โครงการก้าวสู่คริสตศตวรรษที่ ๒๑ ด้วยการทบทวนประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา




Update: 24 April 2007
Copyleft2007
บทความทุกชิ้นที่นำเสนอบนเว็บไซต์นี้เป็นสมบัติสาธารณะ และขอประกาศสละลิขสิทธิ์ให้กับสังคม
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนเปิดรับบทความทุกประเภท ที่ผู้เขียนปรารถนาจะเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน โดยบทความทุกชิ้นต้องยินดีสละลิขสิทธิ์ให้กับสังคม สนใจส่งบทความ สามารถส่งไปได้ที่ midnightuniv(at)gmail.com โดยกรุณาใช้วิธีการ attach file
H
บทความลำดับที่ ๑๒๒๖ เผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ตั้งแต่วันที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๐ (April, 24, 04,.2007)
R

บทวิเคราะห์วรรณกรรมกับสังคมไทยร่วมสมัย
การเมืองเรื่องอัตลักษณ์ในนวนิยายเรื่อง "เสียงเพรียกจากท้องน้ำ"
นัทธนัย ประสานนาม
ภาควิชาภาษาและคติชนวิทยา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
ที่ทำงานปัจจุบัน: ภาควิชาวรรณคดี คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

บทวิเคราะห์วรรณกรรมชิ้นนี้ กองบรรณาธิการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนได้รับมาจากผู้วิจัย
เดิมชื่อ: การเมืองเรื่องอัตลักษณ์ในนวนิยายเรื่อง เสียงเพรียกจากท้องน้ำ ของประทีป ชุมพล
ซึ่งเป็นงานวิจัย ที่พยายามวิเคราะห์วรรณกรรมชิ้นนี้ในแนวนการเมืองเรื่องอัตลักษณ์
(Politics of Identity / Identity Politics) ซึ่งเป็นปฏิบัติการทางการเมืองเพื่อต่อสู้กับการกดขี่ต่างๆ
ผู้วิจัยมุ่งวิเคราะห์ในแง่ที่ว่า ประทีปเขียนนวนิยายเรื่องนี้เพื่อสร้างอัตลักษณ์ของชาวอูรังลาโว้ยให้แจ่มชัด
โดยอาจมุ่งชำระล้างภาพแทน (representation) ในการรับรู้ของผู้อ่านที่เห็นพวกเขาเป็นเพียง "ชาวเล" ที่ต้อยต่ำป่าเถื่อน
ในส่วนสุดท้าย ผู้วิจัยพยายามชี้ให้เห็นว่า การเมืองเรื่องอัตลักษณ์ในนวนิยายเรื่องนี้
เป็นการเมืองที่มีหลายมิติและสัมพันธ์กับอัตลักษณ์ของผู้เขียนเอง
(midnightuniv(at)gmail.com)

บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา
ข้อความที่ปรากฏบนเว็บเพจนี้ ได้มีการแก้ไขและตัดแต่งไปจากต้นฉบับบางส่วน
เพื่อความเหมาะสมเป็นการเฉพาะสำหรับเว็บไซต์แห่งนี้

บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ ๑๒๒๖
เผยแพร่บนเว็บไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๐
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ ๒๔.๕ หน้ากระดาษ A4)

++++++++++++++++++++++++++++++++++++

การเมืองเรื่องอัตลักษณ์ในนวนิยายเรื่อง เสียงเพรียกจากท้องน้ำ
นัทธนัย ประสานนาม
หมายเหต : บทความนี้ปรับปรุงจากบทความวิจัยชื่อ"การเมืองเรื่องอัตลักษณ์ในนวนิยายเรื่อง เสียงเพรียกจากท้องน้ำ ของประทีป ชุมพล"
ตีพิมพ์ครั้งแรกในวารสารมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปีที่ 4 ฉบับที่ 1 (กันยายน-ธันวาคม 2549)

บทนำ
ประเทศไทยมีชนกลุ่มน้อยกระจายอยู่ทุกภูมิภาคของประเทศซึ่งแสดงให้เห็นความหลากหลายทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรมในสังคมไทย ในปัจจุบันประเด็นการศึกษาเกี่ยวกับชนกลุ่มน้อยที่นักวิชาการสนใจมากคือเรื่องอัตลักษณ์ (identity) และอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ (ethnic identity) ซึ่งเป็นแนวคิดที่เสนอให้มองวัฒนธรรมและการนิยามตนเองในความสัมพันธ์กับกลุ่มชนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในความสัมพันธ์กับรัฐชาติ (ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี, 2546: 5) จึงกล่าวได้ว่า ประเด็นเรื่องอัตลักษณ์ชาติพันธุ์เป็นประเด็นที่ทันสมัย เพราะกำลังอยู่ในความสนใจของคนอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านที่เกี่ยวข้องกับปัญหาทางภาคใต้ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่

วิธีวิทยาของวรรณคดีเปรียบเทียบในฐานะสหวิทยาการ ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในประเทศไทยส่งผลให้มีการศึกษาแบบข้ามศาสตร์ กล่าวคือ ศึกษาวรรณคดีโดยใช้มุมมองของศาสตร์อื่น มานุษยวิทยานับเป็นอีกศาสตร์หนึ่งที่ผู้ศึกษาวรรณคดีเปรียบเทียบนำมาใช้ กอปรกับแนวโน้มของวรรณกรรมไทยในทศวรรษ 2540 ที่เริ่มให้ความสำคัญแก่อัตลักษณ์ท้องถิ่นและอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับมานุษยวิทยาอย่างเห็นได้ชัด สังเกตได้จากเรื่องสั้นและนวนิยายที่เข้าชิงรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (S.E.A. Writer Awards) ซึ่งเป็นรางวัลวรรณกรรมสำคัญของไทย เช่น "สายลมบนถนนโบราณ" ของมาโนช พรหมสิงห์, "ลิกอร์ พวกเขาเปลี่ยนไป" ของจำลอง ฝั่งชลจิตร, และ "โพรงมะเดื่อ" ของประมวล ดาระดาษ เป็นต้น. ด้วยเหตุนี้ นักวรรณคดีศึกษาเริ่มหันมาศึกษาวิเคราะห์อัตลักษณ์ที่ปรากฏในตัวบทมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะอาศัยแนวทางจากแนวคิดหลังอาณานิคม ในขอบข่ายของวรรณคดีและวัฒนธรรมศึกษา (ดู วิมลมาศ ปฤชากุล, 2547; พรธาดา สุวัธนวนิช, 2547)

นวนิยายเรื่อง "เสียงเพรียกจากท้องน้ำ" ของประทีป ชุมพล เข้ารอบสุดท้ายของรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียนใน พ.ศ. 2546 นวนิยายเรื่องนี้มีลักษณะเฉพาะในการนำเสนออัตลักษณ์ของชาว"อูรังลาโว้ย" ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยทางตอนใต้ของประเทศไทยผ่านการผสมผสานนวนิยายกับชาติพันธุ์วรรณนา (Ethnography) ซึ่งไม่ปรากฏบ่อยนักในผลงานของนักเขียนไทย

นับตั้งแต่มีงานเขียนเชิงชาติพันธุ์วรรณาใน "โคลงภาพต่างภาษา" สืบเนื่องมาจนถึงบทละครเรื่อง "เงาะป่า" พระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รวมทั้งงานเขียนและบันทึกของข้าราชการในแง่มุมเกี่ยวกับคนที่ไม่ได้อยู่ในศูนย์กลาง (ธงชัย วินิจจะกูล, 2546) งานเขียนเชิงชาติพันธุ์วรรณาที่ปรากฏในรูปแบบนวนิยายที่เห็นเด่นชัดมีนวนิยายเรื่อง "ในสายหมอก" และเรื่อง "หลับเถิดนางนอน" ของสมัย สุทธิธรรม ที่บรรยายสภาพชีวิตของชาวเขาเผ่าลีซอและอาข่า (พิณอำไพ สิริปูชกะ, 2543: 160-182)

เสียงเพรียกจากท้องน้ำ ของ ประทีป ชุมพล
"เสียงเพรียกจากท้องน้ำ" เป็นเรื่องเล่าของซายัค ชาวอูรังลาโว้ย ซายัคเล่าเรื่องของตนเองตั้งแต่เล็กจนโต ประเด็นของเรื่องเน้นที่วิถีชีวิตของชาวอูรังลาโว้ย วัฒนธรรมประเพณี และปฏิสัมพันธ์ที่มีต่อกลุ่มชาติพันธุ์อื่น โดยเฉพาะ "คนเมือง" ซึ่งหมายถึงคนไทยทั้งที่เป็นคนท้องถิ่นและคนที่มาจากส่วนกลาง ชีวิตของซายัคในฐานะอูรังลาโว้ยถูกกดขี่ทั้งโดยรัฐและคนเมือง ท้ายที่สุดซายัคและชาวอูรังลาโว้ยตัดสินใจเดินทางออกสู่ทะเล เพราะถูกยึดครองที่ดินที่เคยอาศัยอยู่ ไม่มีใครกลับมาจากการเดินทางครั้งนั้น ผู้เขียนให้ค่ามรณกรรมของพวกเขาว่า สูงส่งมีศักดิ์ศรีเหนือกว่าการมีชีวิตอยู่โดยต้องเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์ตามสภาพการณ์ที่บีบบังคับ

ผู้วิจัยสนใจวิเคราะห์นวนิยายเรื่อง "เสียงเพรียกจากท้องน้ำ" ของประทีป ชุมพล โดยเน้นที่ประเด็นการเมืองเรื่องอัตลักษณ์ (Politics of Identity / Identity Politics) ซึ่งเป็นปฏิบัติการ (practice) ทางการเมืองเพื่อต่อสู้กับการกดขี่ต่างๆ โดยสร้างพลังจากอัตลักษณ์ของตนเองหรือกลุ่มของตนเอง (ฉลาดชาย รมิตานนท์, 2549) ผู้วิจัยมุ่งวิเคราะห์ในแง่ที่ว่าประทีปเขียนนวนิยายเรื่องนี้เพื่อสร้างอัตลักษณ์ของชาวอูรังลาโว้ยให้แจ่มชัด โดยอาจมุ่งชำระล้างภาพแทน (representation) ในการรับรู้ของผู้อ่านที่เห็นพวกเขาเป็นเพียง "ชาวเล" ที่ต้อยต่ำป่าเถื่อน รวมทั้งพิจารณากระบวนการสร้างอัตลักษณ์ดังกล่าว เพื่อชี้ให้เห็นว่าการเมืองเรื่องอัตลักษณ์ในนวนิยายเรื่องนี้เป็นการเมืองที่มีหลายมิติและสัมพันธ์กับอัตลักษณ์ของผู้เขียนเองอย่างเห็นได้ชัด

นิยามศัพท์เฉพาะ

1. "อูรังลาโว้ย" คือชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่แถบชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกทางภาคใต้ของประเทศไทย อาชีพหลักคือการจับสัตว์น้ำ มีชื่อที่ใช้เรียกทั่วไปว่า "ชาวเล" หรือ "ชาวน้ำ" (วิสิฏฐ์ มะยะเฉียว, 2532: 217) ในงานวิจัยนี้ผู้วิจัยขอออกเสียง "อูรังลาโว้ย" ตามประทีป ชุมพล ซึ่งเป็นผู้เขียนนวนิยายเพื่อให้เกิดความสม่ำเสมอในงานวิจัย ถึงแม้จะแตกต่างกับเสียงอ่านอื่นที่พบ เช่น อูรักลาโว้ย และ อูรังละโว้ย ก็ตาม

