระยะยาวของเราอยู่. ปัญหาที่แท้จริงคือว่า โลกสมัยใหม่ยังคงอยู่ในอำนาจอิทธิพลของมายาคติทางวัฒนธรรมจอมปลอมที่เป็นอันตราย. อันนี้คล้ายๆ Lamborg กล่าว นั่นคือ รัฐบาลส่วนใหญ่และหน่วยงานหรือองค์กรระหว่างประเทศจำนวนมากดูเหมือนจะเชื่อกันว่า อุตสาหกิจของมนุษย์ โดยเหตุใดเหตุหนึ่ง กำลังแยกขาดจากสิ่งแวดล้อม และด้วยเหตุดังนั้นมันจึงถูกปรับไปสู่การแผ่ขยายอันไร้ขีดจำกัด. หนังสือเรื่อง Collapse ของ Jared Diamond ได้เผชิญหน้าและทำการตรวจสอบความขัดแย้งต่างๆ เหล่านี้อยู่

Jennifer Marohasy
ในงานพิมพ์เมื่อเร็วๆ นี้ เกี่ยวกับ Energy and Environment, Jennifer Marohasy แห่งสถาบันกิจการสาธารณะ(the Institute of Public Affairs) (อันเป็นถังความคิดในเชิงอนุรักษ์นิยมของออสเตรเลียแห่งหนึ่ง) ได้วิจารณ์หนังสือเรื่อง Collapse โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในบทที่เกี่ยวกับความเสื่อมโทรมของสภาพแวดล้อมในออสเตรเลีย. Marohasy อ้างว่า Diamond ได้สะท้อนถึงทัศนะของผู้คนทั้งหลายที่ถูกส่งเสริมโดยการรณรงค์ทางด้านสิ่งแวดล้อมในออสเตรเลีย แต่มันไม่ได้รับการสนับสนุนโดยหลักฐานใดๆ และให้เหตุผลว่า ข้ออ้างมากมายของ Diamond นั้น สามารถหักล้างและพิสูจน์ได้ว่าผิดพลาดอย่างไม่ยากเย็นอะไรนัก

Malcolm Gladwell
ในบทวิจารณ์ของ Malcolm Gladwell ซึ่งเขียนในนิตยสาร The New Yorker, เขาได้เน้นถึงวิธีการที่ Diamond ใช้ในการศึกษา ซึ่งแตกต่างไปจากบรรดานักประวัติศาสตร์แนวจารีตอื่นๆ โดยการโฟกัสลงไปที่ประเด็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมมากกว่าคำถามต่างๆ ทางวัฒนธรรม

ข้อแตกต่างของ Diamond ระหว่างการอยู่รอดทางสังคมและทางชีววิทยา เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งอันหนึ่ง เพราะว่าบ่อยครั้งมากทีเดียว เราได้เบลอทั้งสองสิ่งนี้เข้าหากัน หรือทึกทักเอาเองว่า การอยู่รอดทางชีววิทยาเป็นเรื่องของความบังเอิญหรือไม่ถูกคาดหวัง บนความเข้มแข็งเกี่ยวกับคุณค่าอารยธรรมของพวกเรา… ตามข้อเท็จจริงก็คือ แม้ว่าเรายังคงยึดมั่นอยู่ในกฎหมาย, รักในสันติภาพ, อดทนและลงทุนลงแรงกับการผูกมัดในอิสรภาพและความจริงอันเป็นคุณค่าของเรา แต่เราก็ยังคงประพฤติปฏิบัติในหนทางที่กำลังกระทำอัตวินิบาตกรรมทางชีววิทยาอยู่

