โครงการก้าวสู่คริสตศตวรรษที่ ๒๑ ด้วยการทบทวนประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา




Update 20 August 2007
Copyleft2007
บทความทุกชิ้นที่นำเสนอบนเว็บไซต์นี้เป็นสมบัติสาธารณะ และขอประกาศสละลิขสิทธิ์ให้กับสังคม
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนเปิดรับบทความทุกประเภท ที่ผู้เขียนปรารถนาจะเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน โดยบทความทุกชิ้นต้องยินดีสละลิขสิทธิ์ให้กับสังคม สนใจส่งบทความ สามารถส่งไปได้ที่ midnightuniv(at)gmail.com โดยกรุณาใช้วิธีการ attach file
H
บทความลำดับที่ ๑๓๓๙ เผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ตั้งแต่วันที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๐ (August, 20, 08,.2007) - ไม่สงวนลิขสิทธิ์ในการใช้ประโยชน์
R
power-sharing formulas, options for minority rights, and constitutional safeguards.

บรรณาธิการแถลง: บทความทุกชิ้นซึ่งได้รับการเผยแพร่บนเว็บไซต์แห่งนี้ มุ่งเพื่อประโยชน์สาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อวัตถุประสงค์ในการขยายพรมแดนแห่งความรู้ให้กับสังคมไทยอย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ยังมุ่งทำหน้าที่เป็นยุ้งฉางเล็กๆ แห่งหนึ่งสำหรับเก็บสะสมความรู้ เพื่อให้ทุกคนสามารถหยิบฉวยไปใช้ได้ตามสะดวก ในฐานะที่เป็นสมบัติร่วมของชุมชน สังคม และสมบัติที่ต่างช่วยกันสร้างสรรค์และดูแลรักษามาโดยตลอด. สำหรับผู้สนใจร่วมนำเสนอบทความ หรือ แนะนำบทความที่น่าสนใจ(ในทุกๆสาขาวิชา) จากเว็บไซต์ต่างๆ ทั่วโลก สามารถส่งบทความหรือแนะนำไปได้ที่ midnightuniv(at)gmail.com (กองบรรณาธิการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน: ๒๘ มกาคม ๒๕๕๐)

หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ ทักษิณได้พบหารือกับพลเอกสนธิฯ ผู้บัญชาการทหารบก 1 ครั้งที่ห้องทำงานของนายกรัฐมนตรี ทักษิณทราบดีว่า เบื้องหลังของการต่อสู้ทางการเมืองครั้งนี้ ยังมีชนชั้นหนึ่งที่มีบารมีและไม่มีใครสามารถสั่นคลอนได้ ซึ่งนั่นก็คือกองทัพ ที่จะสามารถแสดงบทบาทพลิกสถานการณ์ในยามคับขัน บรรดานายทหารที่ถือกระบอกปืนเหล่านี้ ดูเผินๆ เหมือนจะอยู่ในตำแหน่งที่เป็นอิสระเหนือรัฐบาล แต่ที่แท้จริงแล้วแค่เพียงกระดิกนิ้วหัวแม่มือเพียงนิ้วเดียว ก็สามารถที่จะขับเขาให้ตกจากที่นั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้
20-08-2550

Thaksin's 24 Hours
Midnight University

 

H
R
ทุกท่านที่ประสงค์จะติดต่อมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน กรุณาจดหมายไปยัง email address ใหม่ midnightuniv(at)gmail.com
-Free Documentation License-
Copyleft : 2007, 2008, 2009
Everyone is permitted to copy
and distribute verbatim copies
of this license
document, but
changing it is not allowed.

บันทึกเหตุการณ์เกี่ยวกับการรัฐประหาร ๑๙ กันยา
Thaksin's 24 Hours After the Coup:
บทที่ ๔ จากตำรวจถึงนายกรัฐมนตรี

กองบรรณาธิการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน : เรียบเรียง
ต้นฉบับแปลจากภาษาจีนทั้งเล่ม ได้รับมาจากเพื่อนสื่อมวลชนเพื่อเผยแพร่ต่อสาธารณชน

บันทึกเหตุการณ์เกี่ยวกับนายกฯ ทักษิณ และการรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ นี้
แปลมาจากต้นฉบับภาษาจีน (โดยผู้แปลไม่เปิดเผยนาม) กองบรรณาธิการ ม.เที่ยงคืนได้นำมาเรียบเรียง
และจัดทำหัวข้อเพิ่มเติม เพื่อสะดวกแก่การค้นคว้าในเรื่องประวัติศาสตร์ไทยร่วมสมัย
โดยในบทที่ ๔ นี้ มีชื่อบทว่า "จากตำรวจถึงนายกรัฐมนตรี์" ดังมีลำดับหัวข้อที่น่าสนใจต่อไปนี้
- ชีวประวัติทักษิณ ชินวัตร
- บรรพบุรุษ หอบเสื่อผืนหมอนใบมาจากเมืองจีน
- จากเด็กที่มีพรสวรรค์ด้านคณิตศาสตร์
- ทักษิณ กับชีวิตที่โตมาจากบ้านนอก
- โรงเรียนนายร้อย พบรัก และปากกัดตีนถีบที่อเมริกา
- จากชีวิตในวงการตำรวจ และการล้มลุกคลุกคลานในวงการธุรกิจ
- ก้าวเข้าสู่ธุรกิจคอมพิวเตอร์ แสงแรกแห่งรุ่งอรุณ
- กระโดดไปสู่ธุรกิจโทรคมนาคม และการเป็นมหาเศรษฐี
midnightuniv(at)gmail.com

บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา
ข้อความที่ปรากฏบนเว็บเพจนี้ ได้รักษาเนื้อความตามต้นฉบับเดิมมากที่สุด
เพื่อนำเสนอเนื้อหาตามที่ผู้เขียนต้องการสื่อ กองบรรณาธิการเพียงตรวจสอบตัวสะกด
และปรับปรุงบางส่วนเพื่อความเหมาะสมสำหรับการเผยแพร่ รวมทั้งได้เว้นวรรค
ย่อหน้าใหม่ และจัดทำหัวข้อเพิ่มเติมสำหรับการค้นคว้าทางวิชาการ
บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ ๑๓๓๙
เผยแพร่บนเว็บไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๐
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ ๒๐.๕ หน้ากระดาษ A4)

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

บทที่ ๔ จากตำรวจถึงนายกรัฐมนตรี

ตอนที่ 1

ชีวประวัติทักษิณ ชินวัตร
วันที่ 26 กรกฎาคม 2492 ทักษิณ ชินวัตร เกิดที่เชียงใหม่ซึ่งเป็นจังหวัดทางภาคเหนือของไทย ในครอบครัวที่ค้าผ้าไหม แม้จะเกิดทางภาคเหนือ แต่บิดาก็ตั้งชื่อว่า "ทักษิณ" ซึ่งแปลว่าภาคใต้ (ในภาษาไทยทักษิณแปลว่า ภาคใต้) และได้ตั้งชื่อให้บุตรชายคนรองว่า "พายัพ"(ภาคเหนือ) และบุตรชายคนที่สามว่า "ประจิม" (ภาคตะวันตก) ตามลำดับ น่าเสียดายที่มารดาไม่สามารถกำเนิดบุตรคนที่สี่ได้ ไม่เช่นนั้นบุตรคนดังกล่าวคงได้ชื่อว่า "บูรพา" (ตะวันออก) เป็นแน่

หาใช่บิดาตั้งความหวังไว้กว้างไกลสุดโต่ง มุ่งให้บรรดาบุตรชายทั้งหลายเติบโตขึ้นแล้ว ทุกคนเป็นกำลังสำคัญในการบริหารปกครองประเทศเช่นนั้นไม่ แต่เนื่องจากช่วงนั้นเขากำลังให้ความสนใจกับศาสตร์แห่งหมอดู การตรวจดูชะตาของชาวตะวันออกหนีไม่พ้นเรื่องโหงวเฮ้งและโป่ยก่วย ทั้งทิศเหนือใต้ตกออก บิดาได้ใช้ชื่อทั้งสี่ทิศตั้งชื่อให้กับลูก โดยมุ่งหวังให้เป็นมงคลกับบุตรไปตลอด แต่ทว่าการที่บุตรคนโตชื่อทักษิณนั้น ก็เหมือนเป็นการระลึกถึงบรรพบุรุษ เพราะตระกูลชินวัตรเดิมแซ่ชิว (คู) มาจากมณฑลภาตใต้ของจีนคือกวางตุ้ง

บรรพบุรุษ หอบเสื่อผืนหมอนใบมาจากเมืองจีน
รัชสมัยกวางสูที่ 31 (ค.ศ. 1906) ทวดของทักษิณนายชิว ชุนเซิ่ง ได้เริ่มเดินทางอพยพจากเขตเหมยโจว อำเภอเฟิงซุ่น ข้ามน้ำข้ามทะเล หอบสื่อผืนหมอนใบมาทำมาหากินในประเทศไทย ซึ่งก็เหมือนกับคนจีนหลายคนที่ออกมาหางานทำในต่างประเทศขณะนั้น

นายชิว ชุนเซิ่ง ได้อาศัยการทำมาค้าขายหาเลี้ยงชีพในจังหวัดหนึ่งทางภาคตะวันออกของไทย. ในเวลาอันรวดเร็ว ชาวต่างด้าวที่มีความสามารถเลิศล้ำด้านการคำนวณ และช่ำชองในการคบค้าสมาคมก็สามารถได้รับตำแหน่งเป็นข้าราชการด้านภาษีของท้องที่ได้ ต่อมาเขาได้อพยพออกจากพื้นที่ดังกล่าว พาภริยาซึ่งเป็นชาวไทยนั่งเรือผ่านแม่น้ำเจ้าพระยาไปทางตอนเหนือของไทย และได้ตั้งรกรากในดินแดนที่อิงกับภูเขา อากาศอบอุ่น และมีดอกไม้บานตลอดปีที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยได้ประกอบอาชีพเดิม และมักจะเดินทางไปเก็บภาษีในต่างถิ่น แต่ที่น่าเศร้าก็คือ ครั้งหนึ่งที่เดินทางไปต่างที่กับภริยาได้ถูกโจรปล้น ภริยาถูกฆ่าเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ

ชิว ชุนเซิ่ง ท้อแท้กับเหตุการณ์นั้น และลาออกจากการรับราชการ และได้เริ่มอาชีพขายผ้าไหม โดยเขาได้รับซื้อไหมดิบจากประเทศข้างเคียงคือพม่าและยูนนานของจีน และได้ว่าจ้างคนพื้นเมืองตัดเย็บเป็นผ้าโสร่ง จากนั้นก็นำกลับเข้าไปจำหน่ายในพม่า เมื่อมาถึงรุ่นคุณปู่ของทักษิณ ฐานะของครอบครัวก็ถือเป็นระดับพ่อค้าคหบดีในพื้นที่ และได้ตั้งชื่อเป็นตระกูลในภาษาไทยว่า "ชินวัตร" ตระกูลชินวัตรได้ทำมาค้าขายกิจการผ้าไหมไทยมาตลอด พวกเขาระดมว่าจ้างคนในหมู่บ้านทำการย้อมและถักทอผ้าไหม โดยเลียนแบบเสื้อผ้าที่ทันสมัยในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะในรูปแบบเสื้อผ้าที่กำลังเป็นที่นิยม และมีสีสันฉูดฉาดบาดตา โดยมีตราสัญลักษณ์ว่าชินวัตร และออกจำหน่ายยังจังหวัดที่อยู่ไกล

ในฐานะผู้เลื่อมใสในศาสนาขงจื้อ คนจีนมีความคิดคตินิยมมีบุตรหลานเป็นผู้ชายมากๆ เพื่อจะนำโชควาสนามาสู่ครอบครัว ซึ่งความคิดเช่นนี้ก็เหมือนกับต้นไม้ใหญ่อายุเก่าแก่ที่หยั่งรากลึกในความคิดของครอบครัวชินวัตร บิดาของทักษิณคือนายเลิศ ซึ่งเป็นหนึ่งในบุตรชายบุตรสาวถึง 12 คนของปู่. ทักษิณเองก็มีพี่สาวน้องสาวถึง 9 คน ก็เพราะว่ามีลูกมากเช่นนี้เองแม้ครอบครัวมีฐานะมั่งคั่ง เมื่อแบ่งทรัพย์สมบัติให้บุตรชายบุตรสาวก็ไม่ได้สมหวังดั่งที่คิด

