โครงการก้าวสู่คริสตศตวรรษที่ ๒๑ ด้วยการทบทวนประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา


Update: 12 March 2007
Copyleft2007
-Free Documentation License-
Copyleft : 2007, 2008, 2009
Everyone is permitted to copy and distribute verbatim copies of this license
document, but changing it is not allowed.
บทความทุกชิ้นที่นำเสนอบนเว็บไซต์นี้เป็นสมบัติสาธารณะ และขอประกาศสละลิขสิทธิ์ให้กับสังคม
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนเปิดรับบทความทุกประเภท ที่ผู้เขียนปรารถนาจะเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน โดยบทความทุกชิ้นต้องยินดีสละลิขสิทธิ์ให้กับสังคม สนใจส่งบทความ สามารถส่งไปได้ที่ midnightuniv(at)gmail.com โดยกรุณาใช้วิธีการ attach file
H
บทความลำดับที่ ๑๑๘๕ เผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ตั้งแต่วันที่ ๑๒ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๐ (March, 12,03.2007)
R

การเมืองเรื่องรสนิยม และแฟชั่นในเชิงสังคมวิทยา
แฟชั่นวิถี-จักรเย็บผ้า-เศรษฐศาสตร์และสังคมวิทยา
ทัศนัย เศรษฐเสรี : บรรยาย
หลักสูตรสื่อศิลปะและการออกแบบสื่อ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

บทบรรยายเรื่องนี้ได้รับมาจากผู้บรรยาย เป็นเรื่องเกี่ยวกับ Fashionsophy
ศาสตร์ว่าด้วยเรื่อง
แฟชั่น ก่อนหน้านี้ไม่ใคร่ได้รับความสนใจทางด้านสังคมวิทยาเท่าใดนัก
ปัจจุบันเริ่มมีนักวิชาการหันมาให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก ในฐานะวัฒนธรรมทางสายตา
สำหรับในบทบรรยายนี้จะให้ภาพดังหัวข้อต่อไปนี้คือ
องค์ประกอบ 4 ส่วนของการออกแบบ, รัฐสมัยใหม่ และเรื่องของอัตลักษณ์,
การปฏิวัติอุตสาหกรรมและแฟชั่น, เรื่องของการสวมใส่เสื้อผ้าในอเมริกา,
การเกิดวัฒนธรรมแบบผสมผสานของอเมริกัน, จักรเย็บผ้าเกิดในยุโรป แต่นิยมในอเมริกา,
ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ที่เปลี่ยนไป มีผลต่อเรื่องของเสื้อผ้า,
นักออกแบบฝรั่งเศสและอังกฤษ ต้นคริสตศตวรรษที่ 20

(midnightuniv(at)gmail.com)

บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา
ข้อความที่ปรากฏบนเว็บเพจนี้ ได้มีการแก้ไขและตัดแต่งไปจากต้นฉบับบางส่วน
เพื่อความเหมาะสมเป็นการเฉพาะสำหรับเว็บไซต์แห่งนี้

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ ๑๑๘๕
เผยแพร่บนเว็บไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๐
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ ๑๗ หน้ากระดาษ A4)

+++++++++++++++++++++++++++++++++++

แฟชั่นวิถี-จักรเย็บผ้า-เศรษฐศาสตร์และสังคมวิทยา
คำสำคัญในบทความนี้ : Fashion System, Clothing Stylist, East Coast, West Coast, Installment Payment, Cooperate Identity, Pop Icon, Uniform, Fashion Lifestyle, Custom made Style, Make to Order Fashion, Pattern Cutter, Fashionsophy

กระบวนการออกแบบ เกี่ยวกับการสร้างภาพเพื่อการขาย
Design Process of a Constructed Image for Sale

ปัญหาโลกแตกระหว่าง Concept (แนวความคิด) และ Skill (ทักษะ)ทำให้ทุกคนปวดหัว ในโรงเรียนศิลปะและดีไซน์ หลายคนคิดว่าการเรียนเรื่อง Concept คือยาขม และเห็นรายได้แบบเนื้อๆ ได้ช้ากว่าการฝึกทักษะหรือ มี skill ที่ดี ส่วนผมมองว่าทั้ง 2 อย่างเป็นเรื่องเดียวกัน และหากขาดความเข้าใจทั้งคู่ ก็จะไม่สร้างรายได้เลย

การได้มาซึ่ง Concept มีคนเข้าใจผิดว่าเป็นเรื่องของการเรียนและจดจำทฤษฎีต่างๆ และการมีทักษะ skill ที่ดีคือการลงทุนเรื่องเวลาต่อการฝึกฝนทางเทคนิค อันที่จริงแล้ว ทั้ง 2 เรื่องคือการฝึกฝนกันคนละด้าน

ทฤษฎี คือแบบฝึกหัด นำมาซึ่งวิธีคิดด้วยการผสมผสานใหม่ ของกรอบต่างๆ ที่มีอยู่เดิม บนฐานของชีวิตทางวัฒนธรรมเฉพาะ ที่ซึ่งกรอบต่างๆ ถูกเลือก หากคิดว่าการเรียนทฤษฎีหรือฝึกฝนการคิดผ่านกรอบทฤษฎีคือคำตอบ การฝึกฝนทางปัญญาจะนำไปสู่ความแข็งทื่อของวิธีคิด ขาดมิติของการรังสรรค์การมองโลกแบบใหม่ๆ ที่สร้างสรรค์ และตัดขาดจากชีวิตต่างๆ ที่เดินไปเดินมาในสังคมนั้นๆ เช่นเดียวกับการติดกับดักทักษะความเป็นช่าง(artisan) รังแต่สร้างผลงานที่มีแต่รูปแบบปราศจากเนื้อหาที่แหลมคม

ถ้าหากลองฝึกฝนทักษะทั้ง 2 ด้าน สมองและมือ อย่างเข้าใจเราจะรู้จักเลือกที่จะคิดและเลือกที่จะถ่ายทอดความคิดผ่านทักษะอย่างเหมาะสมไม่ลุ่มล่าม

องค์ประกอบ 4 ส่วนของการออกแบบ
เชื่อกันว่าบริษัท Design ดีๆ ต้องประกอบด้วย 4 ส่วนที่กลมกลืน นั่นคือ

- ความคิดสร้างสรรค์
- การวิจัยสังคมของช่างฝีมือ
- การจัดการ และ
- การตลาด

ผ่านการมองและวิจัยสังคมวัฒนธรรมที่รอบด้านด้วยความตั้งใจที่จะรังสรรค์สิ่งที่เหมาะสม จะใหม่หรือไม่ก็ตาม แน่นอนทีเดียวต้องผ่านความชาญฉลาดของฝีมือและเทคนิค ในการถ่ายทอดสิ่งที่อยากนำเสนออย่างมีลีลา เทคโนโลยีสมัยใหม่ทำให้การเรียนเรื่องทักษะ(skill) และเทคนิคในการออกแบบ(Design) ไม่ใช่เรื่องยาก เราไม่จำเป็นต้องเกิดมาพร้อมพรสวรรค์ เราก็สามารถหาเทคนิคดีๆ มาใช้ได้ เช่นเดียวกับแนวความคิด(Concept) ด้วยการอธิบายที่มีทฤษฎีชั้นยอดกำกับ ติดตามอ่านบ่อย ฟังเขาคุยบ่อยๆ ก็ไม่ใช่เรื่องยาก

และหากปราศจากซึ่งความคิดดีๆ ทักษะเทคนิคจับใจ ถึงแม้จะผนวกด้วยความเข้าใจสังคมวัฒนธรรมอย่างรอบด้านเข้าไป การจัดการก็เป็นเพียงงานประจำ และไม่สร้างมูลค่าทางการตลาดเช่นกัน

โรงเรียนศิลปะและการออกแบบดีๆ ที่ผลิตศิลปินและนักออกแบบชั้นแนวหน้า คิดว่าการเรียนและผลิตแนวความคิดเป็นเรื่องสำคัญลำดับแรกๆ มาตั้งแต่อดีต ในปัจจุบันเนื่องด้วยพื้นที่ของการบริโภคขยายตัวกว้างขึ้น การจัดการและการตลาดจึงกลายมาเป็นอีกปัจจัยที่สำคัญในวงการออกแบบ

อย่างไรก็ดี ด้วยความสำคัญทั้ง 4 ด้านคือ ความคิดสร้างสรรค์, การวิจัยสังคม, ทักษะเทคนิค, และการจัดการการตลาด, บริษัท Design จะเรียงลำดับความสำคัญก่อนหลังไม่เหมือนกัน นำมาซึ่งรูปแบบของแฟชั่นเสื้อผ้าที่ต่างกันไป

ในบทความขนาดยาวชิ้นนี้ เริ่มการพูดถึงโลกแฟชั่น(Fashion System) ด้วยลักษณะเสื้อผ้าที่แตกต่างกันใน 3 กลุ่มคือ Clothing Stylist ,Clothing, และ Fashion. ถ้าบรรดานักออกแบบไม่เริ่มตั้งคำถามว่า คนใส่เสื้อผ้าด้วยเหตุผลและเงื่อนไขอะไร หรือคิดว่าจะวางเงื่อนไขให้คนใส่เสื้อผ้าแล้ว การจัดลำดับความสำคัญของปัจจัยทั้ง 4 ด้านข้างต้นก็จะเบลอ และวางตำแหน่ง(Position)การออกแบบไม่ถูกในกลุ่มเสื้อผ้าทั้ง 3 กลุ่มดังกล่าว การประกอบอาชีพกับการใส่เสื้อผ้าของเราก็จะไม่สัมฤทธิผล

การทำความเข้าใจปัจจัยทางสังคมวัฒนธรรมผ่านการวิจัยมาก่อน จะนำมาสู่การใช้ความคิดสร้างสรรค์ที่เชื่อมโยงกับความเป็นจริงและใช้ได้จริง (หรือใช้ได้เชิงสัญลักษณ์) ในโลกความเป็นจริง แล้วเราจะเลือกใช้เทคนิคที่มี Style ที่เหมาะสม จึงเลือกรูปแบบการจัดการการตลาดที่เหมาะสม ตรงนี้น่าสนใจว่าสิ่งเหล่านี้เริ่มเกิดขึ้นหรือยังในโลกแฟชั่นบ้านเรา (กรุงเทพฯ เมืองแฟชั่น?)

