1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
41
42
43
44
45
46
47
48
49
50
51
52
53
54
55
56
57
58
59
60
61
62
63
64
65
66
67
68
69
70
71
72
73
74
75
76
77
78
79
80
81
82
83
84
85
86
87
88
89
90
ข้าพเจ้ามีปัญหาปริศนาหนึ่ง นั่นคือรัฐบาลอิสลามและประชาชาติอิสลามทั้งหลายจะต้องสังวรว่า ความทุกข์ระทมและความเจ็บปวดรวดร้าวเกิดจากอะไร ? พวกเขาตระหนักดีว่า มันมีมือที่คอยเสี้ยมให้เกิดความแตกแยกในระหว่างพวกเขา และยังตระหนักดีว่า ความแตกแยกคือที่มาของความอ่อนแอและนำไปสู่ความหายนะของพวกเขา และยังตระหนักดีว่ารัฐเถื่อนที่ถูกอุปโลกน์เฉกเช่น อิสราเอล ที่เผชิญหน้าท้า ทายกับมุสลิมทั้งมวลนั้น มาตรว่ามวลมุสลิมสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวกัน เพียงระดมน้ำคนละขันสาดใส่หัวอิสราเอล พวกมันจะสำลัก - จมน้ำ(ตาย)ทันที ทั้งๆ ที่พวกเขาตระหนัก ทว่ากลับสำแดงความอัปยศ ณ เบื้องหน้ามัน ปริศนาก็คือ ทั้งๆที่พวกเขารู้ พวกเขาตระหนัก แล้วเหตุ ใดพวกเขาจึงไม่คิดหันหน้าหาทางเยียวยาแก้ไข ด้วยการสมานฉันท์
20-07-2552
(1747)
ประวัติศาสตร์
การปฏิวัติอิสลาม: อิมามโคมัยนีย์ - อะลี
คอเมเนอีย์
การต่อต้านจักรวรรดิ:
ศักดิ์ศรีแห่งอิสลาม และชีวิตแห่งความเรียบง่าย
สรรเสริญ สายธารพิสุทธิ์: แปล
กุม มุก็อดดัส ประเทศอิหร่าน
บทความวิชาการนี้
สามารถ download ได้ในรูป word
บทความชิ้นนี้ได้รับมาจากผู้เขียน
เดิมชื่อ...
๑. อิมามโคมัยนีย์ กับท่าทีต่อศัตรูอิสลาม
๒. เศษเสี้ยวเกี่ยวกับความสมถะของท่านผู้นำสูงสุดที่เสรีชนทุกคนต้องอ่าน
เรื่องแรกเป็นการเก็บความมาจากถ้อยคำของ อิมามโคมัยนีย ในวาระต่างๆ
เรื่องที่สอง เป็นการสะท้อนถึงวิถีชีวิตอันเรียบง่ายของท่าน อะลี คอเมเนอีย์
(บทความนี้จัดอยู่ในหมวด
"ประวัติศาสตร์การปฏิวัติอิหร่าน")
สนใจส่งบทความเผยแพร่ ติดต่อมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน:
midnightuniv(at)gmail.com
บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา
ข้อความที่ปรากฏบนเว็บเพจนี้ ได้รักษาเนื้อความตามต้นฉบับเดิมมากที่สุด
เพื่อนำเสนอเนื้อหาตามที่ผู้เขียนต้องการสื่อ กองบรรณาธิการเพียงตรวจสอบตัวสะกด
และปรับปรุงบางส่วนเพื่อความเหมาะสมสำหรับการเผยแพร่ รวมทั้งได้เว้นวรรค
ย่อหน้าใหม่ และจัดทำหัวข้อเพิ่มเติมสำหรับการค้นคว้าทางวิชาการ
บทความทุกชิ้นที่เผยแพร่บนเว็บไซต์แห่งนี้ ยินดีสละลิขสิทธิ์เพื่อมอบเป็นสมบัติ
ทางวิชาการแก่สังคมไทยและผู้ใช้ภาษาไทยทั่วโลก ภายใต้เงื่อนไข้ลิขซ้าย (copyleft)
บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ ๑๗๔๗
เผยแพร่บนเว็บไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๒
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ ๑๖ หน้ากระดาษ A4 โดยไม่มีภาพประกอบ)
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ประวัติศาสตร์
การปฏิวัติอิสลาม: อิมามโคมัยนีย์ - อะลี
คอเมเนอีย์
การต่อต้านจักรวรรดิ:
ศักดิ์ศรีแห่งอิสลาม และชีวิตแห่งความเรียบง่าย
สรรเสริญ สายธารพิสุทธิ์: แปล
กุม มุก็อดดัส ประเทศอิหร่าน
บทความวิชาการนี้
สามารถ download ได้ในรูป word
๑. อิมามโคมัยนีย์ กับท่าทีต่อศัตรูอิสลาม
มาตรว่ามวลมุสลิมสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวกัน
เพียงระดมน้ำคนละขันสาดใส่หัวอิสราเอล
พวกมันจะสำลัก - จมน้ำ (ตาย) ทันที
1
"ศัตรู ที่แท้จริงของอิสลามและอัลกุรฺอานอันทรงเกียรติและศาสนทูตผู้ยิ่งใหญ่
(ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะอาลิฮฺ) ก็คือเหล่ามหาอำนาจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อเมริกาและอิสราเอล
ลูกผู้ชั่วช้าสามานย์ของมัน ดวงตาแห่งความตะกละตะกรามของพวกมัน จ้องเขม็งไปยังประเทศอิสลามเพื่อสวาปาม
และครอบครองขุมทรัพย์มหึมา ทั้งที่ซุกซ่อนอยู่ใต้พื้นปฐพี และที่กระจัดกระจายบนหน้าแผ่นดิน
ประเทศเหล่านี้จะไม่มีวันล้มเลิกแผนการณ์ร้ายในการก่ออาชญากรรมอย่างแน่นอน และรหัสยะที่จะช่วยให้แผนการณ์อันต่ำทรามของพวกมันประสบความสัมฤทธิ์ผลก็คือ
การพยายามสร้างความแตกแยกร้าวฉานในระหว่างพี่น้องมุสลิมจนสุดกำลังความ สามารถของพวกมัน"
(อิมามรูหุลลอฮฺ อัลมูสาวีย์ อัลโคมัยนีย์ กุดดิส สัรฺรุฮุชชะรีฟ
- เศาะหี๊ฟะฮฺอิมาม เล่ม 19 หน้า 28)
2
"ความทุกข์ระทมที่ถาโถมเข้าใส่มวลมุสลิม เกิดจาก (น้ำมือ) รัฐบาล (ที่อ้างตนว่าเป็น)
อิสลามทั้งหลาย รัฐบาลอิสลามที่จะต้องรวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ร่วมคิดร่วมสร้างสรรค์สังคมอิสลามร่วมกัน
เพราะยึดมั่นในศาสนาหนึ่งเดียวกัน มีคัมภีร์เล่มเดียวกัน และต่างตระหนักดีว่าศัตรูจะเป็นผู้ตักตวงผลประโยชน์จากการทะเลาะเบาะแว้ง
การขัดแย้งไม่ลงรอยในระหว่างมุสลิม รัฐบาลเหล่านั้นต่างตระหนักดีถึงอาการของโรคร้ายนี้
แต่ไม่เคยคิดใส่ใจที่จะหาโอสถมาเยียวยาแก้ไข"
"ข้าพเจ้าขอวิงวอนต่ออัลลอฮฺ ผู้ทรงจำเริญ ผู้ทรงสูงส่ง ให้พระองค์ทรงปลุกมวลมุสลิมทั้งหลาย
โดยเฉพาะรัฐบาลอิสลาม ให้ตื่นจากภวังค์แห่งการหลับใหล และสามารถพิชิตชัยชนะเหนืออุปสรรคปัญหาของพวกเขา
และให้อิสลามโชติช่วงชัชวาลย์ในแผ่นดินอิสลามตามสารัตถะที่แท้จริง เสมือนที่เคยอุบัติในยุคแรกของอิสลามด้วยเทอญ"
(อิมามรูหุลลอฮฺ อัลโคมัยนีย์ อัลมูสาวีย์ กุดดิส สัรฺรุฮุชชะรีฟ
- เศาะหี๊ฟะฮฺอิมาม เล่มที่ 9 หน้า 41)
3
"ความทุกข์ระทมที่ถาโถมรุมเร้าเข้าหาเราและมุสลิมทั้งมวล ล้วนเกิดจากน้ำมืออเมริกา
อเมริกาที่เฝ้าฟูมฟักไซออนิสต์ (*) จนปีกกล้าขาแข็ง และให้การสนับสนุนให้มีพลังเพื่อเข่นฆ่าสังหารพี่น้องของเรากลุ่มแล้วกลุ่ม
เล่าจนนับไม่ถ้วน"
(อิมามรูหุลลอฮฺ อัลมูสาวีย์ อัลโคมัยนีย์ กุดดิสสัรฺรุฮุชชะรีฟ
- เศาะหี๊ฟะฮฺอิมาม เล่ม 10 หน้า 392)
(*) Zionism is the international political movement
that originally supported the reestablishment of a homeland for the Jewish
People in Palestine. The area was the Jewish Biblical homeland, called the
Land of Israel (Hebrew: Eretz Yisra'el). Since the creation of Israel, the
Zionist movement continues primarily as support for the modern state of Israel.
