โครงการก้าวสู่คริสตศตวรรษที่ ๒๑ ด้วยการทบทวนประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา




Copyleft2007
บทความทุกชิ้นที่นำเสนอบนเว็บไซต์นี้ขอประกาศสละลิขสิทธิ์ให้กับสังคมเพื่อเป็นสมบัติสาธารณะ
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนเปิดรับบทความทุกประเภท ที่ผู้เขียนปรารถนาจะเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน โดยบทความทุกชิ้นต้องยินดีสละลิขสิทธิ์ให้กับสังคม สนใจส่งบทความ สามารถส่งไปได้ที่ midnightuniv(at)gmail.com โดยกรุณาใช้วิธีการ attach file
H
บทความลำดับที่ ๑๔๖๘ เผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน วันที่ ๒๔ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๑ (January, 24, 01, 2008) ไม่สงวนลิขสิทธิ์ในการใช้ประโยชน์
R
power-sharing formulas, options for minority rights, and constitutional safeguards.

บรรณาธิการแถลง: บทความทุกชิ้นซึ่งได้รับการเผยแพร่บนเว็บไซต์แห่งนี้ มุ่งเพื่อประโยชน์สาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อวัตถุประสงค์ในการขยายพรมแดนแห่งความรู้ให้กับสังคมไทยอย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ยังมุ่งทำหน้าที่เป็นยุ้งฉางเล็กๆ แห่งหนึ่งสำหรับเก็บสะสมความรู้ เพื่อให้ทุกคนสามารถหยิบฉวยไปใช้ได้ตามสะดวก ในฐานะที่เป็นสมบัติร่วมของชุมชน สังคม และสมบัติที่ต่างช่วยกันสร้างสรรค์และดูแลรักษามาโดยตลอด. สำหรับผู้สนใจร่วมนำเสนอบทความ หรือ แนะนำบทความที่น่าสนใจ(ในทุกๆสาขาวิชา) จากเว็บไซต์ต่างๆ ทั่วโลก สามารถส่งบทความหรือแนะนำไปได้ที่ midnightuniv(at)gmail.com (กองบรรณาธิการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน: ๒๘ มกาคม ๒๕๕๐)

24-01-2551

Sexual Transformation
Midnight University

 

H
R
ทุกท่านที่ประสงค์จะติดต่อมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน กรุณาจดหมายไปยัง email address ใหม่ midnightuniv(at)gmail.com

 

 

การเปลี่ยนแปลงความคิดที่ว่าด้วยเรื่องเพศ: Sexual Transformation
จากเรื่องเพศในคริสตศตวรรษที่ ๑๙ ถึงข้อถกเถียงแนวคิดสตรีนิยม

ดร.สันต์ สุวัจฉราภินันท์ : แปลและเรียบเรียง

โครงการสื่อเพื่อบริบทสิทธิมนุษยชน มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน

บทความวิชาการต่อไปนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการสื่อเพื่อบริบทสิทธิมนุษยชน
ของเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ซึ่งเป็นโครงการที่ไม่หวังผลกำไร
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหาตัวอย่างและกรณีศึกษาเกี่ยวกับเรื่องสิทธิมนุษยชน
จากประเทศชายขอบทั่วโลก มาเป็นตัวแบบในการวิเคราะห์และสังเคราะห์
เพื่อเผชิญกับปัญหาสิทธิมนุษยชน(สิทธิชุมชน)ในประเทศไทย

สำหรับบทความแปลชิ้นนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงความคิดเรื่องเพศ
ในประวัติศาสตร์ จนกระทั่งถึงข้อโต้เถียงในแนวคิดสตรีนิยมต่างๆ ในปัจจุบัน
โดยไปสัมพันธ์กับการรักเพศเดียวกัน การที่ถูกตราว่าวิปริตทางเพศ
การเข้ามาเกี่ยวข้องของกฎหมาย ตลอดรวมถึงภาพโป๊เปลือย
ความรุนแรงทางเพศ การมีเพศสัมพันธุ์ทางทวารหนัก
การมีเพศสัมพันธ์กับผู้เยาว์ และอื่นๆ ที่สังคมมองว่าวิปริต ผิดศีลธรรม
ในบทแปลชิ้นนี้ จะเปิดให้เห็นมุมมองใหม่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางเพศ
และเสรีภาพของเพศวิถีที่แตกต่าง และการทุ่มเถียงกันเพื่อค้นหาแนวทาง
ที่เหมาะสมสำหรับยุคสมัย และบริบทของสังคมที่หลากหลาย
midnightuniv(at)gmail.com

บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา
ข้อความที่ปรากฏบนเว็บเพจนี้ ได้รักษาเนื้อความตามต้นฉบับเดิมมากที่สุด
เพื่อนำเสนอเนื้อหาตามที่ผู้เขียนต้องการสื่อ กองบรรณาธิการเพียงตรวจสอบตัวสะกด
และปรับปรุงบางส่วนเพื่อความเหมาะสมสำหรับการเผยแพร่ รวมทั้งได้เว้นวรรค
ย่อหน้าใหม่ และจัดทำหัวข้อเพิ่มเติมสำหรับการค้นคว้าทางวิชาการ
บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ ๑๔๖๘
ผยแพร่บนเว็บไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๑
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ ๒๒.๕ หน้ากระดาษ A4)

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

การเปลี่ยนแปลงความคิดที่ว่าด้วยเรื่องเพศ: Sexual Transformation
จากเรื่องเพศในคริสตศตวรรษที่ ๑๙ ถึงข้อถกเถียงแนวคิดสตรีนิยม

ดร.สันต์ สุวัจฉราภินันท์ : แปลและเรียบเรียง

โครงการสื่อเพื่อบริบทสิทธิมนุษยชน มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน

การเปลี่ยนแปลงความคิดที่ว่าด้วยเรื่องเพศ (Sexual Transformation)

ตามคำจำกัดความของสังคมสมัยก่อนและกฎระเบียบที่เป็นที่ยอมรับทั่วกัน การร่วมเพศทางทวารหนักเป็นการกระทำที่ต้องห้าม คนเหล่านั้นผู้ซึ่งกลายเป็นคนผิดไม่ใช่เรื่องอื่นใด แต่ทว่าเป็นเพราะการที่พวกเขาเป็นบุคคลที่อยู่ภายใต้กฎระเบียบเหล่านั้น. ในศตวรรษที่ 19 กลุ่มคนรักเพศเดียวกันกลายเป็นอดีต เป็นกรณีของประวัติศาสตร์ และเป็นความเกี่ยวเนื่องกับชีวิตสมัยเด็ก นอกจากนั้นยังเป็นชนิดของการใช้ชีวิตอยู่ เป็นรูปแบบของการดำรงชีพ และความพิกลพิการ ลึกลับทางกายภาพของร่างกาย คนที่ร่วมเพศทางทวารหนักถูกทำให้กลายเป็นพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนออกไปจากความปกติ คนที่เป็นรักเพศเดียวกันในปัจจุบันนี้คือเผ่าพันธุ์ประเภทหนึ่ง
มิเชล ฟูโก (Michel Foucault), The History of Sexuality, หน้า 43

นอกเหนือจากความต่อเนื่องหลากหลายรูปแบบ ของการมีเพศสัมพันธ์ที่มีความเชื่อมโยงกับรูปแบบสมัยโบราณ การจัดการทางด้านเพศสัมพันธ์สมัยใหม่มีรูปแบบที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งก่อให้เกิดการแยกตัวออกจากระบบการจัดการที่มีมาก่อนหน้านี้ ประเทศในแถบยุโรปตะวันตกและประเทศสหรัฐอเมริกา ความเป็นอุตสาหกรรมและความเป็นเมืองใหญ่ได้เข้าไปมีบทบาทอย่างมากต่อการปรับเปลี่ยนประเพณีและวิถีการเป็นอยู่ของประชากร ให้เป็นไปตามความเป็นเมืองอุตสาหกรรมใหม่ และลักษณะของสังคมใช้แรงงาน สิ่งเหล่านี้ได้ก่อเกิดรูปแบบใหม่ๆ ของการจัดการของรัฐ การปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์ในครอบครัว การปรับเปลี่ยนบทบาททางเพศ และก่อให้เกิดรูปแบบอันหลากหลายของอัตลักษณ์

นอกจากนี้ ยังก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันในสังคม และก่อให้เกิดการตีความและโจทย์ใหม่ๆ ของความขัดแย้งทางการเมืองและทางอุดมการณ์ ไม่เพียงแค่นั้นมัน ยังเอื้อให้เกิดระบบเพศและเพศสัมพันธ์ในรูปแบบใหม่ ที่สามารถระบุได้จากความแตกต่างที่เกิดขึ้นกับความสัมพันธ์ทางเพศ ระดับบุคคล, ระดับประชากร, ระดับของการแบ่งชนชั้น และระดับของความขัดแย้งทางการเมือง

เพศศึกษาในศตวรรษที่ ๑๙
ในข้อเขียนหลายชิ้นที่เกี่ยวกับเพศศึกษาในศตวรรษที่ 19 ได้กล่าวถึงความต้องการทางกามารมณ์ อย่างไรก็ตาม จากคำอธิบายที่แปลกประหลาดของพวกนักเขียนในยุคดังกล่าวนี้ พวกเขาได้กลายเป็นพยานสำคัญในการค้นพบการเกิดขึ้นของกามารมณ์ในระดับบุคคลที่มีรูปแบบใหม่ๆ และรวบรวมความแปลกใหม่เหล่านั้นเข้าไว้ในลักษณะของกลุ่มของชุมชน ในระบบการจัดการทางเพศในสมัยใหม่ มีการเพิ่มการบรรจุกลุ่มต่างๆ ที่มีลักษณะของความต้องการทางเพศและกามารมร์ที่เกิดขึ้นใหม่เหล่านี้เข้าไว้ อุดมการณ์และระดับชนชั้นทางสังคมถูกนำเข้ามาในระบบดังกล่าว เพื่อจัดการแบ่งระดับชนชั้นของความต้องการทางเพศและกามารมณ์ ความแตกต่างในค่านิยมทางสังคมก่อให้เกิดความแตกแยกท่ามกลางกลุ่มดังกล่าว

สำหรับกลุ่มบางกลุ่มเรียกร้องและต่อรองการปรับเปลี่ยนค่านิยมที่ถูกหยิบยื่นให้ และกลุ่มบางกลุ่มต้องการที่จะทำให้ตำแหน่งของตัวเองในการจัดระดับนั้นคงสภาพเช่นนั้นตลอดไป ความขัดแย้งทางการเมืองเรื่องเพศและเพศสัมพันธ์ในปัจจุบัน ควรที่จะถูกมองและตีความกันใหม่ โดยเฉพาะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและการพัฒนาที่ไม่หยุดยั้งของระบบการจัดการดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของความสัมพันธ์ทางสังคม อุดมการณ์ที่จะนำมาใช้ในการตีความความขัดแย้ง และคุณลักษณะต่างๆ ของความขัดแย้งนั้น

กลุ่มคนรักเพศเดียวกัน
"กลุ่มคนรักเพศเดียวกัน" คือตัวอย่างที่ดี ในการสะท้อนให้เห็นเรื่องราวของกระบวนการในการจัดการความต้องการทางเพศและกามารมณ์ พฤติกรรมรักเพศเดียวกัน แท้จริงแล้วมีอยู่กับประชากรมนุษย์มานาน แต่ในสังคมที่ต่างกัน เรื่องราวที่แตกต่างกันกลับทำให้ในบางครั้ง การรักเพศเดียวกันได้รับคำชื่นชมและรางวัล แต่ในอีกมุมหนึ่งกลับกลายเป็นปัญหาและถูกลงโทษ. บางครั้งเป็นข้อเรียกร้องให้มี แต่ในบางครั้งเป็นข้อห้าม บางครั้งมองว่าเป็นประสบการณ์ชั่วครั้งชั่วคราว แต่ก็อาจจะถูกมองว่าเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับการดำรงอยู่ของคนๆ นั้น ยกตัวอย่างเช่น

- ในบางสังคมของนิวกินี การกระทำในลักษณะรักเพศเดียวกันเป็นสิ่งที่ผูกผันอยู่กับมนุษย์เพศชาย การกระทำในเชิงรักเพศเดียวกัน ถูกมองว่าเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึง "ความเป็นชาย" บทบาททางเพศขึ้นอยู่กับอายุ และคู่ที่มีเพศสัมพันธ์ด้วยจะถูกกำหนดจากสถานะของกลุ่มเครือญาติ ถึงแม้ว่าผู้ชายในสังคมนี้จะมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับการกระทำในเชิงรักเพศเดียวกัน และการมีเพศสัมพันธ์กับผู้เยาว์ แต่พวกเขาไม่ได้เป็นหรือเรียกตัวเองว่าเป็นชายรักเพศเดียวกัน หรือชายที่รักชอบกับผู้เยาว์