ขณะเดียวกัน Diamond มิได้ปฏิเสธวิธีการศึกษาของบรรดานักประวัติศาสตร์แนวจารีตอื่นๆ หนังสือของเขา ตามความคิดเห็นของ Gladwell, ได้ให้ภาพเกี่ยวกับข้อจำกัดต่างๆ ของวิธีการศึกษาอันนั้นอย่างมีชีวิตชีวา. Gladwell ได้สาธิตเรื่องนี้ด้วยตัวอย่างของเขาเองเกี่ยวกับการริเริ่มลงคะแนนเสียงในรัฐโอเรกอน ซึ่งได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องสิทธิในทรัพย์สินและเสรีภาพต่างๆ เพื่อนำไปสู่การถกเถียงกันอย่างอิสระและเข้มข้น แต่ดูเหมือนว่าคำถามต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องของนิเวศวิทยา กลับไม่ได้ได้รับความเอาใจใส่มากเท่าที่ควร

ทฤษฎีต่างๆในทำนองเดียวกัน
ในการเขียนหนังสือเล่มนี้ Diamond เจตนาที่จะให้บรรดาผู้อ่านทั้งหลายเรียนรู้จากประวัติศาสตร์, จุดไฟขึ้นมาใหม่ให้การสำรวจถึงเรื่องราวดังกล่าวโดยบรรดานักประวัติศาสตร์อื่นๆ

นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษ Arnold J. Toynbee ในเรื่อง A Study of History (1934-1961) ได้ทำการศึกษาถึงการล่มสลายของอารยธรรมต่างๆ ด้วยเช่นกัน. Diamond เห็นด้วยกับ Toynbee ที่ว่า "อารยธรรมทั้งหลายได้จบชีวิตของพวกมันลงด้วยการกระทำอัตวินิบาตกรรม, ไม่ใช่ด้วยการฆาตกรรมแต่อย่างใด" เมื่อพวกมันไม่สามารถที่จะเผชิญกับความท้าทายในยุคสมัยของพวกมันเองได้

แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ Toynbee ให้เหตุผลว่า "รากเหง้ามูลเหตุของการล่มสลายก็คือ ความเน่าเปื่อยผุพังของคนส่วนน้อยที่สร้างสรรค์ของสังคม ที่เข้าสู่ตำแหน่งอภิสิทธิ์ที่รับช่วงสืบทอดมา ซึ่งได้ไปยุติความดีความชอบลง" (Toynbee argues that the root cause of collapse is the decay of a society's "creative minority" into "a position of inherited privilege which it has ceased to merit"), Diamond ได้ให้เหตุผลอย่างมีน้ำหนัก ต่อความสำนึกที่ต่ำมากเกี่ยวกับปัจจัยต่างๆ ทางด้านสิ่งแวดล้อม

จากแง่มุมอีกด้านหนึ่ง, นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกัน Joseph Tainter ในเรื่อง The Collapse of Complex Societies (1988) ได้ให้เหตุผลว่า มูลเหตุจากการสังเกตต่างๆ เกี่ยวกับการล่มสลาย อย่างเช่น ความเสื่อมทรุดของสิ่งแวดล้อมอย่างถึงที่สุด อันเป็นผลมาจากผลตอบแทนที่คืนกลับมาน้อยมากในการลงทุนต่างๆ ทางด้านพลังงาน, การศึกษา และนวัตกรรมทางเทคโนโลยี (เป็นสาเหตุของการล่มสลายของสังคม)

แนะนำผู้เขียน : Jared Diamond
Jared Mason Diamond (เกิดเมื่อวันที่ 10 กันยายน ค.ศ.1937) เป็นชาวอเมริกัน เขาเป็นนักชีววิทยาวิวัฒนาการ, นักสรีรวิทยา, นักภูมิชีววิทยา, และเป็นนักเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับสารคดี. Diamond ทำงานในตำแหน่งศาสตราจารย์ทางด้านภูมิศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย, ลอสแองเจลิส. เขาเป็นที่รู้จักอย่างดีในฐานะผู้ได้รับรางวัลพูลิเซอร์((Pulitzer Prize-winning book) จากหนังสือเรื่อง Gun, Germs, and Steel ในปี ค.ศ.1997, และยังได้รับรางวัลทางด้านวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (the National Medal of Science) ในปี ค.ศ. 1999 ด้วย

