วิเคราะห์ร่างรัฐธรรมนูญปี
๕๐ ฉบับขุนนางรัฐประหาร
ปัญหาว่าด้วยหลักการสำคัญของรัฐธรรมนูญในฐานะกฎหมายสูงสุด
รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
บทวิเคราะห์ร่างรัฐธรรมนูญไทยปี
๕๐ นี้ นำมาจากบทถอดเทปของประชาไทออนไลน์
ซึ่งเป็นกิจกรรมทางวิชาการที่ร่วมกันจัดขึ้นโดย ภาควิชากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ร่วมกับ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ศูนย์ข่าวอิศรา และ มูลนิธิ
Friedrich Ebert Stifting
จัดการอภิปรายสาธารณะทางวิชาการ โครงการวิพากษ์ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ครั้งที่ ๑ เรื่อง ปัญหาหลักการพื้นฐานในร่างรัฐธรรมนูญฯ
ซึ่งมีวิทยากรร่วมอภิปราย ๓ ท่านคือ นิธิ เอียวศรีวงศ์,
รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ และ วรเจตน์ ภาคีรัตน์
เฉพาะบนหน้าเว็บเพจนี้มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนนำเสนอเฉพาะ
การวิเคราะห์ของท่านสุดท้าย
โดยมีประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้: วุฒิสมาชิกที่มาจากการแต่งตั้ง, องค์กรแก้วิกฤตชาติ,
การเปลี่ยนแปลงเรื่องการเลือกตั้ง, ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนิติรัฐ, อำนาจยุบสภา,
การนิรโทษกรรม
(midnightuniv(at)gmail.com)
บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา
ข้อความที่ปรากฏบนเว็บเพจนี้
ได้มีการแก้ไขและตัดแต่งไปจากต้นฉบับบางส่วน
เพื่อความเหมาะสมเป็นการเฉพาะสำหรับเว็บไซต์แห่งนี้
บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ ๑๒๔๘
เผยแพร่บนเว็บไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่
๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๐
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ
๑๐.๕ หน้ากระดาษ A4)
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วิเคราะห์ร่างรัฐธรรมนูญปี
๕๐ ฉบับขุนนางรัฐประหาร
ปัญหาว่าด้วยหลักการสำคัญของรัฐธรรมนูญในฐานะกฎหมายสูงสุด
รศ.ดร.วรเจตน์
ภาคีรัตน์
เวลาที่เราพูดถึงเรื่องการจัดทำรัฐธรรมนูญ จะมีหลักบางประการที่เป็นกรอบในการจัดทำรัฐธรรมนูญอยู่ การมีกรอบทำให้รัฐธรรมนูญร้อยเรียงเป็นระบบ และสามารถอธิบายได้อย่างเป็นเหตุเป็นผล สำหรับร่างรัฐธรรมนูญ 2550 เมื่อดูแล้วจะพบว่าในร่างรัฐธรรมนูญ 2550 มีปัญหาในแง่ของคำอธิบายเชิงหลักการหลายประการ ซึ่งผมจะขอตั้งข้อสังเกตในบางประเด็น
มีประเด็นที่ไม่มีการอภิปรายในการจัดทำรัฐธรรมนูญอยู่สองประเด็น
ซึ่งยุติและรับสืบเนื่องมาจากรัฐธรรมนูญฉบับเก่าๆ คือ 1. หลักของความเป็นรัฐเดี่ยว
และ 2. ความเป็นราชอาณาจักร. ซึ่งตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี 2475 ก็ไม่มีการอภิปรายกันอีกเลยจนถึงปัจจุบัน
ประเด็นหลักที่ต้องพูดกันเมื่อมีการทำรัฐธรรมนูญคือ 'อะไรคือเสาหลักที่ยึดโยงรัฐธรรมนูญเอาไว้แล้วให้รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ'
คำตอบก็คือ 'หลักประชาธิปไตย' และ 'หลักนิติรัฐ'
ผมจะชี้ให้เห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้อาจมีปัญหาในแง่คำอธิบาย ว่าสอดคล้องกับ 'หลักประชาธิปไตย' และ 'หลักนิติรัฐ' หรือไม่ และในที่สุดแล้ว ตัวรัฐธรรมนูญเองอาจมีปัญหากับเรื่องการคุ้มครองความเป็นกฎหมายสูงสุดของตัวรัฐธรรมนูญด้วย
ในแง่ของประชาธิปไตย เบื้องต้น หากเชื่อมโยงกับสิ่งที่ อ.นิธิ พูด (โปรดดูการอภิปรายของ อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ บทความ มเที่ยงคืนลำดับที่ 1246) จะพบว่า ร่างรัฐธรรมนูญปี 50 พยายามจะทำให้ 'การเมืองไม่เป็นการเมือง' ซึ่งต่อมาจากรัฐธรรมนูญ 40 แต่รุนแรงมากขึ้น ตัวอย่างสำคัญคือ ปัญหาที่มาของสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งขัดหรือแย้งกับหลักการของระบอบประชาธิปไตย
วุฒิสมาชิกที่มาจากการแต่งตั้ง
ในการกำหนดกลไกในทางการเมือง 'ที่มา' ย่อมสัมพันธ์กับ 'อำนาจหน้าที่' เวลาพูดถึงที่มาของหน่วยที่ใช้อำนาจทางการเมืองว่ามาจากไหน
