บรรณาธิการแถลง: บทความทุกชิ้นซึ่งได้รับการเผยแพร่บนเว็บไซต์แห่งนี้
มุ่งเพื่อประโยชน์สาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อวัตถุประสงค์ในการขยายพรมแดนแห่งความรู้ให้กับสังคมไทยอย่างกว้างขวาง
นอกจากนี้ยังมุ่งทำหน้าที่เป็นยุ้งฉางเล็กๆ แห่งหนึ่งสำหรับเก็บสะสมความรู้ เพื่อให้ทุกคนสามารถหยิบฉวยไปใช้ได้ตามสะดวก
ในฐานะที่เป็นสมบัติร่วมของชุมชน สังคม และสมบัติที่ต่างช่วยกันสร้างสรรค์และดูแลรักษามาโดยตลอด.
สำหรับผู้สนใจร่วมนำเสนอบทความ หรือ แนะนำบทความที่น่าสนใจ(ในทุกๆสาขาวิชา) จากเว็บไซต์ต่างๆ
ทั่วโลก สามารถส่งบทความหรือแนะนำไปได้ที่ midnightuniv(at)gmail.com
(กองบรรณาธิการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน: ๒๘ มกาคม ๒๕๕๐)
Social
Minimum
Midnight
University
ความเข้าใจเชิงปรัชญาเกี่ยวกับมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคม
Welfare
State / Social Minimum: ทำไมต้องมีมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคม
สมเกียรติ
ตั้งนโม : เรียบเรียง
ของโครงการสื่อเพื่อบริบทสิทธิมนุษยชน มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
บทความวิชาการต่อไปนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการสื่อเพื่อบริบทสิทธิมนุษยชน
ของเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ซึ่งเป็นโครงการที่ไม่หวังผลกำไร
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหาตัวอย่างและกรณีศึกษาเกี่ยวกับเรื่องสิทธิมนุษยชน
จากประเทศชายขอบทั่วโลก มาเป็นตัวแบบในการวิเคราะห์และสังเคราะห์
เพื่อเผชิญกับปัญหาสิทธิมนุษยชน(สิทธิชุมชน)ในประเทศไทย
บทความวิชาการชิ้นนี้เรียบเรียงจากต้นฉบับที่หลากหลาย
ดังแจ้งไว้ในบรรณานุกรม
เป็นเรื่องเกี่ยวกับแนวคิดรัฐสวัสดิการ สังคมสวัสดิการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของ
การจัดหาปัจจัยที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตตามสมควรแก่สมาชิกในสังคม ซึ่งเรียกว่า
มาตรฐานขั้นต่ำทางสังคม(social minimum) มานำเสนอ เนื้อหาสำคัญเป็นข้อถกเถียง
ในเชิงปรัชญาและการพยายามตอบคำถามว่า ทำไมจึงควรมีมาตรฐานขั้นต่ำในทางสังคม
โดยมองผ่านแนวคิดประโยชน์นิยม, เสรีนิยม, เสรีนิยมฝ่ายซ้าย, และเสรีนิยมประชาธิปไตย
เนื่องจากเนื้อหาบทความชิ้นนี้ค่อนข้างยาว
จึงได้แบ่งออกเป็น ๒ ตอนดังนี้
ตอนที่ ๑ Welfare State / Social Minimum: รัฐสวัสดิการ รัฐตู้กับข้าวของสังคม
ตอนที่ ๒ Welfare State / Social Minimum: ทำไมต้องมี มาตรฐานขั้นต่ำทางสังคม
midnightuniv(at)gmail.com
บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา
ข้อความที่ปรากฏบนเว็บเพจนี้
ได้รักษาเนื้อความตามต้นฉบับเดิมมากที่สุด
เพื่อนำเสนอเนื้อหาตามที่ผู้เขียนต้องการสื่อ กองบรรณาธิการเพียงตรวจสอบตัวสะกด
และปรับปรุงบางส่วนเพื่อความเหมาะสมสำหรับการเผยแพร่ รวมทั้งได้เว้นวรรค
ย่อหน้าใหม่ และจัดทำหัวข้อเพิ่มเติมสำหรับการค้นคว้าทางวิชาการ
บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ลำดับที่ ๑๔๒๙
เผยแพร่บนเว็บไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่
๘ ธันวาคม ๒๕๕๐
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ
๒๐ หน้ากระดาษ A4)
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ความเข้าใจเชิงปรัชญาเกี่ยวกับมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคม
Welfare
State / Social Minimum: ทำไมต้องมีมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคม
สมเกียรติ
ตั้งนโม : เรียบเรียง
ของโครงการสื่อเพื่อบริบทสิทธิมนุษยชน มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
2. ทำไมต้องมี มาตรฐานขั้นต่ำทางสังคม
?
ด้วยหวังว่า ตอนนี้เราเริ่มชัดเจนขึ้นแล้วเกี่ยวกับอะไรคือมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคม
และสิ่งที่มุ่งเพื่อบัญญัติให้มีมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคม ช่วงต่อไปเราจะพิจารณากันถึงคำถามที่ว่า"ทำไม"เราจึงต้องสร้างมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคมขึ้นมา?.
ดังที่กล่าวไว้ตั้งแต่อารัมภบท เราจะทบทวนทฤษฎีต่างๆ เกี่ยวกับความยุติธรรมทางสังคมที่มีอิทธิพลจำนวนหนึ่ง
โดยเคารพต่อแต่ละทฤษฎี ซึ่งได้มาส่งเสริมให้เกิดมาตรฐานดังกล่าว ทฤษฎีที่จะทบทวนต่อไปนี้จะประกอบด้วย
แนวคิดประโยชน์นิยม(utilitarianism); แนวคิดเสรีนิยม(libertarianism); แนวคิดเสรีนิยมฝ่ายซ้าย(left-libertarianism);
แนวคิดเสรีนิยมความเสมอภาค(egalitarian liberalism); และสุดท้ายคือ ทฤษฎีประชาธิปไตยเกี่ยวกับความยุติธรรมทางสังคม(democratic
theories of social justice)
2.1 Utilitarianism (แนวคิดประโยชน์นิยม)
ประโยชน์นิยมคือทัศนะที่ว่า การกระทำใดๆ และสถาบันใดๆ ควรชี้ขาดว่าพวกมันได้สร้างสวัสดิการ(หรือประโยชน์)ต่อประชาชน
(ให้สามารถเข้าถึงสวัสดิภาพได้). ในรูปแบบคลาสสิก ลัทธิประโยชน์นิยมเรียกร้องให้สถาบันต่างๆ
ของสังคมจัดให้มีเกี่ยวกับ"ผลรวมของความสุข"(sum total of happiness),
ซึ่งถูกเข้าใจว่าเป็นตาข่ายดักทุกข์ ขณะที่ในทัศนะที่ร่วมสมัยกว่า ได้เรียกร้องให้สถาบันเหล่านี้ทำให้ถึงซึ่งผลรวมของความพึงพอใจตามปรารถนา(desire-satisfaction)มากที่สุด.
ในการคิดคำนวณผลรวมดังกล่าว ลัทธิประโยชน์นิยมยืนยันอยู่บนหลักการเกี่ยวกับความเสมอภาค
นั่นคือ ประโยชน์ของแต่ละคนจะต้องเท่าเทียมกับคนอื่นทุกๆ คน (Mill, 1861) (*)
(*)Mill, John Stuart, 'Utilitarianism', in Mary Warnock,
ed., John Stuart Mill's Utilitarianism (Glasgow, William Collins, 1962 [1861]),
pp. 251-321.
ในประเทศต่างๆ อย่างเช่นอังกฤษ ลัทธิประโยชน์นิยมถือเป็นแรงบันดาลใจที่สำคัญสำหรับบรรดานักปฏิรูปทั้งหลายมีความผูกพันกับการสถาปนารัฐสวัสดิการขึ้นมา
เพื่อที่จะบัญญัติเรื่องมาตรฐานสังคมขั้นต่ำ(social minimum). ไม่ยากเย็นนักที่จะเห็นว่าทำไม?
ลองจินตนาการถึงสังคมซึ่งปล่อยให้การกระจายรายได้เป็นเรื่องของตลาด เราจะพบว่า
รายได้ต่างๆเหล่านั้น จะได้รับการกระจายตัวไปอย่างไม่เท่าเทียมอย่างยิ่ง. สมมุติตัวอย่างเช่น
เราคิดว่ามีระดับรายได้เท่ากับ 1 หมื่นบาท, ซึ่งผู้คนโดยทั่วไปต้องการเพื่อเข้าถึงชีวิตขั้นต่ำตามสมควร.
ความไม่เท่าเทียมในสังคมนี้ก็คือ บางคนมีรายได้ต่ำกว่ามาตรฐาน 1 หมื่นบาท. แต่อย่างไรก็ตาม
เป็นไปได้สำหรับรัฐบาลที่จะมีแผนการโยกย้ายภาษีซึ่งจะประกันว่าสมาชิกยากจนที่สุดของสังคม
สามารถเข้าถึงมาตรฐาน 1 หมื่นบาท ได้ตามสมควร. ตอนนี้หากว่า ขอบของรายได้ส่วนขาดได้ถูกกำจัดลงไปโดยผู้คนมีรายได้เพิ่มขึ้น
ถ้าเป็นเช่นนั้น ดูเหมือนเป็นไปได้ว่าการย้ายจากระบบเศรษฐกิจตลาดเสรีสู่ระบบนโยบายมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคม
จะสร้างเครือข่ายความปลอดภัยอันหนึ่งขึ้นเพื่อบรรลุถึงประโยชน์โดยรวมของสังคม
ง่ายมาก รายได้ที่คนจนได้รับเป็นผลเนื่องมาจากการเปลี่ยนย้ายสู่ระบบมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคม ซึ่งเป็นไปได้ว่าดีกว่าการสูญเสียประโยชน์ของคนรวย โดยการเคลื่อนย้ายไปสู่ระบบนี้ (ด้วยการสันนิษฐานเกี่ยวกับขจัดประโยชน์ส่วนส่วนเกินของรายได้). อย่างชัดเจน การให้ความสนใจของนักประโยชน์นิยมตั้งอยู่บนเรื่องของสวัสดิการเป็นสิ่งที่ดีในชีวิตมนุษย์ แนวคิดลัทธิประโยชน์นิยมเกี่ยวกับ"มาตรฐานขั้นต่ำทางสังคม" เป็นเรื่องของ"สวัสดิการ" นั่นคือ มาตรฐานขั้นต่ำทางสังคมจะได้รับการมองว่า "เป็นกลุ่มของทรัพยากรที่จำเป็นกองหนึ่ง เพื่อเป็นหลักประกันสำหรับชีวิต ด้วยการยอมรับระดับของความสุขหรือความพึงพอใจที่ปรารถนาขั้นต่ำ"
แต่อย่างไรก็ตาม ในฐานะสาระของนโยบาย
นักประโยชน์นิยมอาจพร้อมให้การสนับสนุนการบัญญัติเกี่ยวกับมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคม
ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากหลักการเรื่องของความสามารถ(capability approach) เพราะ
สำหรับเหตุผลที่กล่าวมาแล้วข้างต้น พวกเขาตัดสินหีบห่อนโยบายมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคมที่กล่าวถึง
ในฐานะที่เป็นการส่งเสริมการเพิ่มพูนเรื่องของสวัสดิการ (สำหรับผู้สนใจการสนทนาถึงเหตุผลเกี่ยวกับประโยชน์นิยม
ในการบัญญัติเกี่ยวกับมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคม, ดู Brandt, 1981.)(*)
(*)Brandt, Richard B., 'Utilitarianism and Welfare Legislation',
in Peter G. Brown, Conrad Johnson and Paul Vernier, Income Support: Conceptual
and Policy Issues (Totowa: NJ, Rowman and Littlefied, 1981), pp. 7-24.
