ค้นหาบทความที่ต้องการ ด้วยการคลิกที่แบนเนอร์ midnight search engine แล้วใส่คำหลักสำคัญในบทความเพื่อค้นหา
โครงการสื่อเพื่อบริบทสิทธิมนุษยชน: จากชายขอบถึงศูนย์กลาง - Media Project: From periphery to mainstream
Free Documentation License - Copyleft
2006, 2007, 2008
2009, 2010, 2011
2012, 2013, 2014
Everyone is permitted to copy and distribute verbatim copies of
this licene document, but changing
it is not allowed. - Editor

อนุญาตให้สำเนาได้ โดยไม่มีการแก้ไขต้นฉบับ
เพื่อใช้ประโยชน์ทางการศึกษาทุกระดับ
ข้อความบางส่วน คัดลอกมาจากบทความที่กำลังจะอ่านต่อไป
เว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ๒๕๔๓ เพื่อประโยชน์ทางการศึกษา โดยบทความทุกชิ้นที่นำเสนอได้สละลิขสิทธิ์ให้เป็นสาธารณะประโยชน์

1

 

 

 

 

2

 

 

 

 

3

 

 

 

 

4

 

 

 

 

5

 

 

 

 

6

 

 

 

 

7

 

 

 

 

8

 

 

 

 

9

 

 

 

 

10

 

 

 

 

11

 

 

 

 

12

 

 

 

 

13

 

 

 

 

14

 

 

 

 

15

 

 

 

 

16

 

 

 

 

17

 

 

 

 

18

 

 

 

 

19

 

 

 

 

20

 

 

 

 

21

 

 

 

 

22

 

 

 

 

23

 

 

 

 

24

 

 

 

 

25

 

 

 

 

26

 

 

 

 

27

 

 

 

 

28

 

 

 

 

29

 

 

 

 

30

 

 

 

 

31

 

 

 

 

32

 

 

 

 

33

 

 

 

 

34

 

 

 

 

35

 

 

 

 

36

 

 

 

 

37

 

 

 

 

38

 

 

 

 

39

 

 

 

 

40

 

 

 

 

41

 

 

 

 

42

 

 

 

 

43

 

 

 

 

44

 

 

 

 

45

 

 

 

 

46

 

 

 

 

47

 

 

 

 

48

 

 

 

 

49

 

 

 

 

50

 

 

 

 

51

 

 

 

 

52

 

 

 

 

53

 

 

 

 

54

 

 

 

 

55

 

 

 

 

56

 

 

 

 

57

 

 

 

 

58

 

 

 

 

59

 

 

 

 

60

 

 

 

 

61

 

 

 

 

62

 

 

 

 

63

 

 

 

 

64

 

 

 

 

65

 

 

 

 

66

 

 

 

 

67

 

 

 

 

68

 

 

 

 

69

 

 

 

 

70

 

 

 

 

71

 

 

 

 

72

 

 

 

 

73

 

 

 

 

74

 

 

 

 

75

 

 

 

 

76

 

 

 

 

77

 

 

 

 

78

 

 

 

 

79

 

 

 

 

80

 

 

 

 

81

 

 

 

 

82

 

 

 

 

83

 

 

 

 

84

 

 

 

 

85

 

 

 

 

86

 

 

 

 

87

 

 

 

 

88

 

 

 

 

89

 

 

 

 

90

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

Media Project: From periphery to mainstream
The Midnight University 2009
Email 1: midnightuniv(at)gmail.com
Email 2: [email protected]
Email 3: midnightuniv(at)yahoo.com
บทความวิชาการชิ้นนี้ เผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน วันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ : Release date 22 November 2009 : Copyleft

R. Scott Appleby นักวิชาการด้านเทววิทยาที่เสนอทฤษฎีมูลฐานนิยม ซึ่งได้ให้คำนิยามความเป็นมูลฐานนิยมที่ต่างจากเดิมในมุมมองที่ได้วิเคราะห์แล้วในหนังสือ Headline Series, Religious Fundamentalisms and Global Conflict (เมษายน 1994) ว่า เป็นการจำแนกประเภทการเคลื่อนไหวของคนกลุ่มหนึ่งที่เป็นกลุ่มเฉพาะตน โดยไม่ได้เป็นการเคลื่อนไหวทางศาสนาดั้งเดิม เขาชี้ว่า แม้ว่ากลุ่มมูลฐานนิยมจะอ้างถึงการเป็นกลุ่มเคร่งศาสนาและปกป้องวิถีทางศาสนาแบบดั้งเดิมก็ตาม แต่คนกลุ่มนี้ก็เขียนทฤษฎีใหม่ขึ้นมาและสร้างสูตรอุดมการณ์ขึ้นมาใหม่ โดยรับเอาโครงสร้าง และกระ บวนการใหม่ๆ เข้ามา เพราะอันที่จริงแล้ว กลุ่มมูลฐานนิยมเองก็มองเห็นข้อบกพร่องของผู้ยึดถือความเชื่อเหมือนกันที่ต้องการอนุรักษ...

 

H



22-11-2552 (1770)

คำอธิบายโดยสังเขปเกี่ยวกับการเมืองการปกครองร่วมสมัย
Hegemony Theory / Fundamentalism / Globalizationism โดยสังเขป (ต่อ)
เมธินี ไชยคุณา: ผู้วิจัย
ศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาภูมิภาคศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
บทความวิชาการนี้ สามารถ download ได้ในรูป word

บทความวิชาการต่อไปนี้ นำมาจากงานวิทยานิพนธ์ในระดับปริญญาโท เรื่อง
"บทบาทของออสเตรเลียต่อประเด็นการก่อการร้ายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
กรณีศึกษาการลอบวางระเบิดสถานที่ท่องเที่ยวในเกาะกูตา บาหลี ประเทศอินโดนีเซีย"
โดยคัดลอกมาบางส่วนจากบทที่ ๒ " แนวคิดในการศึกษาและทบทวนวรรณกรรม"
โดยสาระสำคัญเป็นการพิจารณาถึงประเด็น Hegemony Theory /
Fundamentalism / Globalizationism โดยสังเขป ดังหัวข้อต่อไปนี้...
- ทฤษฎีการครอบครองความเป็นเจ้า (Hegemony Theory)
- การครอบครองความเป็นเจ้าด้านการเมือง(Political Hegemony)
- การครอบครองความเป็นเจ้าด้านวัฒนธรรม (Cultural Hegemony)
- การครอบครองความเป็นเจ้าด้านการเงิน (Monetary Hegemony)
- ข้อวิพากษ์ทฤษฎีการครอบครองความเป็นเจ้า
- แนวคิดมูลฐานนิยม (Fundamentalism)
- กำเนิดลัทธิมูลฐานนิยมในสหรัฐอเมริกา
- ข้อวิพากษ์หลักต่อ "ลัทธิมูลฐานนิยม"
- Religious Fundamentalisms and Global Conflict
- ทฤษฎีโลกาภิวัฒน์ (Globalizationism)

- วรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีและแนวคิดในการวิจัย
- ประเด็นการศึกษาเรื่องแนวคิดการครองความเป็นเจ้า (Hegemony)
- ประเด็นการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดมูลฐานนิยม
- ประเด็นการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดโลกาภิวัตน์

(บทความนี้จัดอยู่ในหมวด "การเมืองการปกครองร่วมสมัย")

สนใจส่งบทความเผยแพร่ ติดต่อมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน:
midnightuniv(at)gmail.com

บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา
ข้อความที่ปรากฏบนเว็บเพจนี้ ได้รักษาเนื้อความตามต้นฉบับเดิมมากที่สุด
เพื่อนำเสนอเนื้อหาตามที่ผู้เขียนต้องการสื่อ กองบรรณาธิการเพียงตรวจสอบตัวสะกด
และปรับปรุงบางส่วนเพื่อความเหมาะสมสำหรับการเผยแพร่ รวมทั้งได้เว้นวรรค
ย่อหน้าใหม่ และจัดทำหัวข้อเพิ่มเติมสำหรับการค้นคว้าทางวิชาการ
บทความทุกชิ้นที่เผยแพร่บนเว็บไซต์แห่งนี้ ยินดีสละลิขสิทธิ์เพื่อมอบเป็นสมบัติ
ทางวิชาการแก่สังคมไทยและผู้ใช้ภาษาไทยทั่วโลก ภายใต้เงื่อนไข้ลิขซ้าย (copyleft)
บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ ๑๗๗๐
เผยแพร่บนเว็บไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ ๑๖ หน้ากระดาษ A4 โดยไม่มีภาพประกอบ)

