คำอธิบายประวัติศาสตร์แนววิทยาศาสตร์
การศึกษาประวัติศาสตร์แบบวิทยาศาสตร์
ของ Jared Diamond
สฤณี อาชวานันทกุล : เขียนและแปล
นักวิชาการ และ นักแปลอิสระ
บทความชิ้นนี้เคยเผยแพร่แล้วบนเว็บไซต์คนชายขอบ
และออนโอเพ่น
กองบรรณาธิการ ม.เที่ยงคืน ได้รวบรวมเพิ่มเติมต้นฉบับภาษาอังกฤษมานำเสนอ
ทั้งหมดของบทความรวมชิ้นนี้ เป็นรื่องเกี่ยวกับการใช้มุมมองและความรู้ทางภูมิประวัติศาสตร์และวิทยาศาสตร์
มาอธิบายประวัติศาสตร์ของมนุษย์ โดยมีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับ Eurasia,
เรื่องของโลกเก่าพิชิตโลกใหม่, เหตุผลการได้เปรียบของโลกเก่า
ตลอดจนถึงสังคมเกษตรที่ไดบ่มเพาะความเจริญและความความซับซ้อนของสังคมขึ้นมา
ผู้ที่สนใจอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษ
คลิกไปอ่านได้จากที่นี่
(midnightuniv(at)gmail.com)
บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา
ข้อความที่ปรากฏบนเว็บเพจนี้
ได้มีการแก้ไขและตัดแต่งไปจากต้นฉบับบางส่วน
เพื่อความเหมาะสมเป็นการเฉพาะสำหรับเว็บไซต์แห่งนี้
บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ ๑๑๙๑
เผยแพร่บนเว็บไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่
๑๘ มีนาคม ๒๕๕๐
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ
๒๑ หน้ากระดาษ A4)
+++++++++++++++++++++++++++++++++++
การศึกษาประวัติศาสตร์แบบวิทยาศาสตร์
ของ Jared Diamond
ความนำของผู้แปล
ท่านผู้อ่านคงเคยสงสัยว่า ทำไมอารยธรรมต่างๆ ในโลก จึงอุบัติขึ้นตามที่เราเห็นในประวัติศาสตร์
เช่น ทำไมชนผิวขาวในตะวันออกกลางและยุโรป จึงบุกไปเอาชนะชนผิวดำในอัฟริกาได้
ทั้งๆ ที่มนุษย์เผ่าแรกของโลกเป็นชาวอัฟริกา? ทำไมทวีป Eurasia (หมายถึง Europe
+ Asia ตามหลักการแบ่งทวีปของธรณีวิทยา คือตามรอยต่อระหว่างแผ่นดินและผืนน้ำ
ไม่ใช่ตามหลักภูมิศาสตร์การเมือง) จึงเป็นบ่อกำเนิดอารยธรรมเก่าแก่ที่แผ่อิทธิพลอย่างรวดเร็ว
อย่างน้อย 2 ชนชาติด้วยกัน คือบริเวณลุ่มแม่น้ำ Tigris และ Euphrates (ที่เรียกว่า
The Fertile Crescent) ในตะวันออกกลางแห่งหนึ่ง และบริเวณประเทศจีนตอนเหนืออีกแห่งหนึ่ง?
ต่อคำถามเหล่านี้ คนส่วนใหญ่มักตอบโดยไม่หยุดคิดว่า
"เพราะคนเหล่านี้ฉลาดกว่าชนชาติอื่นน่ะสิ"
แต่คำตอบที่แท้จริงนั้น "ง่าย" และตรงตามอคติของเราขนาดนั้นจริงหรือ?
ไม่ว่าจะผิวสีอะไร มนุษย์ทั้งมวลต่างก็เป็นสัตว์พันธุ์เดียวกัน หากพระเจ้าสร้างคนเชื้อชาติใดให้ฉลาดกว่าคนเชื้อชาติอื่น
ก็เป็นพระเจ้าที่ดูจะเห็นแก่ตัวหรือชอบเล่นตลกร้ายไปซักหน่อย
โชคดีที่โลกเรามี Jared Diamond นักภูมิศาสตร์และสรีรวิทยา (geographer and physiologist) ผู้แสดงให้เห็นในหนังสือเรื่อง Guns, Germs, and Steel (ปืน, เชื้อโรค, และเหล็ก) ว่า "ปัจจัยพื้นฐาน" ที่ทำให้ประวัติศาสตร์มนุษย์ในช่วง 13,000 ปีที่ผ่านมา วิวัฒนาการเป็นอย่างที่เราเห็นนั้น ไม่เกี่ยวกับยีนของแต่ละเชื้อชาติแม้แต่น้อย หากเป็น ปัจจัยทางภูมิศาสตร์ ที่เกี่ยวข้องกับภูมิประเทศ สภาพอากาศ และทิศทางของ "แกนหลัก" ในแต่ละทวีป พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ถ้าชาวผิวดำเกิดใน Eurasia แทนที่อัฟริกา ป่านนี้คงเป็นมหาอำนาจแทนที่ชาวผิวขาวไปแล้ว
หนังสือที่หนาหนักเล่มนี้กลายเป็นหนังสือบังคับในอเมริกา สำหรับกระบวนวิชาเบื้องต้นของวิชาหลายแขนง ตั้งแต่ประวัติศาสตร์ สังคมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และทำให้ภูมิศาสตร์กลับมาเป็นที่นิยม ในแวดวงวิชาการอีกครั้ง บางตอนจากคำบรรยายของ Diamond ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Edge อธิบาย "แก่น" ความคิดของเขาได้อย่างกระชับ และได้ใจความดังนี้:
............................................................................
คำถามที่นักประวัติศาสตร์มักจะหลีกเลี่ยง
ทำไมอารยธรรมของมนุษย์ จึงพัฒนาด้วยความเร็วที่แตกต่างกันมากระหว่างทวีปต่างๆ
ในช่วง 13,000 ปีที่ผ่านมา? คำถามนี้ติดใจผมมานาน แต่เราเพิ่งจะสามารถสังเคราะห์
ปะติดปะต่อคำตอบได้เมื่อเร็วๆ นี้เอง ด้วยความก้าวหน้าในวิชาการแขนงต่างๆ ที่ดูเผินๆ
เหมือนจะห่างไกลจากประวัติศาสตร์มาก เช่น ชีวโมเลกุล (molecular biology), ชีวภูมิศาสตร์
(biogeography) และพันธุศาสตร์ของพืชและสัตว์, โบราณคดี, และภาษาศาสตร์
นักประวัติศาสตร์มักจะหลีกเลี่ยงที่จะศึกษาคำถามนี้ราวกับมันเป็นโรคร้าย เพราะนัยยะแห่งการเหยียดผิวที่ซ่อนอยู่ คนส่วนใหญ่มักนึกเอาเองว่า คำตอบนั้นต้องประกอบด้วยความแตกต่างทางชีววิทยา ของระดับ IQ เฉลี่ยระหว่างบรรดาชนชาติต่างๆ แม้ว่าปัจจุบันเราไม่มีหลักฐานใดๆ เลยที่บ่งบอกว่าความแตกต่างด้าน IQ นี้มีอยู่จริง
โลกเก่าพิชิตโลกใหม่
เราลองมาเปรียบเทียบประวัติศาสตร์มนุษย์ระหว่างทวีป "โลกเก่า" (Old
World คือยุโรป) กับ "โลกใหม่" (New World คือทวีปอเมริกา ในที่นี้รวมทั้งอเมริกาเหนือ
กลาง และใต้) กันดู ท่านทั้งหลายคงคุ้นเคยกับเรื่องราวตอนที่ทหารสเปนเพียงไม่กี่ร้อยคนภายใต้การนำของนายพล
Cort?s และ Pizarro สามารถพิชิตอารยธรรม Aztec และ Inca ที่มีประชากรรวมกว่าสิบล้านคน
ยังไม่นับรายละเอียดอันน่าสยดสยองของการพิชิตอารยธรรมอื่นๆ ในโลกใหม่โดยชาวยุโรป
ผลที่เกิดขึ้นคือ ชาวยุโรปกลายเป็นผู้ครอบครองโลกใหม่ทั้งทวีป ในขณะที่ประชากรชาวอินเดียนแดงลดจำนวนลงอย่างฮวบฮาบตั้งแต่ปี
ค.ศ. 1492 เป็นต้นมา ทำไมจึงเป็นเช่นนี้? ทำไมจักรพรรดิชาว Aztec หรือ Inca ไม่ยกทัพไปพิชิตยุโรปแทน?
