โครงการก้าวสู่คริสตศตวรรษที่ ๒๑ ด้วยการทบทวนประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา




Update: 7 June 2007
Copyleft2007
บทความทุกชิ้นที่นำเสนอบนเว็บไซต์นี้เป็นสมบัติสาธารณะ และขอประกาศสละลิขสิทธิ์ให้กับสังคม
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนเปิดรับบทความทุกประเภท ที่ผู้เขียนปรารถนาจะเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน โดยบทความทุกชิ้นต้องยินดีสละลิขสิทธิ์ให้กับสังคม สนใจส่งบทความ สามารถส่งไปได้ที่ midnightuniv(at)gmail.com โดยกรุณาใช้วิธีการ attach file
H
บทความลำดับที่ ๑๒๗๐ เผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ตั้งแต่วันที่ ๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๐ (June, 07, 06,.2007) - ไม่สงวนลิขสิทธิ์ในการใช้ประโยชน์
R
power-sharing formulas, options for minority rights, and constitutional safeguards.

บรรณาธิการแถลง: บทความทุกชิ้นซึ่งได้รับการเผยแพร่บนเว็บไซต์แห่งนี้ มุ่งเพื่อประโยชน์สาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อวัตถุประสงค์ในการขยายพรมแดนแห่งความรู้ให้กับสังคมไทยอย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ยังมุ่งทำหน้าที่เป็นยุ้งฉางเล็กๆ แห่งหนึ่งสำหรับเก็บสะสมความรู้ เพื่อให้ทุกคนสามารถหยิบฉวยไปใช้ได้ตามสะดวก ในฐานะที่เป็นสมบัติร่วมของชุมชน สังคม และสมบัติที่ต่างช่วยกันสร้างสรรค์และดูแลรักษามาโดยตลอด. สำหรับผู้สนใจร่วมนำเสนอบทความ หรือ แนะนำบทความที่น่าสนใจ(ในทุกๆสาขาวิชา) จากเว็บไซต์ต่างๆ ทั่วโลก สามารถส่งบทความหรือแนะนำไปได้ที่ midnightuniv(at)gmail.com (กองบรรณาธิการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน: ๒๘ มกาคม ๒๕๕๐)

ประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับใครเป็นคนเล่า สิ่งที่ชาวโรมันเรียกว่า "การรุกรานของคนป่าเถื่อน" เป็นสิ่งที่ชาวเยอรมันเรียกว่า "การอพยพลงใต้". กระทั่งทุกวันนี้ประวัติศาสตร์ทวีปอเมริกายังไม่ได้รับการบอกเล่าในแง่ที่ว่า ชาวสเปนเป็นผู้รุกราน ผู้นำทางจิตวิญญาณชาวอินเดียนแดงเผ่ามายาผู้หนึ่ง เคยกล่าวในนามของเทพเจ้าว่า "เมื่อหมดสิ้นความโลภ, ใบหน้า มือ และเท้าของโลกจะถูกปลดพ้นพันธนาการ" เมื่อปากไม่ถูกปิดกั้น ปากนั้นจะบอกเราเรื่องอะไร? เมื่อมีอิสระ เสียงที่ไม่เคยมีใครได้ยินเลย จะเอื้อนเอ่ยเรื่องใดกับเรา?
07-06-2550

Neo-Colonialism
Midnight University

 

H
R
ทุกท่านที่ประสงค์จะติดต่อมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน กรุณาจดหมายไปยัง email address ใหม่ midnightuniv(at)gmail.com
-Free Documentation License-
Copyleft : 2007, 2008, 2009
Everyone is permitted to copy
and distribute verbatim copies
of this license
document, but
changing it is not allowed.

บทความเชิงวิพากษ์ ลัทธิอาณานิคมใหม่
ห้าร้อยปีแห่งการปล้น: จากโคลัมบัสถึงบรรษัทอเมริกา

เอดูอาร์โด กาเลเอโน : เขียน
ชำนาญ ยานะ : แปล
นักศึกษาปริญญาโท สาขาการแปล
สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล

บทแปลงานวิชาการนี้ กองบรรณาธิการได้รับมาจากผู้เขียน
ซึ่งได้ถ่ายทอดจากต้นฉบับเรื่อง : Five Hundred Years of Plunder:
From Columbus to Corporate America. เขียนโดย Eduardo Galeano
ซึ่งเป็นบทความเชิงวิพากษ์คนผิวขาว ที่เข้ามายึดครองดินแดนในทวีปอเมริกา
หัวข้อสำคัญของบทความชิ้นนี้ประกอบด้วย
- ความยุ่งยากในเรื่องภาษา
- ปัญหาคนพื้นเมือง
- การล้างบาปที่ทารุณโหดร้าย
- การเหยียดเชื้อชาติรุนแรง
- คำประกาศของเฮนรี่ ฟอร์ด
- ประชาธิปไตยยุคก่อนโคลัมบัส
- สำนึกความเป็นชุมชน
- คุณค่าพื้นฐานที่อนุรักษ์ไว้ได้อย่างน่าอัศจรรย์
(Bilingual Publishing)
midnightuniv(at)gmail.com


บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา
ข้อความที่ปรากฏบนเว็บเพจนี้ ได้รักษาเนื้อความตามต้นฉบับเดิมมากที่สุด
เพื่อนำเสนอเนื้อหาตามที่ผู้เขียนต้องการสื่อ กองบรรณาธิการเพียงเว้นวรรค และย่อหน้าใหม่
เพื่อให้เหมาะสมกับการนำเสนอบนเว็บเพจ
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ ๑๒๗๐
เผยแพร่บนเว็บไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๕๐
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ ๒๒ หน้ากระดาษ A4)
(เฉพาะคำแปลภาษาไทยยาวประมาณ ๑๑ หน้ากระดาษ A4)
(ต้นฉบับภาษาอังกฤษยาวประมาณ ๑๑ หน้ากระดาษ A4)

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++



บทความเชิงวิพากษ์ ลัทธิอาณานิคมใหม่
ห้าร้อยปีแห่งการปล้น: จากโคลัมบัสถึงบรรษัทอเมริกา
เอดูอาร์โด กาเลเอโน : เขียน
ชำนาญ ยานะ : แปล
นักศึกษาปริญญาโท สาขาการแปล
สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล

คลิกอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษ

Five Hundred Years of Plunder: From Columbus to Corporate America
by Eduardo Galeano

แน่นอน พระเจ้าของชาวคริสต์เป็นแค่ข้ออ้างของการปล้น ดังที่ท่านอาร์คบิช็อป เดสมอนด์ ตูตู แห่งประเทศแอฟริกาใต้เคยกล่าวไว้ว่า "ตอนที่พวกนั้นมา พวกเขามีคัมภีร์ไบเบิล ส่วนพวกเรามีที่ดิน พวกเขาบอกเราว่า 'จงหลับตาและภาวนาเถิด' และเมื่อพวกเราลืมตาขึ้น พวกเขามีที่ดิน ส่วนพวกเรามีคัมภีร์ไบเบิล"

12 ตุลาคม ค.ศ.1492 ประเทศอเมริกาค้นพบระบบทุนนิยม เมื่อคริสโตเฟอร์ โคลัมบัสนำสิ่งที่ค้นพบใหม่นี้ไปยังหมู่เกาะแห่งทะเลแคริบเบียน ด้วยการสนับสนุนทางการเงินจากกษัตริย์สเปน และนายธนาคารแห่งเมืองเจนัว ในสมุดบันทึกการค้นพบ โคลัมบัส ในฐานะผู้บัญชาการเรือ เขียนคำว่า ทอง 139 ครั้ง และเขียนคำว่า "พระเจ้า" หรือ "พระเป็นเจ้าของเรา" 51 ครั้ง

ชายหาดอันบริสุทธิ์ทำให้โคลัมบัสคึกคักอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย วันที่ 27 พฤศจิกายน โคลัมบัสทำนายว่า "อาณาจักรพระคริสต์จะมาทำธุรกิจที่หมู่เกาะนี้" อย่างน้อยเขาก็ทำนายถูก เขาอาจเข้าใจผิดคิดว่าประเทศเฮติคือญี่ปุ่น คิดว่าประเทศคิวบาคือจีน และเชื่อว่าคนในประเทศจีนคือชาวอินเดียในประเทศอินเดีย แต่ในเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจแล้ว เขาไม่ผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย

ระยะเวลาห้าร้อยปีในการทำธุรกิจของอาณาจักรพระคริสต์ ผืนป่าในทวีปอเมริกาถูกทำลายไปหนึ่งในสามส่วน พื้นที่สำคัญที่เคยเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ไม่สามารถเพาะปลูกได้อีก และกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนประชากรมีอาหารกินเพียงหนึ่งมื้อต่อวัน ชาวอินเดียนแดงซึ่งเป็นเหยื่อของการปล้นครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ยังคงถูกขับไล่ออกจากดินแดนสุดท้ายที่พวกเขาเหลืออยู่ อีกทั้งยังถูกปฏิเสธไม่ให้มีตัวตนในสังคม พวกเขาถูกห้ามไม่ให้ใช้ชีวิตตามวิถีดั้งเดิม ในตอนนั้นการปล้นสะดมและการ"ฆ่าความเป็นอื่น" ทำกันในนามของพระเจ้า ปัจจุบัน พฤติกรรมดังกล่าวทำกันในนามของความเจริญ.

