โครงการก้าวสู่คริสตศตวรรษที่ ๒๑ ด้วยการทบทวนประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา




Update 05 August 2007
Copyleft2007
บทความทุกชิ้นที่นำเสนอบนเว็บไซต์นี้เป็นสมบัติสาธารณะ และขอประกาศสละลิขสิทธิ์ให้กับสังคม
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนเปิดรับบทความทุกประเภท ที่ผู้เขียนปรารถนาจะเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน โดยบทความทุกชิ้นต้องยินดีสละลิขสิทธิ์ให้กับสังคม สนใจส่งบทความ สามารถส่งไปได้ที่ midnightuniv(at)gmail.com โดยกรุณาใช้วิธีการ attach file
H
บทความลำดับที่ ๑๓๒๔ เผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ตั้งแต่วันที่ ๕ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๐ (August, 05, 08,.2007) - ไม่สงวนลิขสิทธิ์ในการใช้ประโยชน์
R
power-sharing formulas, options for minority rights, and constitutional safeguards.

บรรณาธิการแถลง: บทความทุกชิ้นซึ่งได้รับการเผยแพร่บนเว็บไซต์แห่งนี้ มุ่งเพื่อประโยชน์สาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อวัตถุประสงค์ในการขยายพรมแดนแห่งความรู้ให้กับสังคมไทยอย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ยังมุ่งทำหน้าที่เป็นยุ้งฉางเล็กๆ แห่งหนึ่งสำหรับเก็บสะสมความรู้ เพื่อให้ทุกคนสามารถหยิบฉวยไปใช้ได้ตามสะดวก ในฐานะที่เป็นสมบัติร่วมของชุมชน สังคม และสมบัติที่ต่างช่วยกันสร้างสรรค์และดูแลรักษามาโดยตลอด. สำหรับผู้สนใจร่วมนำเสนอบทความ หรือ แนะนำบทความที่น่าสนใจ(ในทุกๆสาขาวิชา) จากเว็บไซต์ต่างๆ ทั่วโลก สามารถส่งบทความหรือแนะนำไปได้ที่ midnightuniv(at)gmail.com (กองบรรณาธิการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน: ๒๘ มกาคม ๒๕๕๐)

ในประวัติศาสตร์ไทยก็ปรากฏว่าได้มีโหรไทยอยู่ ๒ ท่าน สามารถทำนายประวัติศาสตร์โลกได้ถูกต้องค่อนข้างแม่นยำอย่างน่าทึ่ง โดยที่ท่านเจ้าตัวผู้ทำนายเองก็คงจะไม่ตั้งใจและนึกไม่ถึง เนื่องจากการทำนายครั้งนี้เป็นการทำนายของโหรหลวงในราชสำนักไทย จึงไม่ได้มีการเผยแพร่ออกสู่โลกภายนอก และคำทำนายก็ถูกเก็บรักษาในแฟ้มเป็นอย่างดี จนกระทั่งถูกค้นพบโดยบังเอิญในแฟ้มเอกสารประวัติศาสตร์ของหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ท่าวาสุกรี เพราะฉะนั้นความสามารถของโหรไทย ๒ ท่านนี้ ในสมัยนั้นจึงไม่มีโอกาสดังเป็นพลุแตกเหมือนโหรรอื่นๆ
05-08-2550

Thai Astrology
Midnight University

 

H
R
ทุกท่านที่ประสงค์จะติดต่อมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน กรุณาจดหมายไปยัง email address ใหม่ midnightuniv(at)gmail.com
-Free Documentation License-
Copyleft : 2007, 2008, 2009
Everyone is permitted to copy
and distribute verbatim copies
of this license
document, but
changing it is not allowed.

เรื่องของโหราจารย์ในประวัติศาสตร์ไทย สมัยรัชกาลที่ ๕
โหรไทยกับประวัติศาสตร์โลก:
เมื่อโหรไทยทำนายดวงพระชะตามกุฎราชกุมารรัสเซีย

ฉลอง สุนทราวาณิชย์ : เขียน
คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

บทความวิชาการเชิงประวัติศาสตร์โหราจารย์ไทยชิ้นนี้
กองบรรณาธิการขอรับมาจากผู้เขียน ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับ
โหรไทย ๒ ท่านในสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่ได้ทำนายดวงชะตาของ
มกุฎราชกุมารองค์สุดท้ายของรัสเซีย Tsarevich Alexei ได้อย่างแม่นยำ
โดยผู้เขียนได้นำเอาต้นฉบับการทำนายดวงชะตาของฝ่ายโหรหลวงไทยมาเป็นบทตั้ง
และตามด้วยเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ของรัสเซียในช่วงเวลาดังกล่าวมาประกอบ
เพื่อเทียบเคียงกับคำทำนายดังกล่าวเอาไว้อย่างค่อนข้างชัดเจน

ในส่วนเสริมของบทความชิ้นนี้ กองบรรณาธิการได้เพิ่มเติม
เชิงอรรถเข้ามาเพื่ออธิบายคำศัพท์และและนามบุคคล
พร้อมทั้งได้จัดหาภาพประกอบมาเสริมเพื่อความเข้าใจ
(บทความชิ้นนี้เคยเผยแพร่แล้วในนิตยสาร
ศิลปวัฒนธรรม
วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๙ ปีที่ ๒๗ ฉบับที่ ๓)

midnightuniv(at)gmail.com

บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา
ข้อความที่ปรากฏบนเว็บเพจนี้ ได้รักษาเนื้อความตามต้นฉบับเดิมมากที่สุด
เพื่อนำเสนอเนื้อหาตามที่ผู้เขียนต้องการสื่อ กองบรรณาธิการเพียงเว้นวรรค และย่อหน้าใหม่
และเพิ่มเติมหัวข้อเพื่อให้เหมาะสมกับการนำเสนอบนเว็บเพจ
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนเท่านั้น

บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ ๑๓๒๔
เผยแพร่บนเว็บไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๐
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ ๑๔.๕ หน้ากระดาษ A4)

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++

Tsarevich Alexei Nikolaevich Romanov
the youngest child and the only son of
Tsar Nicholas II of Russia and Alexandra Fyodorovna.

เรื่องของโหราจารย์ในประวัติศาสตร์ไทย สมัยรัชกาลที่ ๕
โหรไทยกับประวัติศาสตร์โลก:
เมื่อโหรไทยทำนายดวงพระชะตามกุฎราชกุมารรัสเซีย

ฉลอง สุนทราวาณิชย์ : เขียน
คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


ในบรรดาศาสตร์ทั้งหลายที่มนุษย์คิดค้นขึ้นมา โหราศาสตร์ดูจะเป็นศาสตร์หนึ่งที่กล่าวได้ว่าเป็นศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุด มีความสัมพันธ์กับชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์โดยการกำหนดฤดูกาลการเพาะปลูกและปฏิทิน, โดยกำหนดพิธีการทางศาสนา, เทศกาลบวงสรวงเทพเจ้า, และโดยกำหนดพระราชพิธีและกิจกรรมอื่นๆ ของรัฐหรือพระมหากษัตริย์ เช่น การเคลื่อนพลกรีฑาทัพ ฯลฯ นอกไปจากนั้น โหราศาสตร์ยังมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับศาสตร์อื่นๆ เช่น ดาราศาสตร์, คณิตศาสตร์, สถิติศาสตร์, และแม้แต่ศาสตร์ใหม่ๆ อย่างคอมพิวเตอร์ศาสตร์