เหตุผลเบื้องต้น (proximate
reasons) นั้นชัดเจน ชาวยุโรปที่ไปบุกอเมริกามีดาบ ปืน และม้า ขณะที่ชาวอินเดียนแดงมีแค่อาวุธที่ทำจากหินและไม้
และไม่มีสัตว์ใดๆ ที่ใช้เป็นพาหนะได้ ความได้เปรียบทางทหารเหล่านี้ ทำให้ทหารม้าสเปนไม่กี่สิบนาย
สามารถเอาชนะกองทัพอินเดียนแดงหลายพันคนได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเบื้องต้นอื่นๆ อีก นอกเหนือจากดาบเหล็ก ปืน และม้า
ที่อธิบายชัยชนะของชาวยุโรปในโลกใหม่ นั่นคือ โรคระบาด
โรคระบาด
โรคระบาดที่ชาวยุโรปเป็นพาหะ เช่น โรคฝีดาษและหัด แพร่กระจายจากอินเดียนแดงเผ่าหนึ่งไปยังอีกเผ่าหนึ่ง
อย่างรวดเร็วกว่าม้าของทหารผู้รุกราน เชื้อโรคเหล่านี้คร่าชีวิตชาวอินเดียนแดงกว่า
95% ของประชากรทั้งหมด โรคเหล่านี้เป็นโรคที่เกิดเฉพาะถิ่นในยุโรปมาช้านาน มีเวลาเพียงพอให้ยีนและระบบภูมิคุ้มกันของชาวยุโรป
วิวัฒนาการขึ้นมาสร้างภูมิต้านทาน ซึ่งชาวอินเดียนแดงไม่มี บทบาทของเชื้อโรคในการพิชิตชนชาติดั้งเดิม
มีให้เห็นในส่วนอื่นๆ ของโลกหลายทวีป เช่น ออสเตรเลีย อัฟริกาใต้ และเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิคใต้หลายเกาะ
เทคโนโลยี เรือเดินทะเล
โครงสร้างการเมือง และตัวหนังสือ
ยังมีปัจจัยเบื้องต้นอีกประเภทหนึ่งที่เราต้องพิจารณา นั่นคือ Pizarro และ Cort?s
สามารถยกพลไปโลกใหม่ ก่อนที่ชาว Aztec และ Inca จะบุกไปยุโรปได้อย่างไร? คำตอบส่วนหนึ่งเกี่ยวกับเทคโนโลยี:
ชาวยุโรปสร้างเรือเดินทะเลได้ ในขณะที่ ชาว Aztec และ Inca ทำไม่ได้ การเดินทะเลของเรือเหล่านี้ได้รับแรงสนับสนุนจากโครงสร้างการเมืองแบบรวมศูนย์อำนาจ
(centralized political organization) ที่ทำให้สเปนและประเทศยุโรปอื่นๆ สามารถสร้างเรือ
และหาคนมาเป็นลูกเรือได้. ปัจจัยที่สำคัญไม่แพ้กันคือ บทบาทของตัวหนังสือ (writing)
ที่ส่งเสริมการเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องและละเอียดไปยังนักสำรวจ เช่น แผนที่ คู่มือการเดินเรือ
และประสบการณ์การเดินทางของนักสำรวจรุ่นก่อนๆ
มาถึงตรงนี้ เราได้ชี้ปัจจัยเบื้องต้นหลายประการที่อยู่เบื้องหลังการยึดโลกใหม่ของชาวยุโรป: เรือเดินทะเล, โครงสร้างการเมือง, และตัวหนังสือ ช่วยทำให้ชาวยุโรปเดินทางไปยังโลกใหม่ได้สำเร็จ หลังจากนั้น เชื้อโรคจากยุโรปฆ่าชาวอินเดียนแดงส่วนใหญ่ให้ตาย ก่อนที่พวกเขาจะไปถึงสมรภูมิรบด้วยซ้ำ และท้ายที่สุด ปืน, ดาบเหล็ก, และม้าช่วยให้ทหารยุโรปได้เปรียบบนสมรภูมิ
เหตุผลความได้เปรียบของโลกเก่า
ทีนี้ เราลองหาเหตุผลที่ลึกกว่านั้นดู ทำไมความได้เปรียบเหล่านั้นตกเป็นของโลกเก่า
แทนที่จะเป็นโลกใหม่? ในทางทฤษฎี ชาวอินเดียนแดงอาจจะสามารถคิดค้นดาบและปืนได้ก่อน
ประดิษฐ์ตัวหนังสือและเรือเดินทะเลได้ก่อน ขี่สัตว์เลี้ยงที่น่ากลัวกว่าม้า และมีเชื้อโรคระบาดที่น่ากลัวกว่าฝีดาษก็เป็นได้
คำถามที่ตอบได้ง่ายที่สุด คือคำถามว่าทำไม Eurasia จึงมีเชื้อโรคที่อันตรายร้ายแรง
ในขณะที่ชาวอินเดียนแดงไม่มีเชื้อโรครุนแรงอะไรไปมอบให้ชาวยุโรปเป็นการตอบแทน
เหตุผลใหญ่ๆ มีสองข้อด้วยกัน
ข้อแรก โรคระบาดส่วนใหญ่ที่เราคุ้นเคยดีนั้น ดำรงอยู่ได้เฉพาะในบริเวณที่มีประชากรจำนวนมากอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นในหมู่บ้านและเมือง ซึ่งเป็นรูปแบบชุมชนที่อุบัติขึ้นในโลกเก่าก่อนโลกใหม่นานหลายพันปี
ข้อสอง ผลการวิจัยจุลินทรีย์โดยนักชีวโมเลกุลบ่งชี้ว่า โรคระบาดในมนุษย์ส่วนใหญ่ วิวัฒนาการมาจากโรคระบาดที่คล้ายคลึงกันในสัตว์เลี้ยงของโลกเก่า ที่มนุษย์คลุกคลีในชีวิตประจำวัน ตัวอย่างเช่น โรคหัดและวัณโรควิวัฒนาการมาจากโรคในวัวควาย, ไข้หวัดใหญ่มาจากโรคในหมู, และฝีดาษน่าจะมาจากโรคในอูฐ. ในทางกลับกัน ทวีปอเมริกาหรือโลกใหม่มีสัตว์เลี้ยงน้อยชนิดมาก เป็นการลดช่องทางการเกิดของโรคระบาดในมนุษย์
สัตว์ที่นำมาเลี้ยงให้เชื่องได้
เรามาลองหาเหตุผลย้อนไปอีกขั้นหนึ่งที่ว่า ทำไม Eurasia จึงมีพันธุ์สัตว์ป่าที่คนนำมาเลี้ยงให้เชื่องเป็น
"สัตว์เลี้ยง" มากกว่าในทวีปอเมริกา? การที่อเมริกามีสัตว์ป่าเฉพาะถิ่นกว่าหนึ่งพันชนิด
น่าจะทำให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์เลี้ยงชั้นเลิศมิใช่หรือ?
