ค้นหาบทความที่ต้องการ ด้วยการคลิกที่แบนเนอร์ midnight search engine แล้วใส่คำหลักสำคัญในบทความเพื่อค้นหา
โครงการสื่อเพื่อบริบทสิทธิมนุษยชน: จากชายขอบถึงศูนย์กลาง - Media Project: From periphery to mainstream
Free Documentation License - Copyleft
2006, 2007, 2008
2009, 2010, 2011
2012, 2013, 2014
Everyone is permitted to copy and distribute verbatim copies of
this licene document, but changing
it is not allowed. - Editor

อนุญาตให้สำเนาได้ โดยไม่มีการแก้ไขต้นฉบับ
เพื่อใช้ประโยชน์ทางการศึกษาทุกระดับ
ข้อความบางส่วน คัดลอกมาจากบทความที่กำลังจะอ่านต่อไป
เว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ๒๕๔๓ เพื่อประโยชน์ทางการศึกษา โดยบทความทุกชิ้นที่นำเสนอได้สละลิขสิทธิ์ให้กับสาธารณะประโยชน์

1

 

 

 

 

2

 

 

 

 

3

 

 

 

 

4

 

 

 

 

5

 

 

 

 

6

 

 

 

 

7

 

 

 

 

8

 

 

 

 

9

 

 

 

 

10

 

 

 

 

11

 

 

 

 

12

 

 

 

 

13

 

 

 

 

14

 

 

 

 

15

 

 

 

 

16

 

 

 

 

17

 

 

 

 

18

 

 

 

 

19

 

 

 

 

20

 

 

 

 

21

 

 

 

 

22

 

 

 

 

23

 

 

 

 

24

 

 

 

 

25

 

 

 

 

26

 

 

 

 

27

 

 

 

 

28

 

 

 

 

29

 

 

 

 

30

 

 

 

 

31

 

 

 

 

32

 

 

 

 

33

 

 

 

 

34

 

 

 

 

35

 

 

 

 

36

 

 

 

 

37

 

 

 

 

38

 

 

 

 

39

 

 

 

 

40

 

 

 

 

41

 

 

 

 

42

 

 

 

 

43

 

 

 

 

44

 

 

 

 

45

 

 

 

 

46

 

 

 

 

47

 

 

 

 

48

 

 

 

 

49

 

 

 

 

50

 

 

 

 

51

 

 

 

 

52

 

 

 

 

53

 

 

 

 

54

 

 

 

 

55

 

 

 

 

56

 

 

 

 

57

 

 

 

 

58

 

 

 

 

59

 

 

 

 

60

 

 

 

 

61

 

 

 

 

62

 

 

 

 

63

 

 

 

 

64

 

 

 

 

65

 

 

 

 

66

 

 

 

 

67

 

 

 

 

68

 

 

 

 

69

 

 

 

 

70

 

 

 

 

71

 

 

 

 

72

 

 

 

 

73

 

 

 

 

74

 

 

 

 

75

 

 

 

 

76

 

 

 

 

77

 

 

 

 

78

 

 

 

 

79

 

 

 

 

80

 

 

 

 

81

 

 

 

 

82

 

 

 

 

83

 

 

 

 

84

 

 

 

 

85

 

 

 

 

86

 

 

 

 

87

 

 

 

 

88

 

 

 

 

89

 

 

 

 

90

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

Media Project: From periphery to mainstream
The Midnight University 2009
Email 1: midnightuniv(at)gmail.com
Email 2: [email protected]
Email 3: midnightuniv(at)yahoo.com
บทความวิชาการชิ้นนี้ เผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน วันที่ ๙ เมษายน ๒๕๕๒ : Release date 09 April 2009 : Copyleft MNU.

Fernberger เล่าไว้ในบันทึกว่า ในเดือนมกราคม เขาทำงานเป็นผู้บัญชาการทหารและทำหน้าที่ฝึกซ้อมการรบให้กับบรรดาเชลยชาวยุโรปที่อยู่ในปตานี เพื่อช่วยนครปตานีรบกับสยาม. วันที่ ๓๐ มกรา คม ทหารมาเลย์ ๓,๐๐๐ คน และชาวคริสเตียน ๖๖ คนภายใต้การกำกับของเขา ช่วยพระราชินีรบจนชนะทหารสยาม พระนางจึงพระราชทานรางวัลให้มากมาย. สำหรับเขานั้น พระราชินีส่งของขวัญมาให้เป็นกรณีพิเศษ พร้อมกับส่งคนมาบอกว่าจะเสด็จมาเยี่ยมเขา ณ ที่พัก และเขาได้รับการบอกเล่าจากนายทหารมาเลย์ว่า หมายถึงพระราชินีมีความปรารถนาในตัวเขา นายทหารมาเลย์บอกกับเขาด้วยว่า ที่ผ่านมานั้นมีผู้ชายหลายคนที่ถูกพระราชินีสั่งฆ่าเพราะไม่สามารถตอบสนองความต้องการตามที่พระนางคาดหวัง. (คัดจากบทความ)

H



09-04-2552 (1714)
เรื่องราววัฒนธรรมเพื่อนบ้าน ประเด็นสังคมสตรีมุสลิม
ราณี...สตรีมุสลิมในประวัติศาสตร์ : จากท่าเรือโบราณ ถึงวังหลวง
สุภัตรา ภูมิประภาส : เขียน
นักวิชาการอิสระ (สาขาประวัติศาสตร์ สื่อ และสิทธิสตรี)
บทความวิชาการนี้ สามารถ download ได้ในรูป word

บทความวิชาชิ้นนี้ เคยได้รับการเผยแพร่แล้วในนิตยสาร"ศิลปวัฒนธรรม" ฉบับมกราคม ๒๕๕๒
จากเดิมชื่อ "สตรี..ราณี : หญิงในสังคมมุสลิม จากท่าเรือ...ถึงวังหลวง"

บทความวิชาการบนหน้าเว็บเพจนี้ ประกอบด้วยหัวข้อสำคัญดังต่อไปนี้
- ราตูมาศ: พระชนนีผู้ทรงอิทธิพลเหนือสองนครา
- ราตู ไซรีฟา ฟาติมะห์: หญิงสามัญผู้ครองบังลังก์นครบันเต็น
- ราตู อาเก็ง เตอเกิลราชา: นักรบ และนายทุน
- ราตู ซาฟี: สตรีเคร่งศาสนา-ผู้บริหารหลังม่านและผ้าคลุม
- ราตูฮิเจา: ราชินีนักพัฒนา-แม่ค้า-เจ้าหนี้
- การค้า-ท่าเรือ-ตลาด-ราชสำนัก
- ราชินี - ขุนนาง ขันที และบุรุษข้างกาย
- สตรีใน "สวนรัก" / "มิดะ" ในราชสำนัก
- โต อาโย : นางทาส -"นางโสเภณี" - ผู้ควบคุมการค้า
- นางโจรสลัด - "นางโสเภณีที่ถูกสาบ"
- ผู้หญิง - อำนาจลึกลับ
- ผู้หญิงท่าเรือ - เมียชั่วคราว -แม่ค้า...
- ที่ปรึกษา-คนกลาง-สมานฉันท์
- บทบาทของผู้อุปถัมภ์ศาสนา
ติดต่อมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน : midnightuniv(at)gmail.com

บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา
ข้อความที่ปรากฏบนเว็บเพจนี้ ได้รักษาเนื้อความตามต้นฉบับเดิมมากที่สุด
เพื่อนำเสนอเนื้อหาตามที่ผู้เขียนต้องการสื่อ กองบรรณาธิการเพียงตรวจสอบตัวสะกด
และปรับปรุงบางส่วนเพื่อความเหมาะสมสำหรับการเผยแพร่ รวมทั้งได้เว้นวรรค
ย่อหน้าใหม่ และจัดทำหัวข้อเพิ่มเติมสำหรับการค้นคว้าทางวิชาการ
บทความทุกชิ้นที่เผยแพร่บนเว็บไซต์แห่งนี้ ยินดีสละลิขสิทธิ์เพื่อมอบเป็นสมบัติ
ทางวิชาการแก่สังคมไทยและผู้ใช้ภาษาไทยทั่วโลก ภายใต้เงื่อนไข้ลิขซ้าย (copyleft)
บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ ๑๗๑๔
เผยแพร่บนเว็บไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๕๒
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ ๑๘ หน้ากระดาษ A4)

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เรื่องราววัฒนธรรมเพื่อนบ้าน ประเด็นสังคมสตรีมุสลิม
ราณี...สตรีมุสลิมในประวัติศาสตร์ : จากท่าเรือโบราณ ถึงวังหลวง
สุภัตรา ภูมิประภาส : เขียน
นักวิชาการอิสระ (สาขาประวัติศาสตร์ สื่อ และสิทธิสตรี)
บทความวิชาการนี้ สามารถ download ได้ในรูป word

ความนำ

ตำนานของนครอาเจะห์ อ้างถึงฟัตวาผู้นำปกาศิตจากนครเมกกะมาถึงนครอาเจะห์ ดารุสสลามในปีพุทธศักราช 2242 (ค.ศ.1699) ประกาศว่า สตรีไม่ได้รับอนุญาตให้ปกครองดินแดนใดในรัฐอิสลาม เพราะขัดกับพระโองการขององค์อัลเลาะห์. ปีนั้น เป็นปีสุดท้ายแห่งรัชสมัยของ ราตู กัมมาลัต (Sri Ratu Kamalat Syah Zinat al_Din) สตรีคนสุดท้ายที่ขึ้นครองบังลังก์นครอาเจะห์ ดารุสสลาม. พระนางถูกขับจากบังลังก์ด้วยปกาศิตจากนครเมกกะ

กว่าสามศตวรรษนับจากนั้น พุทธศักราช 2544 (ค.ศ.2001) นางเมกะวาตี ซูการ์โนบุตรี (Megawati Soekarnoputri) ชนะการเลือกตั้งเพื่อเข้ารับตำแหน่งประมุขหญิงคนแรกของสาธารณรัฐอินโดนิเซีย ประเทศที่มีประชาชนมุสลิมมากที่สุดในโลก

..................................................................

เรื่องราวแต่โบราณของอดีตผู้ปกครองหญิงในดินแดนภาคพื้นสมุทรของอุษาคเนย์นั้นปรากฎอยู่ในบันทึกของพ่อค้าและนักเดินทางชาวตะวันตกจำนวนมาก ด้วยบุรุษนักแสวงโชคเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ต้องผูกสัมพันธ์ สยบยอมต่อสตรีที่มีอำนาจอยู่เหนือดินแดนที่พวกเขาดั้นด้นเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาแสวงโชค. บันทึกของพวกเขายังสะท้อนภาพและบทบาทอันมีพลังของสตรีต่างชนชั้นที่พวกเขาพบเจอในนครรัฐต่างๆ บนเส้นทางการเดินเรือ ..จากท่าเรือ ตลาดร้านค้า จนถึงพระราชวัง เรื่องราวของสตรีเหล่านี้ที่ถูกบันทึกไว้เต็มไปด้วยสีสันอันหลากหลายและชวนติดตาม ทั้งเรื่องราวของ

- สี่ราตูผู้ครองนครรัฐปตานียาวนานกว่าหนึ่งศตวรรษ; (*)
- เรื่องของสุลต่านหญิง (sultanah) คนแรกของอุษาคเนย์;
- เรื่องของราชินีม่ายผู้ทรงอิทธิพลแห่งนครจัมบี;
- เรื่องของหญิงสามัญที่ขึ้นครองบังลังก์นครบันเต็น:
- เรื่องของสตรีใน "สวนรัก" และชายาสุลต่านผู้ถูกเรียกว่า "นางโสเภณีบูกิส";
- เรื่องของ "มิดะ"ในสังคมมุสลิม และ
- เรื่องราวของ "เมียชั่วคราว"ในสังคมท่าเรือที่นครปตานี ฯลฯ

(*) ช่วงหนึ่งของประวัติศาสตร์ราชอาณาจักรมลายูปตานี มีเรื่องราวเกี่ยวกับ"สี่กษัตริยาปตานี : บัลลังก์เลือด และตำนานรักเพื่อแผ่นดิน" ผู้สนใจสามารถคลิกไปอ่านได้บนเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน บทความลำดับที่ 1213 http://midnightuniv.tumrai.com/midnight2544/0009999714.html

บทบาทของสตรีอีกหลายคนในสังคมมุสลิม ถูกบันทึกชื่อไว้ในพงศาวดารราชวงศ์ ตำนานพื้นถิ่น บ้างก็ถูกสะท้อนผ่านบทกวี เฉกเช่นเรื่องราวของ "นางโสเภณีผู้ต้องคำสาบ" แห่งอาเจะห์. เรื่องที่ถูกเล่าขานผ่านกาลเวลามาหลายร้อยปีเหล่านี้ บางเรื่องอาจถูกกร่อนเซาะไปพร้อมกาลเวลา หลายเรื่องยังคงปรากฎเป็นหลักฐานให้เล่าขานสืบต่อ

งานเขียนเรื่อง "สตรี ราณี: หญิงในสังคมมุสลิม: จากท่าเรือ ถึงวังหลวง" นี้ ผู้เขียนได้พยายามตามรอยข้อมูลของผู้หญิงในสังคมมุสลิม ซึ่งปรากฎอยู่ในเอกสารวิชาการต่างๆ และสืบค้นต่อไปที่เอกสารโบราณ ทั้งในพงศาวดารราชวงศ์ ตำนานพื้นถิ่น และบันทึกของชาวตะวันตกที่เข้ามาสัมผัสกับสังคมบนคาบสมุทรมลายูในช่วงเวลานั้นๆ เรื่องที่ถูกบันทึกไว้ของสตรีเหล่านี้มีทั้งที่สอดคล้องและแตกต่างกันไปในเอกสารแต่ละชิ้น หนังสือแต่ละเล่ม ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ และมุมมองที่แตกต่างหลากหลายของผู้บันทึก แต่ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่น่าสนใจ ชวนให้สืบค้นต่ออย่างมิรู้จบ

ภาพวาดเจ้านครหญิง 4 พระองค์แห่งนครรัฐปตานี (วาดโดย ประดิษฐ์ พูลสารกิจ)