กระนั้นก็ตาม เค้าร่างของอเมริกาในอีกรูปแบบหนึ่ง กำลังเปล่งประกายออกมาจากเอกลักษณ์ต้องห้ามและถูกรังเกียจ โดยที่อเมริกาอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันมองไม่เห็น เนื่องจากถูกแนวคิดเหยียดเชื้อชาติบดบังตา

ความยุ่งยากในเรื่องภาษา

- 12 ตุลาคม 1492 โคลัมบัสเขียนไว้ในสมุดบันทึกว่า เขาอยากจับชาวอินเดียนแดงกลับสเปน "จะได้สอนคนพวกนี้ให้พูดเป็น" ห้าร้อยปีถัดมา เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 1989 ศาลยุติธรรมของสหรัฐพิพากษาให้ ลาดิสลาโอ พาสตรานา ชาวอินเดียนแดงเผ่ามิกซ์เทก จากเขตอัวฮากา ประเทศเม็กซิโก และเป็นคนงานเกษตรที่เข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย "เป็นคนวิกลจริต" เพราะเขาพูดภาษาแคสติลัน (ภาษาสเปน) ผิดๆ ถูกๆ และแนะนำให้ขังไว้ในโรงพยาบาลบ้าชั่วชีวิต. พาสตรานาไม่เข้าใจภาษาสเปนที่ล่ามพูด นักจิตวิทยาจึงวินิจฉัยว่าเขา "ปัญญาอ่อน" จนในที่สุด นักมานุษยวิทยาจึงเข้ามาคลี่คลายเรื่องทั้งหมด แท้ที่จริงแล้ว พาสตรานาสามารถสื่อสารด้วยภาษาอินเดียนแดงเผ่ามิกซ์เทก ซึ่งเป็นภาษาของชาวอินเดียนแดงที่มาพร้อมกับมรดกทางวัฒนธรรมที่เก่าแก่กว่าสองพันปี ได้อย่างไม่บกพร่อง

- ประเทศปารากวัยใช้ภาษากัวรานี กรณีนี้ไม่เหมือนใครในประวัติศาสตร์โลก กัวรานีเป็นภาษาประจำชาติของชาวอินเดียนแดงที่ปราชัย อย่างไรก็ตาม การสำรวจความคิดเห็นแสดงให้เห็นว่า ชาวปารากวัยส่วนใหญ่คิดว่าคนที่พูดภาษาสเปนไม่ได้"คล้ายกับสัตว์"

- ชาวเปรู หนึ่งในสองคนมีเชื้อสายอินเดียนแดง ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญของเปรู ภาษาเกชัวเป็นภาษาประจำชาติ มีสถานะเท่าเทียมภาษาสเปน แต่ความเป็นจริงไม่ได้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ประเทศเปรูปฏิบัติต่อชาวอินเดียนแดงอย่างเลวร้ายพอๆ กับที่ประเทศแอฟริกาใต้ปฏิบัติต่อคนผิวดำ ภาษาสเปนเป็นภาษาเดียวที่สอนในสถานศึกษา เป็นภาษาเดียวที่ผู้พิพากษา ตำรวจและข้าราชการเข้าใจ จริงอยู่ภาษาสเปนไม่ใช่ภาษาเดียวที่เราได้ยินในโทรทัศน์ --เพราะยังมีภาษาอังกฤษอีกภาษาหนึ่ง

- ห้าปีที่แล้ว เจ้าหน้าที่ทะเบียนราษฎร์ในกรุงบัวโนส ไอเรส เมืองหลวงของอาร์เจนตินา ไม่ยอมบันทึกสูติบัตรของเด็กคนหนึ่ง พ่อแม่ของเด็กเป็นชาวพื้นเมืองแห่งเมืองฮูฮุย ต้องการตั้งชื่อลูกตนเองเป็นภาษาพื้นเมืองว่า คอรี รามานชา เจ้าหน้าที่ทะเบียนชาวอาร์เจนตินาไม่ยอมรับ"ภาษาต่างด้าว"เช่นนั้น

ชาวอินเดียนแดงในอเมริกาต้องมีชีวิตเหมือนถูกเนรเทศในดินแดนของตัวเอง ภาษาของพวกเขาไม่ใช่สัญลักษณ์แสดงเอกลักษณ์ แต่เป็นตราบาปหรือไม่ก็คำสาป ภาษาของชาวอินเดียนแดงไม่ได้บอกว่าคนพูดเป็นใคร แต่กลายเป็นการตีตราบาป เมื่อชาวอินเดียนแดงไม่พูดภาษาตัวเอง พวกเขาก็จะเปลี่ยนเป็น"มีอารยธรรม"

สมัยผมเป็นเด็กนักเรียนในอุรุกวัย เขาสอนผมว่า ประเทศของเราได้รับการช่วยเหลือให้รอดพ้นจาก "ปัญหาคนพื้นเมือง" ด้วยฝีมือของแม่ทัพนายกองในศตวรรษที่ผ่านมา ซึ่งช่วยกันกำจัดชาวเผ่าชารัวส์ (คนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในเขตริโอ เดอ ลา พลาตา) จนสิ้นซาก

ปัญหาคนพื้นเมือง
ชาวอเมริกันกลุ่มแรกสุด ซึ่งเป็นผู้ค้นพบทวีปอเมริกาที่แท้จริงกลับเป็นตัวปัญหา เพื่อจัดการกับปัญหานี้ ชาวอินเดียนแดงต้องหยุดทำตัวเป็นชาวอินเดียนแดง ต้องถูกกำจัดให้สิ้นซากจากแผนที่ หรือไม่ก็ต้องกำจัดจิตวิญญาณความเป็นอินเดียนแดง มีทางเลือกแค่สองทางคือ กำจัดทิ้ง ไม่อย่างนั้นก็ต้องกลืนเป็นพวกเดียวกัน ต้องฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ไม่อย่างนั้นก็ต้อง "ฆ่าความเป็นอื่น"

เดือนธันวาคม 1976 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของบราซิลประกาศชัยชนะว่า "ปัญหาคนพื้นเมืองจะได้รับการแก้ไขอย่างเบ็ดเสร็จ" ภายในสิ้นศตวรรษที่ยี่สิบ นับจากนี้ ชาวอินเดียนแดงทั้งหมดจะถูกกลืนกลายเข้าสู่สังคมบราซิลและจะไม่เป็นอินเดียนแดงอีกต่อไป ท่านรัฐมนตรีอธิบายว่า หน้าที่หลักขององค์กรชาวอินเดียนแดงที่รัฐบาลตั้งขึ้น ซึ่งมีหน้าที่ปกป้องชาวอินเดียนแดง (มีชื่อว่า กองทุนอินเดียนแดงแห่งชาติ) มีจุดประสงค์เพื่อทำให้ชาวอินเดียนแดงหมดไป

การรุกรานผืนป่าอเมซอนโดยภาคธุรกิจที่โลภมากอยากได้สินแร่และไม้ มักมีบางอย่างมาด้วยเสมอเช่น ลูกปืน ลูกระเบิด อาหารผสมยาพิษในรูปของแจก การทำให้แหล่งน้ำเป็นพิษ การทำลายป่าไม้และการแพร่กระจายโรคร้ายซึ่งชาวอินเดียนแดงไม่รู้จักมาก่อน แต่การคุกคามที่มีมายาวนานและร้ายกาจขนาดนี้ยังไม่พอ ยังมีความพยายามทำให้ชาวอินเดียนแดงที่ยังเหลืออยู่ กลายเป็นคนเมืองเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นคนป่าเถื่อน วิธีนี้เป็นอาวุธที่ขาดเสียมิได้ ถ้าต้องการกำจัดอุปสรรคที่ยังเหลือ ซึ่งกีดขวางเส้นทางพิชิตทวีปอเมริกา

เฮนรี่ แพรท ที่ปรึกษาชาวอเมริกันผู้เคร่งศาสนาแนะนำให้ "ฆ่าอินเดียนแดงแล้วช่วยคนไว้" หลายปีต่อมา มาริโอ วาร์กาส โญซ่า นักเขียนนวนิยายชาวเปรูอธิบายว่า วิธีการเดียวที่จะแก้ปัญหาได้คือ การเปลี่ยนชาวอินเดียนแดงล้าหลังให้เป็นคนสมัยใหม่ แม้จะต้องแลกมาด้วยการทำลายวัฒนธรรมอินเดียนแดง ทั้งนี้เพื่อช่วยให้คนเหล่านั้นรอดพ้นจากความหิวโหยและความยากจน

การล้างบาปที่ทารุณโหดร้าย
การล้างบาป สาปให้ชาวอินเดียนแดงทำงานแต่เช้าตรู่จนค่ำมืดในเหมืองแร่และในพื้นที่เพาะปลูก แลกกับค่าจ้างแทบไม่พอซื้ออาหารกระป๋องเลี้ยงสุนัข การช่วยเหลือชาวอินเดียนแดงยังรวมถึงการทำลายชุมชนให้แตกสลาย แล้วจับพวกเขาโยนเข้าเมืองมหาภัยไปเป็นแรงงานราคาถูก เพื่อให้ชาวอินเดียนแดงเปลี่ยนภาษา เปลี่ยนชื่อและการใช้ชีวิต ทำให้ชาวอินเดียนแดงกลายเป็นขอทาน ขี้เหล้าและโสเภณี