Zionism is based on the foundation of historical ties and religious traditions
linking the Jewish people to the Land of Israel, where the concept of Jewish
nationhood first evolved somewhere between 1200 BCE and the late Second Temple
era (i.e. up to 70 CE). Two millennia after the Jewish diaspora, the modern
Zionist movement, beginning in the late 19th century, was mainly founded by
secular Jews, largely as a response by European Jewry to antisemitism across
Europe, especially in Russia. The re-creation of a Jewish national homeland
was also strongly advocated by American scholars, such as Louis Brandeis,
as a solution to this "Jewish problem" and a way to "revive
the Jewish spirit."
It is a type of the broader phenomenon of modern nationalism. Initially one
of several Jewish political movements offering alternative responses to assimilation
and the position of Jews in Europe, Zionism grew rapidly and after the Holocaust
became the dominant power among Jewish political movements. (กอง บก.มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
4
"จะไม่เป็นการดีหรืออย่างไร ที่รัฐบาลในภูมิภาคนี้จะเสริมสร้างศักยภาพกองกำลังของตนเพื่อช่วยกันลบอิสราเอลออกจากแผนที่โลก
อันธพาลอิสราเอลที่ไม่เพียงจะขับไล่ไสส่งพี่น้องปาเลสไตน์ผู้ถูกอธรรมออกไป จากมาตุภูมิของตนเท่านั้น
ทว่า ยังเปิดฉากรังควาญเลบานอนผู้กล้าแกร่ง และข่มขู่คุกคาม - รุกรานประเทศในภูมิภาคนี้ไปทั่ว
มีภารกิจใดที่จะดีไปกว่าการที่รัฐบาลในภูมิภาคจับมือกันเพื่อปลดปล่อยภูมิภาคให้ปลอดภัยจากความชั่วช้าสามานย์ของอิสราเอลและอเมริกาผู้ให้การหนุนหลังมัน
และข้าพเจ้าได้ย้ำเตือนครั้งแล้วครั้งเล่าว่าอิสราเอลยึดปณิธานอันชั่วช้า ว่า
"จากฝั่งแม่น้ำไนล์ถึงยูเฟรติสคือกรรมสิทธิ์ของมัน" และถือว่าพวกท่านได้ปล้นแผ่นดินของมันไป
เพียงแต่ในช่วงนี้มันยังไม่กล้าสำแดงทัศนะออกมาอย่างโจ่งแจ้งเท่านั้น"
(อิมามรูหุลลอฮฺ อัลมูสาวีย์ อัลโคมัยนีย์ กุดดิสสัรฺรุฮุชชะรีฟ
- เศาะหี๊ฟะฮฺอิมาม เล่ม 19 หน้า 31)
5
"อเมริกาที่สยายเขี้ยวเล็บในภูมิภาคนี้ได้สำแดงให้ประจักษ์ครั้งแล้วครั้งเล่าว่า
มันจะให้การสนับสนุนอย่างเบ็ดเสร็จแก่ลูกนอกสมรสของมัน เฉกเช่นอิสราเอลให้เป็นตัวแทนก่ออาชญากรรมในภูมิภาคนี้
ดังนั้น จงอย่าทำล้อเล่นไปกับเกมส์การเมืองของพวกมันอย่างเด็ดขาด และผู้ที่ให้การสนับสนุนอิสราเอล
จงรู้ไว้เถิดว่านั่นคือการเฝ้าฟูมฟักอสรพิษร้ายให้กล้าแกร่งเพื่อให้หันมาแว้งกัดทั้งชาวนาและคนรุ่นใหม่ในภูมิภาคให้ประสบกับความพินาศเมื่อมัน
ได้โอกาสเหมาะ ขออัลลอฮฺอย่าให้เป็นเช่นนั้น ดังนั้น จงอย่าเปิดโอกาสให้เจ้าอสรพิษร้ายเป็นอันขาด"
(อิมามรูหุลลอฮฺ อัลมูสาวีย์ อัลโคมัยนีย์ กุดดิสสัรฺรุฮุชชะรีฟ
- เศาะหี๊ฟะฮฺอิมาม เล่ม 18 หน้า 95)
6
"รัฐบาล ประเทศมุสลิมโปรดรับรู้ด้วยว่า ด้วยการเงียบขั้นอุกฤษฎ์ราวป่าช้าเช่นนี้
และการยอมจำนนโดยปราศจากเงื่อนไข ณ เบื้องหน้าอเมริกาและอิสราเอล ณ วันนี้ เลบานอนอันทรงเกียรติกำลังถูกพวกสวาปามโลกกระเดือกลงคอหอย
และในอนาคตอันใกล้นี้ ก็จะถึงคิวของประเทศอันทรงเกียรติอื่นๆ อีกต่อไป ณ วันนี้
มาตรว่ารัฐบาลต่างๆ ในภูมิภาคได้อาศัยน้ำมันและพลังงานเป็นอาวุธยืนหยัดต่อกรกับเหล่าอาชญากร
แล้วไซร้ ปัญหาอิสราเอลและอเมริกาและมหาอำนาจเหล่ามหาโจรผู้ปล้นสดมภ์ทั้งหลายจะอันตรธานหายไปในที่สุด"
(อิมามรูหุลลอฮฺ อัลมูสาวีย์ อัลโคมัยนีย์ กุดดิสสัรฺรุฮุชชะรีฟ
- เศาะหี๊ฟะฮฺอิมาม เล่ม 16 หน้า 363)
7
"ในสภาวะวิกฤติเช่นนี้ สติและจิตใต้สำนึกของมวลมุสลิมและประเทศอิสลามทั้งหลายยังไม่รู้สึกสำเหนียกต่อภาระหน้าที่
ณ เบื้องหน้าของพระผู้อภิบาลผู้ทรงสูงส่งอีกหรือ?
