การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้เริ่มโฆษณาปูกระแส
"อัตราความเสียหายเฉลี่ยต่อวันอันเกิดจาก
ม็อบสมัชชาคนจนยึดเขื่อนปากมูล"
มาตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคม
โดยผ่านปากผู้บริหาร กฟผ. และนาย
ตำรวจระดับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ก่อนจะชงเรื่องส่งลูกต่อให้นายสาวิตต์
โพธิวิหค รมว.ประจำสำ นักนายกฯ
ผู้กำกับดูแล กฟผ. แถลงปาวๆ
ตามว่า :-"ตนได้รับรายงานว่า
เราสูญเสียประมาณ 50
ล้านบาทต่อเดือน หรือ 1.5-2
ล้านบาทต่อวัน เนื่องจากไม่
สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้
คิดว่าน่าเสียดายที่ต้องสูญเสียเงินไปเปล่าๆ"
(มติชนรายวัน, 9 มิ.ย. 43,น.27)
นับเป็นตัวเลขความเสียหายสูงมากน่าตกใจ
ท่ามกลางอาการไม่ทรงก็ทรุดทางเศรษฐกิจและหนี้สาธารณะ
ท่วมหูท่วมหัวไทยทั้งชาติภายใต้ฝีมือบริหารของทีมเศรษฐกิจประชาธิปัตย์ในขณะนี้
แต่อย่าเพิ่งตกใจตื่นตูมตามคุณสาวิตต์
จนพยักพเยิดให้เจ้าหน้าที่
กฟผ.ทั่วอีสานทั้ง 500
ลุยเคลียร์ม็อบ
หรือกดดันให้คณะกรรมการกลางแก้ไขปัญหาลงมติเปิดเครื่องปั่นไฟต่อ
โดยไม่ฟังให้รอบด้าน
ตรองให้ถ้วนถี่
และชั่งน้ำหนักเปรียบเทียบตัวเลข
"ความเสียหาย"
ข้างต้นกับตัวเลขอื่นๆ ที่ กฟผ.
ไม่ยักบอกให้ดีเสียก่อน
มิฉะนั้นประเทศชาติอาจขาดทุนเสียหายเพราะเขื่อนปากมูลมากกว่านี้หลายเท่า
!
ก่อนอื่นตัวเลขที่
กฟผ.ไม่ได้รายงานคุณสาวิตต์และไม่เคยบอกให้สาธารณชนทราบเลยก็คือ
.....เขื่อนปากมูลทำให้
กฟผ.ขาดทุนไปแล้วถึง 177
ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 6,726
ล้านบาท!(ตามอัตราแลก
เปลี่ยนปัจจุบันที่ประมาณ 38
บาท/ดอลลาร์)(ข้อมูลและการวิเคราะห์ข้างล่างนี้ประยุกต์ดัดแปลงจาก
Grainne Ryder and Wayne White, "Pak Mool cost more than it's worth," The
Nation, 10 June 2000, A5)
อะฮ้า!
มันขาดทุนบานตะไทขนาดนั้นเข้าไปได้ยังไงกัน?
อย่างนี้ครับ
ผมจะพยายามแจกแจงคณิตศาสตร์ปากมูลที่
กฟผ.ไม่อยากให้เรารู้สู่กันฟัง
ต้นทุนการสร้างเขื่อนปากมูลเบ็ดเสร็จทั้งสิ้นตอนนี้อยู่ที่
233 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 8,850
ล้านบาท เพื่อให้คุ้มทุน
รายงานธนาคารโลกปี พ.ศ. 2539
คำนวณว่าเขื่อนปากมูลควรจะผลิตไฟฟ้าให้ได้เป็นมูลค่า
ปีละ 28 ล้านดอลลาร์ หรือราว 12%
ของต้นทุนการสร้างเขื่อน 233
ล้านดอลลาร์ ถ้าทำได้ตามนี้
เขื่อนปากมูลก็จะคุ้มทุนใน 8 ปี
กฟผ.ก็จะได้เฮ
และชาติไทยก็จะได้ไชโย!
แต่อนิจจา
รายงานการศึกษาวิจัยฉบับสมบูรณ์ของทีดีอาร์ไอที่ทำส่งคณะกรรมการเขื่อนโลกระบุว่า
เอาเข้าจริงเขื่อนปากมูลผลิตไฟฟ้าได้เฉลี่ยเป็นมูลค่าปีละ
7 ล้านดอลลาร์
เท่านั้นในสองปีหลังที่ผ่านมา
แปลว่าเมื่อครบกำหนดคุ้มทุน 8 ปี
ในปี พ.ศ.2545
เขื่อนปากมูลก็จะปั่นไฟได้เป็นมูลค่าเบ็ดเสร็จทั้งสิ้น
เพียง(7 x 8 =) 56 ล้านดอลลาร์ เท่านั้น
56
ล้านดอลลาร์นี่แหละครับคือ
คุณค่าทางเศรษฐกิจของเขื่อนปากมูลในปัจจุบัน
ลงทุนสร้างไป 233 ล้าน กะว่าปั่นไฟ 8
ปี ก็คุ้ม แต่พอปั่นไป 8
ปีจริงได้คืนมาเพียง 56 ล้าน นั่น
หมายความ ว่าขาดทุนไปถึง(233- 56 =) 177
ล้านดอลลาร์ หรือ 6,726 ล้านบาท ใน 8 ปี
หารเฉลี่ยแล้วตกวันละ(6,726 หารด้วย
[365 x 8] + 2 หรือ 2922 =) 2.3
ล้านบาททุกวันที่เดินเครื่องปั่นไฟที่เขื่อนปากมูล
กฟผ.จึงขาดทุนวันละ 2 ล้าน 3 แสนบาท
หรือเดือนละ 69 ล้านบาท หรือปีละ 840
ล้านบาทต่างหาก!