นอกจากนั้น การช่วยเหลือชาวอินเดียนแดงยังหมายถึงการจับคนพวกนี้แต่งเครื่องแบบ มีปืนยาวสะพายบ่า แล้วส่งไปฆ่าชาวอินเดียนแดงด้วยกันเอง หรือไม่ก็ให้ไปตายเพื่อปกป้องระบบที่ทำร้ายชีวิตพวกเขา ชาวอินเดียนแดงใช้เป็นเป้าระเบิดได้อย่างดี ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง พวกเขาถูกส่งไปรบ 25,000 คน เสียชีวิตไปถึง 10,000 คน

16 ธันวาคม 1492 โคลัมบัสเขียนอธิบายในสมุดบันทึกว่า อินเดียนแดงเหมาะสำหรับ "รับคำสั่งและทำงาน ให้เพาะปลูกและทำงานอื่นๆ ตามต้องการ ให้สร้างเมืองและให้เรียนรู้วิธีสวมเสื้อผ้า และเรียนรู้วัฒนธรรมของเรา". การกดขี่ทางกาย การปล้นเอาจิตวิญญาณ เมื่อพูดถึงการกระทำสองอย่างนี้ มีการใช้คำกริยาว่า "ลดทอน" (ภาษาสเปนคือคำกริยาว่า reducer) อยู่ตลอดเวลา ชาวอินเดียนแดงที่ได้รับการช่วยเหลือถูกลดทอนลง เขาหรือเธอเหล่านั้นถูกลดทอนลงเรื่อยๆ กระทั่งสูญหายไป จนหมดสิ้นความเป็นตัวเอง จนไม่เหลือความเป็นอินเดียนแดง กลายเป็นคนไร้ตัวตน

หมอผีของชาวอินเดียนเผ่าชามาโคคอส ในประเทศปารากวัย ร้องเพลงเกี่ยวกับดวงดาว แมงมุมและทอทิลลา ผู้ร่ำไห้เร่ร่อนอยู่ในป่า หมอผีเล่าสิ่งที่นกกินปลาเคยบอกว่า "ขออย่าได้ทุกข์เพราะไม่มีกิน ขออย่าได้ทุกข์เพราะไม่มีน้ำดื่ม ขึ้นมาบนปีกของข้าเถิด เราจะไปกินปลาที่แม่น้ำและดื่มกินสายลมด้วยกัน" หมอผีร้องเพลงที่สายหมอกเคยบอกว่า "ข้ามาเพื่อให้ความเย็นเยือกหดหาย ให้สูเจ้ามนุษย์ทั้งหลายสิ้นทุกข์จากความเหน็บหนาว". หมอผีร้องเพลงที่ม้าอาชาแห่งท้องฟ้าเคยพูดว่า "เราจะควบไปด้วยกันเพื่อตามหาสายฝน"

แต่คณะหมอสอนศาสนาคริสต์ นิกายอีแวนเจลิคัล บีบบังคับให้หมอผีคนนี้ทิ้งขนนก เครื่องเป่าและคำสวด เพราะ "สิ่งเหล่านั้นมาจากปีศาจร้าย". หมอผีต้องไม่รักษาแผลงูกัด ไม่ขอฝนเมื่อเกิดความแห้งแล้ง ไม่เดินทางไปที่ต่างๆ เพื่อร้องเพลงเกี่ยวกับสิ่งที่เขาเห็น. ในขณะสนทนากับทิซิโอ เอสโคบาร์ หมอผีเผ่าชามาโคคอส ปรารภว่า "เมื่อข้าเลิกร้องเพลง ข้าก็ป่วย ความฝันของข้าไม่มีที่ไปจึงย้อนกลับมาทำร้ายตัวข้า ตอนนี้ข้ารู้สึกแก่ชราและเป็นทุกข์ สุดท้ายแล้ว การที่ข้าละทิ้งสิ่งที่เคยเป็นของข้า มันดีต่อข้าตรงไหนหรือ?"

เหตุการณ์นี้เกิดเมื่อปี 1986 ใน ค.ศ. 1614 อาร์คบิช็อปแห่งลิม่า สั่งการให้เผาปี่เควนาส (ปี่อินเดียนแดง)และเครื่องดนตรีอื่นๆ ของชาวอินเดียนแดงทั้งหมด อีกทั้งยังสั่งห้ามไม่ให้มีการเต้นรำ ร้องเพลงและประกอบพิธีกรรมแบบอินเดียนแดง หากฝ่าฝืนมีโทษโบยหนึ่งร้อยแส้ โทษฐาน"สมคบกับมารร้าย". เพื่อแย่งอิสรภาพและทรัพย์สมบัติไปจากชาวอินเดียนแดง พวกเขาถูกแย่งสัญลักษณ์ที่แสดงความเป็นตัวตน ชาวอินเดียนแดงถูกห้ามไม่ให้ร้องเพลง ไม่ให้เต้นรำ ไม่ให้ฝันถึงเทพอันเป็นที่เคารพ แต่พวกที่ออกคำสั่ง (ชาวสเปน) กลับร้องเพลงและเต้นรำได้ อินเดียนแดงถูกตรึงกางเขนในนามของพระคริสต์ เพื่อไม่ให้ตกนรก ชนเผ่าที่นับถือผีสางต้องยอมรับพระวจนะของพระเจ้า

แน่นอน พระเจ้าของชาวคริสต์เป็นแค่ข้ออ้างของการปล้น ดังที่ท่านอาร์คบิช็อป เดสมอนด์ ตูตู แห่งประเทศแอฟริกาใต้เคยกล่าวไว้ว่า "ตอนที่พวกนั้นมา พวกเขามีคัมภีร์ไบเบิล ส่วนพวกเรามีที่ดิน พวกเขาบอกเราว่า 'จงหลับตาและภาวนาเถิด' และเมื่อพวกเราลืมตาขึ้น พวกเขามีที่ดิน ส่วนพวกเรามีคัมภีร์ไบเบิล"

รัฐสมัยใหม่ชอบใช้การศึกษาเป็นข้ออ้าง เพื่อช่วยชาวอินเดียนแดงให้พ้นจากความมืดมน คนป่าเถื่อนโง่เขลาพวกนี้ ต้องได้รับการอบรมให้มีอารยธรรม ทุกวันนี้ก็เหมือนที่เคยเป็นมาในอดีต ลัทธิเหยียดเชื้อชาติเสกให้การปล้นในยุคล่าอาณานิคม กลายร่างเป็นการสร้างความยุติธรรม ผู้อยู่ใต้อาณานิคมคือคนไม่เต็มคน รับรู้ได้แค่ความเชื่องมงาย ไม่รู้จักศาสนา รู้แค่เรื่องที่เล่าสืบกันมา แต่ไม่รู้จักวัฒนธรรม คนไม่เต็มคนพวกนี้ได้รับการสั่งสอนตามสมควร และค่าแรงอันน้อยนิดถือเป็นสิ่งตอบแทนที่เหมาะสมแล้ว การปล้นทั้งแบบยุคอาณานิคมเก่าและอาณานิคมสมัยใหม่ใช้แนวคิดเหยียดเชื้อชาติ เพื่อสร้างความชอบธรรม ละตินอเมริกาปฏิบัติต่อชาวอินเดียนแดง แบบเดียวกับที่ชาติมหาอำนาจปฏิบัติต่อละตินอเมริกา

กาเบรียล เรเน โมเรโน เป็นนักประวัติศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของโบลิเวีย เมื่อร้อยปีที่ผ่านมา. ทุกวันนี้ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในโบลิเวียยังตั้งชื่อตามชื่อของเขา ตัวแทนทางวัฒนธรรมของโบลิเวียผู้โด่งดังคนนี้เชื่อว่า "ชาวอินเดียนแดงเป็นลาที่จะออกลูกเป็นล่อถ้าสืบพันธ์กับคนผิวขาว" เขาชั่งน้ำหนักสมองของคนพื้นเมืองกับสมองพวกลูกครึ่ง แล้วบอกว่า สมองคนสองจำพวกนี้มีขนาดเล็กกว่าสมองคนผิวขาวประมาณ ห้า หกหรือเจ็ด ออนซ์ เขาจึงสรุปว่า ชาวอินเดียนแดงพวกนี้ "โดยธรรมชาติในระดับเซลล์แล้ว ไม่มีทางเข้าใจอิสรภาพในระบอบสาธารณรัฐ"

