ค้นหาบทความที่ต้องการ ด้วยการคลิกที่แบนเนอร์ midnight search engine แล้วใส่คำหลักสำคัญในบทความเพื่อค้นหา
โครงการสื่อเพื่อบริบทสิทธิมนุษยชน: จากชายขอบถึงศูนย์กลาง - Media Project: From periphery to mainstream
Free Documentation License - Copyleft
2006, 2007, 2008
2009, 2010, 2011
2012, 2013, 2014
Everyone is permitted to copy and distribute verbatim copies of
this licene document, but changing
it is not allowed. - Editor

อนุญาตให้สำเนาได้ โดยไม่มีการแก้ไขต้นฉบับ
เพื่อใช้ประโยชน์ทางการศึกษาทุกระดับ
ข้อความบางส่วน คัดลอกมาจากบทความที่กำลังจะอ่านต่อไป
เว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ๒๕๔๓ เพื่อประโยชน์ทางการศึกษา โดยบทความทุกชิ้นที่นำเสนอได้สละลิขสิทธิ์ให้กับสาธารณะประโยชน์

1

 

 

 

 

2

 

 

 

 

3

 

 

 

 

4

 

 

 

 

5

 

 

 

 

6

 

 

 

 

 

 

 

 

 

8

 

 

 

 

9

 

 

 

 

10

 

 

 

 

11

 

 

 

 

12

 

 

 

 

13

 

 

 

 

14

 

 

 

 

15

 

 

 

 

16

 

 

 

 

17

 

 

 

 

18

 

 

 

 

19

 

 

 

 

20

 

 

 

 

21

 

 

 

 

22

 

 

 

 

23

 

 

 

 

24

 

 

 

 

25

 

 

 

 

26

 

 

 

 

27

 

 

 

 

28

 

 

 

 

29

 

 

 

 

30

 

 

 

 

31

 

 

 

 

32

 

 

 

 

33

 

 

 

 

34

 

 

 

 

35

 

 

 

 

36

 

 

 

 

37

 

 

 

 

38

 

 

 

 

39

 

 

 

 

40

 

 

 

 

41

 

 

 

 

42

 

 

 

 

43

 

 

 

 

44

 

 

 

 

45

 

 

 

 

46

 

 

 

 

47

 

 

 

 

48

 

 

 

 

49

 

 

 

 

50

 

 

 

 

51

 

 

 

 

52

 

 

 

 

53

 

 

 

 

54

 

 

 

 

55

 

 

 

 

56

 

 

 

 

57

 

 

 

 

58

 

 

 

 

59

 

 

 

 

60

 

 

 

 

61

 

 

 

 

62

 

 

 

 

63

 

 

 

 

64

 

 

 

 

65

 

 

 

 

66

 

 

 

 

67

 

 

 

 

68

 

 

 

 

69

 

 

 

 

70

 

 

 

 

71

 

 

 

 

72

 

 

 

 

73

 

 

 

 

74

 

 

 

 

75

 

 

 

 

76

 

 

 

 

77

 

 

 

 

78

 

 

 

 

79

 

 

 

 

80

 

 

 

 

81

 

 

 

 

82

 

 

 

 

83

 

 

 

 

84

 

 

 

 

85

 

 

 

 

86

 

 

 

 

87

 

 

 

 

88

 

 

 

 

89

 

 

 

 

90

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 




11-04-2551 (1529)

บทนำว่าด้วยเศรษฐศาสตร์ทางเลือก (Heterodox Economics)
Heterodox Economics: ทางเลือกที่พ้นไปจากเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก
พิกุล อิทธิหิรัญวงศ์ : แปลและเรียบเรียง
โครงการสื่อเพื่อบริบทสิทธิมนุษยชน มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
เชิงอรรถ-ภาคผนวก เพิ่มเติมโดยกองบรรณาธิการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน

บทความวิชาการต่อไปนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการสื่อเพื่อบริบทสิทธิมนุษยชน
ของเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ซึ่งเป็นโครงการที่ไม่หวังผลกำไร
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหาตัวอย่างและกรณีศึกษาเกี่ยวกับเรื่องสิทธิมนุษยชน
จากประเทศชายขอบทั่วโลก มาเป็นตัวแบบในการวิเคราะห์และสังเคราะห์
เพื่อเผชิญกับปัญหาสิทธิมนุษยชน(สิทธิชุมชน)ในประเทศไทย