ราตูมาศ: พระชนนีผู้ทรงอิทธิพลเหนือสองนครา
เจ้าหญิงแห่งปาเล็มบัง (Palembang) นามว่า ราตูมาศ (Ratu Mas) ซึ่งต่อมาได้เป็นราชินีของนครจัมบี (Jambi) และกลายเป็นพระชนนีหลวงผู้ทรงอิทธิพลภายหลังที่พระสวามีสิ้นพระชนม์ เมื่อ พ.ศ. 2173 (ค.ศ.1630)

ช่วงต้นของคริสตศตวรรษที่ 17 นครจัมบีได้ชื่อว่าเป็นเมืองท่าที่มั่งคั่งแห่งเกาะสุมาตรา ที่เป็นรองเพียงนครอาเจะห์เท่านั้น. ปีพุทธศักราช 2179 (ค.ศ.1636) มีบันทึกว่า ผู้ปกครองของปาเล็มบังได้ทำการตกลงกับผู้แทนการค้าของบริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดา (Dutch East India Company / Vereenigde Oost-Indische Compagnie -VOC) ว่า "จัมบีและปาเล็มบังนั้นเป็นหนึ่งเดียวกัน"

ช่วงนั้นเป็นยุคทองของการค้าขายพริกไทย ขณะที่เจ้านครผู้เป็นโอรสของราตูมาศ ทรงมีภาระกับราชการแผ่นดินด้านการเมืองการทหาร ราตูมาศดำรงบทบาทเป็นองค์อุปถัมภ์ของพ่อค้าดัชต์และอังกฤษ และทรงมีอิทธิพลในกิจการต่างๆ ของทั้งจัมบีและปาเล็มบัง ตราบจนสวรรคตในปี พ.ศ.2208 (ค.ศ.1665)

บันทึกของพ่อค้าชาวตะวันตกเล่าว่า ราตูมาศ ใช้อำนาจควบคุมการส่งออกสินค้าและราคาสินค้าต่างๆ และพระนางยังดำเนินนโยบายการค้าต่างประเทศอย่างชาญฉลาดกับพ่อค้าชาวตะวันตก แบบที่ทำให้พ่อค้าเหล่านั้นต้องยื่นอุทธรณ์ร้องทุกข์ เช่น กรณีที่ทางพ่อค้าชาวอังกฤษอุทธรณ์ว่า การที่พวกเขาเสียเปรียบพ่อค้าท้องถิ่นชาวมุสลิม เพราะไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้เครดิตในการซื้อขายพริกไทยได้

ที่เมืองมะตะรัม (Mataram) มีบันทึกพ่อค้านักเดินทางและตำนานเมืองซึ่งกล่าวถึงพระชนนีหลวง 2 พระองค์ คือ ราตูปากูบูวานา พระชนนีของสุลต่านอามังกุรัตที่ 4 และราตูอามังกุรัต ชายาของสุลต่านอามังกุรัตที่ 4 ผู้เป็นพระมารดาของสุลต่านปากูบูวานาที่ 2 กับบทบาทที่ทำให้ผู้แทนการค้าของบริษัท VOC ต้องนับสองพระนางรวมอยู่ในกลุ่มบุคคลผู้ทรงอิทธิพลในการเมืองของราชสำนักมะตะรัมระหว่าง พุทธศักราช 2266-2284 (ค.ศ.1723-1741)

พงศาวดารของชวานั้น ยกย่องชื่นชมบทบาทของบรรดาราชินีม่ายที่กลายเป็น "พระชนนีหลวง" ว่า "เป็นผู้นำที่วิเศษยิ่งของโลกที่สร้างผู้ปกครองและเฝ้าดูแลชีวิตและงานของพวกเขา"

ราตู ไซรีฟา ฟาติมะห์: หญิงสามัญผู้ครองบังลังก์นครบันเต็น
เอกสารของบริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดา (VOC) เกี่ยวกับนครบันเต็น (Banten) ในศตวรรษที่ 18 กล่าวถึงธิดาของนักปราชญ์ชาวอาหรับ ที่ได้แต่งงานกับเจ้าผู้ครองนครและได้รับการสถาปนาเป็น ราตู ไซรีฟา ฟาติมะห์ (Ratu Syariafah Fatimah). บันทึกของ VOC เล่าว่า ราตูไซรีฟา ยุยงให้ฝ่ายดัชต์บั่นทอนพระราชอำนาจของเจ้าผู้ครองนคร เพื่อที่นางจะควบคุมอำนาจสูงสุดเหนือบังลังก์ และเมื่อพระสวามีสิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. 2293 (ค.ศ.1750) ราตูไซรีฟาขึ้นครองบังลังก์ ทรงใช้อำนาจเบ็ดเสร็จบริหารราชการแผ่นดินทั้งการเมืองและการค้า จนเกิดการทำรัฐประหารต่อต้านพระราชอำนาจ และทางฝ่ายดัชต์ก็ถอนการสนับสนุนพระนาง ราตูไซรีฟาพ่ายแพ้และถูกเนรเทศไปจากนคร

อย่างไรก็ตาม การต่อต้านราตูไซรีฟานั้น มิได้มีสาเหตุจากการไม่ยอมรับผู้นำที่เป็นสตรี แต่เกิดจากการตัดสินใจทางการเมืองที่ผิดพลาดของนาง กอปรกับการถอนการสนับสนุนของฝ่ายดัชต์

ราตู อาเก็ง เตอเกิลราชา: นักรบ และนายทุน
William Dampier (*) นักสำรวจชาวอังกฤษที่เป็นทั้งกัปตันเรือ และโจรสลัด เดินทางมาถึงมินดาเนา (Mindanao) และชวา (Java) ในช่วงปลายศตวรรษที่17 บันทึกถึงความกล้าหาญของสตรีสองนางไว้ คนแรกเป็นภรรยาของผู้ปกครองชาวมุสลิมบนเกาะทางตอนใต้ของมินดาเนา เขาเรียกสตรีนางนี้ว่า "ราชินีนักรบ" เพราะนางเคียงคู่สามีในการออกรบทุกครั้ง

(*) William Dampier (5 September 1651 (baptised) - March 1715) was an English buccaneer, sea captain, author and scientific observer. He was the first Englishman to explore or map parts of New Holland (Australia) and New Guinea. He was the first person to circumnavigate the world three times.

Diana and Michael Preston, in A Pirate of Exquisite Mind, describe him as the greatest nautical explorer-adventurer, British or otherwise, between the Elizabethans (notably Sir Francis Drake and Sir Walter Raleigh) and James Cook. Yet, though described by natural scientist Alex George, as "Australia's first natural historian", he is relatively little known in Australia, and even less known in his native country.