พวกเขานั่งนิ่งเงียบในขณะที่วีรบุรุษผู้เสียสละชาวปาเลสไตน์ถูกถล่มทลายด้วยน้ำมือของพวกจักรวรรดินิยม
หรือเพื่อสนับสนุนให้เหล่าจักรวรรดินิยมได้บรรลุสู่เป้าหมายอันสกปรกโสมมของ พวกมัน?
รัฐบาลอรับและประชาชนที่อาศัยอยู่ในประเทศเหล่านั้นไม่เฉลียวใจบ้างหรือว่า ถ้าปาเลสไตน์ต้องประสบกับความพ่ายแพ้
ประเทศอรับทั้งหลายจะไม่มีวันมีชีวิตอย่างสุขสบายและรอดพ้นเงื้อมมืออันสกปรกโสมมของเจ้าโจรปล้มสดมภ์ตัวนี้ไปได้
?"
(อิมามรูหุลลอฮฺ อัลมูสาวีย์ อัลโคมัยนีย์ กุดดิสสัรฺรุฮุชชะรีฟ
- เศาะหี๊ฟะฮฺอิมาม เล่ม 2 หน้า 461)
8
"เราได้ใช้ความเพียรพยายามหันหน้าเพื่อปรับความเข้าใจกับรัฐบาลประเทศอิสลามมานับครั้งไม่ถ้วน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับรัฐบาลในภูมิภาคนี้ เราทั้งขอร้องทั้งตักเตือนพวกเขาอย่างจริงๆ
จังๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าให้พวกเขาลุกขึ้นยืนหยัดเพื่อพิทักษ์เกียรติยศ ศักดิ์ศรี
ชีวิต และทรัพย์สินของประชาชาติอิสลาม ให้พวกเขายืนหยัดร่วมกับเราและรัฐบาลซีเรียและปาเลสไตน์
เพื่อปกป้องเกียรติและศักดิ์ศรีอิสลาม ให้พวกเขาตัดมือเหล่าอาชญากรจากการปล้มสดมภ์ขุมทรัพย์จากประเทศของตนลงอย่างถาวร
และอย่าปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไป เพราะพรุ่งนี้อาจจะสายเกินแก้ไข"
(อิมามรูหุลลอฮฺ อัลมูสาวีย์ อัลโคมัยนีย์ กุดดิสสัรฺรุฮุชชะรีฟ
- เศาะหี๊ฟะฮฺอิมาม เล่ม 16 หน้า 363)
9
"ปัญหาเลบานอนและปาเลสไตน์คือเป้าหมายหลักสำคัญนับตั้งแต่การเริ่มต้นต่อสู้ของเรา
และมิได้แยกออกจากปัญหาของอิหร่านแต่อย่างใด กล่าวโดยสรุป มุสลิมทั้งมวลจะต้องไม่มีทัศนะแปลกแยกแบ่งชนชั้น
- เผ่าพันธ์... ด้วยเหตุที่ภูมิภาคนี้มีขบวนการต่อสู้เพื่ออิสลามที่หลากหลาย
อเมริกาจึงสามารถเข้าไปบงการเพื่อกำหนดชะตาชีวิตของประชาชนผู้ไร้ที่พึ่งในภูมิภาคนี้ได้ตามอำเภอใจ
และเป็นที่น่าเสียใจที่มีรัฐบาลบางประเทศกลับให้การสนับสนุนมันด้วย ... เราถือว่าเลบานอนคือส่วนหนึ่งที่เราจะต้องรับผิดชอบ
ชาวชีอะฮฺในเลบานอนและอิหร่าน ตลอดจนพี่น้องมุสลิมทั้งมวลล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะช่วยกันรักษาเอกภาพของเราให้ได้"
(อิมามรูหุลลอฮฺ อัลมูสาวีย์ อัลโคมัยนีย์ กุดดิสสัรฺรุฮุชชะรีฟ
- เศาะหี๊ฟะฮฺอิมาม เล่ม 15 หน้า 339)
10
"ข้าพเจ้ามีปัญหาปริศนาหนึ่ง นั่นคือรัฐบาลอิสลามและประชาชาติอิสลามทั้งหลายจะต้องสังวรว่า
ความทุกข์ระทมและความเจ็บปวดรวดร้าวเกิดจากอะไร ? พวกเขาตระหนักดีว่ามีมือที่คอยเสี้ยมให้เกิดความแตกแยกในระหว่างพวกเขา
และยังตระหนักดีว่า ความแตกแยกคือที่มาของความอ่อนแอและนำไปสู่ความหายนะของพวกเขา
และยังตระหนักดีว่ารัฐเถื่อนที่ถูกอุปโลกน์เฉกเช่นอิสราเอล ที่เผชิญหน้าท้าทายกับมุสลิมทั้งมวลนั้น
มาตรว่ามวลมุสลิมสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวกัน เพียงระดมน้ำคนละขันสาดใส่หัวอิสราเอล
พวกมันจะสำลัก - จมน้ำ(ตาย)ทันที ทั้งๆ ที่พวกเขาตระหนัก ทว่ากลับสำแดงความอัปยศ
ณ เบื้องหน้ามัน ปริศนาก็คือ ทั้งๆ ที่พวกเขารู้ พวกเขาตระหนัก แล้วเหตุใดพวกเขาจึงไม่คิดหันหน้าหาทางเยียวยาแก้ไข
ด้วยการสมานฉันท์สร้างเอกภาพเป็นปึกแผ่น? เหตุใดพวกเขาจึงไม่คิดทำลายแผนการณ์ร้ายที่เหล่าจักรวรรดินิยมได้เพียรพยายามสร้างความร้าวฉาน
และความอ่อนแอในหมู่พวกเขา?"
