โครงการก้าวสู่คริสตศตวรรษที่ ๒๑ ด้วยการทบทวนประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา


Update: 12 May 2007
Copyleft2007
บทความทุกชิ้นที่นำเสนอบนเว็บไซต์นี้เป็นสมบัติสาธารณะ และขอประกาศสละลิขสิทธิ์ให้กับสังคม
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนเปิดรับบทความทุกประเภท ที่ผู้เขียนปรารถนาจะเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน โดยบทความทุกชิ้นต้องยินดีสละลิขสิทธิ์ให้กับสังคม สนใจส่งบทความ สามารถส่งไปได้ที่ midnightuniv(at)gmail.com โดยกรุณาใช้วิธีการ attach file
H
บทความลำดับที่ ๑๒๔๖ เผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ตั้งแต่วันที่ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๐ (Mayl, 12,05,.2007)
R

วิเคราะห์รัฐธรรมนูญไทยที่อ่านประเทศไทยไม่ออก
วิเคราะห์ร่างรัฐธรรมนูญปี๕๐: ฉบับขุนนางรัฐประหาร
นิธิ เอียวศรีวงศ์ และ รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ : วิเคราะห์

รวบรวมมาจากบทความที่เผยแพร่แล้วบนเว็บประชาไทออนไลน์

บทวิเคราะห์ร่างรัฐธรรมนูญไทยปี ๕๐ นี้ นำมาจากบทถอดเทปของประชาไทออนไลน์
ซึ่งเป็นกิจกรรมทางวิชาการที่ร่วมกันจัดขึ้นโดย ภาควิชากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ร่วมกับ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ศูนย์ข่าวอิศรา และ มูลนิธิ Friedrich Ebert Stifting
จัดการอภิปรายสาธารณะทางวิชาการ โครงการวิพากษ์ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ครั้งที่ ๑ เรื่อง ปัญหาหลักการพื้นฐานในร่างรัฐธรรมนูญฯ

ซึ่งมีวิทยากรร่วมอภิปราย ๓ ท่านคือ นิธิ เอียวศรีวงศ์, รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ และ วรเจตน์ ภาคีรัตน์
เฉพาะบนหน้าเว็บเพจนี้มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนนำเสนอเฉพาะ ๒ ท่านแรก

โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์ นำเสนอโครงร่างดังนี้: การปฏิรูปการเมือง, นิยามการเมือง, Depoliticization: การทำให้ไม่เป็นการเมือง,
ร่างรัฐธรรมนูญปี ๕๐ ให้ตุลาการออกหน้า, รัฐธรรมนูญที่ขาดความเชื่อมั่นในประชาชน, เสรีภาพที่เป็นหมัน, รัฐธรรมนูญประเทศไทยที่ไม่รู้จักประเทศไทย.

ส่วน รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ นำเสนอ ลักษณะสำคัญ ๕ ประการของรัฐธรรมนูญ ๕๐ ประกอบด้วย
ประเด็นแรก เรื่องการขาดเป้าหมายในการปฏิรูปการเมืองที่ชัดเจน
ประเด็นที่สอง การยึดข้อสมมติในการร่างรัฐธรรมนูญที่ไม่สอดคล้องต้องกัน
ประเด็นที่สาม การเขียนรัฐธรรมนูญเพื่อให้ก้าวก่ายอำนาจซึ่งกันและกัน
ประเด็นที่สี่ การเขียนรัฐธรรมนูญด้วยความหวาดกลัวพรรคการเมืองขนาดใหญ่และการผูกขาดทางการเมือง
ประเด็นที่ห้า การฟื้นคืนระบอบอำมาตยาธิปไตย
(midnightuniv(at)gmail.com)

บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา
ข้อความที่ปรากฏบนเว็บเพจนี้ ได้มีการแก้ไขและตัดแต่งไปจากต้นฉบับบางส่วน
เพื่อความเหมาะสมเป็นการเฉพาะสำหรับเว็บไซต์แห่งนี้

บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ ๑๒๔๖
เผยแพร่บนเว็บไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๐
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ ๑๑.๕ หน้ากระดาษ A4)

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วิเคราะห์รัฐธรรมนูญไทยที่อ่านประเทศไทยไม่ออก
วิเคราะห์ร่างรัฐธรรมนูญปี๕๐: ฉบับขุนนางรัฐประหาร
นิธิ เอียวศรีวงศ์ และ รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ : วิเคราะห์
รวบรวมมาจากบทความที่เผยแพร่แล้วบนเว็บประชาไทออนไลน์

ความนำ
ประชาไท - วันที่ 9 พฤษภาคม เวลา 13.00-16.00 น. ที่ห้อง 222 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาควิชากฎหมายมหาชน
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย, ศูนย์ข่าวอิศรา และ มูลนิธิ Friedrich Ebert Stifting จัดการอภิปรายสาธารณะทางวิชาการ โครงการวิพากษ์ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ครั้งที่ 1 เรื่อง
'ปัญหาหลักการพื้นฐานในร่างรัฐธรรมนูญฯ'

วิทยากรประกอบไปด้วย
- ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
- ศ.รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ
- รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ดำเนินรายการโดย
ประดิษฐ์ เรืองดิษฐ์ เลขาธิการสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย

(1) ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ : มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
การปฏิรูปการเมือง
ผมขอเริ่มด้วยเรื่องของปฏิรูปการเมืองก่อน คงจำได้ว่า อารมณ์ ความรู้สึก ความต้องการของสังคมไทยในการปฏิรูปการเมืองนั้นเริ่มมีขึ้นตั้งแต่ก่อนการมีรัฐธรรมนูญ 2540 และถึงแม้ความต้องการดังกล่าวจะไม่รุนแรงเท่าในช่วงหลังปี 40 แต่ก็ยังอยู่สืบมาจนถึง 19 กันยา (วันที่มีการรัฐประหารโดย คปค. 19 กันยายน 2550) ไม่ว่าจะมีการรัฐประหารหรือไม่ การผลักดันไปสู่การปฏิรูปการเมืองก็ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และยังอยู่ในอารมณ์ความรู้สึกของคนไทย ฉะนั้นการรัฐประหารจึงปฏิเสธการปฏิรูปการเมืองไม่ได้. ผมคิดว่าโจทย์สำคัญของรัฐธรรมนูญใหม่ คือปฏิรูปการเมือง แต่รัฐธรรมนูญนี้กลับทำให้อารมณ์ความรู้สึกที่ต้องการจะปฏิรูปหายไป กลายเป็นเพียง 'หมายจับทักษิณ' เท่านั้น คือมันไม่ใช่รัฐธรรมนูญอีกแล้ว นี่เป็นเรื่องน่าเสียดาย