Heterodox economics หรือ"เศรษฐศาสตร์ทางเลือก" คือ กลุ่มแนวการศึกษา
หรือสำนักคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่ได้รับการพิจารณาต่างไปจากแนวเศรษฐศาสตร์ดั้งเดิม
หรือที่รู้จักในนาม เศรษฐศาสตร์กระแสหลัก (mainstream economics).
คำนี้เป็นเสมือน ร่มคันใหญ่ที่ครอบคลุมความคิดอันหลากหลายทางเศรษฐศาสตร์
ยกตัวอย่างเช่น Feminist economics, Political economy, Marxian
economics, Bioeconomics, Complexity economics, Green
economics เป็นต้น. สำหรับบทแปลและเรียบเรียงต่อไปนี้ ประกอบด้วยสาระ
สำคัญอย่างเช่น นิยามความหมาย Heterodoxy, Heterodox economics,
เศรษฐศาสตร์ดั้งเดิม (Orthodox economics), การปฏิเสธเศรษฐศาสตร์-
นีโอคลาสสิค, การพัฒนาล่าสุดของเศรษฐศาสตร์ทางเลือก เป็นต้น
midnightuniv(at)gmail.com

บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา
ข้อความที่ปรากฏบนเว็บเพจนี้ ได้รักษาเนื้อความตามต้นฉบับเดิมมากที่สุด
เพื่อนำเสนอเนื้อหาตามที่ผู้เขียนต้องการสื่อ กองบรรณาธิการเพียงตรวจสอบตัวสะกด
และปรับปรุงบางส่วนเพื่อความเหมาะสมสำหรับการเผยแพร่ รวมทั้งได้เว้นวรรค
ย่อหน้าใหม่ และจัดทำหัวข้อเพิ่มเติมสำหรับการค้นคว้าทางวิชาการ
บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ ๑๕๒๙
ผยแพร่บนเว็บไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๕๑
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ ๑๔ หน้ากระดาษ A4)

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



บทนำว่าด้วยเศรษฐศาสตร์ทางเลือก (Heterodox Economics)
Heterodox Economics: ทางเลือกที่พ้นไปจากเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก
พิกุล อิทธิหิรัญวงศ์ : แปลและเรียบเรียง
โครงการสื่อเพื่อบริบทสิทธิมนุษยชน มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
เชิงอรรถ-ภาคผนวก เพิ่มเติมโดยกองบรรณาธิการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน

Heterodoxy หมายถึง ความเห็น หรือ ความเชื่อต่างๆ ที่หลากหลาย ถ้าใช้เป็นคำขยาย จะหมายถึง สิ่งที่มีลักษณะต่างไปจากความเชื่อหรือมาตรฐานที่มีการยอมรับกันอยู่เดิม Heterodox economics (เศรษฐศาสตร์ทางเลือก) คือ กลุ่มแนวการศึกษาหรือสำนักคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่ได้รับการพิจารณาต่างไปจากแนวเศรษฐศาสตร์ดั้งเดิม คำนี้เป็นเสมือน ร่มคันใหญ่ที่ครอบคลุมความคิดที่จะมีมาใหม่, ที่อยู่มานานแล้ว, หรือกลุ่มหลังนี้รวมเอา แนวคิดเศรษฐศาสตร์หลังเคนเซียน ( post Keynesianism)(A), แนวสถาบันนิยม(สำนักนิยม)[เก่า] ((old) institutionalism), สตรีนิยม (feminist)(B), สังคมนิยม (social), มาร์กเซียน(Marxian)(C) และ สำนักเศรษฐศาสตร์ออสเตรียน (Austrian economics) (D) เข้ามาด้วย

เศรษฐศาสตร์ดั้งเดิม (Orthodox economics) หรือที่รู้จักในนาม เศรษฐศาสตร์กระแสหลัก (mainstream economics) หรือ Walrasian model (การแข่งขันโดยสมบูรณ์ - Perfect competition)(*) ที่มีการพัฒนาอย่างมากจากเศรษฐศาสตร์นีโอคลาสสิค (neoclassical economics) (**) เมื่อปลายศตวรรษที่ 19. ขณะที่"เศรษฐศาสตร์กระแสหลัก" หมายถึง ความเชื่อมโยงของความเป็นเหตุผล - ปัจเจกชนนิยม - จุดดุลยภาพ, "เศรษฐศาสตร์ทางเลือก"(heterodox economics) อาจจะให้ความหมายด้วยคำว่า ความเชื่อมโยงของสถาบัน - ประวัติศาสตร์ - โครงสร้างสังคม ("institutions-history-social structure" nexus) เข้าด้วยกัน. ข้อสังเกต คือ จะเห็นว่ามีจุดเน้นต่างกันในการแยกแยะระหว่าง"เศรษฐศาสตร์กระแสหลัก" และ "เศรษฐศาสตร์ทางเลือก"(heterodox economics) มากกว่าที่จะจำแนกความต่างตามแนวการศึกษาแบบ ระบบปิด และ ระบบเปิดตามลำดับ (Lawson,1997; Dow, 2000)

(*) Perfect competition is an economic model that describes a hypothetical market form in which no producer or consumer has the market power to influence prices. According to the standard economical definition of efficiency (Pareto efficiency), perfect competition would lead to a completely efficient outcome. The analysis of perfectly competitive markets provides the foundation of the theory of supply and demand. Perfect competition is a market equilibrium in which all resources are allocated and used efficiently, and collective social welfare is maximized

(**)Neoclassical economics refers to a general approach in economics focusing on the determination of prices, outputs, and income distributions in markets through supply and demand. These are mediated through a hypothesized maximization of income-constrained utility by individuals and of cost-constrained profits of firms employing available information and factors of production.[1] Mainstream economics is largely neoclassical in its assumptions, at least at the microeconomic level.[2] There have been many critiques of neoclassical economics, often incorporated into newer versions of neoclassical theory as human awareness about economic criteria change. Neoclassical economics is often called the marginalist school.