คำบอกเล่าของทักษิณ
ผมได้รับความคิดที่สืบทอดมาจากการมีสายเลือดคนจีน นั่นคือความมีกตัญญูรู้คุณ สำหรับพ่อแม่และบุคคลที่เคยให้ความช่วยเหลือ ผมจะระลึกถึงบุญคุณของท่านเหล่านั้นตลอดเวลา และจะตอบแทนบุญคุณให้มากเป็นเท่าทวีคุณ คุณลักษณ์อีกอย่างที่ได้มาก็คือ ความขยันขันแข็ง และอดทนในการทำงาน ซึ่งทำให้ผมเป็นคนไม่อยู่นิ่ง บางทีสิ่งเหล่านี้คงได้รับแบบอย่างจากพ่อแม่ กล่าวโดยสรุปชีวิตทั้งชีวิตของผมมีแต่ขยันทำงาน

บิดาของผมเป็นคนจีนรุ่นที่ 3 แต่ผมไม่รู้ภาษาจีน สำหรับเรื่องบรรพบุรุษในเมืองจีนผมก็รู้ไม่มาก นอกจากเรื่องที่บรรพบุรุษอพยพไปเชียงใหม่แล้ว ผมรู้อะไรเกี่ยวกับเชื้อสายทางฝ่ายพ่อน้อยมาก พ่อของผมมีพี่น้อง 12 คน ย่าของผมเป็นคนพื้นเมืองเชียงใหม่แท้ๆ ย่าค้าขายเก่งมาก
ท่านรับซื้อไหมดิบจากจีน แล้วนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ผ้าไหมและขายในไทย จากเริ่มต้นกิจการเป็นน้ำพักน้ำแรงของย่าคนเดียว หลังจากนั้นกิจการก็ขยายใหญ่มาตลอด ย่าก็ระดมชาวบ้านในหมู่บ้านมาช่วย แต่ผ้าไหมเหล่านี้ต้องขายในตราสัญลักษณ์ของตระกูลชินวัตร ปู่ย่าของผมประสบความสำเร็จมากในการค้าขายด้านนี้ ผ้าไหมของเรามีชื่อเสียงมาก แต่เนื่องจากตระกูลเรามีพี่น้องมาก พ่อผมเลยไม่ได้รับมรดกมากเท่าที่ควร ผมเลยต้องยืนด้วยลำแข้งตนเอง

บิดา, มารดา ของทักษิณ ชินวัตร
นายเลิศ ชินวัตร ไม่ได้ทำมาค้าขายผ้าไหมเหมือนกับตระกูลเดิม โดยได้ไปเปิดร้านกาแฟในตำบลเล็กๆ ใกล้ตัวเมืองเชียงใหม่ นอกจากขายกาแฟยังมีชาเย็น ผลไม้ และน้ำผลไม้คั้น ทักษิณ ใช้ชีวิตในวัยเด็กส่วนใหญ่ที่ร้านกาแฟแห่งนี้. เมื่อเติบโตจนสูงเท่าโต๊ะ เด็กชายทักษิณนี้ก็เริ่มช่วยงานในร้านเสริฟชาเสริฟน้ำ และงานจิปาถะ บางครั้งก็ไปช่วยแม่ในย่านร้านค้า ขายผ้าไหมและส้ม มารดา"(ชื่อ) นางยินดี" ก็มีเชื้อสายจีน บรรพบุรุษมาจากมณฑลกวางตุ้ง เกิดที่ประเทศไทย ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อหลบหนีญี่ปุ่น ได้อพยพไปอยู่ที่เหมยโจวเป็นเวลาหลายปี สามารถพูดภาษาจีนแคะได้ และได้เล่าให้ทักษิณฟังถึงเรื่องราวความหลังในเหมยโจว

มีอยู่บางช่วงที่แม่กับพ่อมีความสัมพันธ์ที่ระหองระแหงกัน เด็กชื่อทักษิณในวัยเยาว์ถูกส่งตัวไปอยู่ที่บ้านย่าและบ้านอา สลับกันไป เพราะแม่ต้องการใช้เวลาที่มีในการทะเลาะกับพ่อ มีเรื่องเล่าว่าในช่วงที่บิดาทำงานเป็นผู้ตรวจโครงการก่อสร้างในจังหวัดต่างๆ นั้น บางครั้งก็ไม่ได้กลับบ้านเป็นเดือน และเมื่อกลับมาก็มักพาสาวสวยติดตามมาอยู่ด้วย ทำให้มารดาเจ็บช้ำสุดทน และบ่อยครั้งจะระบายความขมขื่นในใจให้บุตรน้อยฟัง รวมทั้งความไม่พอใจต่อสามีของตนในแต่ละเรื่อง ต่อว่าสามีว่าเป็นคนลืมตัว และไม่ให้เกียรติผู้หญิง ทักษิณเข้าใจความทุกข์ของมารดาอย่างลึกซึ้ง และเรียนรู้บทเรียนจากการกระทำของบิดา หลังจากทักษิณแต่งงาน จึงได้มีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างเสมอภาคและราบรื่นกับนางพจมาน(ภรรยา) และคล้อยตามคำตักเตือนที่ถูกต้องของภริยาอยู่เสมอ ขณะที่ภริยาก็แสดงบทบาทสำคัญในทุกครั้งที่ชีวิตของทักษิณถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ

คำบอกเล่าของทักษิณ

ผมมีความใกล้ชิดกับพ่อแม่มาก โดยเฉพาะคุณแม่ คงเป็นเพราะลักษณะนิสัยของเด็กผู้ชาย ผมกับแม่คุยกันได้ทุกเรื่อง และมักจะนำเรื่องที่ไม่อยากบอกพ่อมาเล่าให้ผมฟัง นี่อาจเป็นลักษณะความสัมพันธ์แม่ลูกในแบบของคนจีน แม่บอกผมว่าอะไรดี อะไรเลว อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ แม่สอนผมให้รู้จักความเป็นคน เข้าใจชีวิต เข้าใจลักษณะของคน ผู้ชายเมื่อประสบความสำเร็จแล้วมักเห่อเหิมลืมตนง่าย และเชื่อมั่นตนเองสูงเกินไป และไม่ค่อยฟังคำเตือนของฝ่ายหญิง พ่อของผมก็เป็นคนแบบนี้ ดังนั้น เมื่อผมมีครอบครัว จึงให้ความสนใจและรับฟังคำชี้แนะจากภริยา

อย่างไรก็ตาม พ่อของผมก็เป็นคนที่มีความรับผิดชอบ ท่านรักลูกๆ มาก และเป็นผู้แบกรับภาระเลี้ยงดูครอบครัว ทำงานก็ขยันขันแข็ง เรื่องต่างๆ พ่อมักจะลงมือทำด้วยตนเองท่านยังชอบวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ลักษณะนิสัยของพ่อนี้ก็ถ่ายทอดมาถึงผมด้วย ผมสนใจการค้นคว้าและการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ทันสมัย มักอ่านหนังสือประเภทนี้ประจำ บางครั้งก็อาจไม่จำเป็นต้องทราบว่าเทคโนโลยีเหล่านี้ ได้รับการประดิษฐ์คิดค้นขึ้นได้อย่างไร รู้แต่ว่าใช้ให้เป็นเท่านั้น ผมเป็นคนที่สันทัดในการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในเชิงพาณิชย์

ตอน 2
จากเด็กที่มีพรสวรรค์ด้านคณิตศาสตร์
ทักษิณเป็นคนที่มีพรสวรรค์ด้านคณิตศาสตร์ และมีศักยภาพในการเป็นพ่อค้า เริ่มตั้งแต่อายุได้ 3 ขวบ ได้เข้าเรียนหนังสือที่วัดใกล้บ้าน ในวิชาคณิตศาสตร์สำหรับเด็กเล็ก ครูผู้หญิงวัยกลางคนคนนั้น ได้แสดงความประหลาดใจที่เด็กชายทักษิณนี้มีพรสวรรค์ที่เหนือคนอื่นในด้านการคำนวณ เมื่อจบชั้นอนุบาล ระดับวิชาคณิตศาสตร์ของทักษิณก็สูงถึงระดับเด็กประถม 2 และ 3 แล้ว เมื่อเข้าโรงเรียนตามเกณฑ์ปกติ เขาก็มักจะสอบวิชาคณิตศาสตร์ได้ที่หนึ่งเสมอ

ทักษิณมีผิวขาวมาก ไม่เหมือนเด็กไทยทั่วไปที่มีผิวดำคล้ำ เมื่ออยู่ในหมู่เด็กจะสังเกตได้โดยง่าย เด็กนักเรียนในชั้นพากันขนานนามเขาว่า "แม้ว" ต่างบอกว่าเขาเหมือนชนเผ่าแม้วที่อยู่บนดอย ชนเผ่านี้อาศัยอยู่ในป่ารกทึบ ผิวจึงขาว จนเมื่อเขาได้เป็นนายกรัฐมนตรี นสพ. ไทยบางครั้งก็เรียกชื่อเขาสั้นๆ ว่า นายกแม้ว

ทักษิณเป็นคนเปิดเผย เบิกบานร่าเริง ในช่วงวัยเด็กมีรูปภาพเก็บไว้รูปหนึ่ง เป็นรูปที่เขาสวมหมวกแก๊ป ใส่กางเกงขาสั้น และกำลังแบกสับปะรดที่มีขนาดใหญ่เท่ากระโหลกศรีษะยืนอยู่ในสวนสับปะรด และแย้มยิ้มอย่างน่ารักไร้เดียงสา อีกรูปภาพหนึ่งเป็นภาพที่เขากำลังหยอกล้อกับกลุ่มเพื่อนบนรางรถไฟ นัยตาที่มองมาที่กล้องถ่ายเป็นนัยตาที่มีประกายความฝัน ลักษณะทั้งสองสิ่งนี้ยังคงเปล่งประกายออกมา แม้หลายสิบปีต่อจากนั้น จนเขาได้เป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าคนๆ นี้มีความสดใสและมีเสน่ห์

ทักษิณชอบเล่นเครื่องจักรกล ซึ่งจุดนี้น่าได้อิทธิพลจากพ่อ นายเลิศมักสนใจอย่างมากต่อเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ครั้งหนึ่งเมื่อไปกรุงเทพฯ พบว่าในกรุงเทพฯ มีเครื่องมือบดโกโก้ จึงได้ซื้อกลับมาหนึ่งเครื่อง และนำมาทำนมช๊อกโกแลตที่ใครๆ ในพื้นที่ก็ไม่เคยลิ้มรสมาก่อน เขายังเป็นคนๆ แรกในท้องที่ที่ซื้อตู้เย็นมาใช้ก่อนใคร และใช้ตู้เย็นทำไอศครีมขายในร้านกาแฟ และยังเป็นคนแรกที่ใช้รถแท๊กเตอร์ในพื้นที่ ซึ่งเป็นเรื่องเมื่อ 55 ปีที่แล้ว

คำทำนายทายทักเมื่อตอนเป็นเด็ก
ตอนอายุ 8 ขวบ มีอยู่วันหนึ่ง ที่ร้านกาแฟมีคนแปลกหน้าปรากฏขึ้น คนๆ นั้นมองซ้ายมองขวาสังเกตเด็กที่กำลังเสริฟกาแฟ ทันทีก็ยื่นมือออกมา ลูบศรีษะเขาด้วยจิตใจที่เปี่ยมด้วยความเอ็นดู และทำนายทายทักอย่างมหัศจรรย์ว่า "ไอ้น้อง เอ็งรู้ไหม เอ็งหน้าตาเหมือนพระพุทธรูปองค์หนึ่งในจีน อนาคตของเอ็งจะต้องสดใสแน่นอน" ทักษิณยังไม่รู้ประสีประสา จึงไม่ค่อยเข้าใจว่าเขาพูดอะไร คำว่า "อนาคต" สำหรับเด็ก 8 ขวบที่ยังไม่มีวุฒิภาวะ ยังไกลเกินกว่าจะรับรู้ได้ แต่ทว่าคำพูดคำนี้ได้ฝังแน่นลึกอยู่ในสมองของเขานับแต่นั้น หลังจากครึ่งศตวรรษผ่านไป บนชีวิตร่อนเร่ในต่างแดน เพราะจุดประทุเล็กๆ ในความคิด ในที่สุดเขาก็เห็นทะลุในท่ามกลางความมืดมิดถึงบางสิ่งซึ่งเป็นเรื่องที่ฟ้าได้ลิขิตไว้แล้ว