- เช่นเดียวกันกับการร่วมเพศทางทวารหนักของชายรักเพศเดียวกันในศตวรรษที่ 16 ในปี 1631, เมอร์วินท์ ทูเช็ท (Mervyn Touchet), ขุนนางในเมืองคาสต์เทวเฮเว่น ถูกจับและถูกตั้งข้อหาสำหรับการร่วมเพศทางทวารหนัก จากการตรวจสอบหลักฐานพร้อมคำให้การแล้วพบว่า ขุนนางผู้นี้ไม่ได้มีความเข้าใจ, และแม้แต่ผู้คนรอบๆ ข้างในช่วงนั้น, ถึงรูปแบบของพฤติกรรมทางเพศในระดับบุคคล. "ในขณะที่มองจากมุมมองของศตวรรษที่ 20 ขุนนางชาวอังกฤษผู้นี้เป็นคนไข้ที่มีปัญหาทางด้านจิตเภท ที่เกี่ยวกับความต้องการทางกามารมณ์ซึ่งต้องการการรักษา. แต่จากมุมมองของศตวรรษที่ 17 เขาได้ทำการอย่างโจ่งแจ้งในการที่จะฝ่าฝืนกฎของพระผู้เป็นเจ้า และกฏของประเทศอังกฤษ สิ่งที่เขาต้องได้รับคือการประหารชีวิต"

ขุนนางผู้นี้มิได้หลบหลีผู้คน และพยายามที่จะหาช่องทางในการตระเวนไปตามสถานที่สำหรับชาวเกย์ เพื่อที่จะไปร่วมเพศทางทวารหนักกับผู้คนในนั้น เขาอาศัยอยู่ในบ้านและมีเพศสัมพันธ์กับคนรับใช้ในบ้านของตัวเอง ความตระหนักรู้ในความเป็นเกย์, ร้านขายเหล้าที่พวกเกย์ชอบไป หรือแม้แต่ความรู้สึกที่เป็นกลุ่มก้อนของชาวเกย์ หรือแม้แต่คำจำกัดความว่า "รักเพศเดียวกัน" สิ่งต่างๆ เหล่านี้ไม่ได้มีอยู่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของขุนนางผู้นี้เลยแม้แต่น้อย

คนหนุ่มชาวนิวกินีหรือขุนนางที่กระทำการร่วมเพศทางทวารหนัก เป็นเพียงกรณีที่อาจจะเกี่ยวข้องกับกลุ่มชายชาวเกย์ในสมัยใหม่ ผู้ซึ่งอาจจะอพยพย้ายถิ่นของตัวเองจากชานเมืองโคโรลาโด ไปสู่เมืองซานฟรานซิโก เพื่อที่จะอาศัยอยู่ท่ามกลางเพื่อนบ้านชาวเกย์ ทำงานในธุรกิจที่เกี่ยวกับเกย์ สร้างประสบการณ์และเข้าไปมีส่วนร่วมกับกิจกรรมต่างๆ ในการสร้างอัตลักษณ์ การรวมตัวกันเป็นบึกแผ่น ผ่านตัวหนังสือ ผ่านสื่อต่างๆ และเข้าร่วมอย่างเข้มข้นกับกิจกรรมทางการเมือง ในสังคม. เมืองอุตสาหกรรมตะวันตกในยุคสมัยใหม่ ความเป็นรักร่วมเพศดูเหมือนจะถูกอธิบายหรือถูกผลิตผ่านโครงสร้างเชิงสถาบัน ในลักษณะเดียวกับกลุ่มชาติพันธุ์

การรักเพศเดียวกัน ลักษณะคล้ายกลุ่มชาติพันธุ์ และพื้นที่พิเศษ
การปรับเปลี่ยนตำแหน่งแห่งที่ของกามารมณ์ในลักษณะของรักเพศเดียวกัน ให้เป็นไปในลักษณะ คล้ายๆ กับเป็นชาติพันธุ์ประเภทหนึ่งนั้น หรือทำให้ความเป็นกลุ่มชุมชนที่มีลักษณะร่วมทางเพศสัมพันธ์ในทางเดียวกัน เป็นผลกระทบของระบบอุตสาหกรรมที่ทำให้เกิดการย้ายถิ่นฐานของประชากร แรงงานต่างๆ อพยพเข้ามาสู่เมือง สิ่งเหล่านี้เป็นเสมือนการเพิ่มขึ้นของโอกาสในความเป็นชุมชนที่ก่อตัวขึ้น ผู้หญิงและผู้ชายที่เป็นพวกรักเพศเดียวกัน ผู้ซึ่งอ่อนแอและกระจัดกระจายในหมู่บ้านต่างๆ ในยุคก่อนการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรม เริ่มที่จะเข้ามารวมกันในมุมเล็กๆ ในเมืองใหญ่ ในหลายๆ เมืองใหญ่ในทวีปยุโรปและอเมริกาเหนือ. ในศตวรรษที่ 19 เกิดพื้นที่ที่ผู้ชายสามารถพบเจอผู้ชายทีมีรสนิยมทางเพศเหมือนกัน ชุมชนของกลุ่มเลสเบี้ยนดูเหมือนจะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ และเกิดขึ้นในวงแคบๆ อย่างไรก็ตามในช่วงปี 1890 มีร้านกาแฟหลายร้านในกรุงปารีสใกล้กับ Place Pigalle ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่เป็นเลสเบี้ยน และมีสถานที่ในลักษณะนี้เกิดขึ้นมากมายในเมืองหลวงหลายๆ เมืองในทวีปยุโรปตะวันตก

พื้นที่เหล่านี้ถูกมองว่ามีชื่อเสียงในทางลบ ซึ่งในทางตรงกันข้ามกลับเป็นการส่งสัญญาณให้กับคนอื่นๆ ที่มีความสนใจคล้ายๆ กันในการที่จะย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่รวมกัน. ในประเทศสหรัฐอเมริกา พื้นที่ของกลุ่มเลสเบี้ยนและกลุ่มเกย์ได้ถูกตั้งขึ้นอย่างชัดเจนในมหานครนิวยอร์ก ชิคาโก ซานฟรานซิสโก และลอสแองเจลลิส. ในช่วงปี 1950 กลุ่มผู้อพยพที่มีแรงบันดาลใจในเรื่องเกี่ยวกับเพศและความต้องการทางเพศได้ย้ายเข้าสู่พื้นที่เช่น Greenwich Village กลายเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่ยิ่งใหญ่ และภายในปี 1970 การย้ายถิ่นของกลุ่มผู้มีรสนิยมทางเพศแบบเดียวกันเหล่านี้เพิ่มขึ้นอย่างมาก จนทำให้เกิดผลกระทบต่อการเมืองเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะในกรณีของเมืองซานฟรานซิสโก เป็นปรากฏการณ์ที่เห็นได้ชัดที่สุด

ลักษณะร่วมบางประการระหว่าง "โสเภณี" และ"ความเบี่ยงเบนทางเพศ"
โสเภณีก็มีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะที่ใกล้เคียงกัน มุมมองต่ออาชีพโสเภณีเริ่มเปลี่ยนจากงานชั่วครั้งชั่วคราวกลายมาเป็นอาชีพที่ถาวร ซึ่งถือได้ว่าเป็นผลของความสับสนวุ่นวายในศตวรรษที่ 19 ที่มีการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายและการจับกุมของตำรวจ โสเภณีผู้ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประชากรในชนชั้นแรงงานถูกกีดกัน และถูกทำให้แยกออกจากประชากรส่วนใหญ่ กลายเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคนนอกรีต โสเภณีและคนที่ขายบริการทางเพศในรูปแบบต่างๆ แตกต่างจากกลุ่มคนรักเพศเดียวกันและชนกลุ่มน้อยที่มีความต้องการทางเพศที่แตกต่างออกไป คนขายบริการทางเพศเป็นอาชีพๆ หนึ่ง ในขณะที่ความเบี่ยงเบนทางเพศเป็นผลจากความต้องการและรสนิยมทางกามารมณ์

อย่างไรก็ตาม พวกเขาทั้งหลายมีบางอย่างที่ร่วมกันโดยเฉพาะสิ่งที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับองค์กรทางสังคม เหมือนอย่างกลุ่มคนรักเพศเดียวกัน โสเภณีถือเป็นอาชญากรที่เกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ ถูกตีตราบาปบนพื้นที่ฐานทางกิจกรรมทางเพศ โสเภณีและชายรักเพศเดียวกันเป็นเหยื่อของตำรวจในทุกๆ ที่ เช่นเดียวกันกับผู้ชายชาวเกย์. โสเภณียึดครองพื้นที่ในเมืองในส่วนที่ถูกแยกออกจากสังคมและต่อสู้กับตำรวจเพื่อที่จะป้องกันตัวเอง และรักษาพื้นที่ของตน. การจัดการทางด้านกฎหมายสำหรับประชากรทั้งสองกลุ่มนี้ เกิดขึ้นโดยอุดมคติที่มองว่า พวกเขาเป็นอันตรายและเป็นที่น่ารังเกียจ เป็นผู้ที่ไม่สมควรที่จะปล่อยไว้ในอยู่อย่างสงบสุข

นอกเหนือไปจากการจัดกลุ่มให้กับประชากรรักเพศเดียวกันและโสเภณีแล้ว "การสร้างความทันสมัยให้กับเพศ" ก่อให้เกิดเป็นการสร้างระบบที่ต่อเนื่องในการกำหนดกลุ่มชาติพันธุ์ที่เหมาะสมในเรื่องเพศ ประชากรที่มีความต้องการทางกามารมณ์ที่แปลกแยกออกไป ซึ่งโดยทั่วไปถูกเรียกว่าเป็นพวก "วิปริต" หรือ "โรคจิต" เริ่มที่จะจับกลุ่มรวมตัวกัน เรื่องราวเกี่ยวกับเพศวิถีที่มีความหลากหลายถูกผลิตออกมาผ่านการวิเคราะห์และการสำรวจสถิติประชากรต่างๆ และปรากฏตามหน้าประวัติศาสตร์ทางสังคม

ในปัจจุบันมีหลายกลุ่มที่พยายามจะเดินตามความสำเร็จของกลุ่มรักเพศเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น ไบเซ็กช่วลส์ (Bisexuals), กลุ่มที่นิยมความรุนแรงในการร่วมเพศ (Sadomasochists), หรือในระดับบุคคลที่ชอบการมีเพศสัมพันธ์แบบต่างช่วงอายุ, กลุ่มที่แปลงเพศ (Transsexuals), กลุ่มที่นิยมแต่งกายของเพศตรงข้าม (Transvestites) ทั้งหมดนี้ อยู่ในกระบวนการสร้างชุมชนและอัตลักษณ์. ความวิปริตไม่ได้เพิ่มขึ้นมากเท่ากับความต้องการที่จะเรียกร้องพื้นที่ทางสังคมของพวกเขา ธุรกิจเล็กๆ หรือต้นทุนทางการเมือง และความต้องการในการปลดเปลื้องความทุกข์ระทมจากความผิดที่ถูกมอบให้ เป็นผลมาจากการมองว่าเป็นพวกนอกรีตในทางเพศและทางกามารมณ์ของพวกเขา

การจัดระดับชั้นว่าด้วยเรื่องเพศ (Sexual Stratification)

ชาติพันธุ์ย่อยๆ ทั้งหมดได้ถูกสร้างขึ้นแล้ว ชาติพันธุ์เหล่านี้เกิดขึ้นนอกเหนือไปจากการผูกพันกันในระบบเครือญาติ และชาติพันธุ์ย่อยๆ เหล่านี้แตกต่างไปจากทาสที่ได้รับการปลดปล่อยในอดีต จากปลายช่วงศตวรรษที่ 18 จนกระทั่งถึงช่วงเวลาของเราทุกวันนี้ พวกเขาเคลื่อนที่ผ่านรูช่องโหว่ภายในสังคม พวกเขามักถูกเข้าใจว่าเป็นคนเลว แต่มันไม่ได้เกิดขึ้นจากกฎหมาย พวกเขามักจะโดนจับ แต่ไม่ได้ถูกกักขังในคุก บางทีพวกเขาอาจเป็นคนป่วย แต่มักจะเป็นในด้านอื้อฉาว เป็นเหยื่อที่อันตราย เป็นเหยื่อของปิศาจที่แปลกประหลาดที่แม้แต่ความชั่วยังไม่สามารถเทียบได้

พวกเขาเป็นเด็กที่เฉลียวฉลาดมากไปกว่าอายุที่เขาเป็นอยู่ เด็กผู้หญิงตัวน้อยที่มีความสามารถมากกว่าเด็กในวัยเดียวกัน เด็กชายที่มีความทะเยอทะยาน คนรับใช้ผู้โง่เขลาและนักวิชาการ สามีใจโหด คนเก็บเงินที่โดดเดี่ยว คนพเนจรที่แปลกประหลาด การปรากฎตัวของพวกเขากลายเป็นความหลอกหลอนบ้านแห่งความถูกต้อง อำนาจของการควบคุม ศาลยุติธรรม และโรงพยาบาลบ้า พวกเขาได้นำพาชื่อเสียงไปในทางลบ ความอื้อฉาวที่พวกเขาได้รับ เพื่อไปหาหมอ และนำพาเอาความเจ็บป่วยของพวกเขาไปหาผู้พิพากษา พวกเขาเป็นสมาชิกของครอบครัวของคนวิปริต กลุ่มที่ถูกเรียกอย่างสุภาพในความเกี่ยวข้องกับ "คนบ้า"
มิเชล ฟูโก (Michel Foucault), The History of Sexuality, หน้า 40