ภาพซ้าย: ภาพวาดนักรบหญิงแห่งนครอาเจะห์ ส่วนภาพประกอบขวา เป็นภาพของผู้หญิงมุสลิม

สตรีอีกนางหนึ่งที่ Dampier บันทึกไว้ว่า มีวีรกรรมกล้าหาญคล้ายๆ กันนั้น คือ ราตู อาเก็ง เตอเกิลราชา (Ratu Ageng Tegelraja) เป็นชายาคนโปรดของ สุลต่านฮาเม็งกูบูวานาที่ 2 (Hamengkubuwana II) แห่งชวา. บันทึกในจดหมายเหตุย็อกยาการ์ตากล่าวว่า ก่อนมาเป็นพระชายานั้น ราตูอาเก็งเคยเป็นหัวหน้าการ์ดหญิงของราชสำนักย็อกยาการ์ตา (Yogyakarta). ลาภยศและผลประโยชน์จากการเป็นชายาคนโปรดของสุลต่าน ทำให้ราตูอาเก็งกลายเป็นเจ้าที่ดินรายใหญ่ และเป็นเจ้าของกิจการค้าข้าวและผ้าบาติก ที่มีพ่อค้ากระทำการแทนในนามของนาง

ราตู ซาฟี: สตรีเคร่งศาสนา-ผู้บริหารหลังม่านและผ้าคลุม
นามของ ราตูซาฟี อัล-ดิน ทัช อัล-อาลัม (Sri Ratu Safi al-Din Taj al-Alam) ได้รับการบันทึกไว้ทั้งในตำนานนครอาเจะห์ ดารุสสลาม (Aceh Darussalam) (*) และในบันทึกการเดินทางของพ่อค้าชาวยุโรปที่เข้ามาทำการค้ากับนครอาเจะห์. ราตูซาฟี เป็นเจ้านครองค์ที่ 14 เป็นสตรีคนแรกที่ปกครองนครอาเจะห์ ดารุสสลาม และทรงเป็นผู้นำหญิงชาวมุสลิมคนแรกในอุษาคเนย์ที่ใช้ทินนามว่า "สุลต่านนะห์" (sultanah)

(*) Aceh of Indonesia, located on the northern tip of the island of Sumatra. Its full name is Nanggroe Aceh Darussalam. Past spellings of its name include Acheh, Atjeh and Achin.

It is thought to have been in Aceh where Islam was first established in Southeast Asia. In the early seventeenth century the Sultanate of Aceh was the most wealthy, powerful and cultivated state in the Malacca Straits region. Aceh has a history of political independence and fierce resistance to control by outsiders, including the former Dutch colonists and the Indonesian government. Aceh has substantial natural resources, including oil and gas - some estimates put Aceh gas reserves as being the largest in the world. Relative to most of Indonesia, it is a religiously conservative area.

พระนางเป็นพระธิดาของสุลต่านอิสกันดาร์ มูดา (Iskandar Muda) เจ้านครองค์ที่ 12 แห่งอาเจะห์ ราตูซาฟีอภิเษกสมรสกับเจ้าชายอิสกันดาร์ ธานี (Iskandar Thani) โอรสของสุลต่านแห่งนครปาหัง เจ้าชายอิสกันดาร์ ธานี ราชบุตรเขยได้รับการสถาปนาเป็นเจ้านครองค์ที่ 13 แห่งอาเจะห์ ต่อจากสุลต่านอิสกันดาร์ มูดา และเมื่ออิสกันดาร์ ธานี สิ้นพระชนม์ ในปี พ.ศ.2184 ราตู ซาฟี ขึ้นครองนครต่อจากพระสวามี

บันทึกของพ่อค้าชาวยุโรปที่ทำงานกับบริษัท VOC กล่าวถึงพระปรีชาสามารถของ ราตู ซาฟี ว่าเป็นผู้มีความรู้และความเชี่ยวชาญในการเจรจาการค้ามาก พระนางจะระแวดระวังอยู่ตลอดเวลากับปัจจัยและเงื่อนไขใดๆ ที่จะกระทบกับผลประโยชน์ของอาเจะห์ ราตูซาฟีมีวิธีเจรจาต่อรองการค้าอย่างชาญฉลาด กลยุทธที่พระนางใช้อยู่เสมอคือการกระตุ้นให้คู่ค้า คือ บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ (East India Company) และบริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดา (VOC)แข่งขันกัน เพื่อประโยชน์ทางการค้าสูงสุดของนครอาเจะห์

ครั้งหนึ่ง ราตูซาฟีประทานสัมปทานการค้าพริกไทยในสุมาตราตะวันตกให้กับฝ่ายอังกฤษ เพื่อเป็นการลงโทษบรรดาพ่อค้าเอกชนฝ่ายดัชต์ ที่ปิดล้อมเมืองท่าที่มีการขนถ่ายพริกไทยในบริเวณนั้น และอีกครั้งหนึ่งที่พระนางประทานสัมปทานการค้าให้กับฝ่ายอังกฤษ เพื่อเจรจาให้ปล่อยตัวชาวอาเจะห์ที่ถูกจับเป็นเชลยอยู่ที่เมืองกัว (Goa) ในอินเดีย. หนึ่งในกรณียกิจของ ราตู ซาฟี คือจัดการชุมนุมพบปะกับพ่อค้าต่างชาติทุกวันเสาร์ แต่จะไม่มีพ่อค้าคนใดได้เห็นพระพักตร์พระนาง พวกเขาบันทึกไว้ว่า ราตูซาฟีเป็นสตรีที่เคร่งครัดในกฎเกณฑ์ทางศาสนามาก พระนางจะสนทนา เจรจาการค้ากับพ่อค้าต่างชาติจากบังลังก์หลังม่านเท่านั้น

ขณะเดียวกัน พระนางก็สนใจกับความเป็นไปของสตรีในโลกตะวันตก โดยที่ภรรยาของพ่อค้าเหล่านั้น ได้รับเชิญให้เข้าไปในเขตพระราชฐานชั้นในของราชสำนัก เพื่อให้ช่วยอรรถาธิบายเกี่ยวกับเครื่องแต่งกายของสตรียุโรปในราชพิธีต่างๆ. พ่อค้าของ VOC เล่าว่า ราตู ซาฟี มีกลุ่มขันทีปัญญาเฉียบแหลมเป็นที่ปรึกษา แต่พระนางไม่เคยตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของบรรดาขุนนางในราชสำนัก และพระนางยังคงสืบทอดพระราชพิธีอลังการณ์ต่างๆ จากสมัยของพระบิดาและพระสวามีไว้ รวมทั้งดูแลอุปถัมภ์สตรีนับพันคนในฮาเร็มในราชสำนักไว้ต่อมา

ราตู ซาฟี ปกครองอาเจะห์อยู่ 34 ปี จาก พ.ศ.2184 - 2218 (ค.ศ.1641-1675) ทรงเป็นผู้นำหญิงมุสลิมในยุคสมัยเดียวกับราตูกูนิงแห่งนครรัฐปตานี. หลังรัชสมัยของราตูซาฟี มีสตรีขึ้นสืบทอดพระราชบังลังก์นครอาเจะห์อีก 3 คนติดต่อกัน รวมแล้วนครอาเจะห์ ดารุลสลาม อยู่ภายใต้การปกครองของสตรี 4 คน นานกว่าครึ่งศตวรรษ นับจากพุทธศักราช 2184 - 2242 (ค.ศ.1641-1699) แต่ข้อมูลเกี่ยวกับเจ้านครหญิงอีกสามคนนั้น แทบไม่ปรากฎให้เห็น นอกจากบันทึกของ โทมัส บาวรี่ (Thomas Bowrey) พ่อค้าชาวอังกฤษที่มาเยือนอาเจะห์ในช่วงศตวรรษที่ 17 ที่กล่าวถึงบรรดาผู้ปกครองหญิงของนครอาเจะห์ว่าเป็นสตรี "ที่ไม่ได้แต่งงาน" และเป็นพวกหลีกเลี่ยงที่จะมีเพศสัมพันธ์