เดือนธันวาคม 2549 ภายในร้านขายของเก่าแห่งหนึ่งในกรุงปักกิ่ง สายตาของทักษิณได้ถูกดึงดูดจากพระพุทธรูปจีนองค์หนึ่ง เหมือนพระพุทธรูปทองเหลืองสร้างในรัชสมัยจักรพรรดิ์เฉียน หลง แห่งราชวงศ์ชิงองค์นี้จะรู้จักกับเขามาก่อน เหมือนกับได้เคยเห็น ณ ที่หนึ่งที่ใด ทันใดนั้น ความรู้สึกที่สั่นสะท้านคล้ายถูกไฟฟ้าช็อตก็แล่นไปทั้งสรรพางค์กาย คำทำนายที่ลึกลับนั้นได้ผุดขึ้นมาทันใด คล้ายวิญญาณที่ฟื้นจากหลุมฝังศพแห่งกาลเวลา ผ่านความทรงจำที่ถูกฝุ่นไอกลบทับมาเกือบครึ่งศตวรรษ

ช่วงขณะนั้น สิ่งที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าเขา ใบหน้าเหลี่ยมกลมมน หน้าผากเลิกกว้าง ติ่งหูห้อยยาน จมูกสิงโต และก็คงมีแต่ผู้บรรลุธรรมระดับพระโพธิสัตว์ขึ้นไปเท่านั้น ถึงจะยิ้มได้อย่างสงบและเป็นธรรมชาติเยี่ยงนี้ ช่างเหมือนใบหน้าเด็กแปดขวบที่ดูเฉลียวฉลาดและขี้อายคนนั้นเมื่อ 50 ปีก่อน เจ้าของร้านของเก่า รวมทั้งบุตรและเพื่อนฝูงที่ติดตามเขามา ต่างตกตะลึงไปกับความเหมือนอย่างประหลาดที่คิดไม่ถึงนั้น ทักษิณยืนอยู่ ณ ตรงนั้นอยู่นาน มองไปยังพระพุทธรูปคลับคล้ายกับคือชาติที่แล้วของตน มีความรู้สึกที่ทั้งทุกข์ระทมและปลื้มปิติค่อยๆ ผุดขึ้นในส่วนลึกของหัวใจระคนปนเปกันไป

โอ้ใช่เลย ด้วยพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้า ไม่ได้เลือกสรรเวลาในช่วงที่เขากำลังเป็นใหญ่อยู่เหนือผู้คนนับหมื่น ไม่ได้เลือกเวลาที่เขากำลังได้รับการเคารพยกย่องในฐานะผู้มีอำนาจ ไม่ได้เลือกสถานที่ให้เป็นบ้านเกิดของเขา ที่เป็นประเทศที่เต็มที่ไปด้วยพระพุทธรูป หากแต่ได้เลือกให้เป็นช่วงเวลานี้ซึ่งเขากำลังใช้ชีวิตเร่ร่อนและไม่รู้อนาคต เป็นช่วงชีวิตที่มืดมน ตกต่ำ และน่าเศร้าสลดที่สุด ในดินแดนต่างประเทศซึ่งก็มีสายเลือดผูกพันกับเขา สิ่งเหล่านี้จึงได้ค่อยๆ ปรากฏแก่คนที่ผ่านชีวิตอย่างโชกโชนเยี่ยงเขา เลิกผ้าม่านบังตาเผยให้เห็นชะตาชีวิตที่คาดคิดไม่ถึงของเขา เหมือนกับเป็นการปลอบประโลมและให้กำลังใจอย่างหนึ่ง

เป็นบุญวาสนาที่ชะตาได้ลิขิตไว้ พระพุทธรูปองค์นี้ต้องผ่านกาลเวลายาวนานนับ 300 ปี ผ่านประวัติศาสตร์ที่เคล้าเลือดและน้ำตาซึ่งได้มอดดับไป ซัดเซพเนจรไปมาในที่ต่างๆ จากนั้นในวันๆ หนึ่งแห่งเหมันตฤดูอันหนาวเหน็บในที่ต่างแดน พระพุทธรูปได้มายืนรออยู่ ณ ร้านของเก่าเล็กๆ แห่งนี้ เพื่อพบพานเขา. ชะตากรรม นี่แหละชะตากรรม ทักษิณรู้สึกใจสะท้านเหลือพรรณนา ผ่านกาลเวลาย้อนกลับไป 50 ปี เขาคลับคล้ายเหมือนเด็กเสริฟกาแฟคนนั้น เด็กที่หยอกล้อเล่นกันในสวนสับปะรด เขาควรต้องยอมรับ ชะตาชีวิตได้ให้เขามามากเกินพอแล้ว

หนทางแห่งชีวิตของเขาเต็มไปด้วยแสงสว่างสดใส และหลังจากได้ประสบความทุกข์ยากลำบาก เขาก็ได้มาพบพระพุทธรูปองค์นี้ หรือว่านี่เป็นการเตือนของโชคชะตา จงละจากความเจ็บแค้นใจ ขอบคุณโชคชะตา ที่ให้เสรีภาพใหม่ ทักษิณได้ใช้เงิน 6 หมื่นหยวนเช่าพระองค์นั้น สำหรับเขาแล้วเหมือนเป็นการปลอบใจครั้งใหญ่ที่สุด ถือเป็นสิ่งล้ำค่าที่เงินทองไม่อาจประมาณการได้

ตอน 3
ทักษิณ กับชีวิตที่โตมาจากบ้านนอก
บางทีอาจเป็นเพราะเห็นว่าการให้ลูกชายขายไอศครีมและกาแฟทีละแก้วๆ ไม่มีอนาคตอะไร ย่าของทักษิณในที่สุดก็ยอมตัดใจมอบที่ดินที่ใช้ชื่อของตนเองให้กับบุตร ที่ผืนนี้มีเนื้อที่ค่อนข้างมาก คิดเป็นประมาณ 600 หมู่ตามหน่วยวัดจีน (1 ไร่ เท่ากับ 2.41 หมู่) นายเลิศปลูกข้าวไม่เป็น จึงพัฒนาพื้นที่เป็นสวนผักและผลไม้โดยนำพันธุ์ส้มสีเขียว ดอกไม้ และผักมาจากต่างประเทศ ทักษิณมักช่วยบิดาในการทำแปลงเกษตรอยู่เป็นนิจ ทั้งขุดคันดิน หว่านเมล็ด รดน้ำ ใส่ปุ๋ย ซึ่งเขาทำได้ทั้งนั้น

คำบอกเล่าของทักษิณ
ผมได้เรียรรู้อะไรหลายอย่างจากพ่อในร้านกาแฟ ผมเรียนรู้วิธีชงกาแฟ ล้างแก้วนม ใส่น้ำแข็ง พ่อซื้อเครื่องบดโกโก้มาเครื่องหนึ่ง ผมก็เรียนวิธีทำนมรสช๊อกโกแล็ต ต่อมาย่าซื้อที่ดินให้พ่อผืนหนี่งพ่อก็เริ่มประกอบอาชีพการเกษตร พวกเราปลูกผลไม้ ดอกไม้ และพืชผักชนิดต่างๆ ผมเรียนรู้วิธีรดน้ำพืชผัก และการนำน้ำเข้าสวนจากระยะไกล ผมได้เรียนรู้การทำแปลงเกษตรเกือบจะทุกด้าน ผมแทบจะเป็นเด็กที่เติบโตในท้องไร่ท้องสวน แต่เล็กได้เห็นชีวิตและการทำงานที่ยากลำบากของเกษตรกร

เมื่อทักษิณอายุ 12- 13 ปี บิดาก็ได้รับตำแหน่งเป็นผู้จัดการฝ่ายสินเชื่อของตัวแทนสาขา ธนาคารกรุงไทยที่เชียงใหม่. หอที่อยู่ใกล้สระน้ำมักได้เห็นพระจันทร์ก่อน(สำนวนนี้เป็นการอุปมาอุปมัย การที่นายเลิศเป็นผู้จัดการฝ่ายสินเชื่อ จึงมีโอกาสได้กู้เงินโดยไม่ยากลำบาก) เมื่อได้รับเงินกู้ก้อนหนึ่ง เขาก็เริ่มดำเนินกิจการต่างๆ ที่ไม่เคยทำให้เขารวย ทั้งบริษัทรถรับจ้าง, บริษัทสามล้อ, ศูนย์ตัวแทนจำหน่ายรถมอเตอร์ไซด์ฮอนด้า และจักรเย็บผ้า, ปั้มน้ำมัน, และโรงหนัง เป็นต้น หลังเลิกเรียน เขาจะไปที่ธนาคารเพื่อรอพ่อเลิกงานกลับบ้าน ตกค่ำ เมื่อทำการบ้านเสร็จ ก็จะไปเก็บเงินจากลูกค้า มักจะทำงานถึงเที่ยงคืนกว่าจะหลับนอน แต่ผลการเรียนของเขาก็สอบได้ที่ 1 เสมอๆ

บริษัทรถรับจ้างที่พ่อประกอบการอยู่มีรถยนต์กว่า 50 คัน เมื่อรถรับจ้างซ่อมเสร็จ ทักษิณจะเป็นคนขับไปลองรถ มีบางครั้งที่คนขับหยุดพัก ทักษิณจะตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อไปขับรถรับส่งผู้โดยสาร เพื่อเพิ่มรายได้จากการขายตั๋ว ตลอดเวลายาวนานมีรถเป็นเพื่อนคู่กาย เขาไม่มีครูสอนแต่ก็เรียนรู้เองจนซ่อมรถได้ ในเวลาต่อมาเมื่อได้ไปศึกษาต่อที่สหรัฐฯ นักเรียนนอกที่ขี้อายคนนี้ได้อาศัยความรู้และเทคนิคที่สร้างสมไว้จากวัยเด็ก ลงมือซ่อมรถเบนซ์มือสองของตนด้วยตัวเอง จนประหยัดเงินค่าซ่อมรถได้จำนวนมาก

เมื่ออายุ 16 ปี ทักษิณได้เป็นผู้จัดการโรงภาพยนต์ พ่อได้เปิดโรงภาพยนต์ขึ้น 2 แห่ง และก็มีความคิดไม่เหมือนใคร โดยไม่นำหนังอินเดียและหนังจีนที่กำลังฮิตในขณะนั้นมาฉาย แต่จะฉายเฉพาะหนังฝรั่งและหนังไทย ขณะฉายหนังเรื่องแรกซึ่งเป็นหนังฝรั่งชื่อ "ป้อมปืนนาวาโรน" มีคนดูเข้าแถวยาวเหยียดที่หน้าโรงหนังเพื่อรอชม เนื่องจากพนักงานโรงหนังมีไม่มาก และทักษิณต้องดูแลโรงหนังทั้งโรง ผู้จัดการที่อายุไม่บรรลุนิติภาวะต้องเข้าเรียนช่วงเช้า ช่วงบ่ายกลับมาช่วยคุมโรงหนัง ทุกวันผ่านไปอย่างเร่งรีบ

เมื่ออายุ 17 ปี พ่อซึ่งเชื่อคนง่ายและสนิทใจ ในที่สุดก็หลงกลหุ้นส่วน กิจการงานได้รับผลเสียหายหนัก กิจการต่างๆ ที่ลงทุนลงแรงมากว่า 10 ปีมีเหลือเพียงกิจการโรงหนัง และที่ดินแปลงที่แม่เหลือไว้ให้เท่านั้น เขาท้อแท้มาก และสูญเสียความสนใจต่อธุรกิจ และเป็นผลให้เปลี่ยนไปสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. และได้ดำรงตำแหน่ง ส.ส. ที่ไม่มีใครรู้จัก ชีวิตทางการเมืองของเขาก็เหมือนการทำธุรกิจที่ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก แต่ก็ส่งผลถึงบุตรของเขาอย่างมาก