การเปลี่ยนแปลงทางระบบอุตสาหกรรมของประเทศในทวีปยุโรปและอเมริกาเหนือ นำมาซึ่งรูปแบบใหม่ของการจัดระดับชั้นทางสังคม ความไม่เท่าเทียมกันของชนชั้น ต่างก็เป็นที่ทราบดีอยู่แล้วเพราะได้มีการศึกษาเอาไว้อย่างมากมาย การเกิดขึ้นของระบบสมัยใหม่ของการกีดกันทางเชื้อชาติและความไม่เท่าเทียมของชาติพันธุ์ ต่างได้รับการเก็บเป็นข้อมูลและถูกเรียบเรียงไว้อย่างดี และมีการทบทวนแสดงความคิดเห็นอย่างมากมาย นักสตรีนิยมได้ทำการวิเคราะห์ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น การกดกันทางเพศสภาพ แต่สำหรับกลุ่มที่มีความเฉพาะเจาะจงในเรื่องความต้องการทางกามารมณ์ เช่นกลุ่มของรักเพศเดียวกันหรือกลุ่มของผู้ขายบริการทางเพศ ก่อกวนและพยายามที่จะต่อต้านการที่พวกเขาได้รับการดูแลอย่างผิดวิธี มันไม่มีความพยายามในการสร้างความเท่าเทียม หรือที่จะพยายามหาตำแหน่งแห่งที่ทางเพศซึ่งเกิดขึ้นจากการกดขี่ห่มเหงเหล่านี้ ในระบบการแบ่งระดับชั้นทางเพศทั่วๆ ไป อย่างไรก็ตาม ระบบดังกล่าวยังคงมีอยู่ มันเป็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากระบบอุตสาหกรรมของโลกตะวันตก

กฎหมายเกี่ยวกับเรื่องเพศ
กฎหมายที่ว่าด้วยเรื่องเกี่ยวกับเพศนั้น ถือได้ว่าเป็นเครื่องมือที่ชัดเจนที่สุดในการแบ่งแยกระดับชั้นทางเพศ และการกีดกันรูปแบบทางกามารมณ์ โดยปกติแล้วรัฐจะเข้ามามีบทบาทในการควบคุมพฤติกรรมทางเพศ ในระดับที่ไม่สามารถยอมรับและทนได้ภายในรูปแบบการใช้ชีวิตทางสังคม คนทั่วไปโดยมากแล้วไม่ค่อยมีความตระหนักต่อกฎหมายที่ว่าด้วยเรื่องเพศ ไม่ว่าจะเป็นการตระหนักคิดถึงด้านปริมาณและเนื้อหาของความประพฤติที่ผิดกฏหมาย และอะไรคือการตอบโต้ทางกฎหมายต่อความผิดเหล่านั้น ถึงแม้ว่าตัวแทนของรัฐอาจจะเข้ามามีส่วนในเรื่องที่ผิดกฏหมายหรือแม้แต่ในกรณีของโสเภณี แต่กฎหมายที่ว่าด้วยเรื่องเพศส่วนใหญ่แล้วจะมีผลกระทบในหลายๆ ระดับ และจะมีการนำไปใช้อย่างเข้มงวดภายใต้เงื้อมมือของตำรวจในพื้นที่ ดังนั้นมันจึงมีความแตกต่างหลากหลายในระดับของการนำกฎหมาย ไปใช้ในการปฎิบัติจริงในพื้นที่ที่แตกต่างกัน

ยิ่งไปกว่านั้น การควบคุมอย่างเข้มข้นของกฎหมายมีความหลากหลายอย่างมาก ขึ้นอยู่กับบรรยากาศการเมืองภายในท้องถิ่นที่แตกต่างกัน ถ้ามองอย่างผิวเผิน มันคือความเข้มข้นของกฏหมาย แต่ในขณะเดียวกัน มันยังสามารถมองได้ว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติ การตั้งข้อสังเกตและคำถามต่อกฎหมายที่ว่าด้วยเรื่องเพศนี้ ไม่ได้ต้องการที่จะต่อต้านกฎหมายว่าด้วยเรื่องการบังคับข่มขู่ในการมีเพศสัมพันธ์ การกระทำชำเราทางเพศ หรือการข่มขื่น แต่คำถามที่ว่านี้ เป็นการตั้งประเด็นไปสู่ข้อห้ามหรือข้อกำหนดเรื่องทางเพศ และ"สถานะ"ที่เกิดขึ้น เฉกเช่น การข่มขื่นอย่างถูกกฏหมาย

กฎหมายที่ว่าด้วยเรื่องเพศเป็นสิ่งที่หยาบกระด้าง การลงโทษในการกระทำที่ล่วงละเมิดกฎหมายกลับถูกมองว่าเป็นสากล ซึ่งสามารถใช้ได้กับทุกสังคม หรือความเจ็บปวดของแต่ละบุคคล การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เช่น การที่นำเอาริมฝีปากไปวางไว้บนอวัยวะเพศของผู้เป็นหุ้นส่วนกัน จะถูกลงโทษในหลายๆ รัฐ ซึ่งถูกมองว่ามีความรุนแรงมากกว่าการข่มขื่น การทำร้ายร่างกาย หรือการฆาตกรรม การจูบอวัยวะเพศแต่ละครั้ง และการสัมผัสด้วยรัก คือความผิดที่ต้องถูกพิจารณาแยกกัน ดังนั้นมันจึงเป็นสิ่งที่ง่ายมาก ที่จะทำความผิดหลายๆ อย่างในการกระทำผิดกฏหมายเพียงครั้งเดียวในเย็นวันใดวันหนึ่ง

ครั้งหนึ่งมีคนที่ถูกตั้งข้อหาในการล่วงละเมิดทางเพศ การกระทำครั้งที่สองกลับจะถูกมองว่าเป็นการตั้งใจทำซ้ำ ซึ่งจะก่อให้เกิดผลลัพธ์ทางกฏหมายที่มากขึ้นกว่าเดิม บางรัฐในอเมริกาเหนือ ปัจเจกชนหลายคนกลายเป็นคนที่ทำความผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยการมีส่วนร่วมกับการร่วมรักแบบเพศเดียวกันในช่วงเวลาที่ต่างกัน และเมื่อการกระทำที่เกิดขึ้นตามกามารมณ์ได้ถูกตราเอาไว้เป็นกฎหมาย และโดยผ่านอำนาจของรัฐ ยิ่งทำให้เกิดการเพิ่มคุณค่าและความศักดิ์สิทธิ์เข้าไปในกฏหมายดังกล่าว กฎหมายที่ว่าด้วยเรื่องเพศมักจะมีชื่อเสียงในทางไม่ดี ซึ่งมักจะถูกพิจารณาให้ผ่านไปได้ง่ายๆ เพราะนักกฏหมายมักจะไม่ค่อยเต็มใจที่จะยอมหรือผ่อนปรนต่อความผิดที่เกิดขึ้น และเมื่อกฏหมายเหล่านั้นถูกตราออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร ก็ยากมากที่จะปรับเปลี่ยนและแก้ไขมันในภายหลัง

กฏหมายที่ว่าด้วยเรื่องเพศ ไม่ใช่ภาพสะท้อนที่ดีต่อการวัดคุณค่าทางศีลธรรม ในการมีเพศสัมพันธ์ ในความหลากหลายทางเพศ อันที่จริงแล้ว กลับถูกตรวจสอบอย่างละเอียดโดยกลุ่มนักวิชาการที่ทำงานด้านสุขภาพทางจิต. อุดมคติที่ยอมรับกันทั่วไป และการปฎิบัติการทางกฏหมายอย่างเข้มข้น รูปแบบของพฤติกรรมทางกามารมณ์บางอย่างที่มีความน่ารังเกียจมาก เช่น พวกที่มีกามารมณ์ถูกกระตุ้นผ่านชุดเครื่องหนัง ผ่านความรุนแรง และการทำร้ายร่างกาย กลับไม่ได้ถูกตีกรอบหรือถูกให้คุณค่าในระบบยุติธรรม มากเท่ากับพฤติกรรมที่มีความน่ารังเกียจน้อยกว่า เช่น การมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน รูปแบบของพฤติกรรมทางเพศถูกมองเห็นโดยสายตาของกฏหมายก็ต่อเมื่อ มันกลายเป็นสิ่งที่สังคมมีความวิตกกังวลและก่อให้เกิดกระแสทางการเมือง

ในร่องรอยของการเกิดขึ้นที่เกี่ยวกับเพศ หรือนโยบายทางศีลธรรมได้ฝากกฎเกณฑ์ใหม่ๆ เอาไว้ เสมือนเป็นซากจากอดีตที่ถูกบันทึกเข้าไปในการเดินทาง การที่เกิดเป็นสิ่งที่มีในกฎหมายนั้น ถูกทำให้เข้มข้นขึ้น - กฎหมายที่ว่าด้วยเรื่องเพศก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้น - ซึ่งการประกอบกันขึ้น มีทั้งในด้านความสกปรก ลาม กอนาจาร อำนาจของเงินตรา ชนกลุ่มน้อย และความเป็นรักเพศเดียวกัน

กฏหมายที่เกี่ยวกับสิ่งลามกอนาจาร สร้างความเข้มข้นให้กับสิ่งต้องห้าม ซึ่งกฏหมายเหล่านี้มีลักษณะต่อต้านโดยตรงต่อการใช้ภาพตัวแทนสำหรับกิจกรรมทางกามารมณ์ การเน้นย้ำในเรื่องนี้ ที่พยายามทำให้เพศวิถีกลายเป็นจุดสนใจของสังคม ไม่ควรถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดเพราะกลับจะลดทอนการวิพากษ์วิจารณ์ถึงการห้ามปราม สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นคือ เกิดวาทกรรมที่เกี่ยวกับเพศในรูปแบบของจิตวิเคราะห์ หรือในการต่อสู้เพื่อได้มาซึ่งการแก้ไขทางศีลธรรม มันกลับกลายเป็นเรื่องอื่นไป เมื่อมีการนำเสนอภาพของกิจกรรมทางเพศ และอวัยวะเพศ

ในทางแรก เป็นเสมือนการยินยอมทางสังคม (วาทกรรมที่เกี่ยวกับเพศและจิตวิเคราะห์). ในขณะที่ไม่ยอมรับทางที่สอง (รูปกิจกรรทางเพศและอวัยวะเพศ). การพูดที่เกี่ยวกับเรื่องเพศถูกทำให้เงียบ พยายามลดความรุนแรงลง และพูดแบบอ้อมๆ อิสระในการพูดเกี่ยวกับเพศนั้นถือได้ว่าเป็นข้อยกเว้น เมื่อได้รับการปกป้องจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่หนึ่ง (The First Amendment) (*) ของสหรัฐฯ ซึ่งไม่ถือว่าการพูดเหล่านั้นมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องทางเพศเลย
(*) An amendment to the Constitution of the United States guaranteeing the right of free expression; includes freedom of assembly and freedom of the press and freedom of religion and freedom of speech

กฎหมายที่เน้นการต่อต้านสิ่งลามกอนาจาร ถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ก่อให้เกิดการกำหนดสถานภาพของกลุ่มต่างๆ ซึ่งทำให้การขายบริการทางเพศทั้งหมดผิดกฏหมาย กฎหมายที่ว่าด้วยเรื่องเพศมีการกำหนดข้อห้ามอย่างรุนแรงเอาไว้ สำหรับการเชื่อมโยงกันระหว่างเพศสัมพันธ์และเงิน แต่มีข้อยกเว้นในความสัมพันธ์นี้ คือเรื่องเกี่ยวกับการแต่งงาน. นอกเหนือไปจากสถานภาพในเชิงลบของสิ่งลามกอนาจารแล้ว ยังมีกฎหมายอีกหลายมาตราที่มุ่งประเด็นไปสู่เพศสัมพันธ์ในลักษณะของการค้าขาย ซึ่งรวมทั้งกฎหมายที่ต่อต้านโสเภณี, กฎหมายที่ว่าด้วยการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และกฎหมายที่ควบคุมสถานที่ประกอบกิจการที่เกี่ยวกับธุรกิจของ"ผู้ใหญ่" ธุรกิจทางเพศ และเศรษฐกิจที่มีความเกี่ยวข้องกับเกย์ ซึ่งมีความจำเป็นที่กฎหมายจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้

แต่กลไกต่างๆ ที่จะทำให้ผ่านกฎหมายเหล่านี้ไม่ง่ายและมีความซับซ้อน ในธุรกิจที่เกี่ยวกับเพศทั้งหลาย มีความเกี่ยวเนื่องกับสถานภาพของอาชญากรรม ซึ่งทำให้เหล่าบรรดาธุรกิจเหล่านี้ถูกกีดกันไปอยู่ชายขอบ ด้อยพัฒนา และเป็นเรื่องคดโกง. ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเรื่องทางเพศสามารถดำเนินธุรกิจได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้กรอบกติกาของกฎเกณฑ์ ผลที่เกิดขึ้นคือ การลงทุนที่ต่ำ และพยายามที่จะทำให้การดำเนินธุรกิจไม่ไปข้องเกี่ยวกับคุกตาราง แทนที่จะเน้นการพัฒนาสินค้าและการบริการ นอกจากนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงสถานภาพของผู้ให้บริการ ซึ่งมักจะอยู่ในตำแหน่งที่อ่อนแอ ถูกรังแก ถูกเอารัดเอาเปรียบได้ง่าย และอยู่ในสภาพการทำงานที่ย่ำแย่ ถ้าธุรกิจที่เกี่ยวกับเรื่องเพศเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย ผู้ที่ให้บริการก็สามารถที่จะปรับปรุงดูแลเพื่อผลประกอบการที่ดีกว่า ในสภาพที่ดีกว่า มีการจัดการควบคุมที่ดีขึ้น และลดการถูกตีตราจากสังคม