ต้องอภิปรายว่า อำนาจหน้าที่เป็นอย่างไร และมีความจำเป็นในการจัดตั้งองค์กรนั้นเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญหรือไม่
ร่างรัฐธรรมนูญปี 50 ไม่มีการอภิปรายเรื่องอำนาจหน้าที่ของวุฒิสภา แต่ถอดแบบอำนาจหน้าที่ของวุฒิสภามาจากรัฐธรรมนูญ 40 อำนาจหลักของวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญ 40 ก็ถูกถ่ายโอนมาสู่ร่างรัฐธรรมนูญปี 50 แต่เปลี่ยนที่มาของวุฒิสมาชิกอย่างสิ้นเชิง จากที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งสามารถอธิบายตามระบอบประชาธิปไตยได้ กลายเป็นมาจากการสรรหา ซึ่งในความเป็นจริง การสรรหาสมาชิกวุฒิสภาอาจทำได้ ถ้าอำนาจหน้าที่ของวุฒิสมาชิกไม่ได้มีอำนาจในลักษณะที่ปรากฏอยู่ทั้งในรัฐธรรมนูญ 40 และ 50 นั่นคือ มีอำนาจถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง อำนาจในการให้ความเห็นชอบในการแต่งตั้งบุคคลเข้าสู่องค์กรอิสระ ตลอดจนอำนาจอื่นๆ เช่น อำนาจให้ความเห็นชอบการแต่งตั้งอัยการสูงสุดที่ไม่มีในรัฐธรรมนูญ 40 แต่มีในร่างรัฐธรรมนูญปี 50
เมื่อวุฒิสภาไม่ได้มาจากการเลือกตั้งแล้ว และมาใช้อำนาจในทำนองดังกล่าว ปัญหาใหญ่ก็คือ ไม่สามารถหาความยึดโยงหรือเชื่อมโยงกับประชาชนได้
องค์กรแก้วิกฤตชาติ
ปัญหาถัดไปคือ เรื่อง 'องค์กรแก้วิกฤตชาติ' ที่เป็นแนวความคิดที่อาจหารากฐานทางทฤษฎีและเหตุผลรองรับไม่ได้
เมื่อดูจากที่มาและอำนาจหน้าที่ ก็มีความไม่ชัดเจนอยู่มากในทางกฎหมาย องค์กรดังกล่าวที่ผู้ร่างรัฐธรรมนูญปี
50 คาดว่าจะมาแก้วิกฤต อาจทำให้เกิดวิกฤตเสียเอง หรืออาจทำให้วิกฤตินั้นรุนแรงมากขึ้น
เพราะกระบวนการในการบัญญัติรัฐธรรมนูญไม่สามารถตอบปัญหาได้ว่า เมื่อองค์กรเหล่านี้มีมติหรือแก้วิกฤตอย่างไรไปแล้ว
จะเกิดผลทางกฎหมายอย่างไร
การเปลี่ยนแปลงเรื่องการเลือกตั้ง
แต่ปัญหาใหญ่ที่สุดที่ผมมองเห็นในแง่ของหลักประชาธิปไตยคือ เรื่องระบบเลือกตั้ง
ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบ กับรัฐธรรมนูญ 40 จะพบว่า ในรัฐธรรมนูญ 50 เปลี่ยนแปลงระบบเลือกตั้งไปอย่างมาก
แม้ว่าดูผิวเผินแล้วอาจคล้ายคลึงกันก็ตาม
เป้าหมายของระบบเลือกตั้งใหม่ที่เห็นได้ชัดเจนคือ มุ่งหมายให้พรรคการเมืองอ่อนแรงลง ไม่ให้มีพรรคการเมืองขนาดใหญ่ และยังต้องการให้เกิดพรรคการเมืองหลายพรรคในระบบรัฐสภา. ถึงแม้ อ.รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ จะกล่าวไปแล้วว่าในทางเศรษฐศาสตร์ยังไม่มีข้อยุติตายตัวว่า ระบบสองพรรคหรือหลายพรรคระบบไหนดีกว่ากันก็ตาม (โปรดอ่านการอภิปรายของ อ.รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ ในบทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนลำดับที่ 1246. นั่นคือ ลักษณะสำคัญ 5 ประการของร่างรัฐธรรมนูญปี 50) แต่เมื่อวิเคราะห์ระบบเลือกตั้งกับหลักประชาธิปไตยจะพบปัญหาดังนี้
ในรัฐธรรมนูญปี 40 กำหนดให้มี ส.ส.500 คน แล้วแบ่งเป็นสองประเภท. 400 คนมาจากการเลือกตั้งแบบเขตที่กำหนดให้มี ส.ส.เขตละหนึ่งคน, อีก 100 คน มาจากบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองจัดทำขึ้นแล้วใช้เขตประเทศเป็นเขตเลือกตั้งในการลงคะแนน. ประชาชนก็จะมีสองคะแนนคือ เลือกคนในเขตเลือกตั้งหนึ่งคะแนน กับลงคะแนนให้พรรคอีกหนึ่งคะแนน. แม้ว่าระบบนี้อาจมีปัญหาในแง่ของความยุติธรรมในน้ำหนักของคะแนนเพราะระบบเลือกตั้งเสียงข้างมากครอบระบบปาร์ตี้ลิสต์ก็ตาม แต่เมื่อเปรียบเทียบกับระบบเลือกตั้งที่ปรากฏในร่างรัฐธรรมนูญปี 50 แล้ว ก็ยังดีกว่ามากในแง่ของหลักการประชาธิปไตย
ในร่างรัฐธรรมนูญปี 50 แม้ระบบเลือกตั้งจะคล้ายรัฐธรรมนูญปี 40 แต่การที่เขตเลือกตั้งไม่ได้เป็นเขตเดียวคนเดียว แต่เป็นเขตละไม่เกิน 3 คน หมายความว่าในแต่ละเขตอาจจะมี 1-2 คนก็ได้ เป็นการย้อนระบบการเลือกตั้งแบบเสียงข้างมากกลับไปก่อนปี 40. ขณะที่ระบบการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อหรือแบบสัดส่วนไม่ได้ใช้ประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง แต่แบ่งเป็นสี่ภาค แล้วกำหนดให้ในแต่ละภาคมี ส.ส.ได้ 20 คน ซึ่งกลับหลักที่ควรจะเป็น