จริงๆ แล้ว รัฐธรรมนูญ 40 สามารถจับประเด็นเกี่ยวกับการปฏิรูปการเมืองได้ถูกต้องหลายประเด็นด้วยกัน แต่อาจจะวางวิธีการแก้ไขปัญหาต่างๆ เอาไว้ไม่เพียงพอ หรือในบางกรณีก็วางวิธีแก้ไว้ผิดทาง อย่างไรก็ตามสังคมไทยถือว่าโชคดีมาก ซึ่งจากประสบการณ์การใช้รัฐธรรมนูญ 40 มาแล้ว 10 ปี ทำให้สามารถดูได้ว่าจุดอ่อนอยู่ตรงไหน ดูได้ว่าจุดใดไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่รัฐธรรมนูญต้องการ ซึ่งรัฐธรรมนูญ 50 น่าจะสามารถนำไปปรับปรุงได้ แต่น่าเสียดายที่ร่างรัฐธรรมนูญที่ออกมา กลับไม่ได้สนใจประสบการณ์ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ทำให้ร่างรัฐธรรมนูญที่ออกมาไม่เหมาะสม และเป็นที่น่าเสียดายอีกเช่นกันที่ถึงแม้ผู้ร่างรัฐธรรมนูญนั้นสามารถอ่านกฎหมายได้อย่างทั่วถึง แต่กลับไม่สามารถ 'อ่านประเทศไทย' ได้ทั่วถึง

ประเด็นทางประวัติศาสตร์ที่แสดงให้เห็นความไม่ก้าวหน้าของรัฐธรรมนูญสำหรับสังคมไทยนั้น นับตั้งแต่ก่อน 2475 'เรามีระบอบการปกครองที่พยายามทำให้การเมืองไม่เป็นการเมือง' หรือ 'Depoliticization' มาโดยตลอด

นิยามการเมือง
โดยทั่วไปแล้ว 'การเมือง' หมายถึง การต่อรองเชิงอำนาจในการจัดการทรัพยากร พูดง่ายๆ ก็คือ การต่อรองผลประโยชน์ในความหมายกว้าง ซึ่งรวมถึงในแง่อุดมการณ์ เช่น ไม่ว่าจะเชื่อในคอมมิวนิสต์ หรือ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ก็สามารถขึ้นมาบนเวทีเพื่อต่อรองผลประโยชน์ให้โน้มเอียงไปในแนวทางของตนได้ โดยผลประโยชน์ในที่นี้อาจจะเป็นในแง่เงิน ในแง่อำนาจ หรือในแง่เกียรติยศทางสังคมก็เป็นได้

เมื่อการเมืองคือการต่อรองผลประโยชน์ ด้วยเหตุนี้ในโลกแห่งความเป็นจริงจึงไม่มีใครอยู่พ้นการเมืองไปได้ เมื่อไรที่พูดถึงการเมืองของระบอบประชาธิปไตย หัวใจของมันก็คือระบบที่ทำให้คนทุกกลุ่มสามารถขึ้นมาบนเวทีเพื่อต่อรองผลประโยชน์กันอย่างเท่าเทียม แต่ถ้ามีคนเพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งขึ้นมาบนเวทีเพื่อต่อรองผลประโยชน์กัน ในขณะที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้รับสิทธิ์นั้น เพียงแต่รอส่วนแบ่งจากคนกลุ่มน้อย อย่างนั้นก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย

Depoliticization: การทำให้ไม่เป็นการเมือง
นับตั้งแต่สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เมื่อครั้งประเทศไทยยังคงได้ชื่อว่าประเทศสยาม ระบอบการปกครองนั้นก็พยายามที่จะให้ 'ไม่มีการเมือง' จะมีก็แต่การแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม โดยผู้ปกครองที่ดี มีเมตตาธรรม รวมทั้งหลักเกณฑ์ที่ใช้ชี้วัดความเป็นคนดี ก็จะพิจารณาจากชาติตระกูล ใครมีชาติตระกูลดี ก็ย่อมได้รับการอบรมสั่งสอนมาดี ทำให้เป็นผู้มีคุณธรรม เป็นต้น

หลัง 2475 เมื่อประเทศไทยเปลี่ยนระบอบการปกครองมาเป็นประชาธิปไตย ชนชั้นนำไทยก็ได้รับมรดกทางความคิดเรื่อง 'ความไม่มีการเมืองในการเมืองไทย' สืบมาจนกระทั่งทุกวันนี้ เพียงแต่ในหลัง 2475 นั้น ได้ปฏิเสธหลักเกณฑ์เดิมเรื่องชาติตระกูล มาเป็นเรื่องของการศึกษา หรือความมั่งคั่งในการใช้ชี้วัดความเป็นผู้ปกครองที่ดีแทน. ความ 'ไม่มีการเมือง' ในการเมืองไทยนี้ คือการที่คนอื่นๆ ไม่ต้องเข้ามาเกี่ยว เอาเฉพาะชนชั้นนำเท่านั้นที่จะเป็นผู้แบ่งปันผลประโยชน์ แบ่งปันทรัพยากรอย่างเป็นธรรมให้แก่คนอื่น

แต่เดิมชนชั้นนำไทย คือคนที่อยู่ในวงราชการเป็นส่วนใหญ่ ต่อมาก็ขยายไปสู่นักธุรกิจหรือพ่อค้า ซึ่งก็ถือเป็นการเปิดกว้างขึ้น แต่การแบ่งปันผลประโยชน์ที่เปิดกว้างขึ้นนี้ ก็ยังจำกัดสำหรับกลุ่มคนเหล่านี้เท่านั้น ซึ่งก็ยังไม่ใช่คนส่วนใหญ่ของประเทศอยู่ดี และถึงแม้ว่าคนที่สถาปนาตนเองมาเป็นผู้ปกครองจะมีความหลากหลายมากขึ้น โดยได้อำนาจจากการเลือกตั้งบ้าง หรือได้อำนาจจากการรัฐประหารบ้าง แต่ก็ยังคงความพยายามที่จะทำให้ 'การเมืองไม่เป็นการเมือง' อยู่ดี

เช่นกัน ในรัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับ ก็มีความพยายามทำ 'การเมืองให้ไม่การเมือง' แก่ทุกส่วนในสังคม สถาบันต่างๆ ในสังคม ถูกทำให้ไม่การเมืองทั้งโดยตรง และโดยอ้อม เช่น สถาบันสงฆ์ เราเชื่อกันเลยว่าพระไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่มันมีจริงหรือคนที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง มันเป็นไปได้อย่างไร ณ ที่นี้ไม่ต้องพูดไปไกลถึงการเรียกร้องให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ เพียงแค่เรื่องการจัดการกับศาสนสมบัติก็คงแสดงให้เห็นภาพที่ชัดเจน. นอกจากสถาบันสงฆ์แล้ว ก็มีความพยายามดังกล่าวในสถาบันอื่นเช่นกัน โดยบางสถาบันก็ชัดเจนมาก แต่จะไม่ขอพูดถึงในที่นี้