ลองคิดดูถึงข้อจำกัดของเศรษฐกิจแบบทุนิยม อะไรก็ตามที่ถูกตัดออกจากสารบบของเศรษฐกิจการตลาด จะกลายเป็นสิ่งที่สังคมยอมรับได้ยาก. ลองคิดดู ถ้าการทำงานแลกเปลี่ยนเงินตรากับการดูแลสุขภาพ คำปรึกษาทางด้านยาและโภชนาการ หรือแม้แต่การให้คำปรึกษาทางด้านสุขภาพจิตกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมาย การทำงานทางด้านสุขภาพกลายเป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ ถ้าบรรดาแพทย์ และพยาบาล เภสัชกร และคนที่ทำการบำบัดด้านต่างๆ จะต้องถูกจับเข้าคุกโดย "ตำรวจสุขภาพ" ในท้องที่ ซึ่งแท้จริงแล้ว สิ่งต่างๆ เหล่านี้ที่เรากำลังพูดถึงคือ โสเภณี ผู้ขายบริการทางเพศ และเจ้าของสถานบริการทางเพศต่างๆ

สำหรับตัวของ มาร์กซ์ เองแล้วเขามองว่า การตลาดระบบทุนนิยมคือการปฎิวัติ และถ้าจะให้ขอบเขตคำอธิบายแคบลงคือ การปฎิวัติทางด้านกำลังแรงงาน. มาร์กซ์กล่าวว่า ระบบทุนนิยมเป็นสิ่งที่ก้าวหน้าในการที่จะล้มล้างความเชื่องมงายของยุคก่อนทุนนิยม การกดขี่ และการยึดติดอยู่กับลักษณะการใช้ชีวิตแบบดังเดิมที่ผูกอยู่กับประเพณีนิยมเป็นหลัก "เหตุเพราะอิทธิพลของความก้าวหน้าจากความเป็นเมืองหลวง ความเป็นทุนนิยม เมื่อเปรียบเทียบผลผลิตของสังคมของรัฐในยุคนี้กับยุคก่อนหน้า จะเห็นถึงความก้าวหน้าของท้องถิ่นและ จะเห็นได้ถึงการหลงใหลในความก้าวหน้านั้นอย่างไม่ลืมหูลืมตา" และถ้าจะพยายามแยกให้เรื่องราวเกี่ยวกับเพศออกไปจากการตระหนักถึงแง่มุมในทางบวก ที่เกิดขึ้นจากระบบตลาดและเศรษฐกิจแล้ว คงจะไม่ใช่แนวคิดของนักสังคมนิยมเป็นแน่

กฎหมายควบคุมเรื่องเพศออกจากพวกเด็กๆ
กฎหมายเน้นเป็นอย่างยิ่งในการที่จะควบคุมขอบเขตระหว่าง "ความไร้เดียงสา" ของวัยเด็ก และเรื่องราวเกี่ยวกับเพศของ "ผู้ใหญ่" และยิ่งไปกว่านั้น การคิดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับเพศในวัยเด็ก และพยายามที่จะให้ข้อมูลเพื่อที่จะป้องกันและดูแลรักษาตัวเอง ดูเหมือนว่าสิ่งเหล่านี้ในวัฒนธรรมของเราปฎิเสธ และลงโทษความกระหายใคร่รู้ ความสนใจในเรื่องทางกามารมณ์ และกิจกรรมที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะกับบุคคลที่มีอายุต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด กฎหมายโดยส่วนใหญ่แล้วพยายามอย่างมาก ที่จะป้องกันให้เหล่าเยาวชนให้ออกห่างจากการเรียนรู้และเข้าใจในเรื่องราวเกี่ยวกับเพศ และเพศสัมพันธ์

กลไกอย่างหนึ่งที่พยายามจะสร้างการแบ่งชนชั้นคือ การใช้ช่วงอายุตามที่กฎหมายกำหนด กฎเกณฑ์เหล่านี้ไม่พยายามที่จะแยกแยะระหว่าง "เพศสัมพันธ์" ที่เกิดจากการข่มขืนกระทำชำเราอย่างรุนแรง และที่เกิดจากความโรแมนติกอย่างสุภาพและอ่อนโยน ผู้ชายวัย 20 ปีถูกตั้งข้อหาทางเพศเพราะมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงวัย 17 ปีอย่างฉกรรจ์ในทุกรัฐในสหรัฐ โดยไม่ต้องสนใจเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสอง และรวมทั้งกลุ่มคนอีกหลายกลุ่มที่ไม่อนุญาตให้เข้าถึงเรื่องราวเกี่ยวกับเพศของ "ผู้ใหญ่" ไม่ว่าในรูปแบบใด พวกเขาถูกห้ามไม่ให้ดูหนังสือ ไม่ให้ดูภาพยนตร์ หรือรายการทางโทรทัศน์ที่มีเนื้อหาหรือรูปแบบที่แสดงให้เห็นถึงเรื่องราวทางเพศ "มากเกินไป". มันเป็นกฎหมายที่ป้องกันไม่ให้เยาวชนเห็นภาพที่มีความรุนแรง แต่ไม่ใช่การเห็นภาพอวัยวะทางเพศที่ชัดเกินไป เยาวชนต่างๆ ที่มีความกระหายใคร่รู้และสงสัยในเรื่องเพศ มักจะถูกห้ามปราบตั้งแต่ภายในบ้าน หรือมิฉะนั้นก็จะถูกลงโทษเพราะ"ความที่โตเกินเด็กวัยเดียวกันมากเกินไป"

สำหรับผู้ใหญ่ที่ความแปลกไปจากมาตราฐานที่ยอมรับได้ในการมีเพศสัมพันธ์ มักจะถูกกันออกไปจากการเข้าใกล้เด็ก แม้แต่กระทั่งลูกของตัวเอง ในหลายกรณีที่กฎหมายอนุญาตให้รัฐสามารถนำเอาตัวบุตรของผู้ปกครองคนใดก็ตาม ที่ศาลมีความสงสัยในความต้องการทางเพศหรือรูปแบบของกามารมณ์ออกไปจากการดูแลของครอบครัว อย่างเช่น เลสเบี้ยน ผู้ชายเกย์ โสเภณี ผู้ขายบริการทางเพศ และ ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายหลายคน. จำนวนมากที่ถูกศาลปฎิเสธสิทธิในการเป็นผู้ปกครองของคนเหล่านั้น

ครูอาจารย์หลายคนถูกจับตามองตรวจสอบว่ามีสัญญาณอะไรบ้างหรือไม่ที่จะบ่งบอกว่าทำการล่วงละเมิดทางเพศกับนักเรียนของตน ในเกือบทุกรัฐ กฎหมายระบุเอาไว้ว่าให้ครูอาจารย์ที่ถูกจับเพราะล่วงละเมิดทางเพศจะต้องพ้นสภาพการเป็นครูอาจารย์ และจะต้องถูกระบุเอาไว้เป็นหลักฐานตลอดไป. หลายๆ กรณี ครูอาจารย์บางท่านต้องถูกไล่ออกเพราะลักษณะและรูปแบบการใช้ชีวิตที่ไม่ธรรมดาของพวกเขา ได้ถูกรายงานไปถึงเจ้าหน้าที่ของโรงเรียน ยิ่งครูอาจาย์มีอิทธิพลต่อการเติบโตของคนรุ่นต่อไปๆ มากเท่าใด ยิ่งจะต้องมีการควบคุมดูแลไม่ให้เกิดปัญหาได้ในความประพฤติและความคิดเห็น. อำนาจของกฎหมายเป็นการยืนยันถึงการักษาและต่อยอดของคุณค่าทางเพศและเพศสัมพันธ์ เป็นการควบคุมบนพื้นฐานของครอบครัวและการเรียนการสอนในโรงเรียน

กฎหมายกับการมีเพศสัมพันธ์ผิดไปจากมาตรฐาน
การมีเพศสัมพันธ์อย่างถูกต้องตามกฏหมายในทุกๆ รัฐคือ การที่อวัยวะเพศชายสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศหญิง ในหลายๆ รัฐมองว่า การร่วมเพศทางทวารหนักเป็นการผิดกฎหมายอย่างร้ายแรง ลักษณะของการรักเพศเดียวกันมีความสัมพันธ์ต่อการร่วมเพศทางทวารหนัก การล่วงละเมิดทางเพศ การล่อลวง และการร่วมประเวณีระหว่างผู้ใกล้ชิดทางพันธุกรรมของผู้ใหญ่ สำหรับกฎหมายที่ว่าด้วยการร่วมเพศทางทวารหนักแล้วมีความหลากหลาย ในบางรัฐ กฎหมายนี้มีผลทั้งต่อกลุ่มคนรักเพศเดียวกันและกลุ่มคนรักต่างเพศ และไม่คำนึงถึงสถานะของการแต่งงาน. ศาลในบางรัฐมีกฎที่ว่า คู่ครองมีสิทธิที่จะร่วมเพศทางทวารหนักได้ในพื้นที่ส่วนตัว การร่วมเพศทางทวารหนักของกลุ่มคนรักเพศเดียวกันเป็นสิ่งผิดกฎหมายในบางรัฐ บางครั้งสถานะของการร่วมเพศทางทวารหนักยังรวมไปถึงการใช้ปากในการร่วมเพศอีกด้วย และในบางรัฐ สถานะนี้มีผลต่อการร่วมเพศทางทวารหนักอย่างเดียว ส่วนการใช้ปากจะตกไปอยู่อีกสถานะหนึ่ง

กฎหมายที่ว่าด้วยพฤติกรรมทางเพศในลักษณะที่กลายเป็นเสมือนการก่ออาชญากรรมเหล่านี้ ถูกเลือกใช้อย่างอิสระและเป็นที่ปรารถนาเป็นอย่างมาก อุดมคติได้ถูกฝังเข้าไว้ในสถานภาพในชั้นต่างๆ ที่ได้นำเสนอไปแล้วข้างต้น นั่นคือการประกอบกิจกรรมทางเพศในบางรูปแบบถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายมาก และไม่สมควรที่จะมีใครนำกิจกรรมเหล่านั้นไปปฎิบัติไม่ว่าจะในอยู่ในกรณีใดๆ ก็ตาม ในความจริงแล้ว การที่มีคนหลายคนเลือกที่จะกระทำและถึงกับปรารถนาที่จะได้ทำ สะท้อนให้เห็นถึงหลักฐานของการประพฤติผิดต่อกฎหมายดังกล่าว

ระบบกฎหมายที่ว่าด้วยเรื่องราวทางเพศและเพศสัมพันธ์นี้ มีความคล้ายคลึงกับกฎหมายที่ว่าด้วยการกดขี่ทางเชื้อชาติ รัฐห้ามมิให้เกิดการร่วมเพศระหว่างเพศเดียวกัน ไม่อนุญาตให้มีการร่วมเพศทางทวารหนัก และการใช้ปากในการร่วมเพศ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้กลุ่มคนรักเพศเดียวกันกลายเป็นอาชญากร ซึ่งถูกปฎิเสธการมีสิทธิมีเสียงตามสิทธิของประชาชนอย่างเต็มรูปแบบ แต่ตามกฎหมายแล้ว ความผิดก็คือความผิด และถึงแม้ว่าในบางครั้ง การบังคับใช้กฏหมายจะไม่ได้อยู่ในลักษณะที่เคร่งครัด บ่อยครั้งกลุ่มคนที่ถูกตราหน้าว่าเป็นอาชญากรเพราะพฤติกรรมทางเพศเหล่านี้ ตกอยู่ในสภาพที่อ่อนแอ และสามารถที่จะถูกจับอย่างไม่สมควรได้ตลอดเวลา หรือแม้กระทั่งพวกเขาเหล่านั้นกลายเป็นสิ่งที่ทำให้สังคมเกิดความวิตกกังวล. เมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น กฎหมายก็จะถูกใช้ในฐานะของมัน ตำรวจก็ปฏิบัติตามหน้าที่ แน่นอนว่าหลายๆ ครั้งการใช้กำลังก็เป็นความพยายามที่จะเตือนสติให้ปัจเจกชนในกลุ่มเหล่านี้รู้จักตำแหน่งแห่งที่ของพวกเขา การจับกุมการร่วมเพศทางทวารหนัก พฤติกรรมลามก การล่อลวง และการใช้ปากในการร่วมเพศในหลายๆ กรณี ถูกทำให้อยู่ในสภาพของความกลัว ความตระหนก และต้องคิดอย่างรอบคอบ

