1
2
3
4
5
6
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
41
42
43
44
45
46
47
48
49
50
51
52
53
54
55
56
57
58
59
60
61
62
63
64
65
66
67
68
69
70
71
72
73
74
75
76
77
78
79
80
81
82
83
84
85
86
87
88
89
90
เพศ การปฏิวัติ การเปลี่ยนสังคม
และการท้าทายขั้วอำนาจเดี่ยว
จากนักรบข้างถนนในเม็กซิโก
- ถึงขั้วอำนาจใหม่ท้าทายอเมริกัน
ภัควดี
วีระภาสพงษ์: แปลและเรียบเรียง
โครงการสื่อเพื่อบริบทสิทธิมนุษยชน มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
เชิงอรรถเพิ่มเติมโดยกองบรรณาธิการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
บทความวิชาการต่อไปนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการสื่อเพื่อบริบทสิทธิมนุษยชน
ของเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ซึ่งเป็นโครงการที่ไม่หวังผลกำไร
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหาตัวอย่างและกรณีศึกษาเกี่ยวกับเรื่องสิทธิมนุษยชน
จากประเทศชายขอบทั่วโลก มาเป็นตัวแบบในการวิเคราะห์และสังเคราะห์
เพื่อเผชิญกับปัญหาสิทธิมนุษยชน(สิทธิชุมชน)ในประเทศไทย
สำหรับบทแปลและเรียบเรียงต่อไปนี้
ประกอบด้วย
๑. นักรบข้างถนนของเม็กซิโก: เพศ การปฏิวัติและการเปลี่ยนแปลงสังคม
๒. ขั้วอำนาจใหม่ในโลก: การท้าทายลุงแซม
โดยเรื่องแรกเกี่ยวกับการจับมือเป็นพันธมิตรระหว่างซาปาติสตา ผู้ทำงานบริการทางเพศ
และกลุ่มกระเทย
แสดงให้เห็นอำนาจของการเปลี่ยนแปลงสังคมด้วยกุญแจทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะในด้านที่เกี่ยวข้องกับ
ชีวิตประจำวัน เม็กซิโกเป็นประเทศหนึ่งที่มีลัทธิปิตาธิปไตย(patriarchy) และบ้าความเป็นชาย(machismo)
ส่วนเรื่องที่สองกล่าวถึง การที่สหรัฐฯ กำลังล้มเหลวลงอย่างไม่เป็นท่าทุกวัน
ก่อนหน้านี้สหรัฐอเมริกาคือมหาอำนาจ
ทางการเมือง เศรษฐกิจ และการทหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนพื้นพิภพ แต่ตอนนี้ อินเดีย
จีน และรัสเซีย เริ่มจับมือกัน
่ทั้งสามประเทศกำลังก้าวไปสู่การเป็นหุ้นส่วน ซึ่งสามารถเปลี่ยนโฉมหน้าความสัมพันธ์ระดับโลกและย้ายขั้วอำนาจ
จากวอชิงตันไปที่ นิวเดลี ปักกิ่ง และมอสโก และกำลังก้าวขึ้นมาต่อรองในเกือบทุกเรื่องกับสหรัฐฯ
เท่าที่เป็นไปได้
midnightuniv(at)gmail.com
บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา
ข้อความที่ปรากฏบนเว็บเพจนี้ ได้รักษาเนื้อความตามต้นฉบับเดิมมากที่สุด
เพื่อนำเสนอเนื้อหาตามที่ผู้เขียนต้องการสื่อ กองบรรณาธิการเพียงตรวจสอบตัวสะกด
และปรับปรุงบางส่วนเพื่อความเหมาะสมสำหรับการเผยแพร่ รวมทั้งได้เว้นวรรค
ย่อหน้าใหม่ และจัดทำหัวข้อเพิ่มเติมสำหรับการค้นคว้าทางวิชาการ
บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ลำดับที่ ๑๕๒๘
เผยแพร่บนเว็บไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่
๑๐ เมษายน ๒๕๕๑
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ
๑๕.๕ หน้ากระดาษ A4)
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เพศ การปฏิวัติ การเปลี่ยนสังคม
และการท้าทายขั้วอำนาจเดี่ยว
จากนักรบข้างถนนในเม็กซิโก
- ถึงขั้วอำนาจใหม่ท้าทายอเมริกัน
ภัควดี
วีระภาสพงษ์: แปลและเรียบเรียง
โครงการสื่อเพื่อบริบทสิทธิมนุษยชน มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
เชิงอรรถเพิ่มเติมโดยกองบรรณาธิการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
บทความบนหน้าเว็บเพจนี้
ประกอบด้วยบทความ ๒ เรื่อง
๑. นักรบข้างถนนของเม็กซิโก: เพศ การปฏิวัติและการเปลี่ยนแปลงสังคม
๒. ขั้วอำนาจใหม่ในโลก: การท้าทายลุงแซม
1. นักรบข้างถนนของเม็กซิโก:
เพศ การปฏิวัติและการเปลี่ยนแปลงสังคม
แปลจาก : Raul Zibechi, "Mexico's Street Brigade:
Sex, Revolution, and Social Change," Americas Policy Program Special
Report (Washington, DC: Center for International Policy, December 14, 2007).
(Web location: http://americas.irc-online.org/am/4822)
แปลเป็นภาษาอังกฤษโดย Nalina Eggert จาก : Brigada Callejera: Sexo, revolucion
y cambio social
การจับมือเป็นพันธมิตรระหว่างซาปาติสตา ผู้ทำงานบริการทางเพศ และกลุ่มกระเทย
แสดงให้เห็นอำนาจของการเปลี่ยนแปลงสังคมด้วยกุญแจทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะในด้านที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน
เม็กซิโกเป็นประเทศหนึ่งที่มีลัทธิปิตาธิปไตย (patriarchy) และบ้าความเป็นชาย
(machismo) (*) รุนแรงและฝังลึกที่สุดแห่งหนึ่ง รองผู้บัญชาการมาร์กอสแห่งซาปาติสตาเป็นผู้เปิดประตูให้แก่การวิวาทะเกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติต่อกลุ่มคนที่เป็นที่ถกเถียงมากที่สุดกลุ่มหนึ่ง
(*)Machismo is a prominently exhibited or excessive masculinity. As an attitude, machismo ranges from a personal sense of virility to a more extreme masculism.
หากมองตามตรรกะของทฤษฎีการปฏิวัติฉบับคลาสสิก มีประโยชน์อะไรที่จะเดินทางตั้งหลายพันกิโลเมตรเพื่อไปพบปะกับโสเภณีและกระเทยจำนวนหยิบมือหนึ่ง? พันธมิตรแบบนี้จะช่วยสนับสนุน "การสั่งสมอำนาจ" ซึ่งเป็นภารกิจหลักของนักการเมืองอาชีพได้อย่างไร? หากวิเคราะห์ตามหลักของต้นทุน-กำไรแล้ว เห็นได้ชัดว่า การลงทุนลงแรงเช่นนี้ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง แต่รองผู้บัญชาการมาร์กอส กลับทุ่มเทให้การพบปะกลุ่มคนเหล่านี้มาตั้งแต่เดือนมกราคมปีที่แล้วภายใต้ "การรณรงค์ทางเลือกอื่น" (La Otra Campana) (*) ด้วยเข้าใจดีว่า มันหมายถึงการแสวงหาหนทางดำเนินการทางการเมืองแนวใหม่ การรณรงค์ครั้งนี้รอนแรมไปตามสถานที่ต่าง ๆ ที่ห่างไกลจากฝูงชนบ้าคลั่ง และสังสรรค์กับกลุ่มคนที่เข้าใจเช่นเดียวกับชนพื้นเมืองว่า การเปลี่ยนแปลงสังคมคือการยืนยันความแตกต่าง
(*)The Other Campaign (Spanish: La otra campana) is a two-part plan of the Zapatista Army of National Liberation (EZLN for its Spanish initials). In its current stage, the Zapatista leadership charged Subcomandante Marcos to travel around Mexico for six months, holding discussions with activists around the country, gaining adherents and sympathizers with the Zapatista cause, and building a national infrastructure for organized dissent against the political and economic elite of Mexico.