ความคิดที่ 'ไม่การเมือง' มันติดอยู่ตลอดรวมทั้งใน รัฐธรรมนูญ 40 ที่ชัดเจนที่สุดอันหนึ่งก็คือ การให้มีสมาชิกวุฒิสภาที่สามารถทำงานหลายๆ อย่างได้ แต่ 'อย่าการเมือง' นั่นคือ ห้ามสังกัดพรรคการเมือง และห้ามหาเสียง

โดยผลของการ 'Depoliticization' นี้ ก็คือการที่คนส่วนใหญ่ไม่สามารถต่อรองเชิงอำนาจได้ เว้นแต่บางคนที่ฉลาดพอที่สามารถทำให้งานของตน ซึ่ง 'ถูกตราว่าไม่การเมือง' ให้มันมีผลทางการเมืองได้ เช่น นักวิชาการ ซึ่งมีส่วนเข้าไปกำหนดการจัดสรรทรัพยากร โดยต่างก็อ้างว่าตนเองว่ากันไปตามหลักวิชาการอย่างเดียว เป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ซึ่งก็ถือเป็นวิธีการที่จะ 'ลอดรั้ว' เข้ามาเพื่อจะขึ้นสู่เวทีต่อรองผลประโยชน์ โดยยังคงรักษา 'ความไม่การเมือง' เอาไว้ ซึ่งอันที่จริงแล้วก็ไม่ใช่เพียงนักวิชาการเท่านั้น ผมคิดว่ามีสถาบันอื่นอีก โดยถ้าฉลาดพอ คุณก็ลอดรั้วเข้ามา และอาจจะใหญ่กว่าพวกนักการเมืองเสียอีก เพราะคุณไม่การเมือง คุณบริสุทธิ์กว่า น่านับถือกว่า

ก่อนรัฐธรรมนูญ 40 มีความพยายามจำกัดการเมืองไว้ที่ระบบราชการ เช่น นายกฯจะเป็นใครก็ได้ กองทัพกำกับการเมืองโดยการเข้าไปนั่งในวุฒิสภา พรรคการเมืองก็ถูกทำให้อ่อนแอจนกระทั่งตั้งรัฐบาลเองได้ยาก และที่ยิ่งไปกว่านั้น คือการที่รัฐบาลเริ่มต้นนโยบายต่างๆ ได้ยาก เนื่องจากต้องได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานราชการเสียก่อน สรุปก็คือ กระบวนการต่างๆ เหล่านี้ ได้กีดกันคนอื่นไว้นอกเวทีของการต่อรองผลประโยชน์ด้วย 'หีบบัตรเลือกตั้งที่ไร้ความหมาย'

แต่สำหรับผลของรัฐธรรมนูญ 40 ไม่ว่าตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม มันได้นำไปสู่การตั้งรัฐบาลที่อยู่เหนือระบบราชการ และยังทำให้สถาบันการเมืองต่างๆ ต้องขยายเวทีการเมืองไปสู่ระดับล่างมากขึ้น เช่น การใช้นโยบายประชานิยม เป็นต้น โดยสรุปแล้ว รัฐธรรมนูญ 40 ทำให้การเมืองที่ไม่การเมืองมันเริ่มหดตัวลงมา แล้วก็ขยายให้ส่วนต่างๆ ได้เข้ามาอยู่ในการเมืองมากขึ้น

ร่างรัฐธรรมนูญปี ๕๐ ให้ตุลาการออกหน้า
สำหรับรัฐธรรมนูญฉบับรับฟังความคิดเห็นในปัจจุบัน ถือเป็นที่น่าประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะพยายามที่จะทำให้สถานการณ์ต่างๆ กลับไปในช่วงก่อนรัฐธรรมนูญ 40 และยิ่งพยายามจะทำให้สถาบันที่เป็นการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้มาทำให้ไม่การเมืองอีกครั้ง สิ่งที่แสดงให้เห็นได้ชัดเจน คือการเอาฝ่ายตุลาการเข้ามาเป็นหัวหน้าของระบบราชการ แทนการให้ทหารออกหน้าดังเช่นในอดีต ตามร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ตุลาการมีหน้าที่รักษาระบบราชการไว้ มีอำนาจในการควบคุม ส.ส. เช่น กกต. มีอำนาจที่จะริเริ่มสิ้นสุดสมาชิกภาพของ ส.ส.ที่เป็นตัวแทนของประชาชนได้ แม้จะไม่มีผู้ใดร้องเรียนก็ตาม. ทั้งหมดเหล่านี้มาจากสมมติฐานที่ว่า 'การเมืองประเภทเลือกตั้งมักได้คนเลว' ซึ่งส่วนหนึ่งก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ถ้าไม่ได้เลือกตั้งแล้วจะไม่ได้คนเลว

รัฐธรรมนูญที่ขาดความเชื่อมั่นในประชาชน
สำหรับรัฐธรรมนูญ 40 นั้น ก็ไม่ได้เชื่อการเลือกตั้งเสียทีเดียวนัก แต่รัฐธรรมนูญ 40 ได้ให้อำนาจพรรคในการควบคุม ส.ส. นอกจากนี้ ยังให้อำนาจในการควบคุมกับองค์กรอิสระที่ถูกทำให้ 'ไม่การเมือง' ทั้งหลายอีกด้วย
ณ จุดนี้เป็นที่น่าสังเกตว่า รัฐธรรมนูญกลับไม่เปิดพื้นที่ให้ประชาชนเป็นคนควบคุมเสียเอง ซึ่งนั่นก็เพราะการไม่เชื่อประชาชน เห็นว่าประชาชนนั้นมักจะเลือกคนเลวเข้ามาเป็น ส.ส.เสมอ

สิ่งที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งก็คือ เวลาให้สิทธิประชาชนในการถอดถอนตำแหน่งที่มาจากการเลือกตั้งของนักการเมือง ประชาชนจะมีสิทธิในการถอดถอนก็ต่อเมื่อ ส.ส.ทุจริตเท่านั้น แต่คนน้ำหน้าอย่างเราๆ จะไปจับ ส.ส.ทุจริตได้อย่างไร เอกสารราชการสักแผ่นเกิดมายังไม่เคยเห็นเลย

อย่างไรก็ตาม เราน่าจะยังคงสามารถบอกได้ว่า "มึงไม่ใช่ตัวแทนของกูอีกต่อไปแล้ว" เช่น ประชาชนที่คัดค้านเขื่อนปากมูล ซึ่งไปนอนอยู่ที่เขื่อนปากมูลอยู่เป็นปี ไม่มี ส.ส.โผล่หน้าไปสักคน ทำให้ "มึงไม่ represent กู มึงไม่ใช่เป็นตัวแทนของกู ฉะนั้นกูอยากจะถอดถอนมึง เพราะมึงไม่ใช่ตัวแทนของกูอีกแล้ว". ตรงนี้ถามว่า สิทธิดังกล่าวมันมีไหม ไม่มีทั้งรัฐธรรมนูญ 40 และปัจจุบัน แต่ถ้ามีกระบวนการนี้จริง ถามว่าใครจะเป็นผู้ตัดสิน ไม่ใช่ตุลาการแน่นอน แต่ต้องเป็นประชาชน โดยการกลับไปเลือกตั้งใหม่อีกครั้ง หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ประชาชนเป็นผู้ตัดสินว่าจะเอาไอ้คนนี้ไว้เป็นผู้แทนหรือไม่