2. อัตลักษณ์ (identity) คือความสำนึกหรือความตระหนักว่าตัวเองเป็นใคร ทั้งในระดับปัจเจกบุคคล (individual) และระดับรวมหมู่ (collective) อัตลักษณ์ขึ้นอยู่กับการนิยามตนเองและผู้อื่น เช่น การนิยามตนเองว่าเป็นคนไทยก็เท่ากับเป็นการนิยาม "ความไม่เป็นไทย" ชุดหนึ่งขึ้นมาด้วย ทั้งนี้อัตลักษณ์ถือเป็นสิ่งประกอบสร้าง (constructed) ไม่ใช่สิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด (innate) แต่เกิดจากการหล่อหลอมของสังคมและสถาบันต่างๆ อัตลักษณ์จึงเป็นสิ่งที่ลื่นไหลและมีพลวัต

3. การเมืองเรื่องอัตลักษณ์ (Politics of Identity / Identity Politics) คือปฏิบัติการทางการเมืองเพื่อต่อสู้กับการกดขี่ต่างๆ โดยสร้างพลังจากอัตลักษณ์ของตนเองหรือกลุ่มของตนเอง เน้นปฏิบัติการสามด้านคือ

1) ยืนยันอัตลักษณ์ที่มีอยู่ร่วมกันเพื่อสร้างพลังอำนาจในการต่อรอง

2) รื้อสร้าง(deconstruct) อัตลักษณ์ต่างๆ ว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์หรือสิ่งประกอบสร้างทางสังคม เพื่อปฏิเสธอัตลักษณ์ที่ถูกยัดเยียดให้

3) ให้ความสำคัญแก่ความแตกต่างหลากหลาย และความเลื่อนไหลของอัตลักษณ์
(Andermahr, L. & Wolkowitz, 1997 อ้างถึงใน ฉลาดชาย รมิตานนท์, 2549)

ประวัติศาสตร์แห่งการกดขี่: "รัฐ" และ "คนเมือง" กับการทำลายอัตลักษณ์ของอูรังลาโว้ย
การเมืองเรื่องอัตลักษณ์ประการแรกที่สมควรกล่าวถึงโดยอ้างอิงจากตัวบทคือ ประวัติศาสตร์แห่งการกดขี่ที่รัฐและคนเมืองกระทำต่อชาวอูรังลาโว้ย ประวัติศาสตร์ในลักษณะนี้มีความสำคัญเพราะมีส่วนในการสร้างอัตลักษณ์ของกลุ่มให้ชัดเจน ดังที่ Keyes (1997: 153 อ้างถึงใน ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี, 2546: 7-8) กล่าวว่า ที่มาของกำเนิดร่วมอันเป็นอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ ส่วนหนึ่งมาจากความทรงจำร่วมถึงประวัติศาสตร์การถูกกดขี่จากกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ประสบการณ์การถูกกดขี่ร่วมกันดังที่ปรากฏใน "เสียงเพรียกจากท้องน้ำ" หล่อหลอมให้เกิดความเคลื่อนไหวและพยายามสร้างอำนาจต่อรองในอาณาเขตของตัวบท

พ่อและแม่ของซายัคเดินทางจากเขาไปตั้งแต่ยังเล็ก ซายัคในฐานะผู้เล่าเรื่องที่เป็นตัวละครเอกมีประวัติศาสตร์ครอบครัวที่สัมพันธ์กับประวัติศาสตร์แห่งการกดขี่โดยตรง พ่อและแม่ของซายัคถูกบังคับให้ "ออกแสดงงานวัดร่วมกับพวกซาไก ถ้าวันไหนเขาไม่ยอมแสดง พวกคนเมืองจะกระทำทารุณต่างๆ นานา ที่สุดเมียของอาเง็นก็ล้มป่วยเสียชีวิตลง. อาเง็นคลุ้มคลั่งและใช้ซำโป๊หลิ่งแทงคนคุมตาย ในที่สุดเขาจึงถูกตำรวจจับมาขังไว้ในกรง" (ประทีป ชุมพล, 2546: 24-25) การนำชาวอูรังลาโว้ยออกแสดงตามงานวัดเป็นการลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ ทั้งยังสะท้อนว่า "คนเมือง" มองอูรังลาโว้ยด้วยสายตาที่เป็นอื่น เห็นเป็นของแปลกน่าพิศวง เช่นเดียวกับคนที่มีรูปร่างพิกลพิการลักษณะต่างๆ ที่แสดงอยู่ในคณะละครสัตว์ของชนชาติตะวันตก

ภาพลักษณ์ของอูรังลาโว้ยในสายตาของคนเมืองมีค่าเท่ากับสัตว์ "ใช่...ไอ้นี่มันบ้า...แกเข้าใจไหม มันไม่ใช่มนุษย์ มันคล้ายคนเท่านั้นเอง อย่างอื่นเหมือนสัตว์ สกปรก ป่าเถื่อน แถมโหดร้ายเหมือนหมาบ้า" (ประทีป ชุมพล, 2546: 25) การให้ค่าอูรังลาโว้ยเป็นแค่สัตว์นั้น เป็นการตอกย้ำวาทกรรม (discourse) ว่าคนเมืองมีความเหนือกว่า และมีความชอบธรรมที่จะจัดการกับอูรังลาโว้ยอย่างไรก็ได้โดยไม่มีความผิด เพราะกฎหมายมิได้รับรองสถานะความเป็นพลเมืองหรืออีกนัยหนึ่งคือความเป็นมนุษย์ให้แก่ชาวอูรังลาโว้ย

รูปการณ์ของการกดขี่ที่ครอบครัวซายัคประสบเกิดจากความคิดที่ว่า อูรังลาโว้ยนั้นเป็นคนป่าเถื่อนที่ด้อยกว่า ดังที่ปรากฏให้เห็นอยู่เสมอว่าชนในศูนย์กลางปฏิสัมพันธ์กับชนชายขอบบนพื้นฐานอุดมการณ์ที่ว่า อารยธรรมของศูนย์กลางมีความเหนือกว่าและดีกว่าวัฒนธรรมของพวกชนชายขอบ และถือเป็นหน้าที่ของรัฐและชนศูนย์กลางในการเข้าไปยกระดับวัฒนธรรมของพวกชนชายขอบให้สูงขึ้น โดยละทิ้งวัฒนธรรม ความเชื่ออันล้าหลังของตน และเปลี่ยนมายอมรับอารยธรรมแบบศูนย์กลาง (ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี, 2546: 9) อารยธรรมแบบศูนย์กลางเริ่มต้นจากการนิยามให้ชาวอูรังลาโว้ยกลายเป็น "ไทยใหม่"

รัฐดำเนินนโยบายการผนวกรวม (integration) กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง รัฐในยุคสมัยภายในตัวบทต้องการสร้างสำนึกความเป็นไทยให้แก่กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ เพื่อง่ายแก่การปกครอง และเพื่อแสดงตนในฐานะชาติที่เจริญแล้ว กระบวนการสร้างความ "ศิวิไลซ์" ดังกล่าวมีการจัดจำแนกทางชาติพันธุ์ (ethnic categorization/classification) ซึ่งประกอบด้วยการแยกประเภทของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ออกจากกัน ด้วยการหาหรือสร้างอัตลักษณ์ร่วมเฉพาะของกลุ่มชาติพันธุ์แต่ละกลุ่ม และการสร้างชื่อเรียกอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ที่รัฐสร้างและจัดจำแนกขึ้น (ethnic categories) จึงเป็นอัตลักษณ์ที่สร้างขึ้นจากภายนอก เป็นอัตลักษณ์ประดิษฐ์ ซึ่งต่างจากอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ที่สร้างจากภายใน (self-identification) ตรงที่เป็นอัตลักษณ์ที่ถูกแช่แข็ง เปลี่ยนแปลงยาก (stereotype) และถูกทำให้เป็นสถาบัน (institutionalization of ethnicity) เพื่อประโยชน์ในการจัดการและควบคุม (ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี, 2546: 10)

ในกรณีของอูรังลาโว้ย รัฐกำหนดให้มาขึ้นทะเบียน ตั้งนามสกุล ให้มีทะเบียนบ้านเป็นของตนเอง และมีฐานะเป็น "ไทยใหม่" ตามการจัดจำแนก การสร้างอัตลักษณ์ใหม่แล้วนำไปยัดเยียดให้แก่อูรังลาโว้ย เป็นการสั่นคลอนทำลายอัตลักษณ์ดั้งเดิม ซึ่งเป็นปฏิบัติการที่รัฐกระทำเพื่อผนวกรวม แม้นโยบายดังกล่าวจะประสบผลสำเร็จในเชิงหลักการ แต่ในทางปฏิบัติ นโยบายนี้ไม่สามารถลบล้าง "แรงต้าน" (resistance) ที่อยู่ในความสำนึกของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ถูกผนวกรวมได้

ดังที่ประทีป เสนอแรงต้านนี้ผ่านเสียงของผู้เล่าเรื่อง "ฉันสงสัยว่าท่านผู้นำจากบางกอกจะมายกย่องพวกเราให้เป็นคนเมืองด้วยเหตุอันใดอีก อันที่จริงพวกเราก็เป็นคนอยู่แล้ว ในอดีตบรรพชนของพวกเราก็เป็นคน และในอนาคตลูกหลานของเราก็เป็นคนอยู่เหมือนเดิม...ก็เช่นเดียวกับคนเมือง" (ประทีป ชุมพล, 2546: 49)

การผนวกรวมอูรังลาโว้ยในฐานะชนกลุ่มน้อยให้เข้าสู่กระแสหลัก (mainstream) เท่ากับเป็นการเนรเทศพวกเขาให้พ้นไปจากปริมณฑลของอัตลักษณ์ดั้งเดิม ปรากฏการณ์นี้แม้มิได้เกิดจากการกระทำของรัฐทั้งหมด แต่ก็นับเนื่องว่าเกิดจากคนเมืองซึ่งรัฐให้อำนาจ แต่ถึงแม้ปราศจากอำนาจรัฐ คนเมืองเหล่านี้ก็ถือสิทธิในการเนรเทศชาวอูรังลาโว้ย เพราะรัฐไม่ได้เข้ามาควบคุม จัดการ หรือให้ความเป็นธรรมแก่ "ไทยใหม่" ที่ได้นิยามขึ้น. กล่าวได้ว่าแม้ชาวอูรังลาโว้ยจะได้รับสิทธิพลเมือง แต่ก็ยังถูกเลือกปฏิบัติให้เป็นพลเมืองชั้นสองอยู่เช่นเดิม

ที่กล่าวว่าการกระทำของรัฐและคนเมืองนั้นนับเป็นการเนรเทศ เราอาจถือตามคำจำกัดความของ Ashcroft, Griffiths, and Tiffin (2000: 93) ว่าการเนรเทศ (Exile) สร้างขึ้นโดยลัทธิล่าอาณานิคม เป็นแรงกดดันที่กระทำต่อคนที่อยู่ในอาณานิคมให้พวกเขาเนรเทศตนเองออกจากวัฒนธรรม ภาษาและขนบประเพณี การกดขี่ผ่านการเนรเทศที่ปรากฏในนวนิยายเรื่องนี้จึงมีความหมายสองประการ

ประการแรก เป็นการเนรเทศในเชิงพื้นที่ และ
อีกประการหนึ่ง เป็นการเนรเทศในเชิงวัฒนธรรม

การเนรเทศในเชิงพื้นที่
การเนรเทศในเชิงพื้นที่ เกิดจากการควบคุมของรัฐที่เบียดขับให้ชาวอูรังลาโว้ยต้องอยู่รวมในบริเวณเดียวกันคือ ปลายแหลมตุ๊กแก เกาะสิเหร่ จังหวัดภูเก็ต กอปรกับความโลภของเจ้าหน้าที่ที่เป็นตัวแทนของรัฐ เช่น กำนันที่ลวงให้โต๊ะครูหมอในฐานะผู้นำชุมชนลงนามในเอกสารสิทธิ ทำให้ชาวอูรังลาโว้ยต้องถูกขับออกจากที่ที่เคยอาศัยอยู่สืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน

ตามความคิดของอูรังลาโว้ย แผ่นดินนี้มิใช่ของใครแต่เพียงผู้เดียว แต่มี"กราไม"ผีผู้พิทักษ์ผืนดินเป็นผู้ดูแล ซึ่งถือว่าเป็นการรับรองสิทธิโดยชุมชนเอง (เลิศชาย ศิริชัย และคณะ, 2546: 282) ดังที่ปู่กล่าวแก่ซายัคว่า "จงจำไว้โต๊ะครูหมอไม่ใช่กราไม...และกราไมก็ไม่ใช่โต๊ะครูหมอ กราไมอยู่บนสรวงสวรรค์ แวดล้อมด้วยสิ่งดีๆ แต่โต๊ะครูหมออยู่ในแวดวงของคนเมืองที่เลว บอกตรงๆ ปู่กลัวเหลือเกิน" (ประทีป ชุมพล, 2546: 57)

ประทีปแสดงให้เห็นว่า การจัดการพื้นที่โดยอาศัยอำนาจของรัฐเป็นการถือครองโดยไม่ชอบธรรม เพราะเป็นการกระทำที่ขึ้นอยู่กับการจัดสรรผลประโยชน์ในหมู่คนเมืองเอง สอดคล้องกับที่เลิศชาย ศิริชัย และคณะ (2546: 66) กล่าวถึงปัญหานี้ไว้ว่า การทำลายสิทธิในการกำหนดเจตจำนงตนเองของชุมชน ซึ่งนำมาสู่ปัญหาต่างๆ ในปัจจุบัน เกิดจากสิ่งที่รัฐเรียกว่า "การพัฒนา" สิทธิที่เคยเป็นของชุมชนถูกทำให้ไขว้เขว และถูกดึงไปเป็นสิทธิของรัฐและสิทธิของเอกชน ซึ่งปรากฏชัดแล้วว่าผู้ได้เปรียบในสังคมเท่านั้นที่จะมีสิทธิในส่วนนี้อย่างจริงจัง

การเนรเทศเชิงวัฒนธรรม
การเนรเทศเชิงวัฒนธรรม คือปฏิบัติการของรัฐที่เข้ามาคุกคามอัตลักษณ์ดั้งเดิมของชาวอูรังลาโว้ยผ่านการจัดการศึกษาและศาสนา เช่นเดียวกับการเข้าไปสู่อาณานิคมของชนชาติตะวันตก ที่ต้องนำศาสนาและระบบการศึกษาของเจ้าอาณานิคมเข้าไปด้วยเสมอ (ดูเพิ่มเติมใน สมใจ ไพโรจน์ธีระรัชต์, 2536: 123-128) เป็นไปได้ว่าทั้งสองสิ่งนี้เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการเปลี่ยนแปลงคน เพราะเป็นการเข้าไปบ่อนเซาะอัตลักษณ์ดั้งเดิมของคนในอาณานิคม ในระดับของระบบคิด. ประทีปแสดงให้เห็นว่าการจัดการศึกษาและศาสนานั้น ทำงานร่วมกันเป็นอย่างดีในการทำลายอัตลักษณ์ของอูรังลาโว้ย

ชาวอูรังลาโว้ยยินดีไปโรงเรียนเพื่อที่จะได้รู้หนังสือ และไม่ถูกชาวเมืองกดขี่โดยง่ายเหมือนเมื่อก่อน ในโรงเรียนนี้เองที่ซายัคเริ่มรับรู้ถึงความตึงเครียดที่เกิดขึ้นจากอัตลักษณ์ใหม่ที่ถูกปลูกฝังผ่านระบบการศึกษา กับอัตลักษณ์ดั้งเดิมที่หล่อหลอมขึ้นมาตามขวบวัยของการเติบโต กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า ชาวอูรังลาโว้ยมีชุดความรู้ที่เป็นของตนเองอยู่แล้ว เป็นภูมิปัญญาที่ถ่ายทอดกันมาในกลุ่มชน เพื่อตอบสนองความต้องการในการดำรงชีพ, ชาวอูรังลาโว้ย "อ่านน้ำจำลม อ่านฟ้าจำดาว" บางคนรู้แม้กระทั่งเสียงชนิดใดคือเสียงของปลาอะไร กำลังอยู่ตรงไหนมาก โดยดำน้ำลงไปฟัง (เลิศชาย ศิริชัยและคณะ, 2546: 275) ซายัคเองที่ได้รับความรู้ในลักษณะนี้มาโดยตลอด จึงตั้งคำถามกับความรู้ชุดใหม่ที่เรียนในโรงเรียน

ฉันได้รับการเรียนรู้จากทะเล สายลม แสงแดด ปราหู้และคนรอบข้างจากปู่มาก่อน แต่เมื่อเข้าโรงเรียน ครูนำเอาสิ่งที่คิดว่าดีจากคนเมืองมาสอนพวกเรา และมักดูถูกพวกเราว่าเป็นคนทะเล คนเถื่อน คนไม่รู้หนังสือ และเป็นคนที่ยากจน ความจริงแล้ว ครูใช้เวลาล้างความเชื่อที่เราเคยมีเคยเรียนรู้มาว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และนำความคิดของคนเมืองมาใส่สมองของพวกเรา ซึ่งมีแต่เรื่องยกย่องพวกคนเมือง พวกเขาดี พวกเขาเก่งในทุกๆทาง (ประทีป ชุมพล, 2546: 64)

นอกจากการตั้งคำถามแล้ว ผู้เขียนยังกำหนดให้ผู้เล่าเรื่องกล่าวโจมตีโรงเรียนซึ่งเป็นสถาบันที่รัฐจัดตั้งขึ้นเพื่อควบคุมอูรังลาโว้ย ผู้เล่าเรื่องกล่าวว่า "ปัญญาจากโรงเรียนใช่หรือไม่ที่สอนให้คนเมืองรู้จักการคดโกง ดูถูกเหยียดหยามผู้ที่ด้อยกว่าตน และเพราะ 'ปัญญา' ของคนเมืองนี่เอง ฉันคิดว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเราเดือดร้อนอย่างไม่สิ้นสุด" (ประทีป ชุมพล, 2546: 90) เสียงของผู้เล่าเรื่องตอนนี้ย้ำความเป็นสถาบันของโรงเรียน คนเมืองชั่วร้ายเพราะผ่านระบบการศึกษาของโรงเรียน ชาวอูรังลาโว้ยจึงมีแนวโน้มที่จะมีลักษณะเหมือนคนเมืองเพราะได้รับการขัดเกลาแบบคนเมือง การธำรงรักษาอัตลักษณ์ให้บริสุทธิ์เหมือนก่อนจึงเป็นไปได้ยาก

มีชาวอูรังลาโว้ยบางคนได้รับประโยชน์โดยตรงจากความรู้ที่เรียนในโรงเรียน แต่ประทีปแสดงให้เห็นว่าแทนที่คนเหล่านั้น จะใช้ความรู้ในการต่อสู้เพื่อกลุ่มชาติพันธุ์ของตน กลับถูกผนวกรวมเข้าไปอยู่ในกระแสหลักและกลายเป็นคนของรัฐเสียเอง ดังกรณีของยูโซปเพื่อนของซายัคที่ตอนท้ายเรื่องได้ดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน ส่วนปูลูเพื่อนของซายัคอีกคนหนึ่งซึ่งพยายามตั้งตนเป็นผู้นำในการรวมพลังเรียกร้องความเป็นธรรมเรื่องที่ดิน กลับถูกฆาตกรรมอย่างมีเงื่อนงำ

ด้านการนำศาสนาพุทธเข้ามาเผยแผ่ในหมู่ชาวอูรังลาโว้ยนั้น ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากสถาบันการศึกษา "ครูเคยบอกกับเราว่าดี เหมือนกับคนเถื่อนจะได้มีศาสนา ครูบอกว่าพวกเราจะได้เลิกนับถือผี… ครูบอกให้พวกเรามานับถือศาสนาของคนเมืองเพื่อชีวิตจะดีขึ้น" (ประทีป ชุมพล, 2546: 73) คำกล่าวของครูถูกตั้งคำถามผ่านตัวบท "พระท่านเทศนาสั่งสอนให้พวกเราทำความดี ละความชั่ว ซึ่งคำสอนก็ไม่ต่างกับของพวกเรา" (ประทีป ชุมพล, 2546: 78)

และอีกครั้งเมื่อซายัคมีโอกาสได้เข้าร่วมพิธีกรรมของศาสนาพุทธ "พระก็เหมือนๆ กัน เพราะนอกจากจะติดต่อกับผีได้แล้ว ยังสามารถบอกกับชาวเมืองได้ว่า ญาติพี่น้องที่ตายไปอยู่ที่ไหนบ้าง ในนรกหรือในสวรรค์ ... คิดถึงคำที่ครูเคยสอนไว้ว่าพวกที่นับถือผีเป็นคนเถื่อน ชาวเมืองก็ควรจะเป็นคนเถื่อนเช่นอูรังลาโว้ย" (ประทีป ชุมพล, 2546: 78) เสียงของผู้เล่าเรื่องนับเป็นการเมืองเรื่องอัตลักษณ์ที่ตั้งคำถาม และพยายามโต้กลับอัตลักษณ์ประดิษฐ์ที่รัฐพยายามสร้างขึ้นเพื่อกลบลบอัตลักษณ์ดั้งเดิมของชาวอูรังลาโว้ย

อย่างไรก็ตาม การเมืองเรื่องอัตลักษณ์ในนวนิยายเรื่องนี้ยังคงโจมตีศาสนา ที่คนเมืองนำเข้ามาเพื่อเปลี่ยนแปลงวิถีความคิดของอูรังลาโว้ย ผู้เขียนแสดงให้เห็นว่าสถาบันศาสนาเองก็รับใช้คนเมือง หาได้บริสุทธิ์ซื่อตรงดังที่พยายามชวนเชื่อไม่ โดยเฉพาะกรณีที่สมภารพยายามปกป้องเถ้าแก่เส็งผู้เป็น "ศัตรูตัวฉกาจ" ของชาวอูรังลาโว้ย "น่าสังเกตว่าไม่มีใครกล่าวโทษเถ้าแก่เส็งว่าเป็นตัวการในการทำให้ปูลูตาย ฝ่ายเถ้าแก่เส็งก็เก็บตัวเงียบ เขาฉลาดที่ทำบุญผ่านสำนักสงฆ์ สมภารจึงมักออกมาปกป้องและนำของมาแจกในหมู่บ้าน โดยบอกว่าเถ้าแก่เส็งเป็นผู้บริจาค" (ประทีป ชุมพล, 2546: 121) ยิ่งไปกว่านั้น ตอนท้ายเรื่อง สมภารละสมณเพศกลายเป็นผู้ค้าที่ดินรายใหญ่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่ได้มีคุณธรรมแท้จริง

นอกจากการศึกษาและศาสนาในฐานะสถาบันแล้ว ยังมีการสร้างสถาบันนันทนาการขึ้นใหม่ในชุมชนชาวอูรังลาโว้ย ซึ่งสมควรนับว่าเป็นส่วนหนึ่งของการทำลายอัตลักษณ์ดั้งเดิม "รำวงเป็นที่นิยมของคนในหมู่บ้าน หนุ่มสาวหลงระเริงกับของใหม่ ที่สร้างอารมณ์ให้ผู้ชายหวั่นไหวในกามารมณ์ อีกทั้งสิ้นเปลืองมาก เพราะต้องซื้อตั๋วราคาแพงในแต่ละรอบ พวกเราออกทะเลไปหาปลาแทนที่ได้เบี้ยมา จะได้นำมาใช้จ่ายหรือไม่ก็เก็บออมเบี้ยเอาไว้ กลับซื้อตั๋วรำวงเสียหมด" (ประทีป ชุมพล, 2546: 58) ผู้เล่าเรื่องมองสถานการณ์ดังกล่าวด้วยสายตาที่หวาดหวั่น