และจุ๊ๆ...พ่อแม่พี่น้องไม่ต้องห่วงครับ
หน่วยงานฉลาดๆ อย่าง
กฟผ.เขาไม่ผูกขาดความขาดทุนนี้ไว้คน
เดียวให้โง่หรอก เขาย่อมค่อยๆ
บรรจงผลักภาระขาดทุนวันละ 2.3
ล้านบาท
นี้มาใส่ไหล่บ่าพวกเราประชา
ชนชาวไทยผู้ใช้ไฟฟ้าทั้ง 61
ล้านคน
ให้ช่วยกันแบ่งเบาแบกรับไว้คนละนิดละหน่อยอย่างนุ่มนวลแนบเนียน
ไม่กระโตกกระตากตกแค่คนละ 3
สตางค์กว่าๆ ต่อวันหรือบาทเศษๆ
ต่อเดือนหรือ 13 บาทสามสลึง
ต่อปีเท่านั้น ไม่เท่าไหร่
ขี้ไก่ชัดๆ
กะอีเศษเงินแค่นี้เพื่อเห็นแก่ชาติและการพัฒนาอย่างยั่งยืนของ
กฟผ.คนไทยจะทน
ไม่ไหวก็ให้มันรู้ไปสิ
ใช่ไหมครับ? แหะๆ
ฉะนั้น
กฟผ.เจ้าของโครงการ
ธนาคารโลกผู้ปล่อยกู้โครงการ
รัฐบาลเปรมผู้ริเริ่มโครงการ
รัฐบาลน้าชาติผู้
อนุมัติโครงการ
รัฐบาลอานันท์ผู้ไม่สั่งยกเลิกโครงการ
รัฐบาลชวนผู้ก่อสร้างโครงการจนแล้วเสร็จ
ล้วนไม่ต้องรับผิดชอบแต่อย่างใดทั้งสิ้น
เราคนไทยผู้รักชาติและใจใหญ่เท่าแม่น้ำโขง-ชี-มูลรวมกันขอยืดอกจ่าย
เอง
กฟผ.ย่อมได้ เฮ!
ธนาคารโลกย่อมได้ฮา!
และรัฐบาลทุกชุดได้ไชโย!
ยกเว้นสมัชชาคนจนดื้อรั้นไม่รักชาติเท่านั้นที่โห่ประท้วงเขื่อนปากมูลไม่ยอมเลิก
เฮ้อออ.........
กฟผ.อาจแก้ตัวว่าเขื่อนปากมูลน่าจะใช้งานได้นาน
25 ปี ก่อนถึงอายุขัย..... (ครับ
เขื่อนก็ตายเป็นเหมือนกันเนื่องจากการสะสมตัวของตะกอนหน้าเขื่อนจนมันเต็มตื้นขึ้นมากระทั่ง
ผลิตไฟฟ้าหรือทำชลประทานไม่ได้อีกต่อไป
ความจริงเขื่อนในบ้านเราก็เท่งทึงกันไปบ้างแล้ว
เพียงแต่ ทางราชการท่านปิดไว้
เพราะกลัวพวกเราแตกตื่นตกใจเดี๋ยวจะเลยเลิกคิดสร้างเขื่อนหมด
ท่านจึงไม่รื้อ
เขื่อนทิ้งแต่ปล่อยซากไว้ให้เราดูเล่นเฉยๆ
แบบพีระมิดหรือสุสานของ
"การพัฒนา"
แบบไม่ยั่งยืนอะไรทำนองนั้น)
...และใน 25 ปี
นั้นก็เดินเครื่องปั่นไฟไปเรื่อยๆ
ก็จะได้ไฟฟ้าเป็นมูลค่าตั้ง(7 x 25 =)
175 ล้าน ดอลลาร์นู่น ไม่ใช่แค่ 56
ล้านดอลลาร์ ใน 8 ปี
อย่างที่ว่าสักหน่อย
ถ้าจะเอาสีข้างเข้าถูแบบนั้นมันก็พูดได้
แต่มองข้ามอะไรที่สำคัญไปบางอย่างเช่น
1)ต้นทุนค่าสร้างเขื่อนปากมูล 233
ล้านดอลลาร์นั้นมันมีค่าเสียโอกาส(opportunity
cost) ของมันอยู่
ถ้าไม่เอามาสร้างเขื่อนประโยชน์ต่ำแบบนี้
เงินมหาศาลตั้งหลายพันล้านบาทดังกล่าวประเทศไทยเราก็เอาไปใช้อย่างอื่นได้