ชีวประวัติ
Diamond เกิดที่บอสตันในครอบครัวที่สืบทอดมรดกมาจากชนเชื้อสาย Polish-Jewish โดยมีพ่อเป็นหมอ, ส่วนแม่เป็นครู, นักดนตรี, และนักภาษาศาสตร์. หลังจากการเข้าศึกษาที่ Roxbury Latin School, เขาได้เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัย Harvard และได้รับปริญญาตรีในปี ค.ศ.1958 และต่อมาได้ศึกษาในระดับปริญญาเอกในด้านฟิสิกส์ชีววิทยา สาขาสรีรศาสตร์และเนื้อเยื่อ ที่มหาวิทยาลัย Cambridge ในปี ค.ศ.1961. ในช่วงระหว่างปี ค.ศ.1962-1966 เขาได้หวนกลับไปสู่มหาวิทยาลัย Harvard ในฐานะสมาชิกรุ่นเยาว์. เขาได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ทางด้านสรีรวิทยา ที่โรงแรียนแพทย์ศาสตร์, มหาวิทยาแคลิฟอร์เนีย, ลอสแองเจลิส ในปี ค.ศ.1966

ในช่วงอายุ 20 กว่าๆ เขาได้พัฒนาวิชาชีพที่สองคู่ขนานกันไปในเรื่องที่สนใจเกี่ยวกับนิเวศวิทยาและวิวัฒนาการของนกต่างๆในนิวกินี และได้มีโอกาสเดินทางมากมายเพื่อไปสำรวจยังเกาะนิวกินีและเกาะแก่งต่างๆที่อยู่ใกล้เคียง. ในช่วงวัย 50 กว่าๆ, Diamond ได้ค่อยๆ พัฒนาวิชาชีพของตนไปสนใจประวัติศาสตร์สิ่งแวดล้อม และได้เป็นศาสตราจารย์ทางด้านภูมิศาสตร์และวิทยาศาสตร์สุขภาพสิ่งแวดล้อม ณ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย, ลอสแองเจลิส, ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ดำรงอยู่จนกระทั่งปัจจุบัน

ผลงานของ Jared Diamond
Diamond เป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับผลงานทางด้านวิทยาศาสตร์ยอดนิยมจำนวนหนึ่ง รวมถึงเรื่องราวเกี่ยวกับมานุษยวิทยา, ชีววิทยา, ภาษาศาสตร์, พันธุศาสตร์,และประวัติศาสตร์. ผลงานซึ่งสร้างชื่อเสียงให้กับเขามากที่สุดคือเรื่อง Gun, Germs, and Steel (1997) ที่ได้รับรางวัลพูลิเซอร์ ซึ่งได้ยืนยันว่า ประเด็นปัญหาระดับนานาชาติในยุคสมัยของเรานั้น เป็นเรื่องของมรดกตกทอดของกระบวนการที่เริ่มต้นขึ้นในช่วงต้นของยุคสมัยใหม่(Modern period) ที่ซึ่งอารยธรรมทั้งหลายได้มีการการขยายตัวอย่างมากในการพัฒนาของมนุษย์ และได้ไปเหยียบย่ำทำลายอารยธรรมที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อนไปทั่วโลก

ในการสืบค้นของ Diamond ได้พยายามอธิบายว่า ทำไมอารยธรรมแบบอาณานิคมที่ก้าวหน้าซึ่งพัฒนาขึ้นในยูเรเซีย และพัฒนาการดังกล่าวไม่ค่อยได้ให้ความสนใจต่อเรื่องเล่าตำนานทางด้านชาติพันธุ์ และได้ละทิ้งไปจากสิ่งเหล่านั้น. เขาอ้างว่า ปัจจัยทางด้านนิเวศวิทยาได้อรรถาธิบายถึงพัฒนาการของอารยธรรมและเทคโนโลยี และได้บรรจุตัวอย่างต่างๆ ตลอดประวัติศาสตร์เอาไว้ในหนังสือเล่มดังกล่าว