แต่ในความเป็นจริง โลกนี้มีสัตว์ป่าที่เลี้ยงลูกด้วยนมเพียงไม่กี่ชนิด ที่คนนำมาเลี้ยงให้เชื่องได้ ทั้งนี้เพราะการเลี้ยงสัตว์ให้เชื่องมีเงื่อนไขมากมาย: สัตว์ชนิดนั้นต้องกินอาหารประเภทที่มนุษย์สามารถหาให้ได้, มีอัตราการเติบโตสูง, ยอมผสมพันธุ์ในที่กักขัง, มีนิสัยว่านอนสอนง่าย, มีโครงสร้างสังคมที่ยอมตกอยู่ใต้อาณัติของสัตว์อื่นที่มีอำนาจเหนือกว่า, และมีแนวโน้มต่ำที่จะแตกตื่นเมื่อถูกล้อมกรอบ หลายพันปีมาแล้ว สัตว์ป่าที่เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดที่เลี้ยงได้ ที่มีคุณสมบัติตรงกับเงื่อนไขที่ยกมา ได้ถูกมนุษย์ทำให้เชื่องเป็นสัตว์เลี้ยงไปหมด ผลก็คือไม่มีสัตว์ป่าพันธุ์อื่นอีกแล้วที่มนุษย์นำมาเลี้ยงหลังจากนั้น แม้วิทยาศาสตร์สมัยใหม่จะพยายามเพียงใดก็ตาม
ทวีป Eurasia มีพันธุ์สัตว์ป่าที่มนุษย์นำมาเลี้ยง ในจำนวนมากกว่าทวีปอื่นๆ ส่วนหนึ่งเพราะมันเป็นพื้นแผ่นดินที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมีพันธุ์สัตว์ป่ามากที่สุดตั้งแต่แรก ความแตกต่างระหว่าง Eurasia และทวีปอื่นๆ ในแง่นี้ขยายห่างมากกว่าเดิมเมื่อ 13,000 ปีก่อน ณ จุดจบของยุคน้ำแข็งยุคสุดท้าย (the last Ice Age) ที่นำมาซึ่งการสูญพันธุ์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่แทบทั้งหมด ซึ่งอาจเกิดจากการถูกล่าโดยอินเดียนแดงเผ่าแรกๆ ผลที่ตามมาคือ ชาวอินเดียนแดงเผชิญกับภาวะที่จำนวนสัตว์ป่าเลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ มีจำนวนน้อยกว่าในทวีป Eurasia มาก คือเหลือเพียงตัวลามะ (llama) และอัลปาก้า (alpaca คือสัตว์ขนปุยคล้ายแกะ) ที่นำมาเลี้ยงได้เท่านั้น
พันธุ์พืชป่าที่นำมาเพาะปลูก
กับ แกนตะวันออก-ตะวันตกของ Eurasia
ความแตกต่างระหว่างโลกเก่าและโลกใหม่ในแง่ของพันธุ์พืชป่าที่นำมาเพาะปลูกได้
ก็คล้ายคลึงกัน (นั่นคือ โลกเก่ามีจำนวนพันธุ์พืชป่าที่เลี้ยงได้ มากกว่าในโลกใหม่หลายเท่าตัว)
เพียงแต่ความแตกต่างไม่ห่างกันขนาดนั้น เหตุผลอีกข้อที่อธิบายได้ว่า ทำไมพันธุ์พืชและสัตว์ที่เลี้ยงได้ในทวีป
Eurasia จึงมีจำนวนมากกว่าในทวีปอเมริกาคือ แกนหลักของ Eurasia พาดทางทิศตะวันออก-ตะวันตก
ในขณะที่แกนหลักของทวีปอเมริกา พาดทางทิศเหนือ-ใต้ (โปรดดูรูปด้านล่างประกอบ)
แกนตะวันออก-ตะวันตกของ Eurasia ช่วยให้พันธุ์พืชและสัตว์ที่มนุษย์นำมาเลี้ยงในบริเวณหนึ่ง สามารถขยายพันธุ์เป็นพันๆ ไมล์ได้อย่างง่ายดายไปยังบริเวณอื่นๆ เพราะมีสภาพอากาศ และช่วงเวลากลางวัน ที่เหมือนกันกับบริเวณที่พันธุ์เหล่านั้นได้ปรับตัวมาแล้ว ดังนั้น ไก่และส้มที่คนในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นำมาเลี้ยง จึงแพร่ไปทางตะวันตกถึงยุโรปอย่างรวดเร็ว ม้าที่ชาว Ukraine นำมาเลี้ยง แพร่ไปทางตะวันออกถึงเมืองจีน และแกะ แพะ วัว ข้าวสาลี และข้าวบาร์เลย์จากแถบ Fertile Crescent ก็แพร่ไปอย่างรวดเร็วทั้งทางตะวันตกและตะวันออก
ในทางกลับกัน แกนเหนือ-ใต้ของทวีปอเมริกาหมายความว่า พันธุ์พืชและสัตว์ที่คนนำมาเลี้ยงได้ในบริเวณหนึ่ง ไม่สามารถแพร่พันธุ์ไปได้ไกล เพราะต้องเจอกับสภาพอากาศ และช่วงเวลากลางวันที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับบริเวณดั้งเดิมที่ถูกเลี้ยง นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมการเลี้ยงไก่งวง จึงไม่สามารถขยายจากเม็กซิโก แหล่งที่มนุษย์เลี้ยงได้สำเร็จ ลงใต้ไปยังลุ่มแม่น้ำ Andes ในอเมริกาใต้ ในขณะที่การเลี้ยงตัวลามะและอัลปาก้า ก็ไม่เคยขึ้นเหนือไปยังเม็กซิโก นี่เป็นเหตุว่าทำไมอารยธรรมในอเมริกากลางและอเมริกาเหนือ จึงต้องอยู่โดยปราศจากสัตว์ที่ใช้ขนของได้ และทำไมการเพาะปลูกพันธุ์ข้าวโพดที่วิวัฒนาการภายใต้ภูมิอากาศของเม็กซิโก ต้องใช้เวลานานหลายพันปีในการปรับตัว ก่อนที่มนุษย์จะสามารถปลูกมันได้ในอเมริกาเหนือ ที่ซึ่งมีฤดูการเก็บเกี่ยวสั้น และมีช่วงเวลากลางวันที่แตกต่างกันไปตามฤดูกาล
พืชและสัตว์ที่มนุษย์นำมาปลูกและเลี้ยงใน Eurasia ยังมีความสำคัญในแง่อื่น นอกเหนือจากเป็นบ่อเกิดของเชื้อโรคระบาดให้ชาวยุโรปด้วย กล่าวคือ พืชและสัตว์เลี้ยงที่คนนำมากินเหล่านี้ ให้แคลอรี่ต่อไร่ในปริมาณที่มากกว่าพันธุ์ที่อยู่ในป่า (ซึ่งส่วนใหญ่คนกินไม่ได้) ค่อนข้างมาก ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ ชุมชนของชาวนาชาวไร่และคนเลี้ยงสัตว์ มีความหนาแน่นกว่าชุมชนของคนล่าสัตว์และคนเก็บของป่า เป็นสิบหรือร้อยเท่า ข้อเท็จจริงข้อนี้ข้อเดียวสามารถอธิบายว่า ทำไมชาวนาชาวไร่และคนเลี้ยงสัตว์ทุกหนทุกแห่งในโลก จึงสามารถกดดันหรือขับไล่คนล่าสัตว์และคนเก็บของป่า ให้ออกไปจากบริเวณที่เหมาะสมกับการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ได้เสมอ
สังคมเกษตรเป็นฐานของการพัฒนาการเมืองและเทคโนโลยี
การเลี้ยงสัตว์ยังนำมาซึ่งการปฏิวัติการขนส่งทางบก และเกษตรกรรม เพราะช่วยทุ่นแรงให้ชาวนาหนึ่งคน
สามารถไถพรวนดินได้มากกว่าถ้าเขาทำคนเดียว นอกจากนั้น สังคมของคนล่าสัตว์และคนเก็บของป่ามักมีลักษณะเสมอภาค
(egalitarian) และไม่มีโครงสร้างทางการเมืองที่ซับซ้อนกว่าระดับกลุ่มหรือเผ่า
ในขณะที่อาหารส่วนเกิน (food surplus) และการเก็บรักษาอาหาร ที่เป็นประโยชน์จากกิจกรรมเกษตร
ทำให้สังคมมนุษย์สามารถพัฒนาไปสู่สังคมแบบชนชั้นที่มีศูนย์รวมทางการเมือง และชนชั้นปกครอง