ทักษิณต้องติดตามบิดาไปร่วมดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับการหาเสียงนอกเวลาเรียน ทั้งการร่วมการชุมนุม การแจกแผ่นโฆษณาไปตามย่านต่างๆ การไปรับฟังเสียงจากผู้ลงคะแนน บางครั้งเมื่อบิดาไปประชุมรัฐสภาที่กรุงเทพฯ ก็จะนำทักษิณไปด้วย ทำให้ทักษิณค่อยๆ เกิดความสนใจในการเมือง ต่อมาได้มีเกร็ดข่าวราวเรื่องที่กลายเป็นที่สนใจรายงานของสื่อมวลชน นั่นคือ ขณะเมื่อทักษิณจะสำเร็จการศึกษาระดับมัธยม มีอยู่วันหนึ่งอาจารย์ถามว่า พวกเธอจบการศึกษาแล้วคิดที่จะเรียนต่อที่ใด ทุกคนต่างแสดงความเห็นต่างๆ นานา แต่เมื่ออาจารย์ถามถึงทักษิณ เขากลับย้อนถามว่า มีโรงเรียนใดบ้างที่สอนให้คนเป็นนายกรัฐมนตรี

คำบอกเล่าของทักษิณ
พ่อของผมทำธุรกิจหลากหลายมากจนเกินไป เขามักจะเปลี่ยนจากธุรกิจประเภทหนึ่งไปยังอีกประเภทหนึ่งเสมอ แต่ก็ไม่เคยทำกำไร ในที่สุดก็ถูกหุ้นส่วนโกง ธุรกิจก็ล้มโดยไม่ฟื้น ผมเองก็เกือบจะต้องหยุดเรียน ยังโชคดีที่แม่มีเงินเก็บส่วนตัว นำมาส่งผมเล่าเรียน พอผมใกล้จบระดับมัธยม พ่อก็เข้าสู่วงการเมือง แต่เขามีพรรคพวกในกรุงเทพค่อนข้างจำกัดมาก ไม่มีมืออาชีพคอยช่วยเหลือ และยังเป็นกังวลเรื่องเงินทองตลอด จะทำการเมืองต้องมีเงินมาก ทำให้ครอบครัวชักหน้าไม่ถึงหลัง ผมได้เรียนรู้อะไรมากมายจากบทเรียนของพ่อ ผมได้เห็นทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวของพ่อ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลมากต่อชีวิตผมทั้งชีวิต ดังนั้น เมื่อขณะที่ผมทำธุรกิจ ภริยามักจะคอยเตือนผมอยู่ข้างๆ เสมอว่า อย่าลืมบทเรียนของพ่อ ตราบใดยังมีเงินไม่พอ ก็ไม่ควรเล่นการเมือง

ตอน 4
โรงเรียนนายร้อย พบรัก และปากกัดตีนถีบที่อเมริกา
ทวดของทักษิณเป็นพ่อค้า ปู่ก็เป็นพ่อค้า ส่วนพ่อก็เป็นพ่อค้าและนักการเมืองสมัครเล่นที่ไม่ประสบความสำเร็จ ดังนั้น แทบไม่ต้องสาธยายมากเลย เด็กคนนี้ก็คงโตขึ้นเป็นพ่อค้า แต่ทว่า ทักษิณกลับเข้าเรียนโรงเรียนนายทหาร ในสมัยนั้นอาชีพทหารและตำรวจเป็นที่อิจฉาตาร้อนจากผู้คน ร่างกายที่ยืนตรงทะมัดทะแมง ชุดแต่งกายที่งดงาม และใบหน้าที่เคร่งครึม เป็น "เจ้าชายขี่ม้าขาว" ในความฝันของหญิงสาวจำนวนมาก ซึ่งเป็นภาพลักษณ์ของนายทหาร แต่ที่สำคัญกว่านั้น ทหารเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจของประเทศ และเป็นชั้นชนพิเศษที่เป็นเอกเทศจากระบบของรัฐบาล เพียงแต่มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในไทยวันนี้ ก็จะเข้าใจ ซึ่งประเพณีนิยมที่ฝังรากลึกแบบนี้ยังไม่เคยเปลี่ยนไปเลยแต่อย่างใด

ทักษิณเมื่อเข้าโรงเรียนนายตำรวจมีอายุแก่กว่าเพื่อนร่วมรุ่น 1 ปี คืออายุ 19 ปี ครั้งแรกที่สมัครสอบในโรงเรียนนายตำรวจที่กรุงเทพฯ แพทย์กล่าวว่าที่ปอดของเขามีร่องรอยสีดำ การตรวจสุขภาพไม่ผ่าน ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจ เพราะตนเองไม่ดื่มเหล้าไม่สูบบุหรี่ ปอดจะมีปัญหาได้อย่างไร คนที่ปอดแข็งแรงอย่างทักษิณเห็นว่าแพทย์คงจะตรวจผิด เขาไม่ยอมลดละ โดยเลือกที่จะรอไปอีก 1 ปี แล้วมาสอบใหม่. ในปีที่สองเขาก็สมปรารถนา แต่ทว่าอุปสรรคที่คาดไม่ถึงนี้ก็เหมือนเป็นการบ่งบอกนัยบางอย่าง เขาเลือกเดินผิดทาง เส้นทางสายนี้ไม่น่าจะเหมาะกับนิสัยของเขา ต่อมาแม้เขาจะได้รับปริญญาระดับดอกเตอร์ และได้ทำงานในสายงานตำรวจนี้ถึง 12 ปี แต่ในที่สุดก็ต้องเปลี่ยนทางเดินชีวิต

ชีวิตในค่ายทหารระยะเริ่มแรกเต็มไปด้วยความลำบาก ทั้งความเข้มงวด เคร่งระเบียบ และการต้องปฏิบัติตามอย่างสิ้นเชิง ในวันเวลานั้นเด็กหนุ่มประเภทที่รักอิสระและไม่ชอบการบังคับอย่างทักษิณคงจะไม่สุขสำราญใจ นอกจากนี้ ในชั้นเรียนก็ไม่มีวิชาคณิตศาสตร์ที่เขาทั้งชอบและถนัด ทุกวันเป็นการฝึกทางกายที่เหนื่อยล้าและยากลำบาก ทั้งยังต้องท่องจำกฎระเบียบที่สลับซับซ้อนและยาวเหยียด หากไม่ยอมท่องจำ ก็ไม่อาจสอบผ่านได้. มีช่วงหนึ่งที่ทักษิณคิดจะหยุดเรียน และหันไปเข้าโรงเรียนหลักสูตรทั่วไป เพื่อศึกษาในคณะวิศวกรรมสาสตร์ที่เขาชอบ ในอนาคตจะได้เป็นวิศวกร เพราะชีวิตของเขาสนใจหลงใหลในเครื่องจักรกล วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แต่ว่านายเลิศไม่เห็นด้วย บิดาที่มีจิตใจแข็งแกร่งและต่อสู้ไม่ถดถอยมาทั้งชีวิต คงจะไม่ยอมให้บุตรมีจิตใจอ่อนแอ และล้มเลิกความตั้งใจกลางครัน บิดายืนกรานที่จะให้ทักษิณเรียนโรงเรียนนายทหารจนจบ

เมื่อมาถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อ เขาผู้ซึ่งจะต้องขจัดความอ่อนแอถดถอย แสดงความกล้าฝ่าฟันไปข้างหน้า บนร่างกายของทักษิณจะเกิดความสามารถอย่างมหาศาลในการปรับตัวเอง ซึ่งเป็นศักยภาพที่ฝังลึกอย่างไม่อาจหยั่งได้ ซึ่งพลังอันนี้ยิ่งแสดงออกอย่างชัดเจนเมื่อเขาก้าวสู่วงการธุรกิจการค้าต่อมาในภายหลัง ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ หากมีความตั้งใจจริงแล้ว จะทุ่มเทหมดทั้งสรรพางค์กาย และเขาก็จะปรากฏกายโดดเด่นขึ้นมาอย่างรวดเร็วในท่ามกลางฝูงชน เดินก้าวไปข้างหน้าเร็วกว่าผู้อื่น ปีนป่ายไปสูงกว่า มองได้ไกลกว่า และกลายเป็นจุดดำเล็กๆ ที่ผู้อื่นที่ถูกทิ้งให้อยู่ไกลต้องวิ่งตามในที่สุด เขาเป็นบุคคลที่โดดเด่นกว่าบุคคลอื่น มีพรสวรรค์เหนือมนุษย์ธรรมดา หลังจากนั้น 4 ปี เด็กหนุ่มที่เคยคิดจะล้มเลิกการเรียน ก็จบการศึกษาโดยสอบได้ที่หนึ่ง และได้รับทุนการศึกษาจากรัฐบาลให้ไปศึกษาต่อที่สหรัฐฯ

คำบอกเล่าของทักษิณ
ผมเรียนชั้นมัธยมปลายในโรงเรียนสำหรับผู้ชาย ขณะสอบเข้ามหาวิทยาลัย ผมเคยถามพวกเขา ที่ไหนมีโรงเรียนสำหรับผู้ชาย พวกเขาตอบว่า โรงเรียนนายตำรวจกำลังรับสมัครนักเรียน ดังนั้น ผมก็เลยเข้าเรียนโรงเรียนนายตำรวจ ในเวลานั้น ตระกูลของผมมีญาติหลายคนที่รับราชการทหาร ทั้งทหารบก ทหารอากาศ แต่ทหารเรือและตำรวจยังไม่มี เนื่องจากผมว่ายน้ำไม่เป็น ไม่อาจเลือกเป็นทหารเรือ คงมีแต่ต้องเข้าโรงเรียนนายตำรวจ พอผมเรียนโรงเรียนนายตำรวจได้ 1 ปี ก็เริ่มรู้สึกว่าชีวิตในโรงเรียนซ้ำซากน่าเบื่อ และไม่มีวิชาคณิตศาสตร์ จึงอยากเลิกเรียน แต่พ่อของผมไม่เห็นด้วย ท่านกล่าวว่า ผมควรยืนหยัดอีก 3 ปี ผมจึงได้แต่อดทนเรียนจนจบ และก็สอบได้ที่หนึ่งจากทั้งโรงเรียน รวมทั้งได้รับทุนไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยเคนตั๊กกีในสหรัฐฯ ชีวิตในโรงเรียนนายตำรวจมีส่วนช่วยผมอย่างมาก ผมได้รู้จักเพื่อนมากมาย และการฝึกฝนร่างกายจนเป็นนิสัยก็ทำให้สุขภาพร่างกายดีขึ้นกว่าก่อนมาก

หากยอมแพ้พ่าย ก็ตายเสียดีกว่า
สิ่งที่มีผลอย่างมากอย่างแท้จริงต่อชีวิตของทักษิณ ในการใช้ชีวิตในโรงเรียนนายตำรวจ หาใช่การฝึกฝนร่างกายอย่างเข้มงวดไม่ และก็ไม่ใช่กฎหมายและระเบียบที่พออ่านผ่านตาไปก็ลืม แต่กลับเป็นคำขวัญง่ายๆ คำหนึ่ง "หากยอมแพ้พ่าย ก็ตายเสียดีกว่า" คำพูดที่มีรสชาดของความดุดันนี้แหละ ที่เป็นคำเตือนใจของโรงเรียนนายตำรวจที่กรุงเทพฯ และก็คงเป็นหลักการที่กองทัพทั้งหลายทั้งปวงที่เคร่งวินัยจะต้องปฏิบัติตาม เพราะทหารหากสู่สมรภูมิรบ พ่ายแพ้ก็ย่อมหมายถึงความตาย