การปะทะกันระหว่างกลไกที่รัฐและคนเมืองนำมาเพื่อทำลายอัตลักษณ์ของอูรังลาโว้ย กับการเมืองเรื่องอัตลักษณ์ที่ผู้เขียนดำเนินการผ่านนวนิยาย ผลสรุปสุดท้ายปรากฏในคำพูดของปู่ที่กล่าวยืนยันว่า อูรังลาโว้ยจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง "ซายัคหลานรัก ปู่ลืมบอกเรื่องที่มูญัง (บรรพบุรุษ) เคยสอนว่า พวกที่เข้ามาให้เราเป็นอะไรเราก็เป็นได้ แต่ท้ายที่สุดพวกเราก็ยังเป็นชาวอูรังลาโว้ยและนับถือผีอยู่เหมือนเดิม ตราบใดที่พวกเรายังล่องปราหู้ (เรือ) และยังล่าปลาในทะเล จงจำไว้" (ประทีป ชุมพล, 2546: 74)

นวนิยายเชิงชาติพันธุ์วรรณนา: "ภาพแทน" กับการกอบกู้อัตลักษณ์ในอาณาเขตของตัวบท
อภิญญา เฟื่องฟูสกุล (2546: 113) กล่าวว่า "การเมืองเรื่องอัตลักษณ์เป็นเรื่องของการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์ เน้นกระบวนการผลิตความหมายและการสร้างอัตลักษณ์ใหม่" อัตลักษณ์ของอูรังลาโว้ยที่อยู่ในวาทกรรมกระแสหลักถูกสร้างโดยรัฐและคนเมืองซึ่งถือว่าเป็น "คนนอก" อัตลักษณ์ดังกล่าวจึงตั้งอยู่บนรากฐานของความเป็นอื่น (otherness) เพราะฉะนั้น การเมืองเรื่องอัตลักษณ์ที่ปรากฏใน "เสียงเพรียกจากท้องน้ำ" จึงถูกเขียนขึ้นใหม่ผ่านภาพแทน เรื่องเล่าและการบรรยายแบบชาติพันธุ์วรรณนา โดยผู้เขียนกำหนดให้เรื่องถูกเสนอผ่านสายตาของ "คนใน" เพื่อล้มล้างอัตลักษณ์ที่สร้างขึ้นตามวาทกรรมที่กล่าวถึงข้างต้น

ชาติพันธุ์วรรณนาเป็นสาขาหนึ่งของการวิจัยทางมานุษยวิทยา ศึกษาด้วยการสังเกตโดยตรงและรายงานวิถีชีวิตของกลุ่มชน วิธีการนี้เป็นวิธีวิทยาพื้นฐานที่ใช้ในหมู่นักมานุษยวิทยาวัฒนธรรมประกอบด้วย 2 ระดับขั้น. ขั้นแรกคือ "ภาคสนาม" เป็นคำที่ใช้กับกระบวนการสังเกตและบันทึกข้อมูล ขั้นต่อมาเป็นการรายงานผ่านสื่อ เขียนพรรณนาเป็นลายลักษณ์อักษรและวิเคราะห์ประเด็นที่ศึกษา (Ashcroft, Griffiths, and Tiffin, 2000: 85) ซึ่งปรากฏเนื้อหาที่ผู้เขียนบรรยายวิถีชีวิตของอูรังลาโว้ยผ่านเสียงของผู้เล่าเรื่อง ตั้งแต่ลักษณะการแต่งกาย รายละเอียดเกี่ยวกับประเพณีพิธีกรรมต่างๆ ซึ่งสอดคล้องกับลักษณะของชาติพันธุ์วรรณนาอย่างเห็นได้ชัด

เริ่มตั้งแต่หน้าแรกของบทแรกในนวนิยาย "พวกเรามักใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในท้องน้ำเพื่อล่าปลาและหลับบนชายหาด การแต่งตัวของพวกเราส่วนใหญ่เปลือยกายท่อนบน ส่วนท่อนล่างชายหญิงมักนุ่งผ้าปาเต๊ะที่แลกซื้อมาจากคนเมือง" (ประทีป ชุมพล, 2546: 15) ประเพณีพิธีกรรมที่ปรากฏในเรื่อง ประทีปบรรยายอย่างละเอียดลอออาจเพื่อเน้นว่าอูรังลาโว้ยมีอารยธรรมที่เป็นของตนเอง มิได้ป่าเถื่อนดังที่ปรากฏในชุดความรู้ของคนเมือง เช่น ประเพณีการเกิดที่กล่าวถึงพิธีกรรมของหมอตำแย

"โต๊ะบิดัดก็นำข้าวสาร หมากพลู เทียนไข ด้ายดิบมาวางตรงหน้า จากนั้นก็ได้จุดเทียนแล้วเชิญมูญังผีบรรพชนมารับเครื่องบูชาและคุ้มครองมะกับลูก" (ประทีป ชุมพล, 2546: 134) พิธีกรรมเกี่ยวกับการตายซึ่งสะท้อนความเชื่อเรื่องผี (ดูเพิ่มเติมใน เลิศชาย ศิริชัยและคณะ, 2546: 289) และความผูกพันของชาวอูรังลาโว้ยที่มีต่อธรรมชาติดังที่ต้องปลูกต้นมะพร้าวไว้บนหลุมศพ

พิธีกรรมสำคัญที่ผู้เขียนบรรยายอย่างละเอียดเช่นกันคือพิธีลอยบาปของชาวอูรังลาโว้ย เป็นพิธีที่สะท้อนความเชื่อเรื่องผีเช่นกัน แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือบทบาทของพิธีกรรมนี้ในฐานะเป็นศูนย์กลางของชุมชนทำให้ชาวอูรังลาโว้ยมีโอกาสมาร่วมกันจัดเตรียมและดำเนินงานพิธี นับเป็นส่วนช่วยให้อัตลักษณ์ของชุมชนและชาติพันธุ์เกิดความเป็นปึกแผ่นมากยิ่งขึ้น

เมื่อปราหู้ประจั๊กเสร็จสิ้นสมบูรณ์สวยงาม ขบวนรำโทนรำมะนาเข้ามาร้องรำรอบๆปราหู้ โดยดาโต๊ะจะเข้ามาในวงล้อมและจุดกำยานนำมาไว้ที่ส่วนท้าย พร้อมจุดเทียนและนำหมากพลูมาบูชาบรรพชน นำข้าวตอกมาซัดรอบๆปราหู้ ในระหว่างนั้นขบวนแห่แหนโดยรอบตลอด ... เมื่อน้ำทะเลขึ้นสูงสุด จนน้ำทะเลเริ่มทรง ดาโต๊ะจะทำพิธีสาดน้ำรอบปราหู้ประจั๊ก และทุกคนจะผลัดกันสาดน้ำ รอจนน้ำทะเลเริ่มลด ดาโต๊ะทำพิธีลอยปราหู้ประจั๊ก และท้ายสุดชาวบ้านต่างนำข้าวตอกที่จัดเตรียมไว้รูดไปตามร่างกายแล้วซัดลงในปราหู้ประจั๊กเป็นการฝากความชั่วร้ายไปกับปราหู้ประจั๊กลำนั้น (ประทีป ชุมพล, 2546: 100)

นอกจากนวนิยายเรื่องนี้ยังมีชาติพันธุ์วรรณนาอีกหลายชิ้นที่กล่าวถึงวิถีชีวิตของชาวอูรังลาโว้ย ที่น่าสนใจคือชาติพันธุ์วรรณนาที่ตีพิมพ์ในนามกรมศิลปากรซึ่งเป็นหน่วยงานของทางราชการ วิธีการอธิบายของชาติพันธุ์วรรณนาฉบับทางการต่างกับงานของประทีปอย่างเห็นได้ชัด เพราะเจตจำนงที่ผู้เขียนแสดงเอาไว้ในตอนเริ่มต้นแสดงให้เห็นว่า แม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าใด หรือนโยบายการผนวกรวมจะได้รับการส่งเสริมมากขึ้นเพียงใด อูรังลาโว้ยก็ยังคงเป็นอื่นในสายตาของรัฐและคนเมือง ดังความว่า

ความเข้าใจอันดีที่จะมีต่อชาวเลภูเก็ตในครั้งนี้ น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาเพื่อพัฒนาแบบแผนการดำเนินชีวิตของพวกชาวเลในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ได้อย่างสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมของจังหวัดภูเก็ตทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จังหวัดภูเก็ตเป็นเมืองท่องเที่ยวที่เป็นที่เชิดหน้าชูตาแห่งหนึ่งของประเทศไทย การดำเนินงานอันเป็นการส่งเสริมเพื่ออนุรักษ์ชาวเลตามแนวทางที่ถูกที่ควร น่าจะเป็นแรงจูงใจทางด้านการท่องเที่ยวอีกทางหนึ่งด้วย (วิสิฏฐ์ มะยะเฉียว, 2532: 219)

จากข้อความที่คัดมาจะสังเกตเห็นว่า ชาติพันธุ์วรรณนาชิ้นนี้เขียนขึ้นมาเพื่อรับใช้อำนาจของรัฐ เป็นความรู้ที่รัฐจะนำไปเกื้อหนุนกระบวนการ "อนุรักษ์" นั่นหมายความว่าชาวอูรังลาโว้ยถูกลดสภาพกลายเป็นส่วนหนึ่งของสถานที่ท่องเที่ยว และเป็นเพียงวัตถุที่ถูกนักท่องเที่ยวจ้องมอง (Tourist gaze) (ดู Urry, 2002 cited in Featherstone, 2005: 215; Smith, 2003) ทางราชการและธุรกิจการท่องเที่ยวพยายามทำให้นักท่องเที่ยว โดยเฉพาะชาวต่างชาติเข้าใจว่า ชาวเลคือกลุ่มคนดั้งเดิมที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในถิ่นของความเจริญ (เช่นเดียวกับชาวเขาในทางภาคเหนือ) (เลิศชาย ศิริชัยและคณะ,2546: 304) วิถีชีวิตและวัฒนธรรมของพวกเขากลายเป็นสินค้าที่จะนำรายได้เข้าสู่รัฐ การกระทำดังกล่าวนี้ แทนที่จะเป็นการผนวกรวมกลุ่มชาติพันธุ์อื่นเข้าสู่กระแสหลักกลับเป็นการ "ดึงให้พวกเขาถูกแปลกแยก ถูกดึงให้เป็นคนชายขอบ" (อานันท์ กาญจนพันธุ์, 2549: 5)

นอกจากนั้นชาติพันธุ์วรรณนาชิ้นนี้ยังมีวิธีอธิบายว่า การที่อัตลักษณ์ดั้งเดิมของชาวเลต้องเปลี่ยนแปลงนั้น เป็นเรื่องปกติของสังคมที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลง "การรับเอาวัฒนธรรมทางด้านวัตถุ... เป็นการรับเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ทำให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เป็นการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี ซึ่งถือได้ว่าเป็นรากฐานของวิวัฒนาการทางสังคม" (วิสิฏฐ์ มะยะเฉียว, 2532: 250)

คำอธิบายชุดนี้เป็นสิ่งที่นวนิยายต่อต้าน ดังที่แสดงให้เห็นมาโดยตลอดว่าอัตลักษณ์ที่แท้จริงของอูรังลาโว้ย เกิดจากการยึดมั่นในวิถีชีวิตดุจเดียวกับบรรพชน สิ่งนี้เองคือการเมืองเรื่องอัตลักษณ์ที่เสนอผ่านชาติพันธุ์วรรณนาเพื่อย้ำว่า แม้แต่มโนทัศน์เกี่ยวกับความรู้เองก็เจือปนด้วยค่านิยม เพราะว่าสิ่งที่ "เป็นที่รู้กัน" ขึ้นอยู่กับว่า "รู้ได้อย่างไร" นั่นหมายความว่า ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรม "ถูกสร้าง" มากกว่า "ถูกค้นพบ" โดยชาติพันธุ์วรรณนา (Ashcroft, Griffiths, and Tiffin, 2000: 86)