ริคาร์โด พัลมา คนร่วมสมัยและเพื่อนร่วมงานชาวเปรู ของเรเน โมเรโน บันทึกไว้ว่า "อินเดียนแดงเป็นเผ่าพันธุ์ที่ต่ำช้าล้าหลัง" ส่วน โดมิงโก ฟอสติโน ซาร์เมียนโต ชาวอาร์เจนตินา ใช้คำพูดเพื่อกล่าวถึงชาวอินเดียนแดงเผ่าอารอคานอสที่ต่อสู้อย่างยาวนานเพื่ออิสรภาพว่า "คนพวกนั้นไม่รู้จักแพ้ชนะ พูดอีกทีก็คือดื้อแพ่ง ไม่คู่ควรกับการผสมกลมกลืนเข้ามาอยู่ในอารยธรรมยุโรป"

การเหยียดเชื้อชาติรุนแรง
การเหยียดเชื้อชาติที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ละตินอเมริกา สามารถพบได้ในคำพูดของนักปราชญ์เรืองนามหลายคนในช่วงปลายคริสตวรรษที่ 19 และพบได้จากพฤติกรรมของนักการเมืองเสรีนิยมผู้ก่อตั้งรัฐสมัยใหม่ ทั้งที่บางครั้งคนพวกนั้นก็มีเชื้อสายอินเดียนแดง เช่น พอฟิริโอ ดิอาซ ผู้วางรากฐานการพัฒนาทุนนิยมสมัยใหม่ในเม็กซิโก เขาออกคำสั่งห้ามชาวอินเดียนแดงไม่ให้เดินบนถนนสายหลัก หรือนั่งในสวนสาธารณะ จนกว่าจะเปลี่ยนกางเกงผ้าฝ้ายไปใส่กางเกงแบบชาวยุโรป และเปลี่ยนไปใส่รองเท้าหุ้มส้นแทนรองเท้าแตะ

ตอนนั้นเป็นสมัยที่ละตินอเมริกาเริ่มผูกติดกับตลาดโลก ที่อยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิอังกฤษ นั่นคือยุคสมัยของการดูถูกชาวอินเดียนแดง "อย่างเป็นวิทยาศาสตร์" เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการปล้นแผ่นดินและแรงงาน. ตัวอย่างเช่น ตลาดการค้าต้องการกาแฟและกาแฟก็ต้องการให้ฮุสโต รูฟิโน บาริโอส ประธานาธิบดีสายเสรีนิยมหัวก้าวหน้าของกัวเตมาลา นำวิธีบังคับเกณฑ์แรงงานยุคอาณานิคมกลับมาใช้อีก รวมทั้งยกดินแดนของชาวอินเดียนแดง และแรงงานชาวอินเดียนแดงที่มีอยู่มากมายให้สมัครพรรคพวกของตน. การเหยียดเชื้อชาติกลับมากำเริบหนักในหลายประเทศ เช่นในกัวเตมาลา ซึ่งชาวอินเดียนแดงยังเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศนี้ แม้จะถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หลายต่อหลายครั้งก็ตาม

กระทั่งปัจจุบัน ไม่มีที่ไหนอีกแล้วที่แรงงานได้ค่าจ้างแย่กว่านี้ ชาวอินเดียนแดงเผ่ามายาได้รับค่าแรง 0.65 เหรียญในการเก็บเมล็ดกาแฟหนึ่งร้อยกิโลกรัม เก็บฝ้ายหรือตัดอ้อยหนึ่งพันกิโลกรัม. ชาวอินเดียนแดงปลูกข้าวโพดไม่ได้ถ้ากองทัพไม่อนุญาต ไปทำงานที่ใดก็ไม่ได้หากไม่มีใบอนุญาตทำงาน. กองทัพบังคับเกณฑ์แรงงานจำนวนมากให้เพาะปลูกและเก็บเกี่ยวผลผลิตเพื่อการส่งออก. ในไร่เกษตรกรรมขนาดใหญ่ มีการใช้ยาฆ่าแมลงที่มีพิษร้ายแรงเกินกว่าระดับที่ยอมรับกันถึง 50 เท่า, น้ำนมมารดาจึงปนเปื้อนสารพิษมากที่สุดในซีกโลกตะวันตก

ในกัวเตมาลา มีการรับรองอย่างเป็นทางการให้นิคมของชาวอินเดียนแดงจำนวน 440 แห่งหายไปจากแผนที่ประเทศนี้นับตั้งแต่ปี 1981 ถึง 1983 ซึ่งเป็นช่วงรณรงค์กวาดล้าง ทำให้ชายหญิงนับหลายพันคนถูกสังหารหรือไม่ก็ "หายตัวไป" โดยไม่มีใครต้องรับโทษใดๆ ทั้งสิ้น ปฏิบัติการกวาดล้างในเขตภูเขา(ที่เรียกว่าปฏิบัติการ "ชำระล้างแผ่นดิน") ทำให้เด็กๆ ต้องตายอีกนับไม่ถ้วน ทั้งนี้เพราะกองทัพกัวเตมาลามั่นใจว่า เชื้อชั่วของการก่อกบฏถ่ายทอดได้ทางพันธุกรรม

แต่ เชื้อชาติที่ถูกกล่าวหาว่าต่ำต้อย ถูกสาปให้จมอยู่กับความชั่วร้ายและความเกียจคร้าน ไม่รู้จักระเบียบและความเจริญ ควรมีชะตากรรมที่ดีกว่านี้หรือไม่? ความรุนแรงเชิงสถาบันพร้อมที่จะขับไล่ความลังเลใจให้ปลาสนาการไป ทุกวันนี้ คอนควิสตาดอร์ (ชาวสเปนผู้ได้รับชัยชนะต่อเม็กซิโกและเปรู ในราวคริสตศตวรรษที่ 16) ไม่ได้ใส่ชุดเกราะ แต่สวมชุดเครื่องแบบทหารที่ใช้รบในสงครามเวียดนาม คนพวกนั้นไม่ได้มีผิวสีขาว แต่มีหลายเชื้อชาติปะปนกัน พวกเขาได้รับการฝึกมาอย่างโหดร้ายและมีหน้าที่ก่อกรรมทำเข็ญจนตัวตาย

ประมาณ 1200 ปีก่อนหน้านักคณิตศาสตร์ชาวยุโรป ชนชาติที่ต่ำต้อยค้นพบเลขศูนย์ พวกเขารู้อายุของจักรวาลอย่างแม่นยำจนน่าทึ่ง ก่อนหน้านักดาราศาสตร์ในยุคของเราถึงพันปี.

ชาวอินเดียนแดงเผ่ามายาเป็นนักเดินทางแห่งกาลเวลาเสมอมา พวกเขาชอบถามว่า "what is a man o the road? Time?"

คำประกาศของเฮนรี่ ฟอร์ด
กระนั้นก็ตาม ชาวอินเดียนแดงไม่รู้ว่าเวลาเป็นเงินเป็นทอง เหมือนดัง เฮนรี่ ฟอร์ด ประกาศให้เรารู้ เวลาเป็นรากฐานของพื้นที่ มันเป็นสิ่งที่ชาวอินเดียนแดงถือว่าศักดิ์สิทธิ์เสมือนลูกสาว, แผ่นดิน ลูกชายหรือมนุษย์. เวลาซื้อขายไม่ได้ เช่นเดียวกับผืนดินและมนุษย์ แต่อารยธรรมกลับพยายามสอนให้พวกเขาคิดเรื่องเวลาไปในทางตรงกันข้าม

ประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับใครเป็นคนเล่า สิ่งที่ชาวโรมันเรียกว่า "การรุกรานของคนป่าเถื่อน" เป็นสิ่งที่ชาวเยอรมันเรียกว่า "การอพยพลงใต้". กระทั่งทุกวันนี้ประวัติศาสตร์ทวีปอเมริกายังไม่ได้รับการบอกเล่าในแง่ที่ว่า ชาวสเปนเป็นผู้รุกราน ผู้นำทางจิตวิญญาณชาวอินเดียนแดงเผ่ามายาผู้หนึ่ง เคยกล่าวในนามของเทพเจ้าว่า "เมื่อหมดสิ้นความโลภ, ใบหน้า มือ และเท้าของโลกจะถูกปลดพ้นพันธนาการ" เมื่อปากไม่ถูกปิดกั้น ปากนั้นจะบอกเราเรื่องอะไร? เมื่อมีอิสระ เสียงที่ไม่เคยมีใครได้ยินเลย จะเอื้อนเอ่ยเรื่องใดกับเรา?