ไม่คิดแต่เรื่องการร้อยเรียงเส้น, สี, น้ำหนัก, รูปทรง, และวัสดุ, แล้วทึกทักหยิบเอาแนวความคิดใครต่อใครมา หรือไม่ก็มุ่งเน้นทักษะการตัดเย็บใน Studio หรือไม่ก็คิดแต่การเข้าใจตัวละครต่างๆ ทางสังคมวัฒนธรรมแบบจืดๆ ขาดความสร้างสรรค์ที่จะคิด หรือไม่ก็คิดแต่จะจัดการและวางระบบตลาดโดยไม่รู้ว่าจัดการอะไร และขายใคร ขายอะไรในตลาด

ความจริงในโลกธุรกิจ
ในโลกของธุรกิจไม่มีใครพูดความจริง หรือหากมีการอ้างถึงความจริงในมุมไหนก็ตาม ส่วนของความจริงนั้นๆ ก็จะถูกนำเสนอเป็นเพียงบางส่วนไม่ปะติดปะต่อ เป็นหน้าที่ของผู้บริโภคที่จะใช้ความสามารถตามที่มีอยู่ (ซึ่งไม่เหมือนกันแน่ตามแต่สถานะทางสังคมที่ตนใช้ชีวิตอยู่) ปะติดปะต่อเรื่องราวกันเอาเอง

ความจริงที่เคยมีความหมายอย่างหนึ่งในโลกใบเดิม ถูกเปลี่ยนสถานะให้เป็นเพียงข้อมูลข่าวสารที่ไม่ต้องการค้นหา, การฝึกฝน, หรือการถ่ายทอด Information มีชีวิตเลื่อนไหลในทุกๆที่ ทะลุทะลวงอาณาเขตที่เคยมีขอบเขตเฉพาะของมัน - ที่สาธารณะส่วนตัว, บ้าน, ที่ทำงาน, โรงเรียน, เขตวัด ฯลฯ. Information หรือข้อมูลข่าวสาร เป็นความจริงชนิดใหม่อยู่รอบๆ ตัวคุณโดยคุณไม่ต้องไปค้นหา

เมื่อเราเปลี่ยนตำแหน่งที่จะรับข้อมูลข่าวสาร ภาพรวม (ของความจริง) ที่ข้อมูลข่าวสาร ให้ไว้แบบลอยก็จะถูกปะติดปะต่อเป็นเรื่องราวที่ถูกสรุปต่างกันไป สร้างภาพที่ต่างกัน เพราะชิ้นส่วนต่างๆ ของข้อมูลข่าวสารที่เรารับต่างกัน ทำให้เกิดภาพของความจริง (ถ้ามีอยู่) ที่เป็นชิ้นส่วน(Segment)ด้วย เป็น Snapshot (การบันทึกภาพอย่างรวดเร็ว)ของประสบการณ์รับรู้ความจริงที่แยกเป็นเสี่ยงๆ

ถึงตรงนี้ดูเหมือนความคิดเรื่อง Cooperate Identity(อัตลักษณ์ร่วมกัน) คงทำให้เกิดขึ้นยากด้วยสถานการณ์ ของการรับรู้ทางสังคม(Social Perception)ในเวลาร่วมสมัย และยิ่งยากมากขึ้นเมื่อมีใครสักคนพูดถึงเรื่องการมี การครอบครอง และการผลิตอัตลักษณ์เชิงเดี่ยว

มักเกิดปัญหาทุกครั้งเมื่อมีความพยายามที่จะลดบทบาท ธรรมชาติตัวใหม่ในโลกร่วมสมัย นั่นคือความหลากหลายของวิถีชีวิต สไตล์ของรสนิยม ความเชื่อ ในแบบแผนการดำรงชีวิตเฉพาะให้เหลือเพียง แนวความคิด เชิงเดี่ยว เป็นอัตลักษณ์เดี่ยว

ผ่านการบริหาร สไตล์ของชีวิตที่แตกต่างหลากหลาย ด้วยเทคโนโลยี่ของการเมืองเรื่องรสนิยม การโต้แย้งทั้งทางตรงและอ้อมด้วย Tactic ของ Style ต่างๆ ย่อมเกิดขึ้นในพื้นที่การเมืองรสนิยมนี้ บางครั้งลุกลามถึงความต้องการแบ่งแยกดินแดน ดังตัวอย่างที่เกิดขึ้นโดยทั่วไปที่เห็นได้

รัฐสมัยใหม่ และเรื่องของอัตลักษณ์
รัฐสมัยใหม่เลิกพูดเรื่องรัฐกิจ - อำนาจ - รัฐศาสตร์ ในแบบเดิม, หากพูดถึงธุรกรรมและพันธกิจของรัฐโลกาภิวัตน์ ที่ต้องร่วมสงครามการค้าโลก และไม่ใช่การค้าที่พูดถึงมูลค่า คุณค่าของสิ่งที่จะค้า แต่พูดถึงการแข่งขันเรื่องมูลค่า / คุณค่าเทียมในสงครามการสร้างภาพ ซึ่งไม่ใช่สงครามของการสร้างภาพเพื่อรักษาหน้าตา แต่เป็นสงครามของการสร้างภาพ (Image) และการ (re) present Image เพื่อขายในตลาดสักที่

ถ้าอัตลักษณ์ของชาติ, วัฒนธรรม, หรือแม้แต่ของบุคคล ก็คือภาพชนิดหนึ่ง สิ่งเหล่านี้กำลังถูกสร้างและขาย (Design Process of a Constructed Image for Sell)

ปัญหายิ่งทวีความรุนแรงและซับซ้อนมากขึ้นเมื่อกระบวนการสร้างอัตลักษณ์เกิดขึ้นเพื่อตอบสนอง นโยบาย เรื่องความต้องการจะเป็นศูนย์กลาง (ของแฟชั่น อาหาร หัตกรรม เทคโนโลยี ฯลฯ ในสมัยนายกฯทักษิณ) เหตุเพียงเพื่อจะหาที่ยืนที่ไม่โคลงเคลงในเวทีโลกด้วยการค้นหา และอ้างความแตกต่างของมรดกวัฒนธรรม

ประเด็นเรื่อง "เอกลักษณ์ - อัตลักษณ์"
น่าแปลกที่คำว่า "อัตลักษณ์" ซึ่งเป็นคำเก่าไม่ถูกใช้อย่างแพร่หลาย (เพราะไม่เป็นประเด็น) กลับมีความหมายใกล้กับคำว่า "เอกลักษณ์" ที่เป็นปัญหาในอดีต "อัตลักษณ์" เป็นข้อถกเถียงใหม่ที่เลิกพูดถึงความเป็น "เอก" ของอะไรซักเพียงอย่างเดียว แต่พูดถึงความหลากหลายที่อาจจะไม่เป็น "เอก" ก็ได้

"เอกลักษณ์" เป็นคำที่มีความหมายทางรัฐศาสตร์ของความหมายเชิงเดี่ยว ผิดกับ "อัตลักษณ์" ที่มีลักษณะเป็นพหุความหมายและสะท้อนแนวคิดเรื่องกิจกรรม ที่อัตลักษณ์หลายๆ แบบมีส่วนร่วมสร้างสรรค์อยู่. สำหรับคำว่า"เอกลักษณ์" เป็นข้อสรุปของแนวคิดที่ไม่มีกิจกรรม ไม่มีความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง, แต่ "อัตลักษณ์" เต็มไปด้วยพลวัฒน์ของการสร้างใหม่เชิงความหมายอย่างไม่หยุดนิ่ง

ปัจจุบัน คำว่า "เอกลักษณ์" ไม่ถูกใช้ในโลกธุรกิจ และ "อัตลักษณ์" ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายก็กำลังถูกผลิตในฐานะข้อมูลข่าวสาร ถ้าจะแปลก็คือเป็นข้อมูลของการมีตัวตน (Identical Information Permitted Being) (แบบหนึ่งหรือหลายแบบก็ตาม) และถ้าข้อมูลคือความจริง อัตลักษณ์สะท้อนความจริงของชีวิตแบบหนึ่ง. อัตลักษณ์ก็คือกลุ่มของข้อมูล ดังนี้แล้วความหมายของอัตลักษณ์จะไม่เคยถูกสร้าง หรือถูกรับในฐานะความหมายเชิงเดี่ยวโดยผู้รับข้อมูล (และไม่มีความจำเป็นด้วย) เหตุเพราะเราเคลื่อนย้าย Position ในพื้นที่ หรือโลกของข้อมูลไปเรื่อยๆ ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น

เมื่อไม่มีใครพูดความจริงในโลกธุรกิจ การมีอัตลักษณ์จริงๆ ก็ไม่มีความจำเป็น. การออกแบบที่มีพื้นฐานของอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมเฉพาะที่เป็นจริงมากๆ ก็ไม่จำต้องมีตามไปด้วย