โดยปกติการเลือกตั้งในระบบเสียงข้างมาก มักใช้ระบบเขตเดียวคนเดียว และ 'winner takes all' คือใครที่ชนะในเขตนั้นก็ได้เป็น ส.ส.ในเขตนั้น ขณะที่ในระบบสัดส่วนก็จะใช้วิธีการลงคะแนนให้กับบัญชีรายชื่อแล้วกระจายคะแนนไปตามจำนวน ส.ส. ที่จะพึงมี
ในร่างรัฐธรรมนูญปี 50 การเปลี่ยนเขตประเทศลงไปเป็น 4 ภาค ประสบปัญหาในการอธิบาย เนื่องจากการแบ่งภาคไม่ได้สะท้อนหรือตอบคำถามว่าผู้แทน 20 คนในแต่ละภาคนั้นแทนอะไร นอกจากนี้ ยังประสบปัญหาเรื่องจำนวนประชากรที่ไม่เท่ากันในแต่ละภาค ถ้าแบ่ง ส.ส.ให้เท่ากันภาคละ 20 คน การแบ่งภาคก็จะมีปัญหามาก อย่างเช่นภาคใต้อาจต้องขึ้นมาถึงเขตปริมณฑลกรุงเทพฯ เพื่อที่จะให้มี ส.ส.20 คนเท่ากับภาคอีสานหรือภาคเหนือ
ความจริงแล้วระบบแบ่งภาคตามสัดส่วน ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเท่ากัน เพราะจำนวน ส.ส. ต้องขึ้นอยู่กับจำนวนประชากรแต่ละภาค ถ้าจะแบ่งให้มี 4 ภาค จำนวน ส.ส.ก็ต้องไม่เท่ากัน ถ้าแบ่งในทำนองนี้อาจตอบคำถามว่า การแบ่งภาคเป็นการสะท้อนถึงวัฒนธรรมหรือผลประโยชน์ของแต่ละส่วน แต่เมื่อกำหนดให้แต่ละภาคมีจำนวน ส.ส.เท่ากัน หลายกรณีจะตอบปัญหาไม่ได้ เพราะคนที่เลือกบัญชีรายชื่อที่อยู่ปัตตานีก็ถูกบังคับให้เลือกบัญชีรายชื่อเดียวกันกับที่อยู่สุพรรณบุรี ถ้าจะแบ่งภาคให้เป็น 20 คนเท่ากัน
ส่วนการเลือกตั้งในระบบเสียงข้างมากที่แบ่งเป็นแบบเขตละไม่เกิน 3 คน นอกจากประสบปัญหาเรื่องการไม่สามารถอธิบายน้ำหนักของคะแนนของประชาชนที่ลงให้ในแต่ละเขตเลือกตั้งแล้ว ยังทำให้เกิดปัญหา 'เบี้ยหัวแตก' คือพรรคการเมืองจะได้ ส.ส.ที่กระจัดกระจาย และยังเกิดความไม่เท่ากันในแต่ละเขตเลือกตั้ง เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะแบ่งการเลือกตั้งในระบบเขตเลือกตั้งที่ใช้แบบเสียงข้างมาก ประชาชนแต่ละคนมี ส.ส.3 คนเท่ากันทั้งประเทศ เพราะในบางส่วนก็ใช้จังหวัดเป็นเขต
ผมมีความเห็นว่า การจัดระบบเลือกตั้งแบบนี้เป็นการกลับทิศทางที่ควรจะเป็น คือแทนที่ ส.ส. แบบสัดส่วนจะมาจากจำนวนประชากรที่ไม่เท่ากันในแต่ละภาค ผู้ร่างฯกลับทำให้แบ่งเป็น 4 ภาคโดยมี ส.ส.เท่ากัน ซึ่งบังคับให้คนที่อยู่ต่างถิ่น ต้องไปเลือกบัญชีรายชื่อ ส.ส.อันเดียวกัน ทั้งนี้อาจขาดความผูกพันหรือความเชื่อมโยงในทางวัฒนธรรม ขณะที่การเลือกแบบเสียงข้างมากซึ่งควรจะแบ่งเขตให้เท่ากันเพื่อให้เกิดความเสมอภาคในน้ำหนักของคะแนน ผู้ร่างกลับไปกำหนดให้เขตละไม่เกิน 3 คนและมีการกำหนดว่า อาจมีบางเขต 1 คนหรือบางเขต 2 คนได้
สรุปคือว่า เป็นระบบเลือกตั้งที่กลับทิศในแง่ของระบบเลือกตั้งทั่วไปที่ผมได้ศึกษามา
แนวนโยบายแห่งรัฐ
ปัญหาถัดไปคือเรื่องการกำหนดแนวนโยบายแห่งรัฐ ซึ่งผู้ร่างรัฐธรรมนูญมุ่งประสงค์ให้แนวนโยบายแห่งรัฐเป็นเจตจำนงเพื่อให้มีสภาพบังคับ
ให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการตรากฎหมายหรือกำหนดนโยบายให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้. ซึ่งต่างจากรัฐธรรมนูญ
40 ที่กำหนดไว้เป็นแนวทางการดำเนินการ ปัญหาคือ ถ้ารัฐบาลไม่ปฏิบัติตามแนวนโยบายแห่งรัฐ
จะก่อให้เกิดสิทธิแก่ประชาชนที่จะฟ้องร้องรัฐได้หรือไม่ ถ้าบทบัญญัตินี้เป็นการก่อตั้งสิทธิให้ประชาชนในการฟ้องร้องได้
ก็จะเกิดปัญหาตามมาในเรื่องความชัดเจนในการฟ้องร้องคดี และอาจเกิดการฟ้องร้องคดีมากเกินความจำเป็น
ปัญหาเกี่ยวกับเรื่อง
นิติรัฐ
ปัญหาถัดไปเกี่ยวพันกับเรื่องของ 'นิติรัฐ' ทั้งในแง่ของ
- หลักการแบ่งแยกอำนาจ
- ดุลยภาพในทางอำนาจ
- การได้สัดส่วนในการใช้อำนาจของรัฐ
ผู้ร่างรัฐธรรมนูญปี 50 พยายามจะบอกว่า มีการประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชนเอาไว้ดี และหลายเรื่องก้าวหน้ากว่ารัฐธรรมนูญปี 40 แต่ถ้าไปดูให้ละเอียดแล้วจะพบว่า มีบทบัญญัติบางมาตราที่ผู้ร่างอาจตั้งใจหรือไม่ก็ตามที่ทำให้มาตรฐานการคุ้มครองสิทธิบางเรื่อง ต่ำกว่ารัฐธรรมนูญปี 40