การเมืองเรื่องอัตลักษณ์ที่ปรากฏในอาณาเขตของตัวบทเสนอผ่านภาพแทนด้วยเช่นกัน รายละเอียดของชาติพันธุ์วรรณนาข้างต้น มีส่วนในการสร้างภาพแทนเท่ากับว่าภาพแทนในนวนิยายเรื่องนี้สร้างผ่านภาษา ในมุมมองของวัฒนธรรมศึกษา ภาษามิได้เป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยให้มนุษย์สื่อสารสิ่งที่อยู่ภายในใจออกมา ทว่าภาษายังมีบทบาทในการสร้างและจัดการกับความจริงอีกด้วย (สุรเดช โชติอุดมพันธ์,2548: 2) ความจริงในระดับของตัวบทจึงถูกกำกับด้วยภาพแทนอย่างที่ไม่อาจปฏิเสธได้

ภาพแทนของคนเมืองปรากฏผ่านการเล่าของผู้เล่าเรื่องที่เป็นอูรังลาโว้ย ซึ่งส่วนใหญ่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัย เพื่อตอกย้ำความเป็นอื่นระหว่างกัน "ฉันไม่เคยเข้าใจความคิดของคนเมืองเลย เพราะมีความซับซ้อนเสียเหลือเกิน ... คนเมืองนี้ไม่น่าจะมีอะไรที่เขานับถือบูชา เขานับถือแต่ตัวเอง ยึดมั่นในตัวเอง และมั่นใจว่าตนเองทำอะไรถูกทุกอย่าง แม้แต่การทำความเดือดร้อนให้ผู้อื่น ช่างแตกต่างจากพวกเรา ชาวอูรังลาโว้ยเสียจริงๆ" (ประทีป ชุมพล, 2546: 36)

ประทีปสร้างภาพแทนด้านบวกของของอูรังลาโว้ยตรงข้ามกับภาพแทนด้านลบของคนเมืองที่ไล่เรียงมา เช่นเดียวกับที่ผู้เล่าเรื่องย้ำอีกครั้งถึงสาเหตุที่อูรังลาโว้ยไม่ลุกขึ้นสู้คนเมือง "กราไมหมดอำนาจเสียแล้วหรือ บางทีกราไมอาจจะดีเกินไปที่จะมาทำร้ายหรือลงโทษคนเมือง เช่นเดียวกับพวกเราที่ดีเกินไป ไม่เคยคิดต่อสู้กับคนเมืองเลย" (ประทีป ชุมพล, 2546: 37) ยิ่งไปกว่านั้นความ "ดีเกินไป" ของอูรังลาโว้ยยังถูกเสนอผ่านบทสนทนาของตัวละคร เพื่อใส่ความหมายให้แก่ภาพแทนว่า ชาวอูรังลาโว้ยเป็นผู้รักสงบ มีจิตใจเข้มแข็ง และหยั่งรู้ความคิดของคนเมืองอยู่บ้าง

- "ไม่อยากให้ใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา เพราะนั่นมิใช่นิสัยของพวกเรา"
- "พวกเราอ่อนโยน ทำให้คนเมืองมองพวกเราอ่อนแอ คราวนี้พวกเราจะใช้ความเข้มแข็ง แต่มิใช่เป็นความรุนแรง"
- "กลัวว่าคนเมืองจะมองพวกเราเป็นคนเถื่อน จึงพยายามทำอย่างประนีประนอม"
(ประทีป ชุมพล, 2546: 117)

นอกจากสร้างภาพแทนด้านบวกให้แก่อูรังลาโว้ย โดยขนานกันไปกับภาพแทนด้านลบของคนเมืองแล้ว ประทีปยังใช้ภาพลักษณ์ของ "ผี" และ "สัตว์" มาประกอบภาพแทนของคนเมือง เพื่อเน้นความชั่วร้ายที่มีมากจน "ผิดมนุษย์" ทั้งยังเป็นการโต้กลับวาทกรรมของรัฐและคนเมืองที่เป็นฝ่ายคิดว่า อูรังลาโว้ยนั้นเป็นฝ่ายที่ "ผิดมนุษย์"อีกด้วย"

ภาพท้ายสุดเป็นภาพหะตู (ผีร้าย) ที่ชาวอูรังลาโว้ยเกลียดกลัวมาก เพราะมันไม่เคยกลัวอะไรเลย มันมีแต่ความโลภ ความอยาก และความเห็นแก่ตัวอย่างที่สุด และภาพที่ฉันเห็นก็คือคนเมืองนั่นเอง" (ประทีป ชุมพล, 2546: 40)

ตอนที่ปูลู เพื่อนของซายัคกล่าวปลุกระดมชาวบ้านก็ใช้ภาพลักษณ์ผีเช่นกัน "พี่น้องเชื่อไหม ถ้าปูลูจะกล่าวว่ามันคือหะตูผีร้ายที่พวกเรามองเห็นตัว ความจริงแล้วมันวางแผนโกงแผ่นดินของเราไป ของทะเลที่มันซื้อจากเราราคาแสนถูก แต่ข้าวของที่มันนำมาขายกลับแพงลิ่ว อย่างนี้คิดว่ามันเอื้ออาทรต่อพวกเราหรือ..." (ประทีป ชุมพล, 2546: 114). อีกตัวอย่างหนึ่งคือ "ปู่เคยกล่าวว่าบักซา (สัตว์) นั้นจะดุร้ายเมื่อมันหิวหรือเวลาติดสัด แต่ฉันว่าคนเมืองนั้นดุร้ายตลอดเวลา และมีความต้องการอย่างไม่สิ้นสุด" (ประทีป ชุมพล, 2546: 49)

ใน "เสียงเพรียกจากท้องน้ำ" ภาพแทนช่วยสนับสนุนการเมืองเรื่องอัตลักษณ์ โดยประทีปหยิบเลือกคุณสมบัติที่ตรงข้ามกันระหว่าง "อูรังลาโว้ย" กับ "คนเมือง" ขึ้นมาสร้างเป็นเนื้อหา การกำหนดให้ซายัคเป็นผู้เล่าเรื่อง น่าจะสื่อนัยว่า เรื่องทั้งหมดมาจากปากคำของอูรังลาโว้ยเอง แต่อันที่จริงการจัดวางและหยิบเลือกคุณสมบัติทั้งหมด ถูกควบคุมโดยอำนาจเต็มของผู้เขียน ในการวิเคราะห์ภาพแทนที่เป็นคู่ตรงข้ามกัน ซึ่งอาจจำแนกได้เป็น 2 ลักษณะคือ ภาพแทนตามวาทกรรมของรัฐและคนเมือง และภาพแทนตามตรรกะของตัวบท สรุปให้เห็นชัดเจนได้ดังนี้

ภาพแทนตามวาทกรรมของรัฐและคนเมือง
อูรังลาโว้ย : ป่าเถื่อน, นับถือผี, โหดร้าย, โง่เขลา, ไร้ศักดิ์ศรี
คนเมือง: มีอารยธรรม, นับถือพุทธ, มีคุณธรรม, มีปัญญา, มีศักดิ?ศรี

ภาพแทนตามตรรกะของตัวบท
อูรังลาโว้ย : มีอารยธรรม, นับถือผี, มีคุณธรรม, มีปัญญา, มีศักดิ์ศรี
คนเมือง : มีอารยธรรม, นับถือผี, โหดร้าย, มีปัญญา, ไร้ศักดิ์ศรี

การเทียบเคียงในลักษณะคู่ตรงข้าม (binary opposition) ข้างต้นแสดงให้เห็นว่าภาพแทนตามตรรกะของตัวบท พยายามแข็งขืนต่อรองกับภาพแทนตามวาทกรรมของรัฐและคนเมืองซึ่งครอบคลุมสังคมอยู่ ทั้งในลักษณะที่แสดงให้เห็นว่าคนเมืองไม่ต่างกับอูรังลาโว้ย เช่น คนเมืองนับถือผีเช่นเดียวกับอูรังลาโว้ย และอูรังลาโว้ยมีอารยธรรมเป็นของตนเองเช่นเดียวกับคนเมือง ดังที่ปรากฏในเนื้อหาที่เป็นชาติพันธุ์วรรณนา

รวมไปถึงการพลิกกลับของภาพแทน เช่น คนเมืองเห็นว่าอูรังลาโว้ยโหดร้ายแต่ตนมีคุณธรรม ผู้เขียนหยิบคู่ความหมายนี้มาพลิกกลับในตัวบทโดยชี้ว่า คนเมืองนั้นโหดร้าย, แต่อูรังลาโว้ยเป็นฝ่ายที่มีคุณธรรม. สรุปได้ว่าอัตลักษณ์ของอูรังลาโว้ยที่ปรากฏผ่านตรรกะของตัวบทคือ "ผู้ถูกกดขี่ที่มีศักดิ์ศรี" ดังที่ซายัคและอูรังลาโว้ยอีกกลุ่มหนึ่งยอมออกทะเลไปท่ามกลางพายุแล้วไม่กลับมาอีกเพื่อประท้วงต่อความอยุติธรรมที่ได้รับ ส่วนคนเมืองจึงเป็น "ผู้กดขี่ที่โลภและชั่วร้าย" ตามคุณสมบัติที่ผู้เขียนคัดสรร

เพื่อรับใช้การเมืองเรื่องอัตลักษณ์ ภาพแทนในนวนิยายเรื่องนี้จึงมีความซับซ้อนที่แฝงนัยความหมายที่ควรศึกษาตีความ นัยดังกล่าวแสดงให้เห็น "อำนาจ" หรืออีกนัยหนึ่งคือบทบาทของผู้เขียนที่สามารถคัดสรรกลั่นกรองตลอดจนสร้าง "ความจริง" ชุดหนึ่งให้เกิดขึ้นในอาณาเขตของตัวบทได้. ดังที่ Pickering (2001: xiii) แสดงความเห็นไว้ว่า"ภาพแทน" หมายรวมถึงกระบวนการ "พูดแทน" (speaking for) และ "พูดถึง" (speaking of) ผู้ที่ถูกเสนอ (represented) การเมืองของภาพแทน จึงครอบคลุมไปถึงอำนาจที่จะพูดแทนและพูดถึง

ประทีปได้สร้างแก่นสาร (essence) ให้แก่อัตลักษณ์ทั้งของอูรังลาโว้ยและคนเมืองโดยอาศัยคุณสมบัติต่างๆ ดังที่ได้แสดงให้เห็น ความคิดแบบคู่ตรงข้ามที่ประทีปนำมาพลิกกลับเพื่อต่อรองกับ อัตลักษณ์อูรังลาโว้ยตามวาทกรรมของรัฐและคนเมืองนั้น อาจเป็นการเจริญรอยตามวาทกรรมชุดเดิม เช่น การนับถือผีแสดงถึงความป่าเถื่อน ซึ่งอาจตีความได้ว่าประทีปยังคงติดอยู่กับความคิดแบบแบ่งขั้ว หรืออีกนัยหนึ่งคือเลือกที่จะคิดแบบแบ่งขั้ว ไม่ได้ตระหนักถึงความลื่นไหลและพลวัตของอัตลักษณ์ ถึงแม้ประทีปจะใช้เสียงของซายัคในฐานะ "คนใน" ให้เป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราวทั้งหมด