อาหารส่วนเกินยังช่วยเร่งพัฒนาการด้านเทคโนโลยี เพราะค้ำจุนช่างฝีมือต่างๆ ที่ไม่ได้ปลูกข้าวหรือเลี้ยงสัตว์ไว้กินเอง
ทำให้คนเหล่านี้สามารถทุ่มเทเวลาให้กับการพัฒนาโลหกรรม (metallurgy) ตัวหนังสือ
ดาบ และปืน
เพราะฉะนั้นจะเห็นว่า เราเริ่มต้นด้วยการหาปัจจัยเบื้องต้น - ปืน เชื้อโรค ฯลฯ - ที่สามารถอธิบายได้ว่าชาวยุโรปพิชิตโลกใหม่ได้อย่างไร ผมคิดว่าเราสามารถสืบสาวสาเหตุของปัจจัยเบื้องต้นเหล่านี้ ไปถึงพันธุ์พืชและสัตว์เลี้ยงในโลกเก่าที่มากกว่าโลกใหม่ และแกนเหนือ-ใต้ของโลกใหม่ ห่วงโซ่เหตุผลต่อเนื่องเส้นนี้ สามารถอธิบายความได้เปรียบของโลกเก่าในการมีม้าและเชื้อโรค ได้โดยตรงทีเดียว แต่พันธุ์พืชและสัตว์เลี้ยง เป็นสาเหตุทางอ้อมที่โลกเก่ามีปืน ดาบ เรือเดินทะเล โครงสร้างทางการเมือง และตัวหนังสือ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นผลจากการมีสังคมขนาดใหญ่ที่ตั้งรกรากอยู่กับที่ แบ่งชนชั้น และมีประชากรหนาแน่น ซึ่งการประกอบเกษตรกรรมเอื้อให้เกิดขึ้นได้
บทสรุป
แน่นอนว่า ยังมีปัจจัยที่สำคัญอีกมากมายในประวัติศาสตร์โลก ที่ผมไม่มีเวลาพูดถึงใน
40 นาทีนี้ แต่อธิบายไว้ในหนังสือ เช่น ผมไม่ค่อยได้กล่าวถึงการแพร่พันธุ์พืชที่คนนำมาปลูก
(3 บทในหนังสือ) ไม่ได้พูดถึงวิธีที่องค์กรการเมืองอันซับซ้อนต่างๆ การคิดค้นตัวหนังสือ
เทคโนโลยี และศาสนา ขึ้นอยู่กับเกษตรกรรมและปศุสัตว์ ไม่ได้พูดถึงเหตุผลอันน่าพิศวงของความแตกต่างระหว่างบริเวณต่างๆ
ภายใน Eurasia เช่น จีน อินเดีย และยุโรป และก็ไม่ได้พูดถึงผลกระทบจากการกระทำของคนในระดับปัจเจก
และวัฒนธรรมต่างๆ ที่มีต่อประวัติศาสตร์ แต่ตอนนี้เป็นเวลาที่ผมจะสรุปความหมายของการทัวร์ประวัติศาสตร์มนุษย์
ที่เต็มไปด้วยความไม่เท่าเทียมกันของจำนวนปืน และเชื้อโรคแล้ว
แบบแผน (หรือมุมมอง) ที่กว้างที่สุดของประวัติศาสตร์ - นั่นคือ ความแตกต่างของสังคมมนุษย์ในระดับทวีป - เป็นผลจากความแตกต่างของปัจจัยทางสภาพแวดล้อม ไม่ใช่ความแตกต่างทางชีววิทยา หรือสรีรวิทยาของคนเชื้อชาติต่างๆ นั่นคือ จำนวนพันธุ์พืชและสัตว์ป่าที่คนนำมาเลี้ยงได้ และความง่ายของการแพร่พันธุ์พืชและสัตว์ดังกล่าว โดยไม่ต้องเจอกับภูมิประเทศและภูมิอากาศที่ไม่คุ้นเคย เป็นสาเหตุแน่นอนของอัตราการเติบโตของการประกอบเกษตรกรรม และปศุสัตว์ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ทำให้จำนวนประชากรเติบโตได้มาก และสามารถผลิตอาหารส่วนเกินได้ ซึ่งเอื้อต่อวิวัฒนาการของเชื้อโรค และการพัฒนาตัวหนังสือ เทคโนโลยี และโครงสร้างทางการเมือง (โปรดดูแผนผังด้านบนประกอบ)
นอกจากนี้ ประวัติศาสตร์ของแทสมาเนีย (Tasmania - เกาะทางตอนใต้ของทวีปออสเตรเลีย) และออสเตรเลีย เตือนเราว่า ขนาดพื้นที่และระดับความโดดเดี่ยว (level of isolation) ของทวีปต่างๆ อาจเป็นปัจจัยที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งในประวัติศาสตร์มนุษย์ เพราะมีผลกระทบต่อจำนวนสังคมมนุษย์ที่แข่งขันกัน
ในฐานะนักชีววิทยาที่ทำการทดลองในห้องแล็บ ผมตระหนักดีว่า นักวิทยาศาสตร์บางคนอาจมองข้ามการตีความประวัติศาสตร์เช่นนี้ว่า เป็นการตั้งข้อสมมุติที่ไม่มีทางพิสูจน์ได้ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่มีทางบันทึกเป็นผลจากการทดลองที่ทำซ้ำๆ ให้มั่นใจได้ ข้อโต้แย้งนี้ใช้ได้กับวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาประวัติศาสตร์ทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็นดาราศาสตร์, ชีววิทยาวิวัฒนาการ (evolutionary biology), ธรณีวิทยา, และการศึกษาซากดึกดำบรรพ์ (paleontology) แน่นอนว่า ข้อโต้แย้งนี้ใช้ได้กับการศึกษาประวัติศาสตร์ทั้งหมด และสังคมศาสตร์เกือบทุกแขนง นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจที่จะมองประวัติศาสตร์ว่าเป็นวิทยาศาสตร์ เราถือว่าประวัติศาสตร์เป็นสังคมศาสตร์แขนงหนึ่ง ซึ่งก็แปลว่าไม่ค่อยเป็นวิทยาศาสตร์นัก
แต่ขอให้จำไว้ว่า คำว่าวิทยาศาสตร์ในภาษาอังกฤษ คือ "science" ไม่ได้มีรากศัพท์มาจากคำในภาษาละตินที่แปลว่า "การทดลองที่ทำซ้ำได้" แต่มาจากคำว่า "scientia" ในละติน ซึ่งแปลว่า "ความรู้" (knowledge) ต่างหาก. ในวิทยาศาสตร์ เราค้นหาความรู้ด้วยวิธีการอะไรก็ตามที่เรานำมาใช้ได้ และที่เหมาะสม มีวิชาการมากมายหลายแขนงที่ไม่มีใครลังเลที่จะเรียกว่าวิทยาศาสตร์ ทั้งๆ ที่การทดลองที่ทำซ้ำได้ในวิชาการเหล่านี้จะเป็นการผิดศีลธรรม ผิดกฎหมาย หรือเป็นไปไม่ได้ เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของดาวดวงใดดวงหนึ่ง โดยใช้ดาวดวงอื่นๆ เป็นตัวควบคุมได้
เราไม่สามารถริเริ่มหรือระงับยุคน้ำแข็ง เราไม่สามารถทดลองออกแบบและพัฒนาไดโนเสาร์ แต่เราก็ยังสามารถแสวงหาความรู้ในวิชาการที่เป็นประวัติศาสตร์เหล่านี้ด้วยวิธีอื่น. เช่นเดียวกัน เราควรจะสามารถเข้าใจประวัติศาสตร์มนุษย์ได้ เพราะการวิเคราะห์ตัวเราเอง และหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร บอกเราเกี่ยวกับการดำรงชีวิตของมนุษย์ในอดีต มากกว่าความรู้ที่เรามีเกี่ยวกับชีวิตของไดโนเสาร์ ด้วยเหตุนี้ ผมจึงมีความหวังว่า วันหนึ่งเราจะมีคำอธิบายที่ครบถ้วนที่สุด เกี่ยวกับแบบแผนที่กว้างที่สุดของประวัติศาสตร์มนุษย์
............................................................................
