1
2
3
4
5
6
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
41
42
43
44
45
46
47
48
49
50
51
52
53
54
55
56
57
58
59
60
61
62
63
64
65
66
67
68
69
70
71
72
73
74
75
76
77
78
79
80
81
82
83
84
85
86
87
88
89
90
รัฐธรรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
๒๔๗๕
ชีวประวัติการอภิวัตน์กับระบอบรัฐธรรมนูญสยาม
๒๔๗๕ (ตอนที่ ๒)
ดร.บัณฑิต
จันทร์โรจนกิจ : ผู้วิจัย
คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
บทความวิชาการนี้
สามารถ download ได้ในรูป word
งานวิจัยขนาดยาวชิ้นนี้(ความยาวประมาณ
๒๖๒ หน้า) ได้รับมาจากผู้วิจัย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ
งานวิจัยเรื่อง"ชีวประวัติธรรมนูญการปกครอง และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
๒๔๗๕ - ๒๕๒๐"
เอกสารหมายเลข ๖๐๗ พฤษภาคม ๒๕๕๐ โครงการเมธิวิจัยอาวุโส สกว. สำหนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย
ใน"โครงการวิจัยเศรษฐศาสตร์รัฐธรรมนูญ" ผู้อำนวยการโครงการ ศาสตราจารย์
รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์
คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ในส่วนของหน้าเว็บเพจนี้
เป็นเพียงส่วนหนึ่งของงานวิจัยข้างต้น เฉพาะในส่วนดังต่อไปนี้
- 1. แนวคิดรัฐธรรมนูญก่อนการอภิวัตน์ 2475
- 2. กำเนิดรัฐธรรมนูญสยาม
- 3. พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475
- 4. รัฐธรรมนูญและธรรมนูญการปกครองแผ่นดินแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2475-2520
และ
บทที่ ๑ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2475
- 1.1 ความเบื้องต้น : การอภิวัตน์กับระบอบรัฐธรรมนูญสยาม
- 1.2 สาระสำคัญของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475
- 1.3 วิวาทะระหว่างการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ
- 1.4 ความขัดแย้งเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ
- 1.5 การแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ.2475
และมีหัวข้อที่น่าสนใจดังต่อไปนี้... พระราชอำนาจ, ปัญหาการสืบราชสมบัติ,
พระบรมวงศานุวงศ์ ตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไปให้อยู่เหนือการเมือง,
การงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา กับรัฐประหาร ๒๔๗๖, กบฏบวรเดช: คณะกู้บ้านเมือง,
กรณีพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัต, เป็นต้น
midnightuniv(at)gmail.com
บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา
ข้อความที่ปรากฏบนเว็บเพจนี้ ได้รักษาเนื้อความตามต้นฉบับเดิมมากที่สุด
เพื่อนำเสนอเนื้อหาตามที่ผู้เขียนต้องการสื่อ กองบรรณาธิการเพียงตรวจสอบตัวสะกด
และปรับปรุงบางส่วนเพื่อความเหมาะสมสำหรับการเผยแพร่ รวมทั้งได้เว้นวรรค
ย่อหน้าใหม่ และจัดทำหัวข้อเพิ่มเติมสำหรับการค้นคว้าทางวิชาการ
บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ลำดับที่ ๑๕๙๑
เผยแพร่บนเว็บไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่
๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๑
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ
๑๕.๕ หน้ากระดาษ A4)
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
รัฐธรรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
๒๔๗๕
ชีวประวัติการอภิวัตน์กับระบอบรัฐธรรมนูญสยาม
๒๔๗๕ (ตอนที่ ๒)
ดร.บัณฑิต
จันทร์โรจนกิจ : ผู้วิจัย
คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
บทความวิชาการนี้
สามารถ download ได้ในรูป word
1.3 วิวาทะระหว่างการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ
ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ได้มีข้อถกเถียงประเด็นสำคัญใน 5 ประเด็น ดังต่อไปนี้คือ
1. พระราชอำนาจ ตามความในมาตรา 6 "พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติ โดย คำแนะนำและยินยอมของสภาผู้แทนราษฎร", มาตรา 7 "พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจบริหารทางคณะรัฐมนตรี" และ มาตรา 8 "พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจตุลาการทางศาลที่ได้ตั้งขึ้นตามกฎหมาย"
มีข้อถกเถียงเกี่ยวกับการใช้ถ้อยคำซึ่งในร่างรัฐธรรมนูญฯ ใช้คำว่า พระราชอำนาจบริหาร พระราชอำนาจนิติบัญญัติ และพระราชอำนาจตุลาการ ประธานอนุกรรมการฯ เสนอให้ตัดคำว่า"พระราช" ออก โดยให้เหตุผลว่า อำนาจนี้ไม่ใช่ของกษัตริย์ แต่เป็นอำนาจที่มาจากประชาชนชาวสยาม ในขณะที่สมาชิกบางส่วนเห็นว่า ควรคงไว้เพื่อรักษาความสุภาพอ่อนโยน (sentiment) แต่เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีอธิบายว่า อาจขัดกับความเป็นจริง (fact) ได้ ถ้าเช่นนั้นควรจะรักษาความเป็นจริงไว้ดีกว่า
ประธานอนุกรรมการฯกล่าวเพิ่มเติมว่า ในระบอบรัฐธรรมนูญ (constitutionalism) พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจในทางบริหารต่างจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์(absolutism) ที่การบริหารใดๆ เป็นพระราชอำนาจ ดังนั้น การใช้อำนาจของพระมหากษัตริย์จึงต้อง มีกรรมการราษฎร (ที่ต่อมาสภา ฯ มีมติให้เรียกว่ารัฐมนตรี) เป็นผู้ลงนามสนอง พระบรมราชโองการ โดยเฉพาะมาตรา 7 ซึ่งหลวงประดิษฐมนูธรรมกล่าวว่า เป็นบทบัญญัติที่จำกัดพระราชอำนาจบริหารของกษัตริย์ หากความสุภาพนุ่มนวลไม่ขัดกับ ความเป็นจริงก็จะรักษาภาษาสำนวน เพราะ 'ไม่ต้องการให้ชอกช้ำ' ไว้ก็ได้. ในที่สุดที่ประชุมเห็นชอบให้ตัดคำว่า "พระราช" ออก (รงส. 35/247525 พฤศจิกายน 2475)