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

คำอธิบายโดยสังเขปเกี่ยวกับการเมืองการปกครองร่วมสมัย
Hegemony Theory / Fundamentalism / Globalizationism โดยสังเขป (ต่อ)
เมธินี ไชยคุณา: ผู้วิจัย
ศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาภูมิภาคศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
บทความวิชาการนี้ สามารถ download ได้ในรูป word

(ต่อจากบทความลำดับที่ 1769) บทที่ 2: แนวคิดในการศึกษาและทบทวนวรรณกรรม

วรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีและแนวคิดในการวิจัย
จากการทบทวนผลงานวิจัยและบทความที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา สามารถจำแนกตามประเด็นต่างๆ ได้ดังนี้

ประเด็นการศึกษาเรื่องแนวคิดการครองความเป็นเจ้า (Hegemony)
งานศึกษาเกี่ยวกับทฤษฎีการครองความเป็นเจ้าที่ได้ทบทวน ประกอบด้วยเอกสารทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ในเอกสารภาษาไทยนั้นพบว่า มีงานศึกษาวิจัยซึ่งพูดถึงอิทธิพลของวาทกรรมเพื่อครอบครองความเป็นเจ้าเอาไว้หลายชิ้น งานที่เกี่ยวข้องกับการครอบงำของโลกตะวันตกที่มีผลกระทบและก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งที่สำคัญ พบได้จากงานศึกษาด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ วิทยานิพนธ์ทางด้านรัฐศาสตร์ งานศึกษาของ พอใจ เงินดี (2542) เรื่อง "บทบาททางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาต่อภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิค สมัยประธานาธิบดี บิล คลินตัน "
(*) ชี้ว่า การใช้บทบาทในการเป็นผู้ค้ำประกันความมั่นคงในเอเชีย-แปซิฟิค เป็นเครื่องมือในการต่อรองกับประเทศในภูมิภาคเพื่อรักษาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา โดยสร้างอิทธิพลผ่านองค์กรของการเมืองและเศรษฐกิจ กดดันให้ประเทศในภูมิภาคแก้ไขปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนและเปิดตลาดแก่สินค้าของสหรัฐฯมากขึ้น ผลการวิจัยทางเอกสารพบว่า ปัจจัยภายในและภายนอกผลักดันให้ประเด็นเศรษฐกิจเป็นเป้าหมายหลักต่อการดำเนินนโยบายต่างประเทศต่อเอเชียแปซิฟิคยุคหลังสงครามเย็น เพื่อแก้ไขปัญหาขาดดุลการค้า ส่งเสริมการค้าเสรีโดยใช้อิทธิพลกดดันให้ประเทศคู่ค้าเปิดเสรี สร้างเสถียรภาพทางการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเพื่อประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจ และเผยแพร่อุดมการณ์ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน ผสมผสานค่านิยมเข้ากับผลประโยชน์ของสหรัฐฯ เพื่อกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในจีนและพม่า

(*) พอใจ เงินดี, "บทบาททางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาต่อภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคในสมัยของประธานาธิบดี บิล คลินตัน", วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคำแหง 2542

บทความเรื่อง "จักรวรรดิอเมริกันและอนาคตของสันติภาพ" ในหนังสือ โลกภายใต้เงามืดก่อนและหลังการรุกรานอิรัก (*) โดย ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ (2547) ชี้ให้เห็นการครอบงำความคิดของผู้คนในโลกของสหรัฐอเมริกา ด้วยการสร้างวาทกรรมให้ประชาชนโลกคล้อยตามการสร้างสิทธิอันชอบธรรมของตนในการเข้าไปบุกยึดอิรัก โดยจอร์จ บุช ประธานาธิบดีสหรัฐฯ อ้างว่า สงครามปลดอาวุธและโค่นล้มอำนาจซัดดัม ฮุสเซน เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อเป็นการสนองตอบต่อความต้องการอันชอบธรรมของโลก บทความได้อ้างถึงไมเคิล ฮาร์ท และแอนโตนีโอ เนกรี ที่อธิบายแนวคิดดังกล่าวในหนังสือ Empire (Harvard University press, 2003) ว่า จักรวรรดิ เป็นระบอบการปกครองที่สามารถก้าวข้ามพ้นขอบเขตของพรมแดนในเชิงกายภาพได้ และมีผลและพลานุภาพเหนือโลกอารยะ โดยไม่มีข้อจำกัดเชิงสถาบัน จักรวรรดิปกครองโลกผ่านการแทรกแซง เข้าถึงทุกพื้นที่ของโลกและสังคมอย่างรอบด้าน โดยที่ผู้อยู่ใต้ปกครองมิได้รู้สึกถูกแทรกแซงหรือครอบงำ และผู้เขียนบทความได้นำหลักการดังกล่าว เปรียบกับการประกาศสงครามต่อต้านการก่อการร้ายของจอร์จ บุช และการโฆษณาให้ผู้คนเห็นพ้องและประกาศสงครามต่อต้านการก่อการร้ายพร้อมๆกับสหรัฐฯ และการไม่ทำตามกติกาของสหประชาชาติ ด้วยการยืนยันทำสงครามกับอิรักเป็นการสร้างระเบียบโลกขึ้นใหม่

(*) ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ และคณะ, โลกภายใต้เงามืดก่อนและหลังการรุกรานอิรัก (กรุงเทพฯ : ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2547)

งานเขียนชิ้นต่อมาซึ่งเน้นการครองความเป็นเจ้าของสหรัฐอเมริกาคือ งานศึกษาของ ชุมพล เลิศรัฐการ (2548) สหรัฐอเมริกากับปัญหาความมั่นคงใหม่: ในโครงการปัญหาความมั่นคงใหม่ (*) วิเคราะห์ว่า ปัญหาความมั่นคงใหม่ที่สหรัฐอเมริกาเผชิญนั้น ทำให้อเมริกาเปลี่ยนจากวิกฤตให้เป็นโอกาส โดยเขาใช้แนวคิดจักรวรรดินิยมอธิบายว่า ยุทธศาสตร์ของจอร์จ บุช อยู่ในแนวทางของจักรวรรดินิยม ซึ่งแสดงอำนาจเจริญรอยตามจักรวรรดินิยมยุโรป โดยสหรัฐอเมริกาพลิกสถานการณ์หลังเหตุการณ์ 11 กันยา เป็นช่องทางให้ตนแสดงอำนาจในโลกได้มากขึ้น เพราะสามารถใช้เป็นข้ออ้างเพื่อบุกอัฟกานิสถานและโค่นล้มรัฐบาลตาลิบันซึ่งเป็นศัตรูแนวคิดประชาธิปไตย และยังเข้าบุกอิรักเพื่อโค่นล้มประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน นอกจากนี้การบุกอิรัก ยังเป็นโอกาสให้สหรัฐฯ เข้าไปแสวงหาน้ำมัน และจัดระเบียบโลกใหม่ด้วยการผลักดันมติเกี่ยวกับการก่อการร้ายในสหประชาชาติ และผลักดันกฎกติกาทุกทางในลักษณะที่มีความมั่นคงแทรกซึมอยู่ สหรัฐยังสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมหาอำนาจให้กระชับแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นโดยเฉพาะสหรัฐ รัสเซียและจีน เนื่องจากมีความเห็นพ้องในการต่อต้านการก่อการร้ายโลก จะเห็นได้ว่างานวิจัยชิ้นนี้มีมุมมองแตกต่างจากงานอื่นเล็กน้อย ตรงที่มีการชี้ให้เห็นว่าสหรัฐอเมริกาได้ประโยชน์จากสถานการณ์ 11 กันยายน อย่างไร ในขณะที่งานอื่นๆ จะเน้นที่สาเหตุที่สหรัฐอเมริกาได้รับเคราะห์กรรมดังกล่าว

(*) ชุมพล เลิศรัฐการ, สหรัฐอเมริกากับปัญหาความมั่นคงใหม่ : โครงการปัญหาความมั่นคงใหม่ (กรุงเทพฯ : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย, 2548)