มุมมองของผู้รุกราน ซึ่งเป็นเพียงมุมมองเดียวที่รับรู้กัน ระบุว่า แบบแผนพฤติกรรมของชาวอินเดียนแดงคือหลักฐานแสดงการถูกภูตผีปีศาจครอบงำ หรือไม่ก็เกิดจากความต่ำต้อยทางชีววิทยา มุมมองเช่นนี้มีมาตั้งแต่ยุคแรกของการล่าอาณานิคม

- ชาวอินเดียนแดงแห่งทะเลแคริบเบียนฆ่าตัวตาย แทนที่จะยอมเป็นแรงงานทาส แสดงว่าคนพื้นเมืองเหล่านั้นเกียจคร้านสันหลังยาว

- ชาวอินเดียนแดงไม่สวมเสื้อผ้า โดยถือว่าร่างกายเป็นเหมือนใบหน้า แปลว่าคนพื้นเมืองพวกนี้ไร้ความอาย

- ชาวอินเดียนแดงไม่รู้จักสิทธิในทรัพย์สิน มีสิ่งใดก็แบ่งปันกันและไม่อยากได้ใคร่ดีกับความมั่งคั่ง
แปลว่าคนพื้นเมืองพวกนี้เหมือนลิงมากกว่าคน

- ชาวอินเดียนแดงชำระล้างร่างกายบ่อยเกินไป แสดงว่าคนพื้นเมืองพวกนี้คล้ายพวกชาวมุสลิมนอกรีต
ที่ควรถูกเผาในกองไฟของอัยการศาลศาสนา

- ชาวอินเดียนแดงไม่เคยทุบตีเด็ก ปล่อยให้เด็กมีอิสรภาพตามใจ แปลว่า คนพื้นเมืองพวกนี้ไม่รู้จักหลักการลงโทษ เป็นคนไร้กฎระเบียบ

- ชาวอินเดียนแดงเชื่อเรื่องความฝัน เชื่อฟังเสียงต่างๆ ที่ได้ยิน พฤติกรรมนี้แสดงว่าถูกอิทธิพลซาตานครอบงำ
หรือไม่ก็ทำเพราะโง่เขลาเบาปัญญา

- ชาวอินเดียนแดงกินอาหารเมื่อหิว ไม่กินเป็นเวลา แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า คนพื้นเมืองพวกนี้ไม่รู้จักควบคุมสัญชาตญาณของตนเอง

- ชาวอินเดียนแดงมีเพศสัมพันธ์เมื่อเกิดความต้องการ แปลว่ามารร้ายบงการให้คนพื้นเมืองพวกนี้กระทำบาปกำเนิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า

- ไม่มีการประณามพฤติกรรมรักร่วมเพศ ไม่มีการให้คุณค่าเป็นพิเศษแก่พรหมจรรย์
แปลว่าว่าคนพื้นเมืองพวกนี้กำลังเข้าแถวรอเข้าห้องพิพากษาโทษเพื่อลงนรก

เมื่อปี ค.ศ.1523 หัวหน้าเผ่าอินเดียนแดงแห่งนิคารากัวถามบรรดาคอนควิสตาดอร์ (conquistadores - หมายถึงชาวสเปนผู้มีชัยชนะต่อเม็กซิโกและเปรู ในราวคริสตศตวรรษที่ 16) ว่า "ใครกันที่เลือกผู้นำท่านเป็นกษัตริย์?" หัวหน้าเผ่าท่านนี้ได้รับเลือกจากกลุ่มผู้อาวุโสในเผ่า

ประชาธิปไตยยุคก่อนโคลัมบัส
อเมริกายุคก่อนโคลัมบัสกว้างใหญ่ไพศาลและมีประชาธิปไตยหลากหลายรูปแบบ ซึ่งยุโรปไม่เคยพบเห็นมาก่อน แม้แต่โลกปัจจุบันก็ไม่รู้จัก การลดทอนความจริงเกี่ยวกับชาวพื้นเมืองของอเมริกา ให้เหลือแค่ระบอบเผด็จการบ้าอำนาจของเจ้าผู้ปกครองอาณาจักรอินคา หรือพฤติกรรมโชกเลือดของราชวงศ์แอสเตค ก็เปรียบเหมือนกับการมองยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการในยุโรปว่า มีแค่ระบอบทรราชของราชวงศ์ หรือพิธีกรรมชั่วร้ายของศาลศาสนา

ยกตัวอย่างเช่น ในประเพณีของชาวอินเดียนแดงเผ่ากัวรินี หัวหน้าเผ่าจะได้รับการเลือกตั้งจากสภาที่มีทั้งหญิงและชาย และถูกถอดถอนได้หากไม่ทำตามหน้าที่. ในเผ่า อีโรควอย ชายและหญิงมีสิทธิทางการเมืองเท่าเทียมกัน หัวหน้าเผ่าเป็นผู้ชายก็จริง แต่ได้รับเลือกตั้งและถอดถอนได้โดยผู้หญิง ผู้หญิงมีอำนาจการตัดสินใจในแง่มุมต่างๆ ที่สำคัญของสมาพันธ์ชนเผ่าโดยอาศัย สภาแม่บ้าน. ประมาณ ค.ศ. 1600 เมื่ออินเดียนแดงผู้ชายเผ่า อีโรควอย ก่อสงครามเองโดยไม่ปรึกษา ผู้หญิงในเผ่าจึงประท้วงไม่ให้หลับนอนด้วย ไม่นานหลังจากนั้น ชายชาวอินเดียนแดงที่ถูกทิ้งให้นอนคนเดียว ก็พากันตกลงตั้งรัฐบาลร่วมหญิงชาย

เมื่อปี 1919 หัวหน้าเผ่าอินเดียนแดงบนเกาะแซนบลัส (ใกล้กับปานามา) ประกาศชัยชนะว่า "หญิงชาวอินเดียนแดงต้องเลิกสวมโมลาส (ชุดพื้นเมือง) และหันมาแต่งชุดตามแบบอารยชน". เขาประกาศด้วยว่า หญิงชาวอินเดียนแดงต้องเลิกทาสีที่จมูก แต่ให้ปัดแก้มแทน และเธอเหล่านั้นควรเลิกสวมห่วงทองที่จมูก โดยสวมแค่ต่างหูให้พอเหมาะเท่านั้น. 70 ปีต่อมาในยุคของเรา หญิงอินเดียนแดงเผ่าคุนายังคงสวมห่วงทองที่จมูก และสวมชุดประจำเผ่าที่ตัดเย็บจากผ้าหลากสีผสมผสานจินตนาการและความงามสุดพรรณนา ชุดที่เธอสวมประดับกายจะถูกฝังไปพร้อมกับร่างยามสิ้นใจ

ในปี 1989 ยุคที่เริ่มถูกสหรัฐรุกราน นายพลมานูเอล โนริเอกา ยืนยันกับชาวโลกว่า ประเทศปานามาเป็นประเทศหนึ่งที่เคารพหลักสิทธิมนุษยชน เขาอธิบายว่า เพราะ "พวกเราเป็นชนเผ่าพื้นเมือง".

เครื่องมือโบราณของอินเดียนแดงเผ่าต่างๆ แปรเปลี่ยนทะเลทรายในเทือกเขาแอนดีสให้อุดมสมบูรณ์ ส่วนเทคโนโลยีสมัยใหม่ของธุรกิจเกษตรเอกชน ที่ผลิตเพื่อการส่งออก ทำให้พื้นที่อุดมสมบูรณ์กลายเป็นทะเลทราย ทั้งในเขตเทือกเขาแอนดีส และที่อื่นๆ

คงเป็นเรื่องไร้เหตุผลที่จะกลับไปใช้เทคนิคการผลิตแบบห้าร้อยปีที่แล้ว แต่มันก็ไร้เหตุผลพอๆ กันที่จะมองข้าม หายนภัยที่เกิดจากระบบที่บังคับกดขี่คน ที่แผ้วถางทำลายป่าจนราบ ที่เหยียบย่ำทำร้ายผืนดินและทำให้แม่น้ำเป็นพิษ เพียงเพราะอยากสร้างความมั่งคั่งสูงสุดในเวลาที่สั้นที่สุด. นี่ไม่ใช่เรื่องไร้เหตุผลหรือ ที่เอาธรรมชาติและชีวิตคนไปเซ่นบนแท่นบูชา เพื่อสังเวยตลาดการค้าระหว่างประเทศ? มันเป็นความไร้เหตุผลของเรา กระนั้นเรากลับยอมจำนนว่า มันคือโชคชะตาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

สำนึกความเป็นชุมชน
สิ่งเรียกกันว่าวัฒนธรรมพื้นเมืองโบราณมักเป็นอันตราย ทั้งนี้เพราะมันทำให้คนที่ยึดถือมีสามัญสำนึก โดยธรรมชาติแล้ว สามัญสำนึกทำให้เรามีสำนึกถึงชุมชน ถ้าอากาศเป็นสมบัติของทุกคน ผืนดินจะเป็นทรัพย์สินส่วนตัวได้อย่างไร? ถ้าเราเกิดมาจากโลกและคืนสู่โลกเมื่อตายไป การก่อกรรมทำเข็ญกับโลกจะถือเป็นก่อกรรมทำเข็ญกับตัวเองหรือไม่? ผืนดินเป็นทั้งที่เกิดและที่ตาย เป็นทั้งแม่และเพื่อนร่วมชีวิต ผืนดินให้เรามีอยู่มีกิน เราต้องช่วยให้ผืนดินเป็นสุขและต้องปกป้องไม่ให้ผืนดินเสื่อมสลาย

ระบบรังเกียจสิ่งที่ตัวมันเองไม่เข้าใจ เพราะมันไม่ยอมรับสิ่งที่มันกลัว ไม่กล้าทำความรู้จัก การเหยียดเชื้อชาติจึงเป็นเหมือนหน้ากากปกปิดความกลัว.

เรารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับวัฒนธรรมของคนพื้นเมือง? เราเห็นป่าแล้วรู้อะไรเกี่ยวกับวัฒนธรรมในทวีปแอฟริกาบ้าง? ท่านอาจารย์ที่ชื่อทาร์ซาน สอนอะไรเราบ้าง?