ศาสตร์เพื่อมวลชน
ดังนั้นแม้ว่าความคิดและวิทยาการของโลกจะก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในรอบศตวรรษที่ผ่านมา ในขณะที่โหราศาสตร์เป็นศาสตร์ที่มีการพัฒนาตัวมันเองช้ามาก ในด้านรูปแบบและเทคนิควิธีการ แต่โหราศาสตร์ก็หาได้เสื่อมความนิยมไปจากประชาชนไม่ ในทางตรงกันข้าม มีแนวโน้มที่ชี้ให้เห็นชัดว่า ในขณะที่เดิมโหราศาสตร์เป็นสิ่งที่ผูกขาดเฉพาะในราชสำนัก ในสังคมของชนชั้นสูงฝ่ายปกครอง หรือในสังคมของพระหรือนักบวช ในปัจจุบันโหราศาสตร์ได้ขยายแวดวงออกมาถึงมือประชาชนสามัญมากขึ้น ถึงกับบางครั้งมีการอ้างว่า โหราศาสตร์ปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงตนเองจากโหราศาสตร์เพื่อศักดินาเป็นโหราศาสตร์เพื่อมวลชน เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะความเปลี่ยนแปลงของสังคม

ทุกวันนี้เราจะพบว่าโหราศาสตร์ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคนไทย เกือบทุกตรอก ถนน หรือซอย จะมีป้ายโฆษณาสำนักโหรหรือไม่ก็มีสำนักโหรตั้งอยู่ วัดที่มีพระที่เป็นโหรมีชื่อก็จะมีคนขึ้นคึกคัก โบสถ์หรูหรา กุฏิติดแอร์ มีทั้งตู้เย็น ทีวี แถมรถเก๋งอย่างดี ส่วนพระที่เป็นโหรก็มีโอกาสที่จะเป็นเจ้าคุณเร็วกว่าพระอื่นๆ. ตามหน้าหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารเกือบทุกฉบับ คอลัมน์โหราศาสตร์ก็ดูจะเป็นของขาดไม่ได้ บางฉบับถึงกับพัฒนาวิธีการนำเสนอเพื่อเป็นการดึงดูดคนอ่านในรูปแบบที่แปลก รายการโทรทัศน์ก็มีเรื่องโหราศาสตร์จนเกิดคำพูดที่ติดปากว่า "ฟันธง" ปิดท้ายคำทำนายทายทัก

การเมืองเรื่องของโหร
นอกไปจากนั้น สำหรับสังคมไทยโหราศาสตร์ยังมีบทบาทสำคัญในด้านการเมืองอยู่ไม่น้อย ในการทำรัฐประหารยึดอำนาจของฝ่ายเผด็จการ เท่าที่ผ่านมาโหรผู้ให้ฤกษ์มีความสำคัญมากเท่ากับเสนาธิการฝ่ายยุทธการ หรือฝ่ายกำลังพล นักการเมืองและนายทหารชั้นสูงสมัยประชาธิปไตยหลัง ๑๔ ตุลาคม ส่วนใหญ่ก็ยังมีโหรประจำตัวสำหรับคอยชี้นำทางปฏิบัติให้อยู่

ปรากฏการณ์ที่คนให้ความสนใจหลงใหลโหราศาสตร์มากขึ้นนี้ โดยเฉพาะในกลุ่มคนระดับหนึ่งที่มีปัญหาด้านการครองชีพแร้นแค้น ก็เนื่องมาจากการที่กลุ่มคนเหล่านี้ไม่มีที่พึ่งที่หวังสำหรับอนาคตของตนได้อีกแล้ว สังคมที่ตนอยู่ก็ไม่ได้เอื้อโอกาสที่จะทำให้วิถีชีวิตของตนดีขึ้น มิหนำซ้ำยังถูกคนกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่งที่กุมอำนาจทางเศรษฐกิจ การเมือง และมีอิทธิพลอยู่ในสังคม กดขี่ ขูดรีด อยู่ทุกวิถีทางทั้งโดยตรงโดยอ้อม ทั้งยังได้มอมเมาความคิดที่ให้ยอมรับสภาวะที่เป็นอยู่ และอดทนรอให้ "บุญ" และ "สิ่งศักดิ์สิทธิ์" มาช่วยเหลือ

อย่างไรก็ดีความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในเมืองไทยเท่านั้น ในต่างประเทศโหราศาสตร์ก็ได้เข้ามาสัมผัสกับมวลชนมากขึ้น ในบางกรณีถึงกับกลายเป็นเรื่องระดับชาติ อย่างที่เราคงเคยจำได้ว่าในรอบ ๑๐-๒๐ ปีหลังนี้ ได้มีโหรระดับชาติหลายคนที่สร้างข่าวเกรียวกราวไปทั่วโลกอยู่เสมอ และมีผลในการสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในสังคมอยู่มากพอสมควร ด้วยการทำนายว่าโลกจะแตกภายใน ๕ ปีบ้าง ผู้นำสำคัญคนโน้นคนนี้จะตายภายในปีนี้ หรือไม่ก็หมดอำนาจบ้าง หรือไม่ก็สงครามโลกจะเกิดขึ้น คนจะตายกันหมดเพราะระเบิดปรมาณู ฯลฯ ซึ่งก็ปรากฏว่าผิดเสียมากกว่าถูก

อดส่งโหรออกนอก
ในประวัติศาสตร์ไทยก็ปรากฏว่าได้มีโหรไทยอยู่ ๒ ท่าน สามารถทำนายประวัติศาสตร์โลกได้ถูกต้องค่อนข้างแม่นยำอย่างน่าทึ่ง โดยที่ท่านเจ้าตัวผู้ทำนายเองก็คงจะไม่ตั้งใจและนึกไม่ถึง เนื่องจากการทำนายครั้งนี้เป็นการทำนายของโหรหลวงในราชสำนักไทย จึงไม่ได้มีการเผยแพร่ออกสู่โลกภายนอก และคำทำนายก็ถูกเก็บรักษาในแฟ้มเป็นอย่างดี จนกระทั่งถูกค้นพบโดยบังเอิญในแฟ้มเอกสารประวัติศาสตร์ของหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ท่าวาสุกรี เพราะฉะนั้นความสามารถของโหรไทย ๒ ท่านนี้ ในสมัยนั้นจึงไม่มีโอกาสดังเป็นพลุแตกเหมือนโหรรอื่นๆ ในปัจจุบัน ไม่อย่างนั้นป่านนี้โหรไทยคงเป็นที่เรียกร้องของคนทั่วโลก และคงมีโอกาสเป็นสินค้าออกไปขุดทองที่เมืองนอก เหมือนอย่างหมอไทย พยาบาลไทย แรงงานไทย และโสเภณีไทย

คำทำนายของโหรไทยทั้ง ๒ ท่านนี้คือ หลวงโลกทีป และหลวงไตรเพท ซึ่งเป็นโหรหลวงประจำราชสำนักของรัชกาลที่ ๕ [หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. บัญชีเอกสารกรมราชเลขาธิการ รัชกาลที่ ๕ กระทรวงต่างประเทศ หมู่ที่ ๑๙ (ว่าด้วยรัสเซีย) เลขที่ ๒๖ เรื่องดวงชะตาแกรนดุ๊กอาเล็กซิส มกุฎราชกุมารรัสเซีย (รหัสไมโครฟิล์ม มร.๕ ต./๖๔)]

การต่อต้านจักรวรรดินิยม
ก่อนที่จะกล่าวถึงรายละเอียดในคำทำนาย ๒ ฉบับที่มีส่วนไปพัวพันกับเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์โลกนี้ ควรที่จะทราบเบื้องหลังที่ทำให้เกิดคำทำนายดังกล่าวบ้างเล็กน้อย