คติเตือนใจสำหรับชีวิตของทักษิณคือ "ไม่มีวันพ่ายแพ้" ซึ่งบางทีอาจจะดัดแปลงมาจากคำเตือนใจข้างต้น มุ่งมั่น ยืนหยัด ไม่ยอมแพ้ และไม่ยอมลดละง่ายๆ แท้จริงน่าจะเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ชีวิตของเขาก้าวไปถึงระดับที่สุดยอดที่สุดในทุกๆ ด้าน หากไม่มีความคิดที่มุ่งมั่น แม้จะมีมันสมองที่มีพรสวรรค์และมีดวงชะตาที่ดีอย่างไรก็ตาม ก็ยากที่จะประสบความสำเร็จ ในเวลาต่อมาคำพูดที่ทักษิณชอบมากที่สุดก็คือ " ไม่มีเรื่องใดที่ทั้งสองมือและความฉลาดของเธอทำไม่ได้ ขอเพียงแต่เธออยากทำจริงจัง"

พบรักกับพจมาน ดามาพงศ์
นอกจากนี้ ทักษิณยังได้พบกับบุคคลสำคัญในชีวิตของเขาในสถานที่นี้ด้วย นั่นคือ พจมาน ดามาพงศ์ ขณะเมื่อศึกษาโรงเรียนนายตำรวจปีที่ 2 มีอยู่วันหนึ่ง มีนักเรียนรุ่นน้องวานทักษิณไปเอาเสื้อผ้าที่บ้าน สาวน้อยที่เปิดประตูรับเขาก็คือน้องสาวของนักเรียนรุ่นน้องคนนี้ที่ชื่อพจมาน ขณะนั้นอายุ 15 ปี ทักษิณอายุ 21 ปี เขาเพียงแต่มองหล่อนแว่บเดียว ก็ตกหลุมรักบุตรีของนายตำรวจยศพลตำรวจโทที่สวยงามบริสุทธิ์ผู้นี้

คำบอกเล่าของทักษิณ
ผมมีครอบครัวที่สงบและอบอุ่นมาก ภริยาของผมเป็นลูกสาวคนเดียวในครอบครัว เธอมีพี่ชาย 3 คน แต่ภริยามักแสดงออกจนดูเหมือนเป็นพี่สาวคนโตของบ้าน ทั้งเอาใจใส่ และเห็นอกเห็นใจคนรอบข้าง ทั้งยังเป็นคนอารีอารอบ มักจะให้เงินช่วยเหลือเจือจานเพื่อนฝูง เธอเป็นคนละเอียดอ่อน และสังเกตสังกาเรื่องราวรอบๆ ได้อย่างละเอียด ขณะพบปะผู้คนแม้เพียงอีกฝ่ายมีความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยก็สามารถรู้สึกถึงได้ เธอยังเป็นคนกล้าหาญ ทุกครั้งที่พวกเราเผชิญวิกฤต เธอจะสุขุมรอบคอบอย่างมาก และไม่เคยรู้สึกหวาดกลัว และมักเป็นฝ่ายบอกผมว่าควรทำอย่างนั้นอย่างนี้

ผมกับภริยามีนิสัยต่างกันคนละแบบ เธอเป็นผู้ช่วยที่ดีมาก และเป็นแม่บ้านที่ดีด้วย เธอเป็นคนรักเด็กมาก และมักมองลูกว่ายังเป็นเด็กอยู่ เธอสามารถขับรถพาลูกและเพื่อนของลูกออกไปรับประทานอาหารค่ำ ลูกสาวของผมหากต้องออกจากบ้านเวลากลางคืน เธอก็จะขับรถไปส่งลูกด้วยตนเอง เรามีลูกสาวสองคนและลูกชายหนึ่งคน ลูกชายชอบสัตว์เล็ก โดยเฉพาะสุนัข เขาทราบถึงสุนัขพันธุ์ต่างๆ ลูกชายหากชอบสิ่งใดก็จะหาหนังสือเกี่ยวกับสิ่งนั้นมาอ่าน เขามีหัวทางศิลปะ ผมคิดว่าเขาเหมาะที่จะคุมกิจการเกี่ยวกับสื่อมวลชน ส่วนลูกสาวทั้งสองก็ดูเหมือนฝาแฝด แต่แท้จริงอายุห่างกัน 4 ปี ลูกสาวคนโตกำลังศึกษาที่ลอนดอน เป็นการเรียนระดับปริญญาโทใบที่ 2 เกี่ยวกับด้านการเงิน ลูกสาวคนเล็กกำลังศึกษาในชั้นปีที่ 3 ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คนนี้มีหน้าตาคล้ายผม แต่นิสัยเหมือนแม่ เป็นคนง่ายๆ และเป็นที่ชื่นชอบในกรุงเทพฯ ผมหวังให้ลูกคนนี้พัฒนาไปทางด้านการค้า โดยก่อตั้งกองทุนช่วยเหลือคนยากจน

ความรักมาราธอนคู่นี้ใช้เวลาถึง 3 ปี เมื่อทักษิณทราบว่าหญิงในหัวใจกำลังเตรียมตัวไปศึกษาต่อที่นิวยอร์กภายใต้การจัดการของพ่อหล่อน เขาก็เริ่มเร่งรีบฝึกฝนภาษาอังกฤษ โดยหวังจะเดินทางไปเรียนสหรัฐฯ พร้อมกับพจมาน ในที่สุดคู่รักคู่นี้ก็ได้บินไปสหรัฐฯ พร้อมกันเพื่อเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยของมลรัฐเคนตั๊กกี. พจมานศึกษาด้านการศึกษาสำหรับเด็กอ่อน ทักษิณศึกษาด้านอาชญาวิทยา ความฝันของเขาในช่วงนั้นคือฝันอยากเป็นเลขาธิการ ป.ป.ช. เพื่อขจัดปัญหาความฟอนเฟะในวงการเมือง ซึ่งเป็นโรคร้ายเรื้อรังของสังคมไทย โดยคิดไม่ถึงว่าในเวลาต่อมาตนเองจะถูกรัฐประหารและถูกกล่าวหาในข้อหานี้ ช่างเป็น "จอมอภิมหาความฟอนเฟะจริงๆ"

ทักษิณใช้เวลาศึกษาเพียง 1 ปี 4 เดือน ก็ได้รับปริญญาโทด้านดังกล่าว จากนั้นได้กลับประเทศพร้อมพจมาน เพื่อแต่งงานกัน พ่อตาเป็นนายตำรวจในราชสำนัก งานแต่งงานของลูกสาวย่อมต้องเป็นงานที่ได้รับพระราชทาน และนี่เป็นครั้งแรกที่ชีวิตของทักษิณได้มีส่วนสัมพันธ์อย่างเล็กๆ น้อยๆ กับพระราชวงศ์

ชีวิตปากกัดตีนถีบที่อเมริกา
ปี 1976 ทักษิณเดินทางกลับสหรัฐฯ พร้อมภริยา เขาได้เข้าศึกษาระดับปริญญาเอกด้านอาชญาวิทยาที่มหาวิทยาลัยแซมฮุสตัน มลรัฐเท็กซัส พจมานได้เรียนเป็นเพื่อน เมื่อทุนศึกษาไม่พอใช้ ทั้งสองคนได้ใช้ชีวิตอย่างลำเค็ญในการเรียนไปทำงานไป บุตรีของข้าราชการชั้นสูงต้องมาเป็นคนเลี้ยงเด็ก คนงานกะ พนักงานขายสินค้า ขณะที่ทักษิณทำงานส่งหนังสือพิมพ์ เด็กเสิรฟ และแคชเชียร์

คำบอกเล่าของทักษิณ
ผมทำงานเป็นคนงานในร้านเคนตั๊กกี้ เรียนวิธีการทอดมันฝรั่ง ทอดขาไก่ ในภัตตาคารหรูอีกแห่งหนึ่ง ผมเป็นผู้ช่วยบริกร เพราะงานนี้มีทิป มีรายได้มากขึ้น ทุกคนชอบผม เมื่อผมทำงานในส่วนของตนเสร็จ พวกเขาก็ชอบที่จะแบ่งงานอื่นให้ผมทำ มีบางครั้งผมต้องช่วยกุ๊กเตรียมอาหารค่ำสำหรับวันเสาร์ เมื่ออาหารค่ำผ่านไป ผมก็ไปเป็นแคชเชียร์ จากนั้นก็ไปช่วยงานกุ๊ก เพื่อเตรียมอาหารเช้าสำหรับวันต่อไป ในวันอาทิตย์ผมมักจะเตรียมอาหารเช้าก่อนถึงจะกลับบ้าน ต่อมา ผมได้เก็บเงินจนซื้อรถมือสอง ทุกวันตอนเช้าขับรถไปส่งหนังสือพิมพ์ สิ่งที่ได้รับจากงานชิ้นนี้คือความสามารถในการหลบหลีกสุนัขเฝ้าบ้าน ผมต้องเลือกระยะที่ไม่ใกล้ไม่ห่างเกินไป เพื่อโยนส่งหนังสือพิมพ์ จากนั้นก็รีบเผ่นขึ้นรถ สุนัขก็วิ่งเข้ามาหาผมไม่ทัน ภริยาผมช่วยคนอื่นดูแลลูก เนื่องจากเหน็ดเหนื่อยเกินไป ทำให้แท้งลูกครั้งหนึ่ง

สิ่งที่ผมได้เข้าใจอย่างมากในสหรัฐฯคือ นี่เป็นสังคมที่เต็มไปด้วยโอกาส ขอเพียงแต่ให้โอกาสแก่ผู้คนอย่างเต็มที่ คนก็จะยึดโอกาสที่มีอยู่ทั้งหมดในการแสวงหาความอยู่รอด แล้วก็จะค่อยๆ เอาชนะความยากลำบากได้ ตอนนั้นผมคิดเพียงว่า หากประเทศของผมสามารถให้โอกาสแก่ผู้คนมากมายเช่นนี้ก็คงจะดี ต่อมาเมื่อได้เป็นรัฐบาล สิ่งที่ได้เห็นจากสังคมอเมริกันในช่วงนั้นได้ช่วยชี้ทางให้ผมอย่างมาก

ในการเรียนระดับปริญญาเอก จำต้องเรียนวิชาปรัชญา ผมเริ่มนิยมชมชอบนักปรัชญาหลายคน เช่น โสคราตีส เพลโต มองเตกิแอร์ รุสโซ และจอห์น ล็อค เป็นต้น นักปรัชญาเหล่านี้สอนผมให้รู้ว่าอะไรเรียกว่าสัญญาประชาคม อะไรคือสิทธิประโยชน์และอำนาจ การเรียนปรัชญาช่วยให้ผมเข้าใจนัยความหมายอย่างถ่องแท้ของประชาธิปไตย ประชาธิปไตยไม่ได้มีความหมายง่ายๆ แค่การเลือกตั้ง ซึ่งยังห่างไกลจากแก่นหลักมาก คนที่มีอำนาจควรต้องทำงานเพื่อประชาชน ไม่ใช่ให้ประชาชนทำงานเพื่อเขา ก็เหมือนกับที่พวกเรากล่าวถึงปรัชญาทางการค้า ซึ่งมักเอ่ยว่า "ลูกค้าคือพระเจ้า ลูกค้าต้องมาก่อน" การเมืองก็เหมือนกัน รัฐบาลๆ หนึ่งขอเพียงถือว่าผลประโยชน์ของประชาชนต้องมาก่อนสิ่งอื่นใด ประชาชนก็จะสนับสนุนเขา และเคารพรักเขา

แต่ทว่า สิ่งที่มีอิทธิพลที่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของทักษิณแท้จริง กลับไม่ใช่ความฉลาดและความลึกล้ำของนักปรัชญา และก็ไม่ใช่ความโชติช่วงชัชวาลย์จากการได้รับปริญญาเอกทางอาชญาวิทยา แต่กลับเป็นวิชาเลือกด้านคอมพิวเตอร์ที่มีหน่วยกิตเพียง 3 หน่วย เพียงเพราะเขาไม่ชอบวิชาภาษาต่างประเทศ เขาจึงได้เลือกเรียนวิชาคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวพันกับวิชาคณิตศาสตร์อยู่บ้าง และตอนนั้นเขาก็คิดไม่ถึงว่าทางเลือกที่ไม่ได้ตั้งใจนี้ จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการก่อตั้งกิจการในชีวิตของเขา