ราตูฮิเจา: ราชินีนักพัฒนา-แม่ค้า-เจ้าหนี้
ตำนานนครรัฐให้ภาพของราชาฮิเจา (Hijau) สตรีคนแรกผู้ครองบังลังก์นครปตานีไว้ว่า ทรงเป็นเจ้านครที่ปรีชาสามารถและใส่ใจในการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของพสกนิกร ตำนานที่เล่าขานให้จดจำกันสืบมาทุกวันนี้คือ การที่พระนางสั่งให้ขุดคลองชลประทานที่บ้านตัมบังงัน เพื่อระบายความเค็มของแม่น้ำกรือเซะ เพื่อให้ประชาชนใช้น้ำในการเพาะปลูกและอุปโภค บริโภคได้ แต่บันทึกของ ปีเตอร์ ฟลอริส (Peter Floris) พ่อค้าชาวดัชต์ที่เข้ามาทำการค้าขายกับนครปตานีระหว่างปี พ.ศ.2155-2156 (ค.ศ.1612-1613) ซึ่งเป็นช่วงปลายรัชสมัยของราตูฮิเจา ทำให้ได้เห็นภาพของพระนางในมิติอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ปีเตอร์ ฟลอริส บันทึกไว้ว่าในช่วงที่เขามีปัญหาทางการค้า ราตูฮิเจาได้เสนอให้เขายืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยร้อยละ 6 และกำหนดให้เขาจ่ายเงินต้นคืนภายใน 3-4 เดือน นอกจากนี้เขายังต้องจ่ายดอกเบี้ยอีกร้อยละ 1 เข้าท้องพระคลัง และต้องหาของกำนัลมอบให้พระองค์ด้วย รวมแล้วเบ็ดเสร็จ ฟลอริสบอกว่าเ ขาต้องจ่ายดอกเบี้ยทั้งหมดร้อยละ 7.5 เมื่อครบกำหนด ฟลอริสไปเข้าเฝ้าพระราชินีเพื่อทูลว่าเขาพร้อมจะชำระหนี้ที่ยืมพระองค์มาแล้ว และทูลถามว่าพระองค์มีพระประสงค์จะให้เขาใช้หนี้เป็นทองหรือเงิน

"เราไปเข้าเฝ้าพระราชินีเพื่อทูลให้ทราบว่าเรือสินค้าของเรามาถึงแล้ว และเราพร้อมจะชำระหนี้ให้พระองค์ได้ เราทูลถามพระองค์ว่า โปรดที่จะให้เราจ่ายหนี้คืนเป็นทองหรือเงิน พระองค์ตรัสว่าพระองค์ต้องการทอง"

ฟลอริส ยังได้บ่นไว้ในบันทึกส่วนตัวของเขาว่าราชสำนักปตานี เก็บภาษีการค้าทั้งทางตรงทางอ้อมและเป็นจำนวนสูงกว่าที่อื่นๆ พ่อค้าต่างชาติต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้ทางราชสำนักไม่ต่ำกว่า 4 ครั้ง ในการเข้ามาทำการค้าแต่ละครั้ง นับตั้งแต่เรือเทียบท่า พ่อค้าต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเป็นการแจ้งการมาถึง เมื่อพวกเขาจะเอาสินค้าลงจากเรือก็ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพื่อขออนุญาตเอาสินค้าลง จะชั่งน้ำหนักสินค้าก็ต้องจ่ายค่าธรรมเนียม จะเอาเรือออกจากท่าไปค้าขายเมืองอื่นก็ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมอีก. นอกจากนี้แล้ว พ่อค้าต่างชาติต้องเตรียมของขวัญล้ำค่าให้พระราชินีอยู่เสมอด้วย

ภาพวาดของผู้หญิงกับการค้าขายในตลาดปตานี
( จาก Joan Nieuhof: Gedenkwaerdige zee- en lantreize. Amsterdam 1682, p. 64)

การค้า-ท่าเรือ-ตลาด-ราชสำนัก
บันทึกของของผู้แทนการค้าของ VOC สมัยที่อยู่ภายใต้การปกครองของสุลต่านนะห์ทั้งสี่พระองค์ของนครอาเจะห์นั้น ต่างชื่นชมบทบาททางการค้าของเจ้านครสตรีที่ทำการค้าอย่าง "เป็นธรรม" และทำให้เศรษฐกิจของนครเฟื่องฟู

- ที่นครรัฐปตานี พระนามของราตูฮิเจาเป็นที่กล่าวขานในหมู่พ่อค้าต่างชาติถึงพระปรีชาสามารถในการสร้างสัมพันธ์ทางการค้า ในรัชสมัยของพระนาง
นครรัฐปตานีส่งทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีทางการค้ากับญี่ปุ่น

- บันทึกพ่อค้ายุโรปยังได้กล่าวถึงชายาของสุลต่านแห่งมากัสซาร์ ผู้เป็นเจ้าของเรืองสินค้าที่ทำกำไรมากมายที่นครยะโฮร์

แต่บทบาทสำคัญทางการค้าในเมืองท่าของสังคมมุสลิมนั้น มิได้จำกัดอยู่เพียงสตรีที่เป็นเจ้านครเท่านั้น มีบันทึกพ่อค้านักเดินทางจากแดนไกล และตำนานพื้นถิ่นของชวาที่กล่าวถึงสตรีสูงศักดิ์ในราชสำนักย็อกยาการ์ต้า ซึ่งร่ำรวยจากการค้าขายทองคำและอัญมณี และเรื่องราวของหญิงต่ำศักดิ์ผู้มีความชาญฉลาดในการทำการค้าถูกบันทึกไว้ในเอกสารโบราณเช่นกัน ยกตัวอย่าง ที่ท่าเรือโบราณบนเกาะชวาตะวันออกในคริสตศตวรรษที่ 16 นั้น ปรากฏหลักฐานว่า มีสตรีมุสลิมเป็นนายท่า ควบคุมคิวเรือสินค้า. นายทุน นายหน้า ผู้เจรจาการค้ารายใหญ่ในตลาดท้องถิ่นของนครปตานีและนครอาเจะห์ และเมืองท่าในนครอื่นๆ ล้วนแล้วแต่เป็นสตรี

มหากาพย์ชวา (Serat Centhini) ในคริสตศตวรรษที่ 18 บรรยายถึงบทบาททางการค้าที่สำคัญของหญิงม่ายชาว Kelang ผู้ร่ำรวยจากธุรกิจการรับจำนำ และการทำกำไรจากการรับซื้อพืชผลราคาต่ำก่อนการเก็บเกี่ยว โดยให้เครดิตล่วงหน้าแก่เกษตรกรก่อนการซื้อขาย เอกสารนี้ยังได้กล่าวถึงบทบาทของนางในการเป็นผู้จัดการงานเต้นรำบันเทิงต่างๆ ว่า "สตรีนางนี้มีพลังอำนาจในการกระตุ้นผู้คน" เพื่อ "ความสำราญของผู้มั่งมี ที่ทุกสิ่งที่พวกเขาต้องการนั้นจะมีคนจัดการให้ได้เสมอ"

