1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
41
42
43
44
45
46
47
48
49
50
51
52
53
54
55
56
57
58
59
60
61
62
63
64
65
66
67
68
69
70
71
72
73
74
75
76
77
78
79
80
81
82
83
84
85
86
87
88
89
90
ถ้อยคำจากไบเบิลใหม่และจากแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์อาจให้ความกล้าหาญและแรงดลใจในปริมาณที่เท่ากัน แต่มีหลายประเด็นที่แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์เป็นหนังสือที่ดีกว่าไบเบิลใหม่ ที่จะให้ลูกหลานของเราได้อ่าน เพราะหนังสือเล่มหลัง มีช่องโหว่ทางด้านศีลธรรมโดยการเน้นที่โลกอื่น ด้วยการเสนอว่าเราสามารถแยกคำถามเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเราแต่ละคนกับพระเจ้า -กล่าวคือ โอกาสของเราแต่ละคนในการรอดพ้นทางวิญญาณ- ออกจากการมีส่วนร่วมของเราในความพยายามร่วมแรงกันที่จะหยุดยั้งความทุกข์ยากอันไม่เป็นที่ต้องการ หลายตอนในไบเบิลใหม่ให้การชี้แนะต่อพวกนายทาสว่า พวกเขาสามารถคงสิทธิในการเฆี่ยนทาสของพวกเขา และต่อคนรวยว่าพวกเขาสามารถคงสิทธิในการให้คนจนอดตาย เพราะว่า...
30-04-2552
(1727)
คัมภีร์ไบเบิลใหม่
และ แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์
Richard Rorty : ว่าด้วยหนังสือสองเล่มที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์
บุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์ - แปล
สาขาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
เชิงอรรถเพิ่มเติมโดย กองบรรณาธิการ
ม.เที่ยงคืน
บทความวิชาการนี้
สามารถ download ได้ในรูป word
บทความแปลชิ้นนี้ ได้รับมาจากผู้แปล
สำหรับเผยแพร่บนเว้บไซต์ ม.เที่ยงคืน
เดิมชื่อ "คำทำนายที่ล้มเหลว, ความหวังอันประเสริฐ์"(Failed Prophecies,
Glorious Hopes)
Richard Rorty - เขียน / บุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์ - แปล
เคยลงพิมพ์แล้วในวารสารอักษรศาสตร์
มหาวิทยาลัยศิลปากร ปีที่ ๒๖ ฉบับที่ ๒
ธันวาคม ๒๕๔๖ - พฤษภาคม ๒๕๔๗ ฉบับมาร์กซิสม์ในคริสตศตวรรษที่ ๒๑
บทแนะนำโดยบรรณาธิการวารสารอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
ผู้ที่คุ้นเคยกับวงการปรัชญาโลกอย่างแท้จริง ย่อมตระหนักถึงความสำคัญของความคิดที่ผ่านข้อเขียน
ของริชาร์ด รอร์ตี นักปรัชญาร่วมสมัยผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง สำหรับบทความซึ่งแปลโดยบุญส่ง
ชัยสิงห์กานานนท์ชิ้นนี้
รอร์ตีได้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของหนังสือแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ (The Communist
Manifesto)
ว่า แม้จะเป็นหนังสือที่ให้คำทำนายที่ล้มเหลว กล่าวคือ ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ว่าจะเกิดการปฏิวัติของชนชั้นผู้ใช้แรงงาน
ที่ลุกฮือขึ้นมาโค่นล้มระบบทุนนิยม และเปลี่ยนแปลงระบบสังคมไปสู่ระบบคอมมิวนิสต์ในท้ายที่สุด
แต่หนังสือเล่มนี้ก็ยังเป็นมรดกโลกอันทรงคุณค่ายิ่งเช่นเดียวกับคัมภีร์ไบเบิลใหม่
ที่ควรให้ลูกหลานของเราได้อ่าน
เพราะเป็นหนังสือที่สร้างแรงดลใจสำคัญ ทำให้เราเกิดความหวังอันประเสริฐ ในการที่จะรักเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
และต่อสู้เพื่อให้เกิดความเสมอภาคและความยุติธรรมทางสังคม หนังสือแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์
ยังเหนือกว่าคัมภีร์ไบเบิลใหม่
เพราะให้ความสำคัญกับการสร้างโลกอุดมคติที่อยู่ในโลกนี้ โลกที่เพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้รับความห่วงใยใส่ใจอย่างเช่นที่เรามีต่อ
ญาติมิตร
ของเรา แทนที่จะไปคาดหวังเลื่อนลอยกับชีวิตที่ดีกว่าในโลกหน้า (เมื่อพระเจ้ามารับเราไปอยู่ด้วยในสรวงสวรรค์
ณ วันตัดสิน)
(บทความนี้จัดอยู่ในหมวด "ความรู้ทางปรัชญา")
สนใจส่งบทความเผยแพร่ ติดต่อมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน:
midnightuniv(at)gmail.com
บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา
ข้อความที่ปรากฏบนเว็บเพจนี้ ได้รักษาเนื้อความตามต้นฉบับเดิมมากที่สุด
เพื่อนำเสนอเนื้อหาตามที่ผู้เขียนต้องการสื่อ กองบรรณาธิการเพียงตรวจสอบตัวสะกด
และปรับปรุงบางส่วนเพื่อความเหมาะสมสำหรับการเผยแพร่ รวมทั้งได้เว้นวรรค
ย่อหน้าใหม่ และจัดทำหัวข้อเพิ่มเติมสำหรับการค้นคว้าทางวิชาการ
บทความทุกชิ้นที่เผยแพร่บนเว็บไซต์แห่งนี้ ยินดีสละลิขสิทธิ์เพื่อมอบเป็นสมบัติ
ทางวิชาการแก่สังคมไทยและผู้ใช้ภาษาไทยทั่วโลก ภายใต้เงื่อนไข้ลิขซ้าย (copyleft)
บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ ๑๗๒๗
เผยแพร่บนเว็บไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๒
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ ๑๖.๕ หน้ากระดาษ A4)
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คัมภีร์ไบเบิลใหม่
และ แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์
Richard Rorty : ว่าด้วยหนังสือสองเล่มที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์
บุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์ - แปล
สาขาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
เชิงอรรถเพิ่มเติมโดย กองบรรณาธิการ
ม.เที่ยงคืน
บทความวิชาการนี้
สามารถ download ได้ในรูป word
คำทำนายที่ล้มเหลว มักก่อให้เกิดการอ่านที่สร้างแรงดลใจอันนับค่าไม่ได้ ลองดูสักสองตัวอย่างต่อไปนี้ ได้แก่ กรณีของคัมภีร์ไบเบิลใหม่ (the New Testament) และหนังสือแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ (the Communist Manifesto) 1 หนังสือทั้งสองเล่มนี้ ตัวผู้เขียนต่างตั้งใจให้เป็นการทำนายถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น อันเป็นคำทำนายที่มีฐานอยู่บนการอ้างความรู้ที่เหนือกว่าในเรื่องเกี่ยวกับพลังซึ่งกำหนดประวัติศาสตร์มนุษย์ คำทำนายทั้งสองชุดนี้ ก็เป็นเพียงแค่ความเหลวไหลอันน่าหัวเราะ การอ้างเป็นความรู้ของทั้งสองคำทำนายได้กลับกลายเป็นเรื่องอันชวนหัวไป
(1) Manifesto of the
Communist Party (German: Manifest der Kommunistischen Partei), often referred
to as The Communist Manifesto, was first published on February 21, 1848, and
is one of the world's most influential political manuscripts. Commissioned
by the Communist League and written by communist theorists Karl Marx and Friedrich
Engels, it laid out the League's purposes and program. It presents an analytical
approach to the class struggle (historical and present) and the problems of
capitalism, rather than a prediction of communism's potential future forms.