ในสมัยรัชกาลที่ ๔ และ ๕ ประเทศไทยเปิดความสัมพันธ์กับต่างประเทศทางตะวันตกมากมายหลายประเทศ และในขณะเดียวกันก็ต้องถูกคุกคามจากภัยจักรวรรดินิยมหรือการล่าอาณานิคมของฝรั่งตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอังกฤษและฝรั่งเศส ซึ่งแข่งขันกันอย่างหัวหกตีนขวิด เพื่อที่จะเข้ามามีอิทธิพลอยู่ในประเทศไทย และมีผลทำให้ดินแดนที่ไทยถือว่าได้ปกครองอยู่ในขณะนั้นถูกเฉือนไปเป็นอันมาก รวมไปถึงผลประโยชน์อื่นๆ อีกหลายอย่างที่ต้องสละไปชั่วคราว

นโยบายของประเทศไทยในการต่อต้านจักรวรรดินิยมในขณะนั้นก็คือ พยายามปรับปรุงกิจการบริหารประเทศให้ทันสมัย และมีประสิทธิภาพกว่าเดิม และรวมทั้งการผูกมิตรกับชาติมหาอำนาจอื่นๆ มากขึ้น เพื่อที่ว่ามหาอำนาจเหล่านั้นจะได้เกรงใจกัน ไม่กล้าฮุบเอาประเทศไทยไปเป็นเมืองขึ้นอย่างหน้าตาเฉย หรือพูดง่ายๆ ก็เป็นการคานอำนาจกันเองระหว่างมหาอำนาจต่างๆ

รัชกาลที่ ๕ ได้พยายามสร้างความสัมพันธ์อันสนิทสนมแน่นแฟ้นกับราชสำนักของมหาอำนาจต่างๆ ในยุโรป ไม่ว่าจะเป็นราชสำนักในอังกฤษ, ราชสำนักเยอรมัน, ราชสำนักเดนมาร์ก, หรือราชสำนักรัสเซีย, ได้เสด็จไปเยือนยุโรปด้วยพระองค์เองถึง ๒ ครั้ง ในระหว่างที่ทรงครองราชย์ และได้เชื้อเชิญพระราชวงศ์ชั้นสูงในราชสำนักเหล่านั้น เสด็จเยือนประเทศไทยในหลายโอกาส นอกจากนั้นยังได้ทรงส่งพระราชโอรสของพระองค์ไปศึกษาในประเทศเหล่านั้น อย่างเช่น เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ (ต่อมาทรงครองราชย์เป็นรัชกาลที่ ๖) ที่ประเทศอังกฤษ, เจ้าฟ้าบริพัตรฯ ที่เยอรมนี, กรมหมื่นนครไชยศรีฯ ที่เดนมาร์ก, บรรดาพระราชโอรสทั้งหลายนี้เองที่ได้กลายเป็นสื่อกลางของความสัมพันธ์ระหว่ารัชกาลที่ ๕ กับราชสำนักเหล่านั้น

มหามิตรรัสเซีย
ในบรรดามหาอำนาจยุโรปเหล่านี้ ราชสำนักรัสเซียนับเป็นราชสำนักยุโรปที่รัชกาลที่ ๕ ทรงมีความสนิทสนมด้วยดียิ่งเป็นพิเศษกว่าราชสำนักอื่นๆ เริ่มด้วยการเชิญเสด็จมกุฎราชกุมารรัสเซีย [ต่อมาครองราชย์เป็นพระเจ้าซาร์องค์สุดท้ายของรัสเซีย พระนามนิโคลัสที่ ๒ (1)] มาเยือนประเทศไทยในตอนต้นของปี พ.ศ. ๒๔๓๔ ในโอกาสที่มกุฎราชกุมารนิโคลัสเสด็จผ่านประเทศทางเอเชียทางชลมารคเพื่อไปไซบีเรีย การรับเสด็จครั้งนี้เป็นงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดงานหนึ่ง เท่าที่ราชสำนักไทยเคยจัดมา

การคุกคามของฝรั่งเศสต่อไทยในเวลาต่อมา โดยเฉพาะกรณี ร.ศ. ๑๑๒ ทำให้รัชกาลที่ ๕ ต้องพึ่งรัสเซียในการช่วยเจรจากับฝรั่งเศส ในการเสด็จเยือนยุโรปครั้งแรกของพระองค์ ในปี พ.ศ. ๒๔๔๐ ก็ทรงกำหนดให้รัสเซียเป็นประเทศแรกที่เสด็จเยือนอย่างเป็นทางการ ประการสำคัญในปีต่อมา พระองค์ทรงตัดสินพระทัยส่งพระราชโอรสองค์ที่โปรดที่สุด คือเจ้าฟ้าจักรพงษ์ไปศึกษาที่ประเทศรัสเซีย โดยทรงฝากฝังไว้กับพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ ซึ่งก็ได้ทรงรับเป็นผู้อุปการะและทรงให้ความสนิทสนมแก่เจ้าฟ้าจักรพงษ์อย่างดียิ่ง โดยทรงถือว่าเป็นเสมือนหนึ่งสมาชิกในครอบครัวของพระองค์เอง

ความสัมพันธ์ต่างๆ ดังกล่าว ได้มีผลให้พระราชวงศ์ทั้งสอง คือราชวงศ์จักรีและราชวงศ์โรมานอฟสนิทสนมกันมาก รัชกาลที่ ๕ เองมีพระราชหัตถเลขาส่วนพระองค์ถึงพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ เพื่อปรึกษาและขอความสนับสนุนเกี่ยวกับปัญหาทางด้านการเมือง และรวมทั้งเกี่ยวกับการศึกษาและความเป็นอยู่ของเจ้าฟ้าจักรพงษ์อยู่เนืองๆ

ปัญหาหนึ่งที่พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ แห่งราชวงศ์โรมานอฟ ทรงกลัดกลุ้มพระทัยมากอยู่ในขณะนั้นก็คือ สายโลหิตของพระองค์ที่พระมเหสีอเล็กซานดราทรงให้กำเนิด ๔ พระองค์แรกเป็นพระธิดาทั้งหมด ยังหามีราชโอรสที่จะสืบราชสมบัติต่อไม่ จนถึงขนาดที่บางครั้งทรงต้องพึ่งทางไสยศาสตร์ แต่ก็ไม่ได้ผล

อย่างไรก็ดี ในที่สุดหลังจากที่ทรงรอคอยมาได้ ๑๐ ปี ในเดือนสิงหาคม ๒๔๔๗ พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ ก็ได้พระราชโอรสสมพระทัยปรารถนา ทรงนามว่าอเล็กซิส ทั่วทั้งรัสเซียในเวลานั้นได้มีการเฉลิมฉลองแสดงความยินดีอย่างขนานใหญ่ที่ในที่สุดมกุฎราชกุมารก็ได้ประสูติ ในวันเดียวกับที่มกุฎราชกุมาร (หรือเรียกในภาษารัสเซียว่า Tsarevitch) อเล็กซิสประสูตินั่นเอง พระยาศรีธรรมสาสน (ทองดี สุวรรณศิริ) อัครราชทูตไทยที่กรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เมืองหลวงของรัสเซียในเวลานั้น (ปัจจุบันคือนครเลนินกราด) ก็ได้มีโทรเลขเข้ามาทูลฯ กรมหลวงเทวะวงศ์ฯ เสนาบดีต่างประเทศของไทย ซึ่งกรมหลวงเทวะวงศ์ฯ ก็ได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลแก่รัชกาลที่ ๕ ให้ทราบ และได้มีพระราชโทรเลขแสดงความยินดีไปยังราชสำนักรัสเซียโดยทันที