ฉะนั้น การให้สิทธิถอดถอนในรัฐธรรมนูญ 40 หรือ 50 ก็ตามแต่ จริงๆ แล้ว สิทธิในการวินิจฉัยเหล่านั้นกลับไม่ได้อยู่ในมือประชาชน บางเรื่องผมก็เห็นด้วยว่า ประชาชนวินิจฉัยไม่ได้ เช่น ทุจริต แต่บางเรื่องเช่นความเป็นตัวแทนนั้น ไม่สามารถที่ใครจะวินิจฉัยแทนประชาชนได้ เพราะฉะนั้นเวลาที่คุณพูดว่า เลือกตั้งก็เป็นการปล่อยเสือเข้าป่า ก็รัฐธรรมนูญมันเขียนให้เข้าป่ามาตั้งแต่ต้นแล้ว คือไม่ได้ให้เราเป็นคนควบคุม

สำหรับประเด็นเรื่องการแบ่งเขตเลือกตั้ง ในขณะที่รัฐธรรมนูญ 40 ต้องการการเลือกตั้งที่แบ่งเขตให้เล็กลง ถามว่าซื้อเสียงได้ง่ายขึ้นไหม คำตอบก็คือง่ายขึ้นอย่างแน่นอน แต่ถ้าถามกลับกันว่า ไม่ซื้อเสียงง่ายขึ้นไหม มันก็ง่ายขึ้นด้วย คำถามที่ตามมาก็คือ คุณเชื่อไหมว่า วันหนึ่งประชาชนจะเลือกไอ้คนที่ไม่ซื้อเสียง? คำตอบก็คือ คุณไม่เชื่อ คุณถึงบอกไม่เอาเขตเล็ก แต่ต้องเอาเขตใหญ่ถึงจะซื้อเสียงได้ยาก โดยสิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า คุณไม่เชื่อในประชาชน ซึ่งมันน่าเสียดาย ถ้าคุณอ่านประเทศไทยให้ทั่ว ในปัจจุบันภาคประชาชนเริ่มมีการรวมตัวกันในการสร้างกลุ่มกดดัน ส.ส.ของตนเอง ซึ่งถ้าเมื่อไร ส.ส.ของตนต้องมาจากเขตใหญ่ระดับจังหวัด ก็เลิกกัน ไม่ต้องคิดถึงกระบวนการนี้อีก

ฉะนั้น ความพยายามจะแก้ปัญหาทางการเมืองของรัฐธรรมนูญ 40 กลับถูกนำมาแก้ไขโดยการพยายามทำให้สิ่งต่างๆ 'ไม่การเมือง' มากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ในร่างรัฐธรรมนูญปัจจุบัน ซึ่งทั้งหมดนี้ ผมคิดว่าเกิดจากการอ่านประเทศไทยไม่ทั่ว จึงไม่ได้ใช้ประโยชน์จาก 10 ปีที่ผ่านมา ถ้าเราอ่านประเทศไทยให้ทั่ว คงจะมองเห็นข้อบกพร่องของรัฐธรรมนูญ 40 ที่เราจะเข้าไปแก้ไขได้เยอะแยะทีเดียว

เสรีภาพที่เป็นหมัน
สุดท้าย ในเรื่องหมวดที่ว่าด้วยสิทธิเสรีภาพ ถึงแม้ตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 40 จะให้สิทธิเสรีภาพเพิ่มขึ้น แต่ทั้งหมดเหล่านี้ก็ถือว่ามันเป็นเสรีภาพที่เป็นหมัน ตัวอย่างเช่น สิทธิเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ เมื่อการชุมนุมคือการสื่อสาร การชุมนุมจึงต้องจัดในที่สาธารณะ แต่ที่สาธารณะในประเทศไทยล้วนแล้วแต่มีเจ้าของทั้งนั้น ดังนั้นการชุมนุมจึงต้องเป็นไปตามกติกาการใช้พื้นที่ต่างๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับอำนาจในการวินิจฉัยของเจ้าหน้าที่ ถ้าเจ้าหน้าที่วินิจฉัยว่าประชาชนที่มาชุมนุมก่อให้เกิดการจราจรติดขัด ก็ต้องสลายการชุมนุมเพราะผิดเทศบัญญัติ. ดังนั้นสิทธิตามรัฐธรรมนูญจึงไม่มีความหมาย เมื่อคุณใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญแต่ดันไปผิดเทศบัญญัติ ซึ่งทำให้สิ่งที่กำหนดในรัฐธรรมนูญไม่มีความหมายอะไรเลย ถ้าคุณกลับไปอ่านประเทศไทยให้ทั่ว คุณต้องเขียนรัฐธรรมนูญให้มันศักดิ์สิทธิ์จริง

การวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ Environmental Impact Assessment (EIA) เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง ซึ่งบริษัทผู้สร้างโครงการเป็นผู้จ่ายค่าวิจัยให้แก่นักวิชาการ โดยโครงการหนึ่งๆ ก็มีมูลค่าราวๆ 60 ล้านบาท ดังนั้นเมื่อคุณเป็นนักวิชาการ คุณก็ต้องเขียนให้มันสร้างได้ ตรงนี้ผมไม่ว่าอะไร แต่ถ้าอย่างนั้นคุณก็ต้องมีอีไอเอ อีกชิ้นหนึ่งของคนที่ไม่ได้เป็นผู้จ้างให้สร้างโครงการนั้น เขียนขึ้นมาประกบกัน ซึ่งในความเป็นจริงที่ผ่านมา ประชาชนทำในสิ่งเหล่านี้โดยความอนุเคราะห์ของนักวิชาการใจดีตลอดมา

ตัวอย่างได้แก่ กรณีบ้านกรูด อีไอเอจากบริษัทที่จ้างทำโครงการสร้างท่าเทียบเรือบอกว่าไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ทางชาวบ้านกลับพบว่า ในพื้นที่นั้นมีปะการัง ไม่เหมาะสมที่จะสร้างท่าเทียบเรือ อย่างไรก็ตาม ทางโครงการก็ยังยืนยันที่จะดำเนินการต่อไป จนกระทั่งชาวบ้านต้องเอานักวิชาการ ไปจนถึงสื่อมายืนยัน ถึงจะได้ยอมรับว่ามีปะการังอยู่จริง