2. ปัญหาการสืบราชสมบัติ และการกำหนดว่า พระมหากษัตริย์จะต้องทรงปฏิญาณว่า จะรักษาและปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 9 ระบุว่า "การสืบราชสมบัติท่านว่าให้เป็นไปโดยนัยแห่งกฎมณเฑียรบาล ว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ. 2467 และประกอบด้วยความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร" มาตรานี้มีนัยว่า แม้จะมีข้อกำหนดในกฎมณเฑียรบาลเป็นลำดับ แต่พระมหากษัตริย์อาจทรงเลือกรัชทายาทโดย ไม่ต้องคำนึงถึงกฎมณเฑียรบาลก็ได้ ดังนั้น เพื่อมิให้ได้คนที่ไม่สมควรเป็นพระเจ้าแผ่นดิน จึงต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งประธานอนุกรรมการฯ แถลงว่า ตรงกับประเพณีการสืบราชสมบัติของสยามที่ว่า"พระมหากษัตริย์ทรงเสด็จเถลิงถวัลย์สมบัติด้วยประชาชนอัญเชิญเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ" ตามหลักอเนกนิกรสโมสรสมมติ (รงส. 36/2475 25 พฤศจิกายน 2475)
นายหงวน ทองประเสริฐ ถามว่า พระมหากษัตริย์ต้องทรงปฏิญาณว่าจะรักษาและปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่ ประธานอนุกรรมการฯ ตอบว่า ต้องทรงปฏิญาณ และตามประเพณีราชาภิเษกก็มีการปฏิญาณอยู่แล้ว. นายหงวน ทองประเสริฐ และนายจรูญ สืบแสง ต้องการให้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยให้เหตุผลว่า พระมหากษัตริย์องค์ต่อๆ ไปอาจไม่ปฏิญาณ ขณะที่หลวงประดิษฐ์มนูธรรมอธิบายว่า การที่ไม่บัญญัติหรือเขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ไม่ได้เป็นการยกเว้นว่ากษัตริย์ไม่ต้องปฏิญาณ เพราะถือเป็นพระราชประเพณีเวลาขึ้นครองราชสมบัติ และขอให้จดบันทึกไว้ในรายงานการประชุม
ประธานอนุกรรมการกล่าวเพิ่มเติมว่า ได้เคยเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงมีรับสั่งว่า พระองค์ได้ทรงปฏิญาณเวลาเสวยราชสมบัติ และเวลารับเป็นรัชทายาทก็ต้องปฏิญาณก่อน ดังนั้นจึงถือเป็นพระราชประเพณี. แต่นายจรูญยืนยันให้บัญญัติในรัฐธรรมนูญ ประธานสภาฯ จึงขอให้ลงมติ ที่ประชุมฯยืนยันให้คงตามร่างเดิม 48 คะแนน ยืนยันให้เติม 7 คะแนน
3. พระบรมวงศานุวงศ์ ตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไปให้อยู่เหนือการเมือง การกำหนดบทบาทของพระบรมวงศานุวงศ์ ตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไปให้อยู่เหนือการเมือง และบทบาทของผู้ที่มีบรรดาศักดิ์กับการเมือง "มาตรา 11 พระบรมวงศานุวงศ์ตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไป โดยกำเนิดหรือโดยแต่งตั้งก็ตาม ย่อมดำรงอยู่ในฐานะเหนือการเมือง"
ประธานอนุกรรมการ กราบบังคมทูลถาม เรียนพระราชปฏิบัติต่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงมีลายพระหัตถ์พระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยว่าทรงเห็นด้วย ดังมีพระราชหัตถเลขาความว่า"ในหลักการพระบรมวงศานุวงศ์ย่อมดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพ เหนือความที่จะพึงถูกติเตียน ไม่ควรแก่ตำแหน่งการเมืองซึ่งเป็นงานที่นำมาทั้งในทางพระเดช และพระคุณ" (พระราชหัตถเลขาถึงพระยามโนปกรณ์นิติธาดา วันที่ 14 พฤศจิกายน 2475)
โดยเฉพาะในเวลาการรณรงค์หาเสียงจะมีการโจมตีซึ่งกันและกัน พระยามโนปกรณ์นิติธาดาจึงทูลเสนอว่า ให้พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไปดำรงอยู่เหนือการเมือง. พระยาอุดมพงศ์เพ็ญสวัสดิ์กล่าวในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรว่า ไม่เห็นด้วย เพราะเป็นการตัดสิทธิเจ้าซึ่งเป็นคนไทยด้วยกัน ดูจะไม่เหมาะ, ขณะที่นายมังกร สามเสน เสนอว่าหม่อมเจ้าบางพระองค์มีความรู้เรื่องการเมือง หากจะทรงสละฐานันดรศักดิ์มาเป็นสามัญชน ก็ควรจะให้เข้าวงการเมืองได้เช่นเดียวกับกรณีหม่อมเจ้าหญิงทรงสละสิทธิเดิมเพื่อสมรสกับสามัญชน
แต่พระยามานวราชเสวี และนายดิเรก ชัยนาม เห็นพ้องกันว่า การเป็นเจ้าเป็นฐานะตามกำเนิด แม้หม่อมเจ้าหญิงจะสละฐานันดรศักดิ์มาสมรสกับสามัญชน ก็ยังคงนับถือว่าเป็นเจ้า. นายสงวน ตุลารักษ์ กล่าวสนับสนุนว่า การเข้ามาในวงการเมืองโดยเฉพาะการรณรงค์หาเสียง จะมีการเสียดสีจะทำให้เสื่อมเสียเกียรติยศของเจ้านาย เช่นเดียวกับพระยาศรีวิสารวาจาอธิบายเพิ่มเติมว่า การให้เจ้าอยู่เหนือการเมือง หมายถึงตำแหน่งที่เกี่ยวกับการเมืองดังเช่นเสนาบดีและผู้แทนราษฎร จุดประสงค์สำคัญก็คือในระบบการปกครองแบบราชาธิปไตยอำนาจจำกัดนั้นได้จัดวางให้พระมหากษัตริย์ เป็นที่เคารพสักการะและอยู่เหนือการเมือง ดังนั้น พระบรมวงศานุวงศ์ก็อยู่ในฐานะเช่นเดียวกัน และเพื่อมิให้มีการกล่าวโจมตีพระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งรวมถึงพระมหากษัตริย์ จึงถือว่าเจ้านายอยู่เหนือการเมือง
นอกจากนี้ ม.จ. วรรณไวทยากร วรวรรณ ได้ตีพิมพ์ "คำอภิปรายร่างรัฐธรรมนูญ" เผยแพร่ก่อนสภาฯ จะได้พิจารณา ทรงแสดงความเห็นอย่างแข็งขันว่า ความในมาตรา 11 เป็นการตัดสิทธิการเมืองของเจ้า รวมถึงสิทธิเลือกตั้งจึงผิดหลักประชาธิปไตย และหลักสิทธิรัฐธรรมนูญ (ดู"อภิปรายร่างรัฐธรรมนูญ" ใน สิริ เปรมจิตต์ 2511: 35-44)