The second stage, set to begin in 2007, will see Comandantes of the EZLN leave Chiapas and establish themselves in areas singled out by Marcos as focal points of resistance. Based upon the Sixth Declaration of the Lacandon Jungle, the Other Campaign is an attempt to form a united opposition to the form of "neoliberal capitalism" that they claim to dominate Mexico. According to the EZLN, all the mainstream parties are guided with commercial interest and ignore the interests of the Mexican people.
The political aims of the Other Campaign include the barring of privatization of public resources, and autonomy for indigenous peoples. They also aim for the drafting of a new national constitution and the reorganizing of Mexican society in a more equal system.
ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา Brigada Callejera de Apoyo a la Mujer (กลุ่มนักรบข้างถนนของผู้หญิง) คือการรวมตัวของกลุ่มชนชาวเม็กซิกัน ที่ช่วยถักทอให้เกิดตาข่ายการทำงานสังคมในหมู่โสเภณีและกระเทย จนเกิดเป็นองค์กรที่เรียกกันว่า เครือข่ายงานบริการทางเพศแห่งเม็กซิโก นี่หมายถึงการก้าวพ้นบทบาทของการเป็น "เหยื่อ" และกลายเป็นกลุ่มคนที่ต้องการการยอมรับในฐานะคนทำงานจากสมาชิกคนอื่น ๆ ในสังคม โดยไม่ถูกมองว่าเป็นบุคคลที่ "ตกต่ำ" ลงสู่อาชีพที่เก่าแก่ที่สุดในโลกเพราะความเขลา ความจนหรือการยอมจำนน หากเราลองพิจารณาดูคร่าว ๆ ถึงสิ่งที่พวกเขาต่อสู้มาจนถึงทุกวันนี้ เราจะได้เห็นการทำงานเพื่อปลดปล่อยมนุษย์อย่างลึกซึ้ง
การศึกษา คลินิกและถุงยางอนามัย
ลักษณะพิเศษที่ไม่เหมือนใครของเครือข่ายนี้ก็คือ สมาชิกของเครือข่ายไม่ต้องการพึ่งพิงรัฐ
มิหนำซ้ำยังวิพากษ์วิจารณ์รัฐตลอดเวลา กลุ่มนักรบข้างถนนเริ่มทำงานมาตั้งแต่
15 ปีที่แล้ว ฐานของกลุ่มมาจากนักศึกษาคณะสังคมวิทยาจากมหาวิทยาลัย National
Autonomous University of Mexico (UNAM) กลุ่มผู้ริเริ่มเล็ก ๆ ประกอบด้วย เอลวิรา
มาดริด, ไฆเม มอนเตโฆ และโรซา อิเซลา พวกเขาเริ่มถักทอเครือข่ายซึ่งในปัจจุบันครอบคลุมถึง
28 รัฐจาก 32 รัฐของเม็กซิโก โดยเลือกทำงานในรูปแบบโครงสร้างแนวระนาบ เหตุผลไม่ใช่เพราะอุดมการณ์ทางการเมือง
แต่เป็นเพราะ "รัฐบาลมักดึงคนในองค์กรต่าง ๆ มาเป็นพวก นี่เป็นพฤติกรรมที่ทำกันจนเป็นนิสัยในวัฒนธรรมทางการเมืองของประเทศนี้
ดังนั้น เราจึงเห็นว่า วิธีที่ดีที่สุดคือทำงานด้วยโครงสร้างเชิงระนาบ ในรูปแบบของสมัชชา
และพยายามไม่มีตัวแทน" เอลวิราชี้ให้เห็นเหตุผล
เครือข่ายหนุนให้หญิงบริการก่อตั้งสหกรณ์เพื่อหลีกเลี่ยงการพึ่งพิงและเป็นนายจ้างของตัวเอง พวกเขาเช่าโรงแรมและแบ่งกำไรในหมู่สมาชิก กลุ่มแรกที่ตั้งสหกรณ์สำเร็จคือกลุ่มกระเทย ซึ่งก่อตั้งสหกรณ์นางฟ้าผู้แสวงหาเสรีภาพ (Angeles en Busca de Libertad). "โรงแรมของสหกรณ์เปิดดำเนินการในหลายรัฐ แต่บางแห่งก็ล้มเหลวเพราะสมาชิกไปเลียนแบบพฤติกรรมอย่างเดียวกับที่พวกเขาต่อต้าน" โรซาวิจารณ์
แต่โครงการที่ถือเป็นดาวเด่นของเครือข่ายและได้รับการยกย่องมากก็คือ คลินิก ในเม็กซิโกซิตีที่เดียวก็มีคลินิกถึงสองแห่ง คลินิกเหล่านี้มีการบริหารจัดการกันเองและให้บริการโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย จุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดคลินิกคือปฏิกิริยาต่อความฉ้อฉลและการเลือกปฏิบัติของหน่วยงานรัฐ ซึ่งจะให้บริการต่อเมื่อได้สินบน. ยิ่งกว่านั้น เอลวิราชี้ให้เห็นว่า "การถูกตรวจร่างกายเป็นเรื่องที่พวกเขากลัว เพราะมันอาจหมายถึงการสูญเสียรายได้ ยิ่งเวลาที่สาวคนไหนมีเชื้อเอดส์ รัฐจะติดรูปเธอไว้ตามโรงแรมต่าง ๆ เพื่อห้ามโรงแรมไม่ให้เธอเช่าห้อง" ในทางตรงกันข้าม การตรวจร่างกายในคลินิกของเครือข่ายเป็นเรื่องของความสมัครใจและความลับ โดยเน้นให้การศึกษามากกว่า "แรงงานทางเพศส่วนใหญ่ไม่รู้หนังสือและมีจำนวนมากที่เป็นชนพื้นเมือง ด้วยเหตุนี้ เราจึงทุ่มเทไปที่การศึกษา ถึงขนาดที่ผู้เข้าร่วมเครือข่ายส่วนใหญ่กลายเป็นนักรณรงค์ด้านสุขภาพอนามัยและให้การศึกษาแก่เพื่อนร่วมอาชีพได้ ซึ่งเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากกว่า"
คลินิกแห่งหนึ่งในเม็กซิโกซิตีตั้งอยู่ใจกลางเมืองตรง "ย่านโคมแดง"เลยทีเดียว มีบริการตรวจช่องคลอด ตรวจมะเร็งปากมดลูก รวมทั้งศัลยกรรมไฟฟ้า เพราะดังที่โรซาบอกว่า "ในเม็กซิโก เชื้อไวรัสปาปิโลมา (HPV) (*) ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตมากกว่าเชื้อ HIV เสียอีก" ในขณะที่โรงพยาบาลรัฐต้องเข้าคิวรอถึงสองเดือนกว่าจะได้พบแพทย์และเข้าคิวรออีกหนึ่งปีกว่าจะได้ผ่าตัด แต่ที่คลินิกของเครือข่าย ทุกอย่างเรียบร้อยในเวลาแค่หนึ่งสัปดาห์
(*) HPV หรือ Human Papilloma Virus เป็นไวรัสที่ก่อให้เกิดหูด ชนิดต่างๆ มีสายพันธ์มากกว่า ๑๐๐ ชนิด แต่ละสายพันธ์จะก่อให้เกิดโรคได้ต่างชนิดกัน กว่า ๔๐ ชนิดที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อที่บริเวณอวัยวะสืบพันธ์และทวารหนัก ที่เกิดขึ้นได้ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง ที่รู้จักกันกันดี คือ หูดหงอนไก่ บางกลุ่มของการติดเชื้อ HPV ที่อวัยวะสืบพันธ์และทวารหนัก ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่บริเวณปากมดลูก และสามารถนำไปสู่การเกิดมะเร็งที่ปากมดลูก การติดเชื้อหูดหงอนไก่และ HPV มักจะเกิดจากการติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการเปลี่ยนคู่นอนบ่อยก็เป็นความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดการติดเชื้อเพิ่มขึ้นด้วย (นพ. ธีรศักดิ์ ธำรงธีระกุล ดูรายละเอียดเพิ่มเติมใน) http://www.vibhavadi.com/web/health_detail.php?id=119)
(*) Papillomaviruses
are a diverse group of DNA-based viruses that infect the skin and mucous membranes
of humans and a variety of animals. Approximately 130 human papillomavirus
(HPV) types have been identified.