Classical economics, developed in the 18th and 19th centuries, included a value theory and distribution theory. The value of a product was thought to depend on the costs involved in producing that product. The explanation of costs in Classical economics was simultaneously an explanation of distribution. A landlord received rent, workers received wages, and a capitalist tenant farmer received profits on their investment. This classic approach included the work of Adam Smith and David Ricardo.

However, some economists gradually began emphasizing the perceived value of a good to the consumer. They proposed a theory that the value of a product was to be explained with differences in "utility." This is called Utilitarianism and is associated with philosopher and economic thinker John Stuart Mill.

The third step from political economy to economics was the introduction of the "marginal theory of value" or marginalism. Marginal value means that economic actors make decisions based on the "margins". For example, a person decides to buy a second sandwich based on how full they are after the first one, a firm hires a new employee based on the expected increase in profits the employee will bring. This differs from the aggregate decision making of classical political economy in that it explains how vital goods such as water can be cheap, while luxuries can be expensive.

Neoclassical economics is conventionally dated from William Stanley Jevons's Theory of Political Economy (1871), Carl Menger's Principles of Economics (1871), and Leon Walras's Elements of Pure Economics (1874 - 1877). These three economists have been said to have promulgated the marginal utility revolution, or Neoclassical Revolution. Historians of economics and economists have debated:
(ดูเพิ่มเติมและรายละเอียดใน http://en.wikipedia.org/wiki/Neoclassical_economics)


เป็นเรื่องยากที่จะนิยาม heterodox economics หรือเศรษฐศาสตร์ทางเลือก. สมาพันธ์นานาชาติ (The International Confederation) ของสมาคมพหุนิยมเศรษฐศาสตร์(Associations for Pluralism in Economics) (ICAPE) พยายามที่จะเลี่ยงการนิยามความครอบคลุมที่จำเพาะเกินไป แต่เลือกที่จะนิยามที่ภารกิจของมันแทน นั่นคือ การส่งเสริมลัทธิความหลากหลายในเศรษฐศาสตร์ ("promoting pluralism in economics") มาตรฐานของสังคมนิยม (socialism) คือ ความหลากหลาย ทุกเกลียวของสังคมนิยมคือ heterodox แต่ไม่ใช่ว่าสำนัก heterodox ทั้งหมดจำเป็นต้องเป็นสังคมนิยมด้วย. ความท้าทายต่อ "heterodoxy" ที่สำคัญคือ การนิยามตัวเองในวิถีที่จะขยับให้พ้นไปจากเศรษฐศาสตร์นีโอคลาสสิค

ในการให้ความหมายและการวิจารณ์ที่สำคัญ นักเศรษฐศาสตร์ heterodox บางท่าน เช่น Steve Cohn (Knox College, USA) ได้พยายามทำสามสิ่ง คือ

(1) กำหนดแนวคิดร่วมที่ระดมรูปแบบของการวิพากษ์ heterodox ตลอดทุกหัวข้อและทุกบทจากบทนำของหนังสือหลักๆ
(2) ให้ความสนใจเป็นพิเศษกับความคิดที่เชื่อมกับความแตกต่างเชิงระเบียบวิธี กับ ความแตกต่างเชิงนโยบาย
(3) กำหนดลักษณะพื้นฐานร่วมกันในแนวทางที่จะยอมให้มีกระบวนทัศน์ต่างๆ เพื่อพัฒนาความต่างร่วม กับหนังสือเศรษฐศาสตร์ในวิธีการทั้งหลาย

ความสมเหตุสมผล (Rationality)
หลักการอันหนึ่งที่เป็นที่ยอมรับกว้างขวางที่สุด ของ"เศรษฐศาสตร์นีโอคลาสสิค" (neoclassical economics) คือ สมมติฐานเรื่อง"ความสมเหตุสมผลของตัวแสดงทางเศรษฐศาสตร์" (rationality of economic agents) จริงๆ แล้ว สำหรับนักเศรษฐศาสตร์จำนวนหนึ่ง ข้อสังเกตเกี่ยวกับพฤติกรรมเกี่ยวกับความสมเหตุสมผลมากที่สุด (rational maximizing behavior) ถูกทำให้เป็นคำเหมือนกับพฤติกรรมเศรษฐกิจ (economic behavior) (Becker 1976, Hirshleifer 1984). เมื่องานศึกษาเศรษศาสตร์ไม่ยอมรับสมมติฐานเชิงเหตุผล จึงถูกมองว่าไม่ยอมรับสมมติฐานขั้นพื้นฐานที่เห็นกันว่า การวางข้อวิเคราะห์ไว้นอกขอบเขตของหลักเศรษฐศาสตร์นีโอคลาสสิค (Neoclassical economics) (Landsberg 1989, 596)