เมื่อสิ้นสุดศตวรรษที่แล้ว นายแพทย์ชาวอังกฤษ จอห์น ดาวน์ ได้ค้นพบกลุ่มอาการชนิดหนึ่ง ที่ตั้งชื่อตามชื่อของนายแพทย์ผู้นี้ เขาเชื่อว่าความผิดปกติของโครโมโซมหมายถึง "การย้อนกลับไปเป็นเชื้อชาติที่ต่ำต้อยกว่า" ทำให้เกิดอาการปัญญาอ่อนแบบมองโกลอยด์, อาการปัญญาอ่อนแบบนิกรอยด์, และอาการปัญญาอ่อนแบบแอซเทค. ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น นายแพทย์ชาวอิตาเลียน เซซาเร ลอมโบรโซ เรียกพวกที่เขาเชื่อว่าเป็น "อาชญากรแต่กำเนิด" ว่ามีลักษณะของคนผิวดำและชาวอินเดียนแดง

ดังนั้น จึงมีการสรรหาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มารองรับอคติที่ว่า อินเดียนแดงและคนผิวดำมีแนวโน้มตามธรรมชาติที่ชอบก่ออาชญากรรม และบกพร่องด้านสติปัญญา. ชาวอินเดียนแดงและคนผิวดำซึ่งแต่เดิมเป็นเครื่องมือสำหรับใช้แรงงาน จึงกลายเป็นวัตถุทดสอบทางวิทยาศาสตร์ในเวลาต่อมา

เชื้อชาติผิวดำ
ในยุคเดียวกันกับนายแพทย์ลอมโบรโซ และนายแพทย์ดาวน์. ไรมุนโด นีนา โรดริเกซ นายแพทย์ชาวบราซิล(ซึ่งเป็นลูกครึ่งผิวดำ) สรุปการทดลองว่า "การผสมข้ามเผ่าพันธุ์ทำให้เกิดลักษณะของเชื้อชาติต่ำต้อย" ดังนั้น "เชื้อชาติผิวดำจึงเป็นปัจจัยประการหนึ่ง ที่ทำให้ชนชาติของเราต้องต่ำต้อยเสมอไป" จิตแพทย์ผู้นี้เป็นนักวิจัยคนแรกที่มีเชื้อสายแอฟริกันที่เกิดในวัฒนธรรมบราซิล เขาพยายามศึกษาความด้อยของคนดำเสมือนว่าเป็นผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษา โดยถือว่าศาสนาของคนผิวดำเป็นการบ่งถึงพยาธิวิทยา และการเต้นระบำในภวังค์ของคนผิวดำ เป็นสัญญาณที่บอกถึงอาการฮิสทีเรีย

ไม่นานหลังจากนั้น โฮเซ่ อินเจเนรีออส นายแพทย์ชาวอาร์เจนตินาผู้มีแนวคิดสังคมนิยม บันทึกว่า "คนผิวดำ ซึ่งเป็นเศษเดนที่น่ารังเกียจของเผ่าพันธุ์มนุษย์ มีความใกล้ชิดกับลิงมากกว่าที่จะเหมือนคนขาวผู้มีอารยธรรม" เพื่อสาธิตให้เห็นความต่ำต้อยที่แก้ไขไม่ได้ของคนผิวดำ นายแพทย์อินเจเนรีออส ระบุว่า "คนผิวดำไม่เคยมีความคิดเรื่องศาสนา"

ความจริง ความคิดเกี่ยวกับศาสนาข้ามทะเลมาพร้อมกับทาสผิวดำ เพียงแต่ความคิดทางศาสนาเหล่านี้ต้องหลบซ่อนอำพรางเป็นนักบุญผิวขาว ความคิดทางศาสนาที่อำพรางไว้นี่เองที่ช่วยคนหลายล้านคนที่ถูกฉุดคร่าอย่างทารุณมาจากแอฟริกา และถูกซื้อขายราวกับวัตถุให้อยู่รอดต่อไปได้. เทพโอกัมซึ่งเป็นเทพแห่งอัคคี แปลงกายเป็นนักบุญจอร์จ เป็นนักบุญแอนโธนี หรือไม่ก็เป็นนักบุญไมเกิล ขณะที่เทพแชงโกซึ่งมีเสียงฟ้าร้องและสายฟ้าเป็นอาวุธกลายเป็นพระเยซูคริสต์ และเทพโอชุน หรือเทพแห่งท้องน้ำที่เงียบสงบ กลายเป็นพระแม่ผู้บริสุทธิ์แห่งแสงเทียน

เทพเจ้าเหล่านี้เป็นสิ่งต้องห้ามในเขตอาณานิคมของจักรวรรดินิยมมหาอำนาจ หลังเลิกทาส ในทะเลแคริบเบียนที่อังกฤษปกครองอยู่ ข้อห้ามไม่ให้เล่นกลองหรือเครื่องเป่าแบบแอฟริกันยังคงบังคับใช้ นอกจากนั้น เพียงแค่ครอบครองภาพของเทพเจ้าแอฟริกัน ก็หมายถึงโทษจำคุกแล้ว

- ผิวสีดำคือเปลือกห่อหุ้มความผิดพลาดที่แก้ไขไม่ได้ ฉะนั้น ความไม่เท่าเทียมกันในสังคม ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับเชื้อชาติเช่นเดียวกัน จึงมีความไม่สมบูรณ์ของมนุษย์เป็นข้ออ้าง

- สองร้อยปีก่อน ฮุมโบลท์ บันทึกว่า ทั่วทั้งทวีปอเมริกามีลักษณะเป็นปิรามิดชนชั้นทางสังคม มีสีดำอยู่ตรงฐาน มีแสงสว่างอยู่ตรงยอด ตัวอย่างเช่น ที่ประเทศบราซิล ประชาธิปไตยแบบเชื้อชาตินิยมหมายถึง คนผิวขาวอยู่บนยอดสุดและคนผิวดำอยู่ล่างสุด

- เจมส์ บาลด์วิน เขียนเกี่ยวกับคนผิวดำในสหรัฐอเมริกาว่า "เมื่อเดินทางขึ้นเหนือ พวกเราคนผิวดำไม่ได้เจออิสรภาพ เราพบแต่งานที่เลวร้ายที่สุดในตลาดแรงงาน ถึงทุกวันนี้ เราหนีออกมาจากที่นั่นไม่ได้"

ชาวอินเดียนแดงจากตอนเหนือของอาร์เจนตินา อาซุนเซียง ออนติเวรอส ยูลกีลา หวนนึกถึงเหตุการณ์น่าคับข้องใจสมัยเป็นวัยรุ่นว่า "ผู้คนที่ถือว่ามีรูปกายงดงามเพียบพร้อมด้วยความดี ต้องมีรูปกายคล้ายพระเยซูและพระแม่มารีผู้ทรงพรหมจรรย์ แต่พ่อแม่ของข้าพเจ้าไม่มีภาพลักษณ์คล้ายพระเยซูและพระแม่มารี เหมือนที่ข้าพเจ้าเห็นในโบสถ์เมืองแอบรา แปมปา เอาเสียเลย"

คุณค่าพื้นฐานที่อนุรักษ์ไว้ได้อย่างน่าอัศจรรย์
ลัทธิลิขิตนิยมทางชีววิทยาสร้างตราบาปให้ "เชื้อชาติที่ด้อยกว่า" ตีตราว่าเชื้อชาติเหล่านั้นมีแต่ความเกียจคร้าน ความรุนแรง และความยากจนมาตั้งแต่เกิด ความเชื่อเช่นนี้ปิดกั้นเราไม่ให้เข้าใจต้นตอปัญหาที่แท้จริง นอกจากนี้ ยังทำให้เราไม่ยอมรับคุณค่าพื้นฐานของวัฒนธรรมที่ถูกรังเกียจ ทีได้รับการอนุรักษ์ให้อยู่รอดมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ แม้จะถูกกีดกัน เบียดเบียนและเหยียดหยามมานานนับหลายศตวรรษ คุณค่าพื้นฐานเหล่านี้ไม่ได้มีไว้จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ แต่เป็นตัวแปรทางประวัติศาสตร์ เป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างมากหากเราต้องการสร้างอเมริกาอีกแบบหนึ่ง ที่ไม่แบ่งแยกเป็นชนชั้นเจ้านายและชนชั้นทาส

ไม่นานมานี้ นักบวชนิกายเยซูอิต ชาวสเปน อิกนาซิโอ เอญาคูเรีย บอกข้าพเจ้าว่า เขาคิดว่าแนวคิดเรื่องการค้นพบอเมริกาเป็นเรื่องไร้สาระ ผู้กดขี่ไม่มีทางค้นพบอะไรได้ "ผู้ถูกกดขี่ต่างหากที่ค้นพบผู้กดขี่"

นักบวชท่านนี้เชื่อว่า ผู้กดขี่ไม่สามารถแม้แต่จะค้นพบตัวเอง ความเป็นจริงข้อนี้มีเพียงผู้ถูกกดขี่เท่านั้นที่รับรู้ได้.

อิกนาซิโอ เอญาคูเรีย ถูกกองทัพยิงเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1989.