สำหรับประเด็นเรื่องการกำหนดบทบาทของผู้ที่มีบรรดาศักดิ์กับการเมืองนั้น นายซิม วีระไวทยะ เสนอญัตติต่อประธานสภาว่า "บุคคลทุกคนซึ่งมีบรรดาศักดิ์ไม่ว่าชั้นใด โดยแต่งตั้งหรือประการใดก็ตาม ย่อมอยู่เหนือการเมืองทั้งสิ้น แต่ชอบที่จะเวนคืนบรรดาศักดิ์เพื่อเข้าสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกผู้แทนราษฎรได้" โดยให้เติมท้ายมาตรา 11 และให้เหตุผลว่า บุคคลย่อมเสมอภาคตามกฎหมาย บรรดาศักดิ์ที่ได้รับแต่งตั้งไม่ก่อให้เกิดเอกสิทธิ์ใดๆ จึงไม่ควรอนุญาตให้ผู้มีบรรดาศักดิ์เกี่ยวข้องกับการเมือง อีกทั้งเราไม่มีสภาขุนนาง จึงควรกำหนดให้อยู่ในฐานะเช่นเดียวกับเจ้า เว้นแต่จะสละบรรดาศักดิ์นั้นเสีย เพื่อมิให้ถูกดูหมิ่นระหว่างการรณรงค์หาเสียง
ผู้สนับสนุนมาตรการนี้อีกคนหนึ่งคือ นายจรูญ สืบแสง กล่าวว่า เรื่องบรรดาศักดิ์ได้พูดกันตั้งแต่ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองว่าบรรดาศักดิ์ เป็นลัทธิประเพณีหนึ่งที่แบ่งชั้นบุคคล ทำให้แตกความสามัคคีและผู้มีบรรดาศักดิ์มีสิทธิพิเศษกว่าคนสามัญ ดังนั้น จึงควรทำให้เกิดความเสมอภาค โดยทำให้เห็นว่าบรรดาศักดิ์เป็นของไม่มีค่า เช่นเดียวกับนายหงวน ทองประเสริฐ ที่เห็นว่า เมื่อยกเจ้าให้อยู่เหนือการเมือง ก็ควรยกให้ผู้มีบรรดาศักดิ์อยู่เหนือการเมือง ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งมีความเห็นว่าการมีบรรดาศักดิ์เป็นประเพณีแต่โบราณ การได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นเครื่องหมายว่า ได้รับราชการมาเป็นลำดับการจะเวนคืนบรรดาศักดิ์ดูจะเป็นการจองหอง นอกจากนี้ การได้รับเกียรติยศและบรรดาศักดิ์ไม่กีดขวางความเสมอภาคแต่อย่างใด ผู้ที่แสดงความเห็นในฝ่ายนี้ ได้แก่ พระยาพหลพลพยุหเสนา พระยาวิชัยราชสุมนตร์ และพระยาราชวังสัน
หลวงประดิษฐ์มนูธรรมได้ไกล่เกลี่ยว่า เคยเสนอต่อประธานคณะกรรมการราษฎร แต่ได้รับความเห็นว่าไม่ควรทำ เพราะจะกระทบกระเทือนพระมหากษัตริย์ การขอเวนคืนบรรดาศักดิ์ควรใช้วิธีทางอ้อมโดยการไม่ตั้งบรรดาศักดิ์ใหม่ และส่งเสริมให้เห็นว่า บรรดาศักดิ์ไม่สร้างความแตกต่างจากคนสามัญ ให้ถือว่าเป็นคำนำหน้าชื่อชนิดหนึ่ง ส่วนวัตถุประสงค์ที่ต้องการให้คนเสมอภาคกัน จึงได้กำหนดให้มีมาตรา 12 ว่า ฐานันดรศักดิ์ใดๆ ไม่ทำให้เกิดเอกสิทธิ์ใดๆ เลย
ที่ประชุมมีความพยายามไกล่เกลี่ยกันในประเด็นนี้ โดยเฉพาะ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา พระยาวิชัยสุมนตร์ และเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี ได้ขอร้องไม่ให้ลงมติเพราะต่างยอมรับแล้วว่าฐานันดรศักดิ์ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้คนไม่เสมอภาค หากเป็นการเคารพซึ่งกันและกันก็เพราะวัยวุฒิหรือคุณวุฒิ ไม่ใช่เพราะฐานันดร จึงขอให้ถอนญัตติเสีย ซึ่งนายซิม และหลวงนฤเบศร์มานิต ก็ยอมถอนญัตติ. กล่าวโดยสรุปคือ ที่ประชุมยอมรับข้อความในมาตรา 11 ส่วนญัตติของนายซิมนั้น ไม่มีการลงมติ โดยนายซิมขอถอนญัตติจากการพิจารณา (ดู รงส. 36/2475 วันที่ 25 พฤศจิกายน 2475)
4. สมัยประชุมของสภาผู้แทนราษฎรสมัยสามัญและสมัยวิสามัญ การกำหนดสมัยประชุมของสภาผู้แทนราษฎรสมัยสามัญและสมัยวิสามัญ กับการเปิดปิดการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ตามร่างรัฐธรรมนูญของคณะอนุกรรมการ มาตรา 29 (ซึ่งในฉบับถาวร คือมาตรา 28) กำหนดให้มีการประชุมสมัยสามัญปีละหนึ่งสมัย และตามมาตรา 30 ระบุว่า สมัยการประชุมมีระยะเวลา 90 วัน แต่พระมหากษัตริย์อาจทรงขยายเวลาต่อไปก็ได้
ในที่ประชุมเห็นว่า การประชุมปีละหนึ่งสมัยนั้นน้อยไป และระยะเวลา 90 วัน ควรจะเพิ่มเป็น 120 วัน ถึง 180 วัน บางท่านเสนอให้มีการประชุมสมัยสามัญมากกว่าหนึ่งสมัย. หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์เสนอประเด็นอำนาจการเรียกประชุมสมัยวิสามัญว่า ในการเรียกประชุม แม้จะเป็นอำนาจของพระมหากษัตริย์ แต่จะต้องมีคณะกรรมการราษฎร ลงนามรับพระบรมราชโองการ ถ้ากรรมการราษฎรไม่ลงนามก็จะเปิดประชุมไม่ได้. ขณะที่หลวงประดิษฐมนูธรรมเห็นว่า ข้อเสนอเรื่องการกำหนดสมัยประชุมสมัยสามัญอาจแก้ให้มีหลายสมัย แล้วแต่สภาจะกำหนด เป็นการยืดหยุ่นตามภาระงานของสภาฯ ส่วนการขยายเวลาประชุมตามวิธีการต้องให้กรรมการราษฎร ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ แต่ทั้งสภาฯ และคณะกรรมการราษฎร อาจขอเสนอให้ขยายเวลาได้เช่นเดียวกัน แล้วแต่ฝ่ายใดจะเห็นสมควร
ที่ประชุมขอให้สภาฯ พักการพิจารณาเพื่อให้อนุกรรมการและผู้ที่ประสงค์จะแก้ไขได้ปรึกษากัน และมีข้อสรุปว่า ในปีหนึ่งอาจมีการประชุมสมัยสามัญหนึ่งสมัยหรือหลายสมัย แล้วแต่สภาฯ จะกำหนด ส่วนวันเริ่มสมัยประชุมสามัญเป็นอำนาจของสภาฯ สำหรับการเรียกประชุมสมัยวิสามัญนั้นให้อำนาจประธานสภาฯ เป็นผู้กราบบังคมทูลให้ทรงสั่งเปิดประชุมได้ แต่มีปัญหาที่ถกเถียงกันว่าฝ่ายบริหารอาจไม่ยอมลงนามสนองพระบรมราชโองการ มีผลให้ไม่สามารถเปิดประชุมได้ จึงกำหนดเพิ่มเติมว่าประธานสภาเป็นผู้นำความกราบบังคมทูล และรับสนองพระบรมราชโองการ (ดูมาตรา 28-29-30-31 และ 32)
5. กรรมการราษฎร คณะกรรมการราษฎร และประธานคณะกรรมการราษฎร ปัญหาเรื่องการใช้คำ กรรมการราษฎร, คณะกรรมการราษฎร, และประธานคณะกรรมการราษฎร, แม้ปัญหาในการถกเถียงส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องแนวทางการปฏิบัติในทางกฎหมาย แต่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรก็ให้ความสำคัญกับการเลือกถ้อยคำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงรับสั่งมาว่าไม่ไพเราะ และไม่ค่อยถูกต้องตามแบบราชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ (คำแถลงประธานอนุกรรมการร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม ใน รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร 34/2475, 24 พฤศจิกายน 2475)