เศรษฐศาสตร์นีโอคลาสสิค(Neoclassical economics) เริ่มด้วยสมมติฐานอันดับแรก คือ ตัวแสดงมีความสมเหตุสมผล และที่พวกเขาตักตวงผลประโยชน์ (หรือ กำไร) และควบคุมข้อจำกัดทางสิ่งแวดล้อม. จากสมมติฐานของเศรษฐศาสตร์นีโอคลาสสิค ได้ทำให้เกิดกระดูกสันหลังของทฤษฎีทางเลือกอย่างมีเหตุผล และจากพื้นฐานเศรษฐศาสตร์นีโอคลาสสิคมาจากหน้าที่ของอุปสงค์และอุปทาน(supply and demand functions)ที่เราคุ้นเคย ซึ่งอยู่ภายใต้เงื่อนไขเฉพาะ จะนำไปสู่การกำหนดจุดดุลยภาพที่ชัดเจนของตลาด แม้ภายใต้สภาพเงื่อนไขที่แน่นอนกว่า ก็จะเกิดดุลยภาพสูงสุดแบบพาเรโต (Pareto efficient) (*)

(*) ดุลยภาพสูงสุดพาเรโต - สภาพการณ์ที่มีการจัดสรรทรัพยากรการผลิตอย่างเหมาะสมที่สุด และทำให้สังคมโดยส่วนรวมได้รับความพอใจสูงสุด นั่นคือสังคมไม่สามารถจัดสรรทรัพยากรการผลิตใหม่เพื่อให้ได้รับความพอใจไปมากกว่านี้ โดยไม่ทำให้ผู้บริโภคอื่นแม้เพียงคนเดียวอยู่ในสภาพที่เลวลง เป็นแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์สวัสดิการของพาเรโต(Pareto) นักเศรษฐศาสตร์ชาวอิตาเลียน

เศรษฐศาสตร์ทางเลือก (Heterodox economics) ปฏิเสธสมมติฐานขั้นพื้นฐานเหล่านี้ คือไม่ให้การยอมรับสิ่งที่สร้างขึ้นโดยทฤษฎีนีโอคลาสสิค จนกระทั่ง ค.ศ.1980 เศรษฐศาสตร์ทางเลือก(heterodox economics) สามารถนิยามได้ดังนี้ :

1. การปฏิเสธแนวคิดปัจเจกนิยมในฐานะหน่วยในตลาดย่อย (atomistic individual conception) (*)
ตามการสนับสนุนของแนวคิดปัจเจกนิยมที่ถูกฝังอยู่ในสังคม
2. เน้นเรื่องเวลาในฐานะกระบวนการทางประวัติศาสตร์ที่ไม่อาจย้อนคืน (irreversible historical process)
3. การให้เหตุผลในเชิงอิทธิพลต่อกันและกันระหว่างปัจเจกชนและโครงสร้างสังคม

(*)atomistic individual conception - Methodological individualism is a philosophical method aimed at explaining and understanding broad society-wide developments as the aggregation of decisions by individuals. In the most extreme version, the "whole" is nothing but the "sum of its parts" (atomism). It has also been described as "reductionism," a reduction of the explanation of all large entities by reference to smaller ones. It should, however, be noted that methodological individualism does not imply political individualism, although methodological individualists like Friedrich Hayek and Karl Popper were opponents of collectivism. A specific formulation of methodological individualism might also incorporate hypotheses about the relations of individuals to society.

Economics
Methodological individualism is an essential part of modern neoclassical economics, which usually analyzes collective action in terms of "rational", utility-maximizing individuals. This is the so called Homo economicus postulate. In this view, the structure and dynamics of most economic institutions can be explained using it.
However, methodological individualism does not require that the utility function of each individual may be known. In Mises' praxeology, for instance, rational individuals are held to act on their most important needs first, but individuals don't necessarily have a numerical value for each of their needs.

One example of methodological individualism in economics was the criticism of the Historical School's promotion of statistical analysis by the Austrian School of economics in the Methodenstreit.