ดวงรัชทายาท
ในเดือนต่อมา ภายหลังที่รัชกาลที่ ๕ ได้ทรงรับรายงานละเอียดเกี่ยวกับวันเวลาประสูติขององค์มกุฎราชกุมารอเล็กซิสที่อัครราชทูตไทยส่งมาถวาย พระองค์ได้มีพระราชกระแสให้กรมขุนสมมตอมรพันธุ์ ราชเลขานุการ "สอบวันแลเวลาประสูตรตรงกับวันเรา ส่งไปให้โลกทีปผูกดวงดูสักที..." [พระราชกระแสรัชกาลที่ ๕ วันที่ ๒๑ กันยายน ร.ศ. ๑๒๓) ในเอกสารรัชกาลที่ ๕ ต ๑๓.๑ (เจ้านายต่างประเทศประสูติโอรสธิดา) เลขที่ ๗ (สมเด็จพระนางเจ้ารัสเซียประสูติพระโอรส)] การที่ทรงสั่งให้สอบวันและเวลาการประสูติ ก็เนื่องมาจากว่า นอกจากเวลาที่รัสเซียและไทยจะต่างกันมากแล้ว ระบบปฏิทินที่รัสเซียใช้เวลานั้นก็ยังต่างไปจากสากลนิยมอีกด้วย คือช้ากว่าวันในปฏิทินสากลนิยม ๑๓ วัน

๓ วันต่อมา กรมขุนสมมตอมรพันธุ์ก็ได้มีรับสั่งให้หลวงโลกทีป โหรหลวงดำเนินตามพระราชประสงค์ของรัชกาลที่ ๕ ตามร่างหนังสือที่มีไปถึงหลวงโลกทีป ที่แนบวันเวลาที่คำนวณออกมาอย่างละเอียดดังนี้

"ร่างหนังสือกรมราชเลขานุการ ที่ ๖๖/๘๘๔ วันที่ ๒๔ กันยายน ร.ศ. ๑๒๓"

"ถึงหลวงโลกทีป ด้วยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ท่านผูกดวงพระชาตาแกรนดดุกอเล็กซิส มกุฎราชกุมารกรุงรัสเซียทูลเกล้าฯ ถวาย ได้ส่งจดหมายวันประสูตรมาพร้อมกับหนังสือนี้แล้ว"

"ประสูตรวันที่ ๓๐ กรกฎาคม คฤสตศักราช ๑๙๐๔ เวลาบ่ายโมง ๑ กับ ๑๕ นาที ตามวิธีวันที่ใช้ในประเทศรัสเซีย แลเวลาที่กรุงเซนตปิเตอสเบอค"

"วันรัสเซียช้ากว่าวันที่ใช้อยู่ในกรุงเทพฯ ๑๓ วัน ต้องเอา ๑๓ บวก"

เวลาที่กรุงเซนตปิเตอสเบอคแก่กว่าเวลาที่เมืองกรินิช ๒ โมง ๑ นาที ๑๓ วินาที"

"เวลาที่กรุงเทพฯ แก่กว่าเวลาที่เมืองกรินิช ๖ โมง ๔๑ นาที ๕๒ วินาที"

"เอาอันน้อยลบอันมาก ตกเปนเวลากรุงเทพฯ แก่กว่าเวลาที่กรุงเซนตปิเตอสเบอค ๔ โมง ๔๐ นาที ๓๙ วินาที ต้องเอาไปบวกเวลาประสูตร"

"จึ่งตกเปนวันเวลาในกรุงเทพฯ เปนวันที่ ๑๒ สิงหาคม รัตนโกสินทร์ศก ๑๒๓ เวลาบ่าย ๕โมง กับ ๕๕ นาที ๓๙ วินาที นี้เปนวันแลเวลาที่จะผูกดวง"

[ร่างหนังสือกรมราชเลขานุการ ถึงหลวงโลกทีป เอกสารรัชกาลที่ ๕ ต ๑๓.๑ เลขที่ ๗) (รหัสไมโครฟิล์ม มร.๕๓/๖๑)]

ตามร่างหนังสือข้างต้น จะเห็นว่ากรมราชเลขานุการมีความประสงค์ที่จะให้หลวงโลกทีปผูกดวงแต่เพียงผู้เดียว และให้ผูกตามวันและเวลากรุงเทพฯ เท่านั้น อย่างไรก็ดีในวันที่ ๒๗ เดือนเดียวกัน กรมราชเลขานุการก็ได้รับคำทำนาย ๒ ฉบับ ฉบับหนึ่งเป็นคำทำนายของหลวงโลกทีป ทำนายตามเวลาที่กรุงเทพฯ ที่คำนวณออกมา ส่วนอีกฉบับหนึ่งเป็นคำทำนายของหลวงไตรเพท ทำนายตามเวลาที่รัสเซีย ซึ่งคำทำนายอันหลังนี้เข้าใจว่าคงจะทำขึ้นเป็นพิเศษ นอกเหนือที่กรมราชเลขานุการสั่ง เพราะไม่ปรากฏในร่างหนังสือที่อ้างถึงข้างต้นได้กล่าวไว้

เลขที่ ๒๖
ตามเวลาที่กรุงเทพฯ
หลวงโลกทีป ทำนาย

แกรนดดุกอเล็กซิสมกุฎราชกุมาร ประสูตรวันที่ ๑๒ สิงหาคมรัตนโกสินทรศก ๑๒๓ ตรงกับคฤศตศักราช ๑๙๐๔ ซึ่งตรงตามจันทรคติณวัน ๖ ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๙ ปีมะโรงฉอศกศักราช ๑๒๖๖ เวลาบ่าย ๕ โมงกับ ๕๕ นาที ๓๙ วินาที ตามวิธีเวลาที่ใช้ในกรุงเทพ, ลักขณาสถิตย์ณราษีธนู เกาะฉัฐณวางค์ (๔) ทุติยตรียางค์ (๓) เสวยบุพพาสาทฤกษ์ ๒๐ ประกอบไปด้วยมหัดธโนฤกษ์

วัน ๖ เปนวันมรณะแลอุปาสนะโลกยวินาศน์ด้วยในคัมภีร์อุทาสินรามัญ พยากรณ์ว่า ใครอุบัติวันนั้นย่อมเปนผู้มาแต่นรก มักชอบบริโภคอาหารอันประกอบไปด้วยของสดคาว แลเสพย์อาหารมากกว่ามนุษย์ธรรมดา

ลักษณาสถิตย์ณธนูราษี ทายตามพยากรณ์ว่า ที่เกิดนั้นทิศอิสาณมีสวนแลป่า ทิศบูรพาแลอาคเณย์มีสถานอันเปนที่เคารพนับถือของชาติสาสนา

พยากรณ์ตามส่วนลักษณาว่า มีรูปฉวีวรรณ์ขาวงามสอาด ประกอบด้วยสติปัญญา ทั้งถ้อยคำเจรจาก็อ่อนหวานไพเราะ จะบริบูรณ์ด้วยโภคสมบัติเปนอันมาก

นัยหนึ่งพยากรณ์ตามส่วนลักษณาที่ราหูร่วมธาตุกับลักษณา แลเปนกาฬกิณีทั้งราหูร่วมธาตุกับพฤหัศบดีด้วย ว่ารูปแลพรรณ์สติปัญญาถ้อยคำเจรจาทรามกว่าธรรมดา ทั้งโภคก็ขาดถอยไม่บริบูรณ์เต็มที่