ตอน 5
จากชีวิตในวงการตำรวจ และการล้มลุกคลุกคลานในวงการธุรกิจ
ในวันหนึ่งที่ร้อนระอุของช่วงฤดูร้อนปี 2522 ทักษิณซึ่งมีอายุ 30 ปี และพจมานซึ่งมีอายุ 24 ปี ได้อุ้มลูกชายซึ่งเป็นทารกอายุ 5 เดือน เดินทางจากเท็กซัสกลับไทย พวกเขานำกระเป๋าติดตัวไม่มาก มีเพียงรถเบ๊นซ์มือสองรุ่นเก่าๆ คันนั้นเท่านั้นที่พอจะมีค่าบ้าง แต่การจะนำเข้ารถเข้าประเทศต้องเสียภาษีศุลกากรถึง 4 แสนบาท ทักษิณควักเงินจนหมดกระเป๋าก็จ่ายได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เขารู้สึกเสียดายที่จะต้องขายรถเก่าเพื่อนคู่กายมาหลายปีคันนี้ จึงได้ยืมเงินก้อนหนึ่งจากป้า เพื่อจ่ายเป็นค่าภาษี จากนั้น ก็ขับรถคันนี้ไปรายงานตัวที่แผนกวิจัยและวางแผน กรมตำรวจ

ในอาชีพการเป็นตำรวจ เขาเคยเป็นตำรวจอารักขาให้กับเจ้าหน้าที่ระดับรัฐมนตรี และเคยเป็นครูให้กับผู้บังคับการโรงพักในโรงเรียนอบรมตำรวจ รวมทั้งเคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์วิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งเป็นที่รวบรวมข้อมูลด้านคดีอาชญากรรมประเภทต่างๆ ที่พิลึกพิลั่น โดยทำงานในหน้าที่นี้ถึง 6 ปี และได้เลื่อนยศจนเป็นพันตำรวจโท แต่เขาก็เริ่มรู้สึกถึงความจำเจน่าเบื่อ

ทักษิณมักมีความคิดก้าวไกลไปกว่าคนอื่น มักเป็นผู้นำหน้าในด้านเทคโนโลยี และมีความคิดจะใช้เทคโนโลยีระดับสูงมาพัฒนาเครื่องไม้เครื่องมือของกรมตำรวจให้ทันสมัย เขาได้เสนอแนวความคิดอย่างอาจหาญ "โดยการสร้างระบบเครือข่ายที่เหมือนระบบขายตั๋วรถไฟ เมื่อจับกุมผู้ร้ายได้คนหนึ่ง ก็นำข้อมูลของเขาใส่เข้าไปในคอมพิวเตอร์ ให้คอมพิวเตอร์ติดตามคดีที่เกิดขึ้นโดยตลอด เมื่อคนร้ายดังกล่าวก่อคดีอีก ก็จะสามารถค้นหาข้อมูลได้โดยทั้งหมด" ความคิดนี้ในปัจจุบันอาจจะฟังดูง่ายๆ และธรรมดา แต่ในยุคสมัยซึ่งคอมพิวเตอร์ยังเป็นของแปลกใหม่ที่หายากนั้น ความคิดนี้กลับไม่เป็นที่เข้าใจและยอมรับจากผู้บังคับบัญชา

ชีวิตตำรวจที่ต้องกัดก้อนเกลือกิน
ยังมีอีกปัญหาหนึ่งที่ทำให้เขายิ่งยากที่จะทนทำงานอยู่ในสภาพที่เป็นอยู่ได้ สภาพทางเศรษฐกิจของดอกเตอร์นักเรียนนอกผู้นี้ ชักหน้าไม่ถึงหลังมาตลอด ตำรวจเป็นส่วนหนึ่งในระบบข้าราชการ เงินเดือนไม่ถือว่าสูง เขาก้มหน้าก้มตาร่ำเรียนมา 10 ปี เงินเก็บไม่มีเหลือหลอ นอกจากค่าใช้จ่ายรายวันและนมของลูกชายแล้ว เงินที่เหลือแทบไม่พอจ่ายค่าเช่าบ้าน

สามีภริยาคู่นี้เริ่มแรกพักอาศัยที่บ้านพ่อตาไปพลางก่อน ต่อมา พ่อของเขาซึ่งมีสภาพเศรษฐกิจไม่ดีได้ให้บ้านไม้เล็กๆ ที่มีเพียงสองห้องนอนแก่ทักษิณ แต่ทว่าบ้านหลังนี้ซอมซ่อมาก มีจุดที่ฝนรั่วเต็มไปหมด เวลาฝนตกหนัก หลังคาจะมีน้ำรั่ว ทำให้ต้องใช้ปั้ม มาปั้มน้ำออกไป มีอยู่ครั้งหนึ่งฝนตกหนักและไฟฟ้าดับ ทำให้สองสามีภริยาหมดหนทาง ได้แต่มองดูน้ำที่ยิ่งไหลเอ่อล้น จนกระทั่งเตียงลอยขึ้นมา เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงจากการมีชีวิตที่ยากลำบาก ทักษิณจำต้องตัดสินใจหันไปทำธุรกิจเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพชีวิต

ในตอนนั้นเขาคงจะคิดไม่ถึงว่าจะได้เป็นมหาเศรษฐีมีเงินนับร้อยล้าน แต่ว่าจะทำธุรกิจอะไรดี เขายังไม่มีไอเดียแม้แต่น้อย ในช่วงเริ่มแรกเป็นเวลาหลายปีเขาเหมือนแมลงวันที่ถูกเด็ดหัว ที่พยายามดีดดิ้นบินว่อน เขาได้เจริญรอยตามนายเลิศ บิดาซึ่งเป็นพ่อค้าที่ไม่เคยประสบความร่ำรวย เดินทางในเส้นทางเดิมของตระกูลชินวัตร โดยเปลี่ยนจากสาขาธุรกิจหนึ่งไปอีกสาขาธุรกิจหนึ่ง ซึ่งแต่ละกิจการก็ล้วนประสบความย่อยยับขาดทุน

คำบอกเล่าของทักษิณ
จากพ่อค้าขายผ้าไหม ถึงธุรกิจภาพยนตร์
ในตอนนั้นผมจำต้องทำธุรกิจ เพราะแต่ละเดือนมีเงินเดือนไม่ถึง 3,000 บาท ตอนเริ่มแรก ผมเช่าห้องเล็กราคาถูกในโรงแรมแห่งหนึ่งขายผ้าไหมไทย เงินหมุนเวียนและสินค้าก็ยืมมาจากลูกพี่ลูกน้อง ภริยาก็ต้องลงมาค้าขายเอง ธุรกิจตอนนั้นย่ำแย่มาก มีบางวันลูกค้าไม่มีแม้คนเดียว หลังเดือนหนึ่งผ่านไป ผมก็บอกกับภริยาว่าเราต้องเปลี่ยนธุรกิจแล้ว ทำต่อไปไม่ไหว ผมก็มักเป็นแบบนี้ เมื่อพบว่าเรื่องที่ทำอยู่ไม่ประสบผล ก็จะพลิกผันไปเรื่องอื่นอย่างรวดเร็ว โดยจะไม่ให้เสียเวลา แต่ป้าของผมบอกว่าผมเป็นคนไม่อดทน มักจะใจร้อนเกินไป หมอดูก็บอกว่าเป็นคนนิสัยใจร้อน ทำธุรกิจถ้าเสียหายทีตัวเลขเป็นหลักล้าน

พ่อผมเคยทำโรงหนัง มีสายสัมพันธ์กับคนในแวดวงอยู่บ้าง ผมก็เลยไปหาเพื่อนเก่าเหล่านั้น พอเข้าสู่แวดวงธุรกิจโรงภาพยนต์ ผมเคยกล่าวกับเพื่อนพ่อค้าที่ทำหนังคนหนึ่งว่า "ดูเถิด ผมไม่รู้จะทำมาหากินอะไร ยังมีลูกชายหนึ่งคน จำเป็นต้องหาเงินทุกวิถีทาง เขากล่าวว่ากำลังมีหนังถ่ายทำเสร็จเรื่องหนึ่ง "นายต้องการดูไหม" ผมตอบว่า "ดี" ตอนนั้นผมไม่เข้าใจภาพยนต์เลยแม้แต่น้อย ใครเป็นดารา คนไหนโด่งดัง ไม่รู้จักทั้งสิ้น แต่ว่าพอดูหนังของเขาแล้ว ก็รู้สึกไม่เลว ที่สำคัญนางเอกในเรื่องมีชื่อคล้องจองกับแม่ผม ผมก็คิดว่านี่อาจจะเป็นลางดีก็ได้

ทักษิณขับรถเบนซ์คันนั้นของเขาไปที่โรงจำนำ แลกได้เงินมา 1 ล้านบาท เพื่อซื้อลิขสิทธิ์ฉายภาพยนต์เรื่องนั้น เดือนหนึ่งผ่านไป เขาก็ไปไถ่ถอนรถคันดังกล่าวจากโรงจำนำคืน เงินในกระเป๋ายังมีเพิ่มอีก 1 ล้านบาท ความสำเร็จที่ได้มาโดยง่ายนี้ทำให้ทักษิณตื่นเต้นอย่างมาก แต่นิสัยเป็นคนใจร้อนก็นำความโชคร้ายมาสู่เขาอย่างรวดเร็ว การซื้อลิขสิทธิ์ฉายภาพยนต์ยิ่งมากก็กลับยิ่งขาดทุนมาก ภายในเวลาอันรวดเร็ว เขาก็ต้องแบกรับภาระหนี้สินมากกว่า 30 ล้านบาท

คำบอกเล่าของทักษิณ
พอผมเข้าสู่วงการฉายภาพยนต์ นอกจากหนังเรื่องแรกที่ทำเงินแล้ว เรื่องอื่นๆ ล้วนแต่ขาดทุนทั้งสิ้น ในตอนนั้น คนไทยดูหนังเพื่อดูดาราดัง และผมเพิ่งกลับจากสหรัฐฯ ไม่รู้จักดาราดังในประเทศเลย หนังที่ผมซื้อก็ไม่มีดาราดัง เรื่องแรกที่ทำเงินก็ไม่มี แต่นางเอกเป็นดาราใหม่ และก็เริ่มดังขึ้นมาจากภาพยนต์เรื่องนั้น เมื่อลงทุนฉายภาพยนต์ล้มเหลว ผมขาดทุนไม่น้อย แต่ก็ได้รับบทเรียนไม่น้อยเช่นกัน และเนื่องจากเริ่มทำธุรกิจ มีเงินหมุนเวียน ในธนาคารก็มีเครดิตพอควร สามารถยืมเงินได้จากธนาคาร ต่อจากนั้นผมก็ยืมเงินธนาคารเพื่อหาธุรกิจอื่นทำ

สู่วงการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
เป้าหมายต่อไปของทักษิณคือ เข้าสู่วงการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจสายนี้เงินมาเร็ว กำไรสูง ถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการหาเงินมาใช้หนี้จำนวนมาก เขาทุบทิ้งโรงภาพยนต์มูลค่า 18 ล้านบาท และยืมเงินธนาคารเพิ่มอีก 20 ล้านบาท เพื่อเตรียมสร้างอาคารชุดที่อยู่อาศัยสูง 15 ชั้น เขาวิเคราะห์ว่า กรุงเทพฯ พัฒนาเร็วมาก ที่อยู่อาศัยของคนเมืองเริ่มมีไม่พอความต้องการ ขณะนั้นที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ส่วนมากเป็นตึกเล็ก 2-3 ชั้น หากปลูกเป็นตึกสูง จะต้องหาเงินได้มาก แต่ก็วาดความฝันสวยหรูอยู่ได้ 2 วัน รัฐมนตรีมหาดไทยก็ออกกฎระเบียบใหม่ห้ามสร้างตึกสูงเกินกว่า 7 ชั้นในเขตใจกลางเมือง