ในช่วงระหว่างปี ค.ศ.1980 การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเริ่มเกิดขึ้นในวงเศรษฐศาสตร์ นั่นคือ โครงการวิจัยใหม่จำนวนหนึ่งเริ่มขึ้นโดยได้รับความสนใจ (อย่างหลากหลาย) จากเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก ได้แก่ behavioral economics (เศรษฐศาสตร์เชิงพฤติกรรม), complexity economics (เศรษฐศาสตร์เชิงซ้อน) (*), evolutionary economics (เศรษฐศาสตร์แนววิวัฒนาการ)(**), experimental economics(เศรษฐศาสตร์เชิงทดลอง)(***), neuroeconomics (เศรษฐศาสตร์เชิงประสาท-จิตวิทยา)(****), และอื่นๆ ผลก็คือ บรรดานักเศรษฐศาสตร์ทางเลือก(heterodox economists) บางคนอย่างเช่น John B. Davis นำเสนอว่าความหมายของ heterodox economics ว่าต้องถูกปรับให้เข้ากับความจริงที่ใหม่และที่ซับซ้อนกว่าเดิม

(*)Complexity economics is the application of complexity science to the problems of economics. It is one of the four C's of a new paradigm surfacing in the field of economics. The four C's are complexity, chaos, catastrophe and cybernetics. This new mode of economic thought rejects traditional assumptions that imply that the economy is a closed system that eventually reaches an equilibrium. Instead, it views economies as open complex adaptive systems with endogenous evolution. Complex systems do not necessarily settle to equilibrium - even ideal deterministic models may exhibit chaos, which is distinct from both random (nondeterministic) and analytic behavior.

Complexity economics rejects many aspects of traditional economic theory. The mathematic models used by traditional economics were copied from early models of thermodynamics. These mathematic models of economics were solely based on the first law of thermodynamics, equilibrium. Later, the second law of thermodynamics, entropy, was discovered. Proponents of complexity economics claim that traditional economic models never adapted to the latter discovery and thus remain incomplete models of reality. In practical terms, there is also a difference: traditional economics was conceived before computers had been invented. Computational simulations have made it possible to demonstrate macro-level rules using only micro-level behaviors without assuming idealized market actors. For example, Pareto's law can be demonstrated to arise spontaneously. Complexity economics is built on foundations which draw inspiration from areas such as behavioral economics, institutional economics, Austrian economics, and evolutionary economics.

(**)Evolutionary economics is a relatively new economic methodology that is modeled on biology. It stresses complex interdependencies, competition, growth, and resource constraints.

Conventional economic reasoning begins with the definition of scarcity, then assumes the existence of a "rational agent" bent solely on the attainment of one goal - the maximization of her/his welfare as defined by that agent. The scheme of valuation ("preferences" or "tastes") used by the decision-maker is also assumed to be constant and native to the agent ("independent preferences"). Given the foregoing stipulations, the determination of the "rational choice" for any agent becomes a straightforward exercise in the differential calculus.

Evolutionary economics derives from a more modern tradition of inquiry, which does not take the characteristics of either the objects of choice or of the decision-maker as fixed. It challenges the Newtonian worldview in economics in the similar manner, as it was challenged by Darwinian evolutionary theory in biology and by studies of self-organization in physics.

(***)Experimental economics is a field of economics which emerged in the 1990's [1] and uses experimental methods to evaluate theoretical predictions of economic behavior. In contrast to traditional economic empiricism, which relies on observing decisions in natural environments, experimental economics seeks to control causative factors in order to provide better ceteris paribus (1) comparisons between situations.

In addition to testing the predictions and underlying assumptions of economic theory, experimental economics is also used to testbed institutions and environments implementable as policies.

Historically most economic experiments were conducted in the laboratory, but recently interest in economics field experiments has grown. The development of experimental economics has also led to increased interest in econometrics studies of natural experiments.

(1)Ceteris paribus is a Latin phrase, literally translated as "with other things [being] the same," and usually rendered in English as "all other things being equal." A prediction, or a statement about causal or logical connections between two states of affairs, is qualified by ceteris paribus in order to acknowledge, and to rule out, the possibility of other factors which could override the relationship between the antecedent and the consequent.[1] A ceteris paribus assumption is often fundamental to the predictive purpose of scientific inquiry.

(****)Neuroeconomics combines neuroscience, economics, and psychology to study how we make choices. It looks at the role of the brain when we evaluate decisions, categorize risks and rewards, and interact with each other.

ข้อถกเถียงก่อนหน้านี้ คือเศรษฐศาสตร์ทางเลือก(heterodox economics) หลังทศวรรษ 1980 คือโครงสร้างที่ซับซ้อน ที่ประกอบจากงานด้าน heterodox สองชนิดที่แตกต่างอย่างมาก. ภายในแต่ละชนิดงานก็แตกต่างกันด้วยงานวิจัยจำนวนหนึ่งที่ต่างกันด้านประวัติศาสตร์และจุดสนใจที่เน้น เช่น งานในแนวทางเลือกแบบซ้ายจารีต (traditional left heterodoxy) คุ้นเคยกับ ทางเลือกใหม่(heterodoxy) เป็นผลมาจากการนำเข้าของศาสตร์อื่น