อย่างไรก็ตาม จากความคิดเห็นของนักประโยชน์นิยม ข้อถกเถียงก่อนหน้านี้ในเรื่องการบัญญัติรูปแบบบางอย่างเกี่ยวกับมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคมยังคงไม่ใช่ข้อสรุป.
มันมีข้อถกเถียงต่างๆ ที่สามารถถูกสร้างขึ้นมาได้จากภายในกรอบคิดของประโยชน์นิยม
ที่สวนทางกับการประกาศเรื่องมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคม (ไม่ว่าจะในแนวคิดเรื่องความสามารถต่างๆ
(capabilities) หรือสวัสดิการนิยม(welfarist) ก็ตาม)
ระบบสวัสดิการจะลดทอนแรงกระตุ้นในการทำงาน
ข้อโต้เถียงของนักประโยชน์นิยมหลักๆ ต่อการบัญญัติเรื่องของมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคมอาศัยความคิดเรื่องของสิ่งกระตุ้นต่างๆ
(incentives). ข้อถกเถียงเริ่มด้วยข้ออ้างที่ว่า ถ้าหากเราทำการเปลี่ยนแปลงจากระบบเศรษฐกิจตลาดเสรี
สู่ระบบที่ใช้นโยบายมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคมแล้ว เราจะลดทอนแรงกระตุ้นในการทำงาน
ลดความประหยัด และลดทอนเรื่องวิสาหกิจการลงทุน. คนรวยก็จะถูกกล่าวหาว่าทำงานอย่างขยันขันแข็งน้อยลง
ประหยัดน้อยลง และลงทุนน้อยลงเช่นกัน เพราะพวกเขากำลังแบกรับภาษีอย่างหนัก เพื่อจ่ายให้กับนโยบายมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคมนั่นเอง.
คนจนเองก็จะถูกกล่าวหาว่าทำงานอย่างไม่เต็มที่ ไม่ค่อยสนใจเรื่องความประหยัด
และอื่นๆ ตามมา เพราะพวกเขามีเครือข่ายความปลอดภัยด้านสวัสดิการ(welfare safety-net)
ที่จะรองรับหรือถอยกลับไปได้
ในฐานะผลลัพธ์อันหนึ่งเกี่ยวกับความถดถอยแรงกระตุ้นนี้ เป็นไปได้ที่ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจจะชะลอตัวลง ภายใต้ระบบเศรษฐกิจที่มีระบบนโยบายมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคม ยิ่งกว่าภายใต้ระบบตลาดเสรี และในระยะยาว การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ช้าลง อาจยังผลให้เกิดสวัสดิการโดยรวมที่ต่ำลงตามไปด้วย ในระบบที่ใช้นโยบายมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคมยิ่งกว่าระบบตลาดเสรี หากเป็นเช่นนั้นดังว่า เราจะต้องไม่มีการประกาศเรื่องมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคมขึ้นเป็นกฎหมาย
เรื่องแรงกระตุ้นต่างๆ
(incentive) สนใจให้คำอธิบายว่า ทำไมบรรดานักปฏิรูปประโยชน์นิยมทั้งหลายในคริสตศตวรรษที่
19 ของอังกฤษ อย่างเช่น Edwin Chadwick (**), จึงขุดหลุมฝังเรื่องเกี่ยวกับมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคม
ขณะเดียวกันได้ยินยอมให้มีเครือข่ายความปลอดภัยบางอย่างสำหรับคนที่จนมากๆ, Chadwick
เสนอว่า การช่วยเหลือของรัฐที่ให้กับคนจนนั้น ควรถูกจัดให้ในระดับต่ำสุด และตระเตรียมการลงโทษเอาไว้อย่างรอบคอบไว้ด้วย
(**)Sir Edwin Chadwick (January 24, 1800-July 6, 1890)
was an English social reformer, noted for his work to reform the Poor Laws
and improve sanitary conditions and public health. One of the reasons why
Chadwick believed in improvement to public health was because he believed
it would save money.
หลักการต่างๆ เหล่านี้อยู่เบื้องหลังกฎหมายคนจนใหม่(New Poor Law) ของปี ค.ศ.1834
ซึ่งต้องการให้คนที่ขอรับความช่วยเหลือจำนวนมาก อาศัยอยู่และทำงานในสถานฝึกอาชีพคนจนที่แบ่งแยกเพศชายและหญิงออกจากกัน
ซึ่งค่อนข้างมีสภาพคล้ายกับคุก เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับรายได้ที่พอยังชีพในยามขาดแคลน
(ดู Roberts, 1960, pp. 36-45, ใน Edwin Chadwick's role in designing the New
Poor Law; และดูเพิ่มเติมใน Hamburger, 1965, สำหรับการสนทนากันเรื่องเกี่ยวกับบริบททางความคิดของ
Chadwick). (***)
(***) Roberts, David, Victorian Origins of the British
Welfare State (New Haven, Yale University Press, 1960).
ในมุมมองเกี่ยวกับการสันนิษฐาน เป็นไปได้ว่ามีความพยายามที่จะลดทอนผลกำไรหรือส่วนเกินของรายได้ลง
ซึ่งกล่าวได้ว่าลัทธิประโยชน์นิยมกำลังให้การสนับสนุนในการตรากฎหมายบางรูปแบบเกี่ยวกับมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคมขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม ในทัศนะเกี่ยวกับผลกระทบที่เป็นไปได้ของการตรากฎหมายมาตรฐานดังกล่าว
จะมีผลต่อเรื่องของแรงกระตุ้นต่างๆ นอกจากนี้ยังสามารถพูดได้ว่า เพียงให้การสนับสนุนในยามฉุกเฉินเท่านั้นสำหรับการตรากฎหมายนี้ขึ้นมา
นั่นคือ ในบางสังคมและในบางโอกาส. อย่างไรก็ตาม การให้สวัสดิการโดยรวมสูงสุด
ดังที่เรียกร้อง จะต้องไม่ได้รับการตราหรือบัญญัติขึ้นในมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคม
2.2 Libertarianism (แนวคิดเสรีนิยม)
ถ้าบรรทัดฐานเกี่ยวกับความยุติธรรมของลัทธิประโยชน์นิยมคือสวัสดิการโดยรวม ลัทธิเสรีนิยมกลับเน้นเรื่องสิทธิของปัจเจกบุคคล.
"ปัจเจกบุคคล" คือสิ่งที่ได้รับความเคารพ นั่นคือ พวกเขามีสิทธิ์ และสิทธิเหล่านี้จะไม่ถูกละเมิด
เท่าๆ กับประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นของสวัสดิการโดยรวม - อันที่จริง เท่าๆ กับประโยชน์เกี่ยวกับการปกป้องการละเมิดสิทธิต่างๆ
ที่กว้างกว่า (Nozick, 1974, pp. 28-35) (*)
(*) Nozick, Robert, Anarchy, State, and Utopia (Oxford,
Blackwell, 1974).
หากเราถามว่า สิทธิชนิดใดที่ปัจเจกชนพึงมีอย่างแท้จริง คำตอบส่วนใหญ่ของนักเสรีนิยม
คือ เขาหรือเธอต่างได้รับสิทธิทั้งหลายเกี่ยวกับ"ความเป็นเจ้าของตัวเขาเอง"(self-ownership).
บางคนมีความสุขความพอใจใน"ความเป็นเจ้าของตัวเขาเอง" ในความหมายที่สอดคล้องกัน
เมื่อเขาหรือเธอเต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นเจ้าของเฉพาะตน(private ownership)ในร่างกายและสติปัญญาความสามารถต่างๆ
ของเขาหรือเธอ นั่นคือพวกเขา, ในความสัมพันธ์กับร่างกายเขาและสติปัญญา, จึงมีสิทธิเหล่านั้นดั่งเจ้าของทาสมีในความสัมพันธ์กับร่างกายและสติปัญญาของทาสคนหนึ่งที่เขาเป็นเจ้าของ
(Cohen, 1995, p. 68)(**)
(**)Cohen, G. A., Self-Ownership, Freedom and Equality
(Cambridge, Cambridge University Press, 1995).