(The Great Philosophers, by Jeremy Stangroom and James
Garvey, Arcturus 2005/ 2008 ISBN 9781848370180, pp160 UKP9.99)
พระคริสต์ไม่ได้กลับมาอีก ผู้ซึ่งอ้างว่าท่านกำลังจะกลับมา และอ้างว่าเป็นเรื่องที่ฉลาดรอบคอบที่จะมาเป็นสมาชิกของกลุ่มหรือนิกายเฉพาะเพื่อทิ่จะได้เตรียมการรับเหตุการณ์ดังกล่าว ต่างถูกมองอย่างน่าสงสัยได้อย่างเหมาะสม แน่นอนว่าไม่มีใครที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าการกลับมาเป็นครั้งที่สองของพระคริสต์จักไม่บังเกิดขึ้น ดังนั้นจึงเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ให้กับการกลับมาจุติ แต่กระนั้น เราต่างก็ได้แต่เฝ้ารอคอยเหตุการณ์ดังกล่าวกันมานานแสนนานแล้ว
โดยเทียบเคียงกัน ไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ว่ามาร์กซ์กับเองเกลส์ผิดเมื่อพวกเขาป่าวประกาศว่า 'พวกกระฎุมพีได้หล่อหลอมอาวุธที่นำพาความตายกลับมาสู่พวกเขา' อาจเป็นได้ว่าโลกาภิวัตน์ของตลาดแรงงานในศตวรรษหน้าจะพลิกกลับกระบวนการอันรุดหน้าในการทำให้กรรมาชีพในยุโรปและอเมริกากลายเป็นกระฎุมพี และอาจกลายเป็นความจริงที่ว่า 'พวกกระฎุมพีไม่อาจคงสถานะเป็นผู้ปกครองได้อีกต่อไป เนื่องจากพวกเขาไม่อาจแม้แต่สร้างความมั่นคงในการคงเหล่าทาสไว้ให้อยู่ภายใต้ความเป็นทาสอีกต่อไป' อาจเป็นได้ว่าการล่มสลายของระบบทุนนิยมและสมมติฐานเรื่องการได้อำนาจทางการเมืองโดยชนชั้นกรรมาชีพที่รู้แจ้งและทรงไว้ซึ่งความดี จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น กล่าวอย่างสั้น ๆ อาจเป็นไปได้ว่ามาร์กซ์กับเองเกลส์แค่กะเวลาการเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวผิดไปหนึ่งหรือสองศตวรรษเท่านั้น กระนั้น ทุนนิยมก็ได้เอาชนะเหนือวิกฤตมากมายในอดีตที่ผ่านมา และเรายังคงรอคอยกันมายาวนานนัก สำหรับการกำเนิดขึ้นของชนชั้นกรรมาชีพดังกล่าว
โดยเช่นเดียวกัน ไม่มีเหล่าผู้เย้ยหยันคนใดจะสามารถมั่นใจได้ว่าสิ่งที่ชาวคริสต์ผู้เน้นศรัทธาเรียกกันว่า 'กลายเป็นตัวตนใหม่ในองค์พระเยซู' นั้นจะไม่ใช่ประสบการณ์อันน่าอัศจรรย์และเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง ถึงกระนั้น พวกที่อ้างว่าได้กลับมาเกิดใหม่ในวิถีแบบนี้ ก็ดูเหมือนไม่ได้ประพฤติอะไรที่ดูแตกต่างไปจากวิถีที่พวกเขาได้เคยประพฤติมาในอดีต ทั้งๆ ที่เราได้คาดหวังว่าจะแตกต่างไปจากเดิม
โดยเทียบเคียงกัน เราไม่อาจมั่นใจได้ว่าจะไม่เป็นจริงที่สักวันหนึ่งซึ่งเราอาจจะได้แลเห็นอุดมคติใหม่ๆ ที่จะเข้ามาแทนที่สิ่งที่มาร์กซ์และเองเกลส์เรียกมันอย่างไม่อยากเอาไว้ว่า 'ปัจเจกภาพแบบกระฎุมพี, ความอิสระแบบกระฎุมพี, และเสรีภาพแบบกระฎุมพี ' แต่กระนั้นเราก็ได้รอคอยมาอย่างอดทนต่อระบอบการปกครองที่เรียกตัวเองว่า 'มาร์กซิสต์' ที่จะอธิบายกับเราอย่างแจ่มชัดว่าอุดมคติใหม่ๆ นี้เป็นแบบใด และจะถูกทำให้เป็นจริงในทางปฏิบัติได้อย่างไร จวบจนปัจจุบันนี้ ระบอบการปกครองดังกล่าวทั้งหมดได้กลับกลายถดถอยสู่การเป็นอนารยะก่อนยุคแห่งการรู้แจ้ง (pre- Enlightenment barbarism) เสียยิ่งกว่าจะเป็นแสงริบหรี่แรกสุดของสังคมอุดมคติในยุคหลังการรู้แจ้ง (a post- Enlightenment utopia)
แน่นอนว่า ยังคงมีคนที่อ่านคัมภีร์ของชาวคริสต์เพื่อจะเข้าใจว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นทั่วไปในอีกสองสามปีหรือทศวรรษหน้า คนอย่างโรนัลด์ รีแกนได้ทำเช่นนั้น นี่เป็นตัวอย่าง จวบจนกระทั่งเมื่อเร็วๆ นี้เอง ปัญญาชนจำนวนมากอ่าน"แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์"ก็ด้วยจุดประสงค์เดียวกัน ก็ดังเช่นที่ชาวคริสต์ได้ตักเตือนเราอย่างอดทนและประกันกับเราว่า เป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมที่จะตัดสินพระเยซูโดยดูจากความผิดที่ผู้รับใช้ท่านที่ชั่วร้ายได้กระทำ. ชาวมาร์กซิสต์ก็เช่นเดียวกัน ได้ประกันกับเราว่า ระบอบการปกครองแบบมาร์กซิสต์ที่มีมาจนถึงปัจจุบันเป็นเพียงการบิดเบือนอย่างไร้สาระไปจากความตั้งใจของมาร์กซ์ ชาวมาร์กซิสต์ที่ยังหลงเหลืออยู่จำนวนน้อยในบัดนี้ยืนยันว่าพรรคคอมมิวนิสต์ของเลนิน เหมา และคาสโตรนั้น ไม่มีอะไรที่คล้ายคลึงเลยกับชนชั้นกรรมาชีพที่ได้อำนาจตามแบบที่มาร์กซ์ฝันไว้ และยังเป็นเพียงแค่เครื่องมือของเอกาธิปัตย์หรือคณาธิปัตย์เท่านั้น. อย่างไรก็ตาม พวกเขาบอกกับเราว่า สักวันหนึ่งจักมีพรรคกรรมาชีพที่แท้จริง อันพรรคปฏิวัติที่แท้จริงบังเกิดขึ้น พรรคซึ่งเมื่อชนะจะนำเสรีภาพมาให้เรา อันเป็นเสรีภาพที่ไม่เหมือนกับ 'เสรีภาพของกระฎุมพี' ดังเช่นเดียวกันกับที่คำสั่งสอนของศาสนาคริสต์สอนไว้ว่า มีแต่เพียงความรักเท่านั้นที่เป็น"กฎ" ไม่ใช่กฎที่ถูกกำหนดตามอำเภอใจในเลวิติคัส (Leviticus)2(2)
(2) Leviticus ("relating
to the Levites") is the third book of the Torah (Pentateuch), the name
given in Judaism to the first five books of the Hebrew Bible (the Christian
Old Testament). Leviticus contains laws and priestly rituals, but in a wider
sense is about the working out of God's covenant with Israel set out in Genesis
and Exodus - what is seen in the Torah as the consequences of entering into
a special relationship with God. These consequences are set out in terms of
community relationships and behaviour.