การปฏิเสธเศรษฐศาสตร์นีโอคลาสสิค
ไม่มีทฤษฎี"เศรษฐศาสตร์ทางเลือก"(heterodox economic)ทฤษฎีเดียว แต่มีทฤษฎี heterodox มากมายหลากหลาย สิ่งที่ทฤษฎีทั้งหมดนำเสนอร่วมกัน คือ การปฏิเสธว่า "เศรษฐศาสตร์นีโอคลาสสิคเดิม"(neoclassical orthodoxy)เป็นเครื่องมือที่เหมาะสมที่จะทำความเข้าใจการทำงานของเศรษฐกิจและชีวิตทางสังคม เหตุผลที่จะปฏิเสธมีความแตกต่างกันหลายหลาก อย่างเช่น

เหตุผลสำหรับการปฏิเสธของ เศรษฐศาสตร์นีโอคลาสสิค

- ทฤษฎีนีโอคลาสนิค เป็นเครื่องมือที่เหมาะสมภายใต้สถานการณ์ที่จำกัดเฉพาะ ที่ๆ มีการแข่งขันสมบูรณ์ หรือเกือบสมบูรณ์
(โดยเฉพาะสำนักออสเตรียน มองว่าทฤษฎีนีโอคลาสสิคเกี่ยวโยงกับสภาพดุลยภาพ)
- เป็นเครื่องมือที่ใช้การไม่ได้ในการเข้าใจเศรษฐกิจและชีวิตทางสังคม
- ทฤษฎีทั้งหมดจะเที่ยงตรง ตราบเท่าที่ทฤษฎีทั้งหมดมีความสอดคล้องกันภายใน(internally consistent)
- ทฤษฎีนีโอคลาสสนิค เป็นรูปแบบหนึ่งของอุดมการณ์หรือศาสนา ที่มีพื้นฐานแนวคิดที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์

การพัฒนาล่าสุดของเศรษฐศาสตร์ทางเลือก
ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ประเด็นความรู้ของนักเศรษฐศาสตร์ทางเลือก(heterodox economist) มีการพัฒนาที่เปลี่ยนไปสู่แนวคิดพหุนิยมอย่างชัดเจน. นักคิดสายเศรษฐศาสตร์ทางเลือกชั้นนำได้เคลื่อนตัวไปพ้นจากกระบวนทัศน์ของสำนักเศรษฐศษสตร์ Austrian, Feminist, Institutional-Evolutionary, Marxian, Post Keynesian, Radical, Social, และ Sraffian (*) นั่นคือ ได้เปิดเส้นทางใหม่ของการวิเคราะห์ วิจารณ์ และข้อถกเถียง ในหมู่สำนักคิดที่เป็นคู่ขัดแย้ง. ความคิดการผสมข้ามพันธุ์(cross-fertilization of ideas)เหล่านี้ กำลังสร้างนักคิดรุ่นใหม่ที่มีการผสมผสานกันแบบใหม่ๆ เกี่ยวกับแนวคิดทางเลือกต่างๆ(heterodox ideas) ที่กำลังมุ่งไปสู่ปัญหาทางประวัติศาสตร์และประเด็นปัญหาร่วมสมัย

(*) Sraffian economics - Sraffa's Production of Commodities by Means of Commodities was an attempt to perfect Classical Economics' theory of value, as originally developed by David Ricardo and others. He aimed to demonstrate flaws in the mainstream neoclassical theory of value and develop an alternative analysis. In particular, Sraffa's technique of aggregating capital as dated inputs of labour led to a famous scholarly debate known as the Cambridge capital controversy.

Economists disagree on whether Sraffa's work refutes neoclassical economics. Many post-Keynesian economists use Sraffa's critique as justification for abandoning neoclassical analysis and exploring other models of economic behavior. Others see his work as compatible with neoclassical economics, as developed in modern general equilibrium models. Nonetheless, Sraffa's work, particularly his interpretation of Ricardo and his Production of Commodities by Means of Commodities, is seen as the starting point of the Neo-Ricardian school in the 1960s.

อย่างเช่น การประกอบสร้างฐานทางสังคมขึ้นใหม่ (socially-grounded reconstructions) ของปัจเจกชนในทฤษฎีเศรษฐศาสตร์, เป้าหมายและเครื่องมือวัดทางเศรษฐกิจและจริยธรรมของมืออาชีพ, ความซับซ้อนของการสร้างนโยบายในเศรษฐศาสตร์การเมืองโลกทุกวันนี้, และความเชื่อมโยงทางด้านนวัตกรรมในหมู่แนวคิดทฤษฎีจารีตเดิมๆ ที่แยกๆ กันอยู่ก่อนหน้านี้ เช่น Marxian, Austrian, feminist, ecological, Sraffian, institutionalist, และ post-Keynesian. (for a review of post-Keynesian economics, see Lavoie (1992); Rochon (1999)).