สังคมกำลังมองหาอะไร?
การซื้อเสื้อที่มี Screen ภาพใบหน้าของ เช กูวารา (นายแพทย์นักปฏิวัติของคิวบา) มาใส่ ไม่ได้หมายความว่าผู้สวมใส่ต้องรู้จักตัว เช กูวารา มากนัก เช่นเดียวกับการมีภาพเขียนสีน้ำมัน รูปพระพุทธเจ้าไว้ห้องนั่งเล่นของฝรั่งสักคน ก็ไม่ได้หมายความว่าคำที่เขาใช้กันฮิตๆ Story Behind จะมีความหมายอะไรที่ลึกซึ้ง ปลาบปลื้ม และมีผลอย่างรุนแรง นำมาสู่การตัดสินใจซื้อแต่อย่างไร. มันมีเรื่องอื่นที่ซ้อนๆกันอยู่ในนั้น ซึ่งจะได้พูดถึงในต่อไป

แต่ที่น่าสนใจก็คือ กลไกของการผลิตเพื่อบริโภคปัจจุบัน สามารถทำให้คนที่ตายไปเมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้วอย่างพระพุทธเจ้า กลายเป็น Pop Icon ได้ในระดับเดียวกับนักร้อง Grammy หรือ Pop Icon อื่นๆ ที่ตายไปไม่นานมากเช่น Elvis Presley หรือ James Dean, เป็นการผลิตซ้ำโดยไม่มีเงื่อนไขข้อเท็จจริงเรื่องเวลา ประวัติศาสตร์ และสถานที่ แต่มี Story Behind กำกับพร้อมตรารับประกัน

เช่นเดียวกับสินค้าวัฒนธรรมตัวอื่น ที่มี Story Behind กำกับ พร้อมตรารับประกันข้อเท็จจริงเรื่องเวลา ประวัติศาสตร์ และสถานที่ ไม่หลอกลวงใคร หรือไม่มีใครสนด้วย. นี่เป็นสังคมที่เวลาหยุดเดิน ในขณะที่การผลิต การบริโภค ดำเนินต่อไป

โลกการค้าในเวลาปัจจุบันทำให้ แนวความคิดและการออกแบบต้องยึดพื้นที่ และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในตลาดที่กว้างขวางมากขึ้น. การออกแบบจะไม่ทำงาน ถ้าบรรดานักออกแบบ คิดต่อเรื่องการออกแบบที่ใช้ในสังคมขนาดเล็กๆ เหมือนในอดีต

ไม่ว่าจะจัดความสำคัญของกระบวนการออกแบบ (แนวความคิด, การวิจัยสังคมวัฒนธรรม, ทักษะ/ ฝีมือ/ เทคนิค, การจัดการ, การตลาด) โดยเรียงอะไรขึ้นก่อน/หลัง เพื่อตอบโจทย์ว่าจะขายใคร, ขายอย่างไร, ขายที่ไหน, มีสิ่งหนึ่งซึ่งกระบวนการออกแบบที่จะนำไปสู่แนวคิดการออกแบบที่ดีนั้นต้องการอย่างมาก นั่นคือ ข้อมูลข่าวสารในหลายๆ ระดับ

คนที่มีระดับหรือชั้นของข้อมูลมากที่สุด คือ คนที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด (หรืออาจพูดได้ว่าเสี่ยงน้อยกว่าคนอื่น)
หรือการออกแบบโดยฐานข้อมูลอย่างรอบด้านนั้น คือความสามารถในการพูดถึง Story Behind ของตัว Product ได้อย่างน่าฟัง อาจเป็นการบริหารความเสี่ยงทางการตลาดที่ฟังดูดี สำเร็จ (สร้างมูลค่า) ไม่เช่นนั้นก็ สามารถพูดได้ว่า Story Behind ที่สร้างขึ้นมา จะมีสักกี่คนที่กังวลใจว่าจะจริงแค่ไหน

ถึงตรงนี้ หน้าที่และความหมายของนักออกแบบในโลกปัจจุบันได้เปลี่ยนไปแล้ว แรงบันดาลใจของการออกแบบ (Design Inspiration) ที่เคยถูกเชื่อว่าจำเป็นที่สุด ปัจจุบันไม่ใช่สิ่งที่นักออกแบบสะท้อนออกมาจากส่วนลึกที่สุดของหัวใจอีกแล้ว หรือถ้ายังคงเป็นเช่นนั้นและเชื่อว่ายังจำเป็นอยู่ จะมีใครที่ยังคงเงี่ยหูฟัง. แล้วที่เชื่อกันว่า บริษัทออกแบบที่ดีต้องมีการวิจัยสังคม-วัฒนธรรม, แนวความคิด, ทักษะ/เทคนิค, การบริหารจัดการ, การตลาด, ยังเป็นอะไรที่ฟังดูว่ามันใช้ได้อีกไหม

ถ้าเป็นอย่างนั้น มีวิธีอื่นเป็นล้านวิธีที่จะทำมาหากินได้ โดยไม่ต้องมานั่งคิดหาอัตลักษณ์และทำตัวเป็นศูนย์กลางของอะไรไปเสียทุกเรื่อง ไม่ต้องมาออกแบบให้เยิ่นเย้อด้วย รับเขามาถูกๆ แล้วเอามาขายก็เพียงพอแล้ว เป็นอันจบเรื่องที่จะเถียง ว่า Concept หรือ Skill อันไหนสําคัญกว่ากัน

เพราะ : "ฉันคิด - ฉันจึงมีอยู่ - ดังนั้นฉันจึงบริโภค - แล้วฉันก็เดินจากไป"
(I think; therefore I am, and then I consume and walk away)

นักออกแบบอยู่ ณ จุดใดของเวลาในโลกร่วมสมัย ตกลงแล้วยังคงมีนักออกแบบเหลืออีกไหมในโลกนี้ ?

การปฏิวัติอุตสาหกรรมและแฟชั่น
ล้วนมีผู้ศึกษามาแล้วทั้งสิ้นว่าในหลายๆ พื้นที่ของการออกแบบ จะมีคุณลักษณ์พิเศษที่แตกต่างกัน แล้วเราเรียนรู้อะไรจากประวัติศาสตร์ของการเปลี่ยนแปลงคุณลักษณ์พิเศษเหล่านี้ ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจดีขึ้นว่าทำไมฝรั่งเศสถึงมีสไตล์การออกแบบอย่างนั้น, ทำไมแฟชั่นที่มาจากอังกฤษดูแล้วมันมีสีสัน มันฮิต ถูกใจวัยรุ่นมากกว่าฝรั่งเศสและนิวยอร์ก, ทำไมสไตล์แบบนิวยอร์กถึงน่าเบื่อเหลือเกิน, มันเกิดอะไรขึ้น?

แล้ววงการนักออกแบบหรือนักลงทุนในวงการนี้เขาคิดอย่างไร ต่อแนวคิดเรื่องการออกแบบแฟชั่น?
ช่วงปลายคริสตศตวรรษที่ 19 ช่องว่างของชนชั้นทางสังคม ในอเมริกามันแคบกว่าในยุโรป เราจะเห็นว่าในยุโรปแม้กระทั่งปลายคริสตศตวรรษที่ 19 แล้ว แม้กระทั่งเกิดการผลิตในเชิงมวลรวม แล้วมีจารีตประเพณีของการรักษาสถานภาพทางสังคมของชนชั้นสูงยังคงแข็งแรงอยู่ คือสังคมราชการ สังคมที่เชื่อชนชั้นสูง มักเกิดการ Copy Design ระหว่างชนชั้นล่างกับชนชั้นสูง คือไม่หยิบยืม แต่ว่าตั้งใจ Copy กันเลย

ช่วงเวลาของการปฏิวัติอุตสาหกรรม สัดส่วนของเวลาของชีวิตมนุษย์ถูกจัดวางในที่เฉพาะ เวลาเป็นปัจจัยสำคัญของการบริหารโลกสมัยใหม่ มนุษย์จะต้องอยู่ในโรงเรียนกี่ปี, ต้องเข้าเรียนมหาวิทยาลัยกี่ปี, จะต้องแต่งงานอายุเท่าไหร่, จะต้องทำงานถึงกี่โมง, จะต้องมีงานนอกเวลาไหม, ทั้งหมดยืนอยู่บนพื้นฐานเวลาที่ถูกตัดแบ่ง

เมื่อมนุษย์มีกิจกรรมมากขึ้น ด้วยแนวความคิดที่เปลี่ยนไปในเรื่องเวลา สิ่งนี้ส่งผลถึงการเปลี่ยนแปลงต่อกิจกรรมในชีวิตผ่านแฟชั่นด้วยเหมือนกัน เช่น การเกิดขึ้นของเสื้อผ้าประเภท Uniform (เครื่องแบบในแบบเดียวกัน). งานประเภทหนึ่งต้องมี Uniform เฉพาะ ทำงานราชการก็ต้องมี Uniform, ในโรงงานอุตสาหกรรมจะเห็นได้ชัด มีเสื้อหลายๆ สี จะเห็นได้ชัดเจนว่าใครอยู่ Section ไหน ใครอยู่ใน Rank ไหนของตำแหน่งก็จะมี Uniform บ่งบอก Uniform นอกจากจะบอกสถานะและหน้าที่การทำงาน ยังรวมถึงระดับความรู้ความสามารถที่ถูกจัดแล้วด้วย