ผลที่ตามมาเกี่ยวกับ"ความเป็นเจ้าของตัวเอง" คือความคิดที่ว่า ปัจเจกชนทั้งหลายไม่มีข้อผูกพันที่ปราศจากพันธะสัญญา
ในการใช้ประโยชน์แรงงานของพวกเขาเพื่อผลประโยชน์ของคนอื่น. ในปฏิบัติการด้านสิทธิเกี่ยวกับความเป็นเจ้าของตนเอง
ผู้คนอาจติดต่อกับคนอื่นๆ เพื่อให้บริการหรือผลประโยชน์ต่างๆ ที่มีลักษณะเฉพาะ
แต่หากว่ารัฐบีบบังคับให้ผู้คนต้องให้บริการและผลประโยชน์ใดๆ โดยปราศจากความยินยอมของปัจเจกชน
มันจะเป็นการละเมิดสิทธิของพวกเขาเกี่ยวกับความเป็นเจ้าของตนเอง. ดังที่ข้อถกเถียงนี้ดำเนินไป
มันจะเป็นการกระทำต่อปัจเจกบุคคลราวกับว่ารัฐเป็นเจ้าของทรัพยสินต่างๆ และทำการบีบคั้นสู่การให้บริการเพื่อประโยชน์ของคนอื่นโดยการตัดสินใจของรัฐ
ส่วนในเรื่องที่จะตรากฎหมายมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคม ดูเหมือนเป็นไปได้ที่ว่า รัฐกำลังบังคับยัดเยียดข้อผูกมัดที่ปราศจากสัญญาต่อพลเมืองที่มีพรสวรรค์ หรือความสามารถพิเศษ เพื่อปันส่วนผลพวงต่างๆ เกี่ยวกับแรงงานของพวกเขาให้กับคนอื่นที่อับโชค ซึ่งหาไม่แล้วจะตกอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงที่จะดิ่งสู่ก้นบึ้งของระดับมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคม. แต่อย่างไรก็ตาม อันนี้ได้ไปละเมิดสิทธิความเป็นเจ้าของตนเองในด้านพรสวรรค์. ต่อเหตุผลนี้ ลัทธิเสรีนิยมจึงดูเหมือนว่าปราศจากพื้นฐานใดๆ และความหวังว่า จะลุกขึ้นมาพิทักษ์ปกป้องการตรากฎหมายเกี่ยวกับมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคม
อย่างไรก็ตาม สิ่งต่างๆ ก็มิได้ชัดเจนเช่นนั้นเสียทีเดียว ขอให้ย้อนกลับไปสู่คำถามเกี่ยวกับเรื่องสิทธิที่ว่า สิทธิชนิดใดที่บรรดาปัจเจกชนมี ในทัศนะของนักเสรีนิยม. แนวคิดเกี่ยวกับ"ความเป็นเจ้าของตนเอง"(self- ownership) ได้ตระเตรียมคำตอบส่วนใหญ่ต่อคำถามหรือข้อสงสัยนี้ไว้แล้ว แม้ว่าจะไม่ใช่ทั้งหมดก็ตาม. สำหรับโลกซึ่งไม่ใช้เพียงสำหรับมนุษย์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงความหลากหลายเกี่ยวกับทรัพยากรภายนอกอีกมากมาย อย่างเช่น ผืนแผ่นดิน แม้น้ำ ป่าเขา และแร่ธาตุ. คำถามคือว่า สิทธิชนิดใดที่เรามีในความสัมพันธ์กับทรัพยากรอื่นๆ เหล่านี้ ? ถ้าหากเราเชื่อว่า ปัจเจกชนทั้งหลายสามารถมีสิทธิในทรัพยสินส่วนตัวในทรัพยากรเหล่านี้ได้ ซึ่งไม่อาจล่วงละเมิดได้คล้ายดั่งที่พวกเขามีในความสัมพันธ์กับร่างกายและสติปัญญาของตัวพวกเขาเอง เราก็ต้องการที่จะรู้ว่า ปัจเจกชนทั้งหลายผูกพันกับสิทธิต่างๆ ที่ได้มาในทรัพย์สินเหล่านี้อย่างไร ?
ส่วนหนึ่งของคำตอบคือ ถ้าเผื่อว่าเราได้มาซึ่งทรัพย์สินอันหนึ่งโดยผ่านการแลกเปลี่ยนโดยสมัครใจ กับบางคนที่เป็นเจ้าของมันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หากเป็นเช่นนั้นเราก็จะเป็นเจ้าของทรัพย์สินนั้น. แต่ถ้าเผื่อว่าเราย้อนไปตรวจดูประวัติศาสตร์ทางด้านการค้า ก็จะพบว่า ทรัพย์สิน(ทรัพยากร)ที่กล่าวถึงนั้น มิได้มีเจ้าของมาแต่ต้น; โดยเหตุผลใดเหตุผลหนึ่ง ไม่มีใครสร้างมันขึ้นมาและเป็นเจ้าของ - เช่นผืนแผ่นดิน - ทรัพย์สินส่วนตัวของพวกเขา. แต่อันนี้เกิดขึ้นมาอย่างไร ? ในกรณีต่างๆ ตามความคิดของ Nozick, นักเสรีนิยมจักต้องให้คำอธิบายเกี่ยวกับ"ความชอบธรรมในการได้มาหรือการเข้าครองสิทธิ์ดังกล่าว (Nozick, 1974, pp. 151, 174-182)
ธรรมชาติเกี่ยวกับความยุติธรรมในการได้มาซึ่งสิทธิ์
คือต้นตอหนึ่งของข้อถกเถียงท่ามกลางนักเสรีนิยมทั้งหลาย มีการสันนิษฐานว่า ทรัพยากรภายนอกที่พวกเรามีอยู่ในใจ
เดิมทีไม่มีเจ้าของ มีคนให้เหตุผลว่า ปัเจเจกชนพิเศษสามารถนำทรัพยากรต่างๆ มาใช้หรือยึดเอามาได้ในฐานะทรัพย์สมบัติส่วนตัว
โดยการผสมกับพลังหรือแรงงานที่ตนเป็นเจ้าของกับความเกี่ยวพันกับทรัพยากร. ความคิดนี้
ซึ่งเราพบได้ในงานของ John Locke (Locke, 1689, Book 2, chapter 5)(***) คือ
ปัจเจกชนทั้งหลายได้ผนวกเอาบางสิ่งที่พวกเขาเป็นเจ้าของอยู่แล้ว(แรงงาน) กับบางสิ่งที่แต่เดิมซึ่งปราศจากเจ้าของ
(กล่าวคือ พื้นดินผืนหนึ่ง) และด้วยเหตุดังนั้น จึงได้เป็นเจ้าของในสิ่งที่เดิมทีเดียวมิได้มีใครเป็นเจ้าของ
(***) Locke, John, in Peter Laslett, ed., Two Treatises
of Civil Government (Cambridge, Cambridge University Press, 1960 [1689]).
แต่อย่างไรก็ตาม นักเสีนิยมบางคนอย่างเช่น Nozick, ที่ต่อมาจาก Locke ได้ถกว่า
การเข้ายึดครองโดยกระทำผ่านพลังที่ตนเป็นเจ้าของนั้น จะต้องเป็นไปโดยที่มันจะต้องไม่เป็นอันตรายต่อคนเหล่านั้น
ซึ่งต้องสูญเสียการเข้าถึงทรัพยากรดังกล่าว
เงื่อนไขนี้ (บ่อยครั้งอ้างถึงในฐานะที่เป็น
Lockean Proviso) (****) ซึ่งสามารถได้รับการวางแผนอย่างประณีตตามมา (ดู Nozick,
1974, pp. 174-182; และ การตีความในเชิงเกื้อกูล, Wolff, 1991, pp. 107-115):
การเข้ายึดครองหรือถือกรรมสิทธิ์ในทรัพยากรซึ่งก่อนหน้านั้นปราศจากเจ้าของ โดยที่ไม่มีบุคคลใดถูกทำให้เลวร้ายลงไปกว่าเดิม
ที่ซึ่งทรัพยากรภายนอกทั้งมวลยังคงไม่มีใครเป็นเจ้าของ. บนโลกที่ทรัพยากรภายนอกทั้งปวงยังคงไม่มีใครครอบครอง
แต่ละคนสามารถที่จะเข้าถึงมันได้ในบางระดับของสวัสดิการ โดยการใช้ประโยชน์ในทรัพยากรนั้นที่ยังคงไม่มีใครเป็นเจ้าของ
(****)The Lockean Proviso is a portion of John Locke's
labor theory of property which says that though individuals have a right to
acquire private property from nature, that they must leave "enough and
as good in common...to others."
The phrase "Lockean Proviso" was coined by political philosopher
Robert Nozick. It is based on the ideas elaborated by John Locke in his Second
Treatise of Government. Locke's ideas of self-ownership allow a person the
freedom to mix his or her labor with natural resources, originally common
property, thus making it their private property.
Locke concludes that
people need to be able to protect the resources they are using to live on,
their property, and that this is a natural right. Nozick used this idea to
form his Lockean Proviso which governs the initial acquisition of property
in a society. Like Locke, Nozick believes in self-ownership and thus is a
libertarian. But in order for his ideas of ownership of property to get off
the ground and be cogent, he devised the criterion to determine what makes
property acquisition just, which is the proviso. The proviso says that though
every appropriation of property is a diminution of another's rights to it,
it is okay as long as it does not make anyone worse off than they would have
been without any private property.
สำหรับปัจเจกชนคนใดก็ตาม ขอให้เราบ่งชี้"สวัสดิการ"นี้ในระดับธรรมดาว่า
W. การกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ส่วนตัวหรือเข้ายึดครอง
ได้มีการเสนอว่า ภายหลังจากการยึดครอง แต่ละปัจเจกบุคคลจะยังคงสามารถเข้าถึง
W นี้ได้. (หมายเหตุเอาไว้ว่า W อาจแตกต่างระหว่าง ปัจเจกชนแต่ละคนโดยเฉพาะ เนื่องจากความสามารถที่ไม่เท่ากันของพวกเขาในการประสบความสำเร็จในสภาวะธรรมชาติ
ซึ่งทรัพยากรภายนอกทั้งมวลยังคงไม่มีใครเป็นเจ้าของ)
ความเกี่ยวพันที่มีนัยะเกี่ยวกับคำอธิบายนี้ในการเข้าครองสิทธิ์ คือ ไม่ว่าระบอบใดๆ เกี่ยวกับสิทธิในทรัพยสินส่วนตัว เพียงเสนอว่า คนทุกคนที่ดำรงอยู่ในระบอบดังกล่าวสามารถที่จะบรรลุถึง W ได้. - ระดับสวัสดิการที่เขาหรือเธอสามารถที่จะบรรลุถึงได้ในโลกใบนี้ ซึ่งทรัพยากรภายนอกทั้งหลายยังคงปราศจากเจ้าของ. บรรดานักคิดเสรีนิยมเป็นจำนวนมาก รวมถึง Nozick, ได้แสดงออกในเชิงบวกว่า ระบบทรัพย์สินส่วนตัวควรจะต้องสามารถให้โอกาสแก่ผู้คนเสมอ เพื่อบรรลุถึงระดับสวัสดิการนี้ แต่มันเป็นเรื่องที่คิดต่อไปได้ว่า ในปฏิบัติการตามปกติทางเศรษฐกิจ ระบบทรัพย์สินส่วนตัว บางครั้งและสำหรับบางคน ไม่อาจที่จะเข้าถึงระดับสวัสดิการนี้ได้โดยการละทิ้งหรือเมินเฉยมันเสียเอง. หากเป็นเช่นนั้น ก็ถือเป็นความยุติธรรม - ดั่งที่นักเสรีนิยมเข้าใจ - ซึ่งเรียกร้องให้รัฐกระทำการอย่างถูกต้องโปร่งใสในการกระจายสวัสดิการ
แต่อย่างไรก็ตาม รัฐจะต้องชดเชยให้กับคนที่ได้รับการแบ่งสรรอยู่แล้วเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินส่วนตัวในทรัพยากรภายนอกเหล่านั้น แต่ไม่สามารถที่จะบรรลุถึง W ได้. อย่างน้อยที่สุด ตามแนวคิดนักปรัชญาเสรีนิยมที่ทรงอิทธิพลคนหนึ่ง, Robert Nozick, กล่าวว่า สิทธิขั้นพื้นฐานของเราไม่เพียงรวมเอาสิทธิการเป็นเจ้าของตัวเอง(self-ownership)ของเราไว้เท่านั้น แต่ยังหมายถึงสิทธิที่จะได้รับสวัสดิการนี้ด้วย
เพื่อที่จะพึงพอใจกับสิทธินี้
ระบบเสรีนิยมอาจะต้องดำเนินการให้มีโปรแกรมบางอย่างมาช่วยสำหรับคนที่ยากจนจริงๆ
ในบางระดับ, แม้แต่รัฐเสรีนิยมอาจต้องมีโครงการรัฐบาลบางชนิดที่ทำการรวบรวมคนเหล่านั้นขึ้นมา
และนำไปเชื่อมโยงกับระบอบนโยบายมาตรฐานทางสังคมขั้นต่ำ(social minimum policy
regime) อันนี้จะต้องกระทำในขอบเขตที่จำกัดมากๆ ซึ่งกระทั่งทฤษฎีเสรีนิยมเกี่ยวกับความยุติธรรม
อาจต้องปรับเสริมต่อการประกาศมาตรการนี้ อย่างน้อยที่สุด ก็ในบางส่วนของมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคมดังกล่าวมาใช้
(ดูการสนทนากันใน Brock, 1998, และ Sterba, 1998) (*-*)
(*-*) Brock, Gillian, 'Is Redistribution to Help the
Needy Unjust?', in Brock, ed., Necessary Goods: Our Responsibilities to Meet
Others' Needs (Lanham: MD, Rowman and Littlefield, 1998), pp. 173-184.