(อิมามรูหุลลอฮฺ อัลมูสาวีย์ อัลโคมัยนีย์ กุดดิสสัรฺรุฮุชชะรีฟ
- เศาะหี๊ฟะฮฺอิมาม เล่ม 9 หน้า 274)
"ผู้ที่ตื่นขึ้นมาโดยไม่ใส่ใจในชะตากรรมของพี่น้องมุสลิม เขามิใช่มุสลิม
และมุสลิมที่ได้ยินเสียงเพรียกเรียกหาว่า "โอ้ มวลมุสลิม แต่ไม่ตอบเสียงพร่ำเพรียกนั้น
เขามิใช่มุสลิม"
(อัลกาฟีย์ เล่ม 2 หน้า 164 บาบุลอิฮฺติมาม บิอุมูริลมุสลิมีน)
๒. เศษเสี้ยวเกี่ยวกับความสมถะของท่านผู้นำสูงสุดที่เสรีชนทุกคนต้องอ่าน
เรื่องเล่าต่อไปนี้แค่เพียงเศษเสี้ยวหรือน้ำหยดเดียวในมหาสมุทรที่ถึงแม้เสรีชนจะไม่อาจดื่มด่ำอย่างเต็มอิ่ม
แค่เพียงลิ้มชิมรสก็คงสร้างความชุ่มฉ่ำให้หัวใจที่ใฝ่รักในสัจธรรม และฐานภาพกัลยาณชนของบุรุษผู้สืบเชื้อสายจาก
บรมมหาศาสดา ศาสนทูตอิสลาม (ศ็อลลัลลอฮุ อลัยฮิวะอาลิฮฺ) อย่างไม่ต้องสงสัย
คงไม่เกินเลยไปจากความจริงที่ท่านอิมามรูหุลลอฮฺ
อัลมูสาวีย์ อัลโคมัยนีย์ ผู้ล่วงลับ (ขออัลลอฮฺทรงเทอดวิญญาณของท่านให้สูงส่งด้วยเทอญ)
กล่าวถึงเอกบุรุษยุคปัจจุบันนี้ว่า
"ในท่ามกลางมวลมิตรที่มีพันธสัญญาอย่างมั่นคงต่ออิสลาม ฯพณฯ คือผู้หนึ่งในจำนวนอันน้อยนิดที่เปรียบเสมือนดวงตะวันสาดส่องแสงสว่างไสว"
(เศาะหี๊ฟะฮฺนูรฺ เล่ม หน้า 455)
ท่านอายะตุลลอฮฺสัยยิดอะลี
หุสัยนีย์ คอเมเนอีย์ ดำรงรักษาความสมถะและคลุกคลีอยู่ท่ามกลางประชาชนนับตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งถึงทุกวันนี้
นอกจากจะเป็นแบบฉบับที่ดีแล้ว ท่านยังย้ำเตือนเสมอๆ ให้สมาชิกในครอบครัว ญาติสนิท
คนใกล้ชิด และเจ้าหน้าที่รัฐอิสลามสำแดงแบบอย่างที่ดีงามให้กับประชาชน
ท่านผู้นำสูงสุดไม่เพียงจะเป็นความภาคภูมิใจของชาวชีอะฮฺอิมามียะฮฺเท่านั้น ทว่า
ท่านยังเป็นแบบฉบับและความภาคภูมิใจของเสรีชนผู้ใฝ่สัจธรรมทั่วทั้งโลกอีกด้วย
เรื่องเล่าสั้น ๆ จากปากคำของท่านเองถึงสภาพความเป็นอยู่และการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความยากแค้นลำเค็ญของท่านว่า
"บิดาของข้าพเจ้าเป็นนักการศาสนาที่มีชื่อเสียงในแวดวงสังคม ทว่า ท่านกลับใช้ชีวิตอย่างสมถะ
ไร้ความฟุ้งเฟ้อหรูหรา.... ครอบครัวของเราอยู่กันอย่างยากลำบาก ข้าพเจ้าจำได้ไม่ลืมเลือนว่าในบ้านเราไม่มีอาหารค่ำหลงเหลืออยู่เป็นเวลาหลายคืนติดต่อกัน
มารดาข้าพเจ้าต้องประสบกับความยากแค้นลำเค็ญเพื่อเตรียมหาอาหารมื้อค่ำ .... ในแต่ละมื้อมิได้มีอะไรมากไปกว่านูน
(โรตีหยาบ ๆ ของอิหร่าน) กับองุ่นแห้ง"
หุจญะตุลอิสลามสัยยิดอะลี อักบะรีย์ ได้บันทึกความทรงจำที่เกี่ยวกับผู้นำสูงสุดในเวปล็อกของเขาว่า
"ในช่วงระยะเวลาหนึ่งที่เราได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยียนท่านเราะฮฺบัรฺ และขออนุญาตเข้าไปเก็บภาพบรรยากาศภายในบ้าน
เพื่อจะนำไปเผยแพร่ให้ประชาชนได้เห็นถึงการดำเนินชีวิตที่แท้จริงของท่านผู้นำสูงสุดว่ามีสภาพเช่นไร
? ท่านเราะฮฺบัรฺ กล่าวกับเราว่า "ถ้าท่านต้องการนำเสนอวิถีชีวิตของฉัน
ฉันกลัวว่าผู้คนจำนวนมากคงไม่เชื่อว่าเป็นเช่นนี้"
ท่านอายะตุลลอฮฺอับดุลลอฮฺ ญะวาดีย์ ออมูลีย์ ผู้เป็นทั้งมุฟัสสิรฺ -
นักอรรถาธิบายกุรฺอานและนักปรัชญาชั้นแนวหน้าแห่งยุคเล่าว่า "วันหนึ่ง ข้าพเจ้ามีโอกาสเป็นแขกของท่านเราะฮฺบัรฺที่สำนักงานของท่าน
ในวันนั้น สัยยิดมุศเฏาะฟา บุตรชายของท่านก็นั่งอยู่ด้วย เมื่อสำรับอาหารถูกวางอย่างพร้อมสรรพ
ท่านเราะฮฺบัรฺ ได้กล่าวกับบุตรชายว่า "ลูกกลับไปบ้านก่อนนะ" ข้าพเจ้าจึงกล่าวกับท่านว่า
"อนุญาตให้บุตรของท่านร่วมสำรับกับเราด้วยเถิดครับ ข้าพเจ้าได้ขอร้องเขาก่อนหน้านี้ว่าให้อยู่ด้วยกัน"
ท่านเราะฮฺบัรฺ จึงกล่าวว่า "อาหารนี้มาจากบัยตุลมาล (เงินกองคลังของอิมามซะมาน)
ในขณะที่ท่านอยู่ในฐานะอาคันตุกะของบัยตุลมาล ส่วนสมาชิกครอบครัวของฉันไม่มีสิทธิรับประทานอาหารจากสำรับนี้
บุตรชายของฉันต้องกลับไปรับประทานอาหารที่บ้าน" ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจในบัดดลนั้นเองว่า
ด้วยสาเหตุอันใดที่พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงประทานเกียรติยศทั้งหมดให้กับบุรุษผู้นี้"
คุณซะฮฺรอ เราะฮฺนะวัรฺด์ ได้เล่าให้เราฟังว่า
"เมื่อครั้งที่ท่านอายะตุลลอฮฺคอเมเนอีย์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี วันหนึ่ง
ภรรยาของท่านได้มาที่บ้านของเราและกล่าวกับฉันว่า "น้ำตาลก้อนและน้ำตาลทรายจากคูป็อง
(ที่ได้รับแจกจ่ายจากรัฐบาล) ของเราหมดลงแล้ว ถ้าเธอพอมีเหลืออยู่บ้าง ก็กรุณาให้เราหยิบยืมใช้สักส่วนก่อนนะ"
หะมีด มีรฺซอเดะฮฺ สถาปนิกคนหนึ่งได้เล่าให้เราฟังว่า
"ในสมัยที่ท่านอายะตุลลอฮฺคอเมเนอีย์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ท่านได้ส่งเชคเงินสดจำนวน