รัฐยังมีการควบคุมสถานที่เกิดตามตำแหน่งแห่งที่ทางชนชั้นทางเพศ โดยผ่านกฎเกณฑ์ในระบบราชการอีกด้วย ข้อห้ามในกฎหมายที่ว่าด้วยการอพยพย้ายถิ่นของประเทศอเมริกายังรวมไปถึงกลุ่มคนรักเพศเดียวกันด้วย (และรวมทั้งกลุ่มต่างๆ ที่ถูกเรียกว่า "กลุ่มที่มีความเบี่ยงเบนทางเพศ") กฎหมายที่เกี่ยวกับทางทหาร กีดกันไม่ให้กลุ่มคนรักเพศเดียวกันเข้าร่วมรับใช้ชาติ ในความเป็นจริงแล้วการที่ประชาชนชาวเกย์ไม่สามารถแต่งงานได้นั้น หมายถึงพวกเขาไม่สามารถที่จะร่วมในสิทธิทางกฎหมายได้อย่างเท่าเทียมกับกลุ่มคนรักต่างเพศในหลายๆ กรณี รวมถึงเรื่องราวเกี่ยวกับสิทธิของมรดก สิทธิที่ได้จากภาษี การปกป้องคำให้การในชั้นศาล และการได้มาซึ่งสิทธิพลเมืองในกรณีที่คู่สมรสเป็นชาวต่างชาติ

สิ่งเหล่านี้ยังเป็นส่วนน้อยที่จะสะท้อนให้เห็นถึงกลไกที่ทางรัฐใช้ในการปกป้องชนชั้นที่เกิดขึ้น ผ่านทางเรื่องราวเกี่ยวกับเพศและเพศสัมพันธ์ กฎหมายประกอบไปด้วยโครงสร้างของอำนาจ กฎระเบียบของพฤติกรรม และรูปแบบของการเลือกปฎิบัติ. ในมุมมองที่เลวร้ายที่สุด กฎหมายที่ว่าด้วยเรื่องเพศและกฎระเบียบของการมีเพศสัมพันธ์นั้น ถือได้ว่าเป็นนโยบายการแบ่งแยกสีผิวอย่างหนึ่ง

ถึงแม้ว่ากลไกการควบคุมทางกฎหมายจะมีการยืดหยุ่นบ้าง แต่การควบคุมทางสังคมที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันแล้ว ถือได้ว่าเป็นกฎหมายที่เข้มข้นกว่าปกติ ถึงแม้สิ่งที่เกิดขึ้นจะเกิดขึ้นอย่างไม่เป็นทางการ แต่มันมีผลกระทบเป็นอย่างมากต่อการควบคุมทางสังคม ที่ครอบคลุมลงไปในสมาชิกของกลุ่มคน"ที่มีพฤติกรรมทางเพศที่ชั่วร้าย"

การศึกษาแนวมนุษยวิทยาของชีวิตเกย์ในช่วงปี ๑๙๖๐
ในการศึกษาแนวมนุษยวิทยาของชีวิตเกย์ในช่วงปี 1960 ของ เอสเตอร์ นิวตัน (Esther Newton) เธอได้ตั้งข้อสังเกตว่า ประชาชนของกลุ่มคนรักเพศเดียวกันถูกจัดแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม

- กลุ่มแรกเรียกว่า "กลุ่มที่เปิดเผย" (Overts)
- อีกกลุ่มเรียกว่า "กลุ่มที่ไม่เปิดเผย" (Coverts)

"สำหรับกลุ่มที่ใช้ชีวิตอย่างเปิดเผยนั้น พวกเขาใช้ชีวิตและทำงานอยู่ท่ามกลางบริบทของชุมชนเกย์ ส่วนกลุ่มที่ไม่เปิดเผยนั้นไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดในชีวิตของพวกเขาที่ยุ่งเกี่ยวกับชุมชนเกย์เลย" ในช่วงเวลาที่นิวตันได้ทำการศึกษา ชุมชนเกย์ไม่ได้มีตัวเลือกมากนักสำหรับการทำงาน ซึ่งไม่เหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และสำหรับโลกของที่ทำงานที่ไม่มีเกย์อยู่นั้น ถือได้ว่าปราศจากการอดทนต่อรูปแบบของรักเพศเดียวกันอย่างสิ้นเชิง. สำหรับบางคนที่โชคดีที่สามารถทำงานได้อย่างเปิดเผยว่าตัวเองเป็นเกย์ และยังได้รับค่าตอบแทนที่ดี แต่ในทางตรงกันข้ามมีคนที่เป็นเกย์อีกจำนวนมากจำเป็นต้องเลือกระหว่างการอยู่อย่างยากจนข้นแค้น หรือการปิดบังอัตลักษณ์ของตนเอง

ถึงแม้ว่าสถานการณ์ต่างๆ นี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว การกีดกันและต่อต้านกลุ่มคนรักเพศเดียวกันก็ยังคงดำเนินอยู่ ท่ามกลางประชากรจำนวนมากของเกย์ การเปิดเผยตัวตนและยังสามารถทำงานได้นั้นยังคงเป็นสิ่งที่ยาก โดยทั่วไปแล้ว สำหรับตำแหน่งงานสูงๆ และมีค่าตอบแทนสูง สังคมมักจะไม่ค่อยยอมรับต่อคนที่จะขึ้นมารับตำแหน่งนี้ โดยเฉพาะคนที่ถูกมองว่ามีพฤติกรรมทางเพศเบี่ยงเบน. ถ้ามันเป็นการยากที่จะได้รับจ้างงานและสามารถเปิดเผยตัวเองได้ในที่ทำงานแล้ว สำหรับคนที่เป็นเกย์ คงจะไม่จำเป็นต้องพูดถึงว่ามันจะเป็นความยากลำบากขนาดไหน. และจะเป็นสองหรือสามเท่า สำหรับกลุ่มคนที่มีกามารมณ์ที่แตกต่างออกไปอย่างรุนแรงในการจะหางานทำ กลุ่มคนที่นิยมความรุนแรงในการมีเพศสัมพันธ์ได้ถอดชุดหนังของตัวเองเอาไว้ในบ้าน และจะต้องตระหนักให้ดีถึงการปกปิดอัตลักษณ์ที่แท้จริงของตนเอง คนที่ชอบมีเพศสัมพันธ์กับเด็กจะต้องถูกไล่ออกจากที่ทำงาน การที่จะต้องระมัดระวังในการปกปิดความลับของตัวเอง ถือได้ว่ากลายเป็นภาระหนัก ถึงแม้ว่าสำหรับคนบางคนที่เลือกที่จะอยู่อย่างปกปิด แต่ก็หนีไม่พ้นเหตุการณ์บางครั้งที่จำเป็นต้องเปิดเผย สำหรับปัจเจกชนที่มีรูปแบบกามารมณ์ที่อยู่ในกลุ่มไม่ธรรมดาเหล่านี้เสี่ยงต่อการไม่มีใครจ้างงาน และไม่สามารถที่จะเลือกงานที่ตนต้องการได้

ในตำแหน่งของเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือใครก็ตามที่อยู่ในตำแหน่งที่สามารถสร้างผลกระทบในสังคมแล้ว ยิ่งอยู่ในฐานะที่อ่อนไหวเป็นอย่างมาก เรื่องที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์เชิงชู้สาวเป็นวิธีการที่มีผลกระทบอย่างมากต่อการที่จะโค่นล้มใครบางคนให้ออกจากตำแหน่ง หรือทำลายอนาคตทางการเมือง ในความเป็นจริงแล้ว คนที่มีความสำคัญถูกคาดหวังให้ยึดถือและปฎิบัติตัวตามมาตราฐานของการมีเพศสัมพันธ์ และความต้องการทางเพศที่ดี ไม่อนุญาตใครก็ตามที่มีความเบี่ยงเบนทางเพศในทุกรูปแบบเข้ามาดำรงตำแหน่งนี้ ในทางตรงกันข้าม ความขัดแย้งเกี่ยวกับความต้องการทางเพศ กลับถูกใช้เป็นช่องทางในการเข้าสู่ตำแหน่งที่ไม่มีผลมากนัก ต่อกิจกรรมและนโยบายทางสังคมของคนส่วนมาก

ในการขยายตัวของขนาดเศรษฐกิจของเกย์ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาทำให้หลายต่อหลายคนได้มีโอกาสที่จะได้รับการจ้างงานในรูปแบบที่แตกต่างออกไป หรือได้รู้สึกผ่อนคลายขึ้น ไม่รู้สึกตึงเครียดต่อการถูกเลือกปฎิบัติต่อคนรักเพศเดียวกันในการทำงาน แต่งานในตำแหน่งต่างๆ ที่ได้รับการจ้างในรูปแบบเศรษฐกิจของเกย์แล้ว มักจะมีรายได้ไม่ค่อยดีนัก และสถานภาพของงานมักจะไม่ได้อยู่ในสถานภาพที่ดี. บาร์เทนเดอร์, คนดูแลทำความสะอาดที่อาบน้ำ แต่ไม่ใช่พนักงานธนาคารหรือผู้บริหารในบริษัทใหญ่ๆ คนที่อพยพเข้าสู่ ซานฟรานซิสโก หลายคนค่อนข้างประสบกับปัญหาเหล่านี้ พวกเขาต้องเผชิญกับการแข่งขันที่สูงในการเลือกตำแหน่งงาน เนื่องจากจำนวนคนที่ค่อนข้างมีมาก ให้เกิดการกดราคาค่าแรงและเกิดการจ้างงานอย่างไม่เป็นธรรมในหลายๆ บริษัท ไม่ว่าจะเป็นทั้งบริษัทของคนรักเพศเดียวกันหรือคนรักต่างเพศ

สถาบันครอบครัวกับบทบาทมาตราฐานทางเพศ
สถาบันครอบครัวมีบทบาทเป็นอย่างมากต่อการยึดถือปฎิบัติมาตราฐานความต้องการทางเพศ ในความเชื่อตามอุดมคติทั่วไปแล้ว ครอบครัวไม่สมควรที่จะผลิตหรือสนับสนุนความต้องการทางเพศหรือรูปแบบของการมีเพศสัมพันธ์แบบที่ไม่เป็นไปตามมาตราฐานที่ควรยึดถือปฎิบัติ หลายๆ ครอบครัวพยายามที่จะปรับเปลี่ยน ลงโทษ หรือตัดความสัมพันธ์ต่อสมาชิกในครอบครัวที่ไม่ยึดถือปฎิบัติ คนที่อพยพย้ายถิ่นตามความต้องการทางเพศของตนเอง ถูกทิ้งขว้างและถูกตัดความสัมพันธ์จากครอบครัว และอีกหลายๆ คนถูกทำร้ายจากความเป็นสถาบัน

ในการสุ่มตัวอย่างของคนรักเพศเดียวกัน คนขายบริการทางเพศ และคนที่ถูกเรียกว่าเบี่ยงเบนทางเพศอีกหลายๆ คนจะพบว่าพวกเขาเหล่านั้นสามารถเล่าเรื่องราวที่สะเทือนใจที่เกี่ยวกับการถูกปฎิเสธ การถูกเลือกปฎิบัติจากคนในครอบครัวของพวกเขาเอง. วันคริสตมาสเป็นวันที่สำคัญมากในประเทศสหรัฐอเมริกา และในทำนองเดียวกัน วันดังกล่าวก็กลายเป็นวันที่สร้างความกดดันต่อคนในชุมชนเกย์ ประมาณครึ่งหนึ่งของคนในชุมชนกลับบ้านไปหาครอบครัว ในขณะที่อีกหลายคนยังคงเลือกที่จะอยู่ในพื้นที่ชุมชนเดิม เพื่อที่จะปลดปล่อยหรือบรรเทาความโกรธและความเศร้าของพวกเขาเอง

เพศและเพศสัมพันธ์เป็นปัจจัยที่จะสร้างความเครียดและความกดดัน ระบบที่สามารถสร้างให้เกิดการกดดันและเก็บกดทางเพศสามารถพบได้ในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นความไม่เท่าเทียมกันภายในสังคม การจัดระเบียบของสังคม และคนในกลุ่ม สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถลดขนาดหรือลดความสำคัญลงไปได้ มันสามารถเข้าใจได้ในความหมายของ ชนชั้น เชื้อชาติ ชาติพันธุ์ หรือเพศสภาพ ความร่ำรวย, ผิวขาว, เป็นเพศชาย และมีสถานภาพทางเชื้อชาติที่สูงสามารถสร้างให้เกิดการแบ่งชนชั้นทางเพศและเพศสัมพันธ์ได้ ผู้ชายผิวขายที่รวยแต่มีความเบี่ยงเบนทางเพศสามารถสร้างให้เกิดผลกระทบต่อสังคมได้ แต่น้อยกว่าผู้หญิงผิวดำที่จนและมีความเบี่ยงเบนทางเพศ แต่อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าจะมีสถานภาพทางสังคมดีแค่ไหนก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถที่จะสร้างภูมิคุ้มกันต่อการกดดันทางเพศได้ ผลกระทบของระบบในการจัดลำดับชั้นทางเพศและเพศสัมพันธ์นี้เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความรำคาญ แต่ในบางครั้งกลับก่อให้เกิดโศกนาฎกรรมที่ร้ายแรง เช่นระบบการจัดการทางเพศที่เกิดขึ้นกับเหยื่อที่เคราะห์ร้ายหลายคน ซึ่งถูกกระทำเสมือนเป็นสัตว์ ถูกจัดระเบียบการแสดงออกของตัวตน ถูกจับตามอง ถูกกระทำต่างๆ ถูกทำโทษ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เกิดจากผลผลิตและความพึ่งพอใจส่วนตัวของตำรวจเลวๆ หลายพันคน ผู้คุมในเรือนจำ หมอทางจิตเวช และคนที่ทำงานทางสังคม