รัฐธรรมนูญประเทศไทยที่ไม่รู้จักประเทศไทย
โดยสรุปแล้ว เรื่องสิทธิเสรีภาพในรัฐธรรมนูญ 50 ซึ่งลอกมาจากรัฐธรรมนูญ 40 นั้น ถือว่าไม่เวิร์ค เรื่องปฏิรูปที่ดินก็ไม่เวิร์ค ไม่ว่าจะมองในแง่ของการกระจุกตัว การเก็งกำไร ความเสื่อมโทรมในที่ดิน หรือการมีคนจำนวนมากไร้ที่ดินในการประกอบอาชีพ รวมไปจนถึงการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคในเรื่องของโทรศัพท์มือถือก็เช่นกัน

ทั้งหมดนี้เป็นวิกฤติที่ต้องรีบแก้ แต่เขา (ผู้ร่างรัฐธรรมนูญ) กลับมองไม่เห็น เห็นแต่วิกฤติการเมือง ซึ่งทำให้ทั้งหมดนี้เป็นหมันไปหมด เพราะคุณไม่เคยหันกลับไปอ่านประเทศไทยให้ทั่ว และมันน่าเสียดายมาก

(2) ศ.รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ลักษณะสำคัญ 5 ประการของรัฐธรรมนูญ 50
ผมจะพูดถึงลักษณะสำคัญบางประการของร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ผมเตรียมมาพูดอยู่ 5 ประเด็น

ประเด็นแรก เรื่องการขาดเป้าหมายในการปฏิรูปการเมืองที่ชัดเจน
ประเด็นที่สอง การยึดข้อสมมติในการร่างรัฐธรรมนูญที่ไม่สอดคล้องต้องกัน
ประเด็นที่สาม การเขียนรัฐธรรมนูญเพื่อให้ก้าวก่ายอำนาจซึ่งกันและกัน
ประเด็นที่สี่ การเขียนรัฐธรรมนูญด้วยความหวาดกลัวพรรคการเมืองขนาดใหญ่และการผูกขาดทางการเมือง
ประเด็นที่ห้า การฟื้นคืนระบอบอำมาตยาธิปไตย

ประการแรก : เรื่องการขาดเป้าหมายในการปฏิรูปการเมืองที่ชัดเจน
ร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 ไม่มีเป้าหมายการปฏิรูปการเมืองที่ชัดเจน ส.ส.ร. ไม่ได้มีการถกกันว่าจะร่างรัฐธรรมนูญเพื่อการปฏิรูปการเมือง และถ้าจะต้องถามต่อไปก็ต้องถามว่าปฏิรูปการเมืองเพื่ออะไร ไม่มีคำตอบที่ชัดเจน แต่ว่าคณะกรรมาธิการและ ส.ส.ร. ก็สามารถร่างรัฐธรรมนูญได้โดยที่ไม่มีเป้าหมายร่วมกัน. ผมคิดว่ากระบวนการร่างรัฐธรรมนูญควรจะเริ่มต้นจากการกำหนดเป้าหมายร่วมกันว่า จะร่างรัฐธรรมนูญเพื่ออะไร แล้วจึงตามมาด้วยการออกแบบรัฐธรรมนูญเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว แต่สิ่งซึ่งเกิดขึ้นไม่ได้เป็นเช่นนั้น

เป้าหมายที่ซ่อนเร้นอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีอยู่ 2 ประการ

1. ประการแรกคือ การป้องกันการกลับมาของระบอบทักษิณ เห็นได้จากการล้มระบบปาร์ตี้ลิสต์ในการเลือกตั้ง ส.ส. และเห็นได้จากการลดทอนความเข้มข้นของแนวความคิดว่าด้วย Strong Executive ซึ่งอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 ความเกรงกลัวการกลับคืนมาของระบอบทักษิณปรากฏอย่างชัดเจนในมาตรการต่างๆ ซึ่งผมจะพูดถึงต่อไป

2. ส่วนอีกเป้าหมายที่ผมอ่านได้จากร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็คือ การลงรากระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

นั่นเป็นลักษณะที่สำคัญในประการแรก การขาดเป้าหมายการปฏิรูปการเมืองที่ชัดเจนในการร่างรัฐธรรมนูญทำให้เราไม่สามารถที่จะไปคาดหวังได้ว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะมีผลต่อการปฏิรูปการเมือง

ประการที่สอง : การยึดข้อสมมติในการร่างรัฐธรรมนูญที่ไม่สอดคล้องต้องกัน
ลักษณะเด่นที่สำคัญในประการที่สอง คือการยึดข้อสมมติในการร่างรัฐธรรมนูญที่ไม่สอดคล้องต้องกัน ถ้าอ่านจากร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ พูดด้วยภาษาเศรษฐศาสตร์ กรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญมีข้อสมมติว่า ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งก็ดี นักการเมืองก็ดีเป็น Utility Maximizer เป็นคนที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ต้องการแสวงหาอรรถประโยชน์สูงสุด. ถ้าหากว่ารัฐธรรมนูญฉบับ 2540 มีข้อสมมติว่านักการเมืองเป็นอัปรียชน ร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 มีข้อสมมติยิ่งไปกว่านั้น คือนักการเมืองเป็นมหาอัปรียชน ในขณะที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเป็นจุลอัปรียชน คือระดับของความอัปรีย์มันน้อยกว่า

ในอีกด้านหนึ่งร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 มีข้อสมมติว่าตุลาการผู้พิพากษา เป็น Social Welfair Maximizer เป็นคนที่ไม่มีกิเลส ไม่มีตัณหา ไม่มีราคะ เป็นคนที่เห็นแก่ประโยชน์ของสังคมโดยส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ด้วยเหตุดังนั้นการออกแบบรัฐธรรมนูญของร่างรัฐธรรมนูญ 2550 จึงเป็นไปในทางที่ให้บทบาทสำคัญกับตุลาการ และผู้พิพากษา นี่เป็นลักษณะเด่นที่สำคัญในประการที่สอง

ประการที่สาม : การเขียนรัฐธรรมนูญเพื่อให้ก้าวก่ายอำนาจซึ่งกันและกัน
ลักษณะเด่นที่สำคัญในประการที่สาม คือการเขียนรัฐธรรมนูญเพื่อให้ก้าวก่ายอำนาจซึ่งกันและกัน
นักเรียนไทยมักจะได้รับการอบรมสั่งสอนว่า ในสังคมการเมืองไทย มีการแบ่งแยกอำนาจ (Separation of Power) เวลาที่เราพูดถึงเรื่องการแยกอำนาจ มันมีความหมายซึ่งแตกต่างกันหลายความหมาย. Jeffrey Marshall ซึ่งเป็นปรมาจารย์ทางด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญ แห่งมหาวิทยาลัยออกฟอร์ด ได้แยกแยะความหมายของ Separation of Power ไว้อย่างน้อย 5 ความหมาย แต่ผมอยากจะหยิบยกขึ้นมาพูดเพียง 3 ความหมาย