(*-*) Sterba, James, 'From Liberty to Universal Welfare', in Brock, ed., Necessary
Goods: Our Responsibilities to Meet Others' Needs (Lanham: MD, Rowman and
Littlefield, 1998), pp. 185-217.
ดังที่กล่าวแล้วว่า ไม่ใช่ข้ออ้างเหตุผลนี้ที่จะสามารถถูกนำมาใช้เพื่อสนับสนุนการประกาศเกี่ยวกับการให้มีบางสิ่งบางอย่างในลักษณะที่เป็นมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคมเต็มรูปแบบ
อย่างน้อยที่สุด มีเหตุผลอยู่ 2 ประการด้วยกัน คือ
ประการแรก
สำหรับส่วนใหญ่ซึ่งไม่ใช่ทั้งหมด ผู้คนควรเข้าถึงสวัสดิการในระดับ W ที่เป็นไปได้ว่าในระดับต่ำมาก.
อย่างชัดเจน เป็นเพราะมันเป็นระดับสวัสดิการที่เราสามารถได้รับในโลกที่ไม่มีระบบทรัพย์สินส่วนตัว
เพื่อทำให้ความคาดหวังต่างๆ เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ทรัพยากรมีความมั่นคง และด้วยเหตุนี้
โลกที่ปราศจากการผลผลิตขนาดใหญ่ สามารถบรรลุถึงอันนั้นได้โดยมาจากการทำให้ความคาดหวังต่างๆ
มีความมั่นคง. ดังนั้น ระดับความช่วยเหลือที่ได้มา โดยสิทธิแนวเสรีนิยมสู่ระดับสวัสดกิาร
เป็นไปได้ว่าโดยทั่วไปมันจะต่ำกว่าที่คาดไว้ตามต้องการ เพื่อประกันว่าผู้คนสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างเหมาะสมในระดับต่ำสุดในสังคมของพวกเขา
ประการที่สอง เป็นเรื่องสำคัญที่จะระลึกว่า สวัสดิการในระดับ
W แน่นอน เกือบจะผันแปรแตกต่างสำหรับผู้คนทั้งหลาย ทั้งนี้เป็นไปตามธรรมชาติเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของพวกเขา,
ความสามารถที่เขาเป็นเจ้าของเองต่างๆ. คนที่ถือกำเนิดมาดีในเชิงที่มีพรสวรรค์หรือความสามารถพิเศษอันเป็นประโยชน์และออกดอกออกผล
จะมีสถานะโดยธรรมชาติที่ดีกว่าอย่างแน่นอน, ซึ่งทรัพยากรภายนอกทั้งมวลที่ยังคงไม่มีใครเป็นเจ้าของ,
ยกตัวอย่างเช่น เหนือกว่าคนเหล่านั้นที่เกิดมาไร้ความสามารถหรือพิการอย่างรุนแรง
ซึ่งทำให้เป็นไปไม่ได้ที่จะเชื่อมต่อกับการผลิตสำหรับพวกเขา. ในกรณีที่ยกมาอย่างหลัง,
W อาจปิดลงจนเหลือศูนย์ - ศูนย์ในที่นี้หมายถึงผลลัพธ์เกี่ยวกับการ"อดตาย"ในสภาวะตามธรรมชาติ
ด้วยเหตุดังนั้น ถ้าหากว่าคนเหล่านี้บังเอิญโชคไม่ดีพอ และกำลังจะอดตายในโลกของความจริงใบหนึ่งซึ่งมีระบบสิทธิต่างๆ
ในทรัพย์สินส่วนตัว พวกเขาอาจไม่มีข้ออ้างที่จะต้องเข้ามาช่วยเหลือภายใต้สิทธิแนวเสรีนิยมในเรื่องสวัสดิการ
นั่นคือ สิทธินี้ไม่ได้เรียกร้องว่า พวกเขาจะได้รับการปกป้องจากความอดอยาก ถ้าหากว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นกับพวกเขาในโลกที่มีเส้นมาตรฐาน
ซึ่งทรัพยากรภายนอกทั้งมวลยังคงไม่มีใครเป็นเจ้าของ
เราอาจสรุปว่า ลัทธิเสรีนิยมจะให้ก็ต่อเมื่อเป็นเรื่องบังเอิญ หรือไม่คาดหมายมาก่อน หรือเกิดภาวะฉุกเฉินขึ้นเท่านั้น และจะให้การสนับสนุนในระดับที่เบาบางมากต่อการประกาศหรือบัญญัติเรื่องเกี่ยวกับมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคม. อันที่จริง เว้นแต่ในบางกรณีหรือกับบางคนที่มีน้อยมาก ลัทธิเสรีนิยมมีความคิดว่า การประกาศมาตรการขั้นต่ำทางสังคมอย่างเต็มรูปแบบนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมต่อส่วนรวม
2.3 Left-libertarianism
(ลัทธิเสรีนิยมฝ่ายซ้าย)
แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่นักเสรีนิยมทั้งมวลที่ให้การรับรองหลักการเกี่ยวกับความเป็นเจ้าของตนเอง(self-ownership)
- หรือเห็นด้วยกับทฤษฎีการเข้าถือสิทธิ์อย่างที่เราพบในบรรดานักเขียนทั้งหลาย
เช่น Nozick. ในความคิดของนักปรัชญาบางคน บางครั้งอ้างถึงบรรดานักเสรีนิยมฝ่ายซ้าย.
หลักการเกี่ยวกับความเป็นเจ้าของตนเอง ควรถูกนำไปรวมกับหลักการอันหนึ่งเกี่ยวกับความเท่าเทียมกันในเรื่อง
"ทรัพยากรภายนอกที่ไม่มีเจ้าของ". ด้วยเหตุนี้ หากเราจินตนาการถึงคนกลุ่มหนึ่งซึ่งพบว่า
ตัวของพวกเขาเองได้ถูกขนย้ายไปสู่ดาวเคราะห์ที่ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ นักเสรีนิยมฝ่ายซ้ายถือว่า
แต่ละคนเหล่านี้มีสิทธิ์ใน"ความเป็นเจ้าของตนเอง" บวกกับ "สิทธิอันหนึ่งที่เสมอภาคกัน"
แต่ละคนจะได้ปันส่วนทรัพยากรภายนอกที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของมาแต่แรกของดาวเคราะห์ดวงนี้
(ดูตัวอย่างใน, Steiner, 1994, และ Vallentyne และ Steiner, 2000a, 2000b) (*)
(*) Steiner, Hillel, An Essay on Rights (Oxford, Blackwell,
1994).
Vallentyne, Peter, and Steiner, Hillel, eds., Left-Libertarianism and Its
Critics (Basingstoke, Palgrave, 2000a).
มีการถกเถียงอย่างออกรสชาติในท่ามกลางนักเสรีนิยมฝ่ายซ้ายเกี่ยวกับเรื่องทรัพยากรภายนอก
สำหรับวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการปันส่วนกันอย่างเสมอภาค แต่โดยแท้จริงแล้ว ทุกคนต่างเห็นร่วมกันว่า
ทรัพยากรเหล่านี้จักต้องรวมเอา"การรับช่วงสืบทอดเกี่ยวกับผืนดินของสังคม"เข้าไปด้วย.
บางคนให้เหตุผลว่า กองกลางทรัพยากรสำหรับการปันส่วนอย่างเท่าเทียม ควรรวมเอาทุนสะสมเข้าไปด้วย
ที่คนรุ่นหนึ่งได้รับช่วงมาจากคนในรุ่นอดีต. เมื่อไม่นานมานี้ มีการเสนอว่า งานที่มีค่า
และคุณค่าของข้อมูลพันธุกรรมที่พวกเรามีในฐานะปัจเจกชน ควรได้รับการนำมารวมเข้ากับกองกลางของการปันส่วนที่เท่าเทียมกันนี้ด้วย
(ดูงานของ Van Parijs, 1991, 1995, และ Steiner, 1994 ตามลำดับ) (**)
(**) Vallentyne, Peter, and Steiner, Hillel, eds., Left-Libertarianism
and Its Critics (Basingstoke, Palgrave, 2000a).
มาถึงตอนนี้ คนเหล่านั้นที่กังวลใจเกี่ยวกับคนยากจนจำนวนมากในสังคมตลาด ลัทธิเสรีนิยมฝ่ายซ้ายดูเหมือนจะยึดถือคำมั่นสัญญามากกว่าลัทธิเสรีนิยมแนวอนุรักษ์.
แน่นอน ระบอบเสรีนิยมฝ่ายซ้ายจะไม่ยินยอมให้มีการกระจายรายได้แรงงานกันใหม่โดยรัฐ
เพราะนี่จะไปละเมิดแกนข้อผูกพันเสรีนิยมต่อการเคารพในสิทธิต่างๆ เกี่ยวกับความเป็นเจ้าของตนเอง.