บทบัญญัติดังกล่าวปรากฏในมาตรา 29 ของร่างรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญ 40 มีการบัญญัติประกันการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ว่า ต้องใช้อำนาจให้ได้สัดส่วนหรือพอสมควรแก่เหตุ การใช้อำนาจของรัฐกระทำได้เท่าที่จำเป็น ซึ่งหมายความว่าอำนาจของรัฐไม่ได้จำกัดเฉพาะการตรากฎหมาย แต่หมายความรวมถึงการใช้อำนาจในทางบริหาร, ในทางปกครอง, และตุลาการ ว่ากระทำได้ตามที่จำเป็น และจะกระทบกระเทือนสาระสำคัญแห่งสิทธิเสรีภาพไม่ได้
แต่ในร่างรัฐธรรมนูญปี 50 ผู้ร่างปรับเปลี่ยนประเด็นตรงนี้ใหม่ เขียนเรื่องการใช้อำนาจเท่าที่จำเป็นผูกพันเฉพาะการใช้อำนาจนิติบัญญัติ ไม่ได้ผูกพันการใช้อำนาจเท่าที่จำเป็นกับอำนาจบริหารและตุลาการเอาไว้ ซึ่งอาจเป็นได้ว่า เมื่อเปลี่ยนวรรคแล้วผู้ร่างฯอาจไม่ได้ระมัดระวัง ซึ่งผมเห็นว่าบทบัญญัติมาตรา 29 ที่เป็นบทบัญญัติวางมาตรฐานใหม่เรื่องสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ 40 นั้นไม่ควรไปแตะเลย เพราะเป็นการวางมาตรฐานที่ดีอยู่แล้ว
ปัญหาใหญ่ของรัฐธรรมนูญปี 50 คือเรื่องหลักการแบ่งแยกอำนาจ ทั้งปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคณะรัฐมนตรีกับสภาผู้แทนราษฎร ปัญหาดุลยภาพทางอำนาจโดยเฉพาะอำนาจของบุคคลที่มาจากองค์กรตุลาการ
ถ้าดูความสัมพันธ์ของคณะรัฐมนตรีกับสภาผู้แทนราษฎรตามร่างรัฐธรรมนูญปี 50 จะพบความเปลี่ยนแปลงอันหนึ่งคือ ในรัฐธรรมนูญปี 40 บัญญัติให้ตำแหน่งรัฐมนตรีกับสภาผู้แทนราษฎรแยกขาดจากกัน หมายความว่า ใครที่เป็น ส.ส. เมื่อได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี ก็จะพ้นจากตำแหน่ง ส.ส.โดยอัตโนมัติ ขณะที่ในร่างรัฐธรรมนูญ 50 ไม่ได้ใช้หลักการเดิมอีกต่อไป เพราะเมื่อ ส.ส.ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีแล้วก็ยังคงเป็น ส.ส. อยู่ต่อไป
แต่ความประหลาดของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้คือ แม้รัฐมนตรียังเป็น ส.ส. อยู่ก็ตาม แต่ถ้ามีการลงมติในเรื่องที่เกี่ยวกับคณะรัฐมนตรี หรือตัวรัฐมนตรี รัฐมนตรีที่เป็น ส.ส.จะไม่สามารถลงมติในเรื่องนั้นได้ ซึ่งในแง่มุมนี้จะกระทบกับปัญหาเรื่องคะแนนเสียงในสภาผู้แทนราษฎร เช่น ถ้าพรรครัฐบาลและพรรคฝ่ายค้านมีจำนวน ส.ส.ไล่เลี่ยกันหรือเป็นรัฐบาลที่เป็นเสียงข้างมากที่ไม่ห่างกันมากนัก แล้วรัฐบาลตั้งคณะรัฐมนตรีจาก ส.ส.จำนวนหนึ่ง เมื่อมีการโหวตในเรื่องที่กระทบตัวบุคคลที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี คะแนนเสียงของรัฐบาลก็อาจไม่พอ เพราะคนที่เป็นรัฐมนตรีไม่สามารถใช้สิทธิโหวตในฐานะ ส.ส.ได้ ซึ่งหลักการแบบนี้ผมไม่เคยเห็น ที่เคยเห็นคือแบ่งขาดกันเลย คือเป็นรัฐมนตรีก็ขาดจากส.ส. หรือถ้าเป็นรัฐมนตรีแล้วเป็น ส.ส.ด้วย ถ้ามีการลงมติในฐานะ ส.ส.โดยทั่วไป ก็สามารถใช้อำนาจในฐานะผู้แทนปวงชนได้
อำนาจยุบสภาของนายกรัฐมนตรี
หรือ ส.ส.เสียงข้างมาก
ปัญหาใหญ่อีกอันหนึ่งที่มีบทเรียนมาแล้วแต่ไม่ถูกแก้ และอาจเป็นประเด็นย่อยๆ
ที่อาจตอบคำถาม อ.นิธิ ว่าการทำรัฐธรรมนูญอาจไม่ได้ดูปัญหาในอดีตทั้งหมด คือปัญหาอำนาจยุบสภาของนายกรัฐมนตรี
ตอนที่ คุณทักษิณยุบสภานั้น ก็มีคำถามว่าทำได้หรือไม่ และมีเหตุผลเพียงพอที่จะยุบสภาหรือไม่
ในอดีตที่ผ่านมา อำนาจยุบสภาเป็นอำนาจที่รัฐธรรมนูญให้เอาไว้กับนายกรัฐมนตรีโดยตลอดมา จริงๆ คือให้ไว้กับฝ่ายบริหาร แต่การยุบสภาต้องทำเป็นพระราชกฤษฎีกา หมายความว่าฝ่ายบริหารต้องนำความขึ้นกราบบังคมทูลแล้วมีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อยุบสภาแล้วผลที่เกิดโดยอัตโนมัติคือ สมาชิกภาพของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง พร้อมกับการสิ้นสุดลงของคณะรัฐมนตรีซึ่งจะกลายเป็นคณะรัฐมนตรีรักษาการ. ที่ผ่านมา การยุบสภาไม่มีเงื่อนไขทางกฎหมายบัญญัติหรือกำหนดเอาไว้ว่าจะทำได้ในกรณีใดบ้าง