Some HPV types may cause warts while others may cause a subclinical infection
resulting in precancerous lesions. All HPVs are transmitted by skin-to-skin
contact and/or by fomites. A group of about 30-40 HPVs is typically transmitted
through sexual contact and infect the anogenital region. Some sexually transmitted
HPVs may cause genital warts. However, other HPV types which may infect the
genitals do not cause any noticeable signs of infection.
กลุ่มโสเภณีและกระเทยมีความกระตือรือร้นกับคลินิก "ของพวกเขา" คนกลุ่มนี้มักพาคู่ของตนมาด้วย และบางครั้งก็ถึงขนาดพาลูกค้ามา "หลักใหญ่ใจความในการทำงานของเราคือการให้เกียรติ เราไม่ซักไซ้ว่าทำไมถึงติดโรค แต่เน้นให้การศึกษาเพื่อไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก พวกเขาจึงไม่ใช่แค่คนไข้ แต่กลายเป็นผู้มีส่วนร่วมที่มีบทบาทในการดูแลรักษาสุขภาพ" เอลวิรากล่าว โครงการนี้มีความรอบด้านมากขึ้นด้วยการจัดโครงการอาหารสำหรับผู้มีรายได้จำกัด หรือคนที่ไม่สามารถทำงานด้วยเหตุผลบางอย่าง โครงการโรงเรียนสำหรับเด็ก ๆ และอีกโครงการที่ช่วยให้สตรีที่มีลูกสามารถเรียนหนังสือจบหลักสูตร
โครงการต่าง ๆ ของเครือข่ายได้เงินสนับสนุนจาก "การตลาดถุงยางอนามัยเพื่อสังคม" มีการขายถุงยางอนามัยในราคาต่าง ๆ ตามแต่กำลังทรัพย์และความใส่ใจของผู้ซื้อ นี่เป็นรายได้ถึง 85% ของรายได้ทั้งหมดของเครือข่าย ไม่มีเจ้าหน้าที่คนไหนได้รับเงินเดือนและคนกลุ่มเดียวที่ได้รับค่าจ้างในการทำงานคือหมอ. "เราไม่เห็นด้วยกับงานบริการทางเพศ แต่มันคือสิ่งที่มีอยู่และจะมีต่อไป เพราะฉะนั้น เราก็ต้องทำอะไรบางอย่าง เราเคยเป็นกลุ่มที่เรียกร้องให้ยกเลิกอาชีพนี้ให้หมด แต่ต่อมาเราก็เห็นว่า มันไม่ใช่เรื่องการช่วยใครให้พ้นขุมนรก แต่เป็นเรื่องของการทำงานร่วมกันมากกว่า" ไฆเมชี้แจง สำหรับคนที่ต้องการเปลี่ยนอาชีพ ก็มีโครงการช่วยเหลือ ที่เด่นที่สุดก็คือการฝึกอบรมงานหัตถกรรม การผลิตและขายเสื้อผ้า และเปิดร้านขายถุงยางอนามัย ถึงแม้บางโครงการอาจไปไม่รอด แต่ด้วยการร่วมมือกันดุจครอบครัว มีถึงสองในสามของโครงการทั้งหมดที่เอาตัวรอดได้
การอยู่รอดในป่าดงดิบ
ใน ค.ศ. 2004 สมาชิกของกลุ่มนักรบข้างถนนได้รู้จักกับกลุ่มสุขภาพเพื่อทุกคน (Colectivo
de Salud para Todos y Todas) ซึ่งเป็นกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยที่จัดทำโครงการสุขภาพในเขตปกครองตนเองซาปาติสตาในรัฐเชียปาส
เป็นเวลาสองปีที่พวกเขาทำงานกับกลุ่มส่งเสริมด้านสุขภาพในชุมชน ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองที่เพื่อนบ้านเลือกมาให้อบรมเพื่อเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสุขอนามัย
"ความท้าทายประการแรก ๆ คือการทะลวงกรอบความกลัวของกำแพงทางวัฒนธรรมในประเด็นของการคุมกำเนิด
เพศและสิทธิในการเจริญพันธุ์ รวมทั้งเชื้อโรคที่ติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์"
นี่คือคำบอกเล่าของสมาชิกในกลุ่ม
ระหว่างการให้คำปรึกษาและการอบรม พวกเขาเลือกหัวข้อที่ต่อมาขยายกลายเป็นคู่มือเล่มหนาชื่อเข้มข้น นั่นคือ "การรณรงค์ทางเลือกอื่นว่าด้วยสุขภาพทางเพศและการเจริญพันธุ์เพื่อการต่อต้านขัดขืนของชาวพื้นเมืองและชาวไร่ชาวนาในเม็กซิโก" คู่มือหนากว่า 270 หน้าเล่มนี้ เต็มไปด้วยรูปประกอบคำบรรยายอย่างละเอียดสำหรับใช้ทำงานกับหญิงชาวพื้นเมือง ครอบคลุมประเด็นเกี่ยวกับกายวิภาคและสรีรศาสตร์ของอวัยวะสืบพันธุ์ การใช้อุปกรณ์คุมกำเนิด การตั้งครรภ์ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และโรคอื่น ๆ นอกจากนี้ยังพูดถึงการทำแท้ง ถึงแม้จะถูกผู้นำทางศาสนาประณามก็ตาม "เมื่อขบวนการซาปาติสตาประกาศว่า การทำแท้งไม่ใช่อาชญากรรม บาทหลวงซามูเอล รูอิซ ซึ่งใกล้ชิดกับชาวพื้นเมืองมาก ออกเดินทางไปตามชุมชนต่าง ๆ และประณามว่า การทำแท้งเป็นบาป" ไฆเมระลึกถึงเหตุการณ์นี้
นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายบทที่พูดถึงการรักษาสุขภาพทางเลือกแบบต่าง ๆ มีบทหนึ่งกล่าวถึง "ความเป็นอิสระทางร่างกายของผู้หญิง" ซึ่งให้ความรู้ว่าจะหลีกเลี่ยงโรคต่าง ๆ อย่างไร การเลือกจำนวนบุตรที่ต้องการมี และการมีสุขทางกามารมณ์ (ซึ่งเป็นเรื่องต้องห้ามในหมู่ชาวพื้นเมือง) ในคู่มือเล่มนี้พูดถึงความเป็นอิสระทางร่างกายในแง่ของการสำรวจประสาทสัมผัสต่าง ๆ ความสัมพันธ์ระหว่างภาษากับร่างกาย และปฏิกิริยาของร่างกายในสถานการณ์ต่าง ๆ ความรู้ในด้านการนวดช่วยเชื่อมโยงประเด็นนี้กับการดูแลสุขภาพในแบบองค์รวม
การทำคู่มือนี้ขึ้นมาหมายถึงการเอาชนะอุปสรรคหลาย ๆ ประการ ในแง่ของการวางแผนครอบครัว ชุมชนชาวพื้นเมืองต้องเจอะเจอประสบการณ์ที่แตกต่างกันสามแบบคือ
- การกดขี่และวางแผนแบบอำนาจนิยมของรัฐบาล
- การสั่งห้ามการคุมกำเนิดของฝ่ายศาสนา และ
- "ความปรารถนาของกองทัพจรยุทธ์ที่จะออกลูกออกหลานกบฏมาครองโลก"
จากสามแง่มุมที่แตกต่างกันนี้ มีนโยบายออกมาสามแบบ แต่ทั้งหมดล้วนมองข้ามความต้องการของผู้หญิง คู่มือฉบับนี้เป็นประโยชน์สำหรับผู้ให้การศึกษาหลายร้อยคนที่ทำงานในคลินิกที่ซาปาติสตาสร้างเองหลายสิบแห่ง คลินิกนี้ดำเนินงานมากว่าสิบปีในชุมชนที่สนับสนุนซาปาติสตาหลายพันแห่ง
เอลวิราและโรซาเล่าว่า เมื่อเริ่มต้นทำงาน สิ่งที่แตกต่างจากที่นักสังคมวิทยาคิดไว้ก็คือ ผู้หญิงในชุมชนป่าลากันดอน กระตือรือร้นกับการคุมกำเนิดมาก จากนั้นพวกเธอค่อย ๆ เปิดรับเรื่องอื่น ๆ มากขึ้น "เราส่งเสริมด้านสุขภาพทางเพศและการตั้งครรภ์ โดยถือเป็นอิสรภาพภาคปฏิบัติ ไม่ใช่การยัดเยียดหรือข้อห้าม ด้วยเหตุผลนี้ เราจึงยึดมั่นในหลักการให้เกียรติต่อคนที่เป็นเกย์ เลสเบียน ไบเซ็กช่วลและแปลงเพศ มันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เราเริ่มเห็นคู่รักชาย-ชาย เดินจูงมือกันอย่างเปิดเผยในชุมชนบ้างแล้ว หรือเห็นผู้หญิงตัดสินใจหย่า ในสมัยก่อนที่จะมีเขตปกครองตนเองของซาปาติสตา พ่อแม่เป็นคนจับคู่ให้ลูกแต่งงาน นี่คือความเปลี่ยนแปลงทางสังคม และเป็นความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่"
กลุ่มคนแปลงเพศเปลี่ยนแปลงโลกได้หรือไม่?
เมื่อครึ่งศตวรรษก่อน หนึ่งในผู้ก่อตั้งลัทธิ "สังคมนิยมวิทยาศาสตร์"
เขียนไว้ว่า ชนชั้นกรรมาชีพสามารถเปลี่ยนแปลงโลก เพราะพวกเขาไม่มีอะไรจะสูญเสียอีกแล้ว
"นอกจากโซ่ตรวนที่จองจำตนเอง" ทุกวันนี้ ทายาทของชนชั้นกรรมาชีพกำลังก่อกบฏ
เมื่อพวกเขาต้องสูญเสียสิทธิของตนเองไปเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นงานประจำหรือเงินบำนาญ
พวกเขาจึงไม่ยอมจ่ายภาษีและหยุดงานประท้วงไม่ยอมเสียภาษี
รองผู้บัญชาการมาร์กอสกล่าวเป็นนัย ๆ ไว้ในปัจฉิมกถาท้ายคู่มือเล่มนี้ เขาชิ้ให้เห็นว่า การร้อยรัดสุขภาพและเพศเข้าด้วยกัน เป็นแกนกลางที่แข็งแกร่งที่สุดในการควบคุมสังคม "ระบบทุนนิยมเปลี่ยนสุขภาพให้เป็นสินค้าในตลาด ผู้บริหารโรงพยาบาล หมอ พยาบาล และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขถูกเปลี่ยนไปเป็นหัวหน้างานในธุรกิจนี้ เปลี่ยนคนไข้ให้กลายเป็นลูกค้าด้วย โดยมีเป้าหมายอยู่ที่การทำเงินให้มากที่สุดโดยไม่จำเป็นต้องให้สุขภาพที่ดีตอบแทนแก่ลูกค้า" บนถนนไปสู่การพึ่งพิงตัวเองนี้
ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ชาวซาปาติสตาเดินมาบรรจบกับแนวคิดเกี่ยวกับสุขภาพของโสเภณีและขบวนการจัดตั้งกลุ่มคนผิดเพศ เพราะคนสองกลุ่มนี้ถูกบีบให้ดูแลสุขภาพด้วยตัวเองเช่นกัน เมื่อมองในแง่นี้ คนบางกลุ่มถูกจัดประเภทให้เป็นพวก "ไร้ค่า" ไม่มีแม้แต่โซ่ตรวน วัตถุเงินทองหรือภาพลักษณ์ให้สูญเสียด้วยซ้ำ
เกี่ยวกับผู้เขียน:
Raul Zibechi เป็นนักวิเคราะห์ข่าวต่างประเทศของ Brecha วารสารรายสัปดาห์ที่ออกในกรุงมอนเตวิเดโอ
ประเทศอุรุกวัย นอกจากนี้ เขายังเป็นอาจารย์และนักวิจัยเกี่ยวกับขบวนการสังคมในสถาบัน
Multiversidad Franciscana ของละตินอเมริกา รวมทั้งเป็นที่ปรึกษาให้ขบวนการสังคมอีกหลายขบวนการ
เขาเขียนบทความเป็นประจำทุกเดือนให้ Americas Program (www.americaspolicy.org)
ภาคผนวก: ถุงยางกู้สังคม
การขายถุงยางอนามัยคือแหล่งรายได้หลักสำหรับโครงการต่าง ๆ ของเครือข่ายงานบริการทางเพศแห่งเม็กซิโก.