งานศึกษาสำคัญชิ้นล่าสุดของไทย ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับการก่อการร้ายสากลในนิยามใหม่ และพูดถึง Hegemony โดยตรงที่สำคัญคือ งานวิจัยภายใต้โครงการปัญหาความมั่นคงใหม่ ของ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ (2548) เรื่อง"อิสลามกับปัญหาความมั่นคงใหม่" (*) ซึ่งเป็นงานวิจัยที่เสนอมุมมองต่อปัญหาการก่อการร้ายสากลในปัจจุบันในทรรศนะของโลกมุสลิม โดยงานศึกษานี้ได้กล่าวถึงปัญหาและสาเหตุของการก่อการร้ายในปัจจุบันที่มักเกิดจากกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงว่า รากเหง้าเดิมมาจากการกระทำรุนแรงและนโยบายรุกรานกลุ่มมุสลิมของมหาอำนาจตะวันตก ที่เกิดขึ้นมานานหลายศตวรรษ และยังให้คำนิยามของการก่อการร้ายแตกต่างจากกระแสปัจจุบันและโลกตะวันตกอีกด้วย โดยชี้ว่าการนิยามการก่อการร้ายของโลกตะวันตกกับโลกอิสลามนั้น ยังมีปัญหาขัดแย้งกัน เนื่องจากโลกอิสลามให้ความสนใจที่จะแยกประเภทระหว่างการก่อการร้ายและการเคลื่อนไหวของประชาชนเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิในการกำหนดชะตาชีวิตตนเอง

(*) ศราวุฒิ อารีย์, อิสลามกับปัญหาความมั่นคงใหม่ (กรุงเทพฯ : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย, 2548) หน้า 30-38

นอกจากนี้ยังมองว่า ภาพลักษณ์ของผู้ก่อการร้ายสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ผู้ก่อการร้ายของวันวานอาจกลายเป็นวีรบุรุษของวันนี้ และเห็นได้ชัดว่างานศึกษานี้ ไม่ต้องการนิยามการปฏิบัติการรุนแรงของกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงว่าเป็นการก่อการร้าย เนื่องจากมาตรฐานการนิยามคำว่า 'การก่อการร้าย' ในปัจจุบัน เป็นมาตรฐานที่ชาติตะวันตกกำหนดขึ้น และเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างวาทกรรมของมหาอำนาจตะวันตก

รายงานดังกล่าวยังเสนอมุมมองอีกด้านของสาเหตุและรากเหง้าของการก่อการร้ายว่า แท้จริงแล้วเกิดจากความกดดันที่ชาติตะวันตกรุกราน และปฏิบัติการอันไม่เป็นธรรมและการทำร้ายรัฐมุสลิมและศาสนาอิสลาม โดยในงานศึกษาได้รวบรวมเหตุการณ์ตั้งแต่ประวัติศาสตร์ถึงปัจจุบัน ซึ่งมีเนื้อหาความรุนแรงและส่งผลกระทบต่อชุมชนมุสลิมทั่วโลก ในรายงานฯ ยังมีการให้คำนิยามการกระทำรุนแรง ปราบปรามหรือรุกรานรวมทั้งล่าอาณานิคมของชาวตะวันตกที่เกิดขึ้นต่อรัฐมุสลิมว่า เป็นการก่อการร้ายซึ่งเป็นคำนิยามที่ตรงกันข้ามกับการให้คำนิยามกระแสหลัก โดยเฉพาะที่น่าสังเกตคือ การให้คำนิยามว่า ฝรั่งเศสกระทำการก่อการร้ายต่ออัลจีเรียในการยึดครอง ขณะที่นิยามกระแสหลักมองว่า การที่กลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงในอัลจีเรียใช้วิธีการต่อสู้แบบกองโจรกับเจ้าหน้าที่ของฝรั่งเศสเพื่อเรียกร้องการแบ่งแยกดินแดนนั้นเป็นการก่อการร้าย โดยสรุปแล้วงานวิจัยชิ้นนี้ มองว่าประเด็นเรื่อง อิสลามกับการก่อการร้ายเป็นวาทกรรมของชาติตะวันตกที่นำมาเชื่อมโยงกัน และชี้ชัดให้เห็นถึงประเด็นลัทธิการครอบครองความเป็นเจ้าของชาติตะวันตก

ส่วนงานศึกษาที่เป็นภาษาอังกฤษนั้นมีผู้วิเคราะห์เอาไว้เช่นกัน หากแต่เป็นการวิเคราะห์การสร้างวาทกรรมเพื่อครอบงำโลกของทั้งฝ่ายโลกตะวันตกและโลกตะวันออก ในหนังสือ Islam in Southeast Asia: political, social and strategic challenges for the 21st century (*) โดย Abdul Rashid Moten (2006) ได้วิเคราะห์เอาไว้ว่าวิถีอิสลามซึ่ง กฎหมาย การปกครอง วัฒนธรรมและวิถีชีวิตของคนนั้นผูกโยงอยู่กับศาสนา ทำให้ความเป็นโลกาภิวัตน์และโลกสมัยใหม่ที่เข้ามาครอบงำวิถีชีวิตในปัจจุบันถือเป็นการเข้ามาของจักรวรรดินิยม ขณะที่กระแสโลกาภิวัตน์ทำให้ทุกคนมีค่านิยมและวิถีชีวิตแบบเดียวกัน แต่โลกมุสลิมกลับไม่เป็นเช่นนั้น

(*) Abdul Rashid Moten, et al., Islam in Southeast Asia: political, social, and strategic challenges for the 21st century (Singapore : Institute of Southeast Asian Studies, 2006) p. 232-234

มุสลิมกลับมีทีท่าหวาดกลัวต่อทัศนะของ Francis Fukuyama (*) ที่ว่า เสรีนิยมคือจุดสูงสุดของมนุษย์ เขาชี้ว่ามุสลิมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แสดงออกด้วยการตอบโต้วาทกรรมดังกล่าว 3 วิธีคือ

- การตอบโต้ในรูปแบบการต่อต้านด้วยความรุนแรงทุกรูปแบบ
- การต่อต้านแบบของคนมีการศึกษาที่เชื่อมโยงเอาความสมัยใหม่เข้ากับลัทธิจักรวรรดินิยม และ
- การต่อต้านที่มีจากกลุ่มชนชั้นนำและผู้ปกครองในโลกมุสลิม ซึ่งรวมกลุ่มกันเพื่อต่อรองผลประโยชน์กับกลุ่มประเทศตะวันตก
ในรูปแบบของการรวมกลุ่มทวิภาคี และพหุภาคี เช่น กลุ่ม OIC กลุ่ม ASEAN กลุ่ม OPEC

ในบทความดังกล่าวเห็นได้ว่า เขาพยายามชี้ให้เห็นว่า มุสลิมเป็นโลกที่มีเพียงหนึ่งเดียว และไม่มีการแบ่งแยกระหว่างศาสนาจักรกับอาณาจักร

(*) Fukuyama is best known as the author of The End of History and the Last Man, in which he argued that the progression of human history as a struggle between ideologies is largely at an end, with the world settling on liberal democracy after the end of the Cold War and the fall of the Berlin Wall in 1989. Fukuyama predicted the eventual global triumph of political and economic liberalism:
What we may be witnessing is not just the end of the Cold War, or the passing of a particular period of post-war history, but the end of history as such... That is, the end point of mankind's ideological evolution and the universalization of Western liberal democracy as the final form of human government.

He has written a number of other books, among them Trust: The Social Virtues and the Creation of Prosperity and Our Posthuman Future: Consequences of the Biotechnology Revolution. In the latter, he qualified his original 'end of history' thesis, arguing that since biotechnology increasingly allows humans to control their own evolution, it may allow humans to alter human nature, thereby putting liberal democracy at risk. One possible outcome could be that an altered human nature could end in radical inequality. He is a fierce enemy of transhumanism, an intellectual movement asserting that posthumanity is a desirable goal.
In another work The Great Disruption: Human Nature and the Reconstruction of Social Order, he explores the origins of social norms, and analyses the current disruptions in the fabric of our moral traditions, which he considers as arising from a shift from the manufacturing to the information age. This shift is, he thinks, normal and will prove self-correcting, given the intrinsic human need for social norms and rules.