ขณะที่ในอเมริกาในช่วงเวลาเดียวกัน สิ่งเหล่านี้เริ่มเบลอ ชนชั้นทางสังคม ตำแหน่งหน้าที่ทางการงาน ที่มองเห็นได้ผ่านเสื้อผ้าเริ่มมองไม่ค่อยเห็นแล้ว. Mass Production ในอเมริกา เป็น Mass Production อย่างที่เราเข้าใจในเวลาปัจจุบัน คือว่า Mass Production ไม่ใช่เป็นการผลิตที่เอื้อต่อคนโดยส่วนใหญ่ในเบื้องต้น. ในยุโรปเสื้อผ้าที่ผลิตมาจากกระบวนการ Mass Production หรือว่าเป็น Machine Made เป็นเสื้อผ้าโรงงานอุตสาหกรรมยังมีราคาแพงอยู่ เทียบกับสัดส่วนของรายได้ ของผู้ที่จะจับจ่าย ยังเข้าถึงไม่ได้ง่ายนัก แตกต่างจากในอเมริกาอย่างสิ้นเชิง เรามาดูว่าเกิดอะไรขึ้นในอเมริกา

เรื่องของการสวมใส่เสื้อผ้าในอเมริกา
ในยุโรป ( เช่นเดียวกับสังคม Bureaucrat (ขุนนาง ข้าราชการอื่นๆ ที่ยังคงหลงเหลือให้เห็นในปัจจุบัน )เสื้อผ้าเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกสถานะของบุคคล แล้วก็บ่งบอกถึงลักษณะเฉพาะของคนที่สวมใส่ บอกถึงปูมหลัง อัตลักษณ์เชิงวัฒนธรรม แต่ในอเมริกาเสื้อผ้าในตอนต้นของศตวรรษที่ 20 ไม่ได้บ่งบอกถึงความเป็นอัตลักษณ์ ไม่ได้บ่งบอกถึงความเป็นสถานะทางสังคมเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว

เหตุเพราะแนวความคิดในเรื่องชนชั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงภายใน เราเห็นสัญลักษณ์หนึ่งไม่ได้หมายความว่า สัญลักษณ์เหล่านั้นถูกอ่าน ถูกตีความ ถูกแปลความหมายได้ตรงไปตรงมา บางครั้งความหมายที่ซ่อนอยู่ในสัญลักษณ์นั้นๆ มันเลื่อนไหล และมันเลื่อนไหลอยู่เสมอ การสวมใส่เสื้อผ้าของอเมริกันก็เช่นเดียวกัน
ประเด็นเรื่องใครทำงานอะไร ใครอยู่ในชนชั้นไหนไม่ใช่ประเด็นของคนอเมริกัน เราจะเห็นว่าคนอเมริกันเชื่อเรื่องความเป็นมนุษย์ที่มีประชาธิปไตยในการใช้ชีวิตที่เท่าเทียมกัน จะทำงานอะไรก็แล้วแต่ ข้างนอกหลังเลิกงานเป็นเพื่อนกันได้ ประธานาธิบดีก็สามารถนั่งกินเบียร์อยู่ในผับกับภารโรงได้ โดยที่ไม่ต้องรู้สึกว่าภารโรงจะต้องรินเบียร์ให้กับประธานาธิบดีตลอดเสมอ

ชีวิตทางการงานแน่นอนมันมีตำแหน่ง แต่ทุกคนเท่าเทียมกันในฐานะชีวิตทางสังคม, ซึ่งแตกต่างจากยุโรปที่ คล้ายกับเมืองไทย ยุโรปกับบ้านเราเป็นสังคมที่มีลักษณะ Bureaucratic กล่าวคือ เป็นสังคมราชการ ซึ่งจะมีความรู้สึกเรื่องของชนชั้น เรื่องของผู้หลักผู้ใหญ่อยู่ ความรู้สึกเหล่านี้มันปรากฏอยู่ในการสวมใส่เสื้อผ้า ปรากฏอยู่ในเครื่องแต่งกายด้วย

ในยุโรปตอนต้นศตวรรษ มีการ Copy Style ของชนชั้นสูง เพราะว่าชนชั้นล่างต้องการที่จะเลือนสถานะของตัวเอง แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เลื่อนสถานะในชีวิตจริง แต่เลื่อนสถานะของตัวเองในฐานะสัญลักษณ์ ขอเลื่อนสถานะเชิงสัญลักษณ์ในความฝัน ในจินตนาการผ่านเสื้อผ้า แต่ว่าการเลื่อนสถานะในเชิงสัญลักษณ์เหล่านั้น มันไม่ได้เปลี่ยนแนวความคิดสถานภาพทางสังคมจริงๆ คือเสื้อผ้าเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงสถานะนั้น ๆ ในยุโรป. ซึ่งในอเมริกา ความรู้สึกเหล่านี้เบาบางเต็มที จะใส่อะไรก็ใส่ไป มันไม่เกี่ยวกับสถานะอะไร อยากจะใส่เสื้อผ้าเพื่อความสนุก ใส่เพื่อล้อเลียนอะไรก็แล้วแต่ มันเป็นเรื่องของบุคคล. และในอเมริกาต่างกับยุโรปซึ่งความรู้สึก สัมผัสในเรื่องเหล่านี้ยังสูงมาก

Fashion Lifestyle
หันมาพิจารณาถึงลักษณะของ Fashion Lifestyle นั่นคือรูปแบบในการใช้ชีวิตของชนชั้นใดชนชั้นหนึ่ง ถูกกำกับด้วยความรู้เฉพาะ ที่จะใช้ชีวิตอย่างมี Style. รูปแบบการใช้ชีวิตคือเทคโนโลยี ซึ่งต้องมีความรู้เฉพาะที่ใช้กำกับเทคโนโลยีตัวนั้นเสมอ ความรู้เหล่านั้น ต้องถูกเรียนรู้และถูกสั่งสอนโดยชนชั้นเฉพาะนั้นๆ ที่เป็นเจ้าของความรู้ เป็นเจ้าของ Lifestyle

ในยุโรปจะมีหลักสูตรเรียนว่าจะเป็นชนชั้นสูงได้อย่างไร แล้วก็ไม่ได้มีโรงเรียนเปิดสอน เขาสอนกันในเฉพาะกลุ่มของพวกเขา ผ่านครอบครัว, ผ่านเครือญาติ, ผ่านสมาคมที่อยู่ในชนชั้นเดียวกัน, เพราะฉะนั้นจะมีสถานที่รักษาองค์ความรู้ที่ใช้กำกับ Style Character สำหรับ Lifestyle เหล่านั้น คนที่อยู่นอกชนชั้นดูเหมือนจะเข้าไม่ถึงชุดความรู้นั้น ๆ ด้วย

Copy เชิงรูปแบบได้ Copy สิ่งที่มันอยู่ข้างนอกได้ ที่เราเห็นได้ชัด Form ของเสื้อผ้า, แต่เรา Copy ความรู้ไม่ได้ ความรู้ที่จะใช้สำหรับ Appreciate หรือซาบซึ้งรสนิยมเหล่านั้น คนนอกชนชั้นเข้าไม่ถึง เพราะมันไม่ใช่การไปดูแล้วก็จำมา แต่เป็นฐานการเข้าใจต่อ World View หรือโลกทัศน์. เพราะฉะนั้นคนนอกวัฒนธรรมสูงจะมี ความขัดแย้งกับตรงนี้. คำถามก็คือ แล้วใครเป็นคนกำหนดว่าอะไรเป็นรูปแบบการใช้ชีวิตที่สูงกว่ารูปแบบอื่นๆ เข้าใจกันแน่ๆ ว่าชนชั้นสูง หรือชนชั้นหยิบมือเดียวเป็นผู้กำหนดทุกอย่าง, คนพวกนี้คือคนที่เป็น Trend Setter ซึ่งไม่ได้ Set เฉพาะ Style ของการใช้ชีวิต ไม่ใช่เฉพาะรูปแบบเสื้อผ้า แต่ Set องค์ความรู้ทั้งหมดด้วย

เราจะดื่มไวน์เท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจ เพราะเราไม่ได้เติบโตมาจากสังคมที่ดื่มไวน์ เราเริ่มดื่มไวน์เมื่อ 10 กว่าปีก่อนซึ่งคนยุโรปเขาดื่มกินมาตั้งแต่เขาเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น แล้วเขาก็ซาบซึ้งกับวิธีผลิตไวน์ วัฒนธรรมการกินไวน์ ประวัติศาสตร์ของไวน์ตั้งแต่เด็กๆ มันเป็นองค์ความรู้ที่เราเข้าไม่ถึง ช่วงชีวิตของเราบางช่วงไม่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมไวน์เหล่านั้น กินยังไงก็ไม่เข้าใจ เราดื่มก็แค่รู้ว่าอร่อยกับไม่อร่อย ไวน์นี้รสแห้งหรือไม่ อาจจะมีความรู้นิดๆ ว่ามันผลิตมาจากไหน มาจากภูมิภาคใดของประเทศผู้ผลิตก็ตาม แล้วภูมิภาคอากาศเหล่านั้นมันมีผลต่อองุ่นอย่างไร ก็เป็นความรู้แบบพื้นๆ เท่าที่เราจะหาได้ การดื่มไวน์มันประกอบไปด้วยเรื่องอื่นๆ ไม่ใช่แค่ดื่มไวน์แบบเท่ห์ ๆ อย่างเดียว. ชุดของความเข้าใจรูปแบบของวัฒนธรรมนั้นๆ มาพร้อมกับการบริโภคเนย มาพร้อมกับการกินแครกเกอร์หรือขนมปังกรอบ มาพร้อมกับรู้ว่าดื่มไวน์แล้วจะพูดถึงเรื่องอะไร, เขาจะมีวัฒนธรรมการกินด้วยไม่ใช่แค่การหยิบแก้วแล้วกระดกไวน์เข้าปาก ยิ่งการดื่มแชมเปญไม่ต้องพูดถึง