"ตอนที่เราเริ่มโครงการป้องกันโรคเอดส์" เอลวิราระลึกความหลัง "เราตระหนักว่า
ราคาคือหนึ่งในปัญหาใหญ่ สำหรับหญิงบริการสูงอายุ การจ่ายเงิน 25 เปโซซื้อถุงยางอนามัย
หมายถึงการลงทุนด้วยเงินเกือบทั้งหมดที่ได้จากลูกค้า" ตอนแรก เครือข่ายพยายามขอทุนจากรัฐผ่านทางองค์กร
CENSIDA ซึ่งเป็นองค์กรที่ทุ่มเทเพื่อการต่อสู้กับโรคเอดส์ องค์กรบริจาคถุงยางอนามัยให้เครือข่ายเดือนละ
60,000 ชิ้น "แต่พอเราเริ่มรายงานการฉ้อราษฎร์บังหลวงในองค์กรนั้น พวกเขาเลยลดจำนวนบริจาคเหลือแค่
3,600 ชิ้น"
พวกเขาจึงเริ่มออกไปเจรจากับตัวแทนจำหน่ายและโรงงานผลิตถุงยางอนามัย และพบกับเรื่องที่ตรงกันข้ามกับกฎการตลาด นั่นคือ ยิ่งซื้อมาก ราคายิ่งสูงขึ้น พวกเขาติดต่อกับผู้ผลิตรายหนึ่ง ซึ่งยอมขายถุงยางให้ในราคาเดียวกับที่ขายให้ร้านขายยาและผู้จำหน่ายรายอื่น ๆ "เราตกใจเกือบตาย เขาขายคอนดอมให้เราในราคาชิ้นละ 75 เซนต์ แต่ในร้านขายยาขายชิ้นละ 12 เปโซ แพงกว่าต้นทุนถึง 15 เท่า" เอลวิราเล่า
เครือข่ายเริ่มจำหน่ายถุงยางในราคาชิ้นละ 1 เปโซ ด้วยกำไรจากการขาย พวกเขาสามารถหาเงินสนับสนุนโครงการได้เกือบทั้งหมด โดยเฉพาะคลินิกที่ใช้ทุนมากที่สุด "ก่อนวางขาย เราคุยกับสหายหญิงบริการทั้งหลาย จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อจะได้รู้ว่าพวกเธอต้องการอะไร ถุงยางอนามัยบางยี่ห้อมีกลิ่นเหม็นหรือระคายเคืองเพราะมีสารพิษตกค้าง สหายหญิงเหล่านี้เป็นคนแนะนำให้ตั้งชื่อว่า "El Encanto" (มนตร์เสน่ห์) หลังจากประชุมถกเถียงกันถึง 3 เดือน โดยมีผู้ให้บริการทางเพศหลายร้อยคนเป็นผู้เลือกถุงยางที่ดีที่สุดจาก 20 ยี่ห้อ" ยี่ห้อที่เลือกมานี้เป็นที่ถูกใจทั้งลูกค้าและผู้ให้บริการ ในปัจจุบัน พวกเขาขายถุงยางได้ถึง 3 ล้านชิ้นต่อปี
แต่กลุ่มกระเทยตัดสินใจไม่ใช้ถุงยางยี่ห้อนั้น เพราะมันไม่เหมาะกับการใช้ของพวกเขา "พวกเขาบอกว่า มันบางไป พวกเขาพูดถูก เพราะถุงยางชนิดนี้ออกแบบมาสำหรับการใช้กับอวัยวะเพศหญิง มันจะฉีกขาดถ้าพวกเขานำไปใช้" กลุ่มกระเทยหายี่ห้อที่หนาและลื่นกว่า และเริ่มประชุมถกเถียงกันด้วยกระบวนการเดียวกับหญิงบริการ ในที่สุด พวกเขาเลือกพิมพ์รูปสายรุ้งและรูปสามเหลี่ยมสีชมพูไว้บนกล่องถุงยาง รูปสายรุ้งบ่งบอกความหลากหลายทางเพศ "ส่วนชื่อยี่ห้อ Triangulo (สามเหลี่ยม) เป็นสัญลักษณ์ที่นาซีใช้ตีตราพวกโฮโมเซ็กช่วล ดังนั้น กลุ่มกระเทยจึงเอามาใช้เป็นเครื่องเตือนความทรงจำ" เอลวิรากล่าว
แต่ห่วงยางอนามัยของผู้หญิงกลับไม่ประสบความสำเร็จ ไม่กี่ปีก่อน พวกเขาเริ่มนำเข้าห่วงยางอนามัยจากประเทศอังกฤษ จนกระทั่งบริษัทข้ามชาติบริษัทหนึ่งระแคะระคายว่า ตลาดเม็กซิกันกำลังเติบโต จึงไม่ยอมให้เครือข่ายได้เป็นผู้จัดจำหน่ายอีก ด้วยเหตุนี้ ตลาดอุปกรณ์คุมกำเนิดจึงมีการผูกขาดมาก "ทั้งโลกมีโรงงานผลิตถุงยางอนามัยถึง 67 แห่ง แต่มีโรงงานเดียวที่ผลิตห่วงยางอนามัยสำหรับผู้หญิง เราคงต้องรอให้มีการแข่งขันมากกว่านี้" เอลวิราพูดประชด
รองผู้บัญชาการมาร์กอสเป็นผู้สนับสนุน El Encanto ที่มีชื่อเสียงที่สุด เม็กซิโกมีประวัติการจัด "เทศกาลถุงยาง" มายาวนาน ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2005 มีการจัดเทศกาลถุงยางอนามัยแห่งชาติครั้งที่ 50 ในจัตุรัสกลางกรุงเม็กซิโกซิตี และในหลาย ๆ รัฐ มีการจัดเทศกาลถุงยางอนามัยประจำปีเพื่อหารายได้ให้องค์กรที่เกี่ยวข้องกับงานบริการทางเพศ ไม่นานมานี้มีร้านขายถุงยางอนามัยออนไลน์เปิดตัวเป็นแห่งแรกที่ www.elencantodelcondon.com.