ตึก 15 ชั้นเหลือเพียง 7 ชั้น กำไรที่ได้ก็หดหายไปด้วย ยิ่งกว่านั้น เรื่องที่ยิ่งเลวร้ายกว่าก็กำลังจะตามมา มีนักเขียนคอลัมน์ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งเขียนบทความลง น.ส.พ. คัดค้านอย่างรุนแรงที่จะให้มีการสร้างตึกสูงสำหรับอยู่อาศัย เพราะตึกสูงเกิดไฟไหม้ได้ง่าย ขณะที่สถานีโทรทัศน์ก็เข้าร่วมขบวนการคัดค้านตึกสูงด้วย. ในช่วงนั้นมีการฉายภาพยนต์เรื่องหนึ่งต่อต้านเรื่องนี้ ซึ่งเป็นเสมือนน้ำเย็นที่สาดลงบนประกายไฟแห่งความหวังที่จะหาเงินของทักษิณ ภาพยนต์ฝรั่งเศสชื่อ "ตึกนรก" เรื่องนี้เป็นการแสดงโศกนาฏกรรมของผู้คนจำนวนมาก ที่ตายไปอันเนื่องมาจากไฟไหม้ตึกสูงและไม่สามารถจะช่วยกู้ภัยได้ แต่เดิมทีคนไทยเองก็นิยมปลูกบ้านเตี้ยๆ อยู่แล้ว เมื่อได้เห็นภาพอันน่าสะพึงกลัวนี้แล้ว ยิ่งทำให้ไม่มีใครอยากอาศัยบนตึกสูง

นายตำรวจยศพันโทคนนี้ลงทุนไปแล้วขาดทุนเข้าเนื้อ หลังสร้างตึกสูงเสร็จ นอกจากเพื่อนสนิทไม่กี่คนที่ซื้อห้องไปจำนวน 10 ชุด ส่วนที่เหลือไม่มีใครสนใจอีกเลย หนี้สินได้เพิ่มจาก 30 ล้านบาทเป็น 50 ล้านบาท แม้แต่เงินค่าจ้างของคนงานก่อสร้างก็ไม่มีจะจ่าย เจ้าหนี้ก็โทรศัพท์ทวงหนี้ทุกวัน ทุกครั้งที่โทรศัพท์ในบ้านดังขึ้นก็เสมือนระฆังงานสวดศพที่ดังขึ้นฉะนั้น มันสร้างความตึงเครียดอย่างสูงต่อสองสามีภริยา เลือดไหลออกเร็วมาก ทุกวันคืนไม่อาจหลับนอน ทักษิณก็เริ่มเข้าออกศาลบ่อยขึ้น อาศัยฝีปากระดับดอกเตอร์ด้านอาชญาวิทยา ทั้งให้คำสบถสาบาน เพื่ออ้อนวอนผู้พิพากษาที่มีจิตใจดี ให้เลื่อนระยะเวลาการชำระหนี้ออกไป ขณะที่พจมานก็ต้องบากหน้าด้วยรอยยิ้มขอความช่วยเหลือจากคนใกล้ชิดรอบทิศ ญาติสนิทมิตรสหายทั้งหมดล้วนกลายเป็นเจ้าหนี้ของหล่อน

ทักษิณเคยมีความคิดจะเลิกล้มทำธุรกิจ เพราะไม่ว่าประกอบการด้านใดก็ล้มเหลว ยิ่งทำยิ่งขาดทุน เขาแทบจะไม่กล้าคิดเลยว่า หากอดรนทนทำต่อไปหนี้สินจะยิ่งสูงท่วมขึ้นมาอีกเท่าไร บางทีตนเองอาจไม่ได้ถูกสร้างมาให้เป็นนักธุรกิจ แต่ว่าหนี้สินจำนวนมากที่แบกรับอยู่ขณะนี้จะทำฉันใดได้ หากอาศัยรายได้เล็กน้อยจากการเป็นข้าราชการ ชาตินี้ทั้งชาติก็คงชดใช้ไม่หมด ยิ่งกว่านั้น ติดเงินธนาคารแล้วไม่ชำระ ก็อาจต้องติดคุก ทักษิณเริ่มเข้าใจถ่องแท้ถึงคำว่า "อับจนหนทาง"

คำบอกเล่าของทักษิณ
ผมเป็นคนชอบสบถสาบาน โดยเฉพาะต่อหน้าผู้พิพากษา ผมสาบานไม่รู้กี่ครั้งว่าผมจะใช้หนี้ให้อย่างแน่นอน โดยขอเวลาให้ผมอีกหน่อย ช่วงระยะเวลานั้นคือช่วงระหว่างการประกอบธุรกิจภาพยนต์ที่ประสบความล้มเหลว กับการประกอบธุรกิจคอมพิวเตอร์ที่ประสบความสำเร็จ ผมทุกข์ระทมอย่างแสนสาหัส มันเป็นความยากลำบากอย่างที่สุดจริงๆ

ก้าวเข้าสู่ธุรกิจคอมพิวเตอร์ แสงแรกแห่งรุ่งอรุณ
คนเรามักจะพบกับชีวิตใหม่หลังจากมาถึงทางตันที่สุดของชีวิต ในขณะที่ผู้คนส่วนใหญ่ยังไม่อาจระแคะระคายถึงว่าการพัฒนาของคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่จะนำมาซึ่งโอกาสทางการค้าอย่างไร้ขอบเขตนั้น ทักษิณก็เปรียบเสมือนนกเป็ดน้ำในสุภาษิตจีนที่รู้ว่าน้ำแม่น้ำอุ่นขึ้นเป็นตัวแรก เขารู้ถึงศักยภาพอันมหาศาลของกิจการธุรกิจนี้ เขาจึงมีความคิดที่จะนำตึกออกให้เช่า และเปลี่ยนไปประกอบธุรกิจคอมพิวเตอร์

พจมานเองก็ตกตะลึงกับความคิดของเขา คิดว่าสามีคงจะเสียสติ โดยนับถึงปัจจุบันโครงการที่เขาคิดทำขึ้นล้วนแต่ขาดทุน หล่อนไม่อาจปล่อยให้สามีฝันกลางวันต่อไปได้ แต่หล่อนก็ทนต่อการตอกย้ำในข้อเสนอของสามีครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ไหว เขาวิเคราะห์ถึงอนาคตของการทำธุรกิจคอมพิวเตอร์ให้ภริยาฟังอย่างละเอียด จนที่สุดพจมานก็ยินยอมตกลงให้เขาลองทำดูสักครั้ง ด้วยเหตุนี้นี่เอง การเรียนวิชาคอมพิวเตอร์ 3 หน่วยกิตที่สหรัฐฯ จึงได้เริ่มแผลงฤทธิ์อันมหัศจรรย์ให้เป็นที่ปรากฏ ทำให้ทักษิณได้สามารถเริ่มปีนป่ายขึ้นมาจากก้นเหวแห่งการทำธุรกิจ

เดือนธันวาคม 2525 มีบริษัทให้เช่าเครื่องคอมพิวเตอร์ชื่อ ICSI ก่อตั้งขึ้น ลูกค้าหลักของบริษัทคือหน่วยงานรัฐบาลและสถาบันวิจัยของมหาวิทยาลัย ที่ต้องการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ ลูกค้ารายแรกที่สำคัญคือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และตามมาด้วยการรถไฟแห่งประเทศไทย. ในปีที่ 2, ICSI ได้ประมูลโครงการได้รวดเดียว 8 โครงการ ทำให้ทักษิณดีใจบอกไม่ถูก โดยได้รีบลงทุนอีก 20 ล้านบาท จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทเพื่อให้บริการด้านคอมพิวเตอร์และการลงทุนชินวัตร (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทชินวัตรเทเลคอม) ประกอบการเกี่ยวกับระบบคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่และกลางของ IBM. การให้บริการครบวงจรทั้งจำหน่าย ให้เช่า และซ่อมแซมเครื่องคอมพิวเตอร์ ธุรกิจดำเนินไปได้ไม่เลว แต่ทว่าในไม่ช้าเขาก็เริ่มที่จะไม่พอใจเพียงเท่านี้

คำบอกเล่าของทักษิณ
IBM ให้รัฐบาลไทยเช่าเครื่องคอมพิวเตอร์ ใช้วิธีดำเนินการในลักษณะสากล โดยซื้อขายเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ แต่เมื่อค่าเงินบาทลดค่าเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ รัฐบาลก็เริ่มรับไม่ไหว รู้สึกขาดทุน และปวดเศียรเวียนเกล้ามาก IBM ก็สูญเสียตลาดบางส่วนจากเรื่องนี้ และก็เป็นทุกข์ พวกเขาต้องการผู้แทนจำหน่ายสักราย ที่ใช้เงินดอลลาร์สหรัฐซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ไปจาก IBM และนำไปเช่าให้รัฐบาลด้วยเงินบาท ผมเห็นว่านี่เป็นไอเดียที่ดี ตอนนั้นผมกำลังเป็นหนี้ก้อนหนึ่ง เวลานั้นต้องยืมเงินเขาไปทั่วเพื่อใช้หนี้

ภริยาผมยืมเงินจากเพื่อนพ่อจำนวน 10 ล้านบาท แต่ว่าดอกเบี้ยสูงมาก ในแต่ละเดือนโดยเฉลี่ยต้องใช้หนี้ถึง 3-5% ก็ประมาณ 25,000 บาท ในช่วงนั้นพวกเราได้รับแรงกดดันมาก ทุกวันต้องนั่งคิดว่าทำอย่างไรจึงจะผลัดผ่อนหนี้ออกไป ต่อมาธุรกิจคอมพิวเตอร์ทำเงินได้บ้าง แต่ผมคิดแล้ว หากเป็นไปตามความเร็วที่เป็นอยู่ คงจะอีกนานกว่าจะใช้หนี้ได้หมด ผมได้หารือกับภริยา และคิดจะเข้าสู่ธุรกิจโทรคมนาคม ทำธุรกิจด้านนี้หากโชคดีก็จะได้กำไรมากมาย

ในสมัยนั้นคอมพิวเตอร์ยังไม่แพร่หลาย ตลาดมีข้อจำกัด ผมเห็นว่าตลาดโทรคมนาคมน่าจะกว้างไกลกว่า แต่ว่าไม่มีคนสนับสนุน พวกเขาต่างก็เห็นว่าภูมิหลังผมไม่ใช่มืออาชีพในสายงานนี้ อีกทั้งไม่มีเงินทุนจำนวนมาก รวมทั้งการทำธุรกิจคอมพิวเตอร์ก็ไปได้ดีอยู่แล้ว ผมก็แจ้งไปว่าดีก็ดีอยู่ แต่ยังห่างจากเป้าหมายที่ผมตั้งไว้มาก ในช่วงนี้เอง ค่าเงินบาทก็ตกต่ำอย่างฉับพลัน คนที่ขาดทุนมากที่สุดก็คือคนที่ใช้เงินดอลลาร์สหรัฐทำธุรกิจอย่างผม ดังนั้น ในชั่วพริบตาหนี้สินของผมก็กลับยิ่งท่วมท้นมากจนล้นหัว

ตอนที่ 6
กระโดดไปสู่ธุรกิจโทรคมนาคม และการเป็นมหาเศรษฐี
ในช่วงชีวิตแต่ก่อนของทักษิณ เป็นเสมือนวงจรชีวิตลักษณะหนึ่ง มักจะต้องเผชิญกับความพ่ายแพ้ครั้งรุนแรงเสมอ ถึงจะนำไปสู่ความสำเร็จในก้าวต่อไปที่ยิ่งใหญ่กว่า เขามักจะแสวงหาจนได้พบช่วงจังหวะแห่งการผลักดันไปข้างหน้า ต่อมาได้เผชิญกับทางตันแห่งชีวิตเสียก่อนแล้วเสมอ มีคนกล่าวว่า ทักษิณมีจุดเด่นที่สุดที่การแปรเปลี่ยนความพ่ายแพ้ให้เป็นโอกาส