พวกเราส่วนใหญ่ไม่อาจยึดถืออย่างเอาจริงเอาจังกับคำทำนายที่เลื่อนเวลาออกไป หรือการให้ประกันซ้ำไม่ว่าจะเป็นของชาวคริสต์หรือชาวมาร์กซิสต์
แต่การทำเช่นนี้ก็ไม่ได้, และไม่สมควรด้วยที่จะกีดกันเราจากการค้นหาแรงดลใจและการเสริมกำลังใจจากคัมภีร์ไบเบิลใหม่และหนังสือแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์
เพราะว่าเอกสารทั้งสองชิ้นนี้เป็นการแสดงออกของความหวังเดียวกัน กล่าวคือความหวังที่ว่า
สักวันหนึ่งเราจะมีเจตจำนงและสามารถปฏิบัติต่อความต้องการของมนุษย์ทั้งปวงด้วยความเคารพและนับถือ
ในแบบที่เราปฏิบัติต่อบุคคลที่ใกล้ชิด บุคคลที่เป็นที่รักของเรา
ข้อเขียนทั้งสองชิ้น ได้รวบรวมพลังที่สร้างแรงดลใจอันยิ่งใหญ่กว่าเมื่อวันเวลาได้ผ่านพ้นไป เพราะแต่ละเล่มต่างเป็นเอกสารที่วางรากฐานให้กับขบวนการซึ่งได้ทำอะไรไว้มากมาย เพื่อเสรีภาพของมนุษย์และความเสมอภาคของมนุษย์. ในปัจจุบันนี้ โดยขอบคุณสำหรับการเพิ่มขึ้นของประชากรนับจากปี 1848 เป็นต้น, เอกสารทั้งสองชิ้นอาจสร้างแรงดลใจต่อชายและหญิงที่กล้าหาญและยอมอุทิศตนเองในจำนวนที่ไม่น้อยไปกว่าเดิม ที่จะเสี่ยงชีวิตและโชคเคราะห์เพื่อปกป้องชนรุ่นอนาคตจากความทุกข์ระทมที่ไม่เป็นที่ต้องการที่ยืนยงมา อาจจะมีนักสังคมนิยมผู้เสียสละมากมายพอกันกับชาวคริสต์ผู้เสียสละได้เกิดขึ้นแล้ว หากความหวังของมนุษย์สามารถอยู่รอดฝ่าหัวรบพ่วงเชื้อโรคแอนแทรกซ์ อุปกรณ์นิวเคลียร์ขนาดกระเป๋าใส่เสื้อผ้า ภาวะประชากรล้นเกิน สภาพตลาดแรงงานโลกาภิวัตน์ ตลอดจนสภาพเสื่อมโทรมทางด้านสิ่งแวดล้อมของคริสตศตวรรษที่กำลังมาถึง หากเรามีผู้สืบสายเลือด ผู้ซึ่งอีกศตวรรษนับจากนี้ ยังคงมีบันทึกทางประวัติศาสตร์ไว้เพื่อปรึกษาและยังคงสามารถแสวงหาแรงดลใจจากอดีต บางทีพวกเขาจะนึกถึงเซนต์แอกเนส (Saint Agnes)3 และโรซา ลุกเซมเบอร์ก (Rosa Luxemburg)4, เซนต์ ฟรานซิส (Saint Francis)5 และยูยีน เด็บส์ (Eugene Debs)6, คุณพ่อดาเมียน (Father Damien)7 และฌอง เฌาแรส (Jean Jaur?s)8, ในฐานะที่เป็นสมาชิกของขบวนการเดียวกัน
(3) Agnes of Rome (c. 291 - c.304) is a virgin-martyr, venerated as a saint in the Roman Catholic Church, Eastern Catholic Churches, the Anglican Communion, and in Eastern Orthodoxy. She is one of seven women, excluding the Blessed Virgin, commemorated by name in the Canon of the Mass. She is the patron saint of chastity, gardeners, girls, engaged couples, rape victims, and virgins.
She is also known as Saint Agnes and Saint Ines. Her memorial, which commemorates her martyrdom, is 21 January in both the Roman Catholic calendar of saints and in the General Roman Calendar of 1962. The 1962 calendar includes a second feast on 28 January, which commemorates her birthday. Agnes is depicted in art with a lamb, as her name resembles the Latin agnus. The name "Agnes" is actually derived from the feminine Greek adjective "hagn?" meaning "chaste, pure, sacred".
(4) Rosa Luxemburg (Rosalia Luxemburg, Polish: 5 March 1871[1] - 15 January 1919) was a Polish-born German Marxist theorist, socialist philosopher, and revolutionary for the Social Democracy of the Kingdom of Poland and Lithuania, the German SPD, the Independent Social Democratic Party and the Communist Party of Germany.
(5) Francis of Assisi (Giovanni Francesco Bernardone; born 1181/1182 - October 3, 1226)[2] was a friar and the founder of the Order of Friars Minor, more commonly known as the Franciscans. He is known as the patron saint of animals, the environment and Italy, and it is customary for Catholic churches to hold ceremonies honoring animals around his feast day of 4 October
(6) Eugene Victor Debs (November 5, 1855 - October 20, 1926) was an American union leader, one of the founding members of the International Labor Union and the Industrial Workers of the World (IWW), as well as candidate for President of the United States as a member of the Social Democratic Party in 1900, and later as a member of the Socialist Party of America in 1904, 1908, 1912, and 1920. Through his presidential candidacies as well as his work with labor movements, Debs would eventually become one of the best-known Socialists in the United States.
(7) Father Damien / Damien de Veuster, SS.CC. (January 3, 1840 - April 15, 1889), born Jozef de Veuster and also known as Blessed Damien of Molokai (Dutch: Pater Damiaan or Zalige Damiaan de Veuster), was a Roman Catholic priest from Belgium and member of the Congregation of the Sacred Hearts of Jesus and Mary, a missionary religious order. He is to become a saint. He won recognition for his ministry to people with leprosy (also known as Hansen's Disease), who had been placed under a government-sanctioned medical quarantine on the island of Molokai in the Kingdom of Hawaii.[2] He eventually contracted and died of the disease, and is widely considered a "martyr of charity".
(8) Jean Leon Jaures (3 September 1859 - 31 July 1914) was a French Socialist leader. Initially an Opportunist Republican, he evolved into one of the first social democrats, becoming the leader, in 1902, of the French Socialist Party, which opposed Jules Guesde's revolutionary Socialist Party of France. Both parties merged in 1905 in the French Section of the Workers' International (SFIO). An antimilitarist, Jaures was assassinated at the outbreak of World War I, and remains one of the main historical figures of the French Left.