In 2008 he published the book Falling Behind: Explaining the Development Gap Between Latin America and the United States, which resulted from research and a conference funded by Grupo Mayan to gain understanding on why Latin America, once far wealthier than North America, fell behind in terms of development in only a matter of centuries. Discussing this book at a 2009 conference, Fukuyama outlined his belief that inequality within Latin American nations is a key impediment to growth. An unequal distribution of wealth, he stated, leads to social upheaval which in turn results in stunted growth

เขายังชี้ถึงการครอบงำของชาติตะวันตกหลังจากที่กลุ่มชุมชนมุสลิมตกเป็นอาณานิคมว่า ต้องเสียภาพพจน์และเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม จากกระบวนการที่เรียกว่า 'การศึกษา' ซึ่งชี้นำและครอบงำความคิดแบบท้องถิ่นให้หันไปหาโลกตะวันตก นอกจากนี้ผุ้นำท้องถิ่นที่รับค่านิยมตะวันตก แนวคิดชาตินิยม และสถาปนาโครงสร้างรัฐชาตินิยมสมัยใหม่ขึ้น ในงานชิ้นนี้เขาได้ตำหนิโครงสร้างวัฒนธรรมที่ถูกครอบงำ ทำให้โลกมุสลิมถูกแบ่งแยกออกเป็นรัฐต่างๆ ไม่มีความเป็นหนึ่งเดียวกันเหมือนก่อน

งานวิจัยที่วิเคราะห์โดยนักวิชาการที่มีชื่อเสียงชาวอินโดนีเซียและเป็นนักวิชการมุสลิม ได้เขียนวิเคราะห์ประเด็นก่อการร้ายโดยนำแนวคิดวาทกรรม และการครอบครองความเป็นเจ้ามาวิเคราะห์ แต่ได้เสนอมุมมองใหม่อีกด้านคือ การสร้างวาทกรรมของชาวมุสลิมหัวรุนแรง. Noorhaidi Hasan (2006) ในหนังสือ Islam in Southeast Asia: political, social and strategic challenges for the 21st century (*) วิเคราะห์ว่า ไม่เฉพาะตะวันตกเท่านั้นที่มีการสร้างวาทกรรม หากโลกมุสลิมเองก็สร้างวาทกรรมครอบงำความคิดไว้เช่นกัน เขาวิเคราะห์ในบทความเรื่อง September 11 and Islamic militancy in post new order Indonesia ว่า หลังจากเหตุการณ์ 11 กันยา และการออกมาประกาศสงครามต่อต้านการก่อการร้ายนั้น โลกมุสลิมก็เกิดกระแสต่อต้านตะวันตกขึ้นด้วย Hasan วิเคราะห์ที่อินโดนีเซียซึ่งมีประชากรมุสลิมมากที่สุดซึ่งพบว่า หลังจากการประกาศสงคราม ปฏิกิริยาของชาวอินโดนีเซียได้แสดงออกมาในรูปของการประท้วงและต่อต้าน แนวคิดชาตินิยมได้ถูกปลุกระดมเพิ่มขึ้น ในกรณีนี้เขาพบว่า กลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงใช้โอกาสดังกล่าวเพิ่มภาพลักษณ์ที่เป็นผู้กล้าให้กับโอซามา บิน ลาเดน และนอกจากนี้ ยังมีการกลับมาของยุคเฟื่องฟูการต่อต้านลัทธิไซออนนิสต์ในอินโดนีเซียด้วย หลังจากที่วาทกรรมการต่อต้านลัทธิไซออนนิสต์ค่อยๆ ลดลงช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แต่หลังเหตุการณ์ 11 กันยา ในประเทศอินโดนีเซียกลับมีการส่งเสริมวาทกรรมเรื่องความเกลียดชังอิสลามของตะวันตก กระตุ้นให้ชาวอินโดนีเซียเพิ่มการต่อต้านสหรัฐอเมริกาและพันธมิตร การส่งเสริมภาพลักษณ์ของบิน ลาเดน ยิ่งเพิ่มพูนจำนวนผู้ต้องการสนับสนุนการญิฮาด หรือสงครามต่อต้านตะวันตกมากขึ้น โดยเขาชี้ให้เห็นถึงมุมมองอีกด้านหนึ่งในการสร้างวาทกรรมที่มีอิทธิพลด้านตรงกันข้ามกับโลกตะวันตก และเป็นงานแรกที่ชี้ให้เห็นมุมมองดังกล่าว

(*) Noorhaidi Hasan et al., Islam in Southeast Asia: political, social, and strategic challenges for the 21st century, p. 303-307

เรื่องวาทกรรมและลัทธิการครอบครองความเป็นเจ้าภาษาอังกฤษที่น่าสนใจอีกชิ้นหนึ่งคือบทความเรื่อง Islam and Modernization ในหนังสือ Islam in Southeast Asia: political, social and strategic challenges for the 21st century ที่วิเคราะห์โดย Syed Farid Alatas ได้พูดถึง วาทกรรมสังคมสมัยใหม่ (modernist discourse) ที่ขัดแย้งกับหลักปรัชญามุสลิม ซึ่งเน้นความพอเพียงและความสมถะ ทำให้โลกมุสลิมเกิดความต้องการสร้างทางเลือกและพัฒนาแนวทางของตนเองขึ้น

ลัทธิการครองความเป็นเจ้าของชาติตะวันตก มีการศึกษาในสาขาสื่อมวลชนโดยเฉพาะชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกากับกลุ่มประเทศมุสลิมในหนังสือ ทีวีอัลจาซีรา: สื่อมวลชนสากลของโลกอาหรับ (*) โดย ดร.อัศวิน เนตรโพธิ์แก้ว (2551) ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับอิทธิพลการครอบครองความเป็นเจ้าของมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาในด้านสื่อสารมวลชน ชี้ว่าสื่อมวลชนใหญ่ของสหรัฐอเมริกาอย่าง CNN มีส่วนชี้นำภาพลักษณ์ผู้ดีหรือผู้ร้ายให้กับโลกอาหรับ เนื่องจากสถานี CNN ที่ให้ข้อมูลข่าวสารได้อย่างรวดเร็ว จากสถานที่จริงและออกสู่สายตาคนทั่วโลกในสงครามอ่าวเปอร์เซียเมื่อปี พ.ศ. 2534 ทำให้ผูกขาดการเป็นผู้ส่งสารให้กับชาวโลกด้านเดียว เขาชี้ว่า การที่สหรัฐอเมริกาเป็นชาติมหาอำนาจและมีความเจริญก้าวหน้ามากที่สุดในโลก ทำให้ข้อมูลข่าวสารซึ่งถูกเผยแพร่ออกไปกลายเป็นผลงานระดับสากล จนมีการผลิตซ้ำและส่งต่อไปยังประเทศอื่นในรูปของข่าวต่างประเทศหรือสารคดี ซึ่งผู้ผลิตข่าวสารของสหรัฐฯ ต่างก็ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดดั้งเดิมของชาวยุโรปที่มีประวัติศาสตร์และภาพลักษณ์กับชาวอาหรับในแง่ลบ เมื่อนำเสนอภาพข่าวออกไปทั่วโลก จึงดูราวกับว่าเป็นการส่งภาพลักษณ์แง่ลบของชาติอาหรับและศาสนาอิสลามออกไปสู่การรับรู้ของชาวโลก เช่นเดียวกับที่เคยสร้างภาพลักษณ์ด้านลบให้กับกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์ว่าเป็นภัยร้าย และประสบความสำเร็จ ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจสองระบบ

(*) อัศวิน เนตรโพธิ์แก้ว, ทีวีอัลจาซีรา: สื่อมวลชนสากลของโลกอาหรับ (ปทุมธานี : สำนักพิมพ์นาครมีเดีย, 2551)

นอกจาก CNN แล้ว ในกลุ่มประเทศตะวันออกกลางเอง พบว่า ข้อได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มชาติอาหรับนั้น ส่วนหนึ่งอยู่ที่การสื่อสารมวลชนและการสร้างภาพลักษณ์และอิทธิพล โดยชี้ว่า เมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศอาหรับแล้ว สื่อมวลชนของอิสราเอลมีเสรีภาพมากกว่าในการนำเข้ารายการจากโลกตะวันตก และมีนโยบายการอนุญาตให้มีเคเบิลทีวี ทำให้ประชาชนอิสราเอลมีข้อมูลข่าวสารรอบด้านมากกว่า โดยการตระหนักถึงอิทธิพลอันมหาศาลของสื่อ ทำให้ชนชั้นปกครองของประเทศการ์ตาเห็นความสำคัญ และเริ่มก่อตั้งสถานีอัลจาซีราเพื่อรายงานงานข่าวจากมุมมมองของโลกอาหรับ และกลายเป็นการแย่งชิงพื้นที่การสร้างวาทกรรมขึ้น