การพัฒนาอีกอันที่สำคัญ คือ การผุดขึ้นมาของเศรษฐศาสตร์ข้ามการเงิน (Transfinancial Economics) (ความเป็นไปได้ของการมีสื่อการแลกเปลี่ยนที่นำมาใช้แทนเงินตรา)(*) ที่ให้กำเนิดโดย Robert Searle อันนี้เกี่ยวข้องกับการทำความเข้าใจทุนใหม่และการปฏิวัติ
(*) สำหรับผู้สนใจประเด็นนี้ สามารถคลิกอ่านได้ที่ บทความของ Robert Searle ได้ที่http://www.newworldview.com/library/Searle_R_Transfinancial_Economics.html

สาขาของสำนักต่างๆ ของเศรษฐศาสตร์ทางเลือก (heterodox economics)

- American Institutionalist School
- Austrian economics (partly within, and partly outside of the mainstream economics
- Feminist economics
- Binary Economics
- Political economy (the term is used in various ways, also to describe certain kind of economics)
- Post-Keynesian economics
- Sraffian economics
- Marxian economics
- Socialist economics
- Bioeconomics
- Complexity economics
- Evolutionary economics (partly within mainstream economics)
- Institutional economics (partly within mainstream economics)
- Green economics
- Philonomics
- Neuroeconomics
- Supply-side economics

References

1. a b c LAWSON, Tony. The nature of heterodox economics. Published by Oxford University Press on behalf of the Cambridge Political Economy Society, 2005, in: Cambridge Journal of Economics 2006 30(4):483-505; doi:10.1093/cje/bei093

2. DOW, S. C. Prospects for the Progress in Heterodox Economics. Journal of the History of Economic Thought 22
(2): 157-170., 2000.

3. a b DAVIS, John B. The Nature of Heterodox Economics. post-autistic economics review, issue no. 40,
1 December 2006, article 3, pp.23-30.

4. GABRIEL, Satya J. Introduction to Heterodox Economic Theory. , June 4, 2003 Satya J. Gabriel is a Professor
of Economics at Mount Holyoke College

5. GABRIEL, Satya J. Introduction to Heterodox Economic Theory. , June 4, 2003, Based on lecture's notes at the author's website. Copyright ? 1996-2007, Satyananda J. Gabriel, Mount Holyoke College.

+++++++++คลิกไปอ่านต่อเรื่อง Heterodox Economics: เศรษฐศาสตร์ที่ปฏิเสธหลักการนีโอคลาสสิค
ภาคผนวก

(A) Post Keynesian economics is a school of thought which is based on the ideas of John Maynard Keynes. It differs from the interpretation of Keynes' ideas offered by mainstream Keynesian economics, such as the new Keynesian economics, emphasising in particular:

- The importance of uncertainty, historical time, or non-ergodicity
(as opposed to risk, logical time,and ergodic processes).
- The idea that money matters for the "real" economy (output, employment, etc.) in both the short and long runs.
- A rejection of neoclassical general equilibrium models.

Post Keynesian economists argue that a capitalist economy has no natural or automatic tendency towards full employment. Fixed investment is a major determinant of the level of aggregate demand in closed or large economy. Decisions on the level and direction of investment are made in anticipation of future events, which agents cannot know even probabilistically. Post Keynesians emphasize the need for government fiscal policy to support institutions to support employment and incomes.

Post Keynesian economics emphasizes macroeconomics. Many Post Keynesians look to American Institutionalists for microeconomics. Institutionalists include such economists as Thorstein Veblen, John R. Commons, Wesley Clair Mitchell, John Maurice Clark, Clarence Ayres, Gunnar Myrdal (not an American), and John Kenneth Galbraith.

Much Post Keynesian research is published in the Journal of Post Keynesian Economics (founded by Sidney Weintraub and Paul Davidson), the Cambridge Journal of Economics and the Review of Political Economy. The influence of Post Keynesian economics was greatest during the 1960s and 1970s, when the capital controversy was a focus of professional attention and the resurgence of unemployment showed up deficiencies in mainstream Keynesianism.

(B) Feminist economics broadly refers to a developing branch of economics that applies feminist lenses to economics. Research under this heading is often interdisciplinary or heterodox. It encompasses debates about the relationship between feminism and economics on many levels: from applying mainstream economic methods to under-researched "women's" areas, to questioning how mainstream economics values the reproductive sector, to examinations of economic epistemology and methodology.

One prominent issue that feminist economists investigate is how the Gross Domestic Product (GDP) does not adequately measure unpaid labor predominantly performed by women, such as housework, childcare, and eldercare. Since a large part of women's work is rendered invisible, they argue that policies meant to boost the GDP can, in many instances, actually worsen the impoverishment of women, even if the intention is to increase prosperity. For example, opening up a state-owned forest in the Himalayas to commercial logging may increase India's GDP, but women who collect fuel from the forest to cook with may face substantially more hardships.

(C) Marxian economics refers to a body of economic thought stemming from the work of Karl Marx. The adherents of Marxian economics, particularly in academia, distinguish it from Marxism as a political ideology, arguing that Marx's approach to understanding the economy is intellectually valuable per se, independent of Marx's advocacy for revolutionary socialism or the inevitability of proletarian revolution. It does not lean entirely upon the work of Marx and other widely known Marxists (Lenin, Trotsky, etc.), but may draw from a range of Marxist and non-Marxist sources. His work is seen as the basis for a viable analytic framework and an alternative to more conventional neoclassical economics.