เขาได้ชี้ชัดและพิสูจน์ถึงกระบวนการและปัจจัยหลักของพัฒนาการทางอารยธรรมว่า มันปรากฏตัวขึ้นในยูเรเชีย นับจากการเริ่มต้นขึ้นของมนุษย์ในแอฟริกาไปจนถึงการแพร่ขยายของยุคเกษตรกรรมและเทคโนโลยี ยกตัวอย่างเช่น เขาวางสมมุติฐานว่าพัฒนาการทางด้านเกษตรกรรมและความสลับซับซ้อน เป็นปัจจัยหนึ่งของแนวโน้มทั่วไปของสังคม. ในท้ายที่สุด การอธิบายมิได้วางแกนกลางหลักลงไปที่ตัวมนุษยชาติ แต่ค่อนข้างจะเน้นถึงการที่มนุษย์ได้ใช้อำนาจเข้าไปจัดการกับทรัพยากรต่างๆ ที่ไปสัมพันธ์กับภูมิศาสตร์, สภาพบรรยากาศ, และความสามารถในการหาอาหารและที่อยู่อาศัย

ในหนังสือเล่มล่าสุดของเขา Collapse: How Societies Choose to Fail or Succeed (2005), Diamond ได้อธิบายถึงสิ่งที่เป็นสาเหตุที่ทำให้อารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ในอดีตบางอารยธรรมต้องถึงความพินาศล่มสลาย และพิจารณาถึงสิ่งที่สังคมร่วมสมัยสามารถเรียนรู้ได้จากชะตากรรมต่างๆของพวกมัน. เช่นดังในเรื่อง Guns, Germs and Steel, เขาได้รื้อถอนคำอธิบายที่มีศูนย์กลางอยู่ที่เรื่องของชาติพันธุ์ก่อนหน้านี้ทิ้งไป สำหรับการล่มสลายของอารยธรรมที่เขาพูดถึง และได้โฟกัสลงไปที่เงื่อนไขปัจจัยต่างๆ ทางด้านนิเวศวิทยา

เขาได้ให้ความสนใจโดยเฉพาะต่อการตั้งถิ่นฐานของชาว Norse (นอร์เวเจียนโบราณ)ในกรีนแลนด์ ซึ่งได้สูญสลายไปในช่วงที่บรรยากาศได้หนาวเย็นลง ในขณะที่วัฒนธรรมของ Inuit (คนท้องถิ่นทางตอนเหนือของแคนาดา)กลับเจริญเติบโตขึ้นรายรอบ. เขายังได้นำเสนอบทที่ว่าด้วยการล่มสลายของอารยธรรม Maya, Anasazi และ Easter Island ด้วย ท่ามกลางอารยธรรมอื่นๆ

Diamond ได้อ้างถึงปัจจัย 5 ประการที่มีส่วนสนับสนุนบ่อยๆ ต่อความพินาศล่มสลาย และได้แสดงให้เห็นว่า มันมีปัจจัยหนึ่งซึ่งอารยธรรมทั้งหมดต่างมีร่วมกัน นั่นคือ การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างผิดพลาด. เขาได้ดำเนินรอยตามคำอธิบายนี้ด้วยบทต่างๆ ของหนังสือเกี่ยวกับอารยธรรมที่รุ่งเรือง โดยการที่อารยธรรมเหล่านั้นล้วนบริหารจัดการทรัพยากรของพวกเขาได้เป็นอย่างดี ยกตัวอย่างเช่น Tikopia Island และญี่ปุ่นภายใต้ยุคสมัยของโตกุกาวา