ปัญหาที่เคยถกเถียงกันในอดีตคือ เราควรจะยอมให้การยุบสภาทำได้แบบที่เคยทำหรือไม่ ผู้ร่างรัฐธรรมนูญก็ไม่ได้มีการอภิปรายในประเด็นนี้ และรับเอาอำนาจยุบสภาที่เป็นมาแต่เดิมมาใช้ในร่างรัฐธรรมนูญปี 50 ทั้งที่ความจริงอาจต้องวิเคราะห์กันว่า การยุบสภาควรจะเป็นหนทางสุดท้าย และน่าจะมีการกำหนดเงื่อนไขการยุบสภาเอาไว้ให้ยากขึ้น หรืออาจต้องการกำหนดให้สภายุบตัวเองลงได้ ซึ่งในอดีตไม่เคยมี อันนี้อาจเป็นการปลดล็อกปัญหาทางการเมืองอีกลักษณะหนึ่ง
ถ้าตอบคำถามว่า ทำไมไม่ควรมี 'องค์กรแก้วิกฤติชาติ' ถ้าวิกฤติเกิดในทางการเมือง การเปิดช่องให้ ส.ส.เสียงข้างมากอาจจะมากถึงสองในสาม รวมกันยุบตัวเองลงเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนในการเลือกตั้งใหม่ อาจเป็นหนทางที่ดีในการแก้ปัญหาในทางการเมือง แต่ประเด็นเหล่านี้ก็ไม่ได้มีการอภิปรายกันในชั้นของการทำกฎหมาย ไม่ได้มีการอภิปรายว่าการยุบสภาของนายกฯนั้น ง่ายเกินไปหรือไม่ ทั้งที่ในหลายประเทศมีกฎหมายกำหนดเหตุเอาไว้ ถ้าสาเหตุการยุบสภาของนายกฯไม่เข้าข่ายกับเหตุที่กฎหมายกำหนด ก็อาจมีการฟ้องร้องคดีต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ ซึ่งนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะแก้ปัญหาวิกฤติทางการเมืองยังเป็นสิ่งที่ไม่ปรากฏในร่างรัฐธรรมนูญปี 50
องค์กรตามรัฐธรรมนูญ
ปัญหาอีกประการคือ ปัญหาเรื่องความหมายและสถานะขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ. รัฐธรรมนูญปี
40 ได้ตั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญขึ้นมาหลายองค์กร ซึ่งความไม่ชัดเจนขององค์กรตามรัฐธรรมนูญนั้นก็ปรากฏตั้งแต่การทำรัฐธรรมนูญ
40 องค์กรเหล่านี้ใช้อำนาจในลักษณะที่เป็นอำนาจทางบริหารและทางปกครองอย่างหนึ่ง
แต่ว่าไม่มีความเชื่อมโยงกับองค์กรอื่นใด
ในมาตรา 3 ที่ประกาศเรื่องการใช้อำนาจ โดยปกติจะเขียนว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า อำนาจองค์กรต่างๆ ของรัฐ ที่สุดต้องเชื่อมโยงกลับไปยังประชาชนโดยผ่านพระมหากษัตริย์ที่เป็นประมุขของรัฐ แต่ว่าองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญนั้นเป็นองค์กรที่ใช้อำนาจรัฐจริง แต่ขาดความเชื่อมโยงในประเด็นนี้ ผู้ร่างรัฐธรรมนูญก็ยังไม่ได้วิเคราะห์ถึงการใช้อำนาจขององค์กรอิสระเอาไว้อย่างชัดเจน แล้วยังคงปล่อยให้ปัญหานี้ที่เป็นปัญหาเรื้อรังมาจากรัฐธรรมนูญ 40 ดำรงคงอยู่ต่อไป มิหนำซ้ำ ในร่างรัฐธรรมนูญ 50 ยังมีบทบัญญัติหมวดหนึ่งชื่อว่า หมวดองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งแบ่งเป็นสองส่วนย่อยคือ องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ และองค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญ เช่น อัยการ
ผมพยายามตามความคิดของผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ก็ยังไม่เข้าใจว่า การแยกองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญกับองค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญใช้อะไรเป็นเกณฑ์ และเมื่อมีองค์กรสองแบบ ถ้าเกิดการขัดแย้งกันจะหาทางออกได้อย่างไร อันนี้ก็ไม่ปรากฏชัด แม้ว่าจะมีบทบัญญัติถึงกรณีที่องค์กรอิสระที่ไม่ใช่ศาลเกิดขัดแย้งกัน ก็เสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้
ปัญหาข้างหน้าที่จะต้องตีความกันต่อไปอีก อย่างเช่น อัยการซึ่งอยู่ในฐานะเป็นทนายแผ่นดินที่มีหน้าที่ฟ้องร้องคดีบางอย่าง เมื่อร่างรัฐธรรมนูญปี 50 กำหนดให้อัยการกลายเป็นองค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญ และให้อิสระ ให้อัยการสูงสุดมาจากการให้ความเห็นชอบจากวุฒิสภา ปัญหาต่อไปคือว่า ถ้ารัฐบาลต้องการฟ้องคดีแล้วอัยการไม่ฟ้อง อย่างนี้ถือว่าเป็นปัญหาเรื่องการขัดแย้งกันในเชิงอำนาจหรือไม่ แล้วใครจะเป็นคนชี้ขาดตัดสิน อันนี้อาจเป็นการเปลี่ยนโครงสร้างอย่างใหญ่หลวงในกระบวนการยุติธรรม ที่อาจจะต้องมีการอภิปรายถึงข้อดีข้อเสียให้ชัดเจนมากกว่านี้
ความสัมพันธ์ของระบบกฎหมายระหว่างประเทศ
กับกฎหมายภายใน
ปัญหาสำคัญถัดไปคือ เรื่องการคุ้มครองการเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ เรื่องนี้อาจเกี่ยวพันกับความสัมพันธ์ของระบบกฎหมายระหว่างประเทศกับกฎหมายภายใน