เช่น
ลงทุนสร้างโรงไฟฟ้ากังหันก๊าซขนาดกำลังผลิตเต็มพิกัด
150 เมกะวัตต์ เปิดใช้ไป 8 ปี
ก็คุ้มทุนแล้ว เป็นต้น
แต่เขื่อนปากมูลนี่เปิดใช้ไป
8 ปี แล้วก็ยังขาดทุน ส่วนอีก 17 ปี
ที่เหลือนั้นต่อให้เดินเครื่องปั่นไฟต่อ
เราก็จะไม่ขาดทุนน้อยลงกว่า 177
ล้านดอลลาร์
แม้สักแดงเดียวแต่อย่างใด
เพราะอย่าลืมว่าถ้าไม่สร้างเขื่อนเรามี
"โอกาส" จะนำเงิน 233
ล้านดอลลาร์ไปฝากธนาคารกินดอกเบี้ย
12% ต่อปีแทนได้ปีละ 28 ล้าน
ดอลลาร์สบายใจเฉิบ
อัตราความเสียหายใน 17 ปี
หลังจึงจะคิดจากต้นทุนแรกสร้างคงที่แค่
233
ล้านดอลลาร์ไม่ได้แต่ต้องคิดเปรียบเทียบกับประโยชน์ทั้งหมดที่ประเทศเราพึงมีพึงได้หากนำเงินก้อนนี้ไปใช้อย่างอื่น
ซึ่งรวมเบ็ดเสร็จแล้วค่าเสียโอกาสใน
17 ปีหลังจะสูงถึง(17 x 28 ล้าน =) 476
ล้านดอลลาร์ หรือ 18,088 ล้านบาท
2)ฉะนั้นต้นทุนของไฟฟ้าที่เขื่อนปากมูลจะผลิตได้ใน
17 ปี
หลังจึงเท่ากับค่าเสียโอกาสที่จะใช้เงิน
233 ล้านดอลลาร์
ไปทำประโยชน์อย่างอื่นได้ใน 17 ปี
คือ 476 ล้านดอลลาร์ด้วย
และต่อให้ใช้เขื่อนปากมูลเดินเครื่องปั่นไฟไปอีก
17 ปี
ก็จะได้ไฟฟ้ามาเป็นมูลค่าเพียง(17
x 7 ล้าน =) 119 ล้านดอลลาร์เท่านั้น
แปลว่าขาดทุนค่าเสียโอกาสไปอีก
476 - 119 = 357 ล้านดอลลาร์
หรือนัยหนึ่งทุกๆ 4 ดอลลาร์ ที่
กฟผ.เสียไปเพราะเขื่อนปากมูล(8 ปี
แรกในรูปเงินค่าก่อสร้างจริง
ส่วน 17 ปี
หลังในรูปค่าเสียโอกาสที่จะใช้เงินก้อนเดียวกันไปทำอย่างอื่น)
กฟผ.ได้ไฟฟ้าคืนจากเขื่อนปากมูลมาเป็นมูลค่าเพียง
1 ดอลลาร์ เท่านั้นจ่าย 476 ได้ 119
หรือจ่าย 4 ได้ 1
นี่แหละครับพี่น้องคือสัดส่วน
cost-efficiency หรือประสิทธิภาพ
การลงทุนของเขื่อนปากมูลที่เจ้าหน้าที่
กฟผ.พร้อมจะรักษาไว้สุดชีวิต
แม้ต้องลุยเลือดเนื้อเพื่อนคนไทยร่วมชาติ
ชาวบ้านแม่มูนมั่นยืนเข้าไปก็ตาม
ลงทุนสูตรวิบัติแบบนี้
ถ้าบริษัทประเทศไทยไม่ขาดทุนฉิบหายวันนี้ก็ไม่รู้จะไปขาดทุนฉิบหายวันไหน
แล้วล่ะครับ
ทำใจเถิดครับว่าเงินค่าก่อสร้างเขื่อนปากมูลที่ขาดทุนไป
177
ล้านดอลลาร์นั้นถึงไงชาวไทยเราก็ไม่ได้คืน
ไม่ว่าจะใช้เขื่อนผลิตไฟฟ้าต่อหรือไม่ก็ตามแทงบัญชีรายได้ประชาชาติศูนย์ไปได้เลย
แล้วหัวร่อสมน้ำหน้าตัวเองซะที่เชื่อ
กฟผ.