ข้อจำกัดของแนวคิดสตรีนิยม (The Limits of Feminism)

อย่างที่เรารู้ๆ กันว่ามีคดีความหลายคดีมากที่ อาชญากรรมทางเพศมีความเกี่ยวเนื่องกับหนังสือโป๊ เรารู้ว่าอาชญากรเหล่านั้นได้อ่านมัน และเห็นได้ชัดว่าการกระทำเหล่านั้นเกิดจากอิทธิพลของมัน ถ้าเราสามารถที่จะกำจัดการเผยแพร่ของสื่อลามกเหล่านี้ เราจะสามารถที่จะลดอัตราเพิ่มขึ้นของสถิติอาชญากรรมลงได้

ในความมืดมนต่อการที่จะมีทฤษฏีที่สามารถพูดถึงเรื่องทางเพศและเพศสัมพันธ์ที่ชัดเจน และตรงประเด็น หลายๆ คนหันไปหาแนวคิดทางสตรีนิยมเพื่อเป็นแนวทาง แต่ความสัมพันธ์ระหว่างแนวคิดทางสตรีนิยมและเพศ (หรือเพศวิถี) นั้น มีความซับซ้อนอยู่มาก เพราะว่าเพศวิถีถือได้ว่าเป็นความสัมพันธ์ที่เชื่อมต่อระหว่างเพศสภาพ เรื่องราวของความกดดันของผู้หญิงก็เกิดจากมุมมองนี้ หรือถูกวิเคราะห์ผ่านกรอบการมองนี้ หรือแม้แต่การถูกสร้างขึ้นมาจากแนวคิดเรื่องเพศวิถีนี้ แนวคิดสตรีนิยมมักจะมีความสนใจเป็นอย่างมากต่อเรื่องราวทางเพศและเพศสัมพันธ์ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลายเป็นแนวความคิดสองแนวทางที่แตกแขนงออกมา

- ในแนวทางหนึ่ง สนใจที่จะโต้แย้งถึงกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่มีต่อพฤติกรรมทางเพศของผู้หญิง และในขณะเดียวกันออกมาเรียกร้องให้ผู้หญิงลุกขึ้นมาและเปลี่ยนตำแหน่งของตัวเองให้เป็นเชิงรุก (Sexually Active) แนวความคิดของสตรีนิยมในแนวนี้เรียกว่า เป็นแนวสร้างความเป็นอิสระของเพศ และสิ่งที่เกิดขึ้นสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งคนที่เป็นหญิงและชาย

- ในแนวทางที่สอง มีความคิดที่ว่า การสร้างความเป็นอิสระทางเพศเป็นผลผลิตที่สามารถสร้างการต่อรองต่อแนวคิดที่ให้ความสำคัญของผู้ชายเป็นหลักได้ ในมุมมองนี้สามารถพบเห็นได้ในรูปแบบค่อนข้างอนุรักษ์นิยม หรือการต่อต้านวาทกรรมที่เกี่ยวกับเรื่องเพศ และด้วยการพัฒนาการของกระแสต่อต้านหนังสือโป๊เปลือย แนวคิดแบบนี้จึงกลายมาเป็นแนวคิดหลักที่ครอบคลุมการวิเคราะห์ในเชิงสตรีนิยมเอาไว้

กระแสต่อต้านภาพและตัวหนังสือในหนังสือโป๊เปลือย เป็นผลผลิตที่สำคัญที่เกิดขึ้นจากแนวความคิดดังกล่าว และในขณะเดียวกันมุมมองนี้กลับมองว่าการแสดงออกทางเพศในทุกรูปแบบ เป็นไปในลักษณะที่เรียกว่าต่อต้านสตรี ภายในกรอบการมองแบบนี้ คู่เลสเบี้ยนที่อยู่กันเป็นคู่ในลักษณะมีคู่ครองคนเดียว (Monogamous Lesbianism) ซึ่งอยู่กันแบบยาวนาน มีความลึกซึ้งในความสัมพันธ์ ไม่ได้พยายามที่จะสร้างการแบ่งแยกตามบทบาททางเพศแล้ว กลับสามารถที่จะแทนที่ความสัมพันธ์ที่เกิดจากการแต่งงานของคู่รักต่างเพศที่อยู่สูงที่สุดของการแบ่งชนชั้นทางเพศและเพศสัมพันธ์ ความสำคัญของความเป็นรักต่างเพศถูกปรับให้อยู่ในตำแหน่งกลางๆ นอกเหนือไปจากการเปลี่ยนแปลงนี้แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นเหมือนเดิม

ในตำแหน่งที่อยู่ล่างสุดก็มักจะถูกมอบให้กลุ่มคนที่เป็น โสเภณี คนที่ผ่าตัดแปลงเพศ คนที่ชอบความรุนแรงในการร่วมเพศ และคนที่ชอบมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ต่างช่วงอายุกัน ส่วนเพศสัมพันธ์ของกลุ่มเกย์ การเพศสัมพันธ์แบบเป็นคู่ชั่วคราว การมีคู่หลายคน และพฤติกรรมแบบเลสเบี้ยนที่มีความเกี่ยวข้องกับการกำหนดบทบาททางเพศ หรือไม่เป็นแบบการมีคู่ครองคนเดียวก็ถูกรวมอยู่ในตำแหน่งล่างนี้เช่นเดียวกัน

วาทกรรมที่เกี่ยวข้องกับเพศและเพศสัมพันธ์นี้มีความเกี่ยวข้องกับ การศึกษาที่เกี่ยวกับเพศ (Sexology) ไม่น้อยไปกว่าเรื่องราวทางการศึกษาที่เกี่ยวกับปิศาจ (Demonology) เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นคือวาทกรรมนี้ได้นำเสนอภาพของพฤติกรรมทางเพศไปในทางลบมากๆ คำอธิบายที่ว่าด้วยการประกอบกิจทางกามารมณ์มักจะใช้ตัวอย่างในทางลบ ซึ่งทำเหมือนว่าตัวอย่างเหล่านี้เป็นตัวแทนของกลุ่มดังกล่าว มันได้นำเสนอภาพที่น่ารังเกียจของหนังสือโป๊ และรูปแบบของการถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างที่สุดของโสเภณี และภาพที่น่าตกใจเป็นอย่างมากของความหลากหลายทางเพศและกามารมณ์ ภาพทั้งหลายทั้งปวงของเพศวิถีของมนุษย์ที่ถูกผลิตจากวาทกรรมนี้จะมีลักษณะที่น่าเกลียดอย่างที่สุด

แนวความคิดหรือข้อโต้แย้งที่จะล้มล้างภาพโป๊เปลือย มักจะเป็นเพียงสิ่งที่ใช้ในการรับเคราะห์แทน เพราะข้อโต้แย้งเหล่านี้ เน้นที่การกระทำที่ไม่ได้เป็นกิจวัตรประจำวันของความรัก แทนที่จะเน้นที่การกระทำที่ทำเป็นกิจวัตรที่ก่อให้เกิดความกดดัน การเอารัดเอาเปรียบ และความรุนแรง. เพศศาสตร์ในแนวที่เน้นมุมมองในทางลบแบบนี้ ได้สร้างความโกรธให้กับผู้หญิง โดยเฉพาะเมื่อมองถึง ความไม่ปลอดภัยในชีวิตประจำวัน ในการทำงานและในชุมชน. การประโคมข่าวในเรื่องการต่อต้านความโป๊เปลือย มักจะนำเสนอภาพที่เกิดขึ้นอยู่ภายในขอบเขตของอุตสาหกรรมที่ขายบริการทางเพศ และมักจะมีผลกระทบต่อสังคมโดยส่วนรวม. แท้จริงแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่มีความจริงเป็นพื้นฐานเลย อุตสาหกรรมทางเพศ (Sex Industry) นั้น ไม่ใช่สิ่งที่นักสตรีนิยมคาดหวังและมีอยู่ในอุดมคติ มันสะท้อนให้เห็นแนวคิดเรื่องเพศที่มีอยู่จริงในสังคมในภาพรวม เราจำเป็นต้องวิเคราะห์ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเพศสภาพที่มีความไม่เท่าเทียมที่มีความสัมพันธ์โดยตรงต่ออุตสาหกรรมทางเพศ แต่ไม่ใช่สิ่งเดียวกับความพยายามที่จะล้มล้างเพศพาณิชย์ (Commercial Sex)

ในทำนองเดียวกัน กลุ่มชนกลุ่มน้อย เช่น กลุ่มคนที่นิยมความรุนแรงในการร่วมเพศ และกลุ่มคนที่ผ่าตัดแปลงเพศ ซึ่งมักจะแสดงออกทางทัศนคติและพฤติกรรมที่แตกต่างเช่นเดียวกับกลุ่มต่างๆ ทางการเมือง แต่การที่จะอ้างว่าพวกเขาเหล่านี้เป็นกลุ่มเดียวกับกลุ่มที่ต่อต้านสตรีนิยม ค่อนข้างที่จะเป็นความฝันเลยทีเดียว สิ่งที่ดีที่เกิดจากวรรณกรรมของกลุ่มสตรีนิยมที่มีเนื้อหาที่อ้างถึงการกดขี่ห่มเหงผู้หญิง คือการนำไปสู่การนำเสนอโดยใช้ภาพตัวแทนต่างๆ ของเรื่องราวทางเพศ โสเภณี เพศศึกษา ความนิยมชมชอบความรุนแรงขณะร่วมเพศ ชายรักเพศเดียวกัน และการผ่าตัดแปลงเพศ แล้วอะไรบ้างที่เกิดขึ้นกับครอบครัว ศาสนา การศึกษา การเลี้ยงดูบุตร สื่อ รัฐ จิตเวช การเลือกปฎิบัติในการสมัครงาน และความไม่เท่าเทียมกันของเงินเดือน

สุดท้าย จากแนวคิดที่เรียกว่าวาทกรรมทางสายสตรีนิยม กลับกลายเป็นการผลิตซ้ำของศีลธรรมทางเพศในลักษณะที่เป็นอนุรักษ์นิยม มากกว่าศตวรรษการต่อสู้ที่เกิดขึ้น (ทางแนวคิด) คือการให้น้ำหนักของการโต้แย้งว่า ความละอายใจ ความกังวลใจ และการลงโทษควรจะเป็นเท่าไหร่ในสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับกิจกรรมทางเพศ กลุ่มแนวคิดจารีตอนุรักษ์นิยมได้นำเสนอสิ่งที่อยู่ตรงกันข้ามกับ เรื่องราวของความโป๊เปลือย การขายบริการทางเพศ ความเรักเพศเดียวกัน รูปแบบต่างๆ ของความหลากหลายทางเพศ เพศศึกษา การวิจัยทางเพศ การทำแท้ง และการคุมกำเนิด

ในทางตรงกันข้าม กลุ่มที่เน้นเรื่องราวทางเพศ เช่น ฮาปด์ลอค เอวส์สิส (Havelock Ellis), อัลเฟรด คินซีย์ (Alfred Kinsey), และ วิกตอเรีย วูดฮอล (Victoria Woodhull) และยังรวมถึงความเคลื่อนไหวทางเพศศึกษา องค์กรของกลุ่มโสเภณีและกลุ่มรักเพศเดียวกันที่เข้มแข็ง การเคลื่อนไหวทางสิทธิของการตั้งครรภ์ และองค์กรอย่างสมาคมปฏิรูปทางเพศ (The Sexual Reform League) ที่จัดตั้งในปี 1960 กลุ่มที่เคลื่อนไหวต่างๆ เหล่านี้ ได้ผสมปนเปเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเพศสัมพันธ์และสตรีนิยมเข้าด้วยกัน. กลุ่มต่างๆ เหล่านี้มีความใกล้ชิดกับจิตสำนึกของกลุ่มสตรีนิยมสมัยใหม่มากกว่าพวกที่พยายามกอบกู้ศีลธรรม การจัดการให้สังคมปราศจากสิ่งสกปรก และกลุ่มที่ต่อต้านความสกปรกของสังคม

อย่างไรก็ตามแนวคิดของสตรีนิยมในปัจจุบัน ที่รับเอาอิทธิพลของแนวคิดที่มองถึงเพศสัมพันธ์ในความหมายที่ต่ำทรามเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของแนวคิด ทำหน้าที่ยกระดับให้กลุ่มที่พยายามต่อต้านและล้มล้างความสกปรกที่เกิดขึ้นกับเพศสัมพันธ์ให้เป็นบรรพบุรุษที่น่ายกย่อง ในขณะเดียวกันกับประนามว่ากล่าวกลุ่มแนวคิดสตรีนิยมที่เน้นความอิสระว่า เป็นกลุ่มที่ต่อต้านสตรีนิยม. การเคลื่อนไหวที่พยายามต่อต้านสื่อโป๊เปลือยและกลุ่มที่มีแนวคิดคล้ายคลึงกันอ้างว่า พวกเขาได้พูดแทนกลุ่มสตรีนิยมทั้งหมด ค่อนข้างโชคดีที่แท้จริงแล้วไม่เป็นเช่นนั้น การปลดปล่อยให้เรื่องเกี่ยวกับเพศและเพศสัมพันธ์เป็นอิสระนั้น ได้เป็นและยังคงเป็นจุดมุ่งหมายที่สำคัญของสตรีนิยม