ปี 2517 เงินบาทมีค่าลดฮวบลงขนาดหนัก จาก 1 ดอลลาร์สหรัฐต่อ 21 บาท ลดลงไปเป็น 26 บาท การที่ค่าเงินเปลี่ยนแปลงทำให้เขาขาดทุนเกือบ 20 ล้านบาท ขณะเมื่อเงินบาทจะยิ่งมีค่าตกต่ำลงอีก ธนาคารเกรงว่าทักษิณจะไม่มีปัญญาใช้หนี้ จึงเสนอให้เขาแปลงทรัพย์สินแลกเป็นเงินฟรังซ์สวิส แต่เรื่องก็กลับยิ่งเลวร้าย ในเวลาอันรวดเร็วอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทกับเงินฟรังซ์สวิสก็ลดจาก 13 : 1 กลายเป็น 22 : 1 ยิ่งลดรุนแรงกว่าเงินดอลลาร์สหรัฐเสียอีก นายตำรวจยศพันโทที่น่าสงสารคนนี้ เปรียบเหมือนหนีเสือปะจระเข้ ในขณะนี้หนี้สินที่เขาแบกรับอยู่ไม่ใช่แค่หลัก 10 ล้าน หากแต่เพิ่มเป็น 200 ล้านบาท

ทักษิณเหมือนติดกับอยู่ในวังวนความทุกข์คล้ายไร้ทางออก ตัวหมัดยิ่งมีมากก็ยิ่งชาชินจนไม่รู้สึกถึงอาการคัน เขายกนิ้วขึ้นครุ่นคิดคำนวณ ธุรกิจให้เช่าเครื่องคอมพิวเตอร์ในแต่ละปีได้กำไร 10 ล้านบาท หากจะใช้หนี้สินให้หมดต้องใช้เวลาถึง 20 ปี เขาไม่มีทางเลือกอื่น พจมานก็ไม่มีทางเลือกอื่นเช่นกัน นอกจากยินยอมให้สามีเข้าสู่ธุรกิจโทรคมนาคม เพื่อไปวัดดวงเอา

คำบอกเล่าของทักษิณ
ผมไม่มีทางเลือกอื่น ได้แต่อดทนสู้ต่อไป ตอนเข้าสู่วงการธุรกิจโทรคมนาคมใหม่ๆ ก็ไม่ได้ทำเงินอะไร แต่เนื่องจากมีการลงทุนในโครงการใหม่ๆ ทำให้ผมสามารถยืมเงินจากธนาคารได้ นำเงินก้อนนี้ให้ชดใช้หนี้เก่าบางส่วน ต่อมา ผมขยายไปทำธุรกิจเพเจอร์ เคเบิลทีวี และโทรศัพท์เคลื่อนที่ และต่อมาได้ขยายไปทำธุรกิจดาวเทียม ซึ่งธุรกิจเหล่านี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก ผมได้ร่วมมือกับบริษัท AT&T ของสหรัฐฯ และได้เงินจากเขา 700 ล้านบาท เพื่อเปิดกิจการ ซึ่งในขณะนั้นถือเป็นเงินก้อนใหญ่ทีเดียว คนอย่างผมสันทัดในเรื่องการเจรจา

และแล้วดวงของทักษิณก็พลิกฟื้นจริงๆ ไข่มุกต้องมนต์คำสาปของเทพีเฮียราถูกเขาโยนทิ้งลงกองมูลควายไปแล้ว หลังจากผ่านกาลเวลาอันยาวนานแห่งความหนาวเหน็บ หลังจากที่เขาต้องประสบความยากลำบากจากกองหนี้สินที่ถมทับ จนแทบไม่สามารถหายใจหายคอ ในที่สุดคืนมืดอันยาวนานของเขาก็ผ่านพ้นไป และได้ต้อนรับแสงสว่างยามอรุณรุ่งท่ามกลางลมพริ้วแผ่วเบา สมองใหญ่ที่ได้รับพรจากฟ้าในด้านสติปัญญา นักต่อสู้ที่ไม่ยอมหยุดนิ่ง ขณะนี้ช่วงเวลาของเขามาถึงแล้ว

จากการผูกขาดเพเจอร์และเคเบิลทีวี จนถึงความเป็นมหาเศรษฐี

ปี 2528 ทักษิณจัดตั้งบริษัทแปซิฟิคเทเลคอมโปรเจ็คขึ้น โดยได้รับสัมปทานผูกขาดในการประกอบการธุรกิจด้านเพเจอร์ทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นระยะเวลา 10 ปี ในปีเดียวกันได้จัดตั้งบริษัท IBC ซึ่งเป็นกิจการโทรทัศน์วงจรปิดแห่งแรกของเครือข่ายโทรคมนาคมของไทย โดยได้รับสัมปทานถึง 20 ปี

ปี 2 529 บริษัทชินวัตรเทเลคอมกรุ๊ป ได้ร่วมมือลงทุนกับบริษัท TELEZIS ของสหรัฐฯ ในกิจการเพเจอร์ ในปีเดียวกันได้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทให้บริการด้านสารสนเทศ ซึ่งประกอบกิจการให้เช่าเครื่องคอมพิวเตอร์

ปี 2530 ทักษิณลาออกจากการเป็นข้าราชการตำรวจ เพื่อประกอบธุรกิจอย่างจริงจัง ในด้านหนึ่งเพราะกิจการยิ่งขยายเติบใหญ่ อาศัยพจมานดูแลเพียงคนเดียวไม่ทั่วถึง ในอีกด้านหนึ่ง เขาไม่ต้องการใช้ชีวิตในหน่วยงานราชการที่เจริญเติบโตตามขั้นตอนอย่างชักช้า (ผมรู้สึกว่าเวลาเสียไปกับกองเอกสาร และการประชุมที่ว่างเปล่าและน่าเบื่อหน่าย)

ปี 2532 บริษัทชินวัตรดิจิตอลเทเลคอม ได้รับสัมปทานจากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ให้ดำเนินธุรกิจด้านเครือข่ายโทรคมนาคมระบบดิจิตอล

ปี 2533
ทักษิณเริ่มดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ CELLULAR 900 ในปีเดียวกันบริษัทชินวัตรเพเจอร์ก็ ได้รับสัมปทานให้ประกอบกิจการ PHONELINK ขอบข่ายทั่วประเทศ วันที่ 21 สิงหาคม บริษัทชินวัตรเทเลคอมเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ได้สำเร็จ ซึ่งถือเป็นจุดหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญของชีวิตทักษิณ หลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์ ดัชนีหุ้นก็ขึ้นไปตลอดอย่างรวดเร็ว จากมูลค่าหุ้น 10 บาทขึ้นไปถึง 158 บาท เขาขายหุ้นในมือจำนวน 25,000 ล้านบาทออกไปหมด ในช่วงพริบตาก็เข้าสู่แถวขบวนของมหาเศรษฐีร้อยล้าน

ปี 2535 ทักษิณได้จัดตั้งบริษัทมหาชน PLC ขึ้น เพื่อลงทุนในกิจการโทรคมนาคมระหว่างประเทศ โดยขยายธุรกิจไปยังอินเดีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ และกัมพูชา เป็นต้น สื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศพากันขยายนามเขาว่า "ยักษ์ใหญ่แห่งวงการโทรคมนาคม" หรือ "เจ้าพ่อแห่งวงการเทเลคอม" เมื่อไม่นานนี้ เขาได้รับการจัดอันดับจากนิตยสารฟอร์จูน ให้เป็นเศรษฐีติดอันดับ 1 ใน 500 คนของโลก และเป็นคนไทยเพียงคนเดียวในนั้น

คำบอกเล่าของทักษิณ
นักโหราศาสตร์บอกว่าดวงของผมเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว ตอนอายุก่อน 45 ปีมีดาวในเรือนเพียงดวงเดียว ซึ่งบ่งบอกว่ามีแต่ต้องอาศัยการศึกษาเท่านั้นจึงจะประสบความสำเร็จ ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้น ทั้งหมดก็ล้วนต้องจ่ายค่าเล่าเรียนทั้งสิ้น อายุหลัง 45 ปีไปแล้วชะตาชีวิตจึงพลิกฟื้น แต่ในความเป็นจริง ตอนอายุ 40 ปีดวงก็เริ่มดีขึ้นแล้ว ตอนอายุ 40 ปี ผมมีทรัพย์สินทั้งสิ้นมากกว่า 1,000 ล้านบาท. เริ่มจาก 1 ล้านบาทเพิ่มเป็น 1,000 ล้านบาท แต่ทว่าก่อนหน้านี้ผมยากลำบากมาก ได้ประสบความพ่ายแพ้มาหลายครั้ง ชีวิตของผมเต็มไปด้วยเรื่องราวหลากหลาย

จากคนที่เคยสิ้นเนื้อประดาตัวจนถึงเป็นมหาเศรษฐีอันดับต้นของไทย ทักษิณใช้เวลาสั้นๆ เพียง 10 ปี ในช่วงเวลาของการสั่งสมทุนทรัพย์นั้น เขามีความต้องการเรียนรู้อย่างแรงกล้า มีความสามารถในการวิเคราะห์พิจารณาที่ยอดเยี่ยม รวมทั้งความกระตือรือร้นมีชีวิตชีวาในการสมาคมพบปะผู้คน เขามีอุปนิสัยที่ไม่เคยยอมแพ้ต่อสิ่งใด เป็นคนมีเสน่ห์ในความกล้าคิดกล้าทำ และมีพลังในการทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไม่ว่าจะเป็นความเข้าใจของเขาที่มีต่อเศรษฐกิจ ความสามารถในการบริหารจัดการธุรกิจ และความรู้จักที่มีต่อสังคม

ทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้ ก็ล้วนเป็นเพียงพื้นฐานที่ปูไว้สำหรับเขา เพื่อจะไปแบกรับภารกิจที่ใหญ่ยิ่งกว่าในวันข้างหน้า ความมั่งคั่งอันมหาศาลเป็นแค่ก้อนหลักศิลาที่ปูทางให้การมีชีวิต เป้าหมายที่แท้จริงในชีวิตของทักษิณ กำลังจะเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น

สนใจคลิกไปอ่านต่อบทที่ ๕



คลิกไปที่ กระดานข่าวธนาคารนโยบายประชาชน

นักศึกษา สมาชิก และผู้สนใจบทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ก่อนหน้านี้ สามารถคลิกไปอ่านได้โดยคลิกที่แบนเนอร์



สารบัญข้อมูล : ส่งมาจากองค์กรต่างๆ

ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา 3
I สารบัญเนื้อหา 4 I สารบัญเนื้อหา 5 I สารบัญเนื้อหา 6
ประวัติ ม.เที่ยงคืน

สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง

webboard(1) I webboard(2)

e-mail : midnightuniv(at)gmail.com

หากประสบปัญหาการส่ง e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com

ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ทั้งหมด กว่า 1200 เรื่อง หนากว่า 20000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com

สมเกียรติ ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็บไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com

 




1

 

 

 

 

2

 

 

 

 

3

 

 

 

 

4

 

 

 

 

5

 

 

 

 

6

 

 

 

 

7

 

 

 

 

8

 

 

 

 

9

 

 

 

 

10

 

 

 

 

11

 

 

 

 

12

 

 

 

 

13

 

 

 

 

14

 

 

 

 

15

 

 

 

 

16

 

 

 

 

17

 

 

 

 

18

 

 

 

 

19

 

 

 

 

20

 

 

 

 

21

 

 

 

 

22

 

 

 

 

23

 

 

 

 

24

 

 

 

 

25

 

 

 

 

26

 

 

 

 

27

 

 

 

 

28

 

 

 

 

29

 

 

 

 

30

 

 

 

 

31

 

 

 

 

32

 

 

 

 

33

 

 

 

 

34

 

 

 

 

35

 

 

 

 

36

 

 

 

 

37

 

 

 

 

38

 

 

 

 

39

 

 

 

 

40

 

 

 

 

41

 

 

 

 

42

 

 

 

 

43

 

 

 

 

44

 

 

 

 

45

 

 

 

 

46

 

 

 

 

47

 

 

 

 

48

 

 

 

 

49

 

 

 

 

50

 

 

 

 

51

 

 

 

 

52

 

 

 

 

53

 

 

 

 

54

 

 

 

 

55

 

 

 

 

56

 

 

 

 

57

 

 

 

 

58

 

 

 

 

59

 

 

 

 

60

 

 

 

 

61

 

 

 

 

62

 

 

 

 

63

 

 

 

 

64

 

 

 

 

65

 

 

 

 

66

 

 

 

 

67

 

 

 

 

68

 

 

 

 

69

 

 

 

 

70

 

 

 

 

71

 

 

 

 

72

 

 

 

 

73