หนังสือและบทความที่เขียนโดย Jared Diamond

หนังสือ
- (2005) Collapse: How Societies Choose to Fail or Succeed. New York: Viking. ISBN 0-670-03337-5.
- Guns, Germs, and Steel Reader's Companion (2003), ISBN 1-58663-863-7.
- (1997) Guns, Germs, and Steel: The Fates of Human Societies. New York: W.W. Norton & Co.. I
SBN 0-393-31755-2.
- Why is Sex Fun? The Evolution of Human Sexuality (1997), ISBN 0-465-03127-7.
- The Third Chimpanzee: The Evolution and Future of the Human Animal (1992), ISBN 0-06-098403-1.
- The Birds of Northern Melanesia: Speciation, Ecology, & Biogeography (with Ernst Mayr, 2001),
ISBN 0-19-514170-9.
- Avifauna of the Eastern Highlands of New Guinea, Publications of the Nuttall Ornithological Club, No. 12, Cambridge, Mass., pp. 438 (1972).

บทความ
- Japanese Roots (June 1998) Discover
- Curse and Blessing of the Ghetto (March 1991) Discover, pp.60-66
- The Worst Mistake in the History of the Human Race (May 1987) Discover pp. 64-66
- Ethnic differences. Variation in human testis size. (April 1986) Nature 320(6062):488-489 PubMed.
- Island Biogeography and the Design of Natural Reserves (1976), in Robert M. May's Theoretical Ecology: Principles and Applications, Blackwell Scientific Publications, pp. 163-186.

ปกิณกะ
- Diamond สามารถพูดได้หลายภาษา และหนังสือหลายเล่มของเขาก็กว้างขวางหลากหลายในขอบเขตความรู้ อย่างเช่น ชีววิทยาโมเลกุล และโบราณคดี รวมไปถึงความรู้ในเรื่องการออกแบบตัวพิมพ์ดีด และระบบศักดินาของญี่ปุ่น. เนื่องมาจากความเชี่ยวชาญที่กว้างขวางของเขา และบทความเป็นจำนวนมากที่ให้ความเชื่อถือในตัวเขา, Mark Ridley ได้พูดอย่างติดตลกว่า Jared Diamond ไม่ใช่ปัจเจกชน(single person) อันที่จริงแล้วเขาคือ พหุชน(committee)"

- Diamond เป็นคณะกรรมการอยู่ในกองบรรณาธิการนิตยสาร Skeptic Magazine, อันเป็นสำนักพิมพ์ของสมาคม The Skeptics Society. เขายังเป็นสมาชิกของสมาคมปรัชญาอเมริกันด้วย(the American Philosophical Society), สมาคมวิชาการทางด้านศิลปะและวิทยาศาสตร์อเมริกัน(the American academy of Art and Science) และสมาคมวิชาการวิทยาศาสตร์แห่งชาติ(the National Academy of Sciences)

- Diamond เป็นผู้อำนวยการภูมิภาคสหรัฐฯ เกี่ยวกับชีวิตสัตว์ป่าโลก(the World Wildlife Fund). เขาเป็นผู้ได้รับรางวัล International Cosmos Prize

เชิงอรรถ
1. Flannery, T. (2005, January 7). "Learning from the past to change our future". In Science, 307, 45.
2. "Of Porpoises and Plantations". (2005, January 13). In The Economist, 374, 76.
3. Rees, W. (2005, January 6). "Contemplating the Abyss". In Nature, 433, 15 - 16.
4. Jennifer Marohasy, "Australia's Environment: Undergoing Renewal, Not Collapse" (PDF), Energy and Environment 16 (2005)
5. Malcolm Gladwell, "The Vanishing", The New Yorker, 2005-01-03

อ้างอิง
- Diamond, Jared (2005). Collapse: How Societies Choose to Fail or Succeed. ISBN 0-14-303655-6.

สำหรับผู้สนใจอ่านเพิ่มเติม
- Guns, Germs, and Steel: The Fates of Human Societies
- A Study of History by Arnold J. Toynbee
- The Collapse of Complex Societies by Joseph Tainter
- Creeping normalcy
- Decline of the Roman Empire, over 200 theories on why Rome collapsed.