50,000 โตมาน (คิดเป็นเงินไทยสมัยนี้ประมาณ 1,800 - 2,000 บาท) ไปให้นายกรัฐมนตรี
(สถาปนิก มีรฺหุสัยน์ มูสาวีย์) และได้กำชับในจดหมายไปด้วยว่า "เป็นไปได้ว่าเงินบางส่วนในจำนวนนี้อาจจะผสมผสานหรือคลาดเคลื่อนระหว่างเงินบัยตุลลมาลกับค่าใช้จ่ายส่วนตัวของข้าพเจ้า
ขอให้ ฯพณฯ บรรจุเข้าบัญชีเงินฝากของรัฐบาลด้วย เพื่อข้าพเจ้าจะได้ไม่ตกเป็นลูกหนี้บัยตุลมาลโดยไม่รู้ตัว"
พลเอกสัยยิดรอฮีม เศาะฟะวีย์ ผู้บัญชาการรบได้เล่าถึงความทรงจำในอดีตของท่านว่า
"วันหนึ่ง ข้าพเจ้าได้มีโอกาสปรึกษาหารือกับท่านเราะฮฺบัรฺที่บ้านของท่าน
การสนทนายืดเยื้อจนกระทั่งได้เวลามัฆริบ หลังจากนมาซได้เสร็จสิ้นลง ท่านเราะฮฺบัรฺจึงเชื้อเชิญฉันอย่างเป็นกันเองว่า
"คุณรอฮีม มื้อนี้เป็นแขกของเรานะครับ" ทำให้ข้าพเจ้าคิดในใจว่าช่างเป็นเกียรติอันยิ่งใหญ่เสียนี่กระไร
แต่ด้วยมารยาทก็อดที่จะกล่าวไม่ได้ว่า "จะเป็นภาระรบกวนท่านหรือป่าวครับ"
ท่านจึงกล่าวว่า "ไม่หรอก เรากินร่วมกันเท่าที่มี" เมื่อสำรับได้วางลง
ปรากฎว่าอาหารค่ำมื้อนั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าอุมเล็ต (ไข่ชุบผักทอด)"
หุจญะตุลอิสลามวัลมุสลิมีนมุหัมมะดีย์ กุลพอยกานีย์
หัวหน้าสำนักงานท่านผู้นำ เล่าให้เราฟังว่า "ทั้ง ฃๆ ที่ท่านเราะฮฺบัรฺมีสิทธิที่จะใช้ปัจจัยทางวัตถุต่างๆ
ได้อย่างเต็มที่ ทว่า มาตรฐานการดำเนินชีวิตของท่านกลับสมถะเรียบง่ายและต่ำกว่าชาวบ้านทั่วไปเสียอีก
นอกจากจะสำแดงให้เห็นเป็นแบบอย่างแล้ว ท่านมักจะย้ำเตือนเจ้าหน้าที่อยู่เสมอว่า
"โปรดระวังการใช้ชีวิตของท่าน อย่าฟุ่มเฟือย อย่าสุรุ่ยสุร่าย"
ดร.ฆุลามอะลี หัดดาด อาดิล อดีตประธานรัฐสภา เล่าความทรงจำของท่านว่า
"ในช่วงแรกที่ท่านอายะตุลลอฮฺคอเมเนอีย์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี คืนหนึ่งข้าพเจ้าได้สนทนาราชการกับท่านยืดยาวจนดึก
ท่านจึงกล่าวกับฉันว่า "อยู่เป็นแขกมื้อค่ำกับเรานะครับ" ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกปลาบปลื้มใจเป็นอย่างมาก
ทั้งนี้เพราะจะได้มีโอกาสอยู่รับใช้ท่านมากขึ้น ท่านได้เอ่ยขึ้นว่า "ฉันไม่รู้ว่าอาหารมื้อค่ำของเรามีอะไรบ้าง?
หรือจะเพียงพอสำหรับเราสองคนไหม ?" แล้วท่านได้โทรศัพท์จากทำเนียบประธานาธิบดีไปที่บ้าน
และคุยกับภรรยาของท่านว่า "มื้อค่ำนี้มีอาหารอะไรบ้างครับ? มีแขกอยู่กับฉันคนหนึ่ง
ฉันบอกเขาไปว่าเราจะกินกันเท่าที่มี" คำพูดดังกล่าวทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจทันทีว่าอาหารมื้อค่ำนี้จะต้องมีเหลือไว้สำหรับท่านเท่านั้น
ท่านได้กล่าวกับภรรยาต่อว่า "ไม่เป็นไรหรอก มีแค่ไหนก็ส่งมาแค่นั้น อ้อ
อย่าลืมพะนีรฺ (เนยเปรี้ยว) และมอสต์ (นมเปรี้ยว) ด้วยนะ" หลังจากผ่านไป
15 นาที ข้าวสวย 1 จาน กับแกงธรรมดา ๆ หนึ่งถ้วยเล็กก็ถูกนำมาวางตรงหน้า อ้อ
มีนูนกับพะนีรฺและมอสต์ด้วย เราจึงแบ่งปันคนละเท่าๆ กัน และกินกันอย่างเอร็ดอร่อย
นับจากวันนั้นเป็นต้นมา ข้าพเจ้าจะสำนึกและกล่าวขอบคุณพระผู้เป็นเจ้านับหมื่นๆ
ครั้งที่ทรงประทานความโปรดปรานและความการุณย์ต่อการปฏิวัติอิสลาม ที่ให้เรามีผู้นำและวิวัฒนาการของรัฐอิสลามเช่นนี้
ในขณะที่ฏอฆูต - ทรราช (กษัตริย์ชาห์ ปาห์ละวีย์ ก่อนการปฏิวัติอิสลาม) แสวงหาเกียรติยศ
ชื่อเสียง เงินตรา ใช้ชีวิตอย่างสุรุ่ยสุร่าย ฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟื้อ หรูหรา ในขณะที่ประธานาธิบดีรัฐอิสลามใช้ชีวิตที่สมถะเรียบง่าย
(ตามแบบอย่างกัลยาณชนที่เป็นบรรพชนของท่าน)"
หุจญะตุลอิสลามวัลมุสลิมีนมะสีห์ มุฮาญิรีย์ เล่าถึงความทรงจำให้เราฟังว่า
"สมัยที่ท่านอายะตุลลอฮฺคอเมเนอีย์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ท่านได้เล่าเหตุการณ์ที่น่าทึ่งสำหรับข้าพเจ้าว่า
"วันหนึ่ง ในขณะที่ฉันกำลังนั่งทำงานที่ทำเนียบประธานาธิบดี แม่ได้โทรศัพท์มาหาฉัน
เมื่อยกหูโทรศัพท์ ฉันได้ยินเสียงแม่พูดระคนเสียงหัวเราะ ฉันจึงถามถึงสาเหตุที่แม่หัวเราะ
ท่านจึงบอกฉันว่า "เราไม่มีอาหารในบ้านมาหลายวันแล้ว พ่อของเจ้าก็ไม่มีเงินเช่นกัน"
สำหรับข้าพเจ้า เหตุการณ์เช่นนี้ช่างมีความสำคัญยิ่งนัก พ่อกับแม่ของประธานาธิบดีที่เป็นผู้นำประเทศไม่มีเงินและอาหารติดบ้าน
ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความสมถะของครอบครัวท่านผู้นำอย่างแท้จริง จึงไม่เป็นที่สงสัยเลยว่าเพราะเหตุใดที่ไม่มีใครสามารถอาศัยตำแหน่งของท่านไปเบียดบังหาเศษหาเลยและผลประโยชน์มาเป็นของตนได้ตราบเท่าถึงวันนี้
แล้วยังจะมีสิ่งใดที่เป็นความภาคภูมิใจสำหรับประชาชาตินี้ยิ่งไปกว่าการมี "เราะฮฺบัรฺ
- ผู้นำสูงสุด" ที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมและล้ำค่าเช่นนี้อีกเล่า ?