แต่เรายังมีทางฟื้นฟูบูรณะทะนุถนอมรักษ์ผลประโยชน์แห่งชาติของเราที่หลงเหลืออยู่ได้บ้าง
หากคิด
พิจารณาอย่างรอบคอบและตัดสินใจด้วยปัญญา
มิใช่ด้วยโลภะ โทสะ โมหะ
ข้อแรกสุด อย่าลุยชาวบ้าน
กฟผ.ไม่ใช่หน่วยงานรับผิดชอบด้านความมั่นคงและปราบปรามของรัฐ
ไม่มีความชำนาญด้านนี้
มิหนำซ้ำยังเป็นคู่กรณี
จึงไม่ใช่ธุระกงการและไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง
ขืนลุยเข้าไปมีแต่เสียหาย
อาจถึงบาดเจ็บล้มตาย
พวกเราก็คนไทยด้วยกันทั้งนั้น
ธนาคารโลกและนานาอารยประเทศ
เจ้าหนี้ก็จะประณาม
กฟผ.อาจได้หน้าแต่ชาติไทยชาวไทยไม่ได้อะไรขึ้นมานอกจากบาดแผลซ้ำเติม
ข้อสอง
เปลี่ยนขาดทุนเป็นกำไร
โดยเปลี่ยนเขื่อนปากมูลเป็นห้องทดลองเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อความ
สมานฉันท์และการฟื้นฟูเศรษฐกิจชาติ
โดยหยุดผลิตไฟฟ้าและเปิดประตูเขื่อนให้น้ำมูลได้ไหลและปลานา
นาพันธุ์ได้อพยพเคลื่อนย้ายไปวางไข่ฟักตัวหากินตามธรรมชาติ
ทั้งนี้ให้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมาธิการพิเศษในสังกัดวุฒิสภาเพื่อศึกษาติดตามและเสนอ
มาตรการฟื้นฟูบูรณะธรรมชาติและวิถีชีวิตชุมชนแม่น้ำมูลในระยะยาว
ที่มีวุฒิสมาชิกตัวแทนชาวบ้าน
นักวิชาการ
กฟผ.หน่วยราชการอื่นที่เกี่ยวข้องเช่นกรมประมงเป็นสมาชิก
ส่วนกรณีจะใช้เขื่อนเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าอีกโสตหนึ่งด้วยสลับบ้างหรือไม่
ในช่วงไหนของปีนานเท่าใด
ในลักษณะเงื่อนไขอย่างไร
ให้เป็นไปตามนโยบายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมาธิการกำหนดโดยรัฐ
บาลและหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องมีหน้าที่รับไปปฏิบัติด้วยวิธีการดังกล่าวนี้
เราจะประหยัดค่าบำรุงรักษาและเดินเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเขื่อนปากมูลลง
และประหยัดค่าชดเชยความเสียหายซึ่งเหลือที่จะประมาณได้แก่ชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบนับพันๆ
ครัวเรือน
ในทางกลับกันธรรมชาติของแม่น้ำและพันธุ์ปลาจะค่อยๆ
ได้รับการฟื้นฟู
ชาวบ้านจะเปลี่ยนสภาพ จากม็อบ
ผู้ประท้วงและผู้คอยรับค่าชดเชยช่วยเหลือจากรัฐไปเป็นชาวประมงรายย่อยผู้สามารถพึ่งตนเองอย่างพอเพียง
สร้างผลผลิตเพิ่มรายได้ให้ระบบเศรษฐกิจ
แทนที่จะเป็นภาระแก่ผู้อื่นเช่นปัจจุบันและคนไทยร่วม
ชาติก็จะได้ไม่ต้องตีกันฆ่ากัน
ทำร้ายทำลายกันอย่างโฉดเขลา
เพียงเพื่อเขื่อนที่สอบตกคณิตศาสตร์จนขาดทุนย่อยยับเหล่านี้
เครือข่ายแม่น้ำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
(SEARIN)
'ถ้าแม่น้ำโขงคือราชาแห่งสายน้ำ
แม่น้ำมูลก็คือบัลลังก์แห่งราชานี้'
ประโยคของนักเขียนสารคดีตะวันตกนี้
สามารถอธิบายถึงความสำคัญของแม่น้ำมูลได้เป็นอย่างดี
ด้วยขนาดของพื้นที่ลุ่มน้ำมูลที่กว้างใหญ่ไพศาลถึง
117,000 ตารางกิโลเมตร
กินอาณาบริเวณตั้งแต่ด้านใต้ของทิวเขาภูพาน
ด้านตะวันตกของทิวเขาเพชรบูรณ์
ทิวเขาดงพญาเย็น
และด้านเหนือของทิวเขาสันกำแพง
และพนมดงรักไปจนจรดแม่น้ำโขง
แม่น้ำมูลจึงเปรียบเสมือนเส้นเลือดหลักของคนอีสาน
ที่หล่อเลี้ยงคนในลุ่มน้ำนี้มาตั้งแต่บรรพบุรุษ