นับแต่การประชุมเพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญครั้งแรก หลวงประดิษฐ์มนูธรรม เสนอให้พิจารณาในหลักการเสียก่อนจึงค่อยกลับมาพิจารณาเลือกถ้อยคำ โดยขอให้นำไปพิจารณาในหมวด 4 คณะกรรมการราษฎร ที่ประชุมมีการลงมติด้วยคะแนนเสียง 26 คะแนนเท่ากัน จนประธานสภาฯ ต้องเป็นผู้ชี้ขาดว่า ให้รอจนถึงบทที่เกี่ยวข้องจึงค่อยนำกลับมาพิจารณาอีกครั้ง (รงส. 35/2475, 25 พฤศจิกายน 2475)
ในการพิจารณาหมวดคณะกรรมการราษฎร
มีผู้เสนอญัตติให้ใช้คำเรียกแทน "กรรมการราษฎร" หลายคำ เช่น รัฐมนตรี
(ผู้เสนอคือ พระยาพหลพลพยุหเสนา, นายประยูร ภมรมนตรี, หลวงเดชสหกรณ์, นายสงวน
ตุลารักษ์) อนุสภาผู้แทนราษฎร (นายเนตร พูนวิวัฒน์) ส่วนผู้ยืนยันให้ใช้คำเดิมคือ
นายซิม วีระไวทยะ ในกลุ่มผู้สนับสนุนให้ใช้คำ"กรรมการราษฎร"อธิบายว่า
คำ "สภาผู้แทนราษฎร" กับ"กรรมการราษฎร" เป็นคำชุดเดียวกัน
เมื่อใช้คำสภาผู้แทนราษฎรก็ควรใช้ให้เข้ากัน (เจ้าพระยา
ธรรมศักดิ์มนตรี) เป็นคำธรรมดาเข้าใจง่าย (หลวงประดิษฐมนูธรรม) เป็นคำที่ใช้อยู่แล้ว
(นายมังกร สามเสน) ส่วนผู้สนับสนุนให้ใช้คำว่ารัฐมนตรีให้เหตุผลว่า คำว่า "รัฐมนตรี"
ไพเราะกว่าคำว่า "กรรมการราษฎร" (นายประยูร ภมรมนตรี) เคยเรียกมาคุ้นปากแล้ว
(พระยามานวราชเสวี) โดยเฉพาะนายประยูรถึงกลับกล่าวคำ "กรรมการราษฎร"
นั้น 'ฟังดูเป็นโซเวียต'
หลวงประดิษฐมนูธรรมกล่าวชี้แจงในตอนแรกว่า ได้สงวนคำนี้ให้สภาพิจารณา เพราะประธานอนุกรรมการกล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงทักท้วง และมีผู้เข้าใจผิดว่า ตนจะนำ "ลัทธิบางประเทศมาเผยแผ่" แต่การใช้คำว่า "รัฐมนตรี" จะทำให้นึกถึงรัฐมนตรีสภาที่ไม่เคยทำงาน และต้องแก้ไขพระราชบัญญัติรัฐมนตรีในที่สุด พระยาราชวังสันเสนอให้พิจารณาการใช้ถ้อยคำในการประชุมครั้งถัดไป (รงส. 38/2475, วันที่ 26 พฤศจิกายน 2475)
อย่างไรก็ตาม เรื่องคำ "คณะกรรมการราษฎร" ถูกนำมาพิจารณา ในการประชุมสภาฯ ครั้งที่ 41 และมีการลงมติใช้คำว่า รัฐมนตรี 28 เสียง, ไม่ออกเสียง 24 เสียง และมีผู้เห็นควรใช้คำอื่น 7 เสียง จึงมีผลทำให้ใช้คำว่า "รัฐมนตรี" แทน "กรรมการราษฎร" รวมทั้งใช้คำว่า "คณะรัฐมนตรี" แทน "คณะกรรมการราษฎร" และใช้คำว่า "นายกรัฐมนตรี" แทนคำว่า "ประธานคณะกรรมการราษฎร" ตลอดจนมีการกำหนดความหมายใหม่ว่า "รัฐมนตรี" หมายถึง "ข้าราชการผู้ใหญ่ในแผ่นดิน" มิใช่ที่ปรึกษาของแผ่นดินอีกต่อไป (รงส. 41/2475, 28 พฤศจิกายน 2475)
1.4 ความขัดแย้งเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ
ภายหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475 ได้มีความขัดแย้งอันเกี่ยวเนื่องกับรัฐธรรมนูญหลายเหตุการณ์
ดังมีลำดับดังนี้
1. การปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรและงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา กับรัฐประหาร 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองไม่นานนัก กระทรวงมหาดไทยอนุญาตให้คณะราษฎรจดทะเบียนเป็นสมาคมคณะราษฎรเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2475 โดยมี พระยานิติศาสตร์ไพศาล ดำรงตำแหน่งนายกสมาคม, นายประยูร ภมรมนตรี เป็นอุปนายก, นายสงวน ตุลารักษ์ เป็นเหรัญญิก, และนายวนิช ปานะนนท์ เป็นเลขาธิการ โดยมีนายประหยัด ศรีจรูญ เป็นนายทะเบียน (วิภาลัย ธีรชัย 2522: 133-134; นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ 2540: 242)
ในระยะก่อตั้งมีสมาชิกประกอบด้วยกรรมการอำนวยการ 15 นาย และ สมาชิก 140 นาย ต่อมาได้เปิดรับสมัครสมาชิกเพิ่มเติม จากข้าราชการประจำและผู้สนใจจำนวนมาก (วิภาลัย ธีรชัย 2522: 133) ประมาณการว่า มีสมาชิก 10,000 นาย ในสายข้าราชการทั้งทหารและพลเรือน แยกเป็นข้าราชการชั้นพระยา 23 คน, ชั้นคุณพระ 65 คน, ชั้นคุณหลวง 376 คน (นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ 2540: 252-253) มีประมาณการว่า ในเดือนกุมภาพันธ์ 2475 มีสมาชิกถึง 60,000 คน (ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ 2534: 217)
ในเวลาต่อมา พระยาโทณวณิกมนตรี (วิสุทธิ์ โทณวณิก) กับคณะรวม 12 คน ร้องขอต่อกระทรวงมหาดไทย เพื่อจัดตั้งสมาคมคณะชาติเมื่อวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2475 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาสมาชิกเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งเช่นเดียวกับสมาคมคณะราษฎร พระยามโนปกรณ์นิติธาดานำ เรื่องนี้ขึ้นกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ และทรงพระราชทานพระราชหัตถเลขาความว่า สยามยังไม่พร้อมจะมีคณะการเมือง เพราะประชาชนส่วนมากยังไม่มีความเข้าใจวิธีการปกครองแบบรัฐธรรมนูญ ถ้าหากมีคณะการเมืองอาจจะทำให้เข้าใจว่า เป็นการตั้งหมู่คณะเพื่อเป็นปฏิปักษ์กันแต่เมื่อรัฐบาลอนุญาตให้มีสมาคมคณะราษฎร ก็เป็นการยากที่จะห้ามตั้งคณะการเมืองจึงควรยกเลิกสมาคมคณะราษฎรและคณะอื่นเสีย
เมื่อพระยามโนปกรณ์นิติธาดา เสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2475 มีมติคณะรัฐมนตรีแจ้งตามหน่วยราชการต่างๆ ให้ผู้บังคับบัญชามีคำสั่งห้ามข้าราชการเป็นสมาชิกสมาคมการเมือง (นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ 2540: 252) แม้แต่พระยาพหลพลพยุหเสนาผู้บัญชาการทหารบก ยังต้องชี้แจงต่อข้าราชการทหารว่า ทหารไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ร่วมในสมาคมคณะราษฎรต่อไป เพราะรัฐบาลมีความมั่นคงแล้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจึงสั่งให้ทหารลาออกจากสมาคมฯ เสีย