อายะตุลลอฮฺสัยยิดมะหฺมูด ฮาชิมีย์ ชาฮฺรูดีย์ ประธานตุลาการคนปัจจุบัน
ได้เล่าความทรงจำที่เต็มไปด้วยความประทับใจเกี่ยวกับท่านผู้นำสูงสุดให้เราฟังตอนหนึ่งว่า
"ชีวิตส่วนตัวของท่านเราะฮฺบัรฺเป็นไปอย่างสมถะเรียบง่าย เพียบพร้อมไปด้วยความจำเริญอย่างแท้จริง
สะท้อนตกทอดไปถึงสมาชิกในครอบครัวและคนใกล้ชิดด้วย ทั้งตัวท่านและบุตรหลานของท่านไม่มีใครที่ใช้ชีวิตอย่างฟุ้งเฟ้อหรูหรา
ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีใครสามารถฉกฉวยผลประโยชน์ในทางที่ไม่ถูกต้องโดยอาศัยตำแหน่งจากท่านได้
ข้าพเจ้าเห็นภาพความสมถะเรียบง่ายภายในบ้านของท่านเสมอ วันหนึ่ง ท่านเราะฮฺบัรฺได้เชิญฉันไปที่ห้องสมุดส่วนตัวของท่าน
ณ ที่นั่น ฉันเห็นโต๊ะธรรมดาๆ เก่าๆ อยู่ตัวหนึ่ง ข้างโต๊ะตัวนั้นมีเก้าอี้เก่าตัวหนึ่งเช่นกัน
ทั้งโต๊ะและเก้าอี้นี้มีมาตั้งแต่ก่อนการปฏิวัติอิสลาม (กินเวลากว่า 30 ปี) ทว่า
ท่านผู้นำสูงสุดก็ยังคงใช้โต๊ะกับเก้าอี้ตัวนี้ในห้องสมุดส่วนตัวของท่านอยู่จนถึงปัจจุบัน"
หุจญะตุลอิสลามวัลมุสลิมีนหัจญีสัยยิดอะหฺมัด อัลมูสาวีย์
อัลโคมัยนีย์ บุตรชายผู้ล่วงลับของท่านอิมามผู้ยิ่งใหญ่ ก็มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยมาเล่าให้พวกเราฟังเช่นกันว่า
"สิ่งที่จะบอกกล่าวนี้ ข้าพเจ้าทราบดีว่า ท่านเราะฮฺบัรฺมิได้ปรารถนาจะให้ใครนำเรื่องราวของท่านมาเปิดเผยต่อสาธารณชน
แต่ถือเป็นหน้าที่ที่ข้าพเจ้าจะต้องแนะนำทำความเข้าใจในสิ่งสำคัญให้กับพี่น้องมุสลิม
และผู้ที่สนับสนุนการปฏิวัติอิสลามอิหร่านได้รับรู้โดยทั่วหน้ากัน สำหรับข้าพเจ้าแล้ว
ถือเป็นวาญิบ (จำเป็น) ที่จะต้องให้ชะฮาดะฮฺ (ปฏิญาณ) ว่าชีวิตส่วนตัวของท่านอายะตุลลอฮฺคอเมเนอีย์
ผู้นำคนปัจจุบัน มีความสมถะอย่างสมบูรณ์แบบ ข้าพเจ้ามีโอกาสได้สัมผัสสภาพภายในบ้านของท่านเป็นอย่างดี
ครอบครัวของท่านไม่เคยมีอาหารบนสำรับเกินกว่า 1 อย่าง ครอบครัวของท่านผู้นำใช้
"มูกิต" (เสื่ออิหร่านที่มีคุณภาพต่ำกว่าพรม) วันหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ไปที่บ้านของท่าน
มีพรมเปื่อยๆ ที่ขาดวิ่นวางอยู่ ข้าพเจ้าต้องหนีจากความหยาบกระด้างและขนของพรมผืนนั้นไปนั่งบนมูกิตแทน"
อายะตุลลอฮฺมิศบาห์ ยัซดีย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยอิมามโคมัยนีย์แห่งเมืองกุม
และศาสตราจารย์ผู้สอนทั้งในมหาวิทยาลัยและสถาบันศาสนาในอิหร่าน เล่าถึงความทรงจำที่ประทับใจของท่านว่า
"สมัยที่ท่านอายะตุลลอฮฺคอเมเนอีย์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ครอบครัวของท่านจะบริโภคเนื้อเฉพาะที่ได้มาจากคูป็องของรัฐบาลเท่านั้น
ท่านได้บอกฉันในสมัยนั้นว่า "ฉันไม่เคยซื้อเนื้อจากตลาด นับตั้งแต่วันแรกที่รัฐบาลแจกคูป็องให้กับประชาชนเป็นต้นมา"
ท่านผู้นำสูงสุดก็ยังคงใช้ชีวิตเฉกเช่นประชาชนที่มะหฺรูม (คนยากจนขัดสน) และมุสตัฎอะฟีน
(ผู้ยากไร้) ตราบถึงปัจจุบัน"
สัยยิดอะลี อักบัรฺ ฏอฮิรีย์ ได้เล่าเกี่ยวกับความทรงจำที่แสนประทับใจของท่านในตอนหนึ่งว่า
"ในสมัยนั้น ข้าพเจ้าเป็นสมาชิกสภาผู้แทน วันหนึ่ง ภรรยาข้าพเจ้าได้พาลูกไปหาหมอที่คลินิค
และได้พบกับภรรยาของท่านเราะฮฺบัรฺที่นำบุตรของท่านไปหาหมอเช่นกัน ปรากฎว่าไม่มีใครในคลินิกที่รู้จักภรรยาและลูกของท่านเราะฮฺบัรฺ
!!! เมื่อถึงคิวของเธอ หมอได้บอกกับเธอภายหลังจากตรวจอาการไข้บุตรชายของท่านผู้นำว่า
"เพื่อให้อาการไข้ลูกชายของท่านทุเลาเบาบาง ขอให้ทำน้ำข้าวข้นๆ ให้เขาดื่มทุกวัน
วันละหนึ่งแก้ว" ภรรยาของท่านผู้นำจึงกล่าวว่า "เราไม่มีปัจจัยที่จะทำเช่นนั้นได้"
หมอซึ่งไม่รู้จักว่าเธอเป็นใครจึงกล่าวด้วยความไม่พอใจว่า "เป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่มีข้าวสารอยู่ในบ้าน?"