จนกระทั่งคนท้องถิ่นเรียกแม่น้ำสายนี้ว่า
'แม่มูล' ที่หมายถึง
'ทรัพย์สมบัติที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ'
จุดเด่นที่สำคัญของแม่น้ำมูลก็คือ
ระบบนิเวศที่หลากหลาย
แม่น้ำมูลที่ไหลโค้งตวัดไปมาทำให้เกิดระบบนิเวศแบบพื้นที่ชุ่มน้ำกว้างใหญ่ไพศาล
กระจายตลอดสองฝั่ง
รวมถึงระบบนิเวศแบบป่าบุ่งป่าทาม
ซึ่งคล้ายคลึงกับระบบนิเวศแถบทะเลสาบเขมร
ป่าบุ่งป่าทามเหล่านี้ คือ
แหล่งอาศัย วางไข่
และอนุบาลพันธุ์ปลาที่อพยพมาจากแม่น้ำโขง
เช่นเดียวกับระบบนิเวศแถบทะเลสาบเขมร
ขณะที่บริเวณปากมูลตั้งแต่พิบูลมังสาหารลงไปจนถึงปากมูล
สภาพทางธรณีวิทยาทำให้เกิดระบบนิเวศแบบแก่งหินกลางลำน้ำ
ซึ่งเป็นระบบที่สลับซับซ้อน
มีแก่งต่างๆ มากกว่า 50 แก่ง
ที่เป็นที่อยู่อาศัยและวางไข่ของปลา
ดร.ชวลิต วิทยานนท์
ผู้เชี่ยวชาญด้านพันธุ์ปลา
ระบุว่า
แถบปากมูลก่อนการสร้างเขื่อนปากมูลมีพันธุ์ปลาท้องถิ่นถึง
258 ชนิด
เป็นปลาที่อาศัยเฉพาะแก่งและย้ายถิ่นอยู่ถึง
160 ชนิด
แม่น้ำมูลจึงได้ชื่อว่าเป็นแม่น้ำที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดสายหนึ่งของประเทศ
แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายที่ระบบนิเวศที่สลับซับซ้อนนี้
กำลังถูกทำลายอย่างรวดเร็ว
โดยมีสาเหตุหลักมาจากการสร้างเขื่อนทั้งบนลำน้ำมูลและแม่น้ำสาขา
จนกระทั่งลุ่มน้ำมูลเป็นลุ่มน้ำที่มีเขื่อนมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ปัจจุบันมีเขื่อนขนาดใหญ่ที่สร้างเสร็จในลุ่มน้ำมูลถึง
13 เขื่อน คือเขื่อนห้วยกุ่ม
เขื่อนจุฬาภรณ์ เขื่อนอุบลรัตน์
เขื่อนสิรินธร เขื่อนน้ำพุง
เขื่อนลำปาว เขื่อนลำตะคอง
เขื่อนลำพระเพลิง เขื่อนลำแซะ
เขื่อนลำมูลบน และเขื่อนปากมูล
นอกจากนี้ ยังมีเขื่อนอีกประมาณ
14 เขื่อน ภายใต้โครงการผันน้ำโขง
ชี มูล
ที่สร้างเสร็จแล้วและกำลังก่อสร้าง
เช่น เขื่อนราษีไศล
และเขื่อนหัวนา
เขื่อนเหล่านี้นักสร้างเขื่อนได้ทำให้สังคมไทยเชื่อมาตลอดว่า
เพื่อเป็นการพัฒนาที่จะนำมาซึ่งความสะดวกสบาย
และความอยู่ดีกินดี
แต่หากรื้อประวัติศาสตร์เพื่อดูเบื้องหลังของการสร้างเขื่อนในภาคอีสานแล้ว
ข้ออ้างเหล่านี้เป็นเพียงเสื้อคลุมเท่านั้น
ประการแรก
เขื่อนคือมรดกของจักรวรรดินิยมในยุคสงครามเย็น
จากการที่สหรัฐอเมริกาและพันธมิตรจากประเทศโลกที่หนึ่ง
ได้เข้ามาใช้ประเทศไทยเป็นฐานการขยายอิทธิพลในเขตอนุภูมิภาคเอเชียอาคเนย์
สหรัฐและพันธมิตรเข้ามาวางแผนสร้างเขื่อนในภาคอีสาน
ด้วยความเชื่อที่ว่าเขื่อนจะนำมาซึ่งการพัฒนาให้ภาคอีสานกลายเป็นสัญลักษณ์ของทุนนิยม
และใช้วิธีการนี้ในการต่อต้านการขยายอิทธิพลของคอมมิวนิสต์ที่นำโดยจีน
และโซเวียต
เขื่อนที่กล่าวถึงนี้
เกิดขึ้นภายใต้การดำเนินการขององค์กรสร้างเขื่อน
และองค์การช่วยเหลือจากประเทศสหรัฐและพันธมิตร
และภายใต้โครงการช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาขององค์กรเหนือรัฐ
อย่างธนาคารโลก
องค์การสหประชาชาติ
และคณะกรรมการลุ่มน้ำโขง
แม้ปัจจุบันนี้
โครงการเขื่อนต่างๆ
ที่กำลังขัดแย้งกันในลุ่มน้ำนี้ไม่ว่าจะเป็น
โครงการเขื่อนโป่งขุนเพชร