พ่อค้าชาวยุโรปและชาวจีนหลายคนแสดงความประหลาดใจไว้ในบันทึก เมื่อพบว่า พวกเขาต้องเจรจาการค้ากับสตรี. Tom Pires นักเดินเรือชาวโปรตุเกส ผู้มาพำนักที่มะละกา บันทึกไว้ว่า มะละกา (Melaka) เก็บภาษีได้มากมายต่อเดือน จากบรรดาผู้หญิงที่ขายของตามท้องถนน... เนื่องจากในมะละกามีผู้หญิงขายของอยู่ทุกถนน. ผู้แทนการค้าของ VOC บางคนที่ถูกส่งมาทำการค้าทางชายฝั่งด้านเหนือของเกาะชวา บันทึกไว้ว่า ได้พยายามทำธุรกิจโดยตรงกับสตรีที่ค้าขายอยู่ในตลาด โดยการฝากขายสินค้าประเภทเสื้อผ้า แต่ประสบปัญหากับการจ่ายเงินไม่ตรงเวลาของบรรดาแม่ค้า. แต่ในเมืองท่าบางแห่ง ผู้แทนการค้า VOC กลับต้องเผชิญกับปัญหาอื่นคือ ความลังเลของแม่ค้าท้องถิ่นที่ไม่อยากติดต่อกับชายชาวยุโรป ซึ่งพวกเธอเห็นว่าไม่เคารพเพศตรงข้าม

ราชินี - ขุนนาง ขันที และบุรุษข้างกาย
ภาพของราชินีที่มีบุรุษรายล้อมนั้น ถูกเล่าไว้ในหลายแห่ง ทั้งพงศาวดารกระซิบ และในบางบันทึกของพ่อค้าชาวตะวันตกที่อ้างว่า เห็นด้วยตาตัวเอง. บางคนบันทึกไว้ว่า มีประสบการณ์ตรงที่เป็นที่ต้องตาต้องใจของเจ้านครหญิง

นักเดินทางชาวออสเตรีย ชื่อ Christoph Carl Fernberger von Egenberg ที่มาเยือนนครปตานีระหว่าง เดือนธันวาคม พ.ศ. 2167 - กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2168 (ค.ศ.1624-1625) ซึ่งเป็นช่วงรัชสมัยของราชินีอุงงู บันทึกเกี่ยวกับพระนางไว้ว่า "พระราชินีมีอายุประมาณ 40 กว่าปี เวลาเสด็จไปไหน จะมีผู้หญิงประมาณ 200 คนห้อมล้อมอยู่เสมอ พระนางมีบุรุษ 50 คนไว้เพื่อรับใช้ถวายความอภิรมย์ พระนางเป็นผู้ปกครองประเภทใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่ฟังผู้ใด และพระนางมีช้าง 50 เชือก เป็นสัญญลักษณ์ของบุญญาบารมี". ราชินีอุงงู เป็นเจ้านครหญิงคนที่ 3 ของปตานี

Fernberger เล่าไว้ในบันทึกว่า ในเดือนมกราคม เขาทำงานเป็นผู้บัญชาการทหารและทำหน้าที่ฝึกซ้อมการรบให้กับบรรดาเชลยชาวยุโรปที่อยู่ในปตานี เพื่อช่วยนครปตานีรบกับสยาม. วันที่ 30 มกราคม ทหารมาเลย์ 3,000 คน และชาวคริสเตียน 66 คนภายใต้การกำกับของเขา ช่วยพระราชินีรบจนชนะทหารสยาม พระนางจึงพระราชทานรางวัลให้มากมาย. สำหรับเขานั้น พระราชินีส่งของขวัญมาให้เป็นกรณีพิเศษ พร้อมกับส่งคนมาบอกว่าจะเสด็จมาเยี่ยมเขา ณ ที่พัก และเขาได้รับการบอกเล่าจากนายทหารมาเลย์ว่า หมายถึงพระราชินีมีความปรารถนาในตัวเขา นายทหารมาเลย์บอกกับเขาด้วยว่า ที่ผ่านมานั้นมีผู้ชายหลายคนที่ถูกพระราชินีสั่งฆ่าเพราะไม่สามารถตอบสนองความต้องการตามที่พระนางคาดหวัง. Fernberger เล่าว่าเมื่อทราบเช่นนั้น เขาจึงตัดสินใจหนีทันที!

ก่อนหน้านั้น เคยมีบันทึกของ Admiral Cornelis Matelieff นายพลเรือชาวดัชต์ผู้บังคับการกองเรือที่บริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดาที่ส่งมายังมะละกา (Malacca) เผยถึงข่าวลือเรื่องรักเร้นลับข้ามรัฐของผู้ปกครองหญิงแห่งนครปตานี กับสุลต่านแห่งนครยะโฮร์ (Johor) บันทึกนี้เขียนไว้ในเดือนมกราคม พุทธศักราช 2152 (ค.ศ.1609) ซึ่งอยู่ในช่วงรัชสมัยของราตูฮิเจา ผู้เป็นสตรีคนแรกที่ขึ้นครองนครปตานี

ขณะที่ นิโกลาส์ แชรแวส (Nicholas Gervaise) บาทหลวงชาวฝรั่งเศสผู้เดินทางมาเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในเอเชียตะวันเฉียงใต้ ในช่วงรัชสมัยของราชินีกูนิง (Kuning) ธิดาของราชินีอุงงู บันทึกเกี่ยวกับนครปตานีไว้ว่า

"แม้ เจ้าผู้ครองนครหญิงจะได้รับการถวายพระเกียรติอย่างสูงสุดในฐานะผู้ครองบังลังก์ แต่แท้จริงแล้ว พระนางไม่ได้รับอนุญาตให้เกี่ยวข้องกับกิจการทางการเมืองที่อยู่ในเงื้อมมือของเสนาบดีชาย คณะเสนาบดีจะเลือกระหว่างกันเอง ให้ได้ผู้ที่มีความสามารถสูงสุดมาปกครองนครรัฐในนามของพระนาง แต่พวกเขาไม่ปฏิเสธสิ่งอื่นใดที่พระราชินีมีพระราชประสงค์เพื่อความเกษมสำราญส่วนพระองค์ แม้พวกเขาไม่ยินยอมให้พระนางอภิเษกสมรส แต่ไม่ขัดขวางที่พระนางจะมีบุรุษไว้ข้างกายเพื่อถวายความเกษมสำราญส่วนพระองค์. พวกเขาจัดสรรงบประมาณสำหรับที่ประทับ พัสตราภรณ์ ทูลถวายตามพระราชประสงค์ รวมทั้งจัดหาบุหงามาศ พร้อมเครื่องบรรณาการส่งไปสานสัมพันธ์กับกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาในนามขององค์ราชินี"

บันทึกของชาวจีนในช่วงต้นคริสตศตวรรษที่ 17 กล่าวถึงราชสำนักอาเจะห์ในปีพุทธศักราชที่ 2160 (ค.ศ.1617) ไว้ว่า มีขันทีมากกว่า 100 คน

ในบันทึกของ โทมัส บาวรี่ (Thomas Bowrey) ได้กล่าวถึงขันทีกว่าร้อยคนในขบวนเสด็จทางชลมารถของราตู ซากี (Sultanah Zakiyat al-Din Syah) ผู้ปกครองหญิงของอาเจะห์ในช่วง พ.ศ.2221 - 2231 (ค.ศ.1678-1688) "...พระนางเสด็จไปที่แม่น้ำอะชิน (the River of Achin) พร้อมขบวนเสด็จที่ยิ่งใหญ่อลังการณ์ ที่ข้าพเจ้าเชื่อว่าไม่เหมือนที่อื่นในโลก... มีข้าราชสำนัก ขันที และสตรีจำนวนมากตามเสด็จ เรือที่ประทับประดับด้วยทองคำ ได้ยินเสียงดนตรีท่วงทำนองเสนาะหู และเสียงเพลงที่ขับร้องถวายแด่ 'เจ้าหญิงผู้เป็นพรมจรรย์'..."