แต่ข้อผูกมัดคู่ขนานเกี่ยวกับเรื่องการปันส่วนอย่างเท่าเทียมในทรัพยากรภายนอกที่ไม่มีเจ้าของ
จะให้ความมั่นใจกับทุกๆ คนว่า, อย่างน้อยที่สุด, ทุกๆ คนเริ่มต้นชีวิตด้วยการมีทรัพยากรภายนอกต่างๆ
ซึ่งมันอาจช่วยได้หากย้อนกลับไปชั่วขณะ สู่บรรดาผู้คนซึ่งเราเพิ่งจินตนาการว่าได้ถูกขนส่งไปยังดาวเคราะห์ใหม่ดวงหนึ่ง
สำหรับการมาถึง ผู้คนต่างพบว่า บนดาวเคราะห์ดวงนั้นมีทรัพยากรภายนอกอยู่เพียงสิ่งเดียว นั่นคือ ผืนดินที่ไม่สามารถเพาะปลูกได้ ทั้งหมดมีคุณภาพเหมือนกันหมด. ประชากรของพวกเขาถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม. กลุ่มที่มีจำนวนมากมีความสามารถในเชิงการผลิต ส่วนอีกกลุ่มซึ่งมีจำนวนน้อยเป็นพวกด้อยโอกาสหรือพิการที่ทำให้พวกเขาไม่สามารถเกี่ยวพันกับการผลิตได้. มาถึงตอนนี้จะเห็นว่า ในการสนทนากันของพวกเราเกี่ยวกับลัทธิเสรีนิยมข้างต้น, ภายใต้ระบอบที่เป็นแบบฉบับของ Nozick, สมาชิกของคนกลุ่มใหญ่กับคนด้อยโอกาสอย่างรุนแรง อาจไร้ซึ่งข้ออ้างที่มีพื้นฐานอยู่บนความยุติธรรมใดๆ ที่จะให้การช่วยเหลือ หรือให้การชดเชยต่อความสามารถในเชิงการผลิต และผลที่ตามมาเป็นไปได้ว่าจะเกิดความอดอยากหรือแม้กระทั่งอดตาย
แต่อย่างไรก็ตาม ภายใต้ระบอบเสรีนิยมฝ่ายซ้าย รัฐบาลได้ถูกบีบบังคับให้ต้องปันส่วนอย่างเท่าเทียมแก่แต่ละคนบนผืนแผ่นดินดาวเคราะห์ดวงนี้. คนเหล่านั้นที่ไม่สามารถเกี่ยวพันกับกิจกรรมการผลิต(บนผืนดินที่ได้รับการปันส่วน) จะสามารถขายหรือให้เช่าการปันส่วนของพวกเขาแก่สมาชิกคนอื่นๆ ที่อยู่ในกลุ่มซึ่งมีความสามารถในการผลิตได้ และพวกเขาจะมีรายได้จากแหล่งต้นตอนี้. ดังนั้น พวกเขาจึงมีความเสี่ยงน้อยลงเกี่ยวกับการอดตาย ยิ่งกว่าอยู่ภายใต้ระบอบอันเป็นแบบฉบับของเสรีนิยมแบบ Nozick.
ในเชิงปฎิบัติ นักเสรีนิยมฝ่ายซ้ายมิได้เสนอให้เราแบ่งสันผืนดินและทรัพยากรอื่นๆ
ในวิธีการตามจริงนี้แต่อย่างใด แทนที่จะดำเนินรอยตามข้ออ้างหรือเหตุผลของแนวคิดเกษตรกรรมสุดขั้ว
อย่าง Thomas Spence และ Tom Paine, พวกเขาให้เหตุผลว่า ปัจเจกชนควรได้รับเงินช่วยเหลือที่สะท้อนมาจากการปันส่วนที่ยุติธรรมของพวกเขาเกี่ยวกับทรัพยากรภายนอกของสังคม
อย่างเช่น ผืนดิน (เรื่องของ Spence และ Paine, ดู Vallentyne และ Steiner, 2000b)(***).
ระดับของเงินช่วยเหลือนี้ขึ้นอยู่กับความเป็นเจ้าของปัจจัยต่างๆ แต่เป็นไปได้ที่ว่า
มันจะเท่าเทียม - หรือกระทั่งสูงกว่า - ในเชิงมูลค่ากับกองทรัพยากรต่างที่ต้องการหรือจำเป็นต่อการมีความสุขในชีวิตขั้นต่ำตามสมควรในสังคมนั้นๆ.
ด้วยเหตุนี้ การขึ้นอยู่กับสถานการณ์แวดล้อมของสังคมดังกล่าว หลักความยุติธรรมของนักเสรีนิยบมฝ่ายซ้าย
จึงสามารถสนับสนุนนโยบายนี้ที่เป็นเรื่องความเท่าเทียมกับการประกาศมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคมอย่างเต็มรูปแบบ
(***)Vallentyne, Peter, and Steiner, Hillel, eds., The
Origins of Left-Libertarianism (Basingstoke, Palgrave, 2000b).
อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องสำคัญอย่างชัดเจนที่จะเน้นในเรื่องก่อนหน้านี้ว่า มันไม่มีเหตุผลอันใดที่ว่า
ทำไมการช่วยเหลือขั้นพื้นฐานซึ่งเราต่างมี จะต้องมีค่าเท่าเทียมกันในเรื่องมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคมเต็มรูป
อันที่จริง ถ้าเผื่อทรัพยสินภายนอกที่สำคัญเป็นสิ่งที่มีอยู่มากมายอย่างล้นเหลือ
หากเป็นเช่นนั้น ราคาในตลาดของพวกมันจะต้องต่ำลง ดังนั้น ระดับของความช่วยเหลืออาจไปไม่ถึงไหนที่จะเข้าใกล้ระดับดังกล่าว.
ในสถานการณ์นั้น การเคารพในการเป็นเจ้าของตนเอง(self-ownership) จะตัดเรื่องการนำเอารายได้แรงงงานที่อยู่บนสุดของการช่วยเหลือออก.
เหล่านั้น ในฐานะตำแหน่งหนึ่งซึ่งคล้ายคลึงกับผู้ด้อยโอกาสที่เราจินตนาการมาแล้ว
ที่จะถูกทอดทิ้งให้อยู่กับระดับของทรัพยากรต่างๆ ที่ค่อนข้างต่ำที่จำเป็นต่อการน้อมนำไปสู่ชีวิตตามสมควรขั้นต่ำสุด(ดู
Cohen, 1995, chapter 4, โดยเฉพาะ หน้า 102-105) (*-*)
(*-*) Cohen, G. A., Self-Ownership, Freedom and Equality
(Cambridge, Cambridge University Press, 1995).
ด้วยเหตุนี้ ขณะที่ลัทธิเสรีนิยมฝ่ายซ้ายได้ให้การส่งเสริม การประกาศมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคมอย่างแข็งขันกว่าลัทธิเสรีนิยมแนวอนุรักษ์
แต่การสนับสนุนนี้ก็ยังคงเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน และในหลายๆ กรณี ลัทธิเสรีนิยมฝ่ายซ้ายเป็นไปได้ว่าจะตัดเรื่องที่ไม่ยุติธรรมออกไป
กล่าวคือ แนวทางที่ต้องการบัญญัติให้มีมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคมเต็มรูป (หรือการจัดเก็บภาษีรายได้ต่างๆ
จากแรงงาน). ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าการช่วยเหลือด้านทรัพยากรจะสูงมากพอต่อการการมีมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคมเต็มรูป
แต่นักเสรีนิยมฝ่ายซ้ายบางคนก็ถกเถียงว่า ปัจเจกชนทั้งหลายควรได้รับการช่วยเหลือขั้นพื้นฐานในฐานะเงินก้อนหนึ่ง
- ณ จุดเริ่มต้นของชีวิตวัยเติบใหญ่ มากกว่าที่จะเป็นรายได้ประจำเป็นช่วงๆ เพื่อการใช้จ่าย
และ/หรือ ในฐานะบริการต่างๆ ที่ใช้ได้อย่างอิสระ. อันนี้ได้ส่งเสริมความเป็นไปได้ที่ว่า
คนบางคนอาจใช้จ่ายเงินช่วยเหลือของพวกเขาอย่างฟุ่มเฟือย นับจากช่วงแรกของความเป็นผู้ใหญ่
และด้วยเหตุนี้ อาจขาดความพร้อมในการเข้าถึงมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคม
2.4 Egalitarian liberal
perspectives (มุมมองเสรีนิยมความเสมอภาค)
ในปรัชญาการเมืองร่วมสมัย ลัทธิเสรีนิยมความเสมอภาคพยายามนำเสนอทางเลือกอีกทางหนึ่งจากลัทธิประโยชน์นิยมและลัทธิเสรีนิยมสองแนวทางดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น.
นักเสรีนิยมความเสมอภาคเห็นด้วยกับบรรดานักเสรีนิยมทั้งหลายที่ว่า ลัทธิประโยชน์นิยมล้มเหลวที่จะไม่ล่วงละเมิดต่อบุคคลอย่างจริงจัง
แต่อย่างไรก็ตาม ก็ไม่เหมือนกับเสรีนิยมทั้งหลาย เพราะเสรีนิยมความเสมอภาคไม่คิดว่า
การเคารพโดยการไม่ล่วงละเมิดต่อบุคคลจะผูกมัดเราให้เข้าสู่หลักการความเป็นเจ้าของตนเอง.
ผลที่ตามมา พวกเขารู้สึกเสียใจน้อยมากต่อการส่งเสริมแผนการโยกย้ายภาษี ซึ่งบรรดานักเสรีนิยมค่อนข้างคัดค้านและไม่พอใจ
เพื่อที่จะทำให้มาตรฐานขั้นต่ำทางสังคมเต็มรูปมีความมั่นคงขึ้น. อันที่จริง พวกเขาได้ให้เหตุผลว่า
ความยุติธรรมเรียกร้องให้เรานำเสนอแผนการดังกล่าว. ในที่นี้ ขอให้เรามาสำรวจกันอย่างสังเขปในทฤษฎีเสรีนิยมความเสมอภาค
2 ทฤษฎีด้วยกัน เกี่ยวกับความยุติธรรม และความเกี่ยวพันที่มีนัยยะของพวกมันสำหรับความสมเหตุสมผลในการบัญญัติให้มีมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคม
2.4.1 Rawls, ฉากแห่งความไม่รู้
และแบบฉบับต่างๆ ของข้อผูกมัด
ทฤษฎีความยุติธรรมของ John Rawls ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ.1971 (โดยได้มีการปรับปรุงต่อมาในปี
ค.ศ.1999) ได้ตั้งคำถามในเชิงอุบายขึ้นมาคำถามหนึ่งคือ "หลักการอะไรบ้างที่คุณยอมรับให้ปกครองสังคมของคุณ
ถ้าเผื่อว่าคุณไม่รู้สถานะตำแหน่งของคุณจริงๆ หรือฐานะที่เป็นไปได้ในสังคมนี้
?" ในเชิงปฏิบัติ เราทั้งหมดต่างรู้เกี่ยวกับศาสนาต่างๆ ที่เรายึดถือ, เราสัมผัสรับรู้บางอย่างเกี่ยวกับความสามารถในการผลิตโดยธรรมชาติที่เรามี
และเกิดมาพร้อมกับมัน, และอะไรที่เราได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์ที่เราได้รับจากภูมิหลังของสังคม.