++++++++++++++++++++++++++++++
ฉบับภาษาอังกฤษ

Collapse: How Societies Choose to Fail or Succeed
From Wikipedia, the free encyclopedia

Collapse: How Societies Choose to Fail or Succeed is a 2005 English-language book by Jared M. Diamond, professor of geography at University of California, Los Angeles . The broad premise of Diamond's book is that it deals with "societal collapses involving an environmental component, and in some cases also contributions of climate change, hostile neighbors, and trade partners, plus questions of societal responses" (p. 15). In writing the book Diamond intended that its readers should learn from history (p. 23).

Synopsis
In the prologue, Diamond summarizes Collapse in one paragraph, as follows.

"This book employs the comparative method to understand societal collapses to which environmental problems contribute. My previous book (Guns, Germs, and Steel: The Fates of Human Societies), had applied the comparative method to the opposite problem: the differing rates of buildup of human societies on different continents over the last 13,000 years. In the present book focusing on collapses rather than buildups, I compare many past and present societies that differed with respect to environmental fragility, relations with neighbors, political institutions, and other "input" variables postulated to influence a society's stability. The "output" variables that I examine are collapse or survival, and form of the collapse if collapse does occur. By relating output variables to input variables, I aim to tease out the influence of possible input variables on collapses."

Diamond lists eight factors which have historically contributed to the collapse of past societies:

1. Deforestation and habitat destruction
2. Soil problems (erosion, salinization, and soil fertility losses)
3. Water management problems
4. Overhunting
5. Overfishing
6. Effects of introduced species on native species
7. Human population growth
8. Increased per-capita impact of people

Further he says four new factors may contribute to the weakening and collapse of present and future societies:
1. Human-caused climate change
2. Buildup of toxic chemicals in the environment
3. Energy shortages
4. Full human utilization of the Earth's photosynthetic capacity

Diamond also states that "it would be absurd to claim that environmental damage must be a major factor in all collapses: the collapse of the Soviet Union is a modern counter-example, and the destruction of Carthage by Rome in 146 B.C. is an ancient one. It's obviously true that military or economic factors alone may suffice" (p. 15).

Book structure
Collapse is divided into four parts.

- Part One describes the environment of the US state of Montana, focusing on the lives of several individuals in order to put a human face on the interplay between society and the environment

- Part Two describes past societies that have collapsed. Diamond uses a "framework" when considering the collapse of a society, consisting of five "sets of factors" that may affect what happens to a society: environmental damage, climatic change, hostile neighbors, loss of trading partners, and the society's own responses to its environmental problems. The societies Diamond describes are:

- Easter Island (a society that collapsed entirely due to environmental damage)
- The Polynesians of Pitcairn Island (environmental damage and loss of trading partners)
- The Anasazi of the Southwestern USA (environmental damage and climate change)
- The Maya of Central America (environmental damage, climate change, and hostile neighbours)
- The Greenland Norse (environmental damage, loss of trading partners, climate change, hostile neighbours and unwillingness to change in the face of social collapse)

- Finally, Diamond discusses three past success stories:

- The tiny Pacific island of Tikopia
- The agricultural success of central New Guinea
- The Tokugawa-era forest management in Japan.

- Part Three examines modern societies, including:

- The collapse into genocide of Rwanda, caused in part by overpopulation
- The failure of Haiti compared with the relative success of its neighbour, the Dominican Republic
- The problems facing a Developing nation, China
- The problems facing a First World nation, Australia

- Part Four concludes the study by considering such subjects as business and globalization, and "extracts practical lessons for us today" (p. 22 - 23). Attention is given to the polder model as a way Dutch society has addressed its challenges.