ปกติแล้วในระบบกฎหมาย ระบบกฎหมายระหว่างประเทศก็เป็นระบบหนึ่ง ระบบกฎหมายภายในก็เป็นอีกระบบหนึ่ง ระบบกฎหมายภายในก็มีกฎหมายรัฐธรรมนูญสูงสุดแล้วก็ครอบกฎหมายอื่นๆ ของรัฐ กฎหมายระหว่างประเทศก็เป็นอีกระบบหนึ่ง ในทางกฎหมายต้องมีการตอบคำถามว่า กฎหมายที่ใช้กันอยู่ระหว่างประเทศนั้นจะสัมพันธ์กับกฎหมายภายในอย่างไร
ระบบที่ประเทศไทยใช้มาตลอด ก็คือระบบที่เรียกว่าระบบทวินิยม หมายความว่าบรรดาอนุสัญญาต่างๆ ที่ประเทศไทยได้ไปตกลงทำกับต่างประเทศนั้น มันจะเข้ามามีผลเป็นระบบกฎหมายภายในได้ก็ต่อเมื่อ ต้องมีการตราพระราชบัญญัติอนุวัติการให้เป็นไปตามอนุสัญญาที่ได้ไปตกลงทำกับต่างประเทศนั้น ถ้ายังไม่มีการตรากฎหมายอนุวัติการ แล้วอนุสัญญานั้นเกิดกระทบสิทธิหน้าที่ของคนภายในประเทศ อนุสัญญานั้นก็ยังไม่มีผลภายในโดยตรง คือมันจะมีผลเมื่อผ่านการรับรองของรัฐสภา
แต่ว่าในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ในมาตรา 4 ที่ว่าด้วยเรื่องของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เราอ้างเรื่องพันธกรณีระหว่างประเทศที่ไทยมีอยู่ ก็มีการถกเถียงกันมากในหมู่นักกฎหมายระหว่างประเทศว่า ผู้ร่างรัฐธรรมนูญนั้นได้เปลี่ยนสถานะความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายระหว่างประเทศกับกฎหมายภายในไปแล้วหรือไม่. หลายคนอาจถามว่า มาตรา 4 นี้มาจากไหน ผมขอเล่าให้ฟังว่า
เดิมทีรัฐธรรมนูญปี 40 พูดถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค ก็ได้รับความคุ้มครอง แต่พอทำรัฐประหาร 19 กันยา ตอนที่มีการทำร่างรัฐธรรมนูญปี 49 ผู้ร่างรัฐธรรมนูญปี 49 นั้นอาจจะมีความมุ่งหมายด้วยเหตุที่มีการทำรัฐประหารอยากจะให้รัฐธรรมนูญ 49 ให้ดูดี ก็เลยเติมคำว่า 'พันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีอยู่' ลงไปด้วย ถ้าเกิดมีสิทธิอะไรก็ตามที่มันเกิดขึ้นระหว่างพันธกรณีระหว่างประเทศที่ไทยมีอยู่ ให้ประชาชนสามารถที่จะหยิบขึ้นอ้างได้
แม้ว่าผู้ร่างอาจจะมีความหวังดีก็ตามที่เติมส่วนนี้ลงไป แต่พอเข้าสู่ระบบที่มีรัฐธรรมนูญถาวรแล้ว มันไม่มีการอภิปรายถึงปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายภายในและกฎหมายระหว่างประเทศ ภายหน้าก็จะมีปัญหา เช่น สมมติว่าประเทศไปทำสัญญาเป็นภาคีสมาชิกในเรื่องแรงงาน คุ้มครองเด็กหรืออะไรก็ตาม แล้วพันธกรณีนั้นยังไม่ถูกทำให้เป็นกฎหมายภายใน คือยังไม่ผ่านสภา กรณีอย่างนี้ประชาชนจะหยิบเอาบทบัญญัติอันนี้ขึ้นอ้างได้เลยหรือไม่ นั่นเป็นปัญหาอันหนึ่ง มีสิทธิที่จะฟ้องร้องต่อศาลได้เลยหรือไม่ แล้วถ้าพันธกรณีที่เราไปทำนั้นเกิดมีปัญหาไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญขึ้นมา แล้วจะบังคับกันอย่างไร
ความสัมพันธ์ระหว่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
กับพระราชบัญญัติธรรมดา
อีกเรื่องหนึ่งที่มีความเปลี่ยนแปลงและจะกลายเป็นปัญหาตีความต่อไปข้างหน้าก็คือ
ความสัมพันธ์ระหว่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ กับพระราชบัญญัติธรรมดา. ในระบบกฎหมายที่ผ่านมานั้น
เวลาที่มีการทำตัวกฎหมายแม่บทที่เป็นพระราชบัญญัติ เราก็รับกันว่าพระราชบัญญัตินั้นมีสถานะในทางกฎหมายเท่ากัน
และตัวพระราชบัญญัติที่สภาตราขึ้นจะขัดหรือแย้งกับ รัฐธรรมนูญไม่ได้ หากขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญแล้วมีการฟ้องกันในศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่มีผลใช้บังคับ
เดิมทีรัฐธรรมนูญ 40 มีการพูดถึงพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญเหมือนกัน
แต่ว่ามีความไม่ชัดเจน เถียงกันในวงการนักกฎหมายเสมอว่า พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้นในทางกฎหมายมีลำดับชั้นเท่ากับพระราชบัญญัติธรรมดาหรือสูงกว่า
ซึ่งส่วนใหญ่เห็นว่ามันเท่ากัน และเวลาใช้กฎหมายก็ต้องใช้คู่ขนานกันไป.
ในร่างรัฐธรรมนูญปี 50 ผู้ร่างฯกำหนดให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญสูงกว่าพระราชบัญญัติธรรมดา
หลายคนอาจถามว่าสูงกว่าแล้วเกิดอะไรขึ้น ?