Marx's economic theories
Marx's major work on political economy was Capital: A Critique of Political Economy (better known by the German title Das Kapital), a three-volume work, of which only the first volume was published in his lifetime (the others were produced by Engels from Marx's notes). Marx wrote other treatises on economics: Critique of Political Economy, one of his early works, was mostly incorporated into Capital, especially the beginning of Volume I. Marx's notes made in preparing to write Capital were published years later under the title Grundrisse.

Marx begins his analysis of capitalism with an analysis of the commodity. The first sentence of Capital, Volume I states: "The wealth of those societies in which the capitalist mode of production prevails, presents itself as 'an immense accumulation of commodities,' its unit being a single commodity."

Under the labour theory of value, the direct value of a commodity stems solely from the socially necessary labour time invested in it. But commodities also have a use value (that is, the direct utility gained from an item) and an exchange value (roughly equivalent to its market price, though Marxian economics would measure it in labour time). For example, the use value of a carrot lies in eating it and no longer being hungry, while its exchange value might be found in the quantity of gold (whose true value also lies in the labour which extracted it) which it could be sold for.

However, capitalists do not pay workers the full value of the commodities they produce. The gap between the value a worker produces and his or her wages are a form of unpaid labour, known as surplus value. Moreover, Marx notes that markets tend to obscure the social relationships and processes of production, a phenomenon he termed commodity fetishism. Consumers see a commodity only in market terms. In looking to obtain something as private property, they consider only its exchange value, rather than its labour value.

(D)The Austrian School, also known as the "Vienna School" or the "Psychological School", is a school of economic thought that advocates adherence to strict methodological individualism. As a result exponents of the Austrian School hold that the only valid economic theory is logically derived from basic principles of human action. Alongside the formal approach to theory, often called praxeology(1), the school has traditionally advocated an interpretive approach to history. Proponents of praxeological method hold that it allows for the discovery of economic laws valid for all human action, while the interpretive approach addresses specific historical events.

While often controversial, the Austrian School has been historically influential due to its emphasis on the creative phase (i.e. the time element) of economic productivity and its questioning of the basis of the behavioral theory underlying neoclassical economics.

(1) Praxeology is a framework for modeling human action. The term was first coined and defined as "The science of human action" in 1890 by Alfred Espinas in the Revue Philosophique, but the most common use of the term is in connection with the work of Ludwig von Mises and the heterodox Austrian School of economics. It is commonly referred to as a science, however this may be a misnomer because it does not appear to meet the guidelines for either empirical or formal sciences.

 

คลิกไปอ่านต่อเรื่อง Heterodox Economics: เศรษฐศาสตร์ที่ปฏิเสธหลักการนีโอคลาสสิค

++++++++++++++++++++++++++++++++++++


สารบัญข้อมูล : ส่งมาจากองค์กรต่างๆ

ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา 3
I สารบัญเนื้อหา 4 I สารบัญเนื้อหา 5 I สารบัญเนื้อหา 6
สารบัญเนื้อหา 7 I สารบัญเนื้อหา 8
ประวัติ ม.เที่ยงคืน

สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง

webboard(1) I webboard(2)

e-mail : midnightuniv(at)gmail.com

หากประสบปัญหาการส่ง e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
[email protected]

ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ทั้งหมด กว่า 1500 เรื่อง หนากว่า 30000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)gmail.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com

สมเกียรติ ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็บไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com

 

 

Media Project: From periphery to mainstream
The Midnight University 2008
Email 1: midnightuniv(at)gmail.com
Email 2: [email protected]
Email 3: midnightuniv(at)yahoo.com
บทความวิชาการนี้ เผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๕๑ : Release date 11 April 2008 : Copyleft by MNU.
Heterodox economics หรือ"เศรษฐศาสตร์ทางเลือก" คือ กลุ่มแนวการศึกษาหรือสำนักคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่ได้รับการพิจาร
ณาต่างไปจากแนวเศรษฐศาสตร์ดั้งเดิม หรือที่รู้จักในนาม เศรษฐ- ศาสตร์กระแสหลัก (mainstream economics). คำนี้เป็นดั่ง ร่มคันใหญ่ที่ครอบคลุมความคิดอันหลากหลายทาง เศรษฐศาสตร์ ตัวอย่างเช่น Feminist economics, Political economy, Marxian economics, Bioeconomics, Complexity economics, Green economics เป็นต้น. สำหรับบทแปลและเรียบเรียงต่อไปนี้ ประกอบด้วยสาระสำคัญอย่างเช่น นิยามความหมาย Heterodox economics, เศรษฐศาสตร์ดั้งเดิม การ-ปฏิเสธเศรษฐศาสตร์-นีโอคลาสสิค, การพัฒนาล่าสุดของแนวทาง
H