ตรงนี้ชี้ว่า Style และ Character ของวัฒนธรรมเฉพาะมีความรู้เฉพาะกำกับเสมอ. Character เข้าถึงไม่ยาก แต่ความรู้เข้าถึงยากมาก แล้วยิ่งเป็นความรู้ที่ข้ามวัฒนธรรม บางครั้งหลายคนบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเข้าใจ แต่ตรงนั้นไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นข้อจำกัดของยรรดานักออกแบบในเวลาปัจจุบัน

ปัจจุบัน เงื่อนไขปัจจัยต่างๆ เปลี่ยนไป สมัยก่อนอะไรก็ต้องของจริง จะออกแบบอะไรต้องเข้าใจที่ว่าจริงตรงนั้น ต้องเข้าใจปูมหลัง ต้องเข้าใจ Story Behind แต่ความคิดตรงนี้ไม่แน่จะใช้การได้ในปัจจุบัน

ความแตกต่างของเสื้อผ้าอเมริกัน
ในอเมริกาเสื้อผ้าแตกต่างจากในยุโรปแน่ๆ เนื่องจาก Concept เรื่องชนชั้นเบาบาง เสื้อผ้ามันไม่ได้เป็น Marker หรือเครื่องหมาย, ไม่ได้เป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงชนชั้น, เพราะฉะนั้นลักษณะของเสื้อผ้าก็จะมี Style ที่เรียบง่าย เรียบง่ายทั้งการตัดเย็บ เรียบง่ายทั้งการใช้และการเลือกวัสดุ วัสดุที่ดูคล้ายๆ กันแต่คนตาถึงเขาจะดูออก ว่ามันเป็นของจริงหรือไม่จริง มันแพงหรือไม่แพง แต่ในอเมริกาเขาไม่สนใจ เนื่องจากมันมีคนตาถึงไม่กี่คน ส่วนใหญ่ตาไม่ถึง แล้วก็ใช้อะไรเหมือน ๆ กันหมด

ซึ่งไม่เหมือนกับในยุโรป เขาจะเล่นกันว่าอันไหนของแท้ ของจริง แน่นอนทีเดียวคนที่อยู่ในอเมริกาไม่ใช่คนอเมริกันจริงๆ คนอเมริกันก็คือคนพื้นถิ่น, อินเดียนแดง, เม็กซิกัน, คนอเมริกันจริงๆ ที่มันเป็น Population ส่วนใหญ่คือคนที่ย้ายมาจากที่อื่น และสิ่งที่นำติดตัวมาด้วยก็คือประเพณี, โลกทัศน์, แล้วคุณลักษณ์เฉพาะในการใช้ชีวิต คนเหล่านี้ไม่ได้ย้ายมาแต่ตัวแต่มาพร้อมกับ Background ที่ตัวเองได้รับการสั่งสอนมา และสิ่งที่ตามมาอีกอย่างด้วยคือ"การเกลียดวัฒนธรรมของตัวเอง การพยายามที่จะมาแสวงหาโลกใหม่ ชีวิตที่ดีกว่า"

คนที่ย้ายมาจากยุโรปในตอนต้นคือคนที่เกลียดวัฒนธรรมพวกนี้ วัฒนธรรมที่มันรุ่มร่าม ที่พวกเขาถูกกันออกและเข้าไม่ถึงวัฒนธรรมของชนชั้นสูง พยายามจะไปแสวงหาโลกใหม่ แน่นอนทีเดียวมีเงื่อนไขปัจจัยอื่นๆ ด้วย เช่นการแสวงหาความเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจใหม่ๆ มาขุดทอง เบื้องต้นคนยุโรปที่ย้ายมาในอเมริกาอย่างน้อยก็ไม่ใช่คนจน ต้องมีทุนในระดับหนึ่งถึงจะย้ายมาได้ เดินทางต้องใช้เงิน เพราะฉะนั้นคนที่เดินทางมาในทวีปอเมริกาต้องมีปูมหลังในเรื่องการมีทุนในระดับหนึ่ง

ทุนการเงินและทุนวัฒนธรรม
การมีทุนในยุโรปหมายถึง ทุนทางการเงินซึ่งมีทุนทางวัฒนธรรมพ่วงมาด้วย คนในยุโรปสมัยก่อนจะมีคนอยู่ 2 กลุ่มที่ถือว่าเป็นกลุ่มสำคัญในการขับเคลื่อนสังคม ก็คือกลุ่มที่มีทุนทางวัฒนธรรม พวกที่อยู่ปราสาท ราชวังจะมีทุนเหล่านี้, อีกพวกหนึ่งก็คือพ่อค้า ทุนทางการเงินมีแน่ๆ ความเข้าใจที่แตกต่างกันอยู่ที่ทุนทางวัฒนธรรม. พวกที่มีเชื้อพระวงศ์ เป็นขุนนาง เป็นเจ้ามาก่อน ก็จะมีทุนเหล่านี้ เพราะพวกเขาเติบโตมากับขนบจารีตดังกล่าว

คำว่าทุนวัฒนธรรมตามความเข้าใจของคนกลุ่มนี้คือ ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องศิลปวัฒนธรรม เกี่ยวกับชีวิต พวกภาพเขียน อะไรทั้งหลายแหล่ที่มันอลังการ รวมถึงอาหารการกิน จะกินอย่างไร อาหารอะไรที่ดี เนื้อแบบไหนที่ดี คุณภาพของการใช้ชีวิตในรูปแบบอย่างนั้นถือว่าเป็นทุนทางวัฒนธรรม ซึ่งพ่อค้าก็มี พ่อค้าเป็นคนกลุ่มแรกๆ ที่พยายามที่จะเลื่อนฐานะของตัวเองหลังจากที่ตัวเองมีทุนทางการเงินแล้ว สิ่งที่ต้องการจะมีมากขึ้นก็คือทุนทางวัฒนธรรม เมื่อมีเงินก็พยายามที่จะจ้างครูมาสอนให้มีมารยาทแบบกำมะลอ คือว่าจะซื้อทุนวัฒนธรรมเหล่านี้เพื่อจะเลื่อนสถานะตัวเองให้สามารถที่จะเข้ากับพวกเจ้าติดดินสมัยก่อน

กลุ่มคนที่มีฐานะทางการเงินที่มั่งคั่งเหล่านี้เป็นกลุ่มที่ใหญ่ทีเดียวที่ย้ายมาในทวีปอเมริกา เพราะฉะนั้นสิ่งที่นำติดตัวมาด้วย 2 อย่างคือ ทุนทางการเงินและทุนวัฒนธรรม บางคนย้ายมาเสร็จก็จนลง ลองไปดูในนามสกุลเก่าๆ ที่เป็นนามสกุลอเมริกัน เราสามารถศึกษากลับไปหาอดีตได้ว่าคนเหล่านี้มาจากตระกูลอะไรในยุโรป เขาพกความมั่งคั่งของความรู้ทางวัฒนธรรม แล้วเอาความรู้เหล่านี้ เรื่องฝีมือในการตัดเย็บเสื้อผ้า ความเข้าใจเรื่องเฟอร์นิเจอร์ ความเข้าใจเรื่อง Design อื่นๆ ที่ใช้ประกอบเครื่องเคียงในการใช้ชีวิตแล้วเอามาปรับประยุกต์เข้ากับโลกใหม่

ประเด็นแรกมีความรู้สึกที่เรียกว่าสองแง่สองง่าม จะเกลียดก็ไม่เกลียดทั้งหมดในโลกเดิมที่ตัวเองหนีมา จะรับโลกใหม่ทั้งหมดก็ไม่รู้ว่าโลกใหม่คืออะไร ประเด็นที่สองคือจะหวนกลับ จะผลิตซ้ำ หรือพยายามที่จะมีในสิ่งที่ตัวเองมีในบ้านเกิดเมืองนอนในยุโรปก็เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่หลงเหลือก็คือ Idea คือ Image หรือว่าจินตนาการเกี่ยวกับโลกที่ตัวเองหนีมา แล้วก็พยายามจะปรับใช้กับโลกใหม่โดยการใช้วัสดุท้องถิ่น แล้วก็ทำให้มันใช้การได้เท่าที่มันจะทำได้

แน่นอนว่าไม่เหมือนของจริงต้นฉบับในยุโรปทีเดียว แต่มีการปรับใช้ภายใต้เงื่อนไขใหม่ บวกกับมาเจอกลุ่มใหม่ๆ พวกคนอพยพด้วยกันที่มาจากภูมิภาคอื่นๆ เกิดการแลกเปลี่ยนหยิบยืมวัสดุซึ่งกันและกัน หยิบยืมสไตล์ ซึ่งกันและกัน

คุณลักษณะเฉพาะของสไตล์อเมริกัน จึงโน้มเข้าหากันหมด ดูเหมือนไม่มีคุณลักษณ์เฉพาะโดยภาพรวม แต่ถ้าจะศึกษาลงไปในรายละเอียดกันจริงๆ พยายามที่จะย้อนกลับไปหาที่มาที่เป็นของเดิมในอดีต ก็พอจะได้เห็นสไตล์แบบที่สามารถบ่งชี้ว่ามาจาก Irish มาจาก England มาจากทางใต้ของยุโรปอะไรอย่างนี้ แต่ว่ามันเห็นได้ยากมากในเวลาปัจจุบัน. นั่นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้นักออกแบบอเมริกัน หรือผู้ประกอบการอเมริกัน ถือเป็นจุดสำคัญในการที่จะได้มาซึ่งมูลค่าทางเศรษฐกิจในโลกปัจจุบันด้วย มันจะเกี่ยวพันกับการเกิดขึ้นของ Pop Culture ซึ่งเกี่ยวพันกับยุทธศาสตร์ในการทำแฟชั่น ในโลกยุคโลกาภิวัตน์