เขาชี้ว่า การได้เปรียบทางด้านภาษา ศาสนา และวัฒนธรรม ทำให้อัลจาซีราได้รับข้อมูลระดับท้องถิ่นในโลกมุสลิมเร็วและลึกกว่า CNN หรือ BBC ของชาติตะวันตก และทำให้ขณะนี้อัลซีรามีโอกาศและใช้ประโยชน์จากช่องว่างทางข้อมูลข่าวสารที่มีอยู่แบบเต็มประสิทธิภาพ โดยอยู่บนพื้นฐานทางอุดมการณ์ของโลกอาหรับคือ หลักอาหรับนิยม อิสลามนิยม และเสรีกึ่งสังคมนิยม และความเป็นอาหรับนิยมของอัลจาซีราทำให้เป็นสถานีข่าวที่เป็นที่นิยมในกลุ่มประเทศในตะวันออกกลางและกลุ่มประเทศมุสลิม ความได้เปรียบดังกล่าวข้างต้นกลายเป็นการต่อสู้กันด้านการข่าวจากสองฝ่ายคือโลกตะวันตกกับโลกอาหรับ หนังสือเล่มนี้เป็นหนึ่งในกลุ่มงานศึกษาที่ชี้ให้เห็นถึงการลุกขึ้นมาต่อสู้ด้านการสร้างอิทธิพลและการสร้างวาทกรรมของโลกมุสลิมยุคใหม่

ประเด็นการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดมูลฐานนิยม
ในปัจจุบันมีงานศึกษาและบทความที่เกี่ยวกับลัทธิมูลฐานนิยมค่อนข้างมาก โดยเฉพาะมูลฐานนิยมอิสลาม และมักนำแนวคิดมูลฐานนิยมมาอธิบายสาเหตุของความขัดแย้งระหว่าง กลุ่มก่อการร้ายกับชาติตะวันตก งานศึกษาที่นำมาทบทวน เพื่อเป็นแนวทางในการศึกษาต่อไปนี้ ส่วนใหญ่เป็นงานศึกษาแนวคิดมูลฐานนิยมอิสลาม และเนื่องจากแนวคิดดังกล่าวเป็นแนวคิดใหม่และศัพท์ใหม่ที่เริ่มแพร่หลายในทศวรรษที่ 1970 หรือหลังปฏิรูปวัฒนธรรมในอิหร่าน งานศึกษาเกี่ยวกับมูลฐานนิยมจึงเป็นงานศึกษาของคนรุ่นใหม่

สำหรับการปะทะกันระหว่างกลุ่มมูลฐานนิยมกับสังคมสมัยใหม่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยตรง เป็นงานศึกษาของนักวิชาการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Muhammad Wildan (2003) ให้ความเห็นในวิทยานิพนธ์ของเขาเรื่อง Islamic Fundamentalism and modernization: The case of Jama'ah Islamiyah in Indonesia (*) ว่า กลุ่มมุสลิมมูลฐานนิยมนั้นเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกมุสลิมมานานแล้ว หากแต่เริ่มแสดงบทบาทที่เข้มแข็งนับตั้งแต่เกิดกระแสโลกาภิวัฒน์และโลกสมัยใหม่ มีจุดประสงค์เพื่อต่อต้านการกลืนกลายของวัฒนธรรมตะวันตก ในกรณีการเกิดกลุ่มก่อการร้ายเจไอในอินโดนีเซีย เริ่มเกิดการรวมกลุ่มหลังจากการไหลบ่าเข้ามาของกระแสวัฒนธรรมตะวันตก และการมีอุดมการณ์ร่วมกับกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงที่ต่อต้านชาติตะวันตกหลังร่วมทำสงครามต่อต้านโซเวียต เพื่อขับไล่ให้พ้นจากอัฟกานิสถาน โดยอุดมการณ์ร่วมดังกล่าว บวกกับความหวาดกลัวการถูกรุกรานทางวัฒนธรรม ก่อให้เกิดอุดมการณ์เคร่งในหลักการศาสนา และตีความหมายศาสนาเบื้องต้นตามมา สรุปโดยรวมในงานวิทยานิพนธ์ชิ้นนี้พบว่า Wildan มองว่า การที่กลุ่มมุสลิมมูลฐานนิยม รวมทั้งกลุ่มหัวรุนแรงหรือพวกสุดโต่ง เกิดการรวมตัวกันเข้มแข็งและแสดงความรุนแรงขึ้นนั้น เนื่องมาจากการถูกกระตุ้นและการคุกคามจากชาติตะวันตกตามกระแสและอิทธิพลโลกาภิวัฒน์

(*) Muhammad Wildan, "Islamic Fundamentalism and modernization: The case of Jama'ah Islamiyah in Indonesia" Thesis for Master of Arts, Universiti Kebangsaan Malaysia, 2005

ส่วน Zachary Abuza (2003) ผู้เชี่ยวชาญด้านการก่อการร้าย ได้เขียนหนังสือ Militant Islam in Southeast Asia : Crucible of Terror (*) โดยชี้ชัดลงไปว่า ลัทธิมูลฐานนิยมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เริ่มจากการส่งคนเข้าร่วมสงครามกองโจรในอัฟกานิสถานเพื่อร่วมต่อต้านการรุกรานของสหภาพโซเวียต ทศวรรษที่ 1970 ซึ่งในระหว่างการปฏิบัติการสู้รบ ผู้คนที่ถูกส่งไปร่วมรบจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้เข้ารับการอบรมจากสถาบันศาสนาของปากีสถาน ซึ่งได้มีหลักการสอนและการตีความทางศาสนาอย่างเคร่งครัด และมีการเน้นที่ข้อกฏหมายและการปกครองของศาสนา มีการต่อต้านการปกครองและข้อกฎหมายนอกศาสนา นอกจากนี้ ยังเชิดชูอุดมการณ์ณ์ต่อต้านสังคมสมัยใหม่ด้วย

(*) Zachary Abuza, Militant Islam in Southeast Asia: Crucible of terror (USA : Lynne Rienner Publishers, Inc, 2003

จากข้อสังเกตของ Abuza พบว่า มุสลิมหัวรุนแรงหลายค เป็นผลผลิตมาจากสถาบันเหล่านี้ เมื่อพวกเขากลับมายังบ้านเกิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงมีความต้องการสร้างรัฐอิสลามที่ปกครองด้วยชารีอะห์หรือกฎหมายอิสลามเพิ่มขึ้น และมองว่าเป็นปัจจัยหนึ่งที่กระตุ้นให้เกิดการก่อการร้ายในพื้นที่ งานศึกษาส่วนใหญ่เห็นพ้องกับ Abuza ว่า มูลฐานนิยม (fundamentalism) อิสลามในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่ ขยายตัวในอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ และขยายตัวหลังจากการส่งกองกำลังเข้าร่วมระหว่างอัฟกานิสถานกับสหภาพโซเวียต

งานวิจัยของ Aiden Hall (2005) เรื่อง United Nations Member State: Australia - 'Lucky Country' or Terrorist Target (*) ชี้ว่า เหตุที่ออสเตรเลียมีความเสี่ยงต่อการเป็นเป้าโจมตีของกลุ่มก่อการร้ายเป็นเพาะการขยายตัวของลัทธิมูลฐานนิยม หรือ Fundamentalism ในอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านกับออสเตรเลีย โดยลัทธิมูลฐานนิยมที่เพิ่มขึ้นในประเทศเหล่านี้เนื่องมาจาก การที่สองประเทศนี้มีกลุ่มนักรบที่เคยถูกส่งไปร่วมรบในอัฟกานิสถานช่วงทศวรรษที่ 1970 ทำให้เกิดการบ่มเพาะกลุ่มนักรบที่มีแนวคิดในการต่อสู้ที่รุนแรงกลับมา นอกจากนี้ทั้งสองประเทศดังกล่าวยังมีกลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดน ซึ่งมีแนวคิดในการต่อสู้เพื่อเรียกร้องการก่อตั้งรัฐอิสลามในประเทศด้วย

(*) Aiden Hall, "United Nations Member State: Australia 'Lucky Country' or Terrorist Target", Thesis for Master of Arts, University of Sydney, 2005

ส่วนงานศึกษาของไทย เป็นการศึกษาที่เน้นเรื่องการเกิดของมุสลิมหัวรุนแรงและการก่อการร้าย โดยให้ความสำคัญที่การก่อการร้ายในภาคใต้ของประเทศไทย พัฒนาการของลัทธิมูลฐานนิยมนั้นเกิดมานานแล้วในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากมีหลักฐานความพยายามสร้างรัฐอิสลามที่ปกครองด้วยชารีอะห์ หรือกฎหมายหลักอิสลาม โดยมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์และงานที่เขียนขึ้นใหม่