ขณะเดียวกัน ผู้นำฝ่ายพลเรือนของคณะราษฎรได้เสนอ "เค้าโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ" สู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 9 มีนาคม 2475 ในที่ประชุมมีมติให้ตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณา 14 คน โดยประชุมในวันที่ 12 มีนาคม 2475 และมีความเห็นเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายที่คัดค้านนำโดยพระยามโนปกรณ์ นิติธาดา, พระยาศรีวิศาลวาจา, และพระยาทรงสุรเดช. ฝ่ายสนับสนุนนำโดย หลวงประดิษฐมนูธรรม, นายแนบพหลโยธิน, นายทวี บุณยเกตุ, และ ม.จ. สกลวรรณากร วรวรรณ มติของคณะอนุกรรมการไม่เป็นที่เด็ดขาด ต้องเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
คณะรัฐมนตรีใช้เวลาพิจารณาถึง 2 ครั้งในวันที่ 25 และ 28 มีนาคม 2475 โดยหลวงประดิษฐมนูธรรมยืนยันว่าจะลาออกหากคณะรัฐมนตรีไม่เห็นชอบ ขณะที่นายกรัฐมนตรีไม่ต้องการให้หลวงประดิษฐฯ ลาออก แต่ในการประชุมครั้งที่สอง ฝ่ายพระยามโนปกรณ์นิติธาดา ได้นำพระราชบันทึกพระบรมราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมาให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาด้วย ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติไม่ให้ความเห็นชอบเค้าโครงการเศรษฐกิจฯ ถึง 11 เสียง ต่อ 3 เสียง (งดออกเสียง 5 คน) จากจำนวนผู้เข้าประชุม 19 คน
ก่อนหน้านี้ในวันที่ 17 มีนาคม 2475 มีกระทู้ถามรัฐบาลเรื่องคำสั่งห้ามข้าราชการเป็นสมาชิกสมาคมการเมือง ในวันที่ 30 มีนาคม ที่ประชุมสภาฯ มีมติว่า รัฐบาลกระทำผิดรัฐธรรมนูญ และให้ถอนคำสั่ง (นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ 2540: 253-254) ผลจากความขัดแย้งข้างต้น ทำให้รัฐบาลตราพระราชกฤษฎีกาให้ปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร และตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ โดยอธิบายว่า สภาผู้แทนราษฎรชุดดังกล่าวเป็นสภาฯ ชั่วคราว ไม่สมควรจะเปลี่ยนแปลงนโยบายสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศ แต่
" ณ บัดนี้ ปรากฏว่า มีสมาชิกจำนวนมากแสดงความปรารถนาแรงกล้า เพียงที่จะทำการเปลี่ยนแปลงไปในทางนั้น โดยวิธีการอันเป็นอุบายในทางอ้อม ที่จะบังคับข่มขู่ให้สภาต้องดำเนินการไปตามความปรารถนาของตน เป็นการไม่สมควร เป็นที่เห็นได้ชัดแล้วว่า จะประชุมกันบัญชาการของประเทศโดยความสวัสดิภาพไม่ได้แล้ว สามารถจะนำมาซึ่งความไม่มั่นคงต่อประเทศ และทำลายความสุขสมบูรณ์ของอาณาประชาราษฎร์ ทรงพระราชดำริเห็นว่า เป็นเวลาฉุกเฉินแล้ว สมควรต้องจัดการป้องกันความหายนะ อันจะนำมาสู่ประเทศและอาณาประชาราษฎร์ทั่วไป "
และกำหนดวัตถุประสงค์ของการตราพระราชกฤษฎีกาไว้ดังนี้
"1. ให้ปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรนี้เสีย และห้ามไม่ให้เรียกประชุมจนกว่าจะได้มีสภาฯขึ้นใหม่
เมื่อได้มีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรตามความในรัฐธรรมนูญนั้นแล้ว2. ให้ยุบคณะรัฐมนตรีปัจจุบันนี้เสีย และให้มีคณะรัฐมนตรีขึ้นใหม่ ประกอบด้วยนายกรัฐมนตรีหนึ่งนาย กับรัฐมนตรีอื่นๆ อีกไม่เกินยี่สิบนาย และให้นายกรัฐมนตรีคณะซึ่งยุบนี้เป็นนายกรัฐมนตรีของคณะรัฐมนตรีใหม่ กับให้รัฐมนตรีผู้ซึ่งว่าการกระทรวงต่างๆ อยู่ในเวลานี้เป็นสมาชิกของคณะรัฐมนตรีใหม่ โดยตำแหน่ง ส่วนรัฐมนตรีอื่นๆ จะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าตั้งขึ้นโดย คำแนะนำของนายกรัฐมนตรีอีกต่อไป
3.ตราบใดที่ยังไม่ได้มีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎร ยังไม่ได้เรียกประชุมสภาผู้แทนราษฎรใหม่นั้น และยังไม่ได้ตั้งคณะรัฐมนตรีตามความในรัฐธรรมนูญแล้ว ให้คณะรัฐมนตรีใหม่ตามพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้เป็นผู้ใช้อำนาจต่างๆ ซึ่งรัฐธรรมนูญได้ให้ไว้แก่คณะรัฐมนตรี
4. ตราบเท่าที่ยังไม่ได้มีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรและ ยังไม่ได้เรียกประชุมสภาผู้แทนราษฎรใหม่นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะได้ทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติตามคำแนะนำและยินยอมของคณะรัฐมนตรี
5. ตราบใดที่ยังไม่ได้มีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรยังไม่ได้เรียกประชุม สภาผู้แทนราษฎรใหม่นั้น และยังไม่ได้ตั้งคณะรัฐมนตรีตามความในรัฐธรรมนูญแล้ว ให้รอการใช้บทบัญญัติต่างๆ ในรัฐธรรมนูญซึ่งขัดกับพระราชกฤษฎีกานี้เสีย ส่วนบทบัญญัติอื่นๆ ในรัฐธรรมนูญนั้นให้เป็นอันคงใช้อยู่ต่อไป"
(ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 50 น. 1, วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476)
รัฐบาลยังได้ออกแถลงการณ์ถึงความจำเป็นในการปิดสภาผู้แทนราษฎร กับการตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ และการงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราว่า คณะรัฐมนตรีมีความเห็นแยกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มข้างน้อยต้องการวางนโยบายเศรษฐกิจมีลักษณะเป็นคอมมิวนิสต์ ฝ่ายข้างมากเห็นว่า ตรงข้ามกับธรรมเนียมประเพณีของชาวสยาม จะนำมาซึ่งความหายนะและความมั่นคงของประเทศ (3)
(3) รัฐบาลได้ตราพระราชบัญญัติว่าด้วยคอมมิวนิสต์ พ.ศ. 2476 เพื่อปรามการเคลื่อนไหวของหลวงประดิษมนูธรรม เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2476 (ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 50, 1 เมษายน พ.ศ. 2476 สำหรับบทวิเคราะห์โปรดดู นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ 2540 : 255)