ขณะที่ฝรั่งเศสก็ทำไป จะทำ Street Fashion จะโต้แย้งกับวัฒนธรรมขั้นสูงก็ทำไป, อเมริกันเอา Mass Production ไม่ใช่เป็น Mass Consumer เฉพาะในอเมริกา แต่ผลิตขายให้ลูกค้าทั่วโลก เกิดเสื้อผ้าที่ทุกคนในโลกสามารถใส่ได้ เหมือนๆ กันแบบพื้นๆ

การเกิดวัฒนธรรมแบบผสมผสานของอเมริกัน
ภูมิภาคที่ยังทิ้งร่องรอยของความเป็นยุโรปไว้ในอเมริกา ในยุคของการย้ายถิ่นฐานตอนแรกก็คือ East Coast (ฝั่งตะวันออก) คือฝั่งนิวยอร์ก ฝั่งที่มันใกล้ทวีปยุโรป กับฝั่งที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในยุคสร้างชาติของอเมริกาคือฝั่ง West Coast (ฝั่งตะวันตก) คือฝั่งของซานฟรานซิสโก เพราะมันเป็นพื้นที่เขตร้อน เต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ เหมืองทองก็ดี ป่าไม้ก็ดี. ในเมื่อฝั่ง West Coast เต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ เต็มไปด้วยความเป็นไปได้ของการลงทุน คนชั้นสูงเป็นจำนวนมากในฝั่ง East Coast จะอยู่แบบชนชั้นสูงไม่มีเงินกินข้าวไม่ได้แล้ว ต้องหาอะไรทำ แล้วก็เป็นความหวังหนึ่งในการที่จะแสวงหาโลกใหม่ในอเมริกา คือมาสร้างฐานะใหม่ในทวีปนี้ คนเหล่านี้จึงได้โยกย้ายจากฝั่ง East Coast ไปยัง West Coast

เมื่อย้ายมาก็มาเจอความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ที่ไหนก็แล้วแต่ที่มีแหล่งงาน ที่ไหนก็แล้วแต่มีทรัพยากรธรรมชาติ ที่นั่นจะเต็มไปด้วยคนที่มาจากหลายๆ ภูมิหลัง หลายๆ ชาติพันธุ์ เมื่อมุ่งหน้าจะไปขุดทอง ไปเจอคนญี่ปุ่น ไปเจอคนจีน ไปเจอคนเม็กซิโก แน่นอนทีเดียวคนเหล่านี้ก็ยังคงอยู่ใน Second Rank ของชนชั้นทางสังคมในช่วงแรก เป็นแค่แรงงานไร้ฝีมือ สร้างทางรถไฟ ขุดเหมือง ขุดทอง ใช้แรงงานไปวันๆ เมืองพวกชนชั้นสูงย้ายถิ่นจากยุโรปมาเจอความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ยิ่งทำให้ความรู้สึกในจารีตประเพณี ความรู้สึกที่เป็นทุนวัฒนธรรมของตัวเอง ถูกโน้มน้าว(Blend)เข้ากับสิ่งที่ตัวเองพบเห็นมาในฝั่ง West Coast มากขึ้น

เมื่อการลงทุนของอเมริกันยังไม่ถึงช่วงที่สองที่เป็นไปในทางอุตสาหกรรม ซึ่งส่วนมากเป็นอุตสาหกรรมหนัก และพื้นที่ตรงกลางของทวีปอเมริกาที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากปลูกข้าวโพด เลี้ยงสัตว์ เป็นพื้นที่สำหรับอุตสาหกรรมการเกษตร เป็นพื้นที่มีแต่อันตราย ไม่ได้รับการแยแส ในช่วงเวลานั้นคนจากฝั่งตะวันออกเองก็ย้ายไปสู่ฝั่งตะวันตก เพื่อแสวงหาแหล่งงาน, ด้วยเหตุนี้ วัฒนธรรมในยุโรปจึงยิ่งเลือนหายจางลงไปมากขึ้น มีการโน้มเอียง เข้ากับวัฒนธรรมอื่นมากมายไปหมดในช่วงเวลานี้ อันเป็นการทำให้เกิดอัตลักษณ์ของความเป็นอเมริกันมาจนกระทั่งปัจจุบัน

จักรเย็บผ้าเกิดในยุโรป แต่นิยมในอเมริกา

เราจะไม่เห็นว่าภาพลักษณ์ของความเป็นอเมริกันมาจากบอสตัน มาจากนิวยอร์ก ส่วนใหญ่เราจะนึกถึงภาพความเป็นอเมริกันตะวันตก คือฝั่ง West Coast. เทคโนโลยีมีส่วนในการที่จะทำให้เกิดปรากฏการณ์วงการเปลี่ยนแปลงการรับรู้(Perception)ในวงการเสื้อผ้า จักรเย็บผ้าตัวแรกที่เป็นจักรขนาดเล็กซึ่งใช้ในครัวเรือนถูกผลิตในยุโรปก่อน มีขนาดเล็กและใช้คนเดียว ใช้ในครอบครัว แล้วค่อยขยายเป็นการผลิตขนาดใหญ่ทีหลัง
แต่มันน่าแปลกที่ยุโรปเป็นต้นตำรับของการผลิตจักรเย็บผ้า อย่างไรก็ตาม จักรเย็บผ้าในยุคแรกๆ นั้น มันไม่เป็นที่นิยมมากนักในยุโรป แต่กลับมาเป็นที่นิยมกันมากในอเมริกา

ถ้าเราคิดว่าเครื่องจักรคือเทคโนโลยีในการช่วยทำให้เกิดการตัดเย็บ ไม่ได้บอกเรื่องสไตล์ธุรกิจ เรื่อง Mass Production ที่ทำให้เสื้อผ้ามีลักษณะที่เข้าถึงได้ แล้วผลิตได้ง่าย ซึ่งมันน่าจะเติบโตในยุโรปก่อน. แต่ทำไมถึงไปเติบโตในอเมริกา ก็เพราะคนยุโรปมันไม่ชอบอะไรง่ายๆ คนยุโรปจะชอบอะไรที่มันรุ่มร่าม. Character ของอเมริกันแฟชั่นเริ่มง่ายขึ้น เป็น Pattern ที่ง่ายขึ้น จะใช้วัสดุอะไรไม่ค่อยสนใจมาก เอาง่ายๆ เข้าไว้ ดูเรียบๆ ใส่ได้ทุกโอกาส เทคโนโลยีจึงได้ถูกนำมาใช้และทำงานได้ต้องสอดคล้องกับโลกทัศน์ของผู้ใช้ด้วย จักรเย็บผ้าเป็นเทคโนโลยีที่น่าจะเอื้ออำนวยต่อความคิดดังกล่าว แต่มันไม่สอดคล้องกับโลกทัศน์ของคนยุโรป

ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ที่เปลี่ยนไป มีผลต่อเรื่องของเสื้อผ้า
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ เช่น การเปลี่ยนเรื่องทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ ซึ่งส่งผลต่อสไตล์ในเสื้อผ้า เศรษฐกิจมหภาคในยุคต้นๆ เน้นเรื่องเศรษฐกิจโรงงานอุตสาหกรรม การบริหารเศรษฐกิจแบบนี้ทำให้คนเข้าถึงเทคโนโลยี โดยมีแหล่งทุนสนับสนุนให้มากที่สุด ถ้าจักรเย็บผ้ามีขายในตลาดอเมริกัน แต่ถ้าคนอเมริกันไม่มีเงินซื้อจักรเย็บผ้า ทำยังไงเศรษฐกิจระบบนี้จะช่วย, เกิดระบบ Installment Payment ซึ่งเป็นปัจจัย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเสื้อผ้า

ระบบเสื้อผ้า หรือ Fashion System ในอเมริกัน หลายคนมองไม่ออกว่าปัจจัยสำคัญคือ พื้นฐานทางความคิดเชิงทฤษฎีต่อเรื่องการเงินที่เปลี่ยนไป ส่งผลต่อ Character ของเสื้อผ้าด้วย แต่มันไม่ได้ส่งผลโดยตรง. เงินไหลเวียนในตลาดเงินมากในอเมริกัน เนื่องจากมีการลงทุนในโลกใหม่ ทำให้คนมีเงิน ทำให้เกิด Character ที่เปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับการบริโภค มันเปลี่ยนผ่านระบบ Installment Payment ด้วยการซื้อจักรเย็บผ้าเงินผ่อนได้ ดังนั้นมันจึงไปเปลี่ยน Character ของการตัดเย็บอเมริกัน หลายคนเปิดร้านตัดเย็บเสื้อผ้า ผลิตได้เร็วขึ้น ตรงนี้ได้ไปตอกย้ำการผลิตเชิงปริมาณจำนวนมากในเวลาต่อมา ทุกสิ่งไหลเวียนในระบบการตลาดได้คล่องแคล่วที่สุด