แต่อย่างไรก็ตาม อัตลักษณ์ของอูรังลาโว้ยที่เขาเขียนขึ้นเป็นอัตลักษณ์ประดิษฐ์ที่ไม่มีพลวัต ตอกย้ำว่าประทีปยังคงเป็น "คนนอก" ที่สร้างอัตลักษณ์อูรังลาโว้ยจากภายนอกมิใช่จากภายใน สังเกตได้จากอัตลักษณ์ทั้งของคนเมืองและอูรังลาโว้ย ซึ่งมีลักษณะรวมหมู่มากกว่าที่จะถูกประเมินค่าในฐานะปัจเจก ลักษณะดังกล่าวนี้ชวนให้ถกเถียงต่อไปว่า การต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งอัตลักษณ์นั้นมีวิธีการนี้เท่านั้นหรือไม่ หรือว่าการบิดผันวาทกรรมชุดเดิมของรัฐและคนเมืองเป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพที่สุด คล้ายกับการให้ "ดาบนั้นคืนสนอง" แก่ผู้สร้างวาทกรรม

ดังที่ได้กล่าวแล้ว ประทีปเลือกใช้ชาติพันธุ์วรรณนาเพื่อสร้างอัตลักษณ์ให้แก่อูรังลาโว้ย และเพื่อต่อรองกับชุดความรู้เกี่ยวกับอูรังลาโว้ยของรัฐ เช่นเดียวกับการหยิบเลือกคุณสมบัติของทั้งอูรังลาโว้ยและคนเมืองมาสร้างภาพแทนเฉพาะให้แก่ตัวบท ประเด็นที่น่าสนใจคืออัตลักษณ์อูรังลาโว้ยที่ประทีปเขียนขึ้นใหม่นั้น อ้างอิงอยู่กับประวัติศาสตร์แห่งการกดขี่ที่อภิปรายเป็นลำดับแรก การสร้างความหมายและการอ้างอิงดังกล่าวมีนัยสำคัญที่สัมพันธ์กับอัตลักษณ์ของผู้เขียนดังที่จะได้ขยายความต่อไป

การเมืองเรื่องอัตลักษณ์: อัตลักษณ์อูรังลาโว้ยกับอัตลักษณ์ของผู้เขียน
การศึกษาการเมืองเรื่องอัตลักษณ์ มิสมควรมุ่งเน้นที่รูปแบบของการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งอัตลักษณ์เท่านั้น จากที่ผู้วิจัยได้แสดงให้เห็นบทบาทของชาติพันธุ์วรรณนา และภาพแทนที่มีส่วนในการเรียกร้องต่อรองให้แก่อูรังลาโว้ย ทั้งหมดตั้งอยู่บนพื้นฐานของการคิดแบบคู่ตรงข้าม กล่าวคือ ตัวบทสร้างความเป็นอื่นให้แก่รัฐและคนเมืองเพื่อตอบโต้วาทกรรมที่ครอบคลุมสังคมอยู่ สิ่งที่สมควรอภิปรายต่อไปคือ คำถามที่ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร (2549: 329) กล่าวว่า การเมืองเรื่องอัตลักษณ์ต้องการคำตอบคืออัตลักษณ์ของใคร อัตลักษณ์ชนิดใดที่ได้รับการชูและตอกย้ำ ทำไมจึงเป็นอัตลักษณ์ชุดนี้ และอัตลักษณ์ชุดนี้มีวิธีการ กระบวนการในการสร้างความเป็นเจ้าอย่างไร ใครได้ประโยชน์จากอัตลักษณ์ชุดนี้ และเหตุใดจึงมีผู้ยอมสละแม้แต่ชีวิตเพื่อธำรงรักษาอัตลักษณ์นี้ไว้

เพื่อตอบคำถามชุดที่ไชยรัตน์ตั้งไว้ ในหัวข้อนี้ผู้วิจัยจึงวิเคราะห์ "เสียงเพรียกจากท้องน้ำ" ในฐานะอุปมานิทัศน์ (allegory) คือเรื่องที่มีความหมายสองชั้น (ยุวพาส์ (ประทีปเสน) ชัยศิลป์วัฒนา, 2544: 57) ผู้วิจัยพบว่า ความหมายอีกชั้นหนึ่งของนวนิยายเรื่องนี้คือ ประทีปเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อเสนอ อัตลักษณ์ของตนเองในฐานะผู้ที่ผ่านเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 และ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 การกดขี่ที่รัฐและคนเมืองกระทำต่ออูรังลาโว้ย จึงไม่ต่างกับสิ่งที่รัฐกระทำต่อนักศึกษาและประชาชนในเหตุการณ์ดังกล่าว การเลือกใช้โครงเรื่องที่เน้นให้เห็นการกดขี่ในแง่หนึ่งจึงเป็นการระบายออกของผู้เขียนผ่านตัวบทวรรณกรรม ทั้งยังเป็นการสะท้อนอุดมการณ์ลัทธิมาร์กซ์ของผู้เขียนที่ได้รับตกทอดมาจากการประสบเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย

หากกล่าวโดยเชื่อมโยงกับภาพแทนที่อภิปรายในหัวข้อที่ผ่านมา จะพบว่าอัตลักษณ์ของผู้เขียนหรืออีกนัยหนึ่งคือ ผู้นำเสนอภาพแทนมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการเข้าใจเรื่องการยอมรับและการต่อรองกับวาทกรรม เพราะคนในสังคมปัจจุบันเริ่มตระหนักถึงกรอบความคิดหรือชุดวาทกรรมที่มีอิทธิพลต่อโลกทัศน์ของตนมากขึ้น และมีแนวโน้มที่จะยึดถืออัตลักษณ์บางอย่างเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของชีวิต (สุรเดช โชติอุดมพันธ์,2548: 3) ในกรณีของประทีปผู้เคยผ่านเหตุการณ์เดือนตุลาคม อาจเลือกใช้อัตลักษณ์ดังกล่าวเป็นฐานคิดในการเขียนนวนิยายเรื่องนี้

ในประวัติวรรณกรรมไทย ประทีป ชุมพลเป็นนักเขียนที่มีชื่อปรากฏในยุค "ฉันจึงมาหาความหมาย" (พ.ศ. 2506-2515) เขาอยู่ในกลุ่มของนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปากร ที่ร่วมกันจัดทำนิตยสาร "ช่อฟ้า" ซึ่งเน้นหนักด้านวรรณกรรมและโบราณคดี ซึ่งนำไปสู่การเกิดของกลุ่ม "หนุ่มเหน้าสาวสวย" ใน พ.ศ. 2512 (รื่นฤทัย สัจจพันธุ์, 2542: 19) ผู้วิจัยเชื่อว่าประทีปคงมีโอกาสได้เคลื่อนไหวทางการเมืองร่วมกับเพื่อนนักเขียนของเขาในโอกาสต่อมาอีกหลายครั้ง

ในฐานะผู้ที่ผ่านเหตุการณ์เดือนตุลาคม ประทีปอาจได้รับอิทธิพลจากแนวนิยมของวรรณกรรมเพื่อชีวิต ซึ่งมุ่งเน้นการเชิดชูชนชั้นล่าง เป็นต้นว่า ชนชั้นกรรมาชน, ผู้ใช้แรงงาน, หรือชาวนา คนเหล่านี้เป็นฐานของการผลิตในสังคมทุนนิยม ที่สร้างระบบชนชั้นผ่านอำนาจทางเศรษฐกิจ. นักเขียนผู้ยึดถืออุดมการณ์ลัทธิมาร์กซ์ส่วนมากโจมตีการกดขี่ในระบบชนชั้น นวนิยายเรื่องนี้จึงอาจจัดให้เป็นวรรณกรรมเพื่อชีวิต ที่เขียนโดยนักเขียนผู้ผ่านเหตุการณ์เดือนตุลาฯ ทั้งนี้กลุ่มคนที่ถูกกดขี่เปลี่ยนจากชนชั้นกรรมาชีพมาเป็นชาวอูรังลาโว้ย ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ถูกรัฐเบียดขับอย่างที่แทบไม่มีอำนาจต่อรองใดๆ

หลักฐานอีกประการหนึ่งที่ทำให้ผู้วิจัยสันนิษฐานว่าเรื่อง "เสียงเพรียกจากท้องน้ำ" สัมพันธ์กับ "เหตุการณ์เดือนตุลาฯ" คือคำนำที่ผู้เขียนกล่าวถึงที่มาของนวนิยายเรื่องนี้ว่า "ผู้เขียนได้เดินทางไปที่หมู่บ้านปลายแหลมตุ๊กแกอีก ในระหว่าง พ.ศ. 2515-2519 ซึ่งถือได้ว่าเป็นการเดินทางเข้าสู่ตำนานของชาวอูรังลาโว้ยอย่างแท้จริง" (ประทีป ชุมพล, 2546: 9) การเดินทางไปเก็บข้อมูลเพื่อเรียบเรียงชาติพันธุ์วรรณนาของผู้เขียนอยู่ในบริบทที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น เมื่อใช้กรอบความคิดที่ว่านักเขียนย่อมได้รับอิทธิพลจากสังคมมาพิจารณานวนิยายเรื่องนี้ ผู้วิจัยพบว่าโครงเรื่องของนวนิยาย น่าจะเสนอความหมายอีกชั้นหนึ่งที่สัมพันธ์กับเหตุการณ์ทางการเมืองในขณะนั้น

นอกเหนือจากบริบทสังคม ยังอาจพิจารณาอัตลักษณ์ของผู้เขียนในฐานะผู้ผ่านเหตุการณ์เดือนตุลาฯได้จากตัวบท เนื้อหาในสองบทสุดท้ายเปลี่ยนผู้เล่าเรื่องจากซายัคมาเป็น "ข้าพเจ้า" ซึ่งอยู่ในฐานะผู้บันทึกชาติพันธุ์วรรณนา (ethnographer) เรื่องเล่านี้จึงเกิดมีหลายชั้น กล่าวคือผู้เขียนกำหนดให้ "ข้าพเจ้า" เล่าเรื่องของซายัคผู้เล่าเรื่องของตนเอง "ข้าพเจ้า"แสดงตนในฐานะนักศึกษา ผู้มีส่วนในกิจกรรมเคลื่อนไหวทางการเมืองระหว่างเหตุการณ์เดือนตุลาฯ "เป็นที่น่าเสียใจว่า ข้าพเจ้าไม่สามารถนำเรื่องการต่อสู้ของซายัคและชาวเลที่เกาะสิเหร่เข้าองค์กรได้ เพราะว่าเป็นช่วงเดียวกับที่นิสิตนักศึกษากำลังถูกเข่นฆ่า ถูกกวาดต้อนจากรัฐบาลสมัยนั้น ดังนั้นการช่วยเหลือชาวอูรังลาโว้ย ชนกลุ่มน้อยที่ไร้ที่พึ่งพิงจึงสิ้นสุดลง" (ประทีป ชุมพล, 2546: 145) การสรุปเช่นนี้ของผู้เล่าเรื่องก็เพื่อชี้ให้เห็นว่า ทั้งอูรังลาโว้ยและนักศึกษาต่างก็มีศัตรูคนเดียวกันนั่นคือ "รัฐ" ความหมายที่ซ่อนอยู่ในส่วนนี้คือ จุดที่หลอมสร้างโครงเรื่องและอุปนิสัยของตัวละครขึ้นมาด้วย

โครงเรื่องที่ผู้วิจัยกล่าวถึงคือ ประวัติศาสตร์แห่งการกดขี่ซึ่งถูกเน้นตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง และรายละเอียดปลีกย่อยที่เป็น "ความเป็นธรรมทางวรรณศิลป์ " (Poetic justice) อันเป็นแนวคิดที่ปรากฏในวรรณกรรมว่า คนเลวควรถูกลงโทษอย่างสาสมและคนดีควรได้รางวัลตามสมควร (ราชบัณฑิตยสถาน, 2545: 331) มีปรากฏตามทัศนคติของผู้เขียน เช่น โต๊ะครูหมอผู้เป็นสาเหตุให้ชุมชนอูรังลาโว้ยสูญเสียสิทธิในการถือครองที่ดิน ถูกยิดลาโว้ยหรือผีพิทักษ์ท้องน้ำลงโทษ "เสียงคลื่นกระหน่ำหนัก เหมือนเสียงคำรามอย่างน่ากลัวของยิดลาโว้ย ผีผู้พิทักษ์แห่งท้องทะเล ได้รับตัวของโต๊ะครูหมอหายไปในท้องน้ำอันกว้างใหญ่" (ประทีป ชุมพล, 2546: 87) รวมทั้งเถ้าแก่เส็งที่ถูกยิงเสียชีวิตในท้ายที่สุด เนื่องจากมีเรื่องขัดผลประโยชน์กับผู้อื่น