ดังเช่นที่ไบเบิลใหม่ยังคงได้รับการอ่านโดยผู้คนนับล้าน ผู้ซึ่งให้เวลาแค่น้อยนิดที่จะกังขาว่า สักวันหนึ่งพระคริสต์จะกลับมาอย่างเลื่องระบือหรือไม่ โดยเช่นเดียวกันแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ก็ยังคงได้รับการอ่าน แม้แต่ในหมู่ของพวกเราผู้ที่คาดหวังและเชื่อว่าความยุติธรรมทางสังคมโดยบริบูรณ์นั้น สามารถทำให้บรรลุได้โดยปราศจากการปฏิวัติในประเภทที่มาร์กซ์ทำนายไว้ ที่ว่าสังคมไร้ชนชั้น อันเป็นโลกซึ่ง 'พัฒนาการอย่างเสรีของมนุษย์แต่ละคนเป็นสภาพการณ์ของพัฒนาการอย่างเสรีของมนุษย์ทุกคน' จะสามารถเกิดขึ้นในฐานะที่เป็นผลของสิ่งที่มาร์กซ์ชิงชังว่าเป็น 'การปฏิรูปแบบกระฎุมพี' พ่อแม่และครูควรส่งเสริมให้เยาวชนได้อ่านหนังสือทั้งสองเล่มนี้ ผู้เยาว์จักดีขึ้นทางศีลธรรมหากได้อ่านหนังสือดังกล่าว
เราควรเลี้ยงลูกหลานของเราให้ค้นพบว่า เป็นเรื่องที่ทนรับไม่ได้ที่เราผู้ซึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะและแป้นพิมพ์ได้ค่าจ้างเป็นสิบเท่า มากกว่าคนซึ่งมือต้องเปื้อนสกปรกในการทำความสะอาดห้องน้ำของเรา และได้ค่าจ้างเป็นร้อยเท่ามากกว่าผู้ซึ่งประกอบแป้นพิมพ์ของเราที่อยู่ในแถบโลกที่สาม เราควรทำให้แน่ใจว่าพวกเขาจะกังวลเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ว่า ประเทศที่ปรับเปลี่ยนเป็นอุตสาหกรรมก่อนใครอื่น มีสินทรัพย์นับร้อยเท่าเมื่อเทียบกับประเทศที่ยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนเป็นอุตสาหกรรม ลูกหลานของเราต้องการที่จะได้เรียนรู้แต่เนิ่นๆ เพื่อมองเห็นถึงความไม่เสมอภาคระหว่างโชคของพวกเขากับของเด็กอื่นๆ ว่าไม่ได้เป็นทั้งผลจากเจตจำนงของพระเจ้าหรือราคาที่จำเป็นที่ต้องจ่ายไปสำหรับความมีประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ แต่เป็นโศกนาฏกรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ พวกเขาควรตั้งต้นคิดแต่เนิ่นๆ ที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เกี่ยวกับว่าโลกควรจะต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เพื่อที่ว่าจะได้ให้ความมั่นใจว่า จะไม่มีใครยังคงหิวโหยในขณะที่คนอื่นมีอย่างเหลือล้น
ลูกหลานของเราจำเป็นที่จะต้องอ่านสารเรื่องภราดรภาพของมนุษย์ของพระคริสต์ ร่วมกันไปกับของมาร์กซ์และเองเกลส์ในเรื่องที่ว่าทุนนิยมอุตสาหกรรมและตลาดเสรี- อย่างจำเป็นดังที่มันได้เป็นไป - ได้สร้างความยากลำบากยิ่งอย่างไรต่อการจะจัดการให้เกิดภราดรภาพดังกล่าว พวกเขาจำเป็นต้องมองชีวิตของพวกเขา ในฐานะที่ถูกให้ความหมายโดยความพยายามที่มุ่งทำให้ศักยภาพทางศีลธรรมที่ตกทอดมาในความสามารถของเรา ในการสื่อสารความต้องการของเราและความหวังของเราสู่คนอื่นๆ เกิดเป็นรูปธรรมได้จริง พวกเขาควรเรียนรู้ทั้งเรื่องราวเกี่ยวกับการชุมนุมพบปะกันของชาวคริสต์ ณ โพรงใต้ดิน และเรื่องเกี่ยวกับการชุมนุมของผู้ใช้แรงงาน ณ สี่แยกกลางเมือง เพราะทั้งสองเรื่องต่างมีบทบาทสำคัญอย่างเท่าๆ กันในกระบวนการอันยาวนานในการทำให้ศักยภาพดังกล่าวนี้เป็นจริง
คุณค่าในเชิงแรงดลใจของคัมภีร์ไบเบิลใหม่และแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์นั้น ไม่ถูกลดทอนลงไปโดยข้อเท็จจริงที่ว่าคนหลายล้านคนถูกบังคับเยี่ยงทาส ทรมาน และอดอาหารจนตายด้วยน้ำมือของคนผู้มีความตั้งใจจริงอย่างมีศีลธรรมและซื่อสัตย์ ผู้ซึ่งท่องข้อความจากหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งเพื่อที่จะได้ให้ความชอบธรรมกับการกระทำของพวกเขา ความทรงจำถึงห้องใต้ตึกที่จำขังนักโทษในการไต่สวนของพวกบาทหลวง และห้องสอบสวนของพวกเคจีบี (KGB) ความทรงจำถึงความละโมบอันอำมหิตและความหยิ่งยะโสของพวกพระชาวคริสต์ และของพวกคอมมิวนิสต์ผู้คุ้มกัน จริงๆ แล้ว ความทรงจำดังกล่าวนี้ ควรทำให้เราอึกอักใจที่จะส่งมอบอำนาจให้กับพวกที่อ้างว่ารู้ว่าพระเจ้าหรือประวัติศาสตร์ต้องการอะไร ทว่ามีความแตกต่างระหว่างความรู้กับความหวัง ความหวังมักจะอยู่ในรูปลักษณ์ของคำทำนายที่ผิดพลาด ดังที่เกิดกับเอกสารทั้งสองเล่มดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตาม ความหวังต่อความยุติธรรมทางสังคม ก็เป็นพื้นฐานเพียงพื้นฐานเดียวเท่านั้นสำหรับชีวิตมนุษย์ที่มีคุณค่า
ศาสนาคริสต์และมาร์กซิสม์ยังคงมีพลังที่จะสร้างภัยใหญ่ๆ ได้ เพราะทั้งคัมภีร์ไบเบิลใหม่และแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ ยังคงสามารถถูกนำไปอ้างอย่างส่งผลโดยพวกมือถือสากปากถือศีลทางศีลธรรมและพวกนักเลงโตที่หลงตัวเอง ยกตัวอย่างเช่นในอเมริกา องค์กรที่เรียกว่าพันธมิตรคริสเตียน (the Christian Coalition) ยึดกุมพรรครีปับลิกัน (และดังนั้น รัฐสภา) ที่อยู่ในอุ้งมือผู้นำของขบวนการนี้ ที่ได้สร้างความเชื่อให้กับผู้มีสิทธิเลือกตั้งนับล้านคนว่า การเก็บภาษีคนที่อยู่แถบชานเมืองเพื่อช่วยพวกชนส่วนน้อยเป็นการกระทำที่ไม่ใช่ของคริสเตียน ภายใต้นามของ 'คุณค่าแบบครอบครัวคริสเตียน' พันธมิตรคริสเตียนสอนว่า การที่รัฐบาลอเมริกาที่จะให้การช่วยเหลือลูกหลานของประดาแม่วัยรุ่นที่ท้องนอกสมรสและว่างงานจะเป็นการ 'สลายความรับผิดชอบอย่างปัจเจก' ไป
กิจกรรมของพันธมิตรคริสเตียนมีความรุนแรงน้อยกว่าของขบวนการเซนเดโร ลูมิโนโซ (Sendero Luminoso) (*) ในเปรู ที่จวนเจียนจะสูญพันธุ์ในปัจจุบัน แต่ผลจากกิจกรรมของพันธมิตรคริสเตียนนั้น ส่งผลเชิงทำลายเช่นเดียวกัน. เซนเดโร ลูมิโนโซ ในช่วงรุ่งเรืองอันน่ากลัวนั้น นำโดยอาจารย์สอนปรัชญาผู้บ้าคลั่ง ผู้ที่คิดว่าตัวเขาเป็นผู้สืบทอดความคิดจากเลนินและเหมา ในฐานะที่เป็นผู้ตีความร่วมสมัยที่ได้แรงดลใจจากข้อเขียนของมาร์กซ์. พันธมิตรคริสเตียนนั้นนำโดยสาธุคุณแพท โรเบิร์ตสัน (Pat Robertson) นักเทศน์ทางโทรทัศน์ที่ดูน่าเคารพ ผู้เป็นนักตีความไบเบิลร่วมสมัย ผู้ซึ่งมีโอกาสที่จะเป็นผู้ก่อให้เกิดความทุกข์ระทมในอเมริกาได้มากกว่าที่ Abimael Guzman (*) จัดการให้เกิดขึ้นในเปรู
(*) The Communist Party of Peru, more commonly known as the Shining Path (Sendero Luminoso), is a Maoist guerrilla organization in Peru. When it first launched the internal conflict in Peru in 1980, its stated goal was to replace what it saw as bourgeois democracy with "New Democracy." The Shining Path believed that by imposing a dictatorship of the proletariat, inducing cultural revolution, and eventually sparking world revolution, they could arrive at pure communism. The Shining Path also believed that all existing socialist countries were revisionist, and that the Shining Path itself was the vanguard of the world communist movement. The Shining Path's ideology and tactics have been influential on other Maoist insurgent groups, notably the Communist Party of Nepal (Maoist) and other Revolutionary Internationalist Movement-affiliated organizations.