งานศึกษาที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มก่อการร้ายในอินโดนีเซียของไทย คืองานศึกษาของ สุภาพรรค์ ตั้งไพโรจน์ (2549) ในหนังสือเจไอคืออะไร? ซึ่งเป็นการศึกษาเกี่ยวกับกลุ่มญามาอะห์ อิสลามิญะ หรือ เจไอ โดยเฉพาะ ที่เห็นพ้องว่ามูลฐานนิยมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แพร่หลายเพิ่มขึ้นหลังจากมีการส่งกองกำลังช่วยรบในสงครามอัฟกานิสถานกับสหภาพโซเวียต แต่ก็ชี้ว่าลัทธิมูลฐานนิยมนั้นดำรงอยู่ในกลุ่มชนมุสลิมในภูมิภาคนี้ตั้งแต่ก่อนยุคอาณานิคมแล้ว เมื่อแรกที่ชาวมุสลิมแพร่ขยายในมลายา และส่วนอื่นๆ ในหมู่เกาะอินโดนีเซีย หลังจากพัฒนาการต่อสู้แบบกองโจร จากการเข้าร่วมสงครามอัฟกานิสถาน ยิ่งทำให้มีกระบวนการต่อต้านรัฐบาลอย่างเป็นระบบเพื่อสร้างรัฐอุดมการณ์ของตนขึ้นมาในภูมิภาค จากการสำรวจงานศึกษาด้านการก่อการร้ายของไทยเกือบทั้งหมดที่มี พบว่างานศึกษาของสุภาพรรค์ ตั้งตรงไพโรจน์ ในเรื่อง เจไอคืออะไร? เป็นงานศึกษาชิ้นแรกของไทยที่ศึกษาเรื่องการก่อการร้ายสากลในรูปแบบใหม่อย่างละเอียด โดยมีการให้ข้อมูลเชิงลึกถึงกระบวนการการขยายตัวของกลุ่มแนวร่วมก่อกการร้ายในอินโดนีเซีย โดยเจาะประเด็นที่กลุ่ม JI ตั้งแต่เริ่มต้นการเป็นขบวนการกลุ่มนักรบแบบกองโจรมุสลิมที่ต่อสู้เพื่อเอกราชสมัยที่อินโดนีเซียยังอยู่ภายใต้การปกครองของเนเธอร์แลนด์ และขยายตัวเป็นกลุ่มที่เรียกร้องการตั้งรัฐอิสลามที่ใช้ชารีอะห์เป็นกฏหมาย จนกระทั่งพัฒนามาเป็นกลุ่มก่อการร้าย ญามาอะ อิสลามิยะ หรือ JI ซึ่งให้ภาพพัฒนาการอย่างค่อยเป็นค่อยไปของกลุ่มก่อการร้ายเดิมจนถึงปัจจุบัน และปรัชญาที่เป็นต้นกำเนิดของกลุ่มมูลฐานนิยมในอินโดนีเซีย

งานศึกษาของไทยที่ศึกษาเรื่องเจไออีกชิ้นที่สำคัญคืองานของ สุรชาติ บำรุงสุข (2550) ในหนังสือ แนวคิด-ยุทธวิธีขบวนการก่อการร้าย เจไอ (*) ซึ่งได้อธิบายไว้อย่างละเอียดถึงปรัชญาเบื้องหลังกลุ่มก่อการร้าย JI โดยเริ่มจากการอรรถาธิบายถึงกระแสความคิดที่ทำให้เกิดความเบี่ยงเบนจากจารีตเดิมของอิสลาม โดยชี้ว่ากระแสการฟื้นฟูอิสลาม หรือกลุ่มมูลฐานนิยม ซึ่งเขาให้คำนิยามเป็นภาษาไทยว่า "อิสลามเคร่งจารีต" จากภาษาอังกฤษว่า Islamic Fundamentalism เป็นกระบวนการเกิดกระแสฟื้นฟูอิสลามและอิสลามเคร่งจารีต ตั้งแต่เริ่มถือกำเนิดในตะวันออกกลางอันเป็นดินแดนต้นกำเนิด โดยในงานศึกษาชี้ว่า สาเหตุที่ต้องศึกษาถึงหลักการอิสลามเคร่งจารีต (Islamic Fundamentalism) เนื่องจากผู้ก่อการร้ายส่วนใหญ่มักประกาศตัวว่าเป็น นักฟื้นฟูศาสนา แต่ขณะเดียวกันเขาก็ชี้ว่า นักฟื้นฟูศาสนาไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย ในหนังสือเล่มนี้อธิบายว่า เป้าหมายของกลุ่มนักฟื้นฟูอิสลามตามแนวคิดของกลุ่มหัวรุนแรงก็คือ การให้ผู้คนใช้ชีวิตตามหลักศาสนาอย่างเคร่งครัดในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่การแยกศาสนาออกจากวิถีชีวิตแบบชาวตะวันตก โดยต้องการให้ระบบสังคมการเมืองเป็นรัฐอุดมคติตามแนวทางของศาสดามุฮัมมัด

(*) สุรชาติ บำรุงสุข, แนวคิด-ยุทธวิธีขบวนการก่อการร้าย เจไอ ( กรุงเทพฯ : Animate Print And Design Co.,Ltd, 2550)

จุดเริ่มต้นเกิดจากนักคิดในกลุ่มนักปฏิวัติแห่งอียิปต์ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อกลุ่มภราดรภาพมุสลิม (MUSLIM BROTHERHOOD ) ชื่อ SAYYID QUTB ซึ่งตีความแนวคิดทางศาสนาหลายอย่างให้สอดคล้องกับการยึดอำนาจรัฐด้วยวิธีรุนแรง รวมทั้งแนวคิดเกี่ยวกับวันสิ้นโลก และการคบคิดของยิวกับคริสเตียนที่จะทำลายศาสนาอิสลาม และการกำจัดคนโฉดเขลากับคนกลับกลอกในศรัทธา เป็นแนวคิดที่นักฟื้นฟูศาสนาอิสลามนิยมความรุนแรงยึดถือ โดยแนวคิดดังกล่าวนี้ กลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงมองชาวยิวกับชาวคริสเตียนว่าเป็นกลุ่มจ้องทำลายศาสนาอิสลาม. ซัยยิด กุตบ์เป็นผู้สอนให้ใช้กำลังในการญิฮาด โดยระบุว่าสังคมของตะวันตก คริสเตรียน ยิว คอมมิวนิสต์ และสังคมมุสลิมร่วมสมัย ล้วนเป็นระบอบที่โฉดเขลา รวมทั้งปฏิเสธระบอบการปกครองของรัฐที่ไม่ใช้กฎหมายชารีอะห์. มุสลิมที่แท้จริงมีหน้าที่ตองญิฮาดต่อระบอบเหล่านั้น และนี่คือที่มาของความหมายที่เปลี่ยนแปลงไปของคำว่าญิฮาด

ประเด็นการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดโลกาภิวัตน์
สำหรับงานที่ใช้อธิบายความขัดแย้งระหว่างโลกตะวันตกกับกลุ่มมูลฐานนิยม มีงานศึกษาที่กล่าวถึงสาเหตุของการปะทะกัน โดย Malcolm Waters (2001) ในหนังสือ globalization (*) เอาไว้ว่า เกิดตั้งแต่ยุคสมัยใหม่ต่อเนื่องมาจนถึงยุคโลกาภิวัตน์ เพราะค่านิยมในยุคสมัยใหม่ได้ลดความสำคัญของศาสนาลง มีการให้ความสำคัญของการพึ่งพาตัวเอง และการใช้หลักเหตุผลและหลักวิทยาศาสตร์มาแทนความเชื่อและศรัทธาในศาสนา เมื่อมาถึงยุคโลกาภิวัตน์ เขาชี้ว่า โลกาภิวัตน์มีลักษณะที่ขัดแย้งกับหลักศาสนาต่างๆ อยู่มาก เช่น การเกิดความเป็นสากลและแพร่หลายของวัฒนธรรมตะวันตก ซึ่งทำให้ศาสนา เช่น อิสลามต้องเผชิญหน้ากับข้อขัดแย้งหลายประการ อาทิ เรื่องของสิทธิมนุษยชน สิทธิสตรี หรือแม้กระทั่งความเป็นประชาธิปไตย ซึ่งได้รับการยอมรับทั่วโลกว่าเป็นสิ่งถูกต้อง นอกจากนี้โลกาภิวัตน์ยังทำให้รัฐชาติมีความสำคัญเหนือศาสนจักร