1. Separation of Functions (การแบ่งแยกหน้าที่)

2. Physical Separation of Persons (การแยกตัวบุคคลผู้มีอำนาจอธิปไตย) โดยรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 มี Physical Separation of Persons ก็คือห้าม ส.ส. ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี แต่ว่าแนวความคิดนี้ก็หายไปในร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 และ

3. Check and Balance (การตรวจสอบถ่วงดุล)

สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นก็คือ Separation of Functions มันค่อยๆ เลือนหายไป ผมนั่งไล่ดูตั้งแต่ธรรมนูญการปกครองสยามปี 2475 เป็นต้นมา ผมเห็นภาพของการที่อำนาจอธิปไตยสามฝ่ายก้าวก่ายซึ่งกันและกัน และระดับของการก้าวก่ายอำนาจอธิปไตยซึ่งกันและกันมีมากที่สุดในร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2550

ฝ่ายบริหารก้าวล่วงไปมีอำนาจนิติบัญญัติ

- ฝ่ายบริหารมีอำนาจในการตราพระราชกฤษฎีกา เริ่มต้นตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับปี 2475
- ฝ่ายบริหารมีอำนาจในการตราพระราชกำหนด เริ่มต้นตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับปี 2489
- ฝ่ายบริหารมีอำนาจเด็ดขาดในการตรากฎหมายเกี่ยวด้วยการเงิน เริ่มต้นด้วยรัฐธรรมนูญฉบับปี 2489
- ฝ่ายบริหารมีอำนาจในการเสนอร่างพระราชบัญญัติ

ทั้งหมดนี้ยังคงดำรงอยู่ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 รวมทั้งการที่ฝ่ายบริหารเข้าไปมีบทบาทในกระบวนการนิติบัญญัติในรัฐสภา ในขั้นตอนของการพิจารณาขั้นกรรมาธิการ

ฝ่ายตุลาการก้าวล่วงไปมีอำนาจนิติบัญญัติ
สิ่งซึ่งเด่นชัดมากในร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 ก็คือการที่ฝ่ายตุลาการก้าวล่วงไปใช้อำนาจฝ่ายนิติบัญญัติ และก้าวล่วงไปใช้อำนาจบริหาร นี่เป็นปรากฏการณ์ใหม่ อาจจะเป็นผลมาจากเพื่อนของเราบางคนที่พูดถึงเรื่องตุลาการภิวัตน์. ฝ่ายตุลาการสามารถใช้อำนาจนิติบัญญัติได้ เพราะว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ให้อำนาจตุลาการในการเสนอร่างพระราชบัญญัติในมาตรา 138 (3) ให้มีอำนาจในการเสนอร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญอยู่ในมาตรา 134 (2) ผมไม่เคยพบรัฐธรรมนูญฉบับก่อนหน้านี้ที่ฝ่ายตุลาการก้าวล่วงไปใช้อำนาจฝ่ายนิติบัญญัติ

ฝ่ายตุลาการก้าวล่วงไปมีอำนาจนิติบัญญัติ
ฝ่ายตุลาการก็ยังก้าวล่วงไปใช้อำนาจฝ่ายบริหารตามมาตรา 68 ในการป้องกันและแก้ไขวิกฤติการณ์การเมือง และที่สำคัญก็คือ การที่ฝ่ายตุลาการมีอำนาจในการคัดสรรบุคคลเข้าสู่ระบบการเมือง ฝ่ายตุลาการมีบทบาทสำคัญในการคัดสรรสมาชิกวุฒิสภา, ฝ่ายตุลาการมีบทบาทสำคัญในการคัดสรรและเลือกบุคคล, เลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ, เลือก กกต., เลือก ปปช., เลือกคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน, และเลือกคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน

จะเห็นได้ว่าอำนาจของฝ่ายตุลาการภายใต้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 มีมากขึ้น ฝ่ายตุลาการก้าวล่วงไปใช้อำนาจนิติบัญญัติ และก้าวล่วงไปใช้อำนาจบริหาร ผมจึงชี้ประเด็นว่า รัฐธรรมนูญ 2550 เป็นรัฐธรรมนูญที่เขียนขึ้นเพื่อให้มีการก้าวก่ายอำนาจอธิปไตยซึ่งกันและกัน และเป็นการก้าวก่ายที่มากที่สุดเท่าที่เคยเห็นตั้งแต่ปี 2475 เป็นต้นมา

ประการที่สี่ : การเขียนรัฐธรรมนูญด้วยความหวาดกลัวพรรคการเมืองและการผูกขาดทางการเมือง
แต่เดิมรัฐธรรมนูญมีอคติว่าด้วยขนาดของพรรค กล่าวคือฐานคติของรัฐธรรมนูญฉบับต่างๆ นับตั้งแต่ปี 2521 เป็นต้นมา ยึดฐานคติที่ว่าพรรคใหญ่ดีกว่าพรรคเล็ก นี่เป็นอิทธิพลของนักรัฐศาสตร์ที่ไปรับใช้ผู้นำฝ่ายทหารในยุคเผด็จการคณาธิปไตยในการร่างรัฐธรรมนูญ

อคติว่าด้วยขนาดของพรรคปรากฏชัดเจนครั้งแรกในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2521 ก็คือการจำกัดอำนาจนิติบัญญัติของพรรคการเมืองขนาดเล็ก. รัฐธรรมนูญฉบับ 2521 เป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่ ส.ส. ไม่สามารถนำเสนอร่างพระราชบัญญัติได้ในนามของปัจเจกบุคคล, ร่างกฎหมายที่ ส.ส. จะเสนอเข้าสภาจะต้องได้รับมติจากพรรคการเมืองที่ตัวเองสังกัด และจะต้องมี ส.ส. ร่วมพรรคเดียวกันลงนามรับรองไม่น้อยกว่า 20 คน. เป็นครั้งแรกที่รัฐธรรมนูญมีอคติว่าด้วยขนาดของพรรค ลงโทษพรรคการเมืองขนาดเล็กที่มี ส.ส. น้อยกว่า 20 คนไม่ให้มีบทบาทในกระบวนการนิติบัญญัติ

ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 มาตรา 138 ไม่ได้มีข้อจำกัดในเรื่องนี้ อคติว่าด้วยขนาดของพรรคลบเลือนไป แนวความคิดที่ว่าพรรคใหญ่ดีกว่าพรรคเล็กถูกลบออกไปจากร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550. ส.ส. สามารถที่จะเสนอร่างกฎหมายในนามปัจเจกบุคคลได้ ไม่ต้องผ่านเป็นมติของพรรค แล้วก็ไม่ต้องมีสมาชิกในสังกัดพรรคเดียวกันลงนามรับรองอย่างน้อย 20 คน รวมไปถึงกระบวนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญด้วย. รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ถึงแม้ว่าจะให้ ส.ส. มีสิทธิในการเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ แต่ว่ารัฐธรรมนูญ 2540 กำหนดว่า ญัตติเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญต้องเป็นมติของพรรค