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ หลายฉบับเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่กำหนดอำนาจขององค์กรอิสระ ซึ่งอำนาจขององค์กรอิสระเหล่านี้ในหลายเรื่องก้าวล่วงไปกระทบกับสิทธิของประชาชน เช่น ถ้าต้องการขอข้อมูลข่าวสารกับองค์กรอิสระองค์กรหนึ่ง ก็อาจจะมีบทบัญญัติขององค์กรอิสระที่เป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่า การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารนั้นทำไม่ได้หากไม่ได้รับคำยินยอมของคณะกรรมการที่คุมองค์กรอิสระนั้นอยู่
ท่าน(ประชาชน)อาจจะอ้างว่า คณะกรรมการจะยอมหรือไม่ยอม คณะกรรมการต้องไปปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของทางราชการด้วย เพราะว่าเป็นกฎหมายฉบับหนึ่งที่มีสถานะเท่ากัน อันนี้ก็เป็นปัญหา แต่ในทางปฏิบัติทุกวันนี้ก็รับกันว่า ก็ต้องไปดูพระราชบัญญัตินั้น แล้วถ้าคุณจะไม่เปิดคุณต้องไปดูเหตุว่า เข้าเหตุที่มีสิทธิที่จะไม่เปิดหรือไม่ ไม่ใช่ว่าอ้างว่าเป็นอิสระแล้ว คุณจะปกปิดข้อมูลนั้นได้
เมื่อเขียนเช่นนี้ ทำให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญสูงกว่าพระราชบัญญัติธรรมดา ก็จะมีพระราชบัญญัติหลายเรื่องที่บัญญัติให้สิทธิคุ้มครองสิทธิให้ราษฎร ในขณะที่เรื่องนั้นไม่อยู่ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ แต่ตัวรัฐธรรมนูญนั้นจะบัญญัติให้อำนาจกับองค์กรอิสระ ถ้าเกิดข้างหน้ามีคนไปโต้แย้งการใช้อำนาจขององค์กรอิสระ ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ บรรดาองค์กรอิสระอาจจะอ้างได้ว่าตัวเองมีสถานะเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ แล้วอำนาจของตัวเองเกิดจากพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ อยู่เหนือกว่าพระราชบัญญัติธรรมดาซึ่งประกันคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของบุคคล
ยิ่งไปกว่านั้นอาจมีคนโต้แย้งต่อไปว่า พระราชบัญญัติธรรมดามันขัดกับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็ไม่ได้ให้ทางออกเอาไว้ว่า องค์กรใดจะเป็นองค์กรที่จะแก้ปัญหาดังกล่าวนี้
การนิรโทษกรรม
ประเด็นสุดท้ายที่จะกล่าวถึงก็คือเรื่องการนิรโทษกรรม ปัญหาเรื่องการนิรโทษกรรมที่ปรากฏอยู่ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้
จริงๆ แล้ว เวลาเราพูดถึงการนิรโทษกรรม หมายถึงการให้ลืมการกระทำบางอย่างในอดีตไปแล้วก็นิรโทษกรรมมัน
ถ้าเกิดเราอ่านบทบัญญัติเรื่องนิรโทษกรรมที่ปรากฏในร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 50 มาตรา
299 บอกว่า "บรรดาการใดใดที่รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับชั่วคราว
พ.ศ.2549 ว่าเป็นการชอบด้วยกฎหมายในรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับกรณีดังกล่าว
ไม่ว่าก่อนหรือหลังประกาศรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ให้ถือว่าการนั้นและการกระทำนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้"
ให้สังเกตข้อความที่ว่า "ให้ถือว่าการนั้นและการกระทำนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้" ถ้าลองตามไปดูรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 49 เราก็จะพบว่า บทบัญญัติมาตรา 36 นั้น เขียนรับรองเอาไว้ว่า "บรรดาประกาศและคำสั่งของคณะการปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หรือคำสั่งหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่ได้ประกาศคำสั่งระหว่างวันที่19 กันยา จนถึงวันที่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ไม่ว่าจะเป็นในรูปใด ไม่ว่าจะเป็นในรูปประกาศหรือบังคับใช้ในทางนิติบัญญัติ ทางบริหาร หรือทางตุลาการ ให้มีผลใช้บังคับต่อไป"
และวรรคนี้ "และให้ถือว่าประกาศหรือคำสั่งตลอดจนการปฏิบัติตามประกาศหรือคำสั่งนั้น ไม่ว่าการปฏิบัติตามประกาศหรือคำสั่งนั้น จะกระทำก่อนหรือหลังวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้เป็นประกาศหรือคำสั่งหรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมายและชอบด้วยรัฐธรรมนูญ"
ถ้าอ่านอีกแบบหนึ่ง สมมติถ้าเพิ่มคำเหล่านี้ลงไปจะเห็นว่าทำไมมีปัญหา "ให้ถือว่าประกาศหรือคำสั่งตลอดจนการปฏิบัติตามประกาศหรือคำสั่งนั้น แม้ว่าการปฏิบัติตามประกาศหรือคำสั่งนั้นเกิดขึ้นโดยทุจริต โดยไม่ถูกต้องหรือการบิดเบือนโดยใช้อำนาจ ให้ถือว่าประกาศหรือคำสั่งนั้นเป็นการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมายหรือชอบด้วยรัฐธรรมนูญ"
ถ้าจะอ่านเรื่องนิรโทษกรรมจะไม่เห็นภาพถ้าไม่เติมข้อความเหล่านี้ลงไป เช่น "ใช้อำนาจโดยไม่สุจริต, ใช้อำนาจโดยมีมูลเหตุจูงใจโดยทุจริต, ใช้อำนาจโดยบิดเบือนการใช้อำนาจ" ถ้าเติมคำนี้ลงไปรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็จะบอกว่า "ให้ถือว่าประกาศหรือคำสั่งนั้นชอบด้วยกฎหมาย"