หรือโครงการเขื่อนลำโดมใหญ่
ก็ล้วนแต่วางแผนไว้ตั้งแต่ยุคสงครามเย็น
ประการที่สอง
เขื่อนขนาดใหญ่ในลุ่มน้ำมูลสร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองต่อการเข้ามาตั้งฐานทัพของสหรัฐ
ดังจะเห็นได้จากการสร้างเขื่อนในลุ่มน้ำมูลที่สัมพันธ์กับการเข้ามาตั้งฐานทัพของสหรัฐในภาคอีสาน
ดังเช่นเขื่อนสิรินธรที่สร้างขึ้นมาเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าให้กับฐานทัพสหรัฐที่อุบลราชธานี
ด้วยเหตุนี้
เขื่อนหลายเขื่อนในลุ่มน้ำมูลจึงไม่ควรที่จะสร้าง
แต่ก็ยังถูกสร้างขึ้นมา เช่น
เขื่อนสิรินธรที่มีกำลังผลิตติดตั้งเพียง
36 เมกะวัตต์
(น้อยกว่าเขื่อนปากมูลถึงสี่เท่า)
แต่ได้ท่วมผืนป่าและที่ดินที่อุดมสมบูรณ์มากกว่า
๑๘๐,๐๐๐ ไร่
แล้วยังอพยพชาวบ้านอย่างถอนรากถอนโคนมากกว่า
๓,๐๐๐ ครอบครัว
ประการที่สาม
การสร้างเขื่อนในลุ่มน้ำมูลเกิดจากแรงผลักดันของบรรดาบรรษัทข้ามชาติ
ที่ประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมเขื่อน
ผ่านองค์กรเหนือรัฐในนามของโครงการช่วยเหลือเพื่อการพัฒนา
แต่ท้ายที่สุดก็เพื่อประโยชน์ของบรรดาอุตสาหกรรมเขื่อนจากประเทศโลกที่
1 นั่นเอง
ตัวอย่างก็คือ
การสร้างเขื่อนอุบลรัตน์ซึ่งได้รับเงินทุนจากกองทุนพิเศษสหประชาชาติ
และสนับสนุนการก่อสร้างจากธนาคารเพื่อการบูรณะของเยอรมัน
(Kreditanstalt fur Wiedraufbau)
หลังจากนั้น
บริษัทของเยอรมันก็เข้ามาผูกขาดการก่อสร้างเขื่อนแห่งนี้
กล่าวคือ บริษัท Salzgitter Industrial Gamb H.
เป็นบริษัทวิศวกรที่ปรึกษาเพื่อสำรวจรายละเอียด
ออกแบบ และควบคุมการก่อสร้าง
ส่วนงานก่อสร้างเขื่อน
ทางระบายน้ำล้น และโรงไฟฟ้า
ก่อสร้างโดยบริษัทจากเยอรมัน
ขณะที่เครื่องกังหันและเครื่องกำเนิดไฟฟ้าก็ผลิตโดยบริษัทจากเยอรมันเช่นกัน
หรือกรณีเขื่อนสิรินธร
เขื่อนจุฬาภรณ์
และเขื่อนห้วยกุ่ม
ที่สร้างโดยกลุ่มทุนญี่ปุ่น
โดยผ่านบทบาทของบริษัท EPDC (Electric Power
Development Company)
กรณีเขื่อนปากมูลที่กำลังขัดแย้งอยู่นั้น
หากพลิกดูเบื้องหลังแล้วก็เกิดจากการผลักดันของธนาคารโลก
โดยการสนับสนุนการศึกษาจากฝรั่งเศส
และเงินกู้จากธนาคารโลกก็กลับไปจ้างหรือซื้ออุปกรณ์จากบรรษัทอุตสาหกรรมเขื่อน
ปัจจุบัน
แม้ว่าสงครามเย็นจะสงบลงแล้ว
แต่บรรดาทุนอุตสาหกรรมเขื่อนจากประเทศโลกที่หนึ่งก็ยังเข้ามาผลักดันเขื่อนในลุ่มน้ำนี้ต่อไป
ดังเช่น เขื่อนลำโดมใหญ่
ที่ได้รับผลักดันโดยญี่ปุ่น
เป็นต้น
ดังนั้นแล้ว
ความขัดแย้งเรื่องเขื่อนในลุ่มน้ำมูลจึงเป็นความขัดแย้งระหว่างคนท้องถิ่น
ที่ต่อสู้เพื่อปกป้องวิถีชีวิตและทรัพยากร
กับบรรดานักสร้างเขื่อนที่รับเอาลัทธิการพัฒนาแบบทุนนิยมที่ตกทอดมาจากยุคสงครามเย็น
โดยที่ประโยชน์ของการสร้างเขื่อนนี้ก็เพื่อบรรดาบรรษัทสร้างเขื่อนและองค์กรเหนือรัฐ
โดยที่รัฐไทยเป็นเพียงตัวดำเนินการที่ไม่แตกต่างกับม้าไม้เมืองทรอย
ขณะที่ประเด็นของผลกระทบทางสังคมนั้น
เขื่อนที่สร้างขึ้นในลุ่มน้ำมูลนั้นได้เป็นสาเหตุของการทำลายชุมชนท้องถิ่นอย่างถอนรากถอนโคน
จนถึงปัจจุบัน
ประมาณว่าคนในลุ่มน้ำมูลต้องอพยพเพราะเขื่อนไปแล้วไม่ต่ำกว่า
20,000 ครอบครัว