Widely condemned for its brutality, including violence deployed against peasants, trade union organizers, popularly elected officials and the general civilian population, The Shining Path is regarded by Peru as a terrorist organization. The group is on the U.S. Department of State's list of Foreign Terrorist Organizations, and the European Union and Canada likewise regard them as a terrorist organization and prohibit providing funding or other financial support.
(*) Manuel Ruben Abimael Guzman Reynoso (born 3 December 1934), also known by the nom de guerre Presidente Gonzalo (English: President Gonzalo), a former professor of philosophy, was the leader of the Shining Path during the Maoist insurgency known as the internal conflict in Peru. Shining Path had been active in Peru since the late 1970s and began what it called "the armed struggle" on 17 May 1980. Wanted on charges of terrorism and treason, Guzman was captured by the Peruvian government in 1992 and sentenced to life imprisonment.
กล่าวโดยสรุป เมื่ออ่านคัมภีร์ไบเบิลใหม่และแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ เป็นการดีที่สุดที่จะไม่ใส่ใจกับผู้พยากรณ์ ผู้อ้างตนเป็นผู้ตีความที่ถูกต้องของงานเล่มหนึ่งเล่มใดดังกล่าว เมื่ออ่านงานสองเล่มนี้ เราควรข้ามผ่านส่วนคำทำนายไปอย่างง่ายดาย และมุ่งความสนใจที่ส่วนการแสดงออกของความหวัง เราควรอ่านงานทั้งสองเล่มในฐานะที่เป็นเอกสารที่สร้างแรงดลใจ ที่อุทธรณ์ถึงสิ่งที่ลินคอล์น9เรียกว่า 'เทพที่ดีกว่าแห่งธรรมชาติของเรา' มากกว่าที่จะเป็นคำอธิบายที่ถูกต้องแน่นอนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของมนุษย์ หรือของชะตากรรมมนุษย์
หากเราถือเอาคำว่า 'ศาสนาคริสต์' เป็นชื่อของการอุทธรณ์แบบหนึ่งข้างต้น ยิ่งกว่าจะเป็นการอ้างเป็นความรู้แล้วละก็ คำดังกล่าวก็จะยังคงเป็นการเรียกชื่อพลังอันทรงอำนาจที่ดำเนินการไปเพื่อการปฏิบัติอันเหมาะสมของมนุษย์ และความเสมอภาคของมนุษย์ โดยการพิจารณาในแบบเดียวกัน. 'สังคมนิยม' ก็คือชื่อของพลังเดียวกัน อันเป็นชื่อที่แจ่มชัดและปรับปรุงให้ทันสมัยกว่านั่นเอง คำ 'สังคมนิยมที่เป็นคริสต์' (Christian Socialism) เป็นคำที่ยืดยาด กล่าวคือ ในปัจจุบันนี้คุณไม่อาจคาดหวังภราดรภาพดังเช่นที่คำสอนของพระเยซูสอนไว้โดยปราศจากการคาดหวังให้รัฐบาลประชาธิปไตยทำการกระจายทรัพย์สินและโอกาสทางสังคมขึ้นใหม่ในแบบที่ระบบตลาดไม่เคยทำ ไม่มีทางที่เราจะยึดถือคัมภีร์ไบเบิลใหม่อย่างเอาจริงเอาจังในฐานะที่เป็นข้อกำหนดทางศีลธรรม ยิ่งกว่าเป็นคำทำนายได้ หากปราศจากการเน้นความต้องการการกระจายทรัพยากรขึ้นใหม่อย่างเสมอภาคกันดังว่ามาอย่างเอาจริงเอาจัง
ผ่านกาลเวลามาดังเช่นหนังสือแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ หนังสือเล่มนี้ยังคงเป็นการประกาศอย่างน่าชื่นชมเกี่ยวกับบทเรียนที่เราได้เรียนรู้ จากการเฝ้ามองทุนนิยมอุตสาหกรรมที่ดำเนินการอยู่ กล่าวคือ การโค่นล้มรัฐบาลแบบอำนาจนิยม และการได้มาซึ่งระบอบประชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญนั้น ยังไม่เพียงพอที่จะให้หลักประกันความเสมอภาคของมนุษย์ หรือการปฏิบัติที่เหมาะสมของมนุษย์ ยังคงเป็นความจริงอยู่ดังเช่นที่เคยเป็นเมื่อปี 1848 ที่ว่าคนรวยจะพยายามที่จะรวยมากขึ้นโดยทำให้คนจนจนลงเสมอ ที่ว่าการทำให้แรงงานกลายเป็นสินค้าโดยบริบูรณ์ จะนำไปสู่การสร้างความยากไร้ให้กับพวกกินเงินเดือน และที่ว่า'ฝ่ายบริหารของรัฐสมัยใหม่ก็เป็นเพียงแค่คณะกรรมการเพื่อจัดการกิจการทั่วไปของพวกกระฎุมพีโดยรวมเท่านั้น'
เดี๋ยวนี้การแบ่งเป็นกระฎุมพี- กรรมาชีพอาจเป็นเรื่องล้าสมัยไปแล้ว เช่นเดียวกับการแบ่งเป็นพวกนอกรีต- ชาวคริสต์ ทว่าหากใครลองเอาคำว่า 'คนที่รวยที่สุด 20 เปอร์เซ็นต์' ไปใส่แทนคำว่า 'กระฎุมพี' เอา 'คนอื่นๆ ที่เหลืออีก 80 เปอร์เซ็นต์' ไปใส่แทน 'กรรมาชีพ' ข้อความส่วนใหญ่ในแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์จะยังคงส่งเสียงกังวานอยู่ (อย่างไรก็ตาม อย่างที่เป็นที่ยอมรับกัน มันกังวานอย่างแผ่วกว่าในรัฐสวัสดิการที่พัฒนาเต็มที่แล้วดังเช่นเยอรมนี และกังวานมากกว่าในอเมริกา อันเป็นสถานที่ซึ่งความละโมบยังคงได้เปรียบ และเป็นสถานที่ซึ่งรัฐสวัสดิการยังคงอยู่แค่ในขั้นต้น)
การกล่าวว่าประวัติศาสตร์เป็น 'ประวัติศาสตร์การต่อสู้ทางชนชั้น' ยังคงเป็นความจริง หากถูกตีความให้หมายความว่า ในทุก ๆ วัฒนธรรม ภายใต้ทุกรูปแบบการปกครอง และในทุกสถานการณ์ที่จินตนาการได้ (ยกตัวอย่างเช่น ในอังกฤษ เมื่อกษัตริย์เฮ็นรี่ที่ 8 สลายสำนักสงฆ์, ในอินโดนีเซีย เมื่อพวกดัตช์ถอนตัวกลับบ้านไป, ในจีน หลังเหมาเจ๋อตงตาย, ในอังกฤษและอเมริกาภายใต้แธ็ตเชอร์เป็นนายกรัฐมนตรี และรีแกนเป็นประธานาธิบดี) คนผู้ที่ได้เงินและอำนาจแล้วจะโกหก โกง และลักขโมย เพื่อที่จะสร้างความมั่นใจให้กับพวกเขาว่า พวกเขาและทายาทผู้สืบทอดจะยังคงผูกขาดทั้งเงินและอำนาจได้ตลอดไป