วันงานบริการทางเพศแห่งชาติ:
การต่อสู้กับความรุนแรงทางเพศ
อาชญากรรมและการใช้ความรุนแรงต่อผู้ให้บริการทางเพศ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรายวัน
ในวันที่ 11 กรกฎาคม ค.ศ. 2006 ทหารกลุ่มหนึ่งข่มขืนนักเต้นระบำ 14 คน ในเมืองคาสตันโญส
รัฐโคอาอุยลา ผู้กระทำความผิดกลับลอยนวล ผ่านมาอีกเพียง 15 วัน ในเขตลาเมอร์เซดของเมืองเม็กซิโกซิตี
มีผู้ทำงานบริการทางเพศ 4 คน ถูกฆาตกรรม
ในการจัดงานรำลึกครบรอบหนึ่งปีของคดีข่มขืนที่เมืองคาสตันโญส เครือข่ายงานบริการทางเพศแห่งเม็กซิโกริเริ่มจัดงานฉลอง "วันงานบริการทางเพศแห่งชาติ" เพื่อดึงให้สาธารณชนหันมาสนใจปัญหาความรุนแรงและการเลือกปฏิบัติที่โสเภณีและกระเทยได้รับ เครือข่ายประกาศคัดค้านการจัด "เขตยินยอมให้ค้าบริการทางเพศ" ของรัฐในหลาย ๆ เมือง โดยให้เหตุผลว่า นี่เป็น "ระบบควบคุมที่ทำให้การขูดรีดทางเพศ ทางเศรษฐกิจและทางจิตวิทยาต่อเยาวชนและผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการค้าทางเพศ กลายเป็นเรื่องถูกกฎหมาย" อย่างไรก็ตาม เครือข่ายยืนยันว่า หลังจากจับตาดูมา 7 ปี ผู้ให้บริการทางเพศมักถูกทำร้ายด้วยการ "อุ้มหาย" ลักพาตัว และการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็ก
2. ขั้วอำนาจใหม่ในโลก:
การท้าทายลุงแซม
แปลจาก : Conn Hallinan,
"Challenging a Unipolar World," (Washington, DC: Foreign Policy
In Focus, January 21, 2008). [Web location: http://fpif.org/fpiftxt/4904]
การที่สหรัฐฯ ล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่าในอิรัก ทำให้เกิดปรากฏการณ์หนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน โลกมหาอำนาจขั้วเดียวที่ผุดขึ้นมาจากเถ้าถ่านของสงครามเย็น ตอนนี้ดูเหมือนโลกใบนั้นกำลังมอดม้วยลงแล้ว ย้อนกลับไปแค่ราวสิบปีก่อน สหรัฐอเมริกาคือมหาอำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจและการทหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนพื้นพิภพ แต่ทุกวันนี้ กองทัพสหรัฐฯ กำลังน้าวจนสุดล้าภายใต้ภาระหนักอึ้งของการยึดครองอิรักที่มีแต่เสียงก่นด่า ส่วนเศรษฐกิจในประเทศก็กำลังซวดเซลงสู่ภาวะถดถอย และประเทศ "พันธมิตร" ที่สหรัฐฯ พอจะวางใจได้เต็มร้อยในสหประชาชาติ ก็มีแค่ อิสราเอล สาธารณรัฐปาเลา และหมู่เกาะมาร์แชลล์เท่านั้น
แทนที่จะได้รับการยกย่องเป็น "ศตวรรษอเมริกัน" อย่างที่พวกอนุรักษ์นิยมใหม่ในรัฐบาลบุชทำนายไว้ โลกกลับกลายเป็นโลกที่มีพันธมิตรในระดับภูมิภาคและการร่วมมือกันทางการค้ามากขึ้น โดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกาใต้ กลุ่มต่าง ๆ เหล่านี้ก้าวขึ้นมาท้าทายอำนาจครอบงำของวอชิงตัน ซึ่งครั้งหนึ่งไม่เคยมีประเทศหน้าไหนกล้าทุ่มเถียง
เมื่ออาร์เจนตินาเชิดจมูกใส่ธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ สององค์กรโลกบาลที่อยู่ใต้อิทธิพลของสหรัฐฯ อาร์เจนตินาก็มีกลุ่มตลาดร่วม Mercosur (*) อันทรงอำนาจไม่แพ้กันคอยหนุนหลัง เมื่อสหรัฐอเมริกาพยายามไล่ต้อนยุโรปให้ยุติการให้ทุนอุดหนุนแก่ภาคเกษตร (ขณะที่สหรัฐฯ ยังคงให้ทุนอุดหนุนภาคเกษตรของตนต่อไป) สหภาพยุโรปก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้เหมือนกัน
(*) Mercosur ตลาดร่วมอเมริกาใต้ที่มีสมาชิกหลายประเทศ อาทิเช่น อาร์เจนตินา บราซิล ปารากวัย อุรุกวัย ชิลี ฯลฯ)
Mercosur or Mercosul is a Regional Trade Agreement (RTA) among Brazil, Argentina, Uruguay and Paraguay, founded in 1991 by the Treaty of Asunci?n, which was later amended and updated by the 1994 Treaty of Ouro Preto. Its purpose is to promote free trade and the fluid movement of goods, people, and currency.
Mercosur/Mercosul origins trace back to 1985 when Presidents Ra?l Alfons?n of Argentina and Jos? Sarney of Brazil signed the Argentina-Brazil Integration and Economics Cooperation Program or PICE (Spanish: Programa de Integraci?n y Cooperaci?n Econ?mica Argentina-Brasil, Portuguese: Programa de Integra??o e Coopera??o Econ?mica Argentina-Brasil).
Bolivia, Chile, Colombia, Ecuador and Peru currently have associate member status. Venezuela signed a membership agreement on 17 June 2006, but before becoming a full member its entry has to be ratified by the Paraguayan and the Brazilian parliaments. The founding of the Mercosur Parliament was agreed at the December 2004 presidential summit. It should have 18 representatives from each country by 2010.[2]
Some South Americans see Mercosur as giving the capability to combine resources to balance the activities of other global economic powers, especially the NAFTA and the European Union.
และตอนนี้ อินเดีย จีน และรัสเซีย เริ่มจับมือกัน หากจะบอกว่าเป็นพันธมิตร ก็คงเป็นคำที่ใหญ่โตเกินไป แต่ทั้งสามประเทศกำลังก้าวไปสู่การเป็นหุ้นส่วน ซึ่งสามารถเปลี่ยนโฉมหน้าความสัมพันธ์ระดับโลกและย้ายขั้วอำนาจจากวอชิงตันไปที่ นิวเดลี ปักกิ่ง และมอสโก นี่เป็นการจับมือกันตามความสะดวกของแต่ละฝ่าย ทั้งนี้เนื่องจากผลประโยชน์ของสามประเทศไม่ได้สอดคล้องกันทุกเรื่อง
หุ้นส่วนในประเด็นพลังงาน
ยกตัวอย่างเช่น ในประเด็นความมั่นคง จีนจับตามองไปทางตะวันออกที่ประเทศไต้หวัน
อินเดียเขม้นไปทางทิศเหนือที่ประเทศปากีสถาน ส่วนรัสเซียชายตาไปทางตะวันตกที่องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ
(NATO) รุกคืบเข้ามาเรื่อย ๆ. จีนกับอินเดียยังคงมีความตึงเครียดระหว่างกันเกี่ยวกับสงครามตามพรมแดนใน
ค.ศ. 1962 และรัสเซียกับจีนก็ยังหมางใจกันมาตั้งแต่สงครามเวียดนาม
แต่การค้าระหว่างประเทศที่กำลังเติบโต ความกังวลด้านความมั่นคงที่ต้องตรงกัน และความกระหายพลังงานแทบไม่รู้จักอิ่ม ชักนำให้ทั้งสามประเทศมาประสานมือกัน ดังที่ (อดีต) ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน เรียกว่า ความสัมพันธ์ "ไตรภาคี". กาวใจเริ่มต้นคือผลประโยชน์ร่วมกันในแหล่งก๊าซธรรมชาติและน้ำมันในเอเชียกลาง
ใน ค.ศ. 2001 จีน รัสเซีย อุซเบกิสถาน คาซัคสถาน เติร์กเมนิสถาน ทาจิกิสถาน และคีร์กีซสถาน ร่วมกันก่อตั้ง องค์กรความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Cooperation Organization-SCO) เพื่อต้านทานความเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ ที่ต้องการเข้ามาฮุบแหล่งก๊าซและน้ำมันในเอเชียกลาง รวมทั้งคานอำนาจกับบทบาทของนาโตที่มีมากขึ้นในแถบฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก. SCO รับอินเดียเข้ามาเป็นสมาชิกอีกรายและให้สถานะผู้สังเกตการณ์แก่ประเทศอิหร่าน ปากีสถาน มองโกเลียและอัฟกานิสถาน
(*) The Shanghai Cooperation Organisation (SCO) is an intergovernmental mutual-security organization which was founded in 2001 by the leaders of China, Russia, Kazakhstan, Kyrgyzstan, Tajikistan and Uzbekistan. Except for Uzbekistan, the other countries had been members of the Shanghai Five, founded in 1996; after the inclusion of Uzbekistan in 2001, the members renamed the organization.