ในไวยทั้ง ๓ ที่เปนไป ปถมวัยมัชฌิมวัยจะได้รับความเดือดร้อนเปนอันมาก ต่อปัจฉิมวัยจึงจะได้รับความศุข ล่วงอายุถึง ๗๘ ปีเปนไขยเขตร์สิ้นกำลังแห่งชาตาแล

พระเคราะห์ ๓๔๕๗ ขับออกทวารได้ชาตาชื่อทุกขะตะ ในพยากรณ์ว่าจะตกทุกข์ได้ยากถึง ๓ หน แม้จะมีโภคะสมบัติไม่วัฒนาการยืนยงคงอยู่เปรียบปานประหนึ่งว่า แม้แต่อาหารที่จะหาบริโภคได้ก็ขัดสน ใจมักเปนบาปไม่เปนที่ยินดีแห่งชนทั้งหลาย ถ้าประกอบกิจทางใช้อาวุธก็จะถึงแก่ความมรณะด้วยคมอาวุธ

พระเคราะห์ราหูเปนกาฬกิณีสถิตย์ณราษีสิงห์ แลเปนปัตนิในคัมภีร์พยากรณ์ว่า ญาติสาโลหิตจะมีความรังเกียจติเตียนหาเหตุต่างๆ ให้เสื่อมเสียซึ่งวงษ์ตระกูล

พระเคราะห์ราหู ร่วมธาตุกับพระพฤหัศบดี แลร่วมกับพระเคราะห์ ๒๔๖ ในคัมภีร์ทักษาพยากรณ์ว่า ชนทั้งหลายจะมีความหมิ่นประมาททั้งพาหนะที่เปนทวิบาทว์จัตุบาทว์ อีกโภคทรัพย์ก็จะไม่ดำรงค์อยู่ได้นาน มีแต่จะอันตรทานล่วงโรยเสื่อมถอยไปโดยไม่เปนประโยชน์

อนึ่งแม้จะมีอำนาจหรือกำลัง ก็ไม่เปนที่ยำเกรงแก่บุคคล กับจะได้รับผลแห่งความประมาท ล่วงเลยจนถึงต้นตระกูล

พระเคราะห์เสาร์สถิตย์ณมังกรราษี เปนเกษตรในมหาทักษาพยากรณ์ว่า จะมีอิศิริยศแลกำลังอำนาจมาก แต่มักมีสัตรูคิดประทุษฐร้ายอยู่เสมอ เปรียบประดุจดังเงาติดตามตัวไปเปนนิตย์

พระเคราะห์อังคารสถิตย์ณราษีกรกฏเปนนิตย์ ในพยากรณ์ทำนายว่า ตั้งแต่อายุ ๓๐ ขึ้นไป แม้ว่าจะกระทำกิจการอันใดมักไม่ยั่งยืนโดยมีเหตุให้มากีจกั้นไปต่างๆ

พระเคราะห์อาทิตย์สถิตย์ณกรกฎราษี เปนมหาจักร์ในพยากรณ์ว่า เปนอนุชาตบุตร์ ประกอบด้วยสิลปวิทยาต่างๆ แลจะได้สืบตามตระกูลวงษ์ต่อไป แต่ความประพฤติ์มักพอใจมากไปด้วยเมถุน อันมิได้ปราศจากโทษแห่งกามมิจฉาจาร

ตามพื้นแห่งชาตานี้ รวมใจความตามในคำพยากรณ์ว่า ตั้งแต่อุบัติ์คู่ครรภ์มารดามา กระทำให้บิดามารดาแลญาติสาโลหิต ทั้งข้าทาษกรรมกรมีความวิวาทพรัดพรากจากกันแลกันไม่ใคร่ขาด ทั้งสัตรูหมู่อมิตร์มีความหมิ่นประมาทโดยมาก ย่อมจะได้รับความทุกข์ยากก่อน จึงจะได้รับผลแห่งความศุขต่อภายหลัง
...............................................

ตามเวลาที่รัสเซีย
หลวงไตรเพท ทำนาย

แกรนดดุกอเล็กซิสมกุฎราชกุมาร ประสูตร์วันที่ ๑๒ สิงหาคม รัตนโกสินทรศก ๑๒๓ ตรงกับคฤศตศักราช ๑๙๐๔ ตามจันทรคติซึ่งตรงกับณวัน ๖ ๑ ฯ ๙ ค่ำ ปีมะโรงฉอศักราช ๑๒๖๖ เวลาบ่าย ๑ โมง กับ ๑๕ นาที ตามวิธีเวลาที่ใช้ในประเทศรัสเซียนั้น ลักขณาสถิตย์ณราษีดุล เกาะฉัฐณะวางค (๕) ทุติยตรียางค์ (๗) เสวยสวัสดิ์ฤกษ์ ๑๕ ประกอบไปด้วยเทวีแห่งฤกษ์

ขอพระราชทาน ดวงชาตาดังนี้ซึ่งชนกกรรมนำมาอุบัติบังเกิดในตระกูลใดๆ ก็ดีในชั้นต้น จัดเปนอะวะชาตบุตร์ คงประพฤติตนอย่างหินชาติ์อันต่ำช้า

คือพระเคราะห์ (ศุกร์) เปนตนุร่วมราษีแห่งกาฬกิณีแลเปนลาภะกับลักขณา (ทำนายว่า) ถึงจะมีตระกูลอันสูงศักดิ์ฉันใดก็ดี ย่อมเสื่อมอำนาจราชศักดิ์ โดยอกุศลกรรมซัดให้เปนคนถอยต่ำกว่าตระกูล

พระเคราะห์ (เสาร์) ซึ่งเปนอุสาหะสถิตย์ ณ ราษีมังกรเปนหริกับตนุ (ทำนายว่า) จักอุสาหะพยายามกิจกานุกิจใดหวังว่าเปนคุณภายหลังจะกลับเปนโทษ เพราะฉนั้นจะดำริห์การสิ่งใดมักไม่ตลอด

พระเคราะห์ (พุฒ) เปนกะดุมภะอยู่ด้วยกาฬกิณีณราษีสิงห์ (ทำนายว่า) ทรัพย์สมบัคิทั้งปวงจะอุดมภ์สักเท่าใด ก็ไม่อาจคุ้มครองป้องกันไว้ได้ หรือสัมพันธุ์มิตร์แลวงษ์ญาติ์ย่อมจะแตกต่างทางสามัคคี ไม่เปนที่บำรุงซึ่งกันแลกันให้รุ่งเรืองเจริญได้

พระเคราะห์ (อังคาร) ซึ่งเปนศิริสถิตย์ณราษีกรกฎ เปนวินาศนกับตนุ เพราะฉนั้น (ทำนายว่า) ไม่สามารถจะรักษาอิศิริยศแลปริวารยศรับรองทัพสำภาระชาติตระกูลเนื่องต่อไปได้

พระเคราะห์ (พฤหัศบดี) ซึ่งเปนมนตรีสถิตย์ณราษีเมษ ต้องด้วยบังคับเปน ๗ กับลักขณา แต่ร่วมธาตุกับกาฒกิณี เพราะฉนั้น (ทำนายว่า) สติปัญญาแลความคิดโลภเจตนาแต่เจือเปนพาล เพราะฉนั้นประกอบกิจสิ่งใดไม่รู้จักที่ได้ที่เสีย เห็นแต่จะได้นั้นฝ่ายเดียว ไม่เปนที่สรรเสริญแห่งนักปราชฌ์ราชบัณฑิตย์