ตราบเท่าที่ประวัติศาสตร์ยังแสดงถึงภาพอันน่าตื่นตาตื่นใจทางศีลธรรม ประวัติศาสตร์ก็เป็นเรื่องของการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อหยุดยั้งการผูกขาดดังกล่าว การใช้หลักการของชาวคริสต์เพื่อโต้แย้งให้เลิกล้มการมีทาส (และใช้โต้แย้งกฎหมายของอเมริกาที่เทียบได้กับกฎหมายนูเรมเบอร์ก (Nuremberg Laws) 10 (*) ว่าเป็นกฎหมายแบ่งแยกชาติพันธุ์) แสดงถึงศาสนาคริสต์ในส่วนที่ดีที่สุด การใช้หลักการของมาร์กซิสต์เพื่อยกระดับจิตสำนึกของผู้ใช้แรงงาน เพื่อแสดงให้พวกเขาเห็นอย่างแจ่มชัดว่า พวกเขาถูกโกงอย่างไรนั้น แสดงถึงมาร์กซิสม์ในส่วนที่ดีที่สุด เมื่อทั้งสองลัทธิได้ร่วมมือกัน ดังที่พวกเขาได้กระทำในขบวนการ 'Social Gospel'(**) 11 ในเทววิทยาของพอล ติลลิช (Paul Tillich) (***)12 และวัลเตอร์ เราส์เชนบุสช์ (Walter Rauschenbusch) (****)13 และในสาส์นของสันตปาปาส่วนที่มีเนื้อหาเป็นสังคมนิยมอย่างที่สุด พวกเขาได้ทำให้การต่อสู้ดิ้นรนเพื่อความยุติธรรมทางสังคม ก้าวพ้นจากการโต้เถียงกันระหว่างเทวนิยมและอเทวนิยม การโต้เถียงกันดังกล่าวควรถูกก้าวข้ามไป กล่าวคือ เราควรอ่านคัมภีร์ไบเบิลใหม่ในฐานะที่สอนว่าเราควรปฏิบัติต่อกันและกันในเรื่องทางโลกอย่างไร ให้มากกว่าผลจากการถกเถียงในเรื่องเกี่ยวกับการมีอยู่หรือธรรมชาติของโลกหน้า
(*) The Nuremberg Laws (German: Nurnberger Gesetze) of 1935 were racist and antisemitic laws in Nazi Germany which were introduced at the annual Nazi Party rally in Nuremberg. They used a pseudoscientific basis to discriminate against Jews. The laws classified people as German if all four of their grandparents were of "German or kindred blood", while people were classified as Jews if they descended from three or four Jewish grandparents. A person with one or two Jewish grandparents was a Mischling, a crossbreed, of "mixed blood".
(**) The Social Gospel movement is a Protestant Christian intellectual movement that was most prominent in the late 19th century and early 20th century. The movement applied Christian ethics to social problems, especially poverty, inequality, liquor, crime, racial tensions, slums, bad hygiene, child labor, weak labor unions, poor schools, and the danger of war. Above all they opposed rampant individualism and called for a socially aware religion. Theologically, the Social Gospel leaders were overwhelmingly post-millennialist. That is because they believed the Second Coming could not happen until humankind rid itself of social evils by human effort. Social Gospel leaders were predominantly associated with the liberal wing of the Progressive Movement and most were theologically liberal. Important leaders include Richard T. Ely, Washington Gladden, and Walter Rauschenbusch.
After the Social Gospel movement was discredited around 1950, many of its ideas reappeared in the Civil Rights Movement of the 1960s. "Social Gospel" principles continue to inspire newer movements such as Christians Against Poverty.
(***) Paul Johannes Tillich (August 20, 1886 - October 22, 1965) was a German-American theologian and Christian existentialist philosopher. Tillich was, along with his contemporaries Rudolf Bultmann (Germany), Karl Barth (Switzerland), and Reinhold Niebuhr (United States), one of the four most influential Protestant theologians of the 20th century.
คำอธิบาย: ซ้าย-ภาพของ Walter Rauschenbusch / ขวา-ภาพของ Richard Rorty
(****)Walter Rauschenbusch (October 4, 1861 - July 25, 1918) was a Christian Theologian and Baptist Minister. He was a key figure in the Social Gospel movement in the USA.
Rauschenbusch's view of Christianity was that its purpose was to spread a Kingdom of God, not through a fire and brimstone style of preaching but by leading a Christlike life. Rauschenbusch did not view Jesus' death as an act of substitutionary atonement but in his words, he died "to substitute love for selfishness as the basis of human society." He wrote that "Christianity is in its nature revolutionary" and tried to remind society of that. He explained that the Kingdom of God "is not a matter of getting individuals to heaven, but of transforming the life on earth into the harmony of heaven."
In Rauschenbusch's early adulthood, mainline Protestant churches were largely allied with the social and political establishment, in effect supporting the domination by robber barons, income disparity, and the use of child labor. Most church leaders did not see a connection between these issues and their ministries, so did nothing to address the suffering. But Rauschenbusch saw it as his duty as a minister and student of Christ to act with love by trying to improve social conditions.