แต่ชั่วขณะหนึ่งลองจินตนาการว่า เราไม่รู้ถึงสิ่งเหล่านี้เลย และครอบครองเพียงข้อมูลทั่วไปมากๆ
เกี่ยวกับสังคมที่เรากำลังดำรงอยู่. เบื้องหลังของฉากแห่งความไม่รู้นี้ กล่าวคือ
ไม่รู้เกี่ยวกับศาสนาของเรา, ไม่ทราบถึงความสามารถโดยธรรมชาติ, หรือภูมิหลังของสังคม,
หากเป็นเช่นนี้ หลักการอะไรบ้างที่เราควรจะเลือกให้ปกครองสถาบันต่างๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการกระจายสิ่งจำเป็นเบื้องต้น
อย่างเช่น รายได้และทรัพย์สินต่างๆ ?
อย่างที่รู้กันทั่วไป, Rawls ให้เหตุผลว่า ในสถานะเดิมของเรื่องนี้ ผู้คนจะเลือกจัดการหรือปรับปรุงเกี่ยวกับความไม่เท่าเทียมกันทางสังคมและเศรษฐกิจ เพื่อว่าพวกเขาจะได้รับ, 1. ผลประโยชน์สูงสุดเกี่ยวกับข้อได้เปรียบน้อยที่สุด และ 2. การยึดติดกับที่ทำงานและตำแหน่งที่เปิดให้กับทุกคนภายใต้เงื่อนไขต่างๆ ของความเท่าเทียมที่เป็นธรรมในเรื่องโอกาส (Rawls, 1999, p. 72) ส่วนที่ 1. เกี่ยวกับเรื่องนี้บอกเราว่า ความไม่เท่าเทียมของสิ่งจำเป็น อย่างเช่น "รายได้"และ"ทรัพย์สิน" เป็นผลลัพธ์ของความไม่เท่าเทียม, Rawls เรียกสิ่งนี้ว่า "หลักความแตกต่าง" (difference principle)
นักวิจารณ์จำนวนมากพบว่า ข้ออ้างเหตุผลของ Rawls เกี่ยวกับ"หลักความแตกต่าง" เป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อถือ (ดูตัวอย่าง Kymlicka, 2001, pp. 60-70). พวกเขาตั้งคำถามว่า ทำไมผู้คนที่อยู่เบื้องหลังฉากแห่งความไม่รู้จึงไม่เลือกที่จะใช้วิธีการพนันขันต่อ การเลือกหลักการนั้นเป็นที่น่าชื่นชมน้อยมาก ซึ่งเราควรจะปล่อยให้เป็นไปตามข้อเท็จจริงเกี่ยวกับช่วงชั้นต่างๆ ทางสังคมที่น่าชื่นชมกว่า. อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามันจะมีเหตุผลดังที่มีการวิจารณ์เกี่ยวกับข้ออ้างของ Rawls ในเรื่องหลักความแตกต่าง แต่มันก็สามารถนำมาถกได้ว่า การทดลองทางความคิดของ Rawls ได้ให้การสนับสนุนที่แข็งขันของตนสำหรับคนเหล่านั้นที่เชื่อว่า "ความยุติธรรม", อย่างน้อยที่สุด, เรียกร้องต้องการการบัญญัติเรื่องมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคม
ขณะที่คนส่วนใหญ่วางตัวอยู่เบื้องหลังฉากของความไม่รู้ อาจไม่เสี่ยงมากนัก แม้จะไม่สมัครใจที่จะเลือกหลักการดังกล่าวเพื่อปกครองสังคมของพวกเขา แต่มันมีเหตุผลทีเดียวที่จะสันนิษฐานว่า อย่างน้อยคนส่วนใหญ่ก็ให้ความเอาใจใส่ต่อหลักค้ำประกันในตัวของพวกเขาเอง ที่สวนทางกับอันตรายของความยากจนข้นแค้น และด้วยเหตุนี้ จึงต้องการหลักการต่างๆ เกี่ยวกับความยุติธรรม ที่จะให้ความมั่นใจหรือรับรองกับทุกคนอย่างมีเหตุผลที่จะเข้าถึงมาตรฐานขั้นต่ำนั้นได้. อย่างน่าสนใจ ความพยายามหลายหลากของบรรดานักจิตวิทยาจำนวนมากได้สร้างแบบจำลองการตัดสินใจในสถานการณ์ต่างๆ ขึ้นมา ซึ่งได้ไปเกี่ยวข้องกับสถานะหรือตำแหน่งเดิมๆ ที่แสดงให้เห็นว่า ผู้คนทั้งหลายในเชิงปฏิบัติ มีแนวโน้มที่จะเลือกหลักการอันหนึ่ง ที่เรียกร้องความเป็นอยู่โดยค่าเฉลี่ยที่ดีที่สุด เพื่อยับยั้งหรือป้องกันไม่ให้ใครก็ตาม ต้องตกลงบนพื้นล่างสุดดังกล่าว
การสนับสนุนต่อมาในเรื่องการบัญญัติให้มีมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคม
จากภายในทฤษฎีของ Rawls มาจากการสนทนาของเขาเกี่ยวกับความสำคัญของแบบฉบับต่างๆ
เกี่ยวกับข้อผูกมัดหรือความรับผิดชอบในการกำหนดว่า "อะไรคือความยุติธรรม
?" (Rawls, 1999, pp. 153-160). (*)
(*) Rawls, John, A Theory of Justice, Revised Edition
(Cambridge: MA, Harvard University Press, 1999 [1971]
บรรดาพวกที่อยู่หลังฉากแห่งความไม่รู้จักต้องตระหนักว่า พวกเขากำลังเลือกหลักการความยุติธรรม,
ในการเลือกนั้น พวกเขาจะต้องผูกติดกับชีวิตทางสังคมสำหรับสิ่งที่ดีและเป็นประโยชน์
อีกครั้ง มันเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันได้เกี่ยวกับข้อพิจารณาดังกล่าว ซึ่งชี้อย่างชัดเจนถึงหลักความแตกต่าง(difference
principle) สู่หลักการที่เหมาะสมซึ่งจะมาดูแลการกระจายรายได้และทรัพย์สิน. แต่อย่างไรก็ตาม
ดูเหมือนเป็นไปได้ว่าข้อพิจารณานี้ แย้งกับหลักการทั้งหลายที่จะไม่มีการรับรองหรือหลักประกันใดๆ
ต่อผู้คนในการเข้าถึงทรัพยากรที่จำเป็นอย่างมีเหตุผล เพื่อมีชีวิตตามสมควรขั้นต่ำสุด.
เราจะผูกพันอย่างซื่อสัตย์กับแบบฉบับของความเป็นอยู่อย่างไรในสังคมที่ไม่รับประกันเรากับเรื่องเหล่านี้
ข้อพิจารณาดังกล่าวแข็งแรงขึ้นโดยข้อถกเถียงที่ว่า ผู้คนที่อยู่หลังผ้าคลุมแห่งความไม่รู้จะเลือกหลักการต่างๆ
เกี่ยวกับความยุติธรรมที่รับรองหรือสร้างความมั่นใจให้กับทุกคนว่า จะสามารถเข้าถึงมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคมได้อย่างมีเหตุผล
ยิ่งกว่านั้น มันอาจได้รับการอ้างว่า แม้ใครสักคนจะปฏิเสธเรื่องผ้าคลุมแห่งความไม่รู้ที่เป็นการทดลองทางควาามคิดนี้ ในฐานะที่เป็นวิธีการหนึ่งเกี่ยวกับการสำรวจถึงสิ่งที่ความยุติธรรมดำรงอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม แบบแผนเกี่ยวกับความคิดเรื่องข้อผูกมัดก็ยังคงมีพลัง ในฐานะที่เป็นข้อพิจารณาหนึ่งที่ชื่นชมต่อการบัญญัติให้มีเรื่องมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคม
2.4.2 Dworkin และสมมุตคิฐานเกี่ยวกับตลาดประกันภัย
ทฤษฎีเกี่ยวกับ"ความเสมอภาคในทรัพยากร"ของ Ronald Dworkin (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ดู Dworkin, 1985, 2000) (**) เริ่มต้นจากสถาบันหนึ่งที่เรียบง่ายธรรมดา นั่นคือ
ในเชิงอุดมคติ ไม่มีบุคคลใดได้ส่วนแบ่งทรัพยากรน้อยกว่าอีกคนหนึ่ง เว้นแต่เนื่องมาจากทางเลือกเกี่ยวกับแบบแผนการใช้ชีวิตที่เขาหรือเธอสร้างขึ้น
(**) Dworkin, Ronald, Sovereign Virtue: The Theory and
Practice of Equality (Cambridge: MA, Harvard University Press, 2000).
ขั้นแรกในการวางแผนแนวคิดนี้อย่างละเอียดเกี่ยวกับความยุติธรรม, Dworkin ขอให้เราจินตนาการถึงคนกลุ่มหนึ่งที่ประสบกับภัยพิบัติทางเรือ
และต้องไปอยู่บนเกาะซึ่งไม่เคยมีใครอาศัยอยู่มาก่อน. เกาะแห่งนี้เต็มไปด้วยทรัพยากรหลากหลาย
- ต้นไม้, ลำธาร, ผืนดิน, และอื่นๆ. ทรัพยากรเหล่านี้จะถูกแบ่งสรรกันอย่างไร
ท่ามกลางคนกลุ่มนี้ที่มาถึงเกาะ ? ในที่นี้ Dworkin เสนอความคิดเกี่ยวกับการเริ่มประมูล(initial
auction) (Dworkin, 2000, pp. 65-71). เราจินตนาการว่า แต่ละคนบนเกาะได้รับการปันส่วนเงินเท่าๆ
กัน (หอยกาบถูกนำมาใช้ในฐานะเงินตรา) และได้รับความยินยอมให้นำมาใช้ประมูลทรัพยากรของเกาะแห่งนี้ได้.