พระเคราะหฺ (ราหู) ซึ่งเปนกาฬกิณีสถิตย์ณราษีสิงห์ เปนลาภกับลักขณา (ทำนายว่า) ถึงสรรพคุณพระเคราะห์องค์หนึ่งองค์ใดจะให้ผลบ้างย่อมมีกาฬกิณีกีดขวางให้เปนที่ฝืดเคือง ที่สุดจะมีสัมพันธุมิตร์อันสนิทชิดเชื้อ มักจะไม่ซื่อตรงต่อย่อมแตกร้าว ทั้งสัตรูที่จะประทุษฐร้ายก็มีมาก

พระเคราะห์ (จันทร์) ซึ่งเปนเดชสถิตย์ณราษีสิงห์ ร่วมกับกาฬกิณี (ทำนายว่า) เดชานุภาพแลอำนาจราชศักดิ์ ย่อมเสื่อมถอย ทั้งจิตร์ก็เปนพาลประกอบการทุจริต อนึ่งคนจะย่ำยีล้างอำนาจ ถึงจะมีชนมายุยืดยาวต่อไปย่อมจะไร้ที่พึ่ง

พระเคราะหฺ์ (อาทิตย์) ซึ่งเปนอายุสถิตย์ณราษีกรกฎ เปนวินาศนกับตนุเศษ (ทำนายว่า) เกรงชนมายุจะไม่วัฒนาแต่ปถมวัยไปจนถึงชนมายุ ๒๕ ปี ในระหว่างนี้มักจะเคลิ้มเขลาในส่วนราชการที่ประกอบจะให้โทษเล่ห์ประหนึ่งจะอับปาง

อีกประการหนึ่งต้องด้วยคัมภีร์ขับชาตา พระเคราะห์ทั้ง ๘ พระองค์ร่วมเอกราษี (ทำนายว่า) ในตอนต้นย่อมจะทุกข์ยากลำบากเสียก่อนให้จงได้ เมื่อชนมายุวัฒนาต่อ ๒๕ ปีนั้นไปแล้ว ย่อมจะกลับจิตร์เห็นผิดแลชอบ เสมออนุชาตบุตร์ ดำเนินตามวงษ์ตระกูลสืบต่อไป
...............................................

สิ่งอัปมงคล
คำทำนายดวงชาตามกุฎราชกุมารอเล็กซิส ที่หลวงโลกทีปและหลวงไตรเพททำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายครั้งนี้ จะเห็นได้ว่าแม้จะมีรายละเอียดปลีกย่อยต่างกันไปบ้าง เนื่องจากแต่ละท่านใช้เวลาคนละอย่างในการคำนวณและผูกดวง แต่สาระสำคัญที่ปรากฏอยู่ในคำทำนายนั้นก็คล้ายคลึงกันมาก ในประเด็นที่ว่ามกุฎราชกุมารพระองค์นี้จะได้รับความเดือดร้อนแต่วัยประถม แมัจะมีทรัพย์สมบัติมากมายแต่ก็จะรักษาไว้ไม่ได้ จะมีศัตรูคอยทำร้าย จะทำให้พ่อแม่พี่น้องญาติมิตรแตกแยกพลัดพราก ไม่สามารถรักษายศศักดิ์ ฐานะ บริวารของตระกูลได้ ฯลฯ

ความมุ่งหมายในชั้นต้นของรัชกาลที่ ๕ ที่ทรงให้มีการผูกดวงของมกุฎราชกุมารอเล็กซิสครั้งนี้ ก็คงเนื่องมาจากความสัมพันธ์ที่สนิทสนมเป็นอย่างดีระหว่างพระองค์และพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ ดังนั้นอาจสันนิษฐานได้ต่อไปว่า พระองค์คงตั้งพระทัยที่จะส่งคำทำนายของโหรหลวงไปให้พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ ในฐานะพระสหาย และเพื่อเป็นการแสดงความยินดีที่พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ ได้พระราชโอรสสมพระราชประสงค์ แต่หลังจากที่ทอดพระเนตรเห็นคำทำนายทั้งสองที่ดูจะไม่เป็น "มงคล" แล้ว ก็ไม่ได้โปรดให้ส่งคำทำนายนี้ไปถวายแต่อย่างไร เพียงแต่มีรับสั่งถึงกรมราชเลขานุการ "ให้หลวงประสิทธิ์ดู แล้วหาที่เก็บไว้ให้ดี" เท่านั้น คำทำนายนี้จึงไม่มีโอกาสได้รับการพิสูจน์

เชื่อดีหรือไม่
ถ้าพิจารณาดูสาระสำคัญที่ปรากฏในคำทำนายทั้งสองนี้ ควบคู่ไปกับวิถีชีวิตของมกุฎราชกุมารอเล็กซิส นับตั้งแต่ประสูติ จะเห็นได้ว่าสอดคล้องต้องกันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการที่มกุฎราชกุมารอเล็กซิส ทรงพระประชวรด้วยโรคโลหิตชนิดหนึ่ง (Haemophilia - โรคโลหิตไหลไม่หยุด) ที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ หลังจากที่ประสูติได้ไม่นาน และต้องทนทรมานด้วยโรคดังกล่าวอยู่เสมอ จนไม่อาจดำเนินชีวิตเฉกเช่นเด็กในวัยเดียวกันได้ และทำให้เกือบตกสิ้นพระชนม์หลายต่อหลายครั้ง

อย่างไรก็ดีการประชวรด้วยโรคดังกล่าว ไม่ได้มีผลกระทบกระเทือนถึงวิถีชีวิตของมกุฎราชกุมารองค์นี้เพียงเท่านั้น แต่มีผลที่สัมพันธ์กับชะตากรรมของครอบครัวของพระองค์ นั่นคือราชวงศ์โรมานอฟกับประเทศรัสเซีย และในที่สุดถึงประวัติศาสตร์โลก เพราะการประชวรนี้เองที่เป็นสาเหตุหนึ่งในการนำไปสู่การปฏิวัติล้มล้างราชวงศ์ และสถาปนารัฐสังคมนิยมรัฐแรกขึ้นในโลกในเดือนตุลาคม ๒๔๖๐ ดังคำกล่าวของ นายปีแอร์ ยิลเลียร์ด ชาวสวิสผู้ถวายการสอนแก่พระราชโอรสและธิดาทุกพระองค์ของพระเจ้าซาร์นิโคลัส ที่ว่า

"การประชวรขององค์มกุฎราชกุมารได้นำเงามืดมาสู่ระยะสุดท้ายของรัชกาลพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒...การประชวรนี้เป็นสาเหตุสำคัญอันหนึ่งที่นำความหายนะมาสู่พระองค์ เพราะการประชวรนี้เองที่เปิดโอกาสให้รัสปูติน(2) ได้เข้ามามีบทบาท และทำให้ราชสำนักต้องห่างเหินจากโลกภายนอกมากขึ้นอย่างน่ากลัว..."