ในส่วนของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นสภาแต่งตั้งและเป็นสภาฯ ชั่วคราว ไม่ควรวางนโยบายเศรษฐกิจใหม่ ที่ "ประดุจเป็นการพลิกแผ่นดิน" แต่ก็เห็นได้ชัดว่า สมาชิกจำนวนมากต้องการและเลื่อมใสรัฐมนตรีเสียงข้างน้อย ความแตกต่างระหว่างสภาผู้แทนราษฎรกับนิติบัญญัติ ระหว่างคณะรัฐมนตรีกับฝ่ายบริหารเป็นอันตรายต่อความมั่นคง ทำให้การปฏิบัติราชการช้าและเกิดความแตกแยก ตลอดจนก่อให้เกิดความไม่มั่นใจแก่ประชาชน จึงจำเป็นต้องปิดสภาฯ และตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ การงดใช้รัฐธรรมนูญนั้นเป็นเฉพาะบางมาตราและเป็นการชั่วคราวเท่านั้น (ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 50 น. 7, 1 เมษายน พ.ศ. 2476 และดูประเด็นเรื่องอำนาจของฝ่ายบริหารที่จะปิดสภาที่ ม.จ. วรรณไวทยากร เคยกล่าวไว้ใน สิริ เปรมจิตต์ 2511: 86)
ผลการปิดสภาผู้แทนราษฎรและงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา ทำให้เกิดการรัฐประหาร 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 ภายใต้การนำของ พ.อ. พระยาพหลพลพยุหเสนา ซึ่งเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดา และบังคับให้ลาออกจากตำแหน่ง. พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชโองการประกาศให้เปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรอีกครั้ง เรียกประชุมสมัยวิสามัญตามคำกราบบังคมทูลของประธานสภาผู้แทนราษฎร กับทรงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งพระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นนายกรัฐมนตรี (ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 50 น. 385-387, 21 มิถุนายน พ.ศ. 2476)
นอกจากนี้ยังได้ตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ในการจัดการให้คณะรัฐมนตรีลาออกเพื่อให้มีการเปิดสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2476 (ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 50 น. 389, 25 มิถุนายน พ.ศ. 2476) ดังคำอธิบายว่า
"สภาผู้แทนราษฎรถวายคำปรึกษาว่า การที่คณะทหารบก ทหารเรือ และพลเรือนคณะหนึ่ง ซึ่งเห็นความจำเป็นในอันจะแก้ไขเหตุการณ์ที่ทำให้เสื่อมทรามความศักดิ์สิทธิ์แห่งรัฐธรรมนูญ เป็นเหตุให้กระทบกระเทือนต่อความปลอดภัยแห่งชาติบ้านเมือง จึงพร้อมใจกันเข้าจัดการให้คณะรัฐมนตรีชุดซึ่งไม่บริหารราชการแผ่นดินตามหน้าที่ ด้วยความไว้วางใจของสภาฯ ตามรัฐธรรมนูญลาออกจากตำแหน่งทั้งคณะ ซึ่งในที่สุด รัฐมนตรีคณะที่กล่าวข้างต้นก็ได้ยื่นใบลา และได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ลาออกจากตำแหน่งแล้ว ปรากฏว่าเหตุการณ์ได้เป็นไปโดยราบรื่นปกติเรียบร้อย มิได้รุนแรง สมควรได้รับพระมหากรุณา เพราะความหวังดีงาม และความละมุนละม่อมในการกระทำของคณะนี้"
(ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 50 น. 389, 25 มิถุนายน 2476)
รัฐบาลชุดใหม่ดำเนินการตราพระราชบัญญัติ ให้ยกเลิกพระราชกฤษฎีกาที่ได้ปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร ลงวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 โดยกล่าวว่า การปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งนั้น 'มิได้อาศัยอำนาจในรัฐธรรมนูญประการใด ซึ่งทำให้เสื่อมทรามความศักดิ์สิทธิ์แห่งรัฐธรรมนูญ' พระยาพหลพลพยุหเสนา จึงได้จัดการให้คณะรัฐมนตรีชุดเก่าลาออก เพื่อเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยวิสามัญ เพื่อยกเลิกพระราชกฤษฎีกาฉบับดังกล่าว (ราชกิจจานุเบกษา เล่ม50 น. 394, วันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2476)
2. กบฏบวรเดช: คณะกู้บ้านเมือง
พลเอกพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าบวรเดช (ม.จ. บวรเดช กฤดากร) อดีตเสนาบดีกระทรวงกลาโหม
นำคณะกู้บ้านกู้เมืองหรือคณะกู้บ้านเมือง ร่วมกับทหารหัวเมืองจากจังหวัดนครราชสีมา
อุบลราชธานี อุดรธานี นครสวรรค์ พิษณุโลก อยุธยา สระบุรี ปราจีนบุรี เพชรบุรี
และราชบุรี เข้ามาล้อมกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2476 เพื่อยื่นข้อเสนอให้รัฐบาลปฏิบัติตาม
6 ประการ คือ
1. ต้องจัดการทุกอย่างที่จะอำนวยผลให้ประเทศสยามมีพระมหากษัตริย์ปกครองภายใต้รัฐธรรมนูญชั่วกัลปาวสาน
2. ต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญโดยแท้จริง เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ การตั้งและถอดถอนคณะรัฐบาล ต้องเป็นไปตามเสียงหมู่มากไม่ใช่ทำด้วยการจับอาวุธดังที่กล่าวมาแล้ว ด้วยเหตุนี้ จึงต้องยอมให้มีคณะการเมืองที่ชอบด้วยกฎหมาย
3. ข้าราชการซึ่งอยู่ในตำแหน่งประจำการ ทั้งทหารและพลเรือน ต้องอยู่นอกการเมือง เว้นแต่ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งซึ่งมีหน้าที่ทางการเมืองโดยตรง แต่ความข้างต้นนั้น ไม่ตัดสิทธิในการที่ข้าราชการประจำจะนิยมยึดถือลัทธิการเมืองใดๆ ที่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ก็ห้ามมิให้ใช้อำนาจหรือโอกาสในตำแหน่งหน้าที่เพื่อสนับสนุนเผยแผ่ลัทธิที่ตนนิยม หรือเพื่อบังคับขู่เข็ญโดยทางตรงหรือโดยอ้อมให้คนอื่นถือตามลัทธิที่ตนนิยมเป็นอันขาด. ตำแหน่งฝ่ายทหารตั้งแต่ผู้บัญชาการทหารบก และผู้บัญชาการทหารเรือลงไปต้องไม่มีหน้าที่ทางการเมือง