การประมูลจบลงเมื่อผู้มีส่วนร่วมทุกคน ได้ครอบครองกำลังซื้อเท่าๆ กัน มีความพอใจกับทรัพยากรทั้งหลายที่เขาหรือเธอได้ซื้อมาด้วยราคาที่ตนเสนอ
แต่ละคนบนเกาะได้รับสิทธิในทรัพยากรกองหนึ่งโดยเฉพาะที่เขาหรือเธอได้ซื้อหามา. ผลของการกระจายมิได้สะท้อนความไม่เท่าเทียมเกี่ยวกับการได้มาต่างๆ เพราะแต่ละคนที่อยู่บนเกาะมีการจัดสรรแบ่งปันเงินเหมือนๆ กันในการซื้อทรัพยากรทั้งหลาย. ในเวลาเดียวกัน การกระจายเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนต่อทางเลือกวิถีชีวิตของแต่ละคน เพราะทรัพยากรแต่ละอย่างที่ผู้คนทั้งหลายมีในกองของตน จะสะท้อนทางเลือกดังกล่าวที่พวกเขาได้ทำเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินที่ได้มาเท่ากันของพวกเขา. จากเรื่องดังกล่าว ทฤษฎีของ Dworkin โดดเด่นในทำนองเดียวกับบรรดานักเสรีนิยมฝ่ายซ้ายที่พูดถึงมาก่อนหน้านี้ นั่นคือ โดยแท้จริงเขากำลังยืนยันสิทธิที่แต่ละบุคคลมีความเสมอภาคกัน การปันส่วนในเชิงซื้อขายเกี่ยวกับทรัพยากรที่ถูกสืบทอดมาของสังคม
แต่อย่างไรก็ตาม, Dworkin มิได้หยุดอยู่เพียงแค่ประเด็นนี้ ผู้คนที่มีการปันส่วนในทรัพยากรที่มีในสังคมเท่าๆ กัน อย่างไรก็ตาม อาจจะไม่เสมอภาคหรือเท่าเทียมกันอย่างมากในกรณีของความสามารถในการผลิตและความพิการหรือด้อยโอกาสต่างๆ ที่พวกเขามี. อันนี้เช่นกัน ในทัศนะของ Dworkin เป็นความไม่เสมอภาคอันไม่น่าพอใจ และเราจะตัดสินใจอย่างไรเกี่ยวกับระดับที่เหมาะสมของการชดเชยให้กับคนที่เสียเปรียบต่างๆ เหล่านี้ ?
สำหรับ Dworkin ได้เสนอความคิดริเริ่มเกี่ยวกับสมมุติฐานในเรื่องตลาดประกันภัย (Dworkin, 2000, pp. 76-83, 92-99). ในชีวิตจริง คนจำนวนมากในหมู่พวกเราสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าถึงความโชคร้ายที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยการทำประกันกับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ในทางร้าย อย่างเช่น ขโมยขึ้นบ้าน หรือความเสียหายต่างๆ ที่เกิดกับทรัพยสินโดยเหตุสุดวิสัย. ถ้าเราสามารถทำประกันกับการเกิดจากครรภ์มารดา ที่กำเนิดมาพร้อมกับความสามารถโดยธรรมชาติที่มีอยู่น้อย ยกตัวอย่างเช่น ด้วยความพิการที่ไม่อาจเคลื่อนไหวได้ เราจะทำประกันอะไร ?
ในทางปฏิบัติ แน่นอน เราไม่สามารถทำได้ แต่จินตนาการว่าคนที่อยู่บนเกาะซึ่งเรากำลังพิจารณา ไม่อาจทราบเลยว่าพวกเขามีความพิการหรือไร้ความสามารถหรือไม่ แม้ว่าจะรู้ถึงการกระจายตัวของความพิการต่างๆ ในท่ามกลางประชากร. ในสถานการณ์ดังกล่าว (ซึ่งเป็นบางสิ่งที่เกี่ยวโยงกับเรื่องผ้าคลุมแห่งความไม่รู้ของ Rawls), ตลาดประกันภัยจะเป็นสิ่งที่เป็นไปได้. บริษัทประกันต่างๆ อาจให้คนบนเกาะทำประกันในเรื่องความพิการหรือการไร้ความสามารถ และใช้การแบ่งสรรเกี่ยวกับความมั่งคั่งมาแต่ต้นของพวกเขามาเป็นเบี้ยประกัน. คนบนเกาะแต่ละคนสามารถซื้อหาหลักประกันดังกล่าวได้ตามที่พวกเขาต้องการ. แต่ละคนต้องตัดสินใจว่า พวกเขาต้องการใช้จ่ายทรัพย์สินที่มีมาแต่เดิมของตนส่วนใหญ่ไปกับหลักประกันที่มีราคาแพงหรือไม่ ซึ่งจะตระเตรียมการชดเชยให้อย่างงาม หากว่าพวกเขาต้องประสบกับความพิการหรือไร้ความสามารถ
หรือเขายินดีที่จะเสี่ยงด้วยการซื้อหลักประกันที่ราคาถูก ซึ่งจะตอบแทนหรือชดเชยต่ำกว่าในเหตุการณ์ที่นำมาซึ่งความพิการแก่พวกเขา. แต่นั่นจะทำให้พวกเขามีทรัพย์สินเหลือเก็บจำนวนมากเพื่อจะได้ใช้จ่ายไปกับสิ่งอื่นๆ ตามที่ตนปรารถนา. ตามความคิดของ Dworkin ระดับความยุติธรรมเกี่ยวกับการชดเชยในการไร้ความสามารถ เป็นระดับของการทดแทนที่ถูกกำหนดโดยนโยบายหลักประกัน ซึ่งแต่ละคนในหมู่พวกเราจะเลือกตลาดประกันภัยนี้. Dworkin ยอมรับว่า ในการปฏิบัติที่เป็นจริง ไม่อาจเป็นไปได้ที่เราจะรู้แน่ชัดว่าระดับใดที่คนแต่ละคนควรเลือก เพื่อเป็นหลักประกันเกี่ยวกับตัวของเขาเอง แต่เขาอ้างว่าเราสามารถที่จะประเมินเกี่ยวกับสำรับการประกันภัย(insurance package) ที่สมาชิกโดยเฉลี่ยของชุมชนซื้อได้(Dworkin, 2000, pp. 78-79)
เขาเสนอว่า โดยเหตุนี้เราจึงสามารถใช้หลักการดังกล่าวเป็นมาตรฐานสำหรับการออกแบบนโยบายผลประโยชน์ด้านภาษีเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ
อย่างเช่น การไร้ความสามารถและความป่วยไข้. เขาเสนอการทดลองทางความคิดในทำนองเดียวกัน
เพื่อครอบคลุมเหตุบังเอิญต่างๆ อย่างเช่น การตกงาน และความไร้สมรรถภาพเกี่ยวกับความสามารถในเชิงการตลาด.
Dworkin ให้เหตุผลว่า คนโดยเฉลี่ย เป็นไปได้ที่จะทำประกันชีวิตตัวของพวกเขาเองในระดับหนึ่ง
ซึ่งทำให้พวกเขามั่นใจเกี่ยวกับมาตรฐานของการดำรงชีวิตอย่างมีเหตุผล หากเขาต้องกลับกลายสภาพสู่ความพิการหรือไร้ความสามารถ,
มีทักษะต่ำ, หรือถูกเลิกจ้าง. ด้วยเหตุนี้ เพื่อลอกเลียนผลลัพธ์เกี่ยวกับความยุติธรรมนี้,
สมมุติฐานตลาดประกันภัย, สังคมของเราเองควรจะประกาศแผนการโยกย้ายภาษีที่มาให้การชดเชยแก่เหตุการณ์อันไม่แน่นอนซึ่งอาจเกิดขึ้นมาได้
ตอนนี้ความคิดเกี่ยวกับมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคม ไม่ได้แสดงบทบาทใดๆ ดังในทฤษฎีของ
Dworkin (และในคำประกาศของตนเองในฐานะที่เป็น"นักทรัพยากร" ซึ่งเขาได้คัดค้านต่อแนวคิดความสามารถต่างๆ
ที่ระบุไว้ในมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคม ที่เราได้สำรวจมาตั้งแต่ตอนแรก) อย่างไรก็ตาม
การทดลองทางความคิดเกี่ยวกับสมมุติฐานเรื่องตลาดประกันภัย ได้ตระเตรียมเราให้มีข้ออ้างที่เข้มแข็งเกี่ยวกับว่า
ทำไมเราควรจะบัญญัติบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาคล้ายๆ กับมาตรฐานขั้นต่ำอย่างเต็มรูป.
ข้อเท็จจริงคือ ในสถานการณ์ที่สมเหตุสมผลเกี่ยวกับตลาดประกันภัยในเชิงสมมุติ
โดยแบบแผนแล้ว เราจะต้องถอนเรื่องประกันออกในกรณีที่เป็นเรื่องของความพิการ,
ความเจ็บป่วย, การตกงาน และอื่นๆ. โดยเสนอว่า มันยุติธรรมสำหรับสังคมเราที่จะบัญญัตินโยบายต่างๆ
ที่จัดหามาตรการป้องกันต่อเหตุอันไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นได้เหล่านี้ และชุดนโยบายดังกล่าว
มองดูแล้วจะมีความคล้ายคลึงกันมากกับนโยบายมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคม ที่ปรับเปลี่ยนสู่ความปลอดภัยของหลักความสามารถต่างๆ
ความคิดร่วมกันในงานทฤษฎีของ Rawls และ Dworkin คือ ในสถานการณ์ต่างๆ นั้นได้สะท้อนจุดยืนเท่าๆ กันอย่างเหมาะสมของแต่ละบุคคล ผู้คนต่างเห็นด้วยกับนโยบายทั้งหลายที่จะให้มีการบัญญัติมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคมอย่างหนึ่งขึ้นมาอย่างมีประสิทธิภาพ (Dworkin), หรือมีหลักการต่างๆ ที่เรียกร้องนโยบายเหล่านั้น (Rawls). โดยเหตุนี้ ทั้งสองทฤษฎีจึงดูเหมือนได้ให้สิ่งที่เราอาจเรียกว่า "การสนับสนุนหลักการในการบัญญัติเกี่ยวกับการมีมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคม". ตามความคิดของลัทธิเสรีนิยมความเสมอภาค การประกาศเรื่องของมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคม ไม่ใช่เรื่องของความบังเอิญ แต่ค่อนข้างเป็นแก่นสารมาก ในการเรียกร้องเกี่ยวกับความยุติธรรม
2.5 Democratic perspectives
(มุมมองทางประชาธิปไตย)
เราใช้ศัพท์คำว่าประชาธิปไตยในที่นี้ เพื่ออ้างถึงมุมมองต่างๆ ในทางปรัชญาสังคม
ที่ได้ให้สิทธิพิเศษแก่ความสำนึกเรื่องตัวตน เพื่อส่งเสริมเกี่ยวกับความเสมอภาคในความสัมพันธ์เชิงอำนาจ.
แนวทางการพิจารณาหนึ่งได้เพ่งลงไปที่เรื่องของหลักประกันหรือการรับรองคุณค่าและความมีประสิทธิผลเกี่ยวกับเสรีภาพทางการเมืองของพลเมือง.