ภาพซ้าย: รูปหอคอยในสวนรัก (keraton)
ภาพขวา: รูปสวนรักของสุลต่านที่ยังหลงเหลืออยู่ในเมืองย็อกจาร์กาต้า ปัจจุบันเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม (keratonjojja)


สตรีใน "สวนรัก"
บทกวีแห่งบาหลีท่อนหนึ่งบรรยายถึงภาพและบรรยากาศของสถานที่อันเป็นส่วนที่อยู่ของเหล่านางในแห่งราชสำนักไว้ว่า "ฉาดฉายด้วยแสงแรงระยับ ราวกับว่าความงามอันมหัศจรรย์นี้สาดส่องมาจากสวรรค์". เล่ากันว่าบรรดาเจ้าผู้ครองนครและสุลต่านในดินแดนบนคาบสมุทรมาลายู นิยมสร้าง "สวนรัก" (Taman Ghairah) หรือ "สวนสวรรค์" ไว้ให้บรรดาพระสนมได้เพลิดเพลิน พื้นที่เขตพระราชฐานชั้นในของราชสำนักนี้ เป็นเขตต้องห้าม บุรุษผู้เดียวที่สามารถเหยียบย่างเข้าไปได้คือ สุลต่านหรือเจ้านคร. ผู้หญิงที่อยู่ในสวนรักนี้ นอกจากมีบรรดาพระชายา นางสนม แล้ว ยังมีเหล่าสตรีสูงศักด์และสูงวัย ที่เป็นพระญาติวงศ์ของเจ้านคร รวมทั้งนางกำนัล และนางทาส. ร่องรอยของสวนรักยังมีปรากฎให้เห็นในปัจจุบันที่เมืองย็อกยาการ์ตา และที่เมืองอาเจะห์

ในสวนรักมีสระน้ำสำหรับสรงสนาน 3 แห่ง สระใหญ่สุดสำหรับบรรดานางใน สระเล็ก สำหรับพระชายาและพระสนม และอีกสระหนึ่งสำหรับสุลต่านและสตรีที่ถูกเลือกเป็นคู่อภิรมย์ในค่ำคืนนั้น บริเวณรอบๆ สระสรงสนาน มีศาลาให้บรรดาพระชายา นางสนม นางกำนัล ได้พักผ่อนคลายอิริยาบท ส่วนห้องบรรทมของสุลต่านอยู่ชั้นบนของหอคอย 3 ชั้น ที่สามารถมองเห็นสระน้ำได้ทั่วบริเวณ สุลต่านจะเลือกสตรีที่ตนพึงใจจากหน้าต่างห้องนั้น

พ่อค้า VOC ชื่อ Rijklof van Goens เขียนไว้ในรายงานการค้ากับเมืองมะตะรัม (Mataram) ปี พ.ศ.2199 (ค.ศ.1656) ว่า: "ในเวลากลางคืน บุรุษผู้เดียวในพระราชวังนี้คือสุลต่านอามังกุรัตที่ 1 (Amangkurat I) ที่อยู่ท่ามกลางสตรีเกือบหนึ่งหมื่นคน สตรีเหล่านี้ รวมทั้ง บรรดาราชนิกูลฝ่ายหญิงวัยอาวุโส พระชายา และนางสนม.."

บันทึกของพ่อค้าชาวตะวันตกกล่าวถึง "ตลาดขายสินค้าแปลก" อันเป็นแหล่งที่บรรดาสตรีใน "สวนรัก"แห่งราชสำนักต่างๆ พยายามเสาะหาสิ่งเพิ่มพูนเสน่ห์แห่งเพศรส เพื่อให้เป็นที่โปรดปรานของเจ้าผู้ครองนคร

G.E. Rumphius นักธรรมชาติวิทยาที่ทำงานให้บริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดา ได้บันทึกไว้ในรายงานของเขาว่า สินค้าชนิดหนึ่งที่เป็น "สารผสมพิเศษระหว่างตะกั่วและสารส้ม" ถูกส่งจากเกาะบันดา (The Island of Banda) ไปที่ชวาเป็นประจำ "ผู้หญิงชาวมัวร์จะใช้สารนี้เพื่อชำระล้างและฟอกส่วนเร้นลับในร่างกายของเธอให้แห้ง เพื่อสร้างความอภิรมย์ให้บุรุษของเธอ วิธีการนี้เป็นสิ่งจำเป็นในหมู่ชนชาติเช่นนี้ ที่ผู้หญิงจำนวนมากถูกเก็บไว้เพื่อชายคนเดียว ผู้หญิงแต่ละคนจึงต้องเสาะแสวงหาสิ่งที่ทำให้เธอเป็นทีโดดเด่นตรึงใจที่สุด"

ด้าน Van Goens เล่าถึงชายาคนหนึ่งของสุลต่านอามังกุรัตที่ 4 (Amangkurat IV) ว่าต้องถูกขับจากราชวังภายหลังอภิเษกสมรสได้สี่ปี ด้วยเหตุที่นางไม่อาจสร้างความอภิรมย์ทางเพศรสให้กับสุลต่านได้อีกต่อไป. Van Goens ยังเล่าถึงบทบาทต่างๆ ของสตรีในราชสำนักชวา (Javanese kraton) ว่า ผู้รักษาความปลอดภัย(การ์ด)ทั้งหมดในราชสำนักเป็นผู้หญิง เขาประมาณว่าในยามกลางคืนมีการ์ดผู้หญิง 3,000 คนเดินยามรักษาความปลอดภัยในเขตราชฐาน ในจำนวนนี้ มีสตรีชั้นสูงจำนวน 150 คนเป็นหัวหน้า สตรีกลุ่มนี้มีความเชี่ยวชาญในการใช้อาวุธประเภท หอก หลาว และปืนคาบศิลา ผู้หญิง 30 คนถูกเลือกให้เป็นองค์รักษ์ของสุลต่านในเวลาที่ออกว่าราชการ ผู้หญิง 10 คนทำหน้าที่เชิญเครื่องใช้ส่วนตัวของสุลต่าน เช่น ขันน้ำ เชี่ยนหมาก กล่องยาสูบ ร่ม กล่องน้ำหอม และแพรพรรณสำหรับพระราชทานให้ข้าราชบริพารที่ทรงโปรดปราน ผู้หญิงที่เหลืออีก 20 คนจะยืนยามเตรียมพร้อมด้วยอาวุธเพื่อป้องกันเหตุร้ายที่อาจเกิดขึ้นกับสุลต่าน