4. การแต่งตั้งบุคคลในตำแหน่งราชการ จักต้องถือคุณวุฒิความสามารถเป็นหลัก ไม่ถือเอาความเกี่ยวข้องในทางการเมืองเป็นความชอบ หรือเป็นข้อรังเกียจในการบรรจุหรือเลื่อนตำแหน่ง
5. การเลือกตั้งผู้แทนราษฎรประเภทที่สอง ต้องถวายให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเลือก
6. การปกครองกองทัพบก จักต้องให้มีหน่วยผสมตามหลักยุทธวิธี เฉลี่ยอาวุธสำคัญแยกกันไปประจำตามท้องถิ่น มิให้มีกำลังเป็นส่วนใหญ่เฉพาะในแห่งใดแห่งหนึ่ง (นิคม จารุมณี 2519: 352-353)
นิคม จารุมณี (2519: 117-149) สรุปสาเหตุสำคัญของการกบฏไว้ 6 ประการ ได้แก่
1. ความหวาดระแวงภัยคอมมิวนิสม์ และความไม่พอใจการกลับมา มีอำนาจทางการเมืองของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม
2. ความไม่พอใจที่ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงถูกหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตั้งแต่การยึดอำนาจเมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475. การที่นายถวัติ ฤทธิเดช ยื่นฟ้องพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ในข้อหาหมิ่นประมาท ซึ่งมีผู้สันนิษฐานว่าได้รับการสนับสนุนจากหลวงประดิษฐมนูธรรม
3. ปัญหาความคิดความเข้าใจและปฏิบัติการทางการเมือง ในระบอบรัฐธรรมนูญที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะกรณีรัฐประหาร 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 ฝ่ายกบฏบวรเดชเห็นว่า ไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ
4. ความต้องการที่จะให้มีการจัดการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง ตามอุดมการณ์โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
5. ความขัดแย้งระหว่างคณะทหารหัวเมืองกับคณะราษฎร โดยเฉพาะความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจของทหารหัวเมืองว่าขาดความสำคัญ
6. ความขัดแย้งส่วนตัวระหว่างพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าบวรเดช และพันเอกพระยาศรีสิทธิสงครามฝ่ายหนึ่ง กับผู้นำในคณะราษฎรอีกฝ่ายหนึ่ง
จะเห็นได้ว่า การเกิดกบฏบวรเดช นอกจากจะสะท้อนให้เห็นความขัดแย้ง ระหว่างชนชั้นนำไทยแล้ว ยังสะท้อนให้เห็นถึงความนึกคิดความเข้าใจ ในระบอบรัฐธรรมนูญที่ต่างกันใน 2 ประเด็น คือ กรณีการรัฐประหาร 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 และข้อเรียกร้องที่จะให้รัฐบาลถวายอำนาจให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเลือกผู้แทนประเภทที่สองด้วยพระองค์เอง อย่างไรก็ตาม แม้รัฐบาลปราบกบฏบวรเดชสำเร็จ แต่ก็เป็นเหตุการณ์ที่มีผลต่อความรู้สึกนึกคิดของคนจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสะเทือนพระทัยมาก และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทรงสละราชสมบัติในเวลาต่อมา
3. กรณีพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติ
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเคยดำริที่จะสละราชสมบัติภายหลัง การปฏิวัติสยาม
2475 เพราะอาการประชวรที่พระเนตร แต่พระยาศรีวิสารวาจา กราบบังคมทูลทัดทานขอพระราชทานไว้
("บันทึกลับ" เจ้าพระยามหิธร ถึงพระยามโนปกรณ์นิติธาดา วันที่ 2 กรกฎาคม
2475 ในแถลงการณ์เรื่องพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติ
2478: 3)
แต่ระบอบการปกครองใหม่เป็นไปอย่างไม่ราบรื่นนัก ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ เกิดขึ้นบ่อยครั้ง โดยเฉพาะกรณีกบฏบวรเดช ทำให้รัฐบาลไม่ไว้วางใจพวกเจ้ามากขึ้น เพราะเกรงว่าจะถูกยึดอำนาจกลับคืนสู่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์. ขณะเดียวกันพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าก็ทรงรู้สึกว่ารัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎร ไม่ค่อยเห็นความสำคัญของสถาบันกษัตริย์ กระทำการโดยไม่ขอพระราชทานคำปรึกษาและขัดกับพระราชดำริ (วิภาลัย ธีรชัย 2522: 139-140)
ในวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2476 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินประพาสยุโรปและสหรัฐอเมริกาเพื่อรักษาอาการประชวร ในเดือนตุลาคม พ.ศ.2477 พระองค์ทรงติดต่อกับรัฐบาลในประเด็นการสละราชสมบัติ ทรงยื่นข้อเสนอเป็นพระราชบันทึก ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2477 มีรายละเอียดดังนี้
1. ทรงมีพระราชประสงค์ให้แก้ไขการเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่สอง เพราะที่ผ่านมารัฐบาลมักเลือกเอาพวกในคณะราษฎร
โดยมิได้คำนึงถึงคุณวุฒิและความเหมาะสม2. พระราชอำนาจในการยับยั้งร่างพระราชบัญญัติตามมาตรา 39 ยังไม่เหมาะสม. ตามรัฐธรรมนูญกำหนดให้ใช้เสียงข้างมากของสภาผู้แทนราษฎร พระองค์ทรงมีพระราชประสงค์ให้ใช้เสียงไม่ต่ำกว่า 3 ใน 4 ของสภาผู้แทนราษฎรในการลงมติให้ใช้ พระราชบัญญัติที่พระองค์ทรงยับยั้งไว้
3. ทรงร้องขอให้รัฐบาลปฏิบัติตามมาตรา 14 ของรัฐธรรมนูญ ให้เสรีภาพในการพูด การเขียน การโฆษณา และให้เสรีภาพในการประชุมโดยเปิดเผย
และการตั้งสมาคม4. ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติป้องกันรัฐธรรมนูญ เนื่องจากขัดกับหลักเสรีภาพ
5. ทรงขอให้รัฐบาลอภัยโทษนักโทษการเมือง
6. สำหรับข้าราชการที่ถูกลงโทษ ไม่ว่าจะเป็นการปลดออก จากราชการก็ดี การถูกลงโทษแล้วพ้นคดีก็ดีแต่ถูกตัดสิทธิ์ ในการรับเบี้ยบำเหน็จบำนาญ ขอให้ข้าราชการเหล่านั้น ได้รับบำเหน็จบำนาญตามสิทธิ
7. ให้งดการฟ้องร้องข้าราชการที่ถูกสงสัยในข้อหากบฏ หรือที่กำลังจะฟ้องให้งดการฟ้องร้องจับกุม