ในระบอบประชาธิปไตยทางการเมือง พลเมืองทุกคนมีสิทธิออกเสียง มิสิทธิในการรณรงค์
และเชื่อถือหรือยอมรับในสถาบันทางการเมืองเกี่ยวกับการแข่งขันการเลือกตั้ง
ดูเหมือนจะเป็นที่ชัดเจนพอสมควรว่า ความยากจนสามารถทำให้ความมีประสิทธิผลของปัจเจกชนทั้งหลายที่มีสิทธิต่างๆ เหล่านี้ลดลงไปได้อย่างมีนัยยะสำคัญ. ใครบางคนซึ่งถูกบรรจุอยู่ในห่อของการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีในทางวัตถุขั้นพื้นฐาน อาจขาดเสียซึ่งเวลาและพลังงานที่ต้องการต่อการเพ่งความสนใจลงไปที่ประเด็นปัญหาทางการเมือง. นอกจากนี้ เขาหรือเธออาจมีความสามารถน้อยลงในการใช้จ่ายเงินที่สัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมทางการเมือง ยกตัวอย่างเช่น จ่ายค่าธรรมเนียมในฐานะสมาชิกพรรคการเมือง, การให้ความช่วยเหลือในการรณรงค์ต่างๆ และอื่นๆ หากว่าเขาเป็นคนยากจน. อันนี้ถือเป็นเรื่องเลวร้ายสำหรับการเมืองประชาธิปไตย. หมายความว่า ทัศนะหรือความคิดเห็นบางอย่าง และผลประโยชน์ต่างๆ จะไม่ถูกได้ยิน, ดังนั้นนโยบายจึงอาจเอนเอียง ไม่ตรงไปตรงมาต่อข้อคิดเห็นหรือผลประโยชน์เหล่านี้ได้
หรือมันอาจเพิ่มอันตรายที่ว่า คนบางคนออกเสียงเลือกตั้งโดยปราศจากการมีเวลามากพอที่จะรับฟังข่าวสารเกี่ยวกับประเด็นปัญหาต่างๆ ซึ่งจะไปลดทอนคุณภาพของการตัดสินใจเชิงนโยบายได้. เพราะฉะนั้น จึงสามารถอ้างได้ว่า มันเป็นสิ่งที่ดีโดยตรงสำหรับการเมืองระบอบประชาธิปไตย ที่จะบัญญัติให้มีมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคมขึ้น. โดยการบรรเทาแรงกดดันเกี่ยวกับความยากจนลง. การบัญญัติให้มีมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคม จะสามารถทำให้พลเมืองทั้งหมดได้มีส่วนร่วมในกระบวนการประชาธิปไตยอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นจึงทำให้มั่นใจว่า กระบวนการนี้เป็นที่ต้องการในระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
แต่อย่างไรก็ตาม อำนาจไม่เพียงปฏิบัติการภายในและโดยผ่านกระบวนการทางการเมืองที่เป็นทางการเท่านั้น
แต่อำนาจยังปฏิบัติการภายในและผ่านลำดับการอันกว้างขวางของความสัมพันธ์อื่นๆ
ทางสังคมด้วย ยกตัวอย่างเช่น บรรดานายจ้างทั้งหลายสามารถปฏิบัติการเชิงอำนาจเหนือลูกจ้างของพวกเขาได้.
ตามประวัติศาสตร์ บรรดาสามี บ่อยครั้งมักจะกวัดแกว่งอำนาจอันยิ่งใหญ่เหนือภรรยาของพวกเขา
ความสัมพันธ์เชิงอำนาจเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องได้รับการสถาปนาในการแสดงออก และนิยามลงในตัวบทกฎหมายแต่อย่างใด.
หลายต่อหลายครั้ง พวกมันเกิดขึ้นเนื่องจากความไม่เสมอภาคในฐานะทางเศรษฐกิจระหว่างฝ่ายต่างๆ
นั่นเอง (สำหรับการสนทนาที่เป็นประโยชน์ในเชิงลึกเรื่องดังกล่าว ดู Goodin, 1986,
1988; และดู Okin, 1989, chapter 7, โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างสามี-ภรรยา)
(*)
(*) Goodin, Robert E., Protecting the Vulnerable (Chicago,
University of Chicago Press, 1986).
Goodin, Robert E., Reasons for Welfare (Princeton, Princeton University Press,
1988).
Okin, Susan Moller, Justice, Gender and the Family (New York, Basic Books,
1989).
ฝ่ายหนึ่ง - นายจ้าง, สามี - อาจมีความเป็นอยู่ที่สมบูรณ์ทางเศรษฐกิจโดยปราศจากอีกฝ่ายหนึ่ง.
ในทางตรงข้าม ฝ่ายที่สอง - คนงานเป็นคนๆ, ภรรยา - อาจให้ความไว้วางใจทางเศรษฐกิจต่อฝ่ายแรก.
หากว่าฝ่ายแรกเดินออกจากความสัมพันธ์นี้ ฝ่ายแรกจะเจ็บปวดหรือทุกข์ร้อนต่อกรณีดังกล่าวไม่มากนัก
ขณะที่ฝ่ายที่สองจะต้องทุกข์ร้อนอย่างรุนแรง เป็นไปได้ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงหรือหายนะในมาตรฐานความเป็นอยู่เลยทีเดียว.
แน่นอน ทั้งนี้เนื่องมาจากความไม่เสมอภาคกันในต้นทุนการละจากความสัมพันธ์ดังกล่าว
เพราะฝ่ายแรกมีอำนาจที่จะก่อรูปร่างความสัมพันธ์ในกรณีต่างๆ ของเขา.
คนงาน /ภรรยาไม่อยู่ในฐานะที่จะถกเถียงกับคำสั่งของนายจ้างหรือสามีได้
เพราะการข่มขู่ของนายจ้าง / สามีที่จะตัดความสัมพันธ์ เว้นแต่ต้องเชื่อฟังคำสั่งอย่างเต็มใจเท่านั้น
(เพราะฝ่ายแรกยืนอยู่บนความสูญเสียทางเศรษฐกิจเพียงเล็กน้อยในความสัมพันธ์) และเป็นไปในเชิงบีบบังคับ
(เพราะคนงาน / ภรรยา ยืนอยู่บนความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่กว่า ถ้าเผื่อว่านายจ้าง
/ สามี ได้ตัดความสัมพันธ์นี้ลง). ความไม่เท่าเทียมกันเชิงอำนาจชนิดนี้เป็นที่กังวลใจ
ด้วยเหตุผลหลายประการ. โดยเหตุข้างต้นจึงสามารถอ้างได้ว่า สิ่งเหล่านี้ได้มาบั่นทอนอิสรภาพของฝ่ายที่อ่อนแอกว่าโดยตรง
(Pettit, 1997) (**). และมันยังเป็นการสุ่มเสี่ยงของฝ่ายที่อ่อนแอกว่าที่จะถูกตักตวงผลประโยชน์
และกระทำชำเราโดยฝ่ายที่แข็งแรงกว่าด้วย (ดู Goodin, 1986, 1988).
(**)Pettit, Philip, Republicanism: A Theory of Freedom
and Government (Oxford, Oxford University Press, 1997).
ข้อถกเถียงหนึ่งที่สำคัญสำหรับการประกาศให้มีมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคมคือ อันนี้ช่วยให้เกิดการลดทอนการละจากต้นทุนต่างๆ
ของความสัมพันธ์สำหรับฝ่ายต่างๆ ที่อยู่ตรงข้ามซึ่งเปราะบาง ไม่มั่นคงดังกล่าวลงได้
และยังบรรเทาความกังวลใจในความไม่เท่าเทียมกันเชิงอำนาจด้วย ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเผื่อคนงานรู้ว่า
ชุมชนจะให้หลักประกันเขาให้คงไว้ซึ่งรายได้ตามสมควร แม้ว่าเขาจะพ้นจากงานที่ทำอยู่
อันนี้ทำให้ง่ายสำหรับเขาในการยืนหยัดขึ้นมาปะทะกับนายจ้างและปฏิเสธคำสั่งที่ไร้เหตุผลได้.
ในทำนองเดียวกัน ถ้าภรรยารู้ว่าชุมชนจะช่วยเหลือเธอในเรื่องการเงินถ้าเธอเลิกกับสามี
โอกาสในการเลิกล้างไปจากเขาเพราะการกดขี่ข่มเหงเธอ ก็จะกลายเป็นเรื่องที่กระทำได้มากขึ้น.
อันนี้สามารถเปลี่ยนแปลงพลวัตทั้งหมดของความสัมพันธ์เหล่านี้ แทนที่ฝ่ายหนึ่งจะบงการอีกฝ่ายหนึ่ง
ความสัมพันธ์กันนี้ก็จะกลายเป็นการสนทนาพูดจากันมากยิ่งขึ้นด้วยความเท่าเทียม
เสมอภาค และเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น
ด้วยเหตุผลต่างๆ เหล่านี้
มุมมองหรือทัศนียภาพประชาธิปไตยบนความยุติธรรมของสังคม จึงให้การส่งเสริมอย่างแข็งขันต่อการบัญญัติให้มีมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคม.
อันที่จริง โดยเหตุที่มันค่อนข้างยากที่จะเห็นถึงสังคมใดสามารถธำรงรักษาความสัมพันธ์ที่มีพลังประชาธิปไตยดังกล่าวมานานแล้ว
ในการไม่มีอยู่ของผู้คนซึ่งสามารถเข้าถึงมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคมได้อย่างมีเหตุผล
ดังนั้นมุมมองประชาธิปไตยอาจไดรับการกล่าวว่า จะให้ในสิ่งซึ่งเราอ้างถึงข้างต้น
ในฐานะที่เป็นการสนับสนุนเชิงหลักการในการบัญญัติให้มีมาตรฐานขั้นต่ำทางสังคม
นั่นคือ สังคมจะต้องประกาศมาตรฐานขั้นต่ำดังกล่าว เพื่อคงไว้ซึ่งความเป็นประชาธิปไตย
และในแง่มุมนี้ จะนำมาซึ่งความยุติธรรมตามสมควร
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
บรรณานุกรม
http://en.wikipedia.org/wiki/Welfare_state
http://en.wikipedia.org/wiki/Welfarism
http://en.wikipedia.org/wiki/Lockean_proviso
http://plato.stanford.edu/entries/social-minimum/
คลิกกลับไปทบทวนตอนที่
1 : รัฐสวัสดิการ รัฐตู้กับข้าวของสมาชิกสังคม
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นักศึกษา
สมาชิก และผู้สนใจบทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ก่อนหน้านี้ หรือถัดจากนี้สามารถคลิกไปอ่านได้โดยคลิกที่แบนเนอร์
ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา 3 I สารบัญเนื้อหา
4
I สารบัญเนื้อหา
5 I สารบัญเนื้อหา
6
ประวัติ
ม.เที่ยงคืน
สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง
e-mail :
midnightuniv(at)gmail.com
หากประสบปัญหาการส่ง
e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
[email protected]
ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ทั้งหมด
กว่า 1300 เรื่อง หนากว่า 25000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)gmail.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com
สมเกียรติ
ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็บไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ
ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
41
42
43
44
45
46
47
48
49
50
51
52
53
54
55
56
57
58
59
60
61
62
63
64
65
66
67
68
69
70
71
72
73
74
75
76
77
78
79
80
81
82
83
84
85
86
87
88