อคติว่าด้วยขนาดของพรรคที่ว่าพรรคการเมืองขนาดใหญ่ดีกว่าพรรคการเมืองขนาดเล็ก นอกจากปรากฏในบทบัญญัติว่าด้วยการเสนอร่างกฎหมายแล้ว ก็ยังปรากฏในระบบการเลือกตั้ง อคติที่รุนแรงที่สุดก็คือระบบปาร์ตี้ลิสต์ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ทำไมจึงบอกว่าเป็นคติที่รุนแรง ก็เพราะว่าระบบปาร์ตี้ลิสต์ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับ 2540 cut-off ที่ 5 เปอร์เซ็นต์ พรรคการเมืองที่ได้คะแนนเสียงไม่ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ ไม่มี ส.ส. ในระบบปาร์ตี้ลิสต์ ที่นั่ง ส.ส. ก็เกลี่ยไปให้กับพรรคการเมืองขนาดใหญ่ ระบบปาร์ตี้ลิสต์ทำให้พรรคการเมืองขนาดใหญ่ มี Over Representation และทำให้พรรคการเมืองขนาดเล็กมี Under Representation

ภายใต้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ซึ่งใช้ Populational Representation หวังว่าจะไม่มี cut-off ในแง่นี้ก็ทำให้อคติที่ว่าพรรคการเมืองใหญ่ดีกว่าพรรคการเมืองเล็กถูกลบไปในร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 หมายความว่าพรรคการเมืองขนาดใหญ่ไม่มีความได้เปรียบเกินกว่าที่ควรจะได้จากบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ นี่เป็นการร่างรัฐธรรมนูญด้วยความเกรงกลัวพรรคการเมืองใหญ่ แต่ผมคิดว่ามันเป็นทิศทางที่ดี

ฐานคติของร่างรัฐธรรมนูญเก่าๆ อย่างน้อยตั้งแต่ปี 2521 เป็นต้นมา ด้วยอิทธิพลของนักรัฐศาสตร์กระแสหลักมีความเชื่อว่าระบบทวิพรรคดีกว่าระบบพหุพรรค นักรัฐศาสตร์ไทยต้องการให้สังคมการเมืองไทยพัฒนาไปสู่ระบบที่มีพรรคการเมืองเพียง 2-3 พรรค ดังที่เป็นอยู่ในอังกฤษและในสหรัฐอเมริกา แล้วรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ซึ่งให้ประโยชน์กับพรรคการเมืองขนาดใหญ่อย่างรุนแรง เราก็เห็นพัฒนาการของการเมืองไทยในทางที่สังคมการเมืองไทยกำลังเคลื่อนไปสู่ระบบทวิพรรค (Bi-Party System) เพราะว่าพรรคการเมืองขนาดใหญ่ได้โบนัสจากบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ โบนัสดังกล่าวเป็นสิ่งจูงใจที่ทำให้พรรคการเมืองอาศัยวิธีการเติบโตจากภายนอก (External Growth) คือการครอบ-การควบกลุ่มและพรรคการเมือง อย่างที่พรรคไทยรักไทยทำ พรรคไทยรักไทยซื้อกลุ่มการเมือง ซื้อพรรคการเมือง

แต่ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 มีความเป็นไปได้อย่างสูงมากที่สังคมการเมืองไทยจะเปลี่ยนไปสู่ระบบหพุพรรค (Multi-Party System) เพราะอะไร เพราะว่าระบบเลือกตั้งที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เลือกเป็นระบบการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตพวงใหญ่ ต่างกับระบบการเลือกตั้งเขตเล็กคนเดียว ระบบการเลือกตั้งเขตเล็กคนเดียวนั้นมีแนวโน้มจะเปลี่ยนแปลงสังคมการเมืองไปสู่ Bi-Party System แต่ระบบการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตพวงใหญ่มีแนวโน้มที่จะทำให้สังคมการเมืองไทยเปลี่ยนไปสู่ Multi-Party System อย่างไรก็ดี วงวิชาการเศรษฐศาสตร์ไม่มีผลการวิจัยที่ยืนยันว่า Bi-Party System ดีกว่าหรือเลวกว่า Multi-Party System

นี่คือบทบัญญัติส่วนที่สองซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความหวาดกลัวพรรคการเมืองขนาดใหญ่ บทบัญญัติในส่วนที่สามคือการกำหนด Term Limit ของผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีอยู่ในมาตรา 167 วรรค 4 นายกรัฐมนตรีจะมีวาระไม่เกิน 2 วาระ หรือไม่เกิน 8 ปี

บทบัญญัติในส่วนที่สี่ที่สะท้อนให้เห็นถึงความหวาดกลัวพรรคการเมืองขนาดใหญ่และการผูกขาดทางการเมือง ร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 ตรงกันข้ามกับฉบับปี 2540 กล่าวคือฉบับปี 2540 ต้องการส่งเสริม Strong Executive และต้องการส่งเสริม Strong Prime Minister แต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือมีการผูกขาดทางการเมือง รัฐบาลทักษิณมีอำนาจผูกขาดทางการเมืองทั้งในตลาดนักการเมืองและตลาดพรรคการเมือง ส่วนร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 ทำให้ Strong Executive ลดความเข้มข้นลง ทำไมถึงบอกว่าลดความเข้มข้น

- ประการแรกทีเดียว อคติว่าด้วยขนาดของพรรคลดลง Over Representation ของพรรคการเมืองขนาดใหญ่ลดลง

- ประการที่สอง การตรวจสอบของฝ่ายนิติบัญญัติง่ายขึ้น แต่ก่อนนี้ในรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 การเสนอญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ต้องอาศัยคะแนนเสียง 2 ใน 5 ของจำนวน ส.ส. ที่มีอยู่ แต่ว่าภายใต้รัฐธรรมนูญ 2550 เพียง 1 ใน 4

- ประการที่สาม เหตุผลที่ Strong Executive ลดความเข้มข้นลงก็คือ นายกรัฐมนตรีมีอำนาจควบคุมรัฐมนตรีน้อยลง ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2540 ห้าม ส.ส. ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีสามารถควบคุมรัฐมนตรีในรัฐบาลได้ง่าย เพราะว่าในทันทีที่นายกฯ ปรับคณะรัฐมนตรี ปลดรัฐมนตรีออกจากตำแหน่ง รัฐมนตรีคนนั้นก็จะว่างงานทันทีในทางการเมือง ไม่สามารถที่จะกลับไปดำรงตำแหน่ง ส.ส. ได้ ถึงแม้ว่าก่อนที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีจะเป็น ส.ส. อยู่ก่อนแล้วก็ตาม แต่ภายใต้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 ไม่ได้ห้าม ส.ส. ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี แม้จะถูกปลดออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีก็ยังคงมีตำแหน่ง ส.ส. รองรับอยู่ นี่เป็นลักษณะสำคัญในประการที่สี่