8. ขอให้รัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรให้คำมั่นเป็นลายลักษณ์อักษรว่า จะไม่ตัดกำลังและงบประมาณของทหารรักษาวัง ให้น้อยกว่าเท่าที่จัดให้มีอยู่ ตลอดจนจ่ายอาวุธเท่ากับกองพันทหารราบอื่นๆ เพื่อรักษาพระราชวังและรักษาพระองค์
9. ขอให้จัดการออกพระราชบัญญัติระเบียบการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา ในเรื่องการขอพระราชทานอภัยโทษ (วิภาลัย ธีรชัย 2522: 140-141และแถลงการณ์เรื่องพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว)
นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงมีพระราชบันทึกอีก 2 ฉบับ ให้งดกล่าวโทษ ม.จ. ศุภสวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ และนายทหารรักษาวัง งดการเลิกทหารรักษาวัง งดการเปลี่ยนแปลงกระทรวงวัง. ให้บุคคลในรัฐบาลเลิกกล่าวร้ายพระราชจักรีวงศ์และรัฐบาลเก่า พร้อมกับปราบผู้ที่กระทำเช่นนั้น ให้แสดงความเคารพต่อพระมหากษัตริย์อย่างแท้จริง ตลอดจนระงับปัญหาความไม่สงบ โดยไม่ดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมอย่างแรง กับลดหย่อนโทษให้นักโทษการเมือง. พระองค์ทรงมีพระราชประสงค์จะให้มีคณะการเมือง เพื่อชี้ให้เห็นว่าลัทธิแบบไหนดีกว่า โดยเฉพาะแนวความคิดของรัฐบาลว่า จะเป็นแนวเสรีนิยมหรือสังคมนิยม (ชัยอนันต์ สมุทวณิช และขัตติยา กรรณสูต 2532: 301-304)
ในที่สุดพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่า รัฐบาลไม่อาจสนองพระราชบันทึกตามที่ทรงมีพระราชประสงค์ได้ พระองค์จึงทรงตัดสินพระทัย สละราชสมบัติในวันที่ 2 มีนาคม 2477 และรัฐบาลได้กราบบังคมทูลพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดลขึ้นครองราชสมบัติสืบต่อมา (วิภาลัย ธีรชัย 2522: 141)
1.5 การแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม
พ.ศ.2475
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475 ถูกแก้ไข
- ครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ.2482 ตามรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมว่าด้วยนามประกาศ พ.ศ. 2482 มีผลทำให้เปลี่ยนชื่อประเทศจาก"สยาม"เป็น"ไทย" และเรียกรัฐธรรมนูญใหม่ว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2475 (ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 56 ตอน 44 หน้า 980, 6 ตุลาคม พ.ศ. 2482) ผู้เสนอให้แก้ไขคือ นายกรัฐมนตรี พ.อ.หลวงพิบูลสงคราม โดยการแถลงของ หลวงวิจิตรวาทการ ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ที่ประชุมมีมติเห็นชอบและเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นชอบให้เปลี่ยนชื่อประเทศจากสยามเป็นประเทศไทย (ปรีดี พนมยงค์ 2526: 86-87)
- การแก้ไขครั้งที่สองเป็นการแก้ไขบทเฉพาะกาล
เพื่อยืดอายุการใช้บทเฉพาะกาลจาก 10 ปี เป็น 20 ปี (ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 57,
4 ตุลาคม พ.ศ. 2483) โดยขุนบุรัสการกิตติคดี ผู้แทนราษฎรประเภทที่หนึ่ง จังหวัดอุบลราชธานี
ให้เหตุผลว่าเพื่อความมั่นคงของประเทศ ในภาวะสงครามที่เริ่มขยายตัวเข้ามาถึงประเทศไทย
(ปรีดี พนมยงค์ 2526: 350)
- ครั้งที่สาม คือ รัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2485 (ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 58 ตอน 75, 3 ธันวาคม พ.ศ. 2485) เป็นการขยายกำหนดวาระของสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรออกไปครั้งละ 2 ปี โดยต้องตราออกมาเป็นพระราชบัญญัติ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ สนใจคลิกกลับไปทบทวน ตอนที่ ๑
บทความวิชาการนี้
สามารถ download ได้ในรูป word
ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา 3 I สารบัญเนื้อหา
4
I สารบัญเนื้อหา
5 I สารบัญเนื้อหา
6
สารบัญเนื้อหา
7 I สารบัญเนื้อหา
8
ประวัติ
ม.เที่ยงคืน
สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง
e-mail :
midnightuniv(at)gmail.com
หากประสบปัญหาการส่ง
e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
[email protected]
ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ทั้งหมด
กว่า 1500 เรื่อง หนากว่า 30000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)gmail.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com
สมเกียรติ
ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็บไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ
ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com
อนึ่ง สำหรับชื่อเรียก "ธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน" นั้น ระหว่างที่คณะอนุกรรมการฯร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรมีผู้เสนอให้เรียกว่า รัฐธรรมนูญแทน ซึ่งคณะอนุกรรมการก็รับว่า เห็นควรใช้คำว่า รัฐธรรม นูญ ที่นายปรีดี พนมยงค์ อธิบายว่าหมายถึงกฎหมายว่าด้วยระเบียบ การปกครองแผ่นดินหรือรัฐ. เป็นที่ยอมรับกันภายหลังว่า ม.จ. วรรณไวทยากร วรวรรณ เป็นผู้เสนอให้ใช้คำว่า "รัฐธรรมนูญ" และกลายมาเป็นธรรมเนียมปฏิบัติว่า ถ้าผู้ร่างต้องการให้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับถาวรจะใช้คำว่า "รัฐธรรมนูญ" แต่ถ้าจะใช้เป็นฉบับชั่วคราวจะเรียกว่า "ธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน"สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญโดยใช้วิธีพิจารณาแบบอนุกรรมการเต็มสภา และพิจารณาแบบเรียงมาตรา เพื่อพิจารณาให้เสร็จทันกำหนดฤกษ์พระราชทาน