บทส่งท้ายของผู้แปล
แม้ Diamond อาจมองโลกในแง่ดีไปหน่อย (เพราะพฤติกรรมของมนุษย์นั้นเข้าใจยากกว่าสิ่งอื่นใดในธรรมชาติมาก)
คำอธิบายของเขาก็เป็นเหตุผลที่
- ทรงพลัง เพราะมีหลักฐานที่น่าเชื่อถือ
- น่าดีใจ เพราะช่วยพิสูจน์ว่าอคติของมนุษย์ในการเหยียดผิวนั้น เป็นเรื่องไร้สาระ
- และน่าตื่นเต้น เพราะเป็นผลของการสังเคราะห์แนวคิด และหลักฐานจากวิชาการหลายสาขา แบบ "บูรณาการ" (integrated) ซึ่งเป็นแนวการศึกษาสมัยใหม่ ที่นับวันจะทวีความสำคัญขึ้นเรื่อยๆ
Guns, Germs, and Steel เป็นหนึ่งในหนังสือแสนรัก เพราะหนังสือเล่มนี้เล่มเดียว ช่วยเปิดโลกทัศน์ให้กว้างกว่าเดิมหลายเท่า ปัจจุบันมีผู้แปลเป็นภาษาไทยแล้ว คือ คุณอรวรรณ คูหาเจริญ นาวายุทธ ในชื่อ ปืน เชื้อโรค และเหล็กกล้า กับชะตากรรมของสังคมมนุษย์ สำนักพิมพ์คบไฟเป็นผู้จัดพิมพ์
หวังว่าแนวคิด "ประวัติศาสตร์แบบวิทยาศาสตร์" ของ Diamond จะเป็นแรงบันดาลใจให้นักวิทยาศาสตร์ และนักประวัติศาสตร์ทั้งหลาย สืบสานเจตนารมณ์ของเขาโดยการขยายวงวิวาทะ แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน เพื่อขยายมิติแห่งความรู้ของเราเรื่องประวัติศาสตร์มนุษย์ ให้ "กว้าง" และ "ลึก" มากขึ้น
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
Why Did Human History
Unfold Differently On Different Continents
For The Last 13,000 Years?
A Talk By Jared Diamond [4.23.97]
Introduction by John
Brockman
The biggest question that Jared Diamond is asking himself is how to turn the
study of history into a science. He notes the distinction between the "hard
sciences" such as physics, biology, and astronomy - and what we sometimes
call the "social sciences," which includes history, economics, government.
The social sciences are often thought of as a pejorative. In particular many
of the so-called hard scientists such as physicists or biologists, don't consider
history to be a science. The situation is even more extreme because, he points
out, even historians themselves don't consider history to be a science. Historians
don't get training in the scientific methods; they don't get training in statistics;
they don't get training in the experimental method or problems of doing experiments
on historical subjects; and they'll often say that history is not a science,
history is closer to an art.
Jared comes to this question as one who is accomplished in two scientific areas: physiology and evolutionary biology. The first is a laboratory science; the second, is never far from history. "Biology is the science," he says. "Evolution is the concept that makes biology unique."
In his new theories of
human development, he brings together history and biology in presenting a
global account of the rise of civilization. In so doing he takes on race-based
theories of human development.
"Most people are explicitly racists," he says. "In parts of
the world - so called educated, so-called western society - we've learned
that it is not polite to be racist, and so often we don't express racist views,
but nevertheless I've given lectures on this subject, and members of the National
Academy of Sciences come up to me afterwards and say, but native Australians,
they're so primitive. Racism is one of the big issues in the world today.
Racism is the big social problem in the United States."
So why are people racists? According to Jared, racism involves the belief that other people are not capable of being educated. Or being human - that they're different from us, and they're less than human. It was through his work in New Guinea for the last 30 years that convinced him that it's not true. "'They' are smarter than we are," he says. But perhaps the main reason why people resort to racist explanations, he notes, is that they don't have another answer. Until there's a convincing answer why history really took the course that it did, people are going to fall back on the racist explanation. Jared believes that the big world impact of his ideas may being in demolishing the basis for racist theories of history and racist views.
Why Did Human History
Unfold Differently On Different Continents
For The Last 13,000 Years?
A Talk By Jared Diamond
I've set myself the modest task of trying to explain the broad pattern of
human history, on all the continents, for the last 13,000 years. Why did history
take such different evolutionary courses for peoples of different continents?
This problem has fascinated me for a long time, but it's now ripe for a new
synthesis because of recent advances in many fields seemingly remote from
history, including molecular biology, plant and animal genetics and biogeography,
archaeology, and linguistics.
As we all know, Eurasians, especially peoples of Europe and eastern Asia, have spread around the globe, to dominate the modern world in wealth and power. Other peoples, including most Africans, survived, and have thrown off European domination but remain behind in wealth and power. Still other peoples, including the original inhabitants of Australia, the Americas, and southern Africa, are no longer even masters of their own lands but have been decimated, subjugated, or exterminated by European colonialists. Why did history turn out that way, instead of the opposite way? Why weren't Native Americans, Africans, and Aboriginal Australians the ones who conquered or exterminated Europeans and Asians?
This big question can easily be pushed back one step further. By the year A.D. 1500, the approximate year when Europe's overseas expansion was just beginning, peoples of the different continents already differed greatly in technology and political organization. Much of Eurasia and North Africa was occupied then by Iron Age states and empires, some of them on the verge of industrialization. Two Native American peoples, the Incas and Aztecs, ruled over empires with stone tools and were just starting to experiment with bronze. Parts of sub-Saharan Africa were divided among small indigenous Iron Age states or chiefdoms. But all peoples of Australia, New Guinea, and the Pacific islands, and many peoples of the Americas and sub-Saharan Africa, were still living as farmers or even still as hunter/ gatherers with stone tools.
Obviously, those differences as of A.D. 1500 were the immediate cause of the modern world's inequalities. Empires with iron tools conquered or exterminated tribes with stone tools. But how did the world evolve to be the way that it was in the year A.D. 1500?
This question, too can be easily pushed back a further step, with the help of written histories and archaeological discoveries. Until the end of the last Ice Age around 11,000 B.C., all humans on all continents were still living as Stone Age hunter/gatherers. Different rates of development on different continents, from 11,000 B.C. to A.D. 1500, were what produced the inequalities of A.D. 1500. While Aboriginal Australians and many Native American peoples remained Stone Age hunter/gatherers, most Eurasian peoples, and many peoples of the Americas and sub-Saharan Africa, gradually developed agriculture, herding, metallurgy, and complex political organization. Parts of Eurasia, and one small area of the Americas, developed indigenous writing as well. But each of these new developments appeared earlier in Eurasia than elsewhere.
So, we can finally rephrase our question about the evolution of the modern world's inequalities as follows. Why did human development proceed at such different rates on different continents for the last 13,000 years? Those differing rates constitute the broadest pattern of history, the biggest unsolved problem of history, and my subject today.
Historians tend to avoid this subject like the plague, because of its apparently racist overtones. Many people, or even most people, assume that the answer involves biological differences in average IQ among the world's populations, despite the fact that there is no evidence for the existence of such IQ differences. Even to ask the question why different peoples had different histories strikes some of us as evil, because it appears to be justifying what happened in history. In fact, we study the injustices of history for the same reason that we study genocide, and for the same reason that psychologists study the minds of murderers and rapists: not in order to justify history, genocide, murder, and rape, but instead to understand how those evil things came about, and then to use that understanding so as to prevent their happening again. In case the stink of racism still makes you feel uncomfortable about exploring this subject, just reflect on the underlying reason why so many people accept racist explanations of history's broad pattern: we don't have a convincing alternative explanation. Until we do, people will continue to gravitate by default to racist theories. That leaves us with a huge moral gap, which constitutes the strongest reason for tackling this uncomfortable subject.
Let's proceed continent-by-continent. As our first continental comparison, let's consider the collision of the Old World and the New World that began with Christopher Columbus's voyage in A.D. 1492, because the proximate factors involved in that outcome are well understood. I'll now give you a summary and interpretation of the histories of North America, South America, Europe, and Asia from my perspective as a biogeographer and evolutionary biologist ? all that in ten minutes; 2_ minutes per continent. Here we go:
Most of us are familiar with the stories of how a few hundred Spaniards under Cortes and Pizarro overthrew the Aztec and Inca Empires. The populations of each of those empires numbered tens of millions. We're also familiar with the gruesome details of how other Europeans conquered other parts of the New World. The result is that Europeans came to settle and dominate most of the New World, while the Native American population declined drastically from its level as of A.D. 1492. Why did it happen that way? Why didn't it instead happen that the Emperors Montezuma or Atahuallpa led the Aztecs or Incas to conquer Europe?
The proximate reasons are obvious. Invading Europeans had steel swords, guns, and horses, while Native Americans had only stone and wooden weapons and no animals that could be ridden. Those military advantages repeatedly enabled troops of a few dozen mounted Spaniards to defeat Indian armies numbering in the thousands.
Nevertheless, steel swords, guns, and horses weren't the sole proximate factors behind the European conquest of the New World. Infectious diseases introduced with Europeans, like smallpox and measles, spread from one Indian tribe to another, far in advance of Europeans themselves, and killed an estimated 95% of the New World's Indian population. Those diseases were endemic in Europe, and Europeans had had time to develop both genetic and immune resistance to them, but Indians initially had no such resistance. That role played by infectious diseases in the European conquest of the New World was duplicated in many other parts of the world, including Aboriginal Australia, southern Africa, and many Pacific islands.
Finally, there is still another set of proximate factors to consider. How is it that Pizarro and Cortes reached the New World at all, before Aztec and Inca conquistadors could reach Europe? That outcome depended partly on technology in the form of oceangoing ships. Europeans had such ships, while the Aztecs and Incas did not. Also, those European ships were backed by the centralized political organization that enabled Spain and other European countries to build and staff the ships. Equally crucial was the role of European writing in permitting the quick spread of accurate detailed information, including maps, sailing directions, and accounts by earlier explorers, back to Europe, to motivate later explorers.
So far, we've identified a series of proximate factors behind European colonization of the New World: namely, ships, political organization, and writing that brought Europeans to the New World; European germs that killed most Indians before they could reach the battlefield; and guns, steel swords, and horses that gave Europeans a big advantage on the battlefield. Now, let's try to push the chain of causation back further. Why did these proximate advantages go to the Old World rather than to the New World? Theoretically, Native Americans might have been the ones to develop steel swords and guns first, to develop oceangoing ships and empires and writing first, to be mounted on domestic animals more terrifying than horses, and to bear germs worse than smallpox.
The part of that question that's easiest to answer concerns the reasons why Eurasia evolved the nastiest germs. It's striking that Native Americans evolved no devastating epidemic diseases to give to Europeans, in return for the many devastating epidemic diseases that Indians received from the Old World. There are two straightforward reasons for this gross imbalance. First, most of our familiar epidemic diseases can sustain themselves only in large dense human populations concentrated into villages and cities, which arose much earlier in the Old World than in the New World. Second, recent studies of microbes, by molecular biologists, have shown that most human epidemic diseases evolved from similar epidemic diseases of the dense populations of Old World domestic animals with which we came into close contact. For example, measles and TB evolved from diseases of our cattle, influenza from a disease of pigs, and smallpox possibly from a disease of camels. The Americas had very few native domesticated animal species from which humans could acquire such diseases.
Let's now push the chain of reasoning back one step further. Why were there far more species of domesticated animals in Eurasia than in the Americas? The Americas harbor over a thousand native wild mammal species, so you might initially suppose that the Americas offered plenty of starting material for domestication.
In fact, only a tiny fraction of wild mammal species has been successfully domesticated, because domestication requires that a wild animal fulfill many prerequisites: the animal has to have a diet that humans can supply; a rapid growth rate; a willingness to breed in captivity; a tractable disposition; a social structure involving submissive behavior towards dominant animals and humans; and lack of a tendency to panic when fenced in. Thousands of years ago, humans domesticated every possible large wild mammal species fulfilling all those criteria and worth domesticating, with the result that there have been no valuable additions of domestic animals in recent times, despite the efforts of modern science.
Eurasia ended up with the most domesticated animal species in part because it's the world's largest land mass and offered the most wild species to begin with. That preexisting difference was magnified 13,000 years ago at the end of the last Ice Age, when most of the large mammal species of North and South America became extinct, perhaps exterminated by the first arriving Indians. As a result, Native Americans inherited far fewer species of big wild mammals than did Eurasians, leaving them only with the llama and alpaca as a domesticate. Differences between the Old and New Worlds in domesticated plants, especially in large-seeded cereals, are qualitatively similar to t hese differences in domesticated mammals, though the difference is not so extreme.
Another reason for the higher local diversity of domesticated plants and animals in Eurasia than in the Americas is that Eurasia's main axis is east/west, whereas the main axis of the Americas is north/south. Eurasia's east/west axis meant that species domesticated in one part of Eurasia could easily spread thousands of miles at the same latitude, encountering the same day-length and climate to which they were already adapted. As a result, chickens and citrus fruit domesticated in Southeast Asia quickly spread westward to Europe; horses domesticated in the Ukraine quickly spread eastward to China; and the sheep, goats, cattle, wheat, and barley of the Fertile Crescent quickly spread both west and east.
In contrast, the north/south axis of the Americas meant that species domesticated in one area couldn't spread far without encountering day-lengths and climates to which they were not adapted. As a result, the turkey never spread from its site of domestication in Mexico to the Andes; llamas and alpacas never spread from the Andes to Mexico, so that the Indian civilizations of Central and North America remained entirely without pack animals; and it took thousands of years for the corn that evolved in Mexico's climate to become modified into a corn adapted to the short growing season and seasonally changing day-length of North America.
Eurasia's domesticated plants and animals were important for several other reasons besides letting Europeans develop nasty germs. Domesticated plants and animals yield far more calories per acre than do wild habitats, in which most species are inedible to humans. As a result, population densities of farmers and herders are typically ten to a hundred times greater than those of hunter/gatherers. That fact alone explains why farmers and herders everywhere in the world have been able to push hunter/gatherers out of land suitable for farming and herding. Domestic animals revolutionized land transport. They also revolutionized agriculture, by letting one farmer plough and manure much more land than the farmer could till or manure by the farmer's own efforts. Also, hunter/gatherer societies tend to be egalitarian and to have no political organization beyond the level of the band or tribe, whereas the food surpluses and storage made possible by agriculture permitted the development of stratified, politically centralized societies with governing elites. Those food surpluses also accelerated the development of technology, by supporting craftspeople who didn't raise their own food and who could instead devote themselves to developing metallurgy, writing, swords, and guns.
Thus, we began by identifying a series of proximate explanations ? guns, germs, and so on ? for the conquest of the Americas by Europeans. Those proximate factors seem to me ultimately traceable in large part to the Old World's greater number of domesticated plants, much greater number of domesticated animals, and east/west axis. The chain of causation is most direct in explaining the Old World's advantages of horses and nasty germs. But domesticated plants and animals also led more indirectly to Eurasia's advantage in guns, swords, oceangoing ships, political organization, and writing, all of which were products of the large, dense, sedentary, stratified societies made possible by agriculture.
Let's next examine whether this scheme, derived from the collision of Europeans with Native Americans, helps us understand the broadest pattern of African history, which I'll summarize in five minutes. I'll concentrate on the history of sub-Saharan Africa, because it was much more isolated from Eurasia by distance and climate than was North Africa, whose history is closely linked to Eurasia's history. Here we go again:
Just as we asked why Cort?s invaded Mexico before Montezuma could invade Europe, we can similarly ask why Europeans colonized sub-Saharan Africa before sub-Saharans could colonize Europe. The proximate factors were the same familiar ones of guns, steel, oceangoing ships, political organization, and writing. But again, we can ask why guns and ships and so on ended up being developed in Europe rather than in sub-Saharan Africa. To the student of human evolution, that question is particularly puzzling, because humans have been evolving for millions of years longer in Africa than in Europe, and even anatomically modern Homo sapiens may have reached Europe from Africa only within the last 50,000 years. If time were a critical factor in the development of human societies, Africa should have enjoyed an enormous head start and advantage over Europe.
Again, that outcome largely reflects biogeographic differences in the availability of domesticable wild animal and plant species. Taking first domestic animals, it's striking that the sole animal domesticated within sub-Saharan Africa was [you guess] a bird, the Guinea fowl. All of Africa's mammalian domesticates ? cattle, sheep, goats, horses, even dogs ? entered sub-Saharan Africa from the north, from Eurasia or North Africa. At first that sounds astonishing, since we now think of Africa as the continent of big wild mammals. In fact, none of those famous big wild mammal species of Africa proved domesticable. They were all disqualified by one or another problem such as: unsuitable social organization; intractable behavior; slow growth rate, and so on. Just think what the course of world history might have been like if Africa's rhinos and hippos had lent themselves to domestication! If that had been possible, African cavalry mounted on rhinos or hippos would have made mincemeat of European cavalry mounted on horses. But it couldn't happen.
Instead, as I mentioned, the livestock adopted in Africa were Eurasian species that came in from the north. Africa's long axis, like that of the Americas, is north/south rather than east/west. Those Eurasian domestic mammals spread southward very slowly in Africa, because they had to adapt to different climate zones and different animal diseases.
The difficulties posed by a north/south axis to the spread of domesticated species are even more striking for African crops than they are for livestock. Remember that the food staples of ancient Egypt were Fertile Crescent and Mediterranean crops like wheat and barley, which require winter rains and seasonal variation in day length for their germination. Those crops couldn't spread south in Africa beyond Ethiopia, beyond which the rains come in the summer and there's little or no seasonal variation in day length. Instead, the development of agriculture in the sub-Sahara had to await the domestication of native African plant species like sorghum and millet, adapted to Central Africa's summer rains and relatively constant day length.
Ironically, those crops
of Central Africa were for the same reason then unable to spread south to
the Mediterranean zone of South Africa, where once again winter rains and
big seasonal variations in day length prevailed. The southward advance of
native African farmers with Central African crops halted in Natal, beyond
which Central African crops couldn't grow ? with enormous consequences for
the recent history of South Africa.
In short, a north/south axis, and a paucity of wild plant and animal species
suitable for domestication, were decisive in African history, just as they
were in Native American history. Although native Africans domesticated some
plants in the Sahel and in Ethiopia and in tropical West Africa, they acquired
valuable domestic animals only later, from the north. The resulting advantages
of Europeans in guns, ships, political organization, and writing permitted
Europeans to colonize Africa, rather than Africans to colonize Europe.
Let's now conclude our whirlwind tour around the globe by devoting five minutes to the last continent, Australia. Here we go again, for the last time.
In modern times, Australia was the sole continent still inhabited only by hunter/gatherers. That makes Australia a critical test of any theory about continental differences in the evolution of human societies. Native Australia had no farmers or herders, no writing, no metal tools, and no political organization beyond the level of the tribe or band. Those, of course, are the reasons why European guns and germs destroyed Aboriginal Australian society. But why had all Native Australians remained hunter/gatherers?
There are three obvious
reasons. First, even to this day no native Australian animal species and only
one plant species (the macadamia nut) have proved suitable for domestication.
There still are no domestic kangaroos.
Second, Australia is the smallest continent, and most of it can support only
small human populations because of low rainfall and productivity. Hence the
total number of Australian hunter/gatherers was only about 300,000.
Finally, Australia is the most isolated continent. The sole outside contacts
of Aboriginal Australians were tenuous overwater contacts with New Guineans
and Indonesians.
To get an idea of the significance of that small population size and isolation for the pace of development in Australia, consider the Australian island of Tasmania, which had the most extraordinary human society in the modern world. Tasmania is just an island of modest size, but it was the most extreme outpost of the most extreme continent, and it illuminates a big issue in the evolution of all human societies. Tasmania lies 130 miles southeast of Australia. When it was first visited by Europeans in 1642, Tasmania was occupied by 4,000 hunter/gatherers related to mainland Australians, but with the simplest technology of any recent people on Earth. Unlike mainland Aboriginal Australians, Tasmanians couldn't start a fire; they had no boomerangs, spear throwers, or shields; they had no bone tools, no specialized stone tools, and no compound tools like an axe head mounted on a handle; they couldn't cut down a tree or hollow out a canoe; they lacked sewing to make sewn clothing, despite Tasmania's cold winter climate with snow; and, incredibly, though they lived mostly on the sea coast, the Tasmanians didn't catch or eat fish. How did those enormous gaps in Tasmanian material culture arise?
The answer stems from the fact that Tasmania used to be joined to the southern Australian mainland at Pleistocene times of low sea level, until that land bridge was severed by rising sea level 10,000 years ago. People walked out to Tasmania tens of thousands of years ago, when it was still part of Australia. Once that land bridge was severed, though, there was absolutely no further contact of Tasmanians with mainland Australians or with any other people on Earth until European arrival in 1642, because both Tasmanians and mainland Australians lacked watercraft capable of crossing those 130-mile straits between Tasmania and Australia. Tasmanian history is thus a study of human isolation unprecedented except in science fiction ๗ namely, complete isolation from other humans for 10,000 years. Tasmania had the smallest and most isolated human population in the world. If population size and isolation have any effect on accumulation of inventions, we should expect to see that effect in Tasmania.
If all those technologies that I mentioned, absent from Tasmania but present on the opposite Australian mainland, were invented by Australians within the last 10,000 years, we can surely conclude at least that Tasmania's tiny population didn't invent them independently. Astonishingly, the archaeological record demonstrates something further: Tasmanians actually abandoned some technologies that they brought with them from Australia and that persisted on the Australian mainland. For example, bone tools and the practice of fishing were both present in Tasmania at the time that the land bridge was severed, and both disappeared from Tasmania by around 1500 B.C. That represents the loss of valuable technologies: fish could have been smoked to provide a winter food supply, and bone needles could have been used to sew warm clothes.
What sense can we make
of these cultural losses?
The only interpretation that makes sense to me goes as follows. First, technology
has to be invented or adopted. Human societies vary in lots of independent
factors affecting their openness to innovation. Hence the higher the human
population and the more societies there are on an island or continent, the
greater the chance of any given invention being conceived and adopted somewhere
there.
Second, for all human societies except those of totally-isolated Tasmania, most technological innovations diffuse in from the outside, instead of being invented locally, so one expects the evolution of technology to proceed most rapidly in societies most closely connected with outside societies.
Finally, technology not only has to be adopted; it also has to be maintained. All human societies go through fads in which they temporarily either adopt practices of little use or else abandon practices of considerable use. Whenever such economically senseless taboos arise in an area with many competing human societies, only some societies will adopt the taboo at a given time. Other societies will retain the useful practice, and will either outcompete the societies that lost it, or else will be there as a model for the societies with the taboos to repent their error and reacquire the practice. If Tasmanians had remained in contact with mainland Australians, they could have rediscovered the value and techniques of fishing and making bone tools that they had lost. But that couldn't happen in the complete isolation of Tasmania, where cultural losses became irreversible.
In short, the message
of the differences between Tasmanian and mainland Australian societies seems
to be the following. All other things being equal, the rate of human invention
is faster, and the rate of cultural loss is slower, i n areas occupied by
many competing societies with many individuals and in contact with societies
elsewhere. If this interpretation is correct, then it's likely to be of much
broader significance. It probably provides part of the explanation why native
Australians, on the world's smallest and most isolated continent, remained
Stone Age hunter/ gatherers, while people of other continents were adopting
agriculture and metal. It's also likely to contribute to the differences that
I already discussed between the farmers of sub-Saharan Africa, the farmers
of the much larger Americas, and the farmers of the still larger Eurasia.
Naturally, there are many important factors in world history that I haven't
had time to discuss in 40 minutes, and that I do discuss in my book. For example,
I've said little or nothing about the distribution of domesticable plants
(3 chapters); about the precise way in which complex political institutions
and the development of writing and technology and organized religion depend
on agriculture and herding; about the fascinating reasons for the differences
within Eurasia between China, India, the Near East, and Europe; and about
the effects of individuals, and of cultural differences unrelated to the environment,
on history. But it's now time to summarize the overall meaning of this whirlwind
tour through human history, with its unequally distributed guns and germs.
The broadest pattern of history ? namely, the differences between human societies on different continents ? seems to me to be attributable to differences among continental environments, and not to biological differences among peoples themselves. In particular, the availability of wild plant and animal species suitable for domestication, and the ease with which those species could spread without encountering unsuitable climates, contributed decisively to the varying rates of rise of agriculture and herding, which in turn contributed decisively to the rise of human population numbers, population densities, and food surpluses, which in turn contributed decisively to the development of epidemic infectious diseases, writing, technology, and political organization. In addition, the histories of Tasmania and Australia warn us that the differing areas and isolations of the continents, by determining the number of competing societies, may have been another important factor in human development.
As a biologist practicing laboratory experimental science, I'm aware that some scientists may be inclined to dismiss these historical interpretations as unprovable speculation, because they're not founded on replicated laboratory experiments. The same objection can be raised against any of the historical sciences, including astronomy, evolutionary biology, geology, and paleontology. The objection can of course be raised against the whole field of history, and most of the other social sciences. That's the reason why we're uncomfortable about considering history as a science. It's classified as a social science, which is considered not quite scientific.
But remember that the
word "science" isn't derived from the Latin word for "replicated
laboratory experiment," but instead from the Latin word "scientia"
for "knowledge." In science, we seek knowledge by whatever methodologies
are available and appropriate. There are many fields that no one hesitates
to consider sciences even though replicated laboratory experiments in those
fields would be immoral, illegal, or impossible. We can't manipulate some
stars while maintaining other stars as controls; we can't start and stop ice
ages, and we can't experiment with designing and evolving dinosaurs. Nevertheless,
we can still gain considerable insight into these historical fields by other
means. Then we should surely be able to understand human history, because
introspection and preserved writings give us far more insight into the ways
of past humans than we have into the ways of past dinosaurs. For that reason
I'm optimistic that we can eventually arrive at convincing explanations for
these broadest patterns of human history.
แหล่งที่มาของข้อมูล
http://www.edge.org/3rd_culture/diamond/diamond_p1.html
นักศึกษา
สมาชิก และผู้สนใจบทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ก่อนหน้านี้ สามารถคลิกไปอ่านได้โดยคลิกที่แบนเนอร์
ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา 3 I สารบัญเนื้อหา
4
I สารบัญเนื้อหา
5 I สารบัญเนื้อหา
6
ประวัติ
ม.เที่ยงคืน
สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง
e-mail :
midnightuniv(at)gmail.com
หากประสบปัญหาการส่ง
e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com
ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ทั้งหมด
กว่า 1100 เรื่อง หนากว่า 18000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com
สมเกียรติ
ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็บไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ
ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com
บรรณาธิการแถลง: บทความทุกชิ้นซึ่งได้รับการเผยแพร่บนเว็บไซต์แห่งนี้
มุ่งเพื่อประโยชน์สาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อวัตถุประสงค์ในการขยายพรมแดนแห่งความรู้ให้กับสังคมไทยอย่างกว้างขวาง
นอกจากนี้ยังมุ่งทำหน้าที่เป็นยุ้งฉางเล็กๆ แห่งหนึ่งสำหรับเก็บสะสมความรู้ เพื่อให้ทุกคนสามารถหยิบฉวยไปใช้ได้ตามสะดวก
ในฐานะที่เป็นสมบัติร่วมของชุมชน สังคม และสมบัติที่ต่างช่วยกันสร้างสรรค์และดูแลรักษามาโดยตลอด.
สำหรับผู้สนใจร่วมนำเสนอบทความ หรือ แนะนำบทความที่น่าสนใจ(ในทุกๆสาขาวิชา) จากเว็บไซต์ต่างๆ
ทั่วโลก สามารถส่งบทความหรือแนะนำไปได้ที่ midnightuniv(at)gmail.com
(กองบรรณาธิการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน: ๒๘ มกาคม ๒๕๕๐)
ในฐานะนักชีววิทยาที่ทำการทดลองในห้องแล็บ ผมตระหนักดีว่า นักวิทยาศาสตร์บางคนอาจมองข้ามการตีความประวัติศาสตร์เช่นนี้ว่า เป็นการตั้งข้อสมมุติที่ไม่มีทางพิสูจน์ได้ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่มีทางบันทึกเป็นผลจากการทดลองที่ทำซ้ำๆ ให้มั่นใจได้ ข้อโต้แย้งนี้ใช้ได้กับวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาประวัติศาสตร์ทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็นดาราศาสตร์, ชีววิทยาวิวัฒนาการ (evolutionary biology), ธรณีวิทยา, และการศึกษาซากดึกดำบรรพ์ (paleontology) แน่นอนว่า ข้อโต้แย้งนี้ใช้ได้กับการศึกษาประวัติศาสตร์ทั้งหมด และสังคมศาสตร์เกือบทุกแขนง