นอกจากจักรเย็บผ้าและระบบ Installment Payment มีเทคโนโลยีอื่นๆ เกิดขึ้นในเวลาที่ไล่เลี่ยกันด้วย นั่นคือ Pattern กระดาษสำหรับการตัดที่ขายในตลาด มี Size ที่มันเป็นมาตรฐาน ซึ่งทำให้ง่ายและสะดวกต่อการตัดเย็บมากขึ้น

ระบบเศรษฐกิจและการจัดการตลาดสมัยใหม่ไม่เบ่งบานในยุโรป ในเวลาเดียวกับที่ทุกอย่างเติบโตอย่างรวดเร็วในอเมริกา เพราะฉะนั้นสิ่งที่ดำเนินต่อมาในยุโรป ก็คือ ประเพณี ความเชื่อ การตัดเย็บแบบเดิมๆ แบบที่มีการถ่ายทอดกันแบบสกุลช่างสำหรับลูกค้าที่ต้องการเสื้อผ้าแบบ Custom made Style เสื้อผ้าที่ตัดเย็บกันเองในครัวเรือนจึงยังคงความหลากหลายขึ้นอยู่กับถิ่นที่อาศัยในแต่ละภูมิภาค ไม่มี Standard Pattern (แบบมาตรฐาน) เช่นตลาดเสื้อผ้าในอเมริกา จักรเย็บผ้าที่ใช้ในครัวเรือนไม่แพร่หลาย เพราะยุโรปในช่วงนั้นไม่เชื่อระบบเงินผ่อน, Pattern กระดาษก็ไม่ถูกผลิตและใช้มากด้วย

นักออกแบบฝรั่งเศสและอังกฤษ ต้นคริสตศตวรรษที่ 20
เราจะเห็นว่าบรรดานักออกแบบในต้นคริสตศตวรรษที่ 20 ในอเมริกา ในฝรั่งเศส และในอังกฤษ มีวิธีการเรียน และคิดเรื่องการออกแบบไม่เหมือนกัน

- ในฝรั่งเศสการจะเป็นนักออกแบบเช่นเดียวกับการเป็นศิลปิน ซึ่งต้องเป็นลูกมือของ Master ก่อน, การเป็นลูกมือทำให้เกิดการ Share ระบบคุณค่า ระบบความเข้าใจ Characterist เฉพาะ ก็คือ Trend ในเรื่อง Fashion

- แต่ในอังกฤษนั้นต่างออกไป อังกฤษเป็นประเทศที่ไม่มีอะไรเลยเป็นของตัวเอง คือ อยากกินเหล้าก็ผลิตเหล้าไม่เป็น ผลิตเหล้านี่ต้องคนป่าคนดอยผลิต คนอังกฤษเป็นคนหัวสูง คิดว่าตัวเองไม่ใช่คนป่า คิดว่าตัวเอง Civilized ตั้งแต่ไหนแต่ไร เรื่อง Lifestyle ก็เช่นกัน อะไรก็แล้วแต่ก็จะบอกว่าตัวเองเป็นต้นตำรับซึ่งจริงๆ แล้วนั้น ขโมยคนอื่นเอามาทั้งสิ้น

เพราะฉะนั้นการ Copy สไตล์ของฝรั่งเศสไม่ใช่เรื่องแปลกในวงการเสื้อผ้าอังกฤษ ไม่มีนักออกแบบในอังกฤษ มีแต่ Draftman และ Pattern Cutter. แต่ Fashion อังกฤษปัจจุบัน มันจะมี Generation ที่สอง ที่สาม คิดว่าทำไมต้องเป็น Make to Order Fashion คือ Custom made ในความหมายเดิม. เกิด Street Fashion ในอังกฤษ เป็นภาพสะท้อนของการไม่เห็นด้วยกับวัฒนธรรมชั้นสูง ตอนแรกทีเดียวถูกมองว่าเป็นพวกไพร่ ไร้รสนิยม แต่เดี๋ยวนี้พวกไพร่ครองเมือง และวัฒนธรรมไพร่นี่ขายกันแพง (ซึ่งจะค่อยย้อนกลับมาพูดถึงประเด็นนี้ทีหลัง)

ลักษณะกายภาพ ลักษณะทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมเปรียบเทียบ
ทุกประเทศต้องมีเงินทุน ต้องมีศูนย์กลางทางการเงิน มีเมืองหลัก แต่เมืองของอเมริกานั้นจะไม่ค่อยมีระยะห่างหรือช่องว่างระหว่างเมืองกับชนบทมากนัก ทุกอย่างเป็น Pattern ทีใกล้ๆ กัน คนอเมริกันไม่มีชนชั้นถ้าจะมีก็เป็นชนชั้นกลาง ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นพวกมีอำนาจ คือกลุ่มคนที่ทำงานให้กับรัฐ เช่น Pentagon กลุ่มคนที่ทำงานให้กับพวก Intelligence Department หรือเป็นประธานาธิบดี ซึ่งเราไม่ถือเป็นกลุ่ม

ในอเมริกาประชากรส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลาง มาตรฐานการใช้ชีวิต และการเข้าถึงเทคโนโลยีที่เอื้ออำนวยการใช้ชีวิตให้สะดวกค่อนข้างใกล้เคียงกัน คนจนในอเมริกามีไมโครเวฟใช้ มีเครื่องอำนวยความสะดวกพื้นฐานที่หาได้ไม่ยาก ไม่มีเงินก็ผ่อนได้ หรือถ้าไม่มีเงินผ่อน ก็ไปซื้อของมือสองมาใช้ได้ มีขายเต็มไปหมด ซึ่งในยุโรปกลับไม่ค่อยเห็นตรงนี้

สังคมไทยมีลักษณะใกล้กับยุโรปที่มีช่องว่างทางสังคมอยู่มาก เงื่อนไขปัจจัยบางอย่างที่เราไม่เคยคิดว่ามันเป็นตัวกำหนด เป็นดัชนีชี้การเปลี่ยนแปลงทางรูปลักษณ์ของแฟชั่น ถ้าเราดูดีๆ มันล้วนส่งผล ถึงกันหมด การจะเข้าใจอะไรก็แล้วแต่ มันมีปัจจัยรอบด้านที่จะแบ่งเป็นกลุ่ม เรื่องเศรษฐศาสตร์, เรื่องวัฒนธรรม, เรื่องการเมือง, เรื่องการศึกษา, ที่เป็นส่วนช่วยกำหนดรูปทรงอันเป็นคุณลักษณ์เฉพาะของแฟชั่นด้วย. สิ่งนี้เราได้เรียนมาแล้วในประวัติศาสตร์ อย่างน้อยในอเมริกา, รายได้ต่อหัว ต่อครอบครัวในอเมริกา ใช้จ่ายเท่าไหร่ต่อการใช้เสื้อผ้า เราพูดถึงยุคที่อเมริกันมีความเฟื่องฟูเรื่องแฟชั่น มีการผลิตเป็น Mass Production

ตัวเลขการใช้จ่ายเงิน เป็นเงินรายได้ของอเมริกันต่อการซื้อเสื้อผ้าช่วงควอร์เตอร์ที่ 2 ของคริสตศตวรรษที่ 20 ช่วงประมาณปี 1925-1930 สัดส่วนของการใช้จ่ายเงินต่อเสื้อผ้าในอเมริกาลดลง ตัวเลขตรงนี้มันบอกอะไรได้. ขณะที่ยุโรปมันคงที่แล้วก็ขยับขึ้น แต่ในอเมริกากลับลดลง คนในอเมริกาใช้เสื้อผ้าน้อยลงหรืออย่างไร เกิดอะไรขึ้นต่อความเข้าใจเรื่องการจับจ่ายใช้สอย และการใช้เสื้อผ้าในอเมริกา?

พอเป็น Mass Production มากๆ ราคาสินค้าลดต่ำลง การใช้จ่ายไม่ได้คิดต่อ Item ว่าของถูกลง สมัยก่อนใช้เงิน 10 บาท ซื้อเสื้อผ้าได้แค่ 1 ตัว Mass Production ปัจจุบัน 10 บาทซื้อเสื้อผ้าได้ 10 ตัว สิ่งที่ถูกเน้นมากๆ ก็คืออะไรก็แล้วแต่ที่เปลี่ยนมันเปลี่ยนจากโลกทัศน์ก่อน วิธีการใช้เงิน วิธีการเลือกซื้อเสื้อผ้า วิธีการผลิตอะไรก็แล้วแต่ หรือโลกทัศน์ของบุคคล ของสังคม ที่มันเปลี่ยน คนอเมริกันเริ่มจะง่ายขึ้นเพราะมันเป็น Mass Consumption มากขึ้น ไม่เกี่ยวกับราคา

คนอเมริกันไปเน้นกิจกรรมเรื่องอื่นของการใช้ชีวิตมากกว่า ที่เป็น Lifestyle แบบอเมริกัน มันมีกิจกรรมอื่นอีกมากมายที่เป็นกิจกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้น แล้วคนอเมริกาก็มุ่งความสนใจไปในกิจกรรมเหล่านั้น โดยลดทอนความสนใจในเรื่องของการใส่เสื้อผ้า การตามแฟชั่นลง ประกอบกับเสื้อผ้าในอเมริกามันไม่น่าสนใจด้วย มันง่าย มันเหมือนกันหมด, เชยแหลก