โดยที่ยังไม่นับชาวบ้านที่ต้องอพยพและสูญเสียที่ดินจากการสร้างระบบคลองส่งน้ำ
ขณะที่ยังมีชาวบ้านที่กำลังจะต้องถูกอพยพอีกนับแสนคน
เฉพาะโครงการผันน้ำโขง-ชี-มูล
โครงการเดียวก็จะต้องมีการอพยพชาวบ้านเป็นจำนวนถึง
149,921 คน
ปัจจุบันคนท้องถิ่นเหล่านี้ต้องเผชิญกับชะตากรรมอันเลวร้าย
แตกกระสานซ่านเซ็น
และกลายเป็นคนจนอย่างฉับพลันและถาวร
ในบางกรณี
ต้องถูกผลักให้อยู่ที่ชายขอบของสังคมดังเช่น
ชาวบ้านบากชุมที่ต้องอพยพจากการสร้างเขื่อนสิรินธร
ที่ทุกวันนี้ต้องกลายเป็นคนคุ้ยขยะในกรุงเทพมหานคร
ขณะที่ในด้านสิ่งแวดล้อม
เขื่อนเป็นตัวการทำลายความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดินและแม่น้ำมูลอย่างรวดเร็ว
จนทำให้แม่น้ำที่ได้ชื่อว่าอุดมสมบูรณ์ที่สุดสายหนึ่งของประเทศต้องเหลือเพียงตำนาน
ประการแรก
การสร้างเขื่อนทำให้เกิดพื้นที่ท่วมป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ของภูมิภาค
รวมทั้งที่ดินทางการเกษตรที่อุดมสมบูรณ์สองฝั่งแม่น้ำ
จนถึงปัจจุบันประมาณว่า
อ่างเก็บน้ำของเขื่อนได้ทำลายป่าไม้และที่ดินทำกินที่อุดมสมบูรณ์ไปถึง
1 ล้านไร่
ในจำนวนนี้รวมถึงที่ดินในที่ราบลุ่มและป่าบุ่งป่าทามสองฝั่งแม่น้ำมูล
ประการที่สอง
การสร้างเขื่อนเป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุดที่ทำลายความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศแม่น้ำ
และพันธุ์ปลายิ่งกว่าสาเหตุของจับปลามากเกินไป
หรือการเกิดมลภาวะในระดับปานกลาง
ทั้งนี้
เพราะเขื่อนได้ปิดกั้นอินทรีย์สารที่เป็นฐานของห่วงโซ่อาหาร
ไม่ให้ไหลลงมาท้ายน้ำ
อินทรีย์สารเหล่านี้ถูกแยกสลายลงจนสิ่งมีชีวิตชั้นสูงกว่าไม่สามารถใช้เป็นอาหารได้
ที่เลวร้ายไปกว่านั้นก็คือ
น้ำในอ่างเก็บน้ำเน่าเสีย
มีกลิ่นเหม็น
ปลาไม่สามารถอยู่ในน้ำที่ไม่มีอาหารและเป็นพิษเช่นนี้ได้
แต่หอยทากพันธุ์ที่เป็นเชื้อพาหะโรคพยาธิ
สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพของน้ำที่ไม่มีออกซิเจนเช่นนี้ได้ดี
ด้วยเหตุนี้
ปลาในอ่างเก็บน้ำนั้นจึงเป็นที่สงสัยตลอดมาว่าน่าจะเป็นที่มาของโรคพยาธิใบไม้ในตับ
มีรายงานยืนยันว่าภายหลังมีการสร้างเขื่อนในอีสานเสร็จใหม่ๆ
ได้พบพยาธิหลายชนิด
ในบริเวณอ่างเก็บน้ำของเขื่อน
เช่น
เขื่อนอุบลรัตน์พบว่ามีชาวบ้านในบริเวณนั้นติดเชื้อโรคพยาธิใบไม้ในตับ
สูงขึ้นร้อยละ 50.07 ภายในระยะเวลา 3-5
ปี
และในที่สุดชาวบ้านก็ติดเชื้อ 100
เปอร์เซ็นต์
การวิจัยของคณะอายุรศาสตร์เขตร้อน
มหาวิทยาลัยมหิดล
พบว่าโรคร้ายแรงนี้ยังเกิดขึ้นทั้งในพื้นที่อ่างเก็บน้ำและในพื้นที่ชลประทาน
สร้างความบั่นทอนชีวิตของประชาชนที่เป็นโรคนี้ถึง
4 ล้านคนในภาคอีสาน
เขื่อนที่อ้างว่าจะทำให้เกิดการพัฒนานั้น
จริงๆ
แล้วคือการสร้างแหล่งบ่มเพาะโรคร้ายที่ค่อยๆ
บั่นทอนชีวิตของคนท้องถิ่นนั่นเอง
ที่สำคัญก็คือ
เขื่อนได้ปิดกั้นการเดินทางของปลาระหว่างแม่น้ำโขงกับแม่น้ำมูล
ที่นักชีววิทยายืนยันว่ามีความอุดมสมบูรณ์มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
โดยมีพันธุ์ปลาถึง 1,238 ชนิด
จะเป็นรองก็แต่แม่น้ำอะเมซอนเท่านั้น
การเดินทางของปลาระหว่างแม่น้ำโขงและแม่น้ำมูลนี้เอง