การเคลื่อนไหวของผู้หญิง อาจจะผลิตให้เกิดการทบทวนขบคิดในเรื่องเกี่ยวกับเพศและเพศสัมพันธ์ แต่การเคลื่อนไหวในลักษณะนี้ก็ยังสร้างความน่าตื่นเต้น นวัตกรรมใหม่ๆ และได้ผลิตสร้างวิธีการป้องกันให้ความสุขทางเพศ และความยุติธรรมทางกามารมณ์ กลุ่มเลสเบี้ยนผู้ซึ่งมีรสนิยมทางเพศไม่ยินยอมคล้อยตามต่อมาตราฐานในเรื่องทางเพศที่สะอาดบริสุทธิ์ (โดยเฉพาะกลุ่มเลสเบี้ยนผู้นิยมความรุนแรงในการร่วมเพศ และระหว่างคู่ของเลสเบี้ยนที่ค่อนข้างมีลักษณะความเป็นเพศชาย / เลสเบี้ยนที่ค่อนข้างมีลักษณะความเป็นหญิง (Butch/Femme Dykes)), รวมทั้งกลุ่มรักต่างเพศที่ไม่พยายามสร้างข้อแก้ต่าง, กลุ่มผู้หญิงที่ค่อนข้างจะเอียงเอนไปทางแนวคิดสตรีนิยมแบบสุดโต่ง (Radical Feminism) มากกว่าจะไปทางมุมมองใหม่ๆ ของสตรีนิยมซึ่งกลับกลายเป็นสิ่งที่ธรรมดา ถึงแม้ว่ากระแสของการต่อต้านสื่อโป๊เปลือยจะพยายามกีดกันคนที่ไม่เห็นด้วยออกไปจากกระแสการเคลื่อนไหว แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความคิดแบบสตรีนิยมที่เกี่ยวกับเรื่องทางเพศและเพศสัมพันธ์นั้นกลับก่อให้เกิดการแบ่งเป็นฝ่าย

เมื่อไรก็ตามที่เกิดการแบ่งฝ่าย สิ่งที่เกิดตามมาคือความทุกข์ใจที่จะพยายามคิดว่า ความเป็นจริงควรจะตั้งอยู่ตรงที่ใดที่หนึ่งระหว่างฝ่ายที่เกิดขึ้นนี้ อีแลน วิวลิส (Ellen Willis) ได้พูดอย่างประชดประชันว่า "อคติที่เกิดขึ้นในแนวคิดสตรีนิยมคือ การที่คิดว่าผู้หญิงเสมอเทียบเท่ากับผู้ชาย และสิ่งที่ผู้ชายมีอคติคือมองว่าผู้หญิงเป็นสิ่งที่ด้อยกว่า มุมมองของอคติเหล่านี้สะท้อนให้เห็นความจริงที่น่าจะตั้งอยู่ตรงกลางที่ใดที่หนึ่งระหว่างสองอคตินี้" การพัฒนาของความคิดที่เกิดขึ้นท่ามกลางสงครามทางความคิดที่เกี่ยวกับเรื่องทางเพศได้ก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า "ตรงกลาง" ซึ่งในมุมหนึ่งเป็นความพยายามที่จะสะท้อนให้เห็นถึงอันตรายที่จะคล้อยตามกระแสการต่อต้านสื่อโป๊เปลือยทั้งหมด และในอีกมุมหนึ่งเป็นความพยายามที่จะบอกว่า อันตรายก็เกิดเช่นกันเมื่อเราพยายามทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอิสระทั้งหมด

จากเรื่องราวของ "ตรงกลาง" ไปสู่ตำแหน่งที่อยู่กลางๆ (Moderate Position) ซึ่งเป็นการเน้นหาคำถามเรื่องเกี่ยวกับการยินยอม เพศสัมพันธ์แบบสุดโต่งในทุกรูปแบบมักจะเรียกร้องให้มีกฏหมายและความถูกต้องทางสังคมเป็นเครื่องมือที่จะสร้างการยิมยอมให้กับพฤติกรรมทางเพศเหล่านั้น นักสตรีนิยมหลายคนได้โต้แย้งคนกลุ่มนี้ว่า เป็นความพยายามในการตั้งคำถามต่อ "ขอบเขตของการยินยอม" และ "ข้อจำกัดทางโครงสร้าง" ที่มีผลต่อการยินยอมนั้น ถึงแม้ว่ามันมีปัญหาหยั่งรากลึกในเรื่องเกี่ยวกับการเมืองและวาทกรรมที่เกี่ยวกับการยินยอม และถึงแม้ว่ามันจะมีข้อจำกัดทางโครงสร้างในการเลือกเพศ ข้อโต้แย้งต่างๆ เหล่านี้กลับมุ่งประเด็นไปผิดที่ เพราะมันไมได้นำเอาเรื่องราวที่เกี่ยวกับความหมายในการสร้างการยินยอมอย่างเฉพาะเจาะจง เข้าไปอยู่ในประเด็นพิจารณาถึงการยินยอมทางเพศได้ตามกฎหมายและการปฎิบัติทางเพศ

เหมือนอย่างที่เกริ่นไปแล้วข้างต้น สิ่งสำคัญของกฎหมายที่เกี่ยวกับเพศและเพศสัมพันธ์นี้ จะไม่แบ่งแยกระหว่าง "พฤติกรรมที่ยินยอมให้เกิดขึ้นได้" และ"พฤติกรรมที่ถูกบีบบังคับ" มีเพียงแค่การข่มขื่นเท่านั้นที่สามารถแบ่งตามกำหนดที่ว่าได้. กฎหมายที่เกี่ยวกับการข่มขืนตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่า กิจกรรมที่เกี่ยวกับรักต่างเพศอาจจะสามารถเลือกได้อย่างอิสระ หรือถูกบังคับอย่างเต็มที ใครก็ได้สามารถเข้าร่วมสู่พฤติกรรมทางเพศในแบบรักต่างเพศ ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้หลุดออกมายังสถานภาพอื่นๆ และตราบเท่าที่เป็นการตกลงร่วมกันของทั้งสองฝ่าย

แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นไปกับรูปแบบพฤติกรรมอื่นๆ กฎหมายที่เกี่ยวกับการร่วมเพศทางทวารหนัก, เหมือนกับที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น, ตั้งอยู่บนสมมติฐานในเรื่องการกระทำที่ต้องห้าม "เพราะกิจกรรมเหล่านั้นไม่สามารถตรวจสอบได้ตามธรรมชาติ ซึ่งถือได้ว่าเป็นอาชญากรรมที่ต่อต้านธรรมชาติ" อาชญากรรมมักจะถูกตั้งข้อหาเพราะการกระทำของพวกเขา ไม่ว่าแรงปราถนาของคนที่มีส่วนร่วมจะอยู่ในรูปแบบใด "มันไม่เหมือนการข่มขืน การร่วมเพศทางทวารหนักหรือกิจกรรมต่างๆ ที่ถูกมองว่าเป็นพฤติกรรมทางเพศที่เบี่ยงเบน การมีเพศสัมพันธ์ของคนสองคนในลักษณะนี้ไม่ว่าทั้งสองจะยินยอมให้เกิดขึ้นหรือไม่ ทั้งสองอาจจะถูกลงโทษ" ก่อนที่สถานะที่อนุญาตให้เกิดการยินยอมได้ของผู้ใหญ่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ในปี 1976 จะผ่านการเห็นชอบ คู่รักเลสเบี้ยนหลายคู่ถูกลงโทษ ฐานที่ใช้ปากในการร่วมเพศ แม้ทั้งคู่อยู่ในสถานะที่ยินยอมต่อกัน แต่นั้นหมายถึงทั้งคู่ได้ร่วมกันกระทำความผิด

กฎหมายที่เกี่ยวกับการร่วมเพศทางทวารหนัก กฎหมายที่เกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์กับเครือญาติ การตีความทางกฏหมาย แน่นอนว่าจะก่อให้เกิดการตั้งคำถามต่อพฤติกรรมที่แม้แต่ผ่านการยินยอมให้เกิดขึ้นแล้วก็ตาม และนำไปสู่โทษอาชญากรรมที่จะถูกหยิบยื่นให้ ภายในกฎหมายนั้น การยินยอมที่มีอภิสิทธิ์ในการได้รับความสุขสูงสุด จะเกิดขึ้นได้เพียงแต่กับบุคคลผู้ซึ่งได้มีร่วมเพศ และการมีเพศสัมพันธ์นั้นจำเป็นต้องมีสถานภาพและชนชั้นของเพศสัมพันธ์ในลักษณะดังกล่าวในตำแหน่งทางสถานภาพที่สูงด้วย และสำหรับผู้ซึ่งจะต้องการเสพความสุขจากพฤติกรรมทางเพศที่ถูกมองว่าอยู่ในตำแหน่งทางสถานภาพที่ต่ำแล้ว จะไม่มีสิทธิทางกฏหมายใดๆ ในการที่จะเข้าร่วมกับกิจกรรมทางเพศนั้นๆ เลย ในส่วนที่เพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นการล้มเหลวทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการกดดันที่เกิดขึ้นภายในครอบครัว การตีตราต่อกามารมณ์ที่ไม่เป็นไปตามมาตราฐานการยอมรับทางสังคม ก่อให้เกิดการกีดกันทางสังคม

อุดมคติในแง่ลบ และความรู้และข้อมูลจำนวนจำกัดที่เกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ก่อให้เกิดความยากลำบากต่อกลุ่มคนที่อยากที่จะเลือกตัวเลือกทางเพศวิถีในแบบที่ไม่ธรรมดา มันมีข้อจำกัดทางโครงสร้างที่กีดกั้นอิสรภาพในการเลือกการมีเพศสัมพันธ์ แต่มันไม่ได้พยายามที่จะบีบบังคับให้ใครเข้าสู่การเป็นคนเบี่ยงเบน ในทางตรงกันข้ามมันกลับพยายามที่จะทำให้เพศวิถีของทุกคนดำเนินไปสู่ความปกติ

และสำหรับแนวคิดของสายสตรีนิยมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งใดที่สตรีนิยมมองเรื่องเกี่ยวกับเพศวิถี ไม่ว่าจะเป็น ขวา ซ้าย หรือตรงกลาง ข้อโต้แย้งทั้งหลายที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าการเคลื่อนไหวของสตรีนิยมมักจะเป็นเนื้อหาความสำคัญทางความคิดที่เกี่ยวกับเรื่องเพศ อย่างไรก็ตาม เราไม่ควรตั้งสมมติฐานว่า แนวคิดสตรีนิยมคือ หรือควรจะเป็นพื้นที่ทางทฤษฏีที่ให้อภิสิทธิ์ต่อแนวคิดเรื่องเพศวิถี. สตรีนิยมคือเป็นทฤษฏีที่ว่าด้วยการกดขี่ทางเพศสภาพ การที่จะคาดเดาว่าแนวคิดทฤษฏีนี้จะเป็นทฤษฏีที่ว่าด้วยการกดขี่ทางเพศวิถีด้วย จะเป็นการผิดพลาดที่ไม่แยกแยะให้ออกว่า สิ่งใดเป็นเรื่องเกี่ยวกับเพศสภาพในมุมหนึ่ง และสิ่งใดเป็นเรื่องเกี่ยวกับความปราถนาทางกามารมณ์ในอีกมุมหนึ่ง

ในภาษาอังกฤษเอง คำว่า "เพศ" (Sex) มีความหมายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงสองความหมาย มันหมายถึง เพศสภาพ (Gender) และ อัตลักษณ์ทางเพศสภาพ (Gender Identity) เช่นใน เพศของผู้หญิง (Female Sex- เน้นที่สรีระ) และ เพศของผู้ชาย (Male Sex) แต่ "เพศ" ยังสามารถหมายถึงกิจกรรมทางเพศ ความปราถนา การร่วมเพศ และการปลุกเร้า ในความหมายของการมี "เพศสัมพันธ์" (To Have Sex) ในการให้ความหมายแบบนี้บ่อยครั้งสะท้อนให้เห็นถึงสมมติฐานทางวัฒนธรรมที่ว่า เพศวิถี (Sexuality) สามารถลดฐานะให้อยู่ในการมีเพศสัมพันธ์ และมันยังมีหน้าที่ที่เชื่อมโยงต่อไปยังเพศชายและเพศหญิงอีกด้วย การสับสนในเรื่องเกี่ยวกับเพศสภาพและนำเอาไปผนวกเข้ากับเพศวิถีนั้นยังทำให้เกิดแนวคิดทฤษฏีที่ว่า ด้วยเพศวิถีนั้นอาจจะเกิดขึ้นจากทฤษฏีที่ว่าด้วยเพศสภาพก็เป็นได้