ปัจฉิมลิขิต: ขอบพระคุณ คุณภัควดี วีระภาสพงษ์ ที่ให้คำแนะนำและตรวจแก้สำนวนให้กับผู้แปล

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++



ต้นฉบับภาษาอังกฤษ
Five Hundred Years of Plunder:
from Columbus to Corporate America

by Eduardo Galleano

On October 12, 1492, America discovered capitalism as Christopher Columbus, financed by the kings of Spain and the bankers of Genoa brought this novelty to the Caribbean islands. In his journal of the Discovery, the Admiral employs the word "gold" 139 times and the words "God" or "Our Lord" 51. These unspoilt beaches filled him with tireless enthusiasm and on November 27 he prophesied that "all Christendom will do business here". In that at least he was right. He may have believed that Haiti was Japan and that Cuba was China and that the inhabitants of China were the Indians of India, but about the business side of things he made no mistake.

After five centuries of business-like activity on the part of all Christendom a third of the American forests have been destroyed, a significant part of the previously fertile land is sterile and more than half the population eats only one meal a day. The Indians, victims of the biggest expropriation in world history continue to be pushed off their last remaining lands and their identity is still denied. They are forbidden to live in their own way. At the outset the pillage and "othercide" was performed in the name of God; now it is done in the name of Progress.

However the outlines of another possible America - invisible to the existing America blinded by racism - shine through this forbidden and despised identity.

On October 12, 1492, Columbus wrote in his journal that he wanted to take some Indians to Spain "so that they can learn to speak". Five centuries later, on October 12, 1989, a United States' court declared Ladislao Pastrana, a Mixtec Indian from Mexico's Oaxaca region and an illegal agricultural worker in California "mentally retarded" because he could not speak proper Castillan (Spanish) and recommended that he be held for life in an asylum. Pastrana had difficulty understanding his Spanish-speaking interpreter and the psychologist diagnosed "intellectual deficiency". Finally, the anthropologists sorted things out; Pastrana expressed himself perfectly in his own language Mixtec, spoken by Indians with a 2000 year old cultural inheritance.

Paraguay speaks Guarani; this is a unique case in world history where the common national language is that of the conquered Indians. However, opinion polls reveal that the majority of Paraguayans think that whose who do not speak Spanish are "like animals".

One out of two Peruvians is Indian. According to the country's constitution, Quechua is a national language with the same status as Spanish. However reality does not conform to the constitution. Peru treats the Indians as South Africa treats blacks. Spanish is the only language taught in the schools, the only one understood by judges, police and officials; it is true that Spanish is not the only language heard on television - which also speaks English.

Five years ago, city registrars in the Argentine capital Buenos Aires refused to record the birth of a child. The parents, indigenous people from Jujuy wanted to give their child a first name from their language - Qori Wamancha. The Argentine registrars could not accept this "foreign name".
The Indians of America live in exile in their own land. Their language is not a sign of identity but a mark or a curse. It does not say who a person is, it brands them. When Indians give up their language, they start to become "civilised".

When I was a child I was taught in the Uruguayan schools that our country had been saved from the "native problem" thanks to the generals of the last century who wiped out the last Charruas (a people from the Rio de la Plata region).

The native problem. The first Americans, the continent's real discoverers are a problem. To get rid of the problem the Indians must stop being Indians. They must either be wiped off the map or their spirit must be wiped out; the alternatives are annihilation or assimilation, genocide or "othercide".
In December 1976, Brazil's interior minister announced triumphantly that "the native problem will be totally solved" by the end of the 20th century. By then all Indians would be properly absorbed into Brazilian society and would no longer be Indians. The minister explained that the task of the organisation officially entrusted with their protection (the national Indian Foundation) is to make them disappear.

The invasion of Amazonia by enterprises greedy for minerals and wood was accompanied by shots, dynamite, presents of poisoned food, the contamination of rivers, the destruction of forests and the spread of diseases unknown to the Indians. However this long and ferocious attack has not been enough. The domestication of the surviving Indians to save them from barbarism is also an indispensable weapon if all the remaining obstacles on the road of the Conquest are to be overcome.

"Kill the Indian and save the man" advised the pious American adviser Henry Pratt. Years later the Peruvian novelist Mario Vargas Llosa has explained that the only solution is to modernise the Indians even if this means that their culture has to sacrificed to save them from hunger and poverty.

The maelstrom of salvation
Salvation has condemned Indians to working from dawn to dusk in mines and on plantations for wages which are not even enough for a can of dog food. Saving the Indians also involves breaking up their communities and throwing them into the maelstrom of the cities as cheap labour, where they change their language, their name and their bearing and where they become beggars, drunks and prostitutes.

Then again, saving the Indians can mean putting them in uniform and sending them, rifle on their shoulder, to kill other Indians or die defending the very system that has repudiated them. Indians make good cannon fodder, of 25,000 mobilised during the Second World War, 10,000 died.
On December 16, 1492, Columbus explained in his journal that the Indians are there "to receive orders and to work, to sow and to do all that is necessary and to make cities and to learn to wear clothes and our customs".

Subjugation of the body; robbery of the soul. In speaking of this operation the verb "reduce to" (the Spanish verb reducir) appears all the time. The Indian saved has been reduced. S/he will be reduced until s/he disappears. Emptied of themselves, they are non-Indians, nobody.

The shaman of the Chamacocos Indians of Paraguay sings of the stars, the spiders and the mad Totila who wanders in the forests crying. He explains what the kingfisher says; "Do not suffer from hunger, do not suffer from thirst. Mount on my wings and we will eat the river fish and drink the wind". He sings about what the mist says: "I am coming to cut down the frost so that your people will not suffer from cold".

He sings about what the horses of the sky say: "We will saddle up and go to look for rain".
However the missionaries of an evangelical sect forced the shaman to abandon his feathers, tambourines and chants because "these things are from the devil"; he can no longer attempt to cure vipers' bites, bring rain in times of drought, not fly over the land to sing about what he sees. In a conversation with Ticio Escobar the shaman said; "I stopped singing and I fell ill. My dreams don't know where to go and they torment me. I am old and wounded. In the end what good has it done me to give up what belonged to me?"

That was in 1986. In 1614, the Archbishop of Lima had all the quenas (Indian flutes) and other Indian musical instruments burnt and prohibited all their dances, songs and ceremonies threatening with a hundred lashes for those who refused for "they are in league with demons".

To dispossess the Indians of their freedom and belongings they were deprived of their symbols of identity. They were forbidden to sing, dance and dream of their gods even it they themselves (the Spaniards) had been danced and sung about in the distant ndians have been and are crucified in the name of Christ: to save them from the hell the idolatrous pagans must receive the word.

Of course, the God of the Christians is an alibi for robbery. As South Africa's Archbishop Desmond Tutu put it: "They came; they had the bible and we had the land. They said to us: 'close your eyes and pray.' And when we opened our eyes, they had the land and we had the bible".

The modern state prefers the alibi of education. To save them from the darkness, the ignorant barbarians must be civilised. Today, as yesterday, racism transforms colonial robbery into an act of justice. The colonised is a subhuman, capable of superstition but not of religion, capable of folklore but not of culture; the subhuman gets the treatment s/he deserves adn the small value of their labour is appropriately rewarded. Colonial and neo-colonial pillage is justified by racism, Latin America treats the Indians in the same way as the great powers treat Latin America.

Gabriel Rene Moreno was one of Bolivia's most prestigious historians of the last century. To this day one of the country's universities bears his name. This illustrious representative of a nation's culture believed that "the Indians are donkeys who produce mules when they intermingle with the white race". He weighed native and mixed-race brains; these, his scales told him weighed five, six or seven ounces less than those of a white. He concluded that they were "cellularly incapable of grasping republican liberty".

Rene Moreno's Peruvian contemporary and colleague Ricardo Palma wrote that "the Indians are an abject and degenerate race". And the Argentine, Domingo Faustino Sarmiento used the following terms to describe the long struggle of the Araucanos Indians for their freedom: "They are more indomitable, that is to say more recalcitrant, and less apt for European civilisation and assimilation."

Violent racism
The most violent racism in the history of Latin America is found in the words of the most famous intellectuals of the end of the 19th century and in the deeds of the liberal politicians who founded the modern states. Sometimes they are of Indian origin, like Porfirio Diaz, the author of capitalist modernisation in Mexico who forbade Indians to walk in the main streets or sit in public parks unless they changed their cotton trousers for European style trousers and their sandals for shoes.
This was the period when Latin America became tied into the world market ruled over by the British Empire, an epoch of "scientific" contempt for the Indians which provided the excuse for the robbery of lands and labour.

The market demanded, for example, coffee and coffee demanded more then, for example, that Guatemala's liberal president, Justo Rufino Barrios, a progressive man, reintroduced colonial-style forced labour and offered his friends Indian land and abundant Indian labour.

The racism reached its paroxysm in countries such as Guatemala where the Indians remained in the majority despite the repeated waves of extermination.