Activities
Cooperation on security - The SCO is primarily
centered around its member nations' Central Asian security-related concerns,
often describing the main threats it confronts as being terrorism, separatism
and extremism.
Economic cooperation - A Framework Agreement to enhance economic cooperation was signed by the SCO member states on 23 September 2003. At the same meeting the PRC's Premier, Wen Jiabao, proposed a long-term objective to establish a free trade area in the SCO, while other more immediate measures would be taken to improve the flow of goods in the region. A follow up plan with 100 specific actions was signed one year later, on September 23, 2004.[10][11]
Cultural cooperation - Cultural cooperation also occurs in the SCO framework. Culture ministers of the SCO met for the first time in Beijing on 12 April 2002, signing a joint statement for continued cooperation. The third meeting of the Culture Ministers took place in Tashkent, Uzbekistan, on 27-28 April 2006. An SCO Arts Festival and Exhibition was held for the first time during the Astana Summit in 2005. Kazakhstan has also suggested an SCO folk dance festival to take place in 2008, in Astana.
การเข้าถึงแหล่งพลังงานกลายเป็นประเด็นคอขาดบาดตายสำหรับจีนและอินเดีย จีนนำเข้าน้ำมันครึ่งหนึ่งที่ใช้บริโภค การขาดแคลนพลังงานอาจทำให้รถไฟเศรษฐกิจขบวนจีนที่กำลังแล่นฉิวตกรางได้ ส่วนอินเดียนำเข้าน้ำมันถึง 70% อินเดียแตกต่างจากจีนตรงที่ไม่มีแหล่งน้ำมันเชิงยุทธศาสตร์ ทั้งสองประเทศดำเนินนโยบายต่างประเทศโดยยึดประเด็นพลังงานเป็นหลักสำคัญ. จีนอัดฉีดเงินหลายพันล้านดอลลาร์เข้าไปพัฒนาแหล่งน้ำมันและก๊าซในทะเลแคสเปียน รวมทั้งสร้างท่อส่งด้วย ในขณะที่อินเดียง่วนอยู่กับการเจรจาข้อตกลงวางท่อก๊าซกับอิหร่าน
ข้อตกลงอินเดีย-อิหร่านได้รับแรงเสียดทานจากวอชิงตันไม่น้อย. นิโคลาส เบิร์นส์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศด้านกิจการการเมืองของสหรัฐฯ บอกต่อสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศว่า วอชิงตันหวัง "เป็นอย่างมากว่า อินเดียจะไม่ลงนามในข้อตกลงระยะยาวเกี่ยวกับน้ำมันและก๊าซกับอิหร่าน". อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของอินเดีย ปาลานิอัปปัน ชิดามบาราม กล่าวว่า "เราควรทำข้อตกลง-อิหร่านมีก๊าซ และเราต้องการก๊าซ" ประเมินกันว่า อินเดียลงทุนด้านก๊าซและน้ำมันในอิหร่านถึง 4 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วนท่อส่งก็คาดการณ์กันว่าจะมีต้นทุนถึง 1 หมื่นล้านดอลลาร์. มีแต่เรื่องให้วอชิงตันไม่สบายใจ จีนก็เพิ่งลงนามในข้อตกลงมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์เพื่อพัฒนาแหล่งก๊าซและน้ำมันยาดาวารันของอิหร่าน
สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ ทำนายว่า ความต้องการพลังงานจะสูงกว่าทุกวันนี้อีก 50% ใน ค.ศ. 2030 และปริมาณที่เพิ่มขึ้นนั้น ประเทศกำลังพัฒนาจะสูบไปถึง 74% โดยมีจีนและอินเดียรวมกันคิดเป็น 45% และหลังจาก ค.ศ. 2010 จีนจะกลายเป็นผู้บริโภคพลังงานรายใหญ่ที่สุดในโลก
ความผูกพันด้านความมั่นคงและการค้า
การค้าระหว่างจีน อินเดีย และรัสเซีย กำลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ยกตัวอย่างเช่น
การค้าระหว่างอินเดียกับจีนมีมูลค่า 2 หมื่น 4 พันล้านดอลลาร์ใน ค.ศ. 2007 เท่ากับการค้าระหว่างอินเดียกับสหรัฐฯ
และคาดว่าจะทะยานขึ้นเป็น 4 หมื่นล้านดอลลาร์ใน ค.ศ. 2010. ทั้งสองประเทศตกลงที่จะเปิดเส้นทางบกเชื่อมกันผ่านเทือกเขาหิมาลัยอีกครั้ง
หลังจากปิดเส้นทางนี้ไปนานถึง 44 ปี. ใน ค.ศ. 1992 อินเดียเริ่มดำเนินนโยบาย
"มองตะวันออก" และตอนนี้อินเดียมีการค้ากับเอเชียถึง 45% ของการค้ากับต่างประเทศทั้งหมด
อินเดียเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่สามในภูมิภาค รองจากจีนและญี่ปุ่น
อินเดียต้องการเงินลงทุนถึง 5 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง เกาหลีใต้ และสิงคโปร์เข้าไปเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่แล้ว ส่วนรัสเซียก็แสดงทีท่าสนใจเหมือนกัน อินเดียย่อมไม่รังเกียจเงินลงทุนสักส่วนหนึ่งจากคลังสำรองเงินตราต่างประเทศของรัสเซียที่มีอยู่ถึง 1 แสนล้านดอลลาร์
มีความผูกพันด้านความมั่นคงเพิ่มขึ้นเช่นกัน เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว กลุ่มประเทศที่รายล้อมรอบทะเลแคสเปียน นั่นคือ รัสเซีย อิหร่าน อาเซอร์ไบจัน คาซัคสถาน และเติร์กเมนิสถาน แถลงการณ์ร่วมกันว่า กลุ่มประเทศนี้ "จะไม่ยอมให้ประเทศอื่นใดเข้ามาใช้เขตแดนของตนเพื่อกระทำการรุกรานหรือปฏิบัติการทางทหารใด ๆ ต่อประเทศผู้ลงนามในแถลงการณ์" แถลงการณ์นี้พุ่งเป้าโดยตรงไปที่ฐานทัพสหรัฐฯ ในอาเซอร์ไบจัน คีร์กีซสถาน และเติร์กเมนิสถาน
ความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงแบบนี้มีด้านลบอยู่เหมือนกัน นั่นคือ การค้าอาวุธที่เพิ่มขึ้น. เดี๋ยวนี้จีนซื้ออาวุธใหม่ ๆ จากรัสเซียเป็นจำนวนมาก รวมทั้งเครื่องบินรบสมรรถนะสูงรุ่น SU-33 ซึ่งสามารถปรับใช้กับเรือบรรทุกเครื่องบินรบได้ รัฐบาลจีนกล่าวว่า มีแผนที่จะสร้างเรือบรรทุกเครื่องบินรบหลายลำ ซึ่งจะช่วยให้จีนสามารถท้าทายอำนาจของสหรัฐฯ ในช่องแคบไต้หวัน. อินเดียเองก็เพิ่งลงนามในข้อตกลงซื้อและร่วมประกอบเครื่องบินรบรุ่นใหม่ของรัสเซีย รุ่น SU-30