นอกจากการลงโทษคนชั่วในตัวบทแล้ว ผู้เขียนยังกำหนดให้ซายัคและพวกตัดสินใจออกทะเล เพื่อให้สังคมได้เป็นประจักษ์พยานต่อความอยุติธรรมที่พวกเขาได้รับ "พวกเรายอมตาย เพื่อเป็นตัวอย่างให้เห็นว่า การต่อสู้เรื่องที่ดินของเราถูกโกงจากคนเมืองเป็นเรื่องจริง เป็นการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่สำหรับพวกเราที่พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเรากล้าหาญ แม้จะพ่ายแพ้ก็ตาม ผมกับลูกเมียและพวกเราทุกคนจึงขอลาท่านไปก่อน…" (ประทีป ชุมพล, 2546: 144) บทสรุปของเรื่องคือบทสรุปของประวัติศาสตร์แห่งการกดขี่ เพื่อคงอัตลักษณ์คู่ตรงข้ามระหว่างอูรังลาโว้ยที่เป็นผู้ถูกกดขี่ที่มีศักดิ์ศรี กับคนเมืองที่เป็นผู้กดขี่ที่โลภและชั่วร้ายเอาไว้

อูรังลาโว้ยที่ยอมละทิ้งอัตลักษณ์ดั้งเดิมของตนเอง และยอมผนวกรวมเข้าสู่กระแสหลักถูกผู้เขียนตีตราว่าเป็น "ซากที่ยังหายใจ" หลังจากเหตุการณ์ที่อูรังลาโว้ยสังเวยชีวิตหมู่ไปหลายปี "ข้าพเจ้า" เดินทางกลับไปที่ภูเก็ตอีกครั้ง เขาพบว่าอูรังลาโว้ยเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตตนเองไป เช่นเดียวกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ที่เป็นชนชายขอบในสังคมไทยที่อยู่ในกระแสการพัฒนา ถูกลดทอนความเป็นมนุษย์จนกลายเป็นเพียงสินค้า (อานันท์ กาญจนพันธุ์, 2549: 3) อัตลักษณ์ของอูรังลาโว้ยที่เปลี่ยนไปถูกเสนอผ่านตัวละครตัวหนึ่งในเรื่อง

- "...ผมเป็นชาวเล ถ่ายรูปกับผมได้นะครับ คิดเพียงยี่สิบบาทเท่านั้น"…
- "ไปงมไปเก็บมาเองหรือไอ้บ่าว" ข้าพเจ้าถามเรื่อยเปื่อยพลางพลิกเลือกพวงกุญแจเป็นหอยสวยแปลกตา
- "…เปล่า" เขาตอบ "ผมว่ายน้ำเป็นที่ไหนกัน...ไปรับเขามา พวกโรงงานมาส่ง" เขาพูดต่อ "...ผมพูดภาษาอังกฤษได้นะ...ฮาวอาร์ยู...ว้อทดูยูว้อนท์..."
(ประทีป ชุมพล, 2546: 148)

ผู้เขียนสร้างตัวละครอูรังลาโว้ยที่ประกอบขึ้นมาจาก "ความไม่เป็นอูรังลาโว้ย" นับแต่การเรียกตนเองว่าเป็น "ชาวเล" ทั้งที่คำนี้เป็นคำที่อูรังลาโว้ยเห็นว่ามีความหมายในเชิงดูหมิ่นเหยียดหยาม (ประทีป ชุมพล, 2546: 51) จากการหาปลาเพื่อเลี้ยงชีพมาเป็นการขายสินค้า และทำตัวเองให้เป็นสินค้าด้วยการรับจ้างเป็นแบบถ่ายรูป, จากอูรังลาโว้ยที่หมายถึง "คนน้ำ" กลายเป็นคนที่ว่ายน้ำไม่เป็น ที่สำคัญคือวัฒนธรรมของอูรังลาโว้ยเองที่ผู้เขียนใช้เพื่อต่อรองกับอัตลักษณ์ที่วาทกรรมของรัฐและคนเมืองสร้างขึ้น มาถึงท้ายเรื่อง อูรังลาโว้ยเองต้องเป็นฝ่ายเรียนจากคนเมือง และไม่ให้ค่าแก่ศักดิ์ศรีและความเสียสละของบรรพบุรุษ

"คุณรู้มั้ย เดี๋ยวนี้ชาวเลมีค่ามากนะ พวก ททท. เอย จังหวัดเอยให้แสดงวัฒนธรรมของเรา ความจริงผมก็ไม่รู้อะไรหรอก คนเมืองมาสอนพวกเราทุกอย่าง เราทำ เราแสดง และเราก็ได้เงินได้ทอง เดี๋ยวนี้ชาวเลไม่ถูกรังเกียจแล้ว เขายกย่องเรา ให้เกียรติเรา...เสียดายนะที่บรรพชนเราเกิดมาเร็วไปสักหน่อย เลยลำบาก..." (ประทีป ชุมพล, 2546: 148)

ปรากฏการณ์ในตัวบทแสดงให้เห็นว่า ความเป็นอูรังลาโว้ยถูกทำลายจนหมดสิ้น หลงเหลือเพียงลักษณะทางชีววิทยาที่สืบทอดมาทางพันธุกรรม แต่นั่นไม่อาจนับได้ว่าเป็นอัตลักษณ์ เพราะอัตลักษณ์ผูกพันอยู่กับตำแหน่งแห่งที่ บทบาทฐานะของคน (subject position) (ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร, 2549: 324)

หากจะอ่านความหมายชั้นที่สองที่อิงอยู่กับเหตุการณ์เดือนตุลาฯ ผู้วิจัยตีความว่าตัวละครอูรังลาโว้ยตัวนี้ เป็นตัวแทนของนักศึกษาที่ทรยศต่ออุดมการณ์ เมื่อผ่านเหตุการณ์เดือนตุลาฯมาหลายปี หลายคนกลายเป็นคนที่ขับเคลื่อนกลไกของรัฐให้มากดขี่ผู้อื่น หรืออาจถูกดูดกลืนเข้าสู่ระบบทุนนิยมอันเป็นระบบของ "ชนชั้น" ที่ผู้ยึดถือลัทธิมาร์กซ์ต่อต้าน ในสายตาผู้เขียน การรับใช้สถาบันที่ตนเคยต่อต้าน อาจเท่ากับการสูญเสียอัตลักษณ์ของตนเองและมีฐานะเป็นเพียง "ซากที่ยังหายใจ" เท่านั้น เพราะวิญญาณแห่งอุดมการณ์อันรุ่งโรจน์สูญสลายไป

เรื่องเล่าเกี่ยวกับอูรังลาโว้ยและ "ข้าพเจ้า" มีความสัมพันธ์กับอัตลักษณ์ของผู้เขียนอย่างมีนัยสำคัญ เพราะการเล่าเรื่องเป็นวิธีการหนึ่งในการสร้างอัตลักษณ์ ดังที่ อภิญญา เฟื่องฟูสกุล (2546: 103) กล่าวว่า, การเล่าเรื่อง (story telling) เป็นกิจกรรมหนึ่งที่คนเราทำเสมอ ในกระบวนการปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ เราเล่าให้เพื่อนหรือสมาชิกในครอบครัวถึงสิ่งที่ทำหรือพบเห็น เราผสมผสานสิ่งที่เราอยากเป็นอยากทำ สิ่งที่เราชอบและไม่ชอบลงในเรื่องเหล่านั้น การเล่าจึงเป็นกระบวนการผลิตซ้ำตัวตนของเราในชีวิตประจำวัน เป็นกระบวนการที่เราแสดงอัตลักษณ์ของเราออกมาในปริมณฑลสาธารณะ จึงนับได้ว่าประทีปในฐานะนักเขียน ผู้ผ่านเหตุการณ์เดือนตุลาฯสามารถเสนออัตลักษณ์ของตนเองผ่านลักษณะ และความหมายอันซับซ้อนของตัวบทนวนิยายได้อย่างแหลมคม

บทสรุป
ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร (2549: 327) กล่าวว่า สารัตถะที่สำคัญประการหนึ่งของการเมืองเรื่องอัตลักษณ์คือ ศึกษาทำความเข้าใจกระบวนการที่สลับซับซ้อนของการสร้างตัวตนกับความเป็นอื่น (self/other). ตามปกติกลุ่มคนที่มีอำนาจในสังคมจะเป็นผู้สร้างความเป็นอื่นขึ้นมาโดยทำให้สอดคล้องกับความรู้หรือความจริงที่ถือปฏิบัติกัน ในที่นี้ผู้เขียนทำหน้าที่เป็นผู้สร้างความจริงให้เกิดขึ้นในตัวบท เพราะฉะนั้นความเป็นอื่นของคนเมืองที่มาช่วยเกื้อหนุนให้อัตลักษณ์ของอูรังลาโว้ยเด่นชัดขึ้น จึงเป็นการประกอบสร้างเช่นกัน และเป็นคู่ความหมายที่ผู้เขียนใช้ประโยชน์ในการเสนอแนวคิดหลักของเรื่อง

การเมืองเรื่องอัตลักษณ์ในนวนิยายเรื่อง "เสียงเพรียกจากท้องน้ำ" ดำเนินการผ่านการถ่ายทอดประวัติศาสตร์แห่งการกดขี่ที่รัฐและคนเมืองกระทำต่อชาวอูรังลาโว้ย รวมทั้งการสร้างภาพแทนเพื่อกอบกู้อัตลักษณ์ของอูรังลาโว้ยในอาณาเขตของตัวบท ภาพแทนและอัตลักษณ์ที่ประทีปเขียนขึ้นใหม่ ปฏิเสธภาพแทนและอัตลักษณ์ตามวาทกรรมของรัฐและคนเมือง จึงกล่าวได้ว่าการเมืองเรื่องอัตลักษณ์ซึมซ่านอยู่ในตัวบทนวนิยายเรื่องนี้อย่างแน่นอน และแนวคิดดังกล่าวนี้ยังเอื้อให้สามารถตีความความหมายชั้นที่สองของนวนิยาย เพื่อวิเคราะห์อัตลักษณ์ของผู้เขียนเองได้อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม เมื่ออ้างอิงกลับไปที่คำจำกัดความของการเมืองเรื่องอัตลักษณ์ ปฏิบัติการที่บรรลุผลในนวนิยายเรื่องนี้มีเพียงสองประการเท่านั้น คือการสร้างอัตลักษณ์เพื่อต่อรองกับการกดขี่ และการสร้างอัตลักษณ์เพื่อปฏิเสธอัตลักษณ์ที่ถูกยัดเยียดให้ ประทีปยังมิได้ไปไกลถึงจุดที่จะสามารถบรรลุปฏิบัติการข้อที่สามของการเมืองเรื่องอัตลักษณ์ที่ต้องตระหนักถึงความหลากหลาย และความลื่นไหลของอัตลักษณ์ เนื่องจากตัวบทปฏิเสธอัตลักษณ์ใหม่หลังจากอูรังลาโว้ยยอมรับ "การพัฒนา" โดยสิ้นเชิง ตัวบทเลือกที่จะไม่แสดงแง่มุมที่ว่ายังมีอูรังลาโว้ยอีกจำนวนมากที่ยังคงสืบทอดอัตลักษณ์และวิถีชีวิตดั้งเดิมไว้ได้ (เลิศชาย ศิริชัยและคณะ, 2546: 250; ประคอง เอี่ยมศิริ, 2535 อ้างถึงใน เยาวลักษณ์ ศรีสุกใส, 2545: 2) ผู้วิจัยขอสรุปว่าการเลือกสรรและการปฏิเสธนี้เองที่อาจเรียกได้ว่าเป็น "การเมือง" ของ "การเมืองเรื่องอัตลักษณ์" อย่างแท้จริง

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

บรรณานุกรม

ภาษาไทย
ฉลาดชาย รมิตานนท์. (พฤศจิกายน, 2549) การเมืองเรื่องอัตลักษณ์ (Identity Politics). [ออนไลน์] เข้าถึงจาก http://www.soc.cmu.ac.th/%7Ewsc/data/Identity%20politics.pdf.