"มิดะ" ในราชสำนัก
บันทึกของ Van Goens เล่าถึงภาระกิจของนางในราชสำนักว่า "ผู้มีประสบการณ์" จะมีหน้าที่ช่วยคัดเลือกหญิงสาวให้กับบรรดาเจ้าชายหนุ่มน้อย สตรีผู้มี "ประสบการณ์" เหล่านี้จะต้องทำหน้าที่แนะนำเทคนิคต่างๆ ในการเสพสมให้กับเจ้าชาย และผู้หญิงที่ถูกคัดเลือกไปถวายด้วย

พงศาวดารกระซิบแถบท่าเรือนครยะโฮร์ กล่าวถึงพระมารดาของสุลต่านมะฮะหมัด (Sultan Mahmad) ที่พยายามจัดหาหญิงงามส่งไปให้พระโอรสเชยชม แต่มิอาจเปลี่ยนใจสุลต่านผู้มีใจใฝ่บุรุษเพศได้. ยังมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับ ราตู ปะกูบุวานา (Ratu Pakubuwana) พระพันปีหลวงแห่งชวากล่าวคือ จากบันทึกหลักฐาน พระองค์ทรงมีบทบาทในเขตพระราชฐานชั้นในของราชสำนักคือ การพยายามหันเหความสนใจของหลานชายผู้เป็นเจ้าครองนครจากความลุ่มหลงในบุรุษเพศให้มาสนใจอิสตรี. ราตู ปะกูบุวาน ทำหน้าที่จัดหาสาวงาม รวมทั้งจัดการหาผู้เชี่ยวชาญพร้อมทั้งสร้างสภาพแวดล้อม เสาะแสวงหาปัจจัยต่างๆ เพื่อมากระตุ้นให้เจ้านครเชื่อว่า "อันร้อยรสบุปผาสุมาลัย จะชื่นใจเหมือนสตรีไม่มีเลย"

โต อาโย : นางทาส -"นางโสเภณี" - ผู้ควบคุมการค้า
เรื่องความรักความใคร่ข้ามชนชั้นในสังคมมุสลิมเกิดขึ้นเสมอ ไม่ต่างจากสังคมอื่นๆ ตำนานหนึ่งเล่าขานกันถึงนางทาสชาวบูกิส (*) ชื่อ "โต อาโย" (To Ayo) ที่ได้เป็นสนมของรัชทายาทแห่งนครจัมบี (Jambi) นางโต อาโย มักปรากฎกายเสมอในงานราชพิธีต่างๆ และต่อมาได้รับการสถาปนาเป็นชายาของเจ้าชาย. นางโต อาโย ได้รับการยกย่องเทียบเท่ากับเจ้าหญิงจากนครปาเล็มบัง ซึ่งเป็นชายาอีกองค์หนึ่งของเจ้าชายรัชทายาท

(*) หมายถึงคนที่พูดภาษาบูกิส. ภาษาบูกิสเป็นภาษาที่พูดโดยประชากรภาคใต้ของเกาะสุลาเวสี ประเทศอินโดนีเซีย คำว่า บูกิส มาจากภาษามาเลย์ ส่วนชาวบูกิสเรียกภาษาของตนว่า บาซา อูกิ แปลว่ากษัตริย์องค์แรก ซึ่งหมายถึง กษัตริย์ในอาณาจักรบูกิสโบราณ แต่เรื่องราวไม่ชัดเจน เนื่องจากไม่มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร

เมื่อเจ้าชายได้รับการสถาปนาเป็นสุลต่านในปี พ.ศ.2222 (ค.ศ.1679) ทรงเสกสมรสกับสตรีสูงศักดิ์อีก 2 นาง จากนครมากัสซาร์ (Makassar) คนหนึ่งนั้นเป็นธิดาของสุลต่านเมืองมากัสซาร์ เล่ากันว่าหนึ่งในสองนางเคยเรียก โต อาโย อย่างหยามเหยียดว่า "นางโสเภณีบูกิส" บางครั้งถึงขั้นมีการตบตีกัน แต่ต่อมาทั้งสามหญิงสามารถสมานฉันท์กันได้ และร่วมกันควบคุมการค้าของนคร. จากนางทาสที่มีสถานะต่ำสุดในราชสำนัก นางโต อาโย สามารถผลักดันตัวเองขึ้นไปสู่จุดสูงสุด และกลายเป็นหนึ่งในสามหญิงที่มีอำนาจสูงสุดในการควบคุมการค้าทั้งหมดของนครจัมบี

นางโจรสลัด - "นางโสเภณีที่ถูกสาบ"
การใช้คำว่า "โสเภณี" เรียกขานสตรีในสังคมมุสลิม ปรากฎให้เห็นในงานวรรณกรรมโบราณของนครอาเจะห์ด้วย บทกวีของชาวอาเจะห์ในคริสตศตวรรษที่ 18 กล่าวถึงวีรกรรมของโจรสลัดหญิงนางหนึ่ง โดยเรียกนางว่าเป็น "นางโสเภณีที่ถูกสาบ" แม้บทกวีชิ้นนี้บรรยายว่านางเป็นผู้กล้าหาญ แต่กลับผูกโยงชัยชนะของนางไว้กับเรื่องของเวทมนต์ และความลี้ลับของบุรุษจำนวน 60-70 คนซึ่งติดตามนาง และล้วนแล้วแต่มีรูปลักษณ์ "เร้าใจ"

ผู้หญิง - อำนาจลึกลับ
เรื่องราวของผู้หญิง กับอำนาจลึกลับยังถูกบันทึกไว้ในเอกสารอื่นๆ ด้วย ทั้งตำนานพื้นถิ่นและเอกสารทางการค้าของ VOC เช่น เรื่องเล่าเกี่ยวกับสตรีลึกลับนางหนึ่ง นามว่า "บุตรี จามิลาน" (Puteri Jamilan) ที่ถูกระบุว่าเป็นหนึ่งใน 3 หญิงที่มีตำแหน่งเป็นพระชนนีหลวง และร่วมปกครองอาณาจักรมินังกาเบา (Minangkabau) บนเกาะสุมาตราตอนกลาง. บันทึกในเอกสารพื้นถิ่นและของ VOC ที่กล่าวถึง "บุตรี จามิลาน" นั้นสะท้อนให้เห็นว่า นางเป็นผู้มีอำนาจสูงมาก ทั้งยังพูดถึงอำนาจลึกลับของนางในการลงโทษผู้แข็งขืนต่ออำนาจของนางด้วย

เรื่องเล่าเกี่ยวกับของเจ้านครหญิงปตานีและสตรีในราชสำนักนั้น ถูกผูกโยงกับเวทมนต์และอำนาจลึกลับเช่นกัน เมื่อ Admiral Cornelis Matelieff นายพลเรือชาวดัชต์ผู้บังคับการกองเรือที่บริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลแลนด์ส่งมายังมะละกา เขียนรายงานถึงความสัมพันธ์เร้นลับของราชินีปตานีและสุลต่านยะโฮร์ เขาได้อ้างถึงการใช้มนต์มายาของพระราชินีด้วย และในหลายตำนานของนครปตานี ได้กล่าวถึงการใช้เวทมนต์ของนาง ดัง สีรัต (Daeng Sirat) นักร้องในราชสำนักปตานี ผู้มีเสียงไพเราะเสนาะหูชวนหลงใหล จนทำให้เจ้าชายแห่งยะโฮร์ คู่เชยของราตูกูนิง ละทิ้งพระนางเพื่