ทำให้แม่น้ำมูลและแม่น้ำสาขามีความอุดมสมบูรณ์
และเป็นแหล่งโปรตีนตามธรรมชาติของคนอีสาน
ปัญหานี้ได้เกิดขึ้นอย่างชัดเจนจากการสร้างเขื่อนปากมูล
ที่ได้ปิดตายระบบลุ่มน้ำมูนทั้งระบบ
แม้ว่ามีการสร้างบันไดปลาโจนขึ้นมาแก้ปัญหานี้
แต่บันไดปลาโจนก็ไม่สามารถทำให้ปลาอพยพจากแม่น้ำโขงขึ้นมาวางไข่ในแม่น้ำมูลได้
การศึกษาของกรมประมงเองก็ระบุว่าปลาสามารถผ่านบันไดปลาโจนได้เพียง
63 ชนิด หรือคิดเป็น 21.4%
ของพันธุ์ปลาในแม่น้ำมูนที่เคยมี
บางวันปลาเดินทางขึ้นเพียง 2 ถึง 3
ตัวเท่านั้น
และยังเป็นปลาขนาดเล็กที่ไม่ใช่ปลาทางเศรษฐกิจ
การปิดตายลุ่มน้ำมูลด้วยเขื่อนปากมูล
จึงไม่ได้มีเพียงชาวประมงกว่า 6,000
ครอบครัว
ที่อยู่รอบอ่างเท่านั้น
แต่รวมถึงคนลุ่มน้ำมูลและลำน้ำสาขาอื่นที่มีอาชีพประมงและจับปลาเป็นอาหารในครอบครัวด้วย
ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมล่าสุดที่เขื่อนบนลุ่มน้ำมูลสร้างขึ้นมาก็คือ
ปัญหาการกระจายของดินเค็ม
ซึ่งปรากฏชัดในกรณีเขื่อนราษีไศล
และโครงการโขง ชี มูล
เนื่องจากแผ่นดินอีสานนั้นคือแผ่นดินที่เค็มไปด้วยเกลือ
โดยที่ราบแอ่งโคราช
มีชั้นของเกลือแทรกอยู่กับชั้นหินทรายและหินชนิดต่างๆ
ตั้งแต่ระดับ 3-40 เมตร ลงไปจนถึง 7-800
เมตร
โดยมีภูเขาโดมเกลือใหญ่ใต้ดิน 6-7
แห่ง
การสร้างเขื่อนและอ่างเก็บน้ำนั้น
จะทำให้เกิดการยกระดับของน้ำใต้ดินที่เค็มให้ขึ้นมาใกล้ผิวดินมากยิ่งขึ้น
และเกลือที่ละลายอยู่ในน้ำนี้
ในฤดูแล้งก็จะสะสมอยู่บนผิวดินกลายเป็นคราบเกลือและปัญหาดินเค็มตามมา
ส่วนในอ่างเก็บน้ำก็จะมีการสะสมของเกลือ
และทำให้น้ำที่เก็บมีความเค็ม
ขณะที่พื้นที่ชลประทานที่ได้รับน้ำจากการสร้างเขื่อนก็จะมีการสะสมของเกลือ
จนไม่สามารถใช้สำหรับการเพาะปลูกได้อีกต่อไป
ปัญหาการกระจายของดินเค็มนี้
ในที่สุดก็นำมาซึ่งความวิบัติให้กับคนท้องถิ่นที่ยากแก่การแก้ไข
หากพิจารณาในแง่มุมที่ว่า
เขื่อนต่างๆ
ในลุ่มน้ำมูลไม่ได้มาจากความต้องการของคนท้องถิ่น
และผลประโยชน์ที่ได้นั้นน้อยมาก
ดังเช่น
เขื่อนปากมูลที่สามารถผลิตไฟฟ้าได้เพียง
40 เมกะวัตต์
บางเดือนก็ผลิตกระแสไฟฟ้าไม่ได้เลย
เขื่อนสิรินธรนั้นมีกำลังผลิตติดตั้งเพียง
36 เมกะวัตต์
หรือเขื่อนราษีไศลที่ไม่มีใครได้ประโยชน์เลยทั้งที่สร้างไปแล้ว
7 ปี
ในขณะที่คนท้องถิ่นต้องแบกรับภาระจากผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมทั้งหมด
ด้วยเหตุนี้ โครงการเขื่อนต่างๆ
ที่ยังไม่ได้สร้างก็ควรถึงเวลาที่จะทบทวนและยกเลิก
ขณะเดียวกันเขื่อนที่กำลังก่อสร้าง
เช่น เขื่อนหัวนา และเขื่อนอื่นๆ
ในโครงการโขง ชี มูล
ก็ควรระงับไว้ก่อน
ส่วนเขื่อนที่สร้างไปแล้ว
และไร้ประโยชน์หรือมีประโยชน์น้อยมาก
ก็ควรยกเลิกการใช้
โดยการเปิดประตูระบายน้ำ
เพื่อฟื้นฟูแม่น้ำและพันธุ์ปลา
และคืนที่ดินที่สมบูรณ์ให้กับชุมชน
บทเรียนของการสร้างเขื่อนในลุ่มน้ำมูลที่มีนานกว่า
4 ทศวรรษนั้น
สามารถสรุปได้แล้วว่าพอแล้วสำหรับการสร้างเขื่อนบนลุ่มน้ำมูล
การคืนอิสรภาพให้แม่น้ำมูลจึงเป็นหนทางที่ดีที่สุดของการแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างเขื่อนกับคนอีสาน!?!
|