ภรรยาของท่านเราะฮฺบัรฺจึงบอกกับหมอไปว่า "สามีของฉันไม่อนุญาตให้มีข้าวสารไว้ในบ้าน
นอกจากข้าวสารที่ได้มาจากคูป็องของรัฐบาลเท่านั้น ซึ่งเพียงพอสำหรับให้เราได้หุงข้าวสัปดาห์ละมื้อเท่านั้น"
(ปกติชาวอิหร่านจะรับประทานนูนเป็นอาหารหลัก และจะรับประทานข้าวสัปดาห์ละหนึ่งหรือสองมื้อ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภายหลังการปฏิวัติและช่วงสงคราม 8 ปีระหว่างที่อิรักบุกอิหร่าน)
พลเอกชูชตะรีย์ นายทหารแห่งกองทัพบก ได้บอกเล่าถึงความสมถะเรียบง่ายและการใช้ชีวิตที่ไม่ฟุ้งเฟ้อหรูหราของท่านเราะฮฺบัรฺ
ให้เราได้ฟังในตอนหนึ่งว่า "ในบ้านของท่านเราะฮฺบัรฺ มีพรมผืนเก่าๆ ที่เปื่อยยุ่ยอยู่จำนวนหนึ่ง
เราจึงเก็บรวบรวมไปโละขายให้กับร้านมือสอง ข้าพเจ้าได้ใช้เงินส่วนตัวสมทบกับเงินที่ได้จากการขายพรมนั้นไปซื้อพรมผืนใหม่มาปูที่บ้านของท่านแทน
หลังจากจัดการเสร็จสรรพ ท่านเราะฮฺบัรฺได้กลับมาบ้าน เมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงเช่นนั้น
ท่านจึงอุทานขึ้นว่า "อะไรกันนี่ ? !!! " ข้าพเจ้าจึงเรียนท่านว่า
"เราเปลี่ยนพรมใหม่ให้ท่านครับ" ท่านผู้นำจึงกล่าวว่า "พวกท่านพลาดแล้วละที่เปลี่ยนมัน
ขอให้นำพรมเหล่านั้นกลับมาดังเดิมเถิด" เมื่อข้าพเจ้าเห็นว่าคำขอร้องของเราไร้ผล
จึงต้องไปขอซื้อพรมผืนเก่ากลับมาด้วยการจ่ายค่าน้ำร้อนน้ำชาให้กับเจ้าของร้านพรมมือสองไปเป็นเงินจำนวนหนึ่ง
แล้วนำพรมเหล่านั้นมาปูที่เดิม พรมที่ถ้าท่านทั้งหลายได้เห็น ท่านจะบอกได้ทันทีว่าเป็นพรมที่ขนหลุดลุ่ยและผุเปื่อยไปเกือบหมดแล้ว
! ! !"
หุจญะตุลอิสลามอะลี ตุรอบีย์ เล่าความประทับใจที่มีต่อท่านผู้นำว่า
"สมัยที่ท่านเราะฮฺบัรฺดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ท่านต้องเป็นแขกรับเชิญเดินทางไปต่างประเทศหลายครั้งหลายครา
และทุกครั้งท่านจะได้รับของที่ระลึกที่ผู้นำประเทศนั้นๆ มอบให้เป็นการส่วนตัวจำนวนมากมาย
แม้กระทั่งเมื่อครั้งที่ท่านเดินทางไปยังประเทศยูโกสลาเวีย (ปัจจุบันถูกแบ่งเป็นประเทศเชคกับบอสเนียเฮอร์เซโกวินาและเซอร์เบีย)
เจ้าภาพได้มอบกุญแจเมืองที่ทำด้วยทองคำเป็นที่ระลึก ทว่า ท่านเราะฮฺบัรฺไม่เคยนำของที่ระลึกทั้งหลายที่ได้มาจากผู้นำประเทศมาเป็นของส่วนตัว
และเมื่อวาระประธานาธิบดีได้สิ้นสุดลง ท่านได้สั่งให้นำของที่ระลึกทั้งหมดไปเก็บในพิพิทธภัณฑ์เพื่อมอบให้เป็นสมบัติของรัฐอิสลาม"
นอกจากนี้ ดร.ฆุลามอะลี หัดดาด อาดิล อดีตประธานมัจญ์ลิสชูรอ
และศาสตราจารย์ผู้สอนในมหาวิทยาลัยต่างๆ ในกรุงเตหะราน ยังเล่าถึงความทรงจำที่ประทับใจที่มีต่อผู้นำสูงสุดว่า
"หลังจากการสู่ขอบุตรสาวของข้าพเจ้าให้กับบุตรชายของท่านเราะฮฺบัรฺได้ผ่านพ้นไปเพียงไม่กี่วัน
ข้าพเจ้าได้มีโอกาสพบกับท่านเราะฮฺบัรฺอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งท่านได้กล่าวกับข้าพเจ้าว่า
"ท่าน ดร.ถ้าเป็นความประสงค์ของอัลลอฮฺ เราคงจะได้เป็นทองแผ่นเดียวกันนะครับ"
ข้าพเจ้าจึงถามว่า "ยังไงหรือครับ?" ท่านเราะฮฺบัรฺจึงบอกข้าพเจ้าว่า
"สมาชิกในครอบครัวได้แจ้งข่าวกับฉันว่า พวกเขาพอใจในทุกสิ่งที่ได้สนทนาผ่านไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
แล้วท่านมีทัศนะอย่างไรในเรื่องนี้ ?"
ข้าพเจ้าจึงตอบท่านว่า "แล้วแต่ท่านจะเห็นสมควรเถิดครับ" ท่านเราะฮฺบัรฺจึงกล่าวว่า
"ไม่ได้นะครับ ทั้งท่านและภรรยาของท่านเป็นด๊อกเตอร์และอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยทั้งคู่
ฐานะทางสังคมและเศรษฐกิจของท่านทั้งสองมีความเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง ในขณะที่ฉันกับภรรยาของฉันมิได้เป็นเช่นนั้น
ถ้าฉันจะเปิดเผยชีวิตครอบครัวของฉันให้ท่านทราบ ท่านจะพบว่านอกจากหนังสือและตำราซึ่งมีมากกว่ารถบรรทุกกระบะแล้ว
เราไม่มีทรัพย์สินศฤงคารอื่นใด นอกจากห้องด้านใน กับห้องด้านนอกซึ่งเป็นห้องที่เจ้าหน้าที่ของรัฐจะมาพบปะกับฉัน
ฉันไม่มีเงินที่จะซื้อบ้านใหม่หรอกนะ บ้านที่ฉันอยู่ในขณะนี้ "เป็นบ้านเช่า"ชั้นหนึ่ง
มุศเฏาะฟาอาศัยอยู่ อีกชั้นหนึ่ง มุจญ์ตะบา ท่านลองปรึกษากับบุตรสาวของท่านก่อนนะครับ
โปรดอย่าได้คิดหรือจินตนาการว่าการเป็นสะไภ้เราะฮฺบัรฺแล้ว จะทำให้เธอมีชีวิตที่หรูหราสะดวกสบายกว่าเก่าก่อน
ครอบครัวของเราอยู่กันเช่นนี้ ในขณะที่ครอบครัวของท่านเมื่อเทียบกับผู้คนทั่วๆ
ไปแล้วถือว่าพิเศษสุด ขอให้โลกทัศน์บุตรสาวของท่านเป็นไปในทางที่ดี ถ้าเธอตอบตกลงที่จะใช้ชีวิตคู่ร่วมกับบุตรชายของฉัน
เธอจะต้องอดทนต่ออุปสรรคขวากหนามพอสมควร มุจญ์ตะบา บุตรของฉันยังไม่ได้สวมใส่อะมามา
(สัญลักษณ์ของนักการศาสนาในสายธารอิมามียะฮฺ) เขามีโครงการจะไปศึกษาต่อที่เมืองกุม
(เมืองศาสนาที่มีสถาบันศาสนาที่ใหญ่ที่สุดของของชีอะฮฺสายธารอิมามียะฮฺ อยู่ห่างจากกรุงเตหะรานไปทางทิศใต้ประมาณ