แคทเธอรีน แมคแคนนอน (Catherine MacKinnon) ได้มีความพยายามในการโต้แย้งทางทฤษฏีที่พยายามขบคิดพิจารณาเพศวิถีโดยผ่านความคิดในสายสตรีนิยม ถ้าตามความคิดของแมคแคนนอนแล้ว "เพศวิถีเป็นสิ่งที่มีเพื่อสตรีนิยม เกิดขึ้นผ่านการวิเคราะห์วิพากษ์แนวคิดของมาร์กซิสท์ สะท้อนให้เห็นเรื่องที่เพศวิถีถูกกรอบร่าง ถูกกำหนดทิศทาง และถูกนิยามการแสดงออกทางเพศในสังคมให้อยู่ภายใต้ข้อจำกัดของสองเพศ หญิงและชาย" ยุทธวิธีในการวิเคราะห์ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการตัดสินใจที่ว่า "การใช้เพศและเพศสภาพสามารถปรับเปลี่ยนกันได้" และนี่คือสิ่งที่ก่อให้เกิดความสับสนและบทความชิ้นนี้ต้องการที่จะโต้แย้งและท้าทาย

มันเป็นผลลัพธ์ที่ดีในการวิเคราะห์วิพากษ์ว่า แนวคิดของสตรีนิยมแตกต่างออกไปจากแนวคิดแบบมาร์กซิสท์ แนวความคิดแบบมาร์กซิสนั้นเป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับวิเคราะห์และอธิบายความไม่เท่าเทียมกันในสังคมได้อย่างดีและมีประสิทธิภาพ แต่ถ้าพยายามจะใช้แนวคิดมาร์กซิสนี้ในการอธิบายความไม่เท่าเทียมกันในทุกรูปแบบของสังคมแล้ว มันกลับการเป็นความพยายามที่ผิดจุดประสงค์ แนวคิดแบบมาร์กซิสนั้นมีประโยชน์อย่างสูงสุดในเรื่องเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในสังคม ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของแนวคิดนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นภายใต้ระบบทุนนิยม

ในช่วงแรกๆ ของขบวนการเคลื่อนไหวของสตรี มีการขัดแย้งทางทฤษฏีที่เกิดขึ้นจากการใช้ทฤษฏีมาร์กซิสท์เพื่ออธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นกับการแบ่งแยกเพศสภาพให้เกิดเป็นลักษณะทางชนชั้น เพราะเนื่องจากว่าทฤษฏีของมาร์กซิสท์มีพลังในการอธิบายสูง มันสามารถใช้ในการคลี่คลายประเด็นที่น่าสนใจหลายๆ ประเด็นได้ โดยเฉพาะเรื่องการกดขี่เกี่ยวกับเพศสภาพ ทฤษฏีนี้ทำงานได้ดีก็ต่อเมื่อประเด็นทางเพศสภาพมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับประเด็นทางชนชั้น และการจัดการทางแรงงาน แต่ประเด็นที่เฉพาะเจาะจงลงไปในเรื่องโครงสร้างทางสังคมที่เกี่ยวเพศสภาพ จะไม่สามารถถูกอธิบายได้ด้วยทฤษฏีนี้

ความสัมพันธ์ในเชิงทฤษฏีระหว่างทฤษฏีสตรีนิยมและทฤษฏีที่ว่าด้วยความกดขี่ทางเพศ ค่อนข้างมีความคล้ายคลึงกัน แนวคิดของสตรีนิยมมีเครื่องมือที่ถูกพัฒนามาเพื่อตรวจจับและวิเคราะห์ถึงการแบ่งชนชั้นตามเพศสภาพ และเมื่อพิจารณาอย่างต่อเนื่องและขยายวงออกไปแล้วจะพบว่า แนวคิดนี้เปิดประเด็นไปสู่การแบ่งชนชั้นตามกามารมณ์ ทฤษฏีทางสตรีนิยมจึงมีอำนาจในการอธิบายปรากฎการณ์เหล่านี้ แต่ประเด็นของการแบ่งชนชั้นตามกามารมณ์ หรือการกดขี่ทางเพศนั้นมีประเด็นของเพศสภาพอยู่น้อยลงเรื่อยๆ แต่กลับมีประเด็นทางเพศวิถีมากขึ้น การวิเคราะห์เชิงสตรีนิยมกลายเป็นสิ่งที่ไม่ครอบคลุมและไม่ตรงประเด็น ความคิดในเชิงสตรีนิยมขาดมุมมองที่เต็มรูปแบบที่จะพิจารณาได้โดยรอบ เฉพาะอย่างยิ่งในมุมมองที่เกี่ยวกับการจัดการทางสังคมที่เกิดขึ้นกับเพศวิถี กฎเกณฑ์และกรอบต่างๆ ที่ประกอบสร้างขึ้นมาเป็นทฤษฏีทางสตรีนิยมนั้น ไม่ได้เอื้อให้เห็นและเข้าถึงการต่อรองกับความสัมพันธ์เชิงอำนาจในพื้นที่ของเพศวิถี

ในการพัฒนาต่อไป การวิพากษ์ในเชิงสตรีสตรีนิยมที่มุ่งประเด็นไปเรื่องเกี่ยวกับการแบ่งชนชั้นทางเพศสภาพนั้น จำเป็นต้องนำแนวคิดเรื่องเพศและเพศวิถีเข้าไปร่วมด้วย การวิพากษ์การกดขี่ทางเพศสามารถช่วยทำให้แนวคิดแบบสตรีนิยมเข้มแข็งขึ้น แต่ในทำนองเดียวกันทฤษฏีและการโต้แย้งทางการเมืองของเพศวิถีก็จำเป็นต้องมีการพัฒนา

มันเป็นข้อผิดพลาดถ้าพยายามที่จะแทนที่แนวคิดมาร์กซิสท์ด้วยแนวคิดสตรีนิยม แนวคิดสตรีนิยมไม่ได้มีความสามารถมากไปกว่าแนวคิดมาร์กซิสท์ ในการให้คำอธิบายในเรื่องความไม่เท่าเทียมกันในทุกๆ ความสัมพันธ์ในสังคม เช่นเดียวกับแนวคิดทฤษฏีสตรีนิยมที่ไม่สามารถอธิบายในเรื่องที่มาร์กซิสท์ไม่ได้แตะต้อง เครื่องมือที่มีความเฉพาะเจาะจงในการอธิบายเหล่านี้ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อรับมือกับสถานการณ์และกิจกรรมทางสังคมบางอย่างเท่านั้น ในพื้นที่อื่นๆ ของชีวิตทางสังคม ในรูปแบบของการใช้อำนาจ และในลักษณะต่างๆ ที่ก่อให้เกิดการกดขี่ สิ่งเหล่านี้ย่อมต้องการแนวคิดและคำอธิบายที่ต่างออกไป ในบทความนี้ สิ่งที่เน้นย้ำคือการพิจารณาในระดับของทฤษฏีที่แตกต่าง และในขณะเดียวกันก็พิจาราณาถึงความหมายของความหลากหลายทางเพศด้วย


 

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


คลิกไปที่ กระดานข่าวธนาคารนโยบายประชาชน


นักศึกษา สมาชิก และผู้สนใจบทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ก่อนหน้านี้ หรือถัดจากนี้สามารถคลิกไปอ่านได้โดยคลิกที่แบนเนอร์



สารบัญข้อมูล : ส่งมาจากองค์กรต่างๆ

ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา 3
I สารบัญเนื้อหา 4 I สารบัญเนื้อหา 5 I สารบัญเนื้อหา 6
ประวัติ ม.เที่ยงคืน

สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง

webboard(1) I webboard(2)

e-mail : midnightuniv(at)gmail.com

หากประสบปัญหาการส่ง e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
[email protected]

ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ทั้งหมด กว่า 1300 เรื่อง หนากว่า 25000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)gmail.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com

สมเกียรติ ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็บไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com





1

 

 

 

 

2

 

 

 

 

3

 

 

 

 

4

 

 

 

 

5

 

 

 

 

6

 

 

 

 

7

 

 

 

 

8

 

 

 

 

9

 

 

 

 

10

 

 

 

 

11

 

 

 

 

12

 

 

 

 

13

 

 

 

 

14

 

 

 

 

15

 

 

 

 

16

 

 

 

 

17

 

 

 

 

18

 

 

 

 

19

 

 

 

 

20

 

 

 

 

21

 

 

 

 

22

 

 

 

 

23

 

 

 

 

24

 

 

 

 

25

 

 

 

 

26

 

 

 

 

27

 

 

 

 

28

 

 

 

 

29

 

 

 

 

30

 

 

 

 

31

 

 

 

 

32

 

 

 

 

33

 

 

 

 

34

 

 

 

 

35

 

 

 

 

36

 

 

 

 

37

 

 

 

 

38

 

 

 

 

39

 

 

 

 

40

 

 

 

 

41

 

 

 

 

42

 

 

 

 

43

 

 

 

 

44

 

 

 

 

45

 

 

 

 

46

 

 

 

 

47

 

 

 

 

48

 

 

 

 

49

 

 

 

 

50

 

 

 

 

51

 

 

 

 

52

 

 

 

 

53

 

 

 

 

54

 

 

 

 

55

 

 

 

 

56

 

 

 

 

57

 

 

 

 

58

 

 

 

 

59

 

 

 

 

60

 

 

 

 

61

 

 

 

 

62

 

 

 

 

63

 

 

 

 

64

 

 

 

 

65

 

 

 

 

66

 

 

 

 

67

 

 

 

 

68

 

 

 

 

69

 

 

 

 

70

 

 

 

 

71

 

 

 

 

72

 

 

 

 

73

 

 

 

 

74

 

 

 

 

75

 

 

 

 

76

 

 

 

 

77

 

 

 

 

78

 

 

 

 

79

 

 

 

 

80

 

 

 

 

81

 

 

 

 

82

 

 

 

 

83

 

 

 

 

84

 

 

 

 

85

 

 

 

 

86

 

 

 

 

87

 

 

 

 

88

 

 

 

 

89

 

 

 

 

90

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


 

คิดต่างในเชิงสร้างสรรค์เพื่อเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมที่ดีกว่าและเสรีภาพ
24January 2008
Free Documentation License
Copyleft : 2007, 2008, 2009
Everyone is permitted to copy
สิ่งที่เรียกว่า"ความผิดพลาดเนื่องมามาตรฐานที่วางไว้ผิดๆ"ก็คือข้อพิสูจน์ของความคิดที่ว่า เรื่องเพศเป็นเรื่องทางลบ. ซูซาน ซองแทค ได้แสดงความคิดเห็นว่า ตั้งแต่ความเป็นคริสเตียนได้เน้นไปที่ "พฤติกรรมทางเพศนั้นเปรียบเสมือนรากของจริยธรรม ทุกสิ่งที่เกี่ยวกับเพศจึงเป็นเรื่องที่พิเศษในวัฒนธรรมของเรา" กฎหมายซึ่งเกี่ยวข้องเรื่องเพศได้ผนวกรวมเข้ากับทัศนคติทางศาสนา ทำให้เพศนอกรีตคือบาปที่เลวทราม และสมควรได้รับการลงโทษ จากประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่นั้นการร่วมสังวาสทางทวาร แม้ว่าจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม เป็นความผิดขั้นรุนแรงถึงประหาร
โครงการสื่อเพื่อบริบทสิทธิมนุษยชน: จากชายขอบถึงศูนย์กลาง - Media Project: From periphery to mainstream

Michel Foucault,
The History of Sexuality

ชาติพันธุ์ย่อยๆ ทั้งหมดได้ถูกสร้างขึ้นแล้ว ชาติพันธุ์เหล่านี้เกิดขึ้นนอกเหนือไปจากการผูกพันกันในระบบเครือญาติ และชาติพันธุ์ย่อยๆ เหล่านี้แตกต่างไปจากทาสที่ได้รับการปลดปล่อยในอดีต จากปลายช่วงศตวรรษที่ ๑๘ จนกระทั่งถึงช่วงเวลาของเราทุกวันนี้ พวกเขาเคลื่อนที่ผ่านรูช่องโหว่ภายในสังคม พวกเขามักถูกเข้าใจว่าเป็นคนเลว แต่มันไม่ได้เกิดขึ้นจากกฎหมาย พวกเขามักจะโดนจับ แต่ไม่ได้ถูกกักขังในคุก บางทีพวกเขาอาจเป็นคนป่วย แต่มักจะเป็นในด้านอื้อฉาว เป็นเหยื่อที่อันตราย เป็นเหยื่อของปิศาจที่แปลกประหลาดที่แม้แต่ความชั่วยังไม่สามารถเทียบได้

พวกเขาเป็นเด็กที่เฉลียวฉลาดมากไปกว่าอายุที่เขาเป็นอยู่ เด็กผู้หญิงตัวน้อยที่มีความสามารถมากกว่าเด็กในวัยเดียวกัน เด็กชายที่มีความทะเยอทะยาน คนรับใช้ผู้โง่เขลาและนักวิชาการ สามีใจโหด คนเก็บเงินที่โดดเดี่ยว คนพเนจรที่แปลกประหลาด การปรากฎตัวของพวกเขากลายเป็นความหลอกหลอนบ้านแห่งความถูกต้อง อำนาจของการควบคุม ศาลยุติธรรม และโรงพยาบาลบ้า พวกเขาได้นำพาชื่อเสียงไปในทางลบ ความอื้อฉาวที่พวกเขาได้รับ เพื่อไปหาหมอ และนำพาเอาความเจ็บป่วยของพวกเขาไปหาผู้พิพากษา พวกเขาเป็นสมาชิกของครอบครัวของคนวิปริต กลุ่มที่ถูกเรียกอย่างสุภาพในความเกี่ยวข้องกับ "คนบ้า"