รัสปูติน หมอผีครองเมือง
พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าในการที่จะให้มกุฎราชกุมารอเล็กซิสขึ้นครองราชย์ สืบต่อจากพระองค์ในฐานะของซาร์ที่แท้จริง นั่นคือทรงไว้ซึ่งอำนาจสิทธิ์ขาดแบบจักรพรรดิสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ความปรารถนาดังกล่าวเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับภาวะความเปลี่ยนแปลงในสังคมรัสเซียในขณะนั้น ซึ่งไม่สามารถจะทนต่อความสภาพกดขี่ขูดรีดทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองได้อีกต่อไป แต่ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงให้ประชาชนมีสิทธิในการปกครอง มีโอกาสทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่ด้วยการที่ชาวนาจำนวนล้านๆ ไม่มีที่ดินทำกิน ต้องกลายเป็นทาสติดที่ดินในพื้นดินของศักดินาเจ้าของที่ดินใหญ่ๆ (บางคนมีที่ดินนับแสนๆ ไร่) หรือกลายเป็นกรรมกรในโรงงานอุตสาหกรรม ที่ถูกพวกนายทุนเจ้าของโรงงานขูดรีดทางแรงงาน ด้วยค่าจ้างที่ต่ำ และไร้สวัสดิการ กล่าวโดยทั่วไปประชาชนส่วนใหญ่ในรัสเซียขณะนั้น ขาดความมั่นคงในชีวิต ชาวนา และกรรมกรจำนวนมากต้องอดตาย

การประชวรของมกุฎราชกุมารอเล็กซิส ได้ทำให้ภาวะความขัดแย้งนี้รุนแรงมากขึ้นตามลำดับ ภายหลังจากที่นายแพทย์หลวงทั่วรัสเซีย หมดความสามารถที่จะรักษาให้มกุฎราชกุมารอเล็กซิสหายขาดจากโรคนี้ได้ ในระยะนี้เองที่รัสปูตินได้เข้ามามีบทบาทในการถวายการรักษาอเลซิส รัสปูตินเป็นนักบวชลึกลับจากไซบีเรีย ผู้มีชื่อเสียงอื้อฉาวในทางชู้สาว แต่มีพลังจิตที่มีอำนาจแข็งกล้าและได้รับการยกย่องจากชาวนารัสเซียจำนวนมาก ว่าเป็นนักบุญ

ความสามารถของรัสปูตินสามารถทำให้อาการโรคของมกุฎราชกุมารอเล็กซิสที่กำเริบขึ้นนั้นทุเลาลงจนเป็นปกติ (แต่ไม่หายขาด) นับแต่นั้นมารัสปูตินก็กลายเป็นที่ศรัทธาโปรดปรานของราชสำนัก โดยเฉพาะของพระมเหสีอเล็กซานดรา ซึ่งเชื่อว่ารัสปูตินสามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ และช่วยให้อาการโรคของพระราชโอรสของพระองค์หายขาดได้ ดังนั้นรัสปูตินจึงสามารถเข้าออกในราชสำนักได้ทุกเวลา และได้รับพระราชทานเงินและรางวัลอื่นๆ มากมายรวมทั้งกลายฐานะเป็น "เพื่อนของเรา" ของพระมเหสีอเล็กซานดรา ซึ่งอันที่จริงพระองค์ได้อยู่ใต้อิทธิพลของรัสปูตินอย่างถอนตัวไม่ขึ้นมากกว่า

อิทธิพลของรัสปูตินเริ่มแผ่เข้าไปในราชสำนัก และในหมู่ผู้ดีชนชั้นสูงชาวรัสเซียเกือบทั้งหมด เป็นที่เห็นได้ชัดว่าความพยายามของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ ในอันที่จะรักษาอำนาจสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของราชบัลลังก์รัสเซียไว้นั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการสนับสนุนของรัสปูตินซึ่งพูดอยู่เสมอว่า ในฐานะที่ตนเป็นตัวแทนของชนชั้นชาวนารัสเซียทั้งหมด (รัสปูตินถือว่าตนเกิดในชนชั้นชาวนา และตลอดชีวิตคลุกคลีกับชาวนา) เห็นว่าชาวนารัสเซียถือว่าซาร์เป็นเสมือนผู้แทนของพระเจ้าในโลก ดังนั้นจึงต้องการเห็นซาร์ที่ทรงอำนาจสิทธิขาดเหมือนเทวราช

วาระสุดท้ายของศักดินา
ความขัดแย้งระหว่างพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ กับกลุ่มการเมือง ชาวนา กรรมกรที่เรียกร้องสิทธิจึงทวีความรุนแรงขึ้นทุกที และราชสำนักของรัสเซียก็เริ่มเหินห่างจากประชาชน เพราะคิดว่าสิ่งที่ได้ฟังจากรัสปูติน คือ ความจริง. อิทธิพลของรัสปูตินในทางที่ไม่ดียังจะเห็นได้จาก การที่ถ้ารัฐมนตรีคนใดในคณะรัฐบาลไม่แสดงความเคารพนบนอบรัสปูติน หรือที่รัสปูตินไม่ชอบหน้าก็อาจจะถูกปลดออกจากตำแหน่ง เพียงแต่รัสปูตินเปรยเป็นนัยๆ กับพระมเหสีอเล็กซานดรา แต่ถ้าใครเป็นคนที่รัสปูตินชอบ ก็จะมีโอกาสได้รับการแต่งตั้งให้มีตำแหน่งสูงขึ้น

อย่างไรก็ดี บทบาทของรัสปูตินทางด้านการเมืองในระยะแรกยังอยู่ในขอบเขตจำกัด เพราะรัสปูตินจะมีอิทธิพลมากก็ต่อองค์มเหสีอเล็กซานดรา ซึ่งในระยะแรกไม่ค่อยได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองมากนัก ปล่อยให้เป็นภาระของพระเจ้าซาร์นิโคลัส แต่เมื่อรัสเซียเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ ๑ ในปี พ.ศ. ๒๔๕๗ พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ ได้เข้าสวมตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุดด้วยพระองค์เอง (ทั้งๆ ที่ขาดความรู้และประสบการณ์) ทำให้ต้องเสด็จออกไปบัญชาการรบอยู่แนวหน้า การบริหารประเทศทั้งหมดจึงตกอยู่ในกำมือของพระมเหสี โดยมีรัสปูตินคอยเป็นที่ปรึกษาอยู่เบื้องหลัง

ในระยะนี้เองที่สถานการณ์ในรัสเซียอยู่ใสสภาพที่วุ่นวายและเลวร้ายที่สุด เพราะต้องเผชิญกับสงคราม ขณะที่ฝ่ายบริหารไร้สมรรถภาพ กองทัพรัสเซียต้องสูญเสียและพ่ายแพ้ในการรบหลายแห่ง และทหารรัสเซียล้มตายนับแสนคน เพราะคำแนะนำของรัสปูติน ขวัญและกำลังใจของชาวรัสเซียเริ่มหายไป ในขณะเดียวกันในด้านการเมืองภายใน คำแนะนำของรัสปูตินที่แทรกแซงเข้ามาในการแต่งตั้งคนไร้ฝีมือและทุจริต เข้ามารับตำแหน่งทางการบริหาร และปลดคนที่มีความรู้และซื่อสัตย์ออก ทำให้การบริหารยิ่งเลวลง

จุดเริ่มต้นของสังคมนิยม
ความวุ่นวายและการเรียกร้องของกรรมกรชาวนาที่ส่วนหนึ่ง เนื่องมาจากภาวะสงคราม และอีกส่วนหนึ่งเนื่องมาจากความเหลวแหลกของฝ่ายบริหาร ได้รับการปราบปรามอย่างรุนแรง ทารุณโหดร้าย และสร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนมากขึ้น ในที่สุดก็ได้มีเสียงเรียกร้องให้กำจัดรัสปูติน แม้แต่ในหมู่ราชสำนักเชื้อพระวงศ์ หรือพวกอนุรักษนิยม ด้วยเหตุผลที่ว่าเพื่อรักษาราชวงศ์ไว้. ในปลายเดือนธันวาคม ๒๔๕๙ พระญาติสนิทของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ จำนวนหนึ่งที่ไม่ต้องการเห็นราชวงศ์โรมานอฟต้องสูญสิ้น ก็ได้ร่วมมือกันหลอกรัสปูตินมาสังหารด้วยยาพิษและปืนพก