ในเกมสงครามระยะหลัง เครื่องบินรบรุ่นนี้ทำการรบได้ดีกว่าและสามารถเอาชนะเครื่องบินรบ F-16 ของสหรัฐฯ นิวเดลีจะหันไปซื้อเครื่องบินรบรุ่นที่ห้าของรัสเซีย ซึ่งใช้เทคโนโลยีที่เรียกกันว่า "แนวคิดการบินด้วยยุทธวิธีของอนาคต" (Future Tactical Aviation Concept) มากกว่าจะซื้อเครื่องบินรบ F-22 ของสหรัฐฯ หรือ F-35 ของยุโรป รัสเซียเองก็ช่วยปรับปรุงเรือบรรทุกเครื่องบินรบรุ่น "วิกรมดิตยา" ของอินเดียให้ดีขึ้น และลงนามในข้อตกลงร่วมสร้างรถถัง T-90 ที่เป็นรถถังรุ่นใหม่ของรัสเซีย
ถึงแม้ไม่มีงบประมาณทหารของประเทศไหนในสามประเทศนี้เข้าใกล้เทียบเคียงกับงบประมาณทหารของสหรัฐฯ แต่เงินหลายพันล้านดอลลาร์ก็ไหลไปสู่อุตสาหกรรมอาวุธ ในขณะที่มีความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจมากขึ้นในทั้งสามประเทศ
การก่อการร้ายและโลกขั้วเดียว
เรื่องน่าวิตกอีกประการหนึ่งของความร่วมมือไตรภาคีที่มีมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็คือ
ประเทศทั้งสามตกลงที่จะสนับสนุนซึ่งกันและกันในประเด็น "การก่อการร้าย"
และ "การแบ่งแยกดินแดน" ในทางปฏิบัติ นี่อาจทำให้จีนจัดการกับทิเบตและชาวมุสลิมในเขตปกครองตนเองซินเจียงได้ถนัดมือมากขึ้น
มันอาจทำให้อีกสองประเทศสงบปากคำไม่วิจารณ์การทำสงครามของรัสเซียในเชชเนีย และทำให้อินเดียเพิ่มปฏิบัติการทางทหารต่อกลุ่มเหมาอิสต์
"Naxilites" รวมทั้งกดดันชนกลุ่มน้อยหัวแข็งตรงชายแดนภาคตะวันตกเฉียงเหนือ
คงยากที่จะเรียกความสัมพันธ์ระหว่างสามประเทศนี้ว่า "พันธมิตร" กองทัพอินเดียมีความเคลื่อนไหวทางทหารร่วมกับสหรัฐอเมริกาอย่างสม่ำเสมอ และจนถึงบัดนี้ ความร่วมมือทางทหารระหว่างอินเดีย จีนและรัสเซียยังอยู่ในระดับต่ำมาก แต่ทั้งสามประเทศมีผลประโยชน์ร่วมกันในการรักษาแหล่งพลังงาน แม้จะไม่ถึงขั้นเผชิญหน้ากับสหรัฐอเมริกาโดยตรง แต่อย่างน้อยก็ไม่ปล่อยให้วอชิงตันมาชี้นิ้วสั่งการในประเด็นภายในประเทศและระหว่างประเทศ
ความสัมพันธ์ไตรภาคีแบบนี้อาจก่อให้เกิดผลกระทบบางอย่างในทันที ประการแรก มันอาจส่งผลกระทบต่อระบบต่อต้านขีปนาวุธ (anti-ballistic missile system-ABM) ซึ่งสหรัฐอเมริกานำไปขายในเอเชียในฐานะระบบป้องกันประเทศจาก "รัฐอันธพาล" อย่างอิหร่านหรือเกาหลีเหนือ. ออสเตรเลีย อินเดีย และญี่ปุ่น ลงนามเข้าร่วมในโครงการนี้ไปแล้ว แต่จีนมองว่า ABM เป็นการคุกคามโดยตรงต่อระบบยับยั้งขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM) ขนาดปานกลางของตน รวมทั้งเห็นว่าโครงการ ABM และฐานทัพสหรัฐฯ ในเอเชียใต้และเอเชียกลาง ตลอดจนการขยายอิทธิพลของนาโตในมหาสมุทรแปซิฟิก คือความพยายามที่จะล้อมกรอบจีน
เมื่อต้องเลือกระหว่างขัดใจสหรัฐอเมริกาหรือขัดใจจีนในประเด็น ABM นิวเดลีอาจตัดสินใจว่าเพื่อนบ้านติดกันสำคัญกว่าวอชิงตันที่แสนห่างไกล ก่อนเดินทางไปเยือนปักกิ่งในวันที่ 15 มกราคม นายกรัฐมนตรีมันโมหัน สิงห์ กล่าวชัดเจนว่า อินเดียไม่ต้องการเข้าร่วมกับพันธมิตรใด ๆ ที่มีเป้าหมายปิดล้อมจีน เขากล่าวด้วยว่า "มีพื้นที่มากพอให้ทั้งอินเดียและจีนเติบโตและรุ่งเรือง ในขณะเดียวกันก็เสริมสร้างความร่วมมือระหว่างเราให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น"
นอกจากนี้ สหรัฐอเมริกาอาจพบว่า รัฐบาลใหม่ที่มาจากพรรคแรงงานในออสเตรเลียเริ่มหาทางหลีกเลี่ยงที่จะเข้าร่วมในการใช้ระบบ ABM ของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในตอนนี้เมื่อจีนเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของกรุงแคนเบอร์รา. สหรัฐอเมริกาจะพบด้วยว่า การโดดเดี่ยวอิหร่านเป็นเรื่องยากยิ่งขึ้น นิวเดลีผลักดันโครงการท่อส่งก๊าซที่จะนำก๊าซมาสู่ระบบเศรษฐกิจที่กำลังขยายตัวของตนแล้ว อีกทั้งจีนและรัสเซียก็มะรุมมะตุ้มช่วยอิหร่านพัฒนาอุตสาหกรรมไฮโดรคาร์บอน แหล่งน้ำมันและก๊าซที่มีมหาศาลของอิหร่านมีความสำคัญเกินกว่าจะปล่อยให้ตกเป็นตัวประกันในสงครามศักดิ์สิทธิ์ที่วอชิงตันคิดจะทำต่อกรุงเตหะราน
สหรัฐอเมริกายังเป็นหมาตัวใหญ่คับซอยก็จริง แต่ถ้าคิดว่าแค่เห่าแล้วทุกคนต้องหลีกทางให้เหมือนเมื่อก่อนล่ะก็ มันหมดยุคไปแล้วลุงแซม!
เกี่ยวกับผู้เขียน:
Conn Hallinan เป็นคอลัมนิสต์ของ Foreign Policy In Focus (www.fpif.org)
(เรื่องที่ ๒. นำมาจากเว็บไซท์ ประชาไทออนไลน์)
ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา 3 I สารบัญเนื้อหา
4
I สารบัญเนื้อหา
5 I สารบัญเนื้อหา
6
สารบัญเนื้อหา
7 I สารบัญเนื้อหา
8
ประวัติ
ม.เที่ยงคืน
สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง
e-mail :
midnightuniv(at)gmail.com
หากประสบปัญหาการส่ง
e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
[email protected]
ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ทั้งหมด
กว่า 1500 เรื่อง หนากว่า 30000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)gmail.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com
สมเกียรติ
ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็บไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ
ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com