คนเอเชียที่อยู่ในอเมริกาในปัจจุบันเป็นคนที่แต่งตัวดีสุด ใช้สินค้ามียี่ห้อ(Brand Name)ทุกอย่าง โดยเฉพาะคนเอเชียที่เป็น Second Generation คือคนเอเชียที่เกิดแล้วเติบโตในอเมริกา จะมีรสนิยมแบบหนึ่ง ตรงนี้เราสามารถสนทนาได้ว่ามีปูมหลัง มีการสะท้อนสิ่งที่ตัวเองไม่เคยมีในรุ่นพ่อ พอถึงรุ่นลูกก็อยากให้มันมี ก็ใช้กันเข้าไป แตกต่างจากคนอเมริกันซึ่งไม่ค่อยแยแสกับ Look ของตัวเองมากนัก

คนที่ทำงานในสำนักงาน อย่างไรเสียก็ให้สุภาพไว้ก่อน มีบางอาชีพที่เขาแต่งตัวอย่างไรไปทำงานก็ได้ แม้กระทั่งศาสตราจารย์ที่สอนหนังสือในมหาวิทยาลัย ไว้ผมยาวบ้าง ใส่ตุ้มหูบ้าง เขาอยากทำอะไรก็ทำ ให้สอนหนังสือได้ก็เป็นอันใช้ได้. คนอเมริกันไม่ค่อยแยแสเรื่องแบบนี้ จะทุ่มเทความสนใจไปเรื่องอื่นมากกว่า คือ รูปทรง หรือ Character ของรสนิยมตัวอื่น

ในทศวรรษที่ 60s การส่งยานอพอลโลไปดวงจันทร์ เป็นปรากฏการณ์ที่มีผลทางสังคมที่ทำให้เกิดกิจกรรมใหม่ๆ เกิดรูปร่างของการออกแบบใหม่ๆ แล้วคนอเมริกันก็เทความสนใจไปทางนวัตกรรมใหม่ๆ ของการออกแบบเหล่านั้น. พูดให้ถึงที่สุด คนอเมริกันละทิ้งความสนใจเรื่องการแต่งตัว แต่ไปสนใจการออกแบบตัวอื่น อาจจะเน้นเรื่อง Interior Design หรือการตกแต่งภายในบ้าน เน้นเรื่องที่อยู่อาศัย ใช้จ่ายเงินจำนวนมากในเรื่องห้องครัว เครื่องครัว เฟอร์นิเจอร์ในห้องนั่งเล่น รถยนต์ การทำสวน ฯลฯ ทำให้สัดส่วนของการจ่ายซื้อเสื้อผ้าน้อยลง อันนี้เป็นสัดส่วนที่คำนวณจากการจับจ่ายภายใน, เป็น Family Income แต่สิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกันคือมันมีสัดส่วนของเม็ดเงินที่พุ่งสูงขึ้นต่อการส่งออก หรือการขายเสื้อผ้าอเมริกันภายนอกประเทศ

บทสรุป
ก่อนที่จะเข้าสู่เรื่องร่วมสมัย(Contemporary)มากๆ เรื่องวงการแฟชั่นในลอนดอนในนิวยอร์ก เราลองมาตรวจสอบรายการต่างๆ กันก่อนว่า ที่ผ่านมามันมีความเชื่อ หรือมีกระบวนการอะไรบ้างที่เป็นปัจจัยทำให้เกิด รูปลักษณ์เฉพาะในเรื่องเสื้อผ้าที่เปลี่ยนแปลงไป

เท่าที่มองเห็นได้ชัดเจนมีอยู่ 2 แบบ

- อันที่หนึ่งคือ "เชื่อแบบราชการ" ว่าสังคมสังคมหนึ่งมันมีชนชั้นเป็นรูปทรงพีระมิด แล้วคนที่อยู่ยอดพีระมิดเป็นผู้กำหนด Trend และรูปแบบการใช้ชีวิตของคนที่อยู่ข้างล่างมี Hi-class, Upper-class, Middle-class และ Bureau Over-class คือชนชั้นสูง ชนชั้นกลางและชนชั้นต่ำ

- อันที่สองคือ คนที่อยู่สูงสุดของพีระมิดมักจะกำหนด Trend ให้กับชนชั้นล่าง แล้วชนชั้นล่างก็จะลอกเลียนแบบ Lifestyle ของชนชั้นบน ในขณะเดียวกันก็มีเสียงสะท้อนอีกข้างหนึ่งว่า เลียนแบบสักพักหนึ่งแล้วก็เริ่มหมั่นไส้ชนชั้นสูง ทำให้เกิดการผลิต หรือการสร้างสรรค์รูปลักษณ์เฉพาะของตนเอง

ความเข้าใจเรื่องโลก เรื่อง Lifestyle ในกรอบความคิดแบบเดียวกัน มีแต่ความน่าเบื่อ และมันไม่มีหรอกการลอกเลียนจริงๆ เพราะการ ลอกเลียน เป็นการลอกเลียนทางรูปแบบอย่างเดียว ไม่ได้มีความเข้าใจ อันที่จริงแล้วมันต้องมีองค์ความรู้กำกับอยู่ด้วย ต้นทุนทางวัฒนธรรม ความรู้ทางวัฒนธรรม ที่มันเป็นกลุ่มของความหมายเชิงสัญลักษณ์

ชนชั้นหนึ่งจะเข้าใจในความหมายซึ่งมีลักษณะการใช้ชีวิตแบบเฉพาะกลุ่มตนได้ต้องผ่านความรู้เฉพาะที่ตัวเองได้เรียนรู้มาผ่านครอบครัว ผ่านเพื่อนฝูงที่อยู่ในชนชั้นเดียวกัน ไม่มีใครสามารถที่จะเรียนอะไรนอกเหนือจากความเข้าใจของตัวเองได้. ความคิดตรงนี้ทำให้เกิดข้อถกเถียงว่า ถ้าอย่างนี้แล้วคนที่เป็นทาสก็จะเป็นทาสไปตลอดทั้งชีวิตหรือ คนที่เป็นชนชั้นสูงก็จะเป็นอย่างนั้นตราบเท่าที่ชีวิตจะหาไม่

ต่อข้อโต้แย้งตรงนี้มีคนบอกว่า ในความเป็นจริงแล้วตามธรรมชาติ มันไม่มีใครหรอกที่จะไม่มีความสามารถในการเรียนรู้อะไรที่มันนอกเหนือตัวเอง อะไรที่มันไม่ใช่ชุดความรู้ของชนชั้นตัวเอง หากแต่มันมีการเลื่อนสถานะทางความรู้ของตัวเองเสมอ

สนใจบทบรรยายเรื่องเดียวกันนี้ก่อนหน้า คลิก

 

 

คลิกไปที่ กระดานข่าวธนาคารนโยบายประชาชน

นักศึกษา สมาชิก และผู้สนใจบทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ก่อนหน้านี้ สามารถคลิกไปอ่านได้โดยคลิกที่แบนเนอร์




สารบัญข้อมูล : ส่งมาจากองค์กรต่างๆ

ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา 3
I สารบัญเนื้อหา 4 I สารบัญเนื้อหา 5 I สารบัญเนื้อหา 6
ประวัติ ม.เที่ยงคืน

สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง

webboard(1) I webboard(2)

e-mail : midnightuniv(at)gmail.com

หากประสบปัญหาการส่ง e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com

ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ทั้งหมด กว่า 1100 เรื่อง หนากว่า 18000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com

สมเกียรติ ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็บไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com

 

 

power-sharing formulas, options for minority rights, and constitutional safeguards.

บรรณาธิการแถลง: บทความทุกชิ้นซึ่งได้รับการเผยแพร่บนเว็บไซต์แห่งนี้ มุ่งเพื่อประโยชน์สาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อวัตถุประสงค์ในการขยายพรมแดนแห่งความรู้ให้กับสังคมไทยอย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ยังมุ่งทำหน้าที่เป็นยุ้งฉางเล็กๆ แห่งหนึ่งสำหรับเก็บสะสมความรู้ เพื่อให้ทุกคนสามารถหยิบฉวยไปใช้ได้ตามสะดวก ในฐานะที่เป็นสมบัติร่วมของชุมชน สังคม และสมบัติที่ต่างช่วยกันสร้างสรรค์และดูแลรักษามาโดยตลอด. สำหรับผู้สนใจร่วมนำเสนอบทความ หรือ แนะนำบทความที่น่าสนใจ(ในทุกๆสาขาวิชา) จากเว็บไซต์ต่างๆ ทั่วโลก สามารถส่งบทความหรือแนะนำไปได้ที่ midnightuniv(at)gmail.com (กองบรรณาธิการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน: ๒๘ มกาคม ๒๕๕๐)

เอกลักษณ์" เป็นคำที่มีความหมายทางรัฐศาสตร์ของความหมายเชิงเดี่ยว ผิดกับ "อัตลักษณ์" ที่มีลักษณะเป็นพหุความหมายและสะท้อนแนวคิดเรื่องกิจกรรม ที่อัตลักษณ์หลายๆ แบบมีส่วนร่วมสร้างสรรค์อยู่. สำหรับคำว่า"เอกลักษณ์" เป็นข้อสรุปของแนวคิดที่ไม่มีกิจกรรม ไม่มีความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง, แต่ "อัตลักษณ์" เต็มไปด้วยพลวัฒน์ของการสร้างใหม่เชิงความหมายอย่างไม่หยุดนิ่ง ปัจจุบัน คำว่า "เอกลักษณ์" ไม่ถูกใช้ในโลกธุรกิจ และ "อัตลักษณ์" ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายก็กำลังถูกผลิตในฐานะข้อมูลข่าวสาร (คัดมาบางส่วนจากบทความ)

12-03-2550

Fashionsophy
The Midnight University

 

H
R
ทุกท่านที่ประสงค์จะติดต่อมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน กรุณาจดหมายไปยัง email address ใหม่ midnightuniv(at)gmail.com