To this day there is no worse paid workforce: Maya Indians get $0.65 for cutting a quintal of coffee or cotton or a tonne of sugarcane. The Indians cannot sow maize without military permission nor move elsewhere without a work permit. The army organises massive labour recruitment for the sowing and harvesting of products destined for export. In the plantations pesticides 50 times more toxic than tolerable limits are used; mothers' milk is the most contaminated in the Western world.
In complete impunity, it is officially recognised in Guatemala that 440 native settlements disappeared from the map between 1981 and 1983 in the course of a campaign of annihilation in which thousands of men and women were murdered or "disappeared". The cleanup in the mountains (operation "shaved earth") also led to the death of an incalculable number of children. The Guatemalan military are sure that the vice of rebellion is genetically transmitted.

But does this supposedly inferior race, condemned to vice and idleness, incapable of order and progress, deserve a better fate? Institutional violence is there to drive away any hesitation. Today's conquistadores no longer wear suits of armour but Vietnam war uniforms. They no longer have a white skin; they are mixed-race, brutally trained and obliged to carry out crimes that lead to their own death.

Some 1,200 years before Europeans mathematicians, this inferior race discovered the number zero. They knew the age of the universe with astonishing precision, a thousand years before the astronomers of our epoch.

The Mayas were always time travellers: "what is a man o the road? Time?"

Henry Ford's revelation
However they did not know that time is money, as Henry Ford revealed. Time, the foundation of space, seemed sacred to them like a daughter, the land, a son or a human being: like the land and like people time cannot be bought and sold. Civilisation has been doing its best to teach them otherwise.

History changes depending on who is telling the story. What for the Romans were "barbarian invasions" were for the Germans "southward emigration".

Until now the history of the Americas has not been told by the the Spanish conquest a Maya prophet, speaking in the name of the gods announced: "when greed comes to an end, the face, the hands and the feet of the world will be released". And when the mouth is released, what will it say? What will this other voice that has never been heard say?

From the point of view of the conquerors - until now the only point of view presented - the morals of the Indians have always been taken as proof of their possession by demons or of their biological inferiority. This had been the case from the first days of colonialism.

The Indians of the Caribbean killed themselves rather than do slave labour. This proved that they were lazy.

They went naked as if their body was their face. This showed that they were without shame.
They did not know about property rights, they shared everything and lacked the lust for wealth. This was because they were more like monkeys than humans.

They washed too often. This suggested a resemblance to the infidel Muslims, burned by the fires of the Inquisition.

They never hit their children and left them in freedom. They did not know how to administer punishment and lacked any doctrine.

They believed in dreams and obey voices. This is the influence of Satan or perhaps pure stupidity.
They ate when they were hungry and not at the proper mealtimes. Clearly, they have no control over their instincts.

They make love when they feel desire. Here it is the Devil impelling them to repeat original sin.
There is no stigma on homosexuality or special value put on virginity. This is because they line the antechamber to hell.

In 1523, the Indian chief Nicaragua asked the conquistadores, "and who elected your king?" He had been elected by the community elders.

Pre-Columbian democracy
Pre-Columbian America was vast and diverse with forms of democracy that Europe has never seen and that the world does not know even today. To reduce the reality of native America to the despotism of the Inca emperors or the bloody practices of the Aztec dynasty would be like seeing in the European Renaissance only the tyranny of its monarchs or the sinister ceremonies of the Inquisition.

In Guarini tradition, for example, the chiefs are elected by assemblies of women and men - and they are chucked out if ir mandate. Among the Iroquois, men and women govern on an equal footing. Chiefs are men, but they are elected and deposed by women. Via the Council of Matrons they have decision-making power over the essential aspects of the life of the confederation. Around 1600 when the Iroquois men launched a war on their own initiative, the women staged a love strike. Shortly afterwards, the men, obliged to sleep alone, submitted to joint government.

In 1919, the Indian chief on the island of San Blas (near Panama) announced his triumph: "The Indian women no longer wear their (traditional) molas but civilised dresses".

He also announced that the women no longer painted their noses but their cheeks, as they should and that they no longer wore gold rings in their noses but in their ears, as was proper.

70 years after this the Kuna Indian women of our day still wear nose rings and wear their molas made of multi-coloured cloth blended with extraordinary imagination and beauty and are buried in them when they die.

In 1989, on the eve of the US invasion, General Manuel Noriega assured the world that Panama was a country that respected human rights. "We are a tribe", he explained.

The primitive tools of the Indian communities rendered fertile the deserts of the Andes chain. The modern technologies of the big private export-oriented estates have made deserts out of fertile lands, in the Andes and elsewhere.

It would be absurd to retreat five centuries in terms of productive techniques, but it is equally absurd to overlook the catastrophes produced by a system which forces human beings, razes the forests, violates the land and poisons the rivers to obtain the maximum wealth in the minimum time. Is it not absurd to sacrifice nature and people on the altar of the international market? This is our absurdity - and we accept it as if it were fate.

A sense of community
So-called primitive cultures are always dangerous because they retain their common sense. Common sense, by a natural extension, gives us a sense of community. If the air belongs to all, how can the land be private property? If we come from the earth and return to it, is it not a crime against the earth a crime against us? The land is birthplace and tomb, mother and companion. It receives the first mouthful and we give it rest and protect it from erosion.

The system despises what it doesn't understand because it refuses to recognise what it fears to know. Racism is thus also a mask for fear.

What do we know about the native cultures? What we see in Wild we know of the African cultures? What we have been told by Professor Tarzan.

At the end of the last century an English doctor John Down identified the syndrome that bears his name. He believed that the alteration of the chromosomes implied "a return to inferior races" producing mongoloid idiots, negroid idiots and aztec idiots.

At the same time an Italian doctor, Cesare Lombroso gave the "born criminal" the features of blacks and Indians.

Thus the prejudice that Indians and blacks were naturally inclined to crime and mental deficiency was fitted out with a scientific basis. Indians and blacks, traditionally instruments of labour became objects of science.

In the epoch of Lombrosos and Down a Brazilian doctor Raimundo Nina Rodrigues (who was a mulatto) came to the conclusion that "the mixing of blood perpetrates the character of the inferior races" so that "the black race will always be a factor in our inferiority as a people". This psychiatrist was the first researcher of African origin into the Brazilian culture. He studied the latter as if it were a clinical case - with the black religions as a pathology, its trances a sign of hysteria.

Shortly after, an Argentine doctor, the socialist Jose Ingenerios wrote that "the blacks, ignominious slag of the human race are closer to apes than to civilised whites". To demonstrate their irremediable inferiority Ingenerios stated that "the blacks have no religious ideas".

In fact, religious ideas crossed the sea with the black slaves. They had to take refuge under the guise of white saints where they survived to help millions of people violently torn from Africa and sold as things. Ogum, the god of fire, reappeared as Saint George, Saint Anthony or Saint Michael while Shango, with his thunder and lightening became Jesus Christ and Oshun, divinity of calm waters was the virgin of the candles.

These Gods were forbidden in the colonies of all the imperial powers. In the English Caribbean, after the abolition of slavery, it was still forbidden to play the tambour or African wind instruments and the mere fact of owning an image of any African god meant prison.

Dark skin was the cloak of in corrigible faults. Thus social inequality, which is also racial, is provided with an alibi by human imperfections.

Two hundred years ago Humboldt noted that the whole of America works like this: the pyramid of the social classes is dark at the base and light at the top. In Brazil for example racial democracy means that the whites are on the top and the blacks on the bottom.

James Baldwin wrote about the blacks in the United States: "When went north we did not find freedom. We found the worst jobs on the labour market and we are still there".

An Indian from northern Argentina, Asuncion Ontiveros Yulquila has recounted the trauma of his youth: "Good and beautiful people were those who looked like Jesus and the Virgin. But my father and mother did not in any way look like the images of Jesus nd the Virgin that I saw in the church at Abra Pampa".

Fundamental values miraculously preserved
Biological fatalism, which stigmatises the "inferior races", congenitally condemned to idleness, violence and poverty, does more than simply prevent us from seeing the real roots of our troubles. It also prevents us from recognising fundamental values miraculously preserved by these despised cultures and still more or less embodied by them despite centuries of persecution, humiliation and degradation. These fundamental values are not museum exhibits. They are historical factors, indispensable if we are to invent an America not divided into masters and slaves.

A short while ago, the Spanish Jesuit priest Ignacio Ellacuria told me that he thought the story of the discovery of America was absurd. The oppressor is incapable of discovery ": it is the oppressed who discovers the oppressor".

He believed that the oppressor cannot even discover himself. That reality also is only visible to the oppressed.

Ignacio Ellacuria was shot by the army in 1989.

 

คลิกไปที่ กระดานข่าวธนาคารนโยบายประชาชน

นักศึกษา สมาชิก และผู้สนใจบทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ก่อนหน้านี้ สามารถคลิกไปอ่านได้โดยคลิกที่แบนเนอร์



สารบัญข้อมูล : ส่งมาจากองค์กรต่างๆ

ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา 3
I สารบัญเนื้อหา 4 I สารบัญเนื้อหา 5 I สารบัญเนื้อหา 6
ประวัติ ม.เที่ยงคืน

สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง

webboard(1) I webboard(2)

e-mail : midnightuniv(at)gmail.com

หากประสบปัญหาการส่ง e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com

ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ทั้งหมด กว่า 1200 เรื่อง หนากว่า 20000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com

สมเกียรติ ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็บไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com