จริงๆ การบัญญัติบทบัญญัติทำนองนี้เอาไว้ มันมีปัญหาเรื่องของความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ เพราะเวลาที่มีการทำรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่นั้น รัฐธรรมนูญได้ก่อตั้งระบบกฎหมายขึ้นใหม่ทั้งระบบ การกระทำอะไรก็ตามเมื่อเข้าสู่ระบบกฎหมายใหม่แล้ว ต้องถูกวัดโดยเกณฑ์หรือมาตรที่เกิดขึ้นตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพราะฉะนั้น อะไรที่ทำไปแล้วมัน 'ชอบ' ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะขัดต่อรัฐธรรมนูญ แต่ปัญหาตอนนี้อยู่ที่ว่าการกระทำที่มัน 'ไม่ชอบ' แล้วจะบอกให้มัน 'ชอบ' ถ้าตีความไปอย่างกว้าง มันก็อาจจะกระทบกับหลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ ทำให้เห็นว่ารัฐธรรมนูญนี้ไม่สูงสุดจริง เพราะมีข้อยกเว้นการกระทำในช่วงนี้ว่า แม้มัน 'ไม่ชอบ' ก็ให้ถือว่ามัน 'ชอบ' ตรงนี้อาจจะเป็นปัญหาในเชิงหลักการว่าเราจะยอมให้บทบัญญัติดังกล่าวอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับถาวรที่จะเกิดขึ้นจากการทำประชามติของประชาชนหรือไม่
เรื่องคำวินิจฉัยส่วนตัวของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
สุดท้ายที่จะตอบคำถามเรื่องว่า เราไม่เอาประสบการณ์ในอดีตมาทำรัฐธรรมนูญก็คือ
เรื่องของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ความจริงองค์การศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรที่สำคัญ
และเป็นองค์กรที่อาจจะชี้ทิศทางของการปฏิรูปการเมืองว่ามันจะไปในทิศทางไหน
ปัญหาข้อบกพร่องบางประกรที่ปรากฎอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับปี 40 เช่น ปัญหาที่ให้ตุลาการต้องทำคำวินิจฉัยส่วนตนทุกคนก่อนลงมติ แล้วให้ประกาศคำวินิจฉัยนั้นในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งเราเห็นตรงกันว่ามันไม่ช่วยอะไรเลย เพราะการเขียนคำวินิจฉัยส่วนตนนี้ ในทางวิธีพิจารณาก็ไม่มีใครเป็นตุลาการที่รับผิดชอบสำนวนคดีใดคดีหนึ่ง หลักสากลก็คือว่า เขาไม่บังคับให้ตุลาการทุกคนเขียนคำวินิจฉัย แต่จะมีตุลาการคนหนึ่งรับผิดชอบสำนวน แล้วมันจะสร้างความเชี่ยวชาญของตุลาการท่านนั้นในการวินิจฉัยปัญหาในทางรัฐธรรมนูญ แล้วเมื่อรับผิดชอบสำนวนแล้วก็ร่างคำวินิจฉัยนั้นเสนอต่อองค์คณะแล้วก็ประชุมปรึกษากัน แก้ถ้อยคำต่างๆ ในคำวินิจฉัยแล้วก็ประกาศคำวินิจฉัย
ในร่างรัฐธรรมนูญปี 50 ไม่ได้แก้ข้อบกพร่องตรงนี้ ยังไม่มีระบบตุลาการรับผิดชอบสำนวน ยังคงให้ตุลาการทุกคนทำคำวินิจฉัยส่วนตัวซึ่งก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย เพราะไม่มีใครไปอ่าน ระบบที่น่าจะเป็นประโยชน์มากกว่าก็คือ ระบบที่ไม่ต้องมีการทำวินิจฉัยส่วนตน แต่ให้มีตุลาการรับผิดชอบสำนวนแล้วถ้ามีตุลาการคนใดเห็นแย้งกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ก็ให้มีอำนาจในการทำความเห็นแย้งแนบไว้กับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญนั้น เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบ
การทำความเห็นแย้งประกบกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญตัวจริง เวลาที่ประกาศคำวินิจฉัยออกมา ต้องประกาศทั้งที่เป็นคำวินิจฉัยหลักที่เป็นคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ และความเห็นแย้งที่แนบมา ก็จะทำให้สาธารณะชนเห็นถึงเหตุผลของฝ่ายข้างมาก/ข้างน้อยว่าเป็นอย่างไร ก็เป็นเครื่องตรวจสอบการทำงานของศาลรัฐธรรมนูญอีกลักษณะหนึ่ง
คลิกไปที่ กระดานข่าวธนาคารนโยบายประชาชน
นักศึกษา
สมาชิก และผู้สนใจบทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ก่อนหน้านี้ สามารถคลิกไปอ่านได้โดยคลิกที่แบนเนอร์
ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา 3 I สารบัญเนื้อหา
4
I สารบัญเนื้อหา
5 I สารบัญเนื้อหา
6
ประวัติ
ม.เที่ยงคืน
สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง
e-mail :
midnightuniv(at)gmail.com
หากประสบปัญหาการส่ง
e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com
ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ทั้งหมด
กว่า 1200 เรื่อง หนากว่า 20000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com
สมเกียรติ
ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็บไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ
ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com
บรรณาธิการแถลง: บทความทุกชิ้นซึ่งได้รับการเผยแพร่บนเว็บไซต์แห่งนี้
มุ่งเพื่อประโยชน์สาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อวัตถุประสงค์ในการขยายพรมแดนแห่งความรู้ให้กับสังคมไทยอย่างกว้างขวาง
นอกจากนี้ยังมุ่งทำหน้าที่เป็นยุ้งฉางเล็กๆ แห่งหนึ่งสำหรับเก็บสะสมความรู้ เพื่อให้ทุกคนสามารถหยิบฉวยไปใช้ได้ตามสะดวก
ในฐานะที่เป็นสมบัติร่วมของชุมชน สังคม และสมบัติที่ต่างช่วยกันสร้างสรรค์และดูแลรักษามาโดยตลอด.
สำหรับผู้สนใจร่วมนำเสนอบทความ หรือ แนะนำบทความที่น่าสนใจ(ในทุกๆสาขาวิชา) จากเว็บไซต์ต่างๆ
ทั่วโลก สามารถส่งบทความหรือแนะนำไปได้ที่ midnightuniv(at)gmail.com
(กองบรรณาธิการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน: ๒๘ มกาคม ๒๕๕๐)
ร่างรัฐธรรมนูญปี 50 เปลี่ยนที่มาของวุฒิสมาชิก จากที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งสามารถอธิบายตามระบอบประชาธิปไตยได้ กลายเป็นมาจากการสรรหา ซึ่งในความเป็นจริงการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาอาจทำได้ ถ้าอำนาจหน้าที่ของวุฒิสมาชิกไม่ได้มีอำนาจในลักษณะที่ปรากฏอยู่ทั้งในรัฐธรรมนูญ 40 และ 50 นั่นคือ มีอำนาจถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง อำนาจในการให้ความเห็นชอบในการแต่งตั้งบุคคลเข้าสู่องค์กรอิสระ ตลอดจนอำนาจอื่นๆ เช่น อำนาจให้ความเห็นชอบการแต่งตั้งอัยการสูงสุด (รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ )