ทฤษฎีแบ่งแยกจากข้อเท็จจริงประวัติศาสตร์
ความเป็นมาของทฤษฎี
"แบ่งแยกดินแดน" ในภาคใต้ไทย
(๓)
ดร. ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ
โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา
คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
บทความบนหน้าเว็บเพจนี้
ได้รับมาจากผู้เขียน
โดยกองบรรณาธิการจะทะยอยนำออกเผยแพร่ในลักษณะชุดบทความว่าด้วย
-ความเป็นมาของทฤษฎีแบ่งแยกในภาคใต้ไทย-
เพื่อประโยชน์แห่งความรู้ และวัฒนธรรมการเรียนรู้ความเข้าใจ
ในปัญหาภาคใต้จากความจริงจากชุดคำอธิบายของนักประวัติศาสตร์
สำหรับในส่วนที่สามนี้ ประกอบด้วย
๙) ฮัจญีสุหลงกับขบวนการชาตินิยมมลายู
๑๐) การเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของรัฐไทย และทรรศนะต่อคนมลายูมุสลิม ๒๔๗๕-๒๔๙๑
๑๑) การสร้างชาติและนโยบายการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม,
พ.ศ. ๒๔๘๒-๒๔๘๗
midnightuniv(at)gmail.com
บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา
ข้อความที่ปรากฏบนเว็บเพจนี้
ได้มีการแก้ไขและตัดแต่งไปจากต้นฉบับบางส่วน
เพื่อความเหมาะสมเป็นการเฉพาะสำหรับเว็บไซต์แห่งนี้
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ ๑๑๔๘
เผยแพร่บนเว็บไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่
๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ
๑๙.๕ หน้ากระดาษ A4)
+++++++++++++++++++++++++++++++++++
คลิกกลับไปทบทวนตอนที่
๑
คลิกกลับไปทบทวนตอนที่
๒
๙) ฮัจญีสุหลงกับขบวนการชาตินิยมมลายู
ฮัจญีสุหลงเกิดในปี พ.ศ.๒๔๓๘ ในหมู่บ้านกำปงอาเนาะรู มณฑลปัตตานี บิดาชื่อฮัจญีอับดุลกาเดร์
บิน มูฮัมหมัด หลานปู่ของฮัจญีไซนับ อาบีดิน บิน อาหมัด หรือ "ตวนมีนาล"
ซึ่งเป็นผู้เขียนตำราศาสนาที่ชื่อว่า "กัชฟ์ อัล-ลีซาม" และ "อากีดัต
อัลนายีน" อันเป็นตำราศาสนามีชื่อเสียง (1) เขาเริ่มต้นศึกษาในโรงเรียนปอเนาะ
อายุได้ ๑๒ ปี บิดาส่งไปเรียนวิชาการศาสนาอิสลามที่นครมักกะห์ ปัจจุบันอยู่ในประเทศซาอุดิอาระเบีย
โดยได้เข้าศึกษากับครูที่มีชื่อเสียงและเป็นนักปราชญ์ทางศาสนาอิสลามในนครมักกะห์
หะยีสุหลงศึกษาภาษาอาหรับ คัมภีร์และตำราอย่างแตกฉาน จนเป็นที่ยอมรับของคนรุ่นเดียวกันและรุ่นหลัง ได้รับการขอให้เปิดสำนักสอนศาสนาอิสลามที่นครมักกะห์จนมีชื่อเสียง มีศิษย์เป็นจำนวนมากจากภูมิภาคต่างๆ ของโลก เหตุที่ทำให้ฮัจญีสุหลงตัดสินใจเดินทางกลับ ปัตตานีเพราะความตายของบุตรชายคนแรก เมื่ออายุได้ปีเศษๆ การเดินทางกลับครั้งนั้น เป็นการเปลี่ยนวิถีชีวิตของฮัจญีสุหลงอย่างที่เขาเอง ก็คงคาดไม่ถึง
ปัตตานีและสังคมมุสลิมภาคใต้ในปี พ.ศ.๒๔๖๙ ในสายตาใหม่ของฮัจญีสุหลง ยังคงสภาพเหมือนสังคมอาหรับ ในยุคที่ศาสนาอิสลามเพิ่งเผยแพร่ คือเป็นสังคมที่ล้าหลังและคนมุสลิมยังมีความเชื่อในไสยศาสตร์ และพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ท้องถิ่นอื่นๆ อีกมาก สภาพการณ์ดังกล่าวทำให้ ฮัจญีสุหลงตัดสินใจปักหลักที่นี่ แทนที่จะเดินทางกลับไปมักกะห์ตามความตั้งใจเดิม ได้ทิ้งบ้านช่อง ทรัพย์สินและตำราศาสนามากมายไว้ที่นั้น "ด้วยความสำนึกในหน้าที่ของมุสลิมที่ดี ที่จะต้องเผยแพร่ศาสนาอิสลามให้ถูกต้องตามโองการของอัลเลาะฮ์"
ฮัจญีสุหลงเริ่มการเป็นโต๊ะครูโดยเปิดปอเนาะที่ปัตตานี
เพื่อสอนหลักศาสนาแบบใหม่ ลบล้างความเชื่อผิดๆ โรงเรียนของเขามีชื่อว่า มัดราซะห์
อัล-มาอารีฟ อัล-วาตานียะห์ เป็นโรงเรียนศาสนาที่มีรูปแบบใหม่ มีการวัดความรู้และใช้ระบบมีชั้นเรียน
มีการฝึกภาคสนามแก่นักเรียนทุกเช้า จุดหมายของโรงเรียนแบบใหม่จึงมีมากกว่าการสอนศาสนา
หากแต่น่าจะมีวิสัยทัศน์สมัยใหม่ด้วย นั่นคือการมองถึงสังคมและกว้างกว่านั้นถึงประเทศชาติ
ดังที่โรงเรียนมีคำว่า "อัล-วาตานียะห์" ซึ่งมีความหมายว่า "แห่งชาติ"
ที่ป้ายชื่อโรงเรียนด้วย (2)
เขาเดินทางเทศนาไปยังที่ต่างๆ ในมณฑลปัตตานี การเผยแพร่ความคิดใหม่ของเขา ลบล้างความเชื่อเดิมที่ผิดๆ
และที่ขัดกับหลักศาสนาอิสลาม การกระทำดังกล่าวถูกตอบโต้ จากโต๊ะครูหัวเก่าตามปอเนาะต่างๆ
จนมีผู้รายงานการเคลื่อนไหวของหะยีสุหลงต่อข้าหลวงมณฑลว่า เขาจะเป็น "ผู้ก่อความไม่สงบและจะทำให้ราษฎรก่อตัวเป็นภัยต่อแผ่นดิน"
เขาถูกเรียกตัวไปสอบสวนแต่ปล่อยตัวไปเพราะไม่มีหลักฐาน
การเผยแพร่ศาสนาอิสลามของฮัจญีสุหลงประสพความสำเร็จอย่างมาก ชาวบ้าน สนับสนุนให้เปิดโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามแทนการสอนในปอเนาะที่ทำกันอยู่ โรงเรียนสร้างด้วยเงินบริจาคและร่วมแรงร่วมใจของชาวบ้านในการสร้าง แต่ความไม่วางใจและหวาดระแวงของกลุ่มปกครองต่อพฤติกรรมและบุคลิกผู้นำของ ฮัจญีสุหลง ทำให้เกิดข้อพิพาทขัดแย้งกับกลุ่มผู้นำท้องถิ่น คือพระยาพิพิธเสนามาตย์ เจ้าเมืองยะหริ่ง และพระพิพิธภักดี นายอำเภอมายอ จังหวัดปัตตานีบุตรชาย ในเรื่องการสร้างโรงเรียน
ข้อพิพาทนี้ทำให้ฮัจญีสุหลง เกิดกินแหนงแคลงใจกับผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานีขณะนั้นคือ พระวิเทศปัตตนาทร(แจ้ง สุวรรณจินดา) เพราะไม่เป็นกลาง ต่อมาได้รับบรรดาศักดิ์เป็นพระยารัตนภักดี เป็นผู้ว่าฯคนสุดท้ายในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์. เมื่อคณะราษฎรปฏิวัติสยาม ได้ปลดพระยารัตนภักดีออก เนื่องจากเป็นฝ่ายคณะเจ้า คนนี้มีความสำคัญเพราะจะกลับมามีบทบาทอันมีผลด้านลบอย่างแรงต่อการจับกุมฮัจญีสุหลงในสมัยรัฐบาลนายควง อภัยวงศ์
โรงเรียนสอนศาสนาอิสลามที่ฮัจญีสุหลงดำเนินการก่อสร้างกับราษฎรมาเสร็จสมบูรณ์
และ เปิดใช้อย่างเป็นทางการก็ในปี พ.ศ.๒๔๗๖ ภายหลังการปฏิวัติ ๒๔๗๕ เรียบร้อยแล้ว
โดยที่พระยาพหลฯ เมื่อเป็นนายกรัฐมนตรีได้บริจาคเงินช่วยการก่อสร้างให้แล้วเสร็จ
ทั้งยังเดินทางไปร่วมในวันทำพิธีเปิดโรงเรียนอีกด้วย (3)
โรงเรียนที่ฮัจญีสุหลงสร้างขึ้น กลายเป็นศูนย์กลางใหม่ของคนมุสลิม ทำหน้าที่เหมือนมัสยิดแห่งหนึ่งไปด้วย
จะมีคนมาทำละหมาด(นมาซ) ประจำวัน คนที่จำได้เล่าว่า "ทุกตอนเย็นจะมีชาวบ้านกลุ่มใหญ่เดินผ่านหน้าบ้านผมทุกวัน
เสียงเกี๊ยะที่เดินผ่านหน้าบ้าน ผมดังกริ๊กๆๆ ลั่นไปหมด พวกนั้นเขาเดินไปทำละหมาดกันที่โรงเรียนของฮัจญีสุหลง
.."
ภาพประทับและจินตนาการอันเกี่ยวกับบทบาทและความนิยมของฮัจญีสุหลงในสายตา และความรับรู้ของรัฐไทย น่าจะไม่ตรงกับความคิดและความตั้งใจของคนมุสลิมในท้องถิ่นเหล่านั้นเท่าไรนัก นอกจากไม่เข้าใจในความหมายทางศาสนาอิสลามและการปฏิบัติของคนมุสลิมเองแล้ว ปัจจัยที่ยิ่งไปเพิ่มช่องว่างระหว่างการเคลื่อนไหวมวลชนของมุสลิมภาคใต้กับรัฐไทย ได้แก่การก่อตัวและพัฒนาไปจนถึงจุดสุดยอดของความคิดว่าด้วยรัฐไทย ที่กำลังจะเดินไปบนหนทางของมหาอำนาจ ลัทธิชาตินิยมไทยภายใต้จอมพล ป. และหลวงวิจิตรวาทการ ซึ่งจะเป็นกงจักรปีศาจที่ร่อนไปตัดคอผู้ที่ขวางหน้าอย่างไม่ปราณี
ประเด็นที่น่าสนใจในการก่อตัวและเติบใหญ่ของขบวนการมุสลิมหัวใหม่ในปัตตานี ไม่ใช่อยู่ที่การนำไปสู่การเรียกร้องทางการเมือง ที่สำคัญคือข้อเรียกร้อง ๗ ประการ ซึ่งมีเนื้อหาใหญ่ที่การทำให้สี่จังหวัดมุสลิมภาคใต้มีการปกครองของตนเอง เพื่อทำให้หลักการปกครองอิสลามสามารถนำมาปฏิบัติได้อย่างแท้จริงเท่านั้น หากแต่จุดที่สำคัญไม่น้อยในด้านของพัฒนาการทางภูมิปัญญาของคนมลายูมุสลิมรุ่นใหม่ ได้แก่ การเกิดแนวคิดและอุดมการณ์การเมืองสมัยใหม่ ที่วางอยู่บนหลักการอิสลาม
ในแง่นี้มองได้ว่า การเคลื่อนไหวของฮัจญีสุหลงกับคณะ เป็นผลพวงของการตอบโต้ปฏิสัมพันธ์กับการเกิดและเติบใหญ่ของรัฐสมัยใหม่ ซึ่งชุมชนมุสลิมจะต้องพัฒนาและเปลี่ยนไปพร้อมกับรัฐสมัยใหม่นี้ด้วย ลัทธิอาณานิคมและความเป็นสมัยใหม่ที่ได้นำความเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ เข้ามาในสังคมมุสลิม ไม่ว่าจะในรูปแบบของรัฐประชาชาติ ระบบการศึกษาแบบใหม่ การเกิดขึ้นของสิ่งพิมพ์ทุนนิยม(print capitalism) ช่วยสร้างจินตนาการของชุมชนการเมืองใหม่ให้เป็นจริงเป็นจังขึ้นได้(imagined community) มาจนถึงแนวคิดว่าด้วยสิทธิอัตวินิจฉัยของรัฐ (self-determination) และสิทธิมนุษยชนของปัจเจกชน (human rights) อาจกล่าวได้ว่าการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนตามหลักการสากลภายใต้องค์การสหประชาชาตินั้น กลุ่มที่ทำการต่อสู้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ก็คือกลุ่มคนมลายูมุสลิมในสามจังหวัดภาคใต้นี้เอง
ที่สำคัญของการเคลื่อนไหวทางสังคมดังกล่าว คือการจุดประกายให้กับการเกิดจิตสำนึก การตระหนักถึงอัตลักษณ์และความเป็นตัวตน ซึ่งจำเป็นต้องการพื้นที่หรือเทศะ(space)อันใหม่ที่เอื้อต่อ การเติบใหญ่ของสำนึกทางการเมือง ดังนั้นการมองไปที่รัฐ ในฐานะที่เป็นพื้นที่และมีอำนาจอันเป็นเหตุเป็นผล ในการทำให้ปัจเจกชนสามารถก้าวไปสู่อุดมการณ์ของเขาแต่ละคนและในส่วนทั้งหมดได้ จึงกลายเป็นเป้าหมายของการเคลื่อนไหวเพื่อการไปบรรลุความเป็นอิสลามที่แท้จริงต่อไป
ประเด็นนี้จึงเรียกร้องให้เราหันกลับมาคิดถึงกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในรัฐไทยทั้งหมดด้วยว่า เราต้องให้น้ำหนักไปที่การเคลื่อนไหวและสำนึกของปัจเจกชนและกลุ่มชนในท้องถิ่นต่างๆ หลากหลาย ใหญ่บ้างเล็กบ้างทั่วราชอาณาจักรไทยด้วยว่า ในระยะที่รัฐไทยส่วนกลางพยายามสร้างและทำให้สมาชิกส่วนอื่นๆ ภายในเขตแดนตามแผนที่สมัยใหม่ ต้องคิดและจินตนาการถึงความเป็นชุมชนชาติใหม่ร่วมกันนั้น บรรดาคนและชุมชนโดยเฉพาะตามชายขอบและที่มีอัตลักษณ์พิเศษไปจากคนส่วนใหญ่นั้น ก็ควรมีสิทธิและความชอบธรรมในการมีส่วนร่วมในการสร้างชุมชนชาติใหม่นี้ด้วย ไม่ใช่ด้วยการถูกบังคับให้เชื่อและทำตามแต่ถ่ายเดียว นี่คือบทเรียนที่ในระยะต่อมาจะมีราคาแพงมากขึ้นเรื่อยๆ ตามความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงของสังคมที่โลกาภิวัตน์มากขึ้นๆ
๑๐) การเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของรัฐไทย
และทรรศนะต่อคนมลายูมุสลิม ๒๔๗๕-๒๔๙๑
น่าสังเกตว่าในช่วงเวลา ๑๕ ปีจากปี พ.ศ. ๒๔๖๖ -๒๔๘๑ อันเป็นช่วงของสายัณห์สมัยของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
และการก่อรูปขึ้นระบอบทหารภายใต้รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นช่วงเวลาที่รัฐไทยอยู่ในกระบวนการของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเมืองใหม่นั้น
นโยบายและการปฏิบัติที่ปราบปรามและกดขี่กระทบกระทั่งคนมลายูมุสลิมในทางวัฒนธรรมและการเมือง
แทบไม่มีหรือมีก็น้อยมาก
การปะทะลุกฮืออย่างรุนแรงครั้งสุดท้ายระหว่างคนมลายูมุสลิมในอาณาจักรปตานีกับกองกำลังรัฐสยามเกิดขึ้นในปีพ.ศ. ๒๔๖๕ การกบฏปะทุขึ้นในหมู่บ้านน้ำทราย ในอำเภอมายอ จังหวัดปัตตานี เมื่อชาวบ้านปฏิเสธที่จะเสียภาษีและค่าเช่าที่ดินให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ มูลเหตุของความไม่สงบนี้มาจากการประกาศบังคับใช้พระราชบัญญัติการศึกษาภาคประถมบังคับในปี ๒๔๖๔ ตามกฎหมายนี้เด็กมลายูมุสลิมทุกคนที่ถึงเกณฑ์ต้องเข้าโรงเรียนประถม ซึ่งก็คือโรงเรียนไทยนั่นเอง
ผลจากการ "กบฏ" ครั้งนี้ทำให้รัชกาลที่ ๖ (ครองราชย์ ๒๔๕๓-๖๘) จำต้องแก้ไขนโยบายเรื่องการศึกษา และการเก็บภาษีของคนมุสลิมในภาคใต้เสียใหม่ อันเป็นที่มาของการปรับนโยบายและท่าทีต่อมลายูมุสลิมในบริเวณภาคใต้ของกระทรวงมหาดไทยเป็นครั้งแรก นักวิชาการมุสลิมกล่าวว่า "แสดงว่ารัฐบาลกรุงเทพฯ คงได้ตระหนักและรู้สึกถึงถึงการเกิดขึ้นของลัทธิชาตินิยมมลายู ในหมู่คนมลายูในรัฐตอนเหนือของมลายา และรวมถึงความตั้งใจของพวกเขาในการยื่นมือข้ามพรมแดนเข้าช่วยญาติพี่น้องของเขา" (4)
การเปลี่ยนแปลงที่มีผลต่อภาพลักษณ์และอุดมการณ์ของชาติไทยใหม่
กล่าวได้ว่าเริ่มก่อรูปขึ้นภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ มีการเปลี่ยนแปลงจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เก่า
มาสู่รัฐชาติใหม่ที่เป็นระบอบรัฐธรรมนูญ ซึ่งยังไม่ลงตัวดีนัก กลุ่มผู้นำการเมืองใหม่มาจากคณะราษฎร
ประกอบด้วยคนรุ่นใหม่(ไม่มีสตรีเลย) คนเหล่านั้นส่วนมากมาจากครอบครัวคนชั้นกลางในภาคกลาง
และเข้าเรียนต่อในกรุงเทพฯ ในบรรดาสมาชิกคณะราษฎรรุ่นแรกนั้นมีสมาชิกเป็นมุสลิมด้วย
๔ คนที่มาจากแถวกรุงเทพฯ (5) ภารกิจหลักของคณะราษฎรและรัฐบาลคือการสร้างระเบียบและความมั่นคงให้แก่ประเทศ
และนำประเทศไปสู่ความเจริญก้าวหน้าตามนโยบายหลัก ๖ ประการของคณะราษฎรในการยึดอำนาจการปกครอง
(6)
การเลือกตั้งครั้งแรกในปี พ.ศ.๒๔๗๖ ทำให้ความหวังในการเลือกตั้งของคนมลายูมุสลิมจางหายไปอย่างรวดเร็ว
ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสี่จังหวัดภาคใต้ ยกเว้นสตูล ล้วนตกเป็นของผู้สมัครไทยพุทธหมด
การเลือกตั้งในครั้งต่อไปในปี พ.ศ.๒๔๘๐ เป็นความสำเร็จครั้งเดียวของผู้สมัครมุสลิมในปัตตานี
ยะลา นราธิวาส ในขณะที่ผู้สมัครมุสลิมในสตูลและเป็นอดีต สส.กลับแพ้การเลือกตั้ง
แต่การสำเร็จในการเลือกตั้งเป็นเพียงสิ่งชั่วคราวสั้นๆ เท่านั้นสำหรับคนมลายูมุสลิม
หลังจากที่จอมพล ป.พิบูลสงครามขึ้นสู่อำนาจในปี ๒๔๘๑ รัฐบาลเริ่มดำเนินนโยบายชาตินิยม
อันเป็นส่วนหนึ่งของแผนการการสร้างชาติของเขา การเลือกตั้งนับจากนั้นมาจากปี
๒๔๘๑ ถึง ๒๔๙๑ ชัยชนะตกเป็นของผู้สมัครไทยพุทธเสียเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นสตูลที่ยังสามารถรักษาเก้าอี้ของผู้แทนที่เป็นมุสลิมไว้ได้ตลอดสมัยของรัฐบาลจอมพล
ป.พิบูลสงคราม (7)
อย่างไรก็ตาม การเกิดขึ้นของระบอบปกครองรัฐธรรมนูญก็ได้สร้างความหวังในระดับหนึ่งมาสู่คนมลายูมุสลิมภาคใต้
เป็นครั้งแรกที่เกิดมี "ความรู้สึกของการเป็นส่วนหนึ่งของชาติในหมู่คนมลายูมุสลิม"
(8) นอกจากนี้ ตนกูมะไฮยิดดิน บุตรชายคนสุดท้องของรายาปตานีเก่า ก็เดินทางกลับจากกลันตันมาพำนักในเมืองไทย
แม้การเลือกตั้งไม่อาจให้ความพอใจอย่างเต็มที่แก่คนมลายูมุสลิมก็ตาม ทว่าอย่างน้อยก็ให้พื้นที่สาธารณะแก่พวกเขาในการพูดและแสดงความคิดเห็นและความรู้สึกได้
ในทางกลับกันก็เกิดการต่อต้านแบบใช้กำลังจากคนมลายูมุสลิมน้อยลง
ดังนั้นช่วงเวลาดังกล่าวจึงถือได้ว่า เป็นช่วงเดียวที่บริเวณมุสลิมภาคใต้มีสันติสุขและความเป็นระเบียบค่อนข้างมาก แม้ว่าการปฏิบัติและกระทำอย่างไม่ถูกต้องจากเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะตำรวจในแถบนั้นยังคงมีอยู่บ้างก็ตาม รัฐบาลสามารถพึ่งพาการทำงานของเจ้าหน้าที่ราชการในท้องถิ่นได้มากขึ้น ในการนำนโยบายและการบริหารไปยังชุมชนและท้องถิ่นเหล่านั้น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็สามารถลดความไม่พอใจและปัญหาของชาวบ้านลงได้ ด้วยการนำเรื่องร้องเรียนต่างๆ ไปเสนอให้กับรัฐบาลหรือรัฐมนตรีที่รับผิดชอบโดยตรงได้ทันที อย่างไรก็ตาม อำนาจในการแก้ไขและขจัดปัดเป่าปัญหาความทุกข์เหล่านั้นก็ยังอยู่กับเจ้าหน้าที่ระดับสูงในกระทรวงและในจังหวัด
จนเมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ยุติแล้ว เมื่อภาวะเศรษฐกิจขาดแคลนและความปลอดภัยในชีวิตของราษฎรไม่ค่อยมี ช่วงเวลาดังกล่าวนั้นที่ความไม่พอใจและการร้องเรียนถึงการกระทำอันไม่เป็นธรรม การคอร์รัปชั่นของเจ้าหน้าที่ระดับต่างๆ นำไปสู่การขาดความมั่นใจและไว้ใจในรัฐบาลจากคนมลายูมุสลิม ตอนนั้นคนเหล่านั้นเชื่อว่า แม้ ส.ส.ผู้แทนของพวกเขา ก็ไม่อาจทำงานในฐานะของตัวแทนพวกเขาได้จริงๆ แล้ว
พัฒนาการที่น่าสนใจที่เกิดขึ้นภายหลังการมีระบอบรัฐธรรมนูญอย่างหนึ่งก็คือ การเกิดมีเสียงในการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายและการปฏิบัติของรัฐบาลมากขึ้น บรรดาเสียงเหล่านี้ถูกถ่ายทอดผ่านการพูดในที่ชุมชนและผ่านการพิมพ์ แต่ที่มีผลกระทบต่อรัฐมากได้แก่ การพูดในที่สาธารณะที่ใครก็ได้สามารถออกมาพูดได้ในที่ต่างๆ ปรากฏการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องใหม่และไม่เป็นที่ยอมรับของเจ้าหน้าที่รัฐบาล หลายคนเป็นข้าราชการเก่าในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่ถูกโค่นล้มไป โดยเฉพาะบรรดาผู้พิพากษา
สำหรับชาวมุสลิมการพูดในที่สาธารณะเป็นเรื่องปกติของการชุมนุมปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนา เช่นเดียวกับการเรียนในโรงเรียนปอเนาะ ไม่เป็นที่สงสัยว่าความสามารถในการพูดเยี่ยงนักปาฐกถาของฮัจญีสุหลง ซึ่งเริ่มสร้างความวิตกให้แก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย
ในช่วงปลายทศวรรษ พ.ศ. ๒๔๗๐ ได้มีรายงานและข่าวลือเกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆ ของฮัจญีสุหลง ฝ่ายเจ้าหน้าที่ปกครองต่างๆ ไม่แน่ใจในสถานะและบทบาทของฮัจญีสุหลงว่าทำอะไร และไม่แน่ใจด้วยว่า นัยทางการเมืองของบรรดาสานุศิษย์ของเขานั้นคืออะไร. มาตรการเพื่อความมั่นคงอันหนึ่งที่รัฐบาลคณะราษฎรใช้ในการสร้างความมั่นคงแก่รัฐบาล และระงับยับยั้งการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม (หรือฝ่ายค้านซึ่งสมัยนั้นไม่มีการยอมรับอย่างเป็นทางการให้มีได้) จึงได้แก่การใช้บรรดาตำรวจลับและสายสืบ สายลับต่างๆ คอยติดตามนักการเมืองบางคน เพื่อให้รู้ว่าอยู่ในสายตาของรัฐจะได้ยุติการกระทำที่ไม่เป็นผลดีแก่รัฐเสีย (9) ในกรณีของฮัจญีสุหลง มีการสั่งให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นทำการติดตามรายงานลับๆ ในกิจกรรมและขบวนการต่างๆ ของเขา (10)
ดังกล่าวบ้างแล้วข้างต้นว่าการแข่งขันและความขัดแย้งกันเอง ระหว่างคนมุสลิมด้วยกัน ก็มีผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำมุสลิมหัวเก่ากับหัวใหม่ คู่ขัดแย้งแรกๆ ของฮัจญีสุหลงคนหนึ่งคือตระกูลอับดุลลาบุตร ในอำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี. พระพิพิธภักดี (ตนกูมุดกา อับดุลลาบุตร) ผู้เป็นนายอำเภอมาก่อน ได้รับการแต่งตั้งในระบอบปกครองใหม่ให้เป็นข้าหลวงของจังหวัดสตูล เมื่อเขาเข้าสมัครรับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในปี ๒๔๘๐ ในปัตตานี ฮัจญีสุหลงสนับสนุนผู้สมัครอีกคนคือขุนเจริญวรเวชช์(เจริญ สืบแสง) สาธารณสุขจังหวัดปัตตานี ซึ่งเป็นไทยพุทธและมีทรรศนะทางการเมืองที่ก้าวหน้ากว่า นั่นเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้นายเจริญ สืบแสงได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งตลอดมาจากปี พ.ศ.๒๔๘๑ ถึง พ.ศ.๒๔๙๑
อีกปัญหาหนึ่งของฮัจญีสุหลงที่ทำให้ทางการไทยไม่ไว้ใจเขา คือการที่เขามีการติดต่อกับตนกูมะไฮยิดดิน ผู้ซึ่งรัฐบาลไทยเชื่อว่าเป็นหัวหน้าขบวนการแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้สุดของไทย ภายใต้บรรยากาศระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ และนักสู้เพื่อชาตินิยมลายูก็เคลื่อนไหวหนักในบรรดารัฐทางเหนือของมลายา จึงเป็นธรรมดาที่การเคลื่อนไหวและกิจกรรมต่างๆ ของฮัจญีสุหลง มีการครอบคลุมสองฝั่งชายแดนไทยและมลายาด้วย
หากได้อ่านรายงานลับของสายสืบไทยก็จะได้เรื่องตลกๆ สนุกๆ มากมาย เพราะข้อมูลของพวกเขามาจากบรรดาสายที่เป็นคนมลายู เนื่องจากคำว่า "มลายู" ใช้ระบุถึงคนมลายูที่อยู่ในมลายาและในสี่จังหวัดภาคใต้ เมื่อได้ยินคนตระโกนด้วยภาษามลายูว่า "เมอเดกา" (เสรีภาพ) ในที่ประชุม เจ้าหน้าที่ซึ่งรับฟังข่าวก็เกิดความตระหนก ดังนั้นในรายงานของเจ้าหน้าที่ราชการที่มีไปถึงกรุงเทพฯ จึงสรุปสถานการณ์ขณะนั้นว่า มีความรู้สึกของการ "แบ่งแยกดินแดน" เพิ่มมากขึ้นในหมู่คนมลายูมุสลิมและอาจนำไปสู่การคิดกบฏได้ หากดูจากน้ำเสียงของรายงานลับที่มีไปถึงกรุงเทพฯ สมัยนั้น เห็นได้ชัดว่า ทรรศนะของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่มีต่อฮัจญีสุหลงและคนมุสลิมทั่วไป ถูกปกคลุมด้วยอคติที่มีต่อศาสนาและวัฒนธรรมอิสลาม หรือไม่ก็มาจากความเขลาต่อพัฒนาการทางการเมืองในมลายาขณะนั้น
การสืบความลับในการเคลื่อนไหวของชาวมุสลิมภาคใต้โดยทางการไทย เป็นรายงานจากข้าหลวงตรวจการกระทรวงมหาดไทยภาค 5 ถึงข้าหลวงประจำจังหวัดชายแดนเช่นสตูล ยะลา เพื่อให้ระมัดระวังความเคลื่อนไหวแยกดินแดนของชาวมลายูมุสลิมจังหวัดสตูลและยะลา รายงานนี้ระบุว่า หัวหน้าใหญ่ชาวมลายูมุสลิมในการนี้คือ หะยีสุหลง อับดุลกาเดร์ ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี
ในปี พ.ศ. ๒๔๘๙ มีการปลุกระดมชาวมุสลิมสองฝั่งไทยและมลายา ซึ่งขณะนั้นมุ่งไปที่การจัดตั้งสหพันธรัฐมลายา สายลับไทยที่นายอำเภอเบตง จังหวัดยะลา ส่งให้ไปสอดแนมฟังคำปราศรัยและติดตามท่าทีของชาวมลายูมุสลิมฝั่งไทย รายงายว่า ในงานที่มีคนมาฟังนับหมื่นคนในรัฐไทรบุรี มีการปลุกใจชาวมลายูในไทรบุรี ด้วยข้อความพาดพิงโจมตีรัฐบาลไทยด้วยว่า
"...ชาติมลายูแต่เดิมเป็นชาติที่ขาดการศึกษาและผู้อุปการะช่วยเหลือ
จึงถูกรัฐบาลไทยยึดเอาเมืองมะลายู เช่นจังหวัดสตูล ยะลา นราธิวาสและปัตตานีไปประเทศสยามเสีย
การกระทำของประเทศสยามที่ยึดสี่จังหวัดไปนี้ กระทำไปโดยไร้ศีลธรรม โดยเจ้าหน้าที่รัฐบาลไทยใช้วิธีล่อลวงพวกพระยาเมืองต่างๆ
ไปหลอกฆ่าให้ตาย ประชาชนที่ไม่พอใจจึงอพยพไปอยู่กลันตัน
เวลานี้เราควรจะระลึกว่าชาติของเราจะสูญสิ้นไปในปี
1950 (พ.ศ. 2493) ตามคำสั่งของพระอาหล่าเจ้า เพราะเวลานี้ชาวมะลายูเปลี่ยนแปลงไปเป็นชาติต่างศาสนาเสียแล้ว
บัดนี้เราควรจะคิดกู้ชาติของเรา รวมเป็นชาติมะลายูขึ้น แล้วทำการต่อสู้ในทางศาสนาต่อไป
เช่นครั้งโบราณพวกอิสลามได้ทำการต่อสู้กับพวกถือพุทธศาสนา ระยะนี้เราจำเป็นจะต้องทำการต่อสู้ให้จนตัวตายไปเช่นเดียวกับพระมะหะหมัด
(11)
เนื่องจากการประชุมนี้อยู่นอกแดนไทย จึงมีชาวมลายูมุสลิมฝั่งไทยไปร่วมเพียง 12
คนรวมทั้งคนที่เป็นสายลับ (ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นใครแต่เดาว่าต้องเป็นคนมุสลิมด้วย)
พอถึงการประชุมลับ สายลับไม่มีสิทธิเข้าร่วมประชุมได้ นอกจากบรรดาหะยีทั้งหลาย
จึงไม่อาจรายงานได้ว่าพูดเรื่องอะไรกันบ้าง แต่ก็ได้ตั้งข้อสังเกตว่า "ผู้ฟังโอวาทมีจิตใจเบิกบานฮึกเหิมทั่วหน้ากัน"
และทุกครั้งที่หัวหน้าการประชุมคือดะโต๊ะออน บิน จาฟฟา จบคำปราศรัยผู้ร่วมประชุมจะตะโกนคำขวัญว่า
"มะลายูเป็นมะลายู" สามจบ
ผมคัดลอกรายงานของสายลับไทยมาให้ดูละเอียดเพราะต้องการให้เห็นว่า ที่มาของทรรศนะรัฐและข้าราชการไทยนั้น วางอยู่บนวิธีการที่เป็นวิทยาศาสตร์และเป็นธรรมมากน้อยแค่ไหน ในอดีตปัญหาความขัดแย้งระหว่างชาวมลายูมุสลิมในสี่จังหวัดภาคใต้กับรัฐไทย ถูกกระพือให้ลุกโชนยิ่งขึ้นด้วยอคติและความหวาดระแวงไม่ไว้วางใจในวัฒนธรรมและความเชื่อแบบอิสลาม
อีกฉบับหนึ่งเป็นรายงานของทางตำรวจไทยต่อรัฐบาล หลังจากที่เริ่มมีสำนึกของชาตินิยมมลายูเกิดขึ้น กล่าวคือ "...คนมะลายูที่ได้รับการศึกษาและเป็นเทือกเถาพระยาเมืองมาแต่ก่อน อันมีจำนวนไม่กี่คน หลังจากเสร็จสงครามคราวนี้ การพินอบพิเทาต่อคนไทย ออกจะชาเย็นไปพร้อมกับมีท่าทีค่อนข้างมีหัวสูงขึ้น แต่พลเมืองนอกๆ อันไร้ศึกษานั้น ก็ดูไม่ผิดไปจากนัยตา...ที่ร้ายกว่านี้คือ จำพวกหะยี ผู้สอนศาสนา พยายามที่ชักจูงใจไปในทางศาสนาซึ่งเป็นหนทางแยกพวก เข้ากับคนไทยไม่ได้ ศาสนานี้แหละเป็นการเมืองขั้นแรกของคนมะลายู " (12)
รายงานชิ้นหนึ่งสมัยนั้น(๒๔๘๘- ๙๐) พยายามสร้างภาพประทับให้กับการมีคนนับถือฮัจญีสุหลงอย่างมากในหมู่คนมุสลิมปัตตานี และจังหวัดใกล้เคียงที่มีต่อฮัจญีสุหลงเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ ด้วยการรายงานอย่างมีสีสันดังนี้ "ปรากฏว่ามีผู้ศรัทธามากถึงขนาดก้มลงถอดรองเท้าและล้างเท้าให้กับหะยีสุหลง ก่อนที่จะเข้าไปในสุเหร่าหรือมัสยิดต่างๆ และมีสานุศิษย์คอยเดินกางกลดกันแดดให้ในขณะที่เดินทางไปชุมชนชาวมลายูในเขตสี่จังหวัดภาคใต้ และบางอำเภอของจังหวัดสงขลา" (13) รายงานดังกล่าวสร้างความรู้สึกแก่คนภาคกลางว่า ฮัจญีสุหลงกำลังทำตนประหนึ่งราชา ซึ่งเป็นสิ่งที่นักราชาชาตินิยมไทยไม่อาจรับได้ ในระยะยาวการวาดภาพด้านลบแบบนั้น กลับเป็นสิ่งดีแก่รัฐไทย เมื่อรัฐต้องการเสนอภาพของฮัจญีสุหลง ที่เป็นศัตรูของรัฐและสถาบันทั้งหลาย
๑๑) การสร้างชาติและนโยบายการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม,
พ.ศ. ๒๔๘๒-๒๔๘๗
ยิ่งสงครามโลกครั้งที่ ๒ เคลื่อนเข้ามาใกล้ประเทศไทยมากขึ้น ชะตากรรมของชาวมลายูมุสลิมภาคใต้ก็แน่ชัดมากขึ้นว่า
จะต้องผูกพันเข้ากับความเป็นไปของรัฐบาลไทยมากเท่านั้น เป้าหมายของการสร้างรัฐประชาชาติที่เป็นเอกภาพใกล้ความเป็นจริงมากที่สุด
ก็ในเวลาที่พันเอกหลวงพิบูลสงคราม(14) ได้รับตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีในวันที่
๑๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ พร้อมทั้งการคุมกองทัพไว้ได้อย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะภายหลังการจับกุมกลุ่มนายทหารอันมี
พ.อ. พระยาทรงสุรเดช เป็นหัวหน้าในคดี "กบฏ ๒๔๘๒"
ในช่วงนั้นกล่าวได้ว่า สำนึกทางการเมืองของคนในภาคต่างๆ จากเหนือ อีสาน ถึงใต้ มีมากขึ้น. ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นระยะที่คนในประเทศ มองเห็นผู้นำการเมืองในระบอบประชาธิปไตยในจังหวัดของตนเกิดเป็นรูปเป็นร่างขึ้นได้ ดังเห็นได้จากบทบาทและการควบคุมรัฐบาลของบรรดา ส.ส.จากต่างจังหวัดโดยเฉพาะอีสาน การก่อตัวขึ้นของลัทธิทหารในญี่ปุ่นและภยันตรายของสงครามยุโรป ทำให้รัฐบาลหลวงพิบูลสงครามมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัฐบาลญี่ปุ่นมากขึ้น ในความคิดของหลวงพิบูลสงครามและที่ปรึกษาของท่าน ประเทศไทยสามารถจะเป็นประเทศเข้มแข็งและทันสมัย ซึ่งก็คือศรีวิไลซ์ ได้ด้วยการเดินตามรอยของญี่ปุ่น ซึ่งประสบความสำเร็จจนกลายเป็น "แสงสว่างของเอเชีย"
หลังจากกำหนดจุดหมายของนโยบายในการสร้างชาติไว้แน่นอนแล้ว รัฐบาลหลวงพิบูลสงครามก็เริ่มการรณรงค์ประชาชนภายใต้คำขวัญของลัทธิชาตินิยมไทย นั่นคือที่มาของนโยบายการผสมกลมกลืนแบบบังคับ ซึ่งไม่มีหรือมีก็น้อยมาก ในการอดทนและยอมรับวัฒนธรรมที่แตกต่างอันเป็นเฉพาะของชนชาติกลุ่มน้อยและชุมชนท้องถิ่นต่างๆ ได้อีกต่อไป. นโยบายการสร้างชาติของหลวงพิบูลสงครามพุ่งเป้าไปยังการปฏิรูปและสร้างสรรค์มิติทางวัฒนธรรมและสังคมด้านต่างๆ ของคนในประเทศเสียใหม่ นับแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ เป็นต้นมา
แม้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ถูกโค่นลงไปก็ตาม แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่รัฐบาลพยายามทำการเปลี่ยนแปลง และแทนที่ความคิดการปฏิบัติเก่าๆ แบบศักดินาในหมู่ประชากรอย่างจริงจังมากที่สุด ด้วยการประกาศให้ประชาชนปฏิบัติและทำตนใหม่แบบสมัยนิยมและที่เป็นอารยะ ในคำปราศรัยในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีและข้าราชการผู้ใหญ่ทั้งหลาย พลตรีหลวงพิบูลสงครามกล่าวว่า
"ในความพยายามที่จะสร้างชาติให้มีพื้นฐานอันมั่นคงและคงทนนั้น รัฐบาลจำเป็นจะต้องทำการปฏิรูปและสร้างสิ่งใหม่ๆ ในด้านต่างๆ ของสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านวัฒนธรรม ซึ่งแสดงออกถึงความเจริญเติบโตและความงดงาม ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความเจริญก้าวหน้าและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และจริยธรรมของชาติ" (15)
การเน้นถึงความสำคัญและการปรับปรุงทางวัฒนธรรมให้เข้มแข็งนั้น ส่วนหนึ่งเป็นความต้องการส่วนตัวของจอมพล ป.พิบูลสงครามเอง อีกส่วนหนึ่งน่ามาจากอิทธิพลของญี่ปุ่นและความสำเร็จของประเทศนั้น ในการเปลี่ยนตนเองให้เป็นมหาอำนาจหนึ่งของเอเชียได้ คนที่เชื่อในการอาศัยวัฒนธรรมและมิติด้านจิตใจเป็นเครื่องมือในการสร้างชาติ และในการต่อสู้กับมหาอำนาจตะวันตกทั้งหลายก็คือหลวงวิจิตรวาทการ (16) ผู้เป็นมันสมองคนสำคัญของรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม มาโดยตลอด
การรณรงค์ทางวัฒนธรรมดังกล่าวเปิดโอกาสให้กับรัฐบาลสามารถนำสังคมไทยให้หลุดออกมาจากเครื่องรัดรึงของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้บ้าง เมื่อภยันตรายจากสงครามโลกระหว่างมหาอำนาจเป็นจริงมากขึ้น ผู้นำรัฐบาลไทยถูกบังคับให้จำต้องเลือกข้าง ว่าจะอยู่ฝ่ายไหน ระหว่างฝ่ายอารยะและมีกำลังเข้มแข็งหรือตกเป็นทาสและอ่อนแอ เพื่อทำให้ประเทศเข้มแข็งและเป็นอารยะประเทศ เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของประเทศอารยะด้วยกันจะได้ไม่ตกเป็นเมืองขึ้น รัฐบาลจึงหาทางที่จะกำจัดบรรดา "ผู้คนที่ยังขัดสนในทางวัฒนธรรมและแสดงออกถึงความโง่เขลาในเรื่องสุขอนามัย สุขภาพ การแต่งกาย และการคิดอย่างมีเหตุผล" (17)
ด้วยความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมในจุดหมายและสถานภาพของประเทศดังกล่าวนี้ รัฐบาลพิบูลสงครามจึงดำเนินการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วย วัฒนธรรมแห่งชาติ. มาตรการที่อ่อนไหวและมีผลกระเทือนต่อผู้คนกว้างไกลกว่าที่คิดไว้(หากได้คิดก่อน) ก็คือบรรดากฎหมายประกาศที่รู้จักกันดีในนามของพระราชบัญญัติ "รัฐนิยม" ทั้งหมดมี ๑๒ ประกาศ ให้ใช้ทั่วประเทศตั้งแต่มิถุนายน ๒๔๘๒-มกราคม ๒๔๘๕ รวม๑๒ ฉบับ ตั้งแต่การเรียกชื่อประเทศอันแรกว่าด้วยการเปลี่ยนชื่อจากสยามมาเป็นไทย สัญชาติ การเคารพธงชาติ เพลงชาติและเพลงสรรเสริญพระบารมี ไปถึงภาษา การแต่งกาย ไปถึงการทำกิจประจำวันเป็นต้น ภายใต้นโยบายเหล่านี้ที่ความคิดว่าด้วยความเป็นไทยและลัทธิชาตินิยมบนเชื้อชาติไทยเป็นหลัก ได้ขยายออกมาเป็นนโยบายทางการที่เด่นชัดและเร้าใจอย่างยิ่ง
ความจริงทรรศนะในการมองว่า ชาติไทยที่เป็นรัฐชาติที่ปลอดจากพฤติกรรมล้าหลังแบบศักดินานิยมนั้น เป็นทรรศนะที่เอายุโรปเป็นศูนย์กลาง คนเชื้อชาติและภาษาต่างๆ ที่ไม่ใช่ไทยทั้งหลายต่างก็ได้รับผลกระทบจากนโยบายรัฐนิยมด้วยกันทั้งนั้น แต่คนมลายูมุสลิมในทางใต้เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักมากที่สุด คำที่เคยเรียกเช่น "คนใต้" หรือ "คนอิสลามที่เป็นไทย" ไม่อาจแสดงถึงความเป็นไทยได้เต็มที่อีกต่อไป รัฐบาลโดยกรมประชาสัมพันธ์เริ่มการรณรงค์สร้างความเป็นไทยของทุกๆ ภาค โดยให้เน้นที่ความเป็นไทยเหนือกว่าลักษณะเฉพาะของภูมิภาค เช่นการเรียกคนภาคเหนือว่า "ถิ่นไทยงาม", คนอีสานว่า "ถิ่นไทยดี", น่าสังเกตว่าไม่มีวลีที่ใช้แทนคนและภาคใต้ในสมัยนั้นได้
ในกรณีของคนมุสลิมภาคใต้ คำที่มาแทนที่คือ "ไทยอิสลาม" ถูกประดิษฐ์ขึ้นเพื่อแสดงถึงความเป็นไทยของคนมลายูมุสลิม นัยของการเรียกดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าทางการยอมรับความแตกต่างในศาสนา แต่ไม่เห็นด้วยว่าควรจะมีการให้ความสำคัญและลักษณะเด่นของความแตกต่างเหล่านั้นในหมู่พลเมืองที่เป็นคนไทยของประเทศไทย
ผลก็คือการที่รัฐต้องเข้ามาบังคับและควบคุมการประพฤติปฏิบัติในชีวิตของพลเมืองตามวิสัยทัศน์ของรัฐ เช่นเดียวกับนโยบายชาตินิยมที่อื่นๆ รัฐมักขุดและรื้อฟื้นความเก่าแก่ยิ่งใหญ่ของอดีตแต่กำเนิดของตนเอง (ซึ่งมักเป็นนิทานที่ไม่มีความเป็นจริงมากนัก) เพื่อเอามากล่อมเกลาและปลุกระดมคนในชาติให้เชื่อและตายในอุดมการณ์ใหญ่เดียวกัน. ในกรณีนโยบายรัฐนิยม, รัฐบาลพิบูลได้สร้างผีตัวใหม่ขึ้นมา นั่นคือ(เชื้อ)ชาตินิยมไทย แล้วบังคับให้ทุกคนในเมืองไทยปฏิบัติและแสดงออกให้พร้อมเพรียงกัน จะได้เป็น "วีรธรรม" ของชาติ
ภายใต้ประกาศกฎหมายวัฒนธรรมเหล่านี้ มีการลงโทษและมีการเรียกร้องให้ประพฤติปฏิบัติตามกฎระเบียบใหม่อย่างเคร่งครัด ในเรื่องการแต่งกาย มารยาท และความประพฤติอันเหมาะสมในวาระและสถานที่ต่างๆ เป็นต้น เช่น การเรียกร้องให้ผู้หญิงสวมหมวกและนุ่งกระโปรงแบบตะวันตก ห้ามกินหมากและพลู ให้รู้จักใช้ช้อนและส้อมในฐานะที่เป็นเครื่องมือการกินของชาติอย่างถูกต้อง
ในขณะนั้น กล่าวได้ว่าด้านหลักของปัญหาความขัดแย้งนี้ ได้แก่นโยบายและการปฏิบัติด้านลบของรัฐไทยที่ได้กระทำต่อชุมชนและคนมุสลิมภาคใต้ ซึ่งก็เป็นมูลเหตุหนึ่งที่นำไปสู่การเรียกร้องความเป็นตัวของตัวเองในทางการปกครองด้วย. สมัยนั้นศัพท์การเมืองว่า "แบ่งแยกดินแดน" ยังไม่เกิด ในช่วงปี ๒๔๘๒-๒๔๙๐ ความไม่พอใจของชาวมุสลิมมาจากนโยบายสร้างชาติภายใต้รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงครามมีอยู่อย่างมาก หัวใจของปัญหาอยู่ที่ลัทธิชาตินิยมไทย ที่รัฐบาลปลุกระดมให้คนทั้งชาติต้องทำตัวให้เป็นไทย จึงจะถือว่ารักชาติ
ภาพที่ปรากฏออกมาก็คือคนมุสลิมถูกห้ามไม่ให้สวมหมวกแบบอิสลาม ส่วนผู้หญิงก็ไม่ให้ใช้ผ้าคลุมหัว อันเป็นธรรมเนียมของคนมุสลิม ภาษามลายูก็ห้ามใช้ โสร่งก็ห้ามนุ่งสำหรับผู้ชาย แต่ให้นุ่งกางเกง สวมเสื้อเชิ้ร์ต ที่ตลกคือเครื่องแต่งกายที่เป็นไทยนั้น แท้จริงแล้วเป็นชุดฝรั่งในทศวรรษ ๑๙๔๐-๕๐ ทั้งสิ้น. จากการแต่งกายก็มาถึงการให้เปลี่ยนชื่อที่ไม่เป็นไทยเสีย ที่เป็นผลทางลบต่อรัฐบาลอย่างมากคือ มีการจับและปรับลงโทษผู้ฝ่าฝืนรัฐนิยม จึงมีการวิ่งไล่จับชาวบ้าน ทำร้ายทุบตีดึงตัวมาโรงพัก ผู้หญิงมลายูก็ถูกดึงกระชากผ้าคลุมหัวทิ้ง กระทั่ง "ผู้กลับมาจากเมกกะใหม่ๆ ใช้ผ้าสารบันไม่ได้ (คือผ้าพันศีรษะ พันไว้นอกหมวกกูเปี๊ยะห์ แสดงให้ทราบว่าเป็นฮัจญี) ที่นราธิวาส ตำรวจถอดออกจากหัวทำเป็นลูกตะกร้อเตะเสียเลย" (18) แม่ค้าที่ขายของในตลาดก็โดนตำรวจตีด้วยพานท้ายปืน เพราะเธอสวมเสื้อกะบายาและมีผ้าคลุมศีรษะ เป็นต้น
การเปลี่ยนแปลงที่มีผลกระทบต่อคนมลายูมุสลิมอย่างมากได้แก่ การประกาศยกเลิกในปี พ.ศ. ๒๔๘๗ ไม่ให้มีกฎหมายและศาลอิสลาม เมื่อรัฐบาลจอมพล ป. ประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ และ๖ ว่าด้วยครอบครัวและมรดก แทนที่การใช้กฎหมายอิสลามในสี่จังหวัดภาคใต้มาก่อน ต่อมายังยกเลิกตำแหน่งดะโต๊ะยุติธรรม ที่ตัดสินคดีมรดกและครอบครัวของคนมุสลิมไปด้วย นัยของการบังคับดังกล่าวทำให้เกิดความเข้าใจว่า ศาสนาก็ต้องเป็นศาสนาพุทธอย่างเดียวเท่านั้น ทางการห้ามชาวมลายูเรียนคัมภีร์อัล-กุรอาน ภาษามลายูและภาษาอาหรับ ซึ่งการห้ามดังกล่าวขัดต่อการปฏิบัติกิจทางศาสนาของชาวบ้าน ความไม่พอใจและความตึงเครียดเพิ่มทวีคูณขึ้น
ในปี พ.ศ. ๒๔๘๖ รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามประกาศพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช ๒๔๗๗ พุทธศักราช ๒๔๘๖ โดยให้เหตุผลว่า "โดยที่เห็นเป็นการสมควรขยายการใช้บทบัญญัติบรรพ ๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ให้ทั่วถึง เพื่อความมั่นคงและวัฒนธรรมแห่งชาติ" (19) ที่สำคัญคือในมาตรา ๓ ให้ยกเลิกมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติบรรพ ๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ.๒๔๗๗ ซึ่งก่อนหน้านี้รัฐบาลพระยาพหลฯ ได้ออกกฎหมายให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช ๒๔๗๗ ทั่วประเทศ แต่ในมาตรา ๔ ระบุว่าให้ยกเว้น "บริเวณเจ็ดหัวเมืองซึ่งมีกฎข้อบังคับ ร.ศ. ๑๒๐ ในส่วนที่เกี่ยวด้วยครอบครัว" (20) นั่นคือการยอมรับประเพณีปกครองบริเวณ ๔ จังหวัดมุสลิมภาคใต้ซึ่งมีลักษณะพิเศษของตนเองมาแต่สมัยรัชกาลที่ ๕
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวสะท้อนถึงอุดมการณ์ของรัฐไทยที่เปลี่ยนไปด้วยอย่างน่าสนใจยิ่ง การประกาศบทบัญญัติใหม่นี้มีผลให้รัฐบาลต้องยกเลิกตำแหน่งผู้พิพากษาอิสลาม ที่เรียกว่า "ดะโต๊ะยุติธรรม" ซึ่งทำหน้าที่ในการพิพากษาคดีครอบครัวและมรดกของคนมุสลิม ยิ่งกว่านั้นรัฐบาลยังทำให้รู้สึกว่า ไม่ต้องการประกาศใช้กฎหมายอิสลามว่าด้วยการแต่งงานและทรัพย์สินมรดก ที่ได้มีการแก้ไข และจัดทำขึ้นระหว่างผู้เชี่ยวชาญศาสนาอิสลามและฝ่ายกฎหมายไทย โครงการจัดทำกฎหมายอิสลามนี้เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๒ เพื่อทำให้กฎหมายอิสลามและกฎหมายไทยมีความเป็นเอกภาพและเข้าใจอันดีต่อกัน แต่ในกระบวนการจัดทำกฎหมายอิสลามดังกล่าวนั้นมีความยากลำบากพอสมควร และไม่ค่อยคืบหน้าไปเท่าที่ควร ยิ่งมาประสบภาวการณ์ที่รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงครามประกาศใช้กฎหมายแพ่งฯ ฝ่ายไทยให้ครอบคลุมไปหมดทุกคนทุกภาค จึงยิ่งทำให้ความพยายามดั้งเดิมในการสร้างกฎหมายที่ร่วมกันได้ทั้งสองศาสนา ห่างไกลจากความเป็นจริงมากขึ้น
น่าสนใจว่าการกระทำดังกล่าวนี้ของรัฐบาลไทย โดยเฉพาะการยุติศาลศาสนาในปัญหาครอบครัวและทรัพย์สินมรดกนั้น ได้ผลักดันให้ชาวมลายูมุสลิมในสี่จังหวัดไม่มีทางออก นอกจากออกไปหาความยุติธรรมในอีกฝั่งของพรมแดนไทย นั่นคือพวกเขาไปให้ศาลศาสนาในรัฐไทรบุรี ปะลิศ กลันตัน และตรังกานู ช่วยตัดสินปัญหาพิพาทในเรื่องดังกล่าวแทน ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๘๖-๒๔๙๐ ไม่ปรากฏว่ามีสำนวนคดีศาสนาในศาลสี่จังหวัดภาคใต้เลย คิดในมุมกลับเมื่อมองย้อนกลับไป นั่นคือการผลักดันให้เกิดการ "แยกดินแดน" ขึ้นโดยรัฐไทยเอง
สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาอีกข้อที่มีนัยอันสำคัญต่อการเคลื่อนไหวของปัตตานี คือการนำไปสู่การเลือกตั้ง "กอฏี" หรือผู้พิพากษาคดีครอบครัวและมรดกโดยอิหม่าม หรือผู้ปกครองที่เป็นมุสลิมในเขตจังหวัดปัตตานี เนื่องจากปัตตานีไม่มีพรมแดนติดต่อกับรัฐมุสลิมในมลายา การเดินทางไปมากับรัฐมุสลิมในมลายูจึงไม่อาจทำได้เหมือนคนในจังหวัดมุสลิมอื่นๆ คนที่ได้รับเลือกให้เป็น "กอฏี" อย่างเป็นเอกฉันท์คือ ฮัจญีสุหลง เนื่องจากเป็นที่ยกย่องและนับถือมาอย่างล้นหลาม และปัญหาการแต่งตั้งดะโต๊ะยุติธรรมก็จะเป็นปมเงื่อนใหญ่อันหนึ่ง ที่ทำให้ฮัจญีสุหลงกลายเป็นหัวหน้าฝ่ายต่อต้านรัฐบาลไป เขานำการต่อสู้เพื่อรักษาความเป็นอิสระของกฎหมายอิสลามในจังหวัดมุสลิมภาคใต้ ฮัจญีสุหลงได้รับการเลือกตั้งในวันที่ ๒๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๖ ภายใต้ประกาศและบรรยากาศรัฐนิยม คนมลายูมุสลิมถูกห้ามไม่ให้หยุดการทำงานและการเรียนในวันศุกร์ดังแต่ก่อนอีกต่อไป แต่ที่กระเทือนในด้านลึกคือ มีความพยายามของคนไทยพุทธที่จะทำการชักจูงให้คนมุสลิมเปลี่ยนศาสนาด้วย (21)
นัยของปฏิกิริยาและการตอบโต้ของผู้คนในบริเวณดังกล่าวแปลได้หลายอย่าง แต่อย่างหนึ่งที่เห็นได้ก็คือ แสดงว่าชาวมลายูมุสลิมภาคใต้ได้ประท้วงบอยคอตปฏิเสธอำนาจศาลไทยอย่างเรียบร้อยไปแล้วนั่นเอง โดยไม่ต้องเดินขบวนเรียกร้อง ร้องเรียนไปยังอำนาจรัฐไทยที่ไหนเลย นัยอีกข้อก็คือแสดงว่าอำนาจศาลไทยไม่อาจบังคับจิตใจของคนมุสลิมได้ ดังนั้นอำนาจอธิปไตยเมื่อพิเคราะห์ให้ถึงที่สุดแล้ว ยังต้องคำนึงถึงความคิดจิตใจที่มีสำนึกของพลเมืองของตนด้วย ไม่เช่นนั้นอำนาจอธิปไตยก็ไร้ความศักดิ์สิทธิ์ไปได้เหมือนกัน เมื่อถึงขั้นนั้นการกล่าวโทษว่าประชาชนไม่เคารพเชื่อฟังอำนาจรัฐก็ไร้ประโยชน์เช่นกัน
+++++++++++++++++++++++++++++
เชิงอรรถ(1) อาหมัด ฟัตฮี อัล-ฟาตานี เขียน, นิอับดุลรากิ๊บ ศิริเมธากุล แปลเรียบเรียง, ประวัติศาสตร์ปัตตานี (Pengantar Sejarah patani) (ปัตตานี, โครงการจัดตั้งสถาบันสมุทรรัฐเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี, ๒๕๔๓), หน้า ๖๙.
(2) อาหมัด ฟัตฮี อัล-ฟาตานี เขียน, นิก อับดุล รากิบ ศิริเมธากุล แปล, ประวัติศาสตร์ปัตตานี, หน้า ๖๙.
(3) อาหมัด ฟัตฮี อัล-ฟาตานี เขียนว่าโรงเรียนของฮัจญีสุหลงถูกผู้มีอำนาจสั่ง "ปิด" หลังจากเปิดสอนได้ ๒ ถึง ๓ ปี และเล่าว่าหลังจากนั้นฮัจญีสุหลงก็ไปเปิดสอนที่สุเหร่าหน้าบ้านของเขา ไม่ทราบว่าอันนี้คือปอเนาะหรือโรงเรียน ข้อมูลเรื่องโรงเรียนจึงขัดกับของเฉลิมเกียรติ ขุนทองเพชร
(4) Wan Kadir Che Man, Muslim Separatism, p. 64.
(5) สมาชิกทั้ง ๔ ท่านประกอบไปด้วย ๑) นายบรรจง ศรีจรูญ หรือ ฮัจญีอับดุลวาฮับ ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ๒) นายแช่ม พรหมยงค์ หรือ ฮัจญีซัมซุดดีน มุสฏอฟา ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นจุฬาราชมนตรี ๓) นายประเสริฐ ศรีจรูญ ๔) นายการิม ศรีจรูญ ดูศุขปรีดา พนมยงค์, "ชาวไทยมุสลิมในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕" ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๒๕ ฉบับที่ ๘ (มิถุนายน ๒๕๔๗), หน้า ๑๐๖-๙.
(6) หลัก ๖ ประการของคณะราษฎรมีดังต่อไปนี้ ๑) จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลายเช่นเอกราชในทางการเมือง ในทางศาล ในทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ของประเทศไว้ให้มั่นคง ๒) จะต้องรักษาความปลอดภัยในประเทศ ให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้มาก ๓) จะต้องบำรุงความสุขของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะหางานให้ราษฎรทุกคนทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก ๔) จะต้องให้ราษฎรได้สิทธิเสมอภาคกัน ๕) จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ มีความเป็นอิสระ เมื่อเสรีภาพนี้ไม่ขัดต่อหลัก ๔ ประการดังกล่าวแล้วข้างต้น ๖) จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร
(7) Surin Pitsuwan, Islam and Malay Nationalism , p. 45.
(8) Che Man, Muslim Separatism, p. 64.
(9) ดูแถมสุข นุ่มนนท์ ละครการเมือง ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ (กรุงเทพฯ สมาคมประวัติศาสตร์ฯ, ๒๕๓๕)
(10) เฉลิมเกียรติ ขุนทองเพชร, หะยีสุหลง , หน้า ๑๑๗-๒๗.
(11) กย. หนังสือลับ-เฉพาะ ที่ ๔๔๐/๒๔๘๙, ๙ สิงหาคม ๒๔๘๙ ข้าหลวงตรวจการกระทรวงมหาดไทยภาค ๕ ถึงข้าหลวงประจำจังหวัดสตูล เรื่อง "ความเคลื่อนไหวของชาวอิสลาม" อ้างใน เฉลิมเกียรติ ขุนทองเพชร, ๒๕๒๙, หน้า ๕๑.
(12) กย. หนังสือลับที่ ๑๗๙๙/๒๔๘๙, ผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดสตูล ถึงผู้บังคับบัญชาตำรวจภูธรเขตต์ ๙ เรื่อง "สดับตรับฟังท่าทีของมลายูที่มีต่อคนไทย", เพิ่งอ้าง, หน้า ๕๓.
(13) หจช. แฟ้มสำนักเลขานุการคณะรัฐมนตรี เรื่อง "คดีหะยีสุหลงฯ กับพวก พ.ศ. ๒๔๙๖ อ้างในเฉลิมเกียรติ ขุนทองเพชร หน้า ๒๑.
(14) ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรบรรดาศักดิ์ เป็นหลวงพิบูลสงคราม ถือศักดินา ๘๐๐ เมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๑ และลาออกจากบรรดาศักดิ์เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ และเป็นพลตรี เมื่อ ๑ เมษายน ๒๔๘๒ ในที่สุดเป็น จอมพล(บกเรือและอากาศ) เมื่อ ๒๘ กรกฎาคม ๒๔๘๔. โปรดดู อ.พิบูลสงคราม, จอมพล ป. พิบูลสงคราม เล่ม ๑ (พิมพ์ครั้งที่ ๒, กรุงเทพฯ, บริษัทพริกหวานกราฟฟิคจำกัด, ๒๕๔๐)
(15) Thinaphan Nakhata, "National Consolidation and Nation-Building (1939-1947)", in Thak Chalermtiarana, ed., Thai Politics, 1932-1957: Extracts and Documents. (Bangkok: Social Science Association of Thailand, 1978), p. 89.
(16) คุณธรรมของประชาชนผู้รักชาติที่หลวงวิจิตรวาทการเรียกร้องได้แก่ ความซื่อสัตย์ ความกล้าหาญความอดทนสุภาพ ความรักในเกียรติ ในหน้าที่ และการควบคุมตนเองนั้น ทั้งหมดนั้นนำมาจากหนังสือของ Inazo Nitobe เรื่อง Bushido เขาเป็นคนที่หลวงวิจิตรฯ พบขณะอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ ดู Scott Barme, Luang Wichit Wathakan and the Creation of a Thai Identity (Singapore: Institute of Southeast Asian Studies, 1993), p. 87.
(17) Thinaphan Nakhata, "National Consolidation , p. 90.
(18) ความเห็นชาวบ้านจากสมัยโน้น ในเฉลิมเกียรติ ขุนทองเพชร "การต่อต้านนโยบายรัฐบาลในสี่จังหวัดภาคใต้ของประเทศไทย โดยการนำของหะยีสุหลง อับดุลกาเดร์ พ.ศ. ๒๔๘๒-๒๔๙๗" วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศิลปากร พ.ศ. ๒๕๒๙, หน้า ๓๐-๓๑
(19) ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๖๓ หน้า ๑๐๙๒ ลงวันที่ ๑๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๖ อ้างใน ณรงค์ ศิริปะชะนะ, ความเป็นมาของกฎหมายอิสลามและดาโต๊ะยุติธรรม (กรุงเทพฯ, บริษัทบพิธจำกัด, ๒๕๑๘), หน้า ๙๗-๙๘.
(20) ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๒ หน้า ๕๒๙ ลงวันที่ ๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘ อ้างใน ณรงค์ ศิริปะชะนะ, ความเป็นมาของกฎหมายอิสลามและดาโต๊ะยุติธรรม (กรุงเทพฯ, บริษัทบพิธจำกัด, ๒๕๑๘), หน้า ๙๔-๙๕.
(21) เฉลิมเกียรติ ขุนทองเพชร, หะยีสุหลง..., หน้า ๓๒.
นักศึกษา
สมาชิก และผู้สนใจบทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ก่อนหน้านี้ สามารถคลิกไปอ่านได้โดยคลิกที่แบนเนอร์
ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา 3 I สารบัญเนื้อหา
4
I สารบัญเนื้อหา
5 I สารบัญเนื้อหา
6
ประวัติ
ม.เที่ยงคืน
สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง
e-mail :
midnightuniv(at)gmail.com
หากประสบปัญหาการส่ง
e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com
ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ทั้งหมด
กว่า 1100 เรื่อง หนากว่า 18000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com
สมเกียรติ
ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็บไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ
ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com
บรรณาธิการแถลง: บทความทุกชิ้นซึ่งได้รับการเผยแพร่บนเว็บไซต์แห่งนี้
มุ่งเพื่อประโยชน์สาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อวัตถุประสงค์ในการขยายพรมแดนแห่งความรู้ให้กับสังคมไทยอย่างกว้างขวาง
นอกจากนี้ยังมุ่งทำหน้าที่เป็นยุ้งฉางเล็กๆ แห่งหนึ่งสำหรับเก็บสะสมความรู้ เพื่อให้ทุกคนสามารถหยิบฉวยไปใช้ได้ตามสะดวก
ในฐานะที่เป็นสมบัติร่วมของชุมชน สังคม และสมบัติที่ต่างช่วยกันสร้างสรรค์และดูแลรักษามาโดยตลอด.
สำหรับผู้สนใจร่วมนำเสนอบทความ หรือ แนะนำบทความที่น่าสนใจ(ในทุกๆสาขาวิชา) จากเว็บไซต์ต่างๆ
ทั่วโลก สามารถส่งบทความหรือแนะนำไปได้ที่ midnightuniv(at)gmail.com
(กองบรรณาธิการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน: ๒๘ มกาคม ๒๕๕๐)
ปรากฏการณ์ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยที่ว่านี้ เป็นเพียงผลอันเกิดแต่มูลเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "มูลเหตุ" จากแบบแผนวิธีคิดและประพฤติปฏิบัติ ซึ่งอาจเรียกรวมๆ ว่า "วัฒนธรรมการเรียนรู้" อันเป็นสมบัติแนบเนื่องอยู่กับสังคมวัฒนธรรมหนึ่งๆ สมบัติทางวัฒนธรรมการเรียนรู้ที่ว่านี้ นับเป็นผลพวงของเหตุผลและความจำเป็นตามเงื่อนไขสถานการณ์แห่งยุคสมัย ครั้นเมื่อเงื่อนไขสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป วัฒนธรรมการเรียนรู้ชุดเดียวกันนั้นเอง ก็มักกลายเป็นโทษสมบัติและมิจฉาทิฐิ บั่นทอนความมั่นคงและการดำรงคงอยู่ของสังคม (คำนำ โดยเสน่ห์ จามริก)
Thai
History
The Midnight University