ขบวนการสหภาพแรงงาน ซึ่งมาร์กซ์และเองเกลส์คิดว่าเป็นเพียงแค่ทางผ่านไปสู่การก่อตั้งพรรคการเมืองที่ปฏิวัตินั้น ได้กลายเป็นการก่อตัวขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมของคุณธรรมแบบชาวคริสต์ในเรื่องการเสียสละตน และความรักมนุษย์เช่นพี่น้อง (fraternal agape) (*) อันสร้างแรงดลใจอย่างที่สุดในประวัติศาสตร์เท่าที่เคยมีบันทึกถึง กล่าวในทางศีลธรรมแล้ว การกำเนิดขึ้นของสหภาพแรงงานเป็นพัฒนาการที่ช่วยส่งเสริมมากที่สุดในยุคสมัยใหม่ เป็นสิ่งประจักษ์ถึงความเป็นวีรชนอันไร้ความเห็นแก่ตัวมากที่สุดและบริสุทธิ์ที่สุด แม้ว่าสหภาพจำนวนมากได้กลายเป็นพวกฉ้อฉล และอีกจำนวนมากเหลือแค่โครง ความสูงส่งทางศีลธรรมแห่งหอคอยของชาวสหภาพแรงงานก็ยังอยู่เหนือกว่าของศาสนจักรและบรรษัท รัฐบาล และมหาวิทยาลัย เพราะว่าสหภาพแรงงานได้รับการก่อตั้งโดยบุรุษและสตรี ผู้ซึ่งมีเรื่องราวและสิ่งต่างๆ มากมายให้ต้องสูญเสียไป กล่าวคือ พวกเขาเสี่ยงที่จะสูญเสียโอกาสทางการงานไปด้วยกัน โอกาสที่จะหาอาหารกลับไปบ้านให้ครอบครัวของพวกเขา พวกเขายอมเสี่ยงดังกล่าวเพื่ออนาคตที่ดีกว่าของมนุษย์ พวกเราต่างติดค้างหนี้บุญคุณต่อพวกเขา องค์กรที่พวกเขาก่อตั้งขึ้นมามีความศักดิ์สิทธิ์ โดยการเสียสละตนของพวกเขา
(*) Agape is one of several Greek words translated into English as love. The word has been used in different ways by a variety of contemporary and ancient sources, including Biblical authors. Many have thought that this word represents divine, unconditional, self-sacrificing, active, volitional, and thoughtful love.
แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ให้แรงดลใจผู้ก่อตั้งของสหภาพแรงงานใหญ่ๆ จำนวนมากที่สุดในยุคสมัยใหม่ โดยการอ้างอิงถ้อยคำจากหนังสือเล่มนี้ ผู้ก่อตั้งสหภาพสามารถชักนำคนนับล้านออกไปประท้วงต่อต้านสภาพการณ์ที่เลวร้าย และค่าจ้างที่ไม่พอยาไส้ ถ้อยคำเหล่านี้ค้ำจุนศรัทธาของผู้ประท้วงว่าการเสียสละตน กล่าวคือ ความมุ่งมั่นของพวกเขาที่จะเห็นลูกหลานของพวกเขาเคลื่อนไหวโดยปราศจากอาหารที่เพียงพอ แทนที่จะยอมให้กับความต้องการของเจ้าของทุน ที่ต้องการการได้กลับคืนที่มากขึ้นเพื่อใช้ในการลงทุน การเสียสละดังกล่าวนี้จักไม่สูญเปล่า เอกสารที่ได้ให้ความสำเร็จมากมายเช่นนี้จะยังคงตกทอดเป็นส่วนหนึ่งของทรัพย์สมบัติที่เป็นมรดกทางสติปัญญาและจิตวิญญาณของเราต่อไป เพราะว่าแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์อธิบายในสิ่งที่ผู้ใช้แรงงานค่อยๆ ตระหนักรู้ต่อมา กล่าวคือ ที่ว่า 'แทนที่จะพุ่งทะยานไปกับความก้าวหน้าของอุตสาหกรรม' ผู้ใช้แรงงานกลับเผชิญอันตรายจาก 'การจมลึกลง ลึกลงไป ต่ำกว่าสภาพการณ์ของการดำรงชีวิตของชนชั้นของพวกเขาเอง' อันตรายดังกล่าวนี้ถูกหลีกเลี่ยงอย่างน้อยเป็นการชั่วคราวในยุโรปและอเมริกาเหนือ โดยต้องขอบคุณต่อความกล้าหาญของเหล่าผู้ใช้แรงงานผู้ซึ่งได้อ่านแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ และโดยผลจากการอ่านดังกล่าวพวกเขาได้รับการกระตุ้นให้มีความกล้าที่จะเรียกร้องการมีส่วนแบ่งในอำนาจของพวกเขา หากพวกเขาเอาแต่รอความการุณแบบชาวคริสต์ และการทำทานของพวกที่เหนือกว่า ลูกหลานของพวกเขาก็จะยังคงไร้การศึกษา และถูกเลี้ยงดูอย่างเลวร้าย
ถ้อยคำจากไบเบิลใหม่และจากแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์อาจให้ความกล้าหาญและแรงดลใจในปริมาณที่เท่ากัน แต่มีหลายประเด็นที่แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์เป็นหนังสือที่ดีกว่าไบเบิลใหม่ ที่จะให้ลูกหลานของเราได้อ่าน เพราะหนังสือเล่มหลังมีช่องโหว่ทางศีลธรรมโดยการเน้นที่โลกอื่น ด้วยการเสนอว่าเราสามารถแยกคำถามเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเราแต่ละคนกับพระเจ้า -กล่าวคือ โอกาสของเราแต่ละคนในการรอดพ้นทางวิญญาณ- ออกจากการมีส่วนร่วมของเราในความพยายามร่วมแรงกันที่จะหยุดยั้งความทุกข์ยากอันไม่เป็นที่ต้องการ หลายตอนในไบเบิลใหม่ให้การชี้แนะต่อพวกนายทาสว่า พวกเขาสามารถคงสิทธิในการเฆี่ยนทาสของพวกเขา และต่อคนรวยว่าพวกเขาสามารถคงสิทธิในการให้คนจนอดตาย เพราะว่าอย่างไรก็ตาม พวกเขากำลังจะได้ไปสวรรค์ บาปของพวกเขาจะได้รับการให้อภัยโดยเป็นผลจากการยอมรับพระคริสต์ในฐานะพระเจ้า
ไบเบิลใหม่ อันเป็นเอกสารของโลกโบราณ ยอมรับความเชื่อสำคัญความเชื่อหนึ่งของนักปรัชญากรีก พวกที่แนะนำว่าการมุ่งหมายสู่ความจริงสากลนั้น เป็นชีวิตอุดมคติของมนุษย์ ความเชื่อเช่นนี้มีฐานอยู่บนการยอมรับเบื้องต้นว่า สภาพการณ์ทางสังคมของชีวิตมนุษย์จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงในระดับที่สำคัญใดๆ กล่าวคือ เราจะมีคนจนอยู่ร่วมกับเราเสมอ และบางทีทาสก็เช่นกัน ความเชื่อเช่นนี้ชี้นำผู้เขียนไบเบิลใหม่ให้หันเหความสนใจของพวกเขา จากความเป็นไปได้ของอนาคตมนุษย์ที่ดีขึ้น ไปสู่ความคาดหวังอันเลื่อนลอยเมื่อเราตาย โลกอุดมคติเดียวที่ผู้เขียนเหล่านี้สามารถจินตนาการถึงก็คือ การอยู่ในโลกหน้าด้วยกัน
เราคนสมัยใหม่มีความเหนือกว่าคนโบราณทั้งที่เป็นพวกนอกรีตหรือชาวคริสต์ ในแง่ของความสามารถที่จะจินตนาการถึงสังคมอุดมคติที่อยู่บนพื้นพิภพ ศตวรรษที่สิบแปดและสิบเก้าเป็นประจักษ์, ในยุโรปและอเมริกา, ถึงการเปลี่ยนย้ายตำแหน่งของความหวังมนุษย์ครั้งใหญ่ กล่าวคือ การเปลี่ยนย้ายจากนิรันดรภาพไปสู่เวลาในอนาคต จากการคาดการณ์เกี่ยวกับว่าจะทำอย่างไรจึงจะชนะใจพระเจ้า ไปสู่การวางแผนเพื่อความสุขของชนรุ่นถัดไป นัยดังกล่าวที่ว่าอนาคตของมนุษย์สามารถทำให้แตกต่างจากอดีตของมนุษย์ โดยไม่อาศัยการช่วยเหลือจากพลังที่ไม่ใช่มนุษย์นั้น ได้รับการแสดงออกไว้อย่างสง่างามในแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์
แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด หากเราสามารถค้นพบเอกสารใหม่ที่ให้แรงดลใจและความหวังกับลูกหลานของเราได้ เอกสารซึ่งปลอดจากข้อบกพร่องของไบเบิลใหม่ เช่นเดียวกับของแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ เป็นเรื่องดีที่จะมีเอกสารที่ปรับปรุงขึ้น เอกสารซึ่งขาดลักษณะการหยั่งเห็นการณ์ล่วงหน้าอย่างที่เอกสารทั้งสองเล่มมี กล่าวคือ เป็นเอกสารที่ไม่เสนอว่าทุกๆ สิ่งต้องถูกสร้างขึ้นใหม่ หรือที่ว่าความยุติธรรม 'สามารถจะบรรลุได้ก็แต่โดยการโค่นล้มสภาวะทางสังคมที่ดำรงอยู่ทั้งปวงโดยการใช้กำลัง' เป็นเรื่องดีที่จะมีเอกสารที่อธิบายถึงรายละเอียดของสังคมอุดมคติที่อยู่ในโลกนี้ โดยปราศจากการให้หลักประกันกับเราว่า สังคมอุดมคติดังกล่าวจักบังเกิดขึ้นอย่างเต็มที่และอย่างรวดเร็วทันทีที่การเปลี่ยนแปลงฉับพลันคราวเดียวได้เกิดขึ้น กล่าวคือ ทันทีที่ทรัพย์สินส่วนบุคคลถูกสลาย หรือทันทีที่เราได้ยอมรับพระเยซูเข้าสู่หัวใจของเราอย่างเต็มเปี่ยม
กล่าวโดยสั้นๆ เป็นการดีที่สุด
หากเราสามารถดำเนินไปโดยปราศจากการทำนายและการอ้างความรู้ในเรื่องพลังที่กำหนดประวัติศาสตร์
กล่าวคือ หากความหวังอันการุณจักสามารถค้ำจุนตัวเองโดยปราศจากการทำให้มั่นใจ
บางทีสักวันหนึ่งเราจะมีหนังสือเล่มใหม่ให้กับลูกหลานของเรา หนังสือเล่มที่ละเว้นการทำนาย
แต่ก็ยังคงแสดงออกถึงการหวนหาภราดรภาพดังเดิมดังที่ไบเบิลใหม่ได้แสดงไว้ และได้รับการเพิ่มเติมด้วยคำบรรยายอันแหลมคมถึงรูปแบบล่าสุดของความไร้มนุษยธรรมที่มีต่อกันและกัน
ดังเช่นที่แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ได้บรรยายไว้ แต่ในระหว่างนี้ เราควรขอบคุณหนังสือทั้งสองเล่มดังกล่าวที่ได้ช่วยทำให้เราดีขึ้น
กล่าวคือ ช่วยให้เราเอาชัยชนะได้ในระดับหนึ่งต่อความเห็นแก่ตัวอันโหดร้ายของเรา
และความซาดิสม์ที่ถูกเพาะบ่มไว้ของเรา
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
บทเพิ่มเติม
เมื่อบทความแปลนี้ได้ตีพิมพ์ในวารสารอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
ผู้แปลในฐานะบรรณาธิการวารสาร
ได้เขียนบทบรรณาธิการแนะนำบทความแปลนี้ไว้ดังนี้
"ผู้ที่คุ้นเคยกับวงการปรัชญาโลกอย่างแท้จริง ย่อมตระหนักถึงความสำคัญของความคิดที่ผ่านข้อเขียนของริชาร์ด รอร์ตี นักปรัชญาร่วมสมัยผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง สำหรับบทความซึ่งแปลโดยบุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์ชิ้นนี้ รอร์ตีได้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของหนังสือแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ (The Communist Manifesto) ว่า แม้จะเป็นหนังสือที่ให้คำทำนายที่ล้มเหลว กล่าวคือ ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ว่าจะเกิดการปฏิวัติของชนชั้นผู้ใช้แรงงานที่ลุกฮือขึ้นมาโค่นล้มระบบทุนนิยม และเปลี่ยนแปลงระบบสังคมไปสู่ระบบคอมมิวนิสต์ในท้ายที่สุด แต่หนังสือเล่มนี้ก็ยังเป็นมรดกโลกอันทรงคุณค่ายิ่งเช่นเดียวกับคัมภีร์ไบเบิลใหม่ ที่ควรให้ลูกหลานของเราได้อ่าน เพราะเป็นหนังสือที่สร้างแรงดลใจสำคัญ ทำให้เราเกิดความหวังอันประเสริฐ ในการที่จะรักเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และต่อสู้เพื่อให้เกิดความเสมอภาคและความยุติธรรมทางสังคม หนังสือแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ ยังเหนือกว่าคัมภีร์ไบเบิลใหม่ เพราะให้ความสำคัญกับการสร้างโลกอุดมคติที่อยู่ในโลกนี้ โลกที่เพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้รับความห่วงใยใส่ใจอย่างเช่นที่เรามีต่อญาติมิตรของเรา แทนที่จะไปคาดหวังเลื่อนลอยกับชีวิตที่ดีกว่าในโลกหน้า (เมื่อพระเจ้ามารับเราไปอยู่ด้วยในสรวงสวรรค์ ณ วันตัดสิน)
บทความนี้จัดได้ว่าเป็นตัวอย่างของการวิพากษ์กระแสมาร์กซิสม์จากกระแสความคิดแบบหลังสมัยใหม่ (Postmodernism) ที่มักถูกเข้าใจผิดจากผู้ที่ไม่ได้อ่านงานเหล่านี้อย่างเอาจริงเอาจังว่า ไม่มีข้อเสนอทางสังคมเพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม รวมทั้งการนำเสนอโครงการทางสังคมเพื่อต่อสู้กับระบบที่ดำรงอยู่ ยิ่งกว่านั้น บทความนี้ได้ชี้ให้เห็นอย่างแจ่มชัดถึงอิทธิพลและความสำคัญของความคิดของมาร์กซ์ว่า ยังคงมีความหมายต่อเรามากเพียงไรในโลกยุคปัจจุบัน อันเราไม่ควรละเลยหรือไม่ใส่ใจ"
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
บทความวิชาการนี้ สามารถ download ได้ในรูป word
++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา 3 I สารบัญเนื้อหา
4
I สารบัญเนื้อหา
5 I สารบัญเนื้อหา
6
สารบัญเนื้อหา
7 I สารบัญเนื้อหา
8
ประวัติ
ม.เที่ยงคืน
สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง
e-mail
: midnightuniv(at)gmail.com
หากประสบปัญหาการส่ง
e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
[email protected]
ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ทั้งหมด
กว่า 1700 เรื่อง หนากว่า 35000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)gmail.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com
สมเกียรติ
ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็บไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ
ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com