อย่างไรก็ดี การกำจัดรัสปูตินก็เป็นการสายไปเสียแล้ว และไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ ก็ดูเหมือนจะไม่รู้ว่า การตายของรัสปูตินเป็นเสมือนสัญญาณที่ชี้ให้เห็นว่า ความไม่พอใจที่ประชาชนรัสเซียรวมทั้งพระญาติที่มีต่อพระองค์ และราชวงศ์โรมานอฟมีถึงขีดสุด และควรที่พระองค์จะปรับปรุงแก้ไข ดังนั้นไม่ถึง ๓ เดือนต่อมา ในเดือนมีนาคม ๒๔๖๐ ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นก็นำไปสู่การยึดอำนาจโดยนักการเมืองฝ่ายเสรีนิยม ทำให้พระองค์ต้องสละราชสมบัติ และพระองค์รวมทั้งครอบครัวถูกควบคุมตัวได้

แต่การยึดอำนาจของฝ่ายเสรีนิยม ก็ไม่ได้ทำให้เหตุการณ์ในรัสเซียคลี่คลายขึ้นแต่อย่างไร ความขัดแย้งยังคงมีอยู่อย่างรุนแรง และทำให้ฝ่ายบอลเชวิคส์(3) ที่นำโดยเลนิน(4) ยึดอำนาจจากกลุ่มเสรีนิยมได้สำเร็จในเดือนตุลาคมของปีนั้น ซึ่งกลายมาเป็นเหตุการณ์สำคัญที่รู้จักกันดีไปทั่วโลกในฐานะที่เป็นกำเนิดของรัฐสังคมนิยมสมัยใหม่รัฐแรกของโลก

ฤาจะให้โหรครองเมือง
การสละราชสมบัติของพระเจ้าซาร์นิโคลัส ทำให้ราชวงศ์โรมานอฟที่ปกครองรัสเซียมาตั้งแต่ปี ๒๑๕๖ ต้องสิ้นสุดลง แต่ชะตากรรมของราชวงศ์โรมานอฟ โดยเฉพาะของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ และครอบครัวหาได้หมดสิ้นเพียงเท่านี้ไม่ วิถีชีวิตของมกุฎราชกุมารอเล็กซิสที่นำรัสปูตินเข้ามามีอิทธิพลและอำนาจมืดในราชสำนักโดยตรง ยังสร้างผลร้ายแรงที่สุดให้เกิดขึ้นกับอำนาจครอบครัวของตนอีก เพราะเมื่อภายหลังต่อมาที่พวกบอลเชวิคส์เข้ายึดอำนาจแล้วได้เพียงไม่ถึง ๑ ปี ในเดือนกรกฎาคม ๒๔๖๑ พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒, มเหสีอเล็กซานดรา, มกุฎราชกุมารอเล็กซิส และพระราชธิดาอีก ๔ พระองค์ ที่ถูกคุมไว้ในบ้านหลังหนึ่งในไซบีเรียตะวันตก ก็ถูกปลงพระชนม์

แม้ว่าคำทำนายนี้จะไม่ได้เอ่ยถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์โลก อันเกิดจากดวงชะตาของมกุฎราชกุมารอเล็กซิส แต่ก็เป็นที่เห็นได้ชัดว่า ในประเด็นที่ว่ามกุฎราชกุมารอเล็กซิสจะนำความวุ่นวายหายนะมาสู่ราชวงศ์นั้นก็เป็นความจริงอย่างไม่ต้องสงสัย

หลวงโลกทีป, หลวงไตรเพท, และแม้แต่รัชกาลที่ ๕ ก็คงจะนึกไม่ถึงว่าคำทำนายทั้งสองนี้ใกล้เคียงความจริงอยู่มาก และมีส่วนเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์โลกในเวลาต่อมา น่าเสียดายที่เราไม่มีโอกาสรู้จักชื่อจริงของโหรทั้ง ๒ ท่านนี้ เพราะในเอกสารนี้อ้างถึงทั้งหมดไม่ได้เอ่ยถึงชื่อจริงของท่านไว้ด้วย

++++++++++++++++++++++++++++++

เชิงอรรถ
โดยกองบรรณาธิการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน



(1) Nicholas II of Russia (Nikolai Aleksandrovich Romanov) (18 May [O.S. 6 May] 1868 - 17 July [O.S. 4 July] 1918) was the last Emperor of Russia, King of Poland,[1] and Grand Duke of Finland. He ruled from 1894 until his forced abdication in 1917. Nicholas proved unable to manage a country in political turmoil and command its army in World War I. His rule ended with the Russian Revolution of 1917, after which he and his family were shot by Bolsheviks.

(2) Grigori Yefimovich Rasputin (or Grigori Yefimovich Novyh) (January 22 [O.S. January 10] 1869 -- December 29 [O.S. December 16] 1916) was a Russian mystic who is perceived as having influenced the latter days of the Russian Tsar Nicholas II, his wife the Tsarina Alexandra, and their only son the Tsarevich Alexei. Rasputin had often been called the "Mad Monk"[1], while others considered him a "strannik" (or religious pilgrim) and even a starets ("elder", a title usually reserved for monk-confessors), believing him to be a psychic and faith healer.

It has been argued that Rasputin helped to discredit the tsarist government, leading to the fall in 1917 of the Romanov dynasty. Contemporary opinions saw Rasputin variously as a saintly mystic, visionary, healer, and prophet, and, on the other side of the coin, as a debauched religious charlatan. Historians may find both to be true, but there is much uncertainty, for accounts of his life have often been based on dubious memoirs, hearsay, and legend.

(3) The Bolsheviks derived from bolshinstvo, หมายถึง "majority") were a faction of the Marxist Russian Social Democratic Labour Party (RSDLP) which split apart from the Menshevik faction[1] at the Second Party Congress in 1903 and ultimately became the Communist Party of the Soviet Union.[2] The Bolsheviks seized power in Russia during the October Revolution phase of the Russian Revolution of 1917, and founded the Soviet Union.

Bolsheviks (or "the Majority") were an organization of professional revolutionaries under a strict internal hierarchy governed by the principle of democratic centralism and quasi-military discipline, who considered themselves as a vanguard of the revolutionary proletariat. Their beliefs and practices were often referred to as Bolshevism.[3] The party was founded by Vladimir Lenin, who also led it in the October Revolution.

(4) Vladimir Ilyich Ulyanov better known by the alias Lenin (April 22, 1870 - January 21, 1924), was a Russian revolutionary, a communist politician, the main leader of the October Revolution, the first head of the Russian Soviet Socialist Republic, until 1922 (or Bolshevist Russia), and the primary theorist of Leninism, an extension of Marxist theory.

 

 

คลิกไปที่ กระดานข่าวธนาคารนโยบายประชาชน

นักศึกษา สมาชิก และผู้สนใจบทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ก่อนหน้านี้ สามารถคลิกไปอ่านได้โดยคลิกที่แบนเนอร์



สารบัญข้อมูล : ส่งมาจากองค์กรต่างๆ

ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา 3
I สารบัญเนื้อหา 4 I สารบัญเนื้อหา 5 I สารบัญเนื้อหา 6
ประวัติ ม.เที่ยงคืน

สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง

webboard(1) I webboard(2)

e-mail : midnightuniv(at)gmail.com

หากประสบปัญหาการส่ง e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com

ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ทั้งหมด กว่า 1200 เรื่อง หนากว่า 20000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com

สมเกียรติ ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็บไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com