(*) Malcolm Walter, Globalization , p. 161-173

ในงานของชาวอินโดนีเซียเรื่องการก่อการร้าย มีการเอ่ยถึงเรื่องผลกระทบจากโลกาภิวัฒน์เช่นในงานของ Asep Chaerudin (2003) (*) ในวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับการก่อการร้าย โดยเฉพาะนั้น ให้มุมมองอีกด้านของโลกาภิวัฒน์ แทนที่จะชี้ว่าผลกระทบของโลกาภิวัฒน์ที่ก่อให้เกิดก่อการร้าย ที่มักชี้ด้านการรุกรานทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของชาติตะวันตกส่งผลให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ชุมชนมูลฐานนิยม สำหรับในงานศึกษาชิ้นนี้กลับชี้ว่า โลกาภิวัฒน์มีส่วนกระตุ้นให้เกิดการก่อการร้ายรูปแบบใหม่ที่ขยายตัวมีเครือข่ายข้ามชาติขึ้น ขณะที่ก่อนหน้าทศวรรษที่1960 นั้น การก่อการร้ายนั้นอยู่ในรูปแบบของการต่อต้านรัฐภายในประเทศเท่านั้น และเป้าหมายในการโจมตีเป็นเพียงกลุ่มพลเรือนในประเทศเท่านั้น แต่เมื่อโลกพัฒนาไปสู่โลกาภิวัฒน์ซึ่งทำให้การคมนาคมเป็นไปได้สะดวกและราคาไม่แพง การติดต่อสื่อสารง่ายขึ้น และความรู้สึกในความเป็นรัฐหรือชาตินิยมน้อยลง ความเป็นพี่น้องหรือกลุ่มเดียวกันข้ามรัฐชาติมีมากขึ้น เหล่านี้เป็นปัจจัยที่ทำให้การก่อการร้ายเปลี่ยนแปลงจากเดิม กลายเป็นกลุ่มการก่อการร้ายที่มีเครือข่ายข้ามชาติ และมีเป้าหมายที่ไม่ได้เป็นเพียงภายในประเทศ รวมทั้งเป้าหมายที่โจมตีก็อาจไม่ใช่รัฐของตนเองด้วย

(*) Asep Chaerudin, "Countering Trasnational Terrorism in Southeast Asia with Respect to Terrorism in Indonesia and the Philippines", Thesis for Master of Arts, Naval Postgraduate School, Monterey, California, 2003.

นักวิชาการและนักการศึกษาไทยที่นำทฤษฎีโลกาภิวัฒน์มาอธิบายในงานศึกษาของตนหลายเรื่อง โดยเฉพาะในประเด็นด้านรัฐศาสตร์และสังคมศาสตร์ ในหนังสือชาตินิยมและหลังชาตินิยม (*) ของธีรยุทธ บุญมี ได้นำแนวคิดเรื่องโลกาภิวัฒน์มาอธิบายเรื่องผลกระทบต่อความเป็นรัฐชาติในโลกปัจจุบันในหลายๆ ด้านด้วยกัน โดยได้แจกแจงว่า โลกาภิวัฒน์ทำให้เกิดองค์กรสากลข้ามรัฐ ทำให้หลายองค์กรสามารถแทรกแซงกิจการภายในของประเทศหนึ่งๆ ได้ รัฐชาติหนึ่งๆ มีความสำคัญน้อยกว่าองค์กร ในด้านเศรษฐกิจและการเงินก็เช่นกัน โลกาภิวัฒน์ก่อให้เกิดการผลิตอุตสาหกรรมแบบใหม่ที่มีลักษณะการบริหารบริการกระจายกว้างไปทั่วโลก และการเลิกให้รัฐเป็นผู้กำหนดค่าของเงินตราสกุลต่างๆ ของตน ทำให้พรมแดนของรัฐหลีกทางให้ตลาดทั่วโลกมีบทบาทในกากำหนดค่าเงินตราสกุลต่างๆ ตลาดจะเป็นการกำหนดร่วมของผู้คนทั้งหมดบนโลก และอยู่เหนือการควบคุมของบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ

(*) ธีรยุทธ บุญมี, ชาตินิยมและหลังชาตินิยม (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์สายธาร, 2546)

สุดท้ายเขาชี้ว่า โลกาภิวัฒน์มีผลกระทบอย่างสูงด้านวัฒนธรรมด้วย โดยเฉพาะที่ทำให้เกิดแรงบีบคั้นต่อความเป็นรัฐชาติ โดยเฉพาะเรื่องของอัตลักษณ์ โดยเขาชี้ว่า แต่ก่อนคนจะรู้สึกผูกพันกับความเป็นชาติ แต่หลังจากได้รับผลกระทบจากวัฒนธรรมที่เป็นสากล ทำให้ผู้คนผูกติดกับภาษาหรือวัฒนธรรมของชาติน้อยลง แต่จะเลือกอยู่กับวัฒนธรรม วิถีชีวิตย่อยหรืออัตลักษณ์เฉพาะที่แสวงหาได้จากตลาดสินค้าและวัฒนธรรมแบบประชานิยม ความจงรักภักดีต่อชาติน้อยลงด้วยเช่นกัน และผลกระทบที่ทำให้รัฐชาติลดบทบาทนั้นได้สร้างผลกระทบอื่นๆ ตามมาด้วย หนึ่งในผลกระทบที่ตามมาคือ การกระทบต่อความั่นคงปลอดภัย เช่นเรื่องการเมือง การทหาร โดยเฉพาะปัญหาการก่อการร้าย ปัญหาแนวคิดมูลฐานนิยม เพราะโลกาภิวัฒน์สร้างสิทธิอันชอบธรรมในการแทรกแซงพื้นที่อื่นๆ ได้ทั้งทางการเมือง สังคม วัฒนธรรม เช่น การอ้างเรื่องสิทธิมนุษยชน การแทรกแซงโดยการอ้างการพิทักษ์สิ่งแวดล้อม และการแทรกแซงดังกล่าวทำให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างสังคมอยู่ตลอดเวลา

ส่วนงานเขียนผลกระทบของโลกาภิวัฒน์ที่มีต่อการเกิดกลุ่มก่อการร้ายโดยตรงที่มีชื่อเสียงและชี้ถึงประเด็นดังกล่าวได้อย่างชัดเจนคือ งานของ เบนจามิน บาร์เบอร์ (2547) เรื่อง "ญิฮาด ปะทะแม็คเวิล์ด" : การท้าทายของลัทธิก่อการร้ายต่อประชาธิปไตย (*) งานชิ้นนี้ถือว่าได้พูดถึงผลกระทบของโลกาภิวัฒน์ที่ทำให้เกิดการก่อการร้ายแบบใหม่ ซึ่งมีคนนำแนวคิดของเขามาอ้างอิงในงานด้านสังคมศาสตร์และประเด็นก่อการร้ายจำนวนมาก เขาชี้ให้เห็นถึงสภาวะสงครามในปัจจุบันที่เป็นการปะทะกันระหว่างสองแนวคิด และเปรียบเทียบโลกของชาตินิยม อนุรักษ์นิยม การต่อต้านการเคลื่อนไหวและการพัฒนาใดๆ ในโลกนั้น เป็นโลกของกลุ่มญิฮาด ขณะที่ แม็คเวิล์ดเป็นตัวแทนของโลกทุนนิยมและบริโภคนิยม

(*) เบนจามิน บาร์เบอร์, วิภาดา กิตติโกวิท(แปล), ญิฮาดปะทะแม็คเวิล์ด :การท้าทายของลัทธิก่อการร้ายต่อระบบประชาธิปไตย (กรุงเทพฯ : สวนเงินมีมา, 2547)

เบนจามินชี้ว่า กระแสโลกาภิวัฒน์ทำให้การไหลบ่าเข้ามามากของกระแสบริโภคนิยม ทำให้เกิดการครอบงำทางความคิดและวัฒนธรรม โดยเข้ายึดพื้นที่แนวคิดเดิม จนขัดแย้งกับกลุ่มอนุรักษ์นิยม และชาตินิยมที่ต้องการดำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรมและความคิดดั้งเดิมของตนเอง สถานการณ์ดังกล่าวก่อให้เกิดการต่อต้านขึ้น ในกลุ่มชาตินิยมซึ่งต้องการมีพื้นที่ของตนเอง เพราะไม่สามารถแทรกเข้าไปในบริบทของบริโภคนิยมได้ การต่อต้านดังกล่าวนำไปสู่การญิฮาด หรือการก่อการร้าย งานศึกษาชิ้นนี้ถือเป็นบทวิเคราะห์ให้เห็นปัจจัยอันก่อให้เกิดการก่อการร้าย โดยแสดงให้เห็นว่าโลกาภิวัฒน์และบริโภคนิยมเป็นปัจจัยหลักสำคัญอันหนึ่ง