135 - 150 กิโลเมตร) เพื่อจะเป็นนักการศาสนาในอนาคต ขอให้ท่านนำสิ่งเหล่านี้ไปปรึกษากับบุตรสาวของท่านก่อน
เพื่อเธอจะได้รับรู้และตัดสินใจไม่ผิดพลาด"
"ความงดงามทั้งคำพูดและการกระทำของท่านผู้นำสูงสุด มันบาดลึกเข้าไปในหัวใจและสร้างความฉงนสนเท่ห์แก่ข้าพเจ้ายิ่งนัก
ข้าพเจ้าจึงนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับธิดา ปรากฎว่าเธอตอบรับด้วยความยินดี"
(โปรดดูบทความเรื่อง "การสู่ขอ - การแต่งงานที่เรียบง่าย
แต่แฝงไว้ด้วยบทเรียนมากมาย" http://www.islamichomepage.com/contents/index.php?option=com_content&view=article&id=104:rahbar&catid=19:islam&Itemid=70
หุจญะตุลอิสลามวัลมุสลิมีนนิยอซีย์ ก็มีเรื่องประทับใจเกี่ยวกับท่านเราะฮฺบัรฺมากมายเช่นกัน ท่านได้เล่าให้เราฟังว่า "ท่านผู้นำมักจะย้ำเตือนเสมอมิให้แบ่งชนชั้น เมื่อครั้งที่เจ้าหน้าที่รัฐอิสลามท่านหนึ่งออกคำสั่งให้ยึดสถานที่หนึ่ง ถึงแม้คำสั่งดังกล่าวจะถูกกฎหมาย ทว่า วิธีการในการเข้าครอบครองกรรมสิทธิ์ กลับมิได้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ด้วยเหตุนี้ องค์กรตุลาการได้ทำหนังสือรายงานไปให้ท่านเราะฮฺบัรฺทราบ เมื่อผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ท่านผู้นำจึงแทงเรื่องนั้นไปว่า "ขอให้ใช้มาตรการกับผู้กระทำความผิดไปตามกระบวนการยุติธรรม ถึงแม้คนผู้นั้นจะเป็นลูกชายของฉันก็ตาม"
ปัจฉิมวาจา
นี่เป็นเพียงเศษเสี้ยวหรือน้ำหยดเดียวในมหาสมุทรที่ถึงแม้เสรีชนจะไม่อาจดื่มด่ำอย่างเต็มอิ่ม
แค่เพียงลิ้มชิมรสก็คงสร้างความชุ่มฉ่ำให้หัวใจที่ใฝ่รักสัจธรรมและฐานภาพกัลยาณชนของบุรุษผู้สืบเชื้อสายจากบรมมหาศาสดา
ศาสนทูตอิสลาม
(ศ็อลลัลลอฮุ อลัยฮิวะอาลิฮฺ) อย่างไม่ต้องสงสัย
คงไม่เกินเลยไปจากความจริงที่ท่านอิมามรูหุลลอฮฺ
อัลมูสาวีย์ อัลโคมัยนีย์ ผู้ล่วงลับ (ขออัลลอฮฺทรงเทอดวิญญาณของท่านให้สูงส่งด้วยเทอญ)
กล่าวถึงเอกบุรุษยุคปัจจุบันนี้ว่า
"ในท่ามกลางมวลมิตรที่มีพันธสัญญาอย่างมั่นคงต่ออิสลาม ฯพณฯ คือผู้หนึ่งในจำนวนอันน้อยนิดที่เปรียบเสมือนดวงตะวันสาดส่องแสงสว่างไสว"
(เศาะหี๊ฟะฮฺนูรฺ เล่ม หน้า 455)
ความพินาศจะต้องประสบกับเราที่เมินเฉยต่อเหตุการณ์ที่อุบัติขึ้นในหน้าประวัติศาสตร์
หรือว่าคนกลุ่มหนึ่งพยายามให้เหตุการณ์แห่ง "สงครามศิฟฟีน" และ "หุกมียะฮฺ"
ได้ย้อนรอยกลับมาอีกคำรบหนึ่ง ภายหลังจากที่มันได้ผันผ่านมาเนิ่นนานถึง 14 ศตวรรษ?
ใน "ศิฟฟีน" อมีรุลมุอ์มินีน อะลี อลัยฮิสลาม ถูกบีบคั้นให้ยอมจำนนต่อสิ่งที่ขัดกับจิตสำนึกอิสลามของท่าน
ในขณะที่ ณ วันนี้ เราทั้งหลายต่างกู่ก้องร้องตะโกนว่า "สิยยิดินา - โอ้ นายของเรา" ,
"เมาลานา - โอ้ผู้ปกครองของเรา" ,
"หาชา - ขอให้เราห่างไกลจากสิ่งนั้น" ,
"กัลลา - หามิได้ เราจะไม่เป็นเช่นนั้น" ,
"เราจะไม่มีวันปล่อยให้ท่านผู้นำตกอยู่ในสภาพเช่นนั้นอีก"
ถึงแม้ความเป็นมัซลูม (ถูกอธรรม)
และความเป็นฆุรฺบัต (ถูกโดดเดี่ยว) ของท่าน
จะทำให้หัวใจของเราต้องหลั่งน้ำตาออกมาเป็นเลือดก็ตาม
แต่โปรดรับทราบไว้ด้วยว่า ณ ขณะนี้ เรายังไม่ตาย ที่จะปล่อยให้คนกลุ่มหนึ่งทำลาย "ความศักดิ์สิทธิ์แห่งวิลายะฮฺ" และปล่อยให้คนพวกนั้นโจมตีใส่ร้ายท่านอย่างอยุติธรรม และจับมือทั้งสองของ "อะลี" มัดไพล่หลัง
ณ บัดนี้ เราพร้อมที่จะเป็นเช่น "ดวงตาของมิกด๊าด และมาลิก อัชตัรฺ" ที่เฝ้าพิทักษ์ "หะรีมวิลายะฮฺ - ความศักดิ์สิทธิ์แห่งวิลายะฮฺ"
ณ บัดนี้ เรากำลังรอคอยคำบัญชาเพื่อปฏิบัติภารกิจตามที่ ฯพณฯ มอบหมาย เพื่อมิให้หน้าประวัติศาสตร์ถูกบันทึกว่าชนในยุคเราได้ปล่อยปละละวาง "วิลายะฮฺ" ให้ทนทรมานอย่างอยุติธรรมอีก
สรรเสริญ สายธารพิสุทธิ์
กุม มุก็อดดัส
8 กรกฎาคม 2009 / 15 ระญับ 1430 ตรงกับวันชะฮาดะฮฺท่านหญิงซัยนับ กุบรอ
บุตรีท่านอมีรุลมุอ์มินีน - ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ อัซซะฮฺรอ (สลามุลลอฮฺ อลัยฮิม)
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
บทความวิชาการนี้ สามารถ download ได้ในรูป word
++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา 3 I สารบัญเนื้อหา
4
I สารบัญเนื้อหา
5 I สารบัญเนื้อหา
6
สารบัญเนื้อหา
7 I สารบัญเนื้อหา
8
ประวัติ
ม.เที่ยงคืน
สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง
e-mail
: midnightuniv(at)gmail.com
หากประสบปัญหาการส่ง
e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
[email protected]
ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ทั้งหมด
กว่า 1700 เรื่อง หนากว่า 35000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)gmail.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com
สมเกียรติ
ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็บไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ
ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com