ประการที่ห้า : การฟื้นคืนของระบอบอำมาตยาธิปไตย
ร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 ต้องการฟื้นคืนระบอบอำมาตยาธิปไตย ผมไม่เคยมีความเชื่อว่าการรัฐประหารจะก่อให้เกิดการผลิตรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย ไม่เคยมีนะครับ ยกเว้นรัฐประหารปี 2490 แล้วเกิดขึ้นด้วยอุบัติเหตุ ลองไล่เหตุการณ์ดูสิครับ

- รัฐประหารปี 2500 กับ 2501 ของสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก่อให้เกิดผลผลิตรัฐธรรมนูญฉบับปี 2511 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญกึ่งเผด็จการกึ่งประชาธิปไตย เป็นรัฐธรรมนูญอำมาตยาธิปไตย

- รัฐประหารปี 2512 ยังไม่ทันผลิตรัฐธรรมนูญก็เกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เพราะขบวนการสิทธิเสรีภาพของประชาชนในเมืองไทยไม่เชื่อว่าจะมีการผลิตรัฐธรรมนูญ

- รัฐประหารปี 2519 ก่อให้เกิดรัฐธรรมนูญ 2521 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญเผด็จการ

- รัฐประหารปี 2534 ก่อให้เกิดรัฐธรรมนูญฉบับ 2534 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญกึ่งเผด็จการกึ่งประชาธิปไตย เป็นรัฐธรรมนูญซึ่งพยายามฟื้นอำนาจของระบอบอำมาตยาธิปไตย ในทำนองเดียวกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 ก็เป็นรัฐธรรมนูญของระบอบอำมาตยาธิปไตย

โครงสร้างชนชั้นปกครองไทยเปลี่ยนแปลงไปมากหลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเดือนตุลาคม 2516 ก่อนหน้านั้น การรับราชการเกือบจะเป็นหนทางเดียวในการไต่เต้าขึ้นไปเป็นชนชั้นปกครอง แต่หลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเดือนตุลาคม 2516 มีมนุษย์ต่างดาวนอกระบบราชการถีบตัวขึ้นมาเป็นชนชั้นปกครองโดยผ่านกระบวนการเลือกตั้งของประชาชน นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ

จากการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้มีความหมายแต่เพียงว่ามีมนุษย์ต่างดาวขึ้นมาเป็นชนชั้นปกครองเท่านั้น แต่มันยังมีนัยยะสำคัญต่อกระบวนการแบ่งปันส่วนเกินทางเศรษฐกิจจากการกำหนดและการบริหารนโยบายทางเศรษฐกิจ

แต่ก่อนนี้ส่วนเกินทางเศรษฐกิจจากการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจกระจุกอยู่ในระบบราชการ และแบ่งปันกันในหมู่ผู้นำข้าราชการฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือน หลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเดือนตุลาคม 2516 ส่วนเกินทางเศรษฐกิจนี้เริ่มรั่วไหลออกนอกระบบราชการ ตกไปสู่มนุษย์ต่างดาวที่มาจากกระบวนการเลือกตั้ง รัฐประหารเดือนกันยายน 2519 เป็นความพยายามที่จะดึงเอาส่วนเกินทางเศรษฐกิจดังกล่าวนี้กลับเข้ามาสู่ระบบราชการ

ระบอบอำมาตยาธิปไตยที่จะฟื้นคืนด้วยการบังคับใช้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 อาศัยตุลาการ ผู้พิพากษา เป็นหัวหอก

และนี่เป็นลักษณะสำคัญห้าประการของร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550

 


คลิกไปที่ กระดานข่าวธนาคารนโยบายประชาชน

นักศึกษา สมาชิก และผู้สนใจบทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ก่อนหน้านี้ สามารถคลิกไปอ่านได้โดยคลิกที่แบนเนอร์




สารบัญข้อมูล : ส่งมาจากองค์กรต่างๆ

ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา 3
I สารบัญเนื้อหา 4 I สารบัญเนื้อหา 5 I สารบัญเนื้อหา 6
ประวัติ ม.เที่ยงคืน

สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง

webboard(1) I webboard(2)

e-mail : midnightuniv(at)gmail.com

หากประสบปัญหาการส่ง e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com

ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ทั้งหมด กว่า 1200 เรื่อง หนากว่า 20000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com

สมเกียรติ ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็บไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com

 

 

power-sharing formulas, options for minority rights, and constitutional safeguards.

บรรณาธิการแถลง: บทความทุกชิ้นซึ่งได้รับการเผยแพร่บนเว็บไซต์แห่งนี้ มุ่งเพื่อประโยชน์สาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อวัตถุประสงค์ในการขยายพรมแดนแห่งความรู้ให้กับสังคมไทยอย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ยังมุ่งทำหน้าที่เป็นยุ้งฉางเล็กๆ แห่งหนึ่งสำหรับเก็บสะสมความรู้ เพื่อให้ทุกคนสามารถหยิบฉวยไปใช้ได้ตามสะดวก ในฐานะที่เป็นสมบัติร่วมของชุมชน สังคม และสมบัติที่ต่างช่วยกันสร้างสรรค์และดูแลรักษามาโดยตลอด. สำหรับผู้สนใจร่วมนำเสนอบทความ หรือ แนะนำบทความที่น่าสนใจ(ในทุกๆสาขาวิชา) จากเว็บไซต์ต่างๆ ทั่วโลก สามารถส่งบทความหรือแนะนำไปได้ที่ midnightuniv(at)gmail.com (กองบรรณาธิการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน: ๒๘ มกาคม ๒๕๕๐)

หลัง ๒๔๗๕ เมื่อประเทศไทยเปลี่ยนระบอบการปกครองมาเป็นประชาธิปไตย ชนชั้นนำไทยก็ได้รับมรดกทางความคิดเรื่อง 'ความไม่มีการเมืองในการเมืองไทย' สืบมาจนกระทั่งทุกวันนี้ เพียงแต่ในหลัง ๒๔๗๕ นั้น ได้ปฏิเสธหลักเกณฑ์เดิมเรื่องชาติตระกูล มาเป็นเรื่องของการศึกษา หรือความมั่งคั่งในการใช้ชี้วัดความเป็นผู้ปกครองที่ดีแทน. ความ 'ไม่มีการเมือง' ในการเมืองไทยนี้ คือการที่คนอื่นๆ ไม่ต้องเข้ามาเกี่ยว เอาเฉพาะชนชั้นนำเท่านั้นที่จะเป็นผู้แบ่งปันผลประโยชน์ แบ่งปันทรัพยากรอย่างเป็นธรรมให้แก่คนอื่น (ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์)

12-05-2550

Thai Constitution
Midnight University

 

H
R
ทุกท่านที่ประสงค์จะติดต่อมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน กรุณาจดหมายไปยัง email address ใหม่ midnightuniv(at)gmail.com
-Free Documentation License-
Copyleft : 2007, 2008, 2009
Everyone is permitted to copy
and distribute verbatim copies
of this license
document, but
changing it is not allowed.