บทความที่ชี้ให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำของสังคมโลกที่เกิดขึ้นจากโลกาภิวัตน์ต่อมาคือ งานของ Lesey McCulloch (2005) ในบทความเรื่อง Greed: the Silent Force of Conflict in Acehในหนังสือ Violence in between (*) กล่าวถึงกลุ่มก่อการร้ายในอินโดนีเซีย. McCulloch ชี้ว่า การแบ่งแยกดินแดนและการก่อความรุนแรงในจังหวัดอาเจะห์ในอินโดนีเซียนั้น เกิดจากการไม่สามารถเข้าถึงทรัพยากรของตนและการถูกเอารัดเอาเปรียบทางด้านเศรษฐกิจจากกองกำลังทหาร และบรรษัทข้ามชาติ ความเป็นโลกาภิวัตน์ทำให้เกิดการเอื้อต่อความสามารถในการบุกรุกและล่วงล้ำพื้นที่ทรัพยากรของท้องถิ่น และการละเมิดสิทธิของบรรษัทข้ามชาติ เช่น การเข้ามาดึงเอาทรัพยากรธรรมชาติในอาเจะห์ของ บริษัท Mobil Axon ของสหรัฐอเมริกา โดยบทความดังกล่าวให้ความสำคัญกับบทบาทของเศรษฐกิจว่า เป็นปัจจัยที่ผลักดันให้ชาวอาเจะห์เกิดการต่อต้านรัฐบาล และก่อตั้งกำลังของตน โดยหันไปมีความสัมพันธ์กับลิเบียซึ่งเป็นที่รู้โดยทั่วกันว่า เป็นประเทศที่ให้การสนับสนุนการก่อการร้าย ท้ายที่สุด ขบวนการปลดปล่อยอาเจะห์ได้เข้าร่วมกับกลุ่มก่อการร้ายสากล

(*) Lesley McCulloch, et al., Violence in Between (Australia: Monash University Press, 2005) p. 204-215

สำหรับงานภาษาไทยที่นำทฤษฎีโลกาภิวัฒน์มาอธิบายเกี่ยวกับเหตุการณ์ก่อการร้าย โดยตรง พบในงานของ สุภาพรรค์ ตั้งไพโรจน์ (2549) ในหนังสือเจไอคืออะไร? ที่ชี้ให้เห็นว่า การออกมาประกาศสงครามต่อต้านการก่อการร้ยของสหรัฐอเมริกา ก่อให้เกิดภาพความเชื่อว่าเป็นสงครามระหว่างตะวันตกกับโลกอิสลาม เพราะสหรัฐอเมริกามุ่งบุกอัฟกานิสถานและทำสงครามกับอิรัก รวมทั้งยังเข้ามาแทรกแซงกิจการของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความเชื่อดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวเพื่อก่อตั้งรัฐอิสลามในภูมิภาคของกลุ่มเจไอ ยิ่งรัฐบาลประเทศต่างๆ ในภูมิภาคให้ความร่วมมือกับสหรัฐอเมริกามากขึ้นเท่าใด เจไอก็ยิ่งเกิดความกังวลต่อการดำรงอยู่ของตน และเกิดความโกรธแค้นที่ศาสนาอิสลามกำลังจะถูกสกัดกั้นการแผ่ขยาย อันเป็นเหตุหนึ่งที่เจไอแสดงศักยภาพของกลุ่มให้รัฐบาลในหลายประเทศในภูมิภาครวมทั้งสหรัฐฯและพันธมิตรเห็น ด้วยการปฏิบัติการก่อการร้าย และจากการวิเคราะห์ของสุภาพรรค์ ได้ชี้ว่า การก่อวินาศกรรมในภูมิภาคนี้มีแนวโน้มจะรุนแรงขึ้น

งานชิ้นต่อมาเกี่ยวกับโลกาภิวัฒน์และการก่อการร้ายคือ งานของ Eric Hobsbawm ซึ่งเป็นนักวิชาการสายประวัติศาสตร์ ในหนังสือ Globalisation, Democracy and Terrorism (*) โดยได้นำเอาประวัติศาสตร์มาวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบัน. Hobsbawm ได้วิเคราะห์เอาไว้ว่า โลกาภิวัฒน์สร้างผลกระทบกับโลกในศตวรรษที่ 21 อย่างมาก ซึ่งคล้ายกับการวิเคราะห์ในหนังสือเล่มอื่น กล่าวคือ โลกาภิวัตน์ได้ลดบทบาทความเป็นรัฐชาติลง การเกิดบริษัทข้ามชาติทำให้บริษัทของอีกชาติหนึ่งสามารถควบคุมรัฐบาลของอีกรัฐชาติหนึ่งได้ และในหลายสถานการณ์ บริษัทข้ามชาติมีอำนาจเหนือรัฐชาติหนึ่งๆ รวมทั้งมีบุคลากรในการควบคุมของตนเองมากกว่าพลเมืองในบางรัฐด้วย ดังนั้น เมื่อพูดถึงเรื่องของสงคราม เขาให้ความเห็นว่า สงครามในศตวรรษที่ 21 จะไม่เป็นสงครามระหว่างรัฐอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นสงครามระหว่างอุดมการณ์ที่แตกต่างกัน ซึ่งเขาชี้ว่า เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ยุคสงครามเย็นแล้ว แต่ยังเป็นสงครามตัวแทนระหว่างสหรัฐอเมริกากับ สหภาพโซเวียต แต่ก็เป็นสงครามที่ขัดแย้งระหว่างสองอุดมการณ์

(*) Eric Hobsbawm, Globalisation, Democracy and Terrorism (Great Britain : Abacus, 2008)

ในงานชิ้นนี้ยังชี้เช่นเดียวกับงานอื่นๆ ในประเด็นเกี่ยวกับ โลกาภิวัฒน์ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำและไม่เท่าเทียมกันในระดับระหว่างประเทศ และการที่เป็นยุคโลกาภิวัฒน์ทำให้กลุ่มก่อการร้ายมีเครือข่ายในหลายประเทศ. Hobsbawm มองว่า สงครามต่อต้านการก่อการร้ายนั้น อันที่จริงไม่ใช่สงคราม มันเหมือนกับการที่เราพูดว่า เรากำลังมีสงครามต่อต้านยาเสพติดอะไรทำนองนั้น. สำหรับรายชื่อขบวนการก่อการร้ายกับการปฏิบัติการจู่โจมของกลุ่มก่อการร้ายที่สหรัฐฯ แถลง ถ้าสำรวจดูจะพบว่า ปฏิบัติการดังกล่าวเป็นเพียงการโจมตียิบย่อยที่ประสบความสำเร็จบ้างในบางครั้ง และอานุภาพของฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ได้เท่าเทียมกับกองทัพสหรัฐฯ ที่จะเรียกว่าสงคราม (เช่นการที่สหรัฐฯ บุกอิรัก) แต่กับกลุ่มก่อการร้าย ได้รับการมองว่าเป็นเพียงปัญหาสังคมโลกที่รุนแรง แต่ไม่ใช่สงคราม เพราะแม้แต่วินาศกรรม 11 กันยายนยังไม่สามารถสร้างความเสียหายให้กับนิวยอร์คได้อย่างที่สงครามควรเป็น สื่อและรัฐบาลประชาธิปไตยในยุคโลกาภิวัฒน์ต่างหากที่ทำให้ปัญหานี้ดูใหญ่โตเกินความเป็นจริง

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

บทความวิชาการนี้ สามารถ download ได้ในรูป word

 

++++++++++++++++++++++++++++++++++++


สารบัญข้อมูล : ส่งมาจากองค์กรต่างๆ

ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา 3
I สารบัญเนื้อหา 4 I สารบัญเนื้อหา 5 I สารบัญเนื้อหา 6
สารบัญเนื้อหา 7 I สารบัญเนื้อหา 8
ประวัติ ม.เที่ยงคืน

สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง

webboard(1) I webboard(2)

e-mail : midnightuniv(at)gmail.com

หากประสบปัญหาการส่ง e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
[email protected]

ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ทั้งหมด กว่า 1700 เรื่อง หนากว่า 35000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)gmail.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com

สมเกียรติ ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็บไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com