Reviews
Tim Flannery
Tim Flannery gave Collapse a warm review in Science, writing[1]
"... the fact that one of the world's most original thinkers has chosen to pen this mammoth work when his career is at his apogee is itself a persuasive argument that Collapse must be taken seriously. It is probably the most important book you will ever read."

The Economist
The Economist's review was generally favorable, although the anonymous reviewer had two disagreements. Firstly, the reviewer felt Diamond was not optimistic enough about the future. Secondly, the reviewer claimed Collapse contains some erroneous statistics: for instance, Diamond supposedly overstated the number of starving people in the world.[2]

William Rees
University of British Columbia professor of ecological planning William Rees wrote that Collapse's most important lesson is that societies most able to avoid collapse are the ones that are most agile; they are able to adopt practices favorable to their own survival and avoid unfavorable ones. Moreoever, Rees wrote that Collapse is "a necessary antidote" to followers of Julian Simon, such as Bj?rn Lomborg who authored The Skeptical Environmentalist. Rees explained this assertion as follows[3]:

"Human behaviour towards the ecosphere has become dysfunctional and now arguably threatens our own long-term security. The real problem is that the modern world remains in the sway of a dangerously illusory cultural myth. Like Lomborg, most governments and international agencies seem to believe that the human enterprise is somehow 'decoupling' from the environment, and so is poised for unlimited expansion. Jared Diamond's new book, Collapse, confronts this contradiction head-on."

Jennifer Marohasy
In a recent edition of Energy and Environment, Jennifer Marohasy of the Institute of Public Affairs (a conservative think-tank in Australia), has a critical review of Collapse, in particular its chapter on Australia's environmental degradation. Marohasy claims that Diamond reflects a popular view that is reinforced by environmental campaigning in Australia, but which is not supported by evidence, and argues that many of his claims are easily disproved.[4]

Malcolm Gladwell
In Malcolm Gladwell's review in The New Yorker, he highlights the way which Diamond's approach differs from traditional historians by focusing on environmental issues rather than cultural questions.[5]
Diamond's distinction between social and biological survival is a critical one, because too often we blur the two, or assume that biological survival is contingent on the strength of our civilizational values... The fact is, though, that we can be law-abiding and peace-loving and tolerant and inventive and committed to freedom and true to our own values and still behave in ways that are biologically suicidal.

While Diamond doesn't reject the approach of traditional historians, his book, according to Gladwell, vividly illustrates the limitations of that approach. Gladwell demonstrates this with his own example of a recent ballot initiative in Oregon, where questions of property rights and other freedoms were subject to a free and healthy debate, but serious ecological questions were given scant attention.

Similar theories
In writing the book Diamond intended that its readers should learn from history (p. 23), re-igniting a theme explored by other historians.

British historian Arnold J. Toynbee in A Study of History (1934-1961) also studied the collapse of civilizations. Diamond agrees with Toynbee that "civilizations die from suicide, not by murder" when they fail to meet the challenges of their times. However, where Toynbee argues that the root cause of collapse is the decay of a society's "creative minority" into "a position of inherited privilege which it has ceased to merit", Diamond ascribes more weight to conscious minimization of environmental factors.

From another angle, U.S. historian Joseph Tainter in The Collapse of Complex Societies (1988) argues that observable causes of collapse such as environmental degradation ultimately result from diminishing returns on investments in energy, education and technological innovation.

Notes

1. Flannery, T. (2005, January 7). "Learning from the past to change our future". In Science, 307, 45.
2. "Of Porpoises and Plantations". (2005, January 13). In The Economist, 374, 76.
3. Rees, W. (2005, January 6). "Contemplating the Abyss". In Nature, 433, 15 - 16.
4. Jennifer Marohasy, "Australia's Environment: Undergoing Renewal, Not Collapse" (PDF), Energy and Environment 16 (2005)
5. Malcolm Gladwell, "The Vanishing", The New Yorker, 2005-01-03

References
- Diamond, Jared (2005). Collapse: How Societies Choose to Fail or Succeed. ISBN 0-14-303655-6.