ชลธิรา สัตยาวัฒนา.(2546) เสียงเพรียกจากท้องน้ำ: ชีวิต สิทธิมนุษยชน และสิทธิชุมชน. เสียงเพรียกจากท้องน้ำ, หน้า 152-159. กรุงเทพฯ: แพรวสำนักพิมพ์.

ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์.(17 พฤศจิกายน 2548) ชาวบ้านกับผู้หญิงในคำพิพากษา. บรรยายในรายการ อาศรมวิจัย ครั้งที่ 1 / 2549 ณ อาคารบรมราชกุมารี คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร.(2549) วาทกรรมการพัฒนา: อำนาจ ความรู้ ความจริง เอกลักษณ์ และความเป็นอื่น.พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพมหานคร: วิภาษา.

ทวีศักดิ์ เผือกสม. (2546) คนแปลกหน้านานาชาติของกรุงสยาม. กรุงเทพมหานคร: มติชน.

ธงชัย วินิจจะกูล. (ม.ค.-เม.ย. 2546) ชนพวกอื่นในแดนตน. แปลโดย กองบรรณาธิการ. ฟ้าเดียวกัน 1, 1: 3 90-94.

นพดล ปรางค์ทอง.(18-24 ส.ค. 2546) เสียงเพรียกจากท้องน้ำ: ความเป็นอื่นบน 'ผืนดิน' ของ 'ชาวน้ำ'. เนชั่นสุดสัปดาห์. 2, 585: 70-71.

นพพร ประชากุล. (ก.พ. 2541) ลูกอีสาน: เทคนิคการประพันธ์กับประเด็นเรื่องเชื้อชาติวัฒนธรรม. สารคดี 13,156: 132-134.

นัทธนัย ประสานนาม.(2549) เสียงเพรียกจากท้องน้ำ: การเมืองเรื่องอัตลักษณ์ในนวนิยายเชิงชาติพันธุ์วรรณาของไทย. บทความนำเสนอในการประชุมวิชาการนานาชาติปัญญาและพลวัตของภาษาและวรรณคดีไทยในสังคมโลก (International Conference on 'Thai Language and Literature: Wisdom and Dynamism in the Global Context') วันที่ 10-12 พฤศจิกายน 2549 ณ โรงแรมอิมพีเรียลควีนส์ปาร์ก.

ประทีป ชุมพล. (2546) เสียงเพรียกจากท้องน้ำ. กรุงเทพฯ: แพรวสำนักพิมพ์.

ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี. (2546) บทบรรณาธิการ. ใน อัตลักษณ์ ชาติพันธุ์ และความเป็นชายขอบ, หน้า 1-26. ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี, บรรณาธิการ. กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์กรมหาชน).

พรธาดา สุวัธนวนิช. (ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2547) กระบวนทัศน์หลังอาณานิคมกับการวิจารณ์วรรณกรรมไทย. วารสารมนุษยศาสตร์ปริทรรศน์ 26 : 53-63.

พิณอำไพ สิริปูชกะ. (2543) ภาพลักษณ์ชนกลุ่มน้อยในนวนิยายไทย: การวิจารณ์เชิงสังคม. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต ภาควิชาวรรณคดีเปรียบเทียบ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

มาโนช ดินลานสกูล. (2549) วัฒนธรรมอำนาจ: กระบวนการผลักให้เป็นชายขอบ กรณีชาวเลในนวนิยายเรื่อง เสียงเพรียกจากท้องน้ำ. วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ. 1, 1 (เมษายน-กันยายน): 140-152.

ยุวพาส์ (ประทีปเสน) ชัยศิลป์วัฒนา.(2544) ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับวรรณคดี. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

เยาวลักษณ์ ศรีสุกใส. (2545) การเปลี่ยนแปลงทางสังคม-เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม: ศึกษากรณีชาวเลสังกาอู้ อ.เกาะลันตา จ. กระบี่. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

ราชบัณฑิตยสถาน. (2545) พจนานุกรมศัพท์วรรณกรรม อังกฤษ-ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน กรุงเทพมหานคร: ราชบัณฑิตยสถาน.

รื่นฤทัย สัจจพันธุ์. (2542) วรรณกรรมปัจจุบัน. พิมพ์ครั้งที่ 12. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยรามคำแหง.

เลิศชาย ศิริชัยและคณะ. (2546) สิทธิชุมชนท้องถิ่นภาคใต้ โครงการสิทธิชุมชนท้องถิ่น จากจารีตประเพณีสู่สถานการณ์ปัจจุบัน: การศึกษาเพื่อแสวงหาแนวทางนโยบายสิทธิชุมชนท้องถิ่นในประเทศไทย. กรุงเทพฯ: นิติธรรม.

วิมลมาศ ปฤชากุล. (26 สิงหาคม 2547) การกอบกู้อัตลักษณ์ชนบทใต้ในเรื่องสั้นของนักเขียนชาวใต้. บทความวิจัยนำเสนอในโครงการจัดประชุมวิชาการระดับชาติ: เวทีวิจัยมนุษยศาสตร์ไทย ครั้งที่ 1 ณ อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

วิสิฏฐ์ มะยะเฉียว. ชีวิตชาวเลภูเก็ต. (2532) ถลาง ภูเก็ต และชายฝั่งทะเลอันดามัน: โบราณคดี ประวัติศาสตร์ ชาติพันธุ์ และเศรษฐกิจ, หน้า 217-254. วิสันธนี โพธิสุนทร, บรรณาธิการ. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร.

สมใจ ไพโรจน์ธีระรัชต์. (2536) กำเนิดและสิ้นสุดระบอบอาณานิคม. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยรามคำแหง.

สุรเดช โชติอุดมพันธ์. (24 พฤศจิกายน 2548) วาทกรรม ภาพแทน อัตลักษณ์. บทความนำเสนอในโครงการสัมมนา 'วรรณคดีศึกษาในบริบทสังคมและวัฒนธรรม 2' จัดโดยศูนย์วรรณคดีศึกษาและภาควิชาวรรณคดีเปรียบเทียบ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในงานจุฬาฯ วิชาการ'48.

อภิญญา เฟื่องฟูสกุล. (2546) อัตลักษณ์: การทบทวนทฤษฎีและกรอบแนวคิด. กรุงเทพฯ: คณะกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ สาขาสังคมวิทยา สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ.

อานันท์ กาญจนพันธุ์. (2549) การต่อสู้เพื่อความเป็นคนของคนชายขอบในสังคมไทย. อยู่ชายขอบ มองลอดความรู้ รวมบทความเนื่องในวาระครบรอบ 60 ปี ฉลาดชาย รมิตานนท์, หน้า 3-31.อานันท์ กาญจนพันธุ์, บรรณาธิการ. กรุงเทพฯ: มติชน.

ภาษาอังกฤษ
Ashcroft, B., Gareth G., & Tiffin, H.(2000). Post-Colonial Studies: The Key Concepts. London and New York: Routledge.

Featherstone, Simon.(2005). Postcolonial Cultures. Edinburgh: Edinburgh University Press.

Hongladarom, K.(January 2000).Competing Discourses on Hill tribes: media representation of Ethnic Minorities in Thailand. MANUSYA: Journal of Humanities: January, 1-19.

Identity Politics (2006, January). Retrieved July,2006 from http://en.wikipedia.org/wiki/identity_politics.

Kriengkraipetch, S.(1995).Characters in Thai Literary Works 'us' and 'the others.' In Thai
Literary Traditions, pp. 130-147. Manas Chitkasem,ed. Bangkok: Institute of Thai Studies, Chulalongkorn University.

Pickering, M.(2001). Stereotyping: The Politics of Representation. New York:
Palgrave.

Smith, M.K.(2003). Issues in Cultural Tourism Studies. London
and New York: Routledge.

 


คลิกไปที่ กระดานข่าวธนาคารนโยบายประชาชน

นักศึกษา สมาชิก และผู้สนใจบทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ก่อนหน้านี้ สามารถคลิกไปอ่านได้โดยคลิกที่แบนเนอร์




สารบัญข้อมูล : ส่งมาจากองค์กรต่างๆ

ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา 3
I สารบัญเนื้อหา 4 I สารบัญเนื้อหา 5 I สารบัญเนื้อหา 6
ประวัติ ม.เที่ยงคืน

สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง

webboard(1) I webboard(2)

e-mail : midnightuniv(at)gmail.com

หากประสบปัญหาการส่ง e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com

ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ทั้งหมด กว่า 1200 เรื่อง หนากว่า 20000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com

สมเกียรติ ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็บไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com

 

 

power-sharing formulas, options for minority rights, and constitutional safeguards.

บรรณาธิการแถลง: บทความทุกชิ้นซึ่งได้รับการเผยแพร่บนเว็บไซต์แห่งนี้ มุ่งเพื่อประโยชน์สาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อวัตถุประสงค์ในการขยายพรมแดนแห่งความรู้ให้กับสังคมไทยอย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ยังมุ่งทำหน้าที่เป็นยุ้งฉางเล็กๆ แห่งหนึ่งสำหรับเก็บสะสมความรู้ เพื่อให้ทุกคนสามารถหยิบฉวยไปใช้ได้ตามสะดวก ในฐานะที่เป็นสมบัติร่วมของชุมชน สังคม และสมบัติที่ต่างช่วยกันสร้างสรรค์และดูแลรักษามาโดยตลอด. สำหรับผู้สนใจร่วมนำเสนอบทความ หรือ แนะนำบทความที่น่าสนใจ(ในทุกๆสาขาวิชา) จากเว็บไซต์ต่างๆ ทั่วโลก สามารถส่งบทความหรือแนะนำไปได้ที่ midnightuniv(at)gmail.com (กองบรรณาธิการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน: ๒๘ มกาคม ๒๕๕๐)

โครงเรื่องกล่าวถึง ประวัติศาสตร์แห่งการกดขี่ซึ่งถูกเน้นตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง และรายละเอียดปลีกย่อยที่เป็น "ความเป็นธรรมทางวรรณศิลป์ " (Poetic justice) อันเป็นแนวคิดที่ปรากฏในวรรณกรรมว่า คนเลวควรถูกลงโทษอย่างสาสม และคนดีควรได้รางวัลตามสมควร มีปรากฏตามทัศนคติของผู้เขียน เช่น โต๊ะครูหมอผู้เป็นสาเหตุให้ชุมชนอูรังลาโว้ยสูญเสียสิทธิในการถือครองที่ดิน ถูกยิดลาโว้ย หรือผีพิทักษ์ท้องน้ำลงโทษ รวมทั้งเถ้าแก่เส็งที่ถูกยิงเสียชีวิตในท้ายที่สุด เนื่องจากมีเรื่องขัดผลประโยชน์กับผู้อื่น (เก็บความจากบทวิเคราะห์วรรณกรรมชิ้นนี้)
24-04-2550

Literature Review
Midnight University

 

H
R
ทุกท่านที่ประสงค์จะติดต่อมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน กรุณาจดหมายไปยัง email address ใหม่ midnightuniv(at)gmail.com
-Free Documentation License-
Copyleft : 2007, 2008, 2009
Everyone is permitted to copy
and distribute verbatim copies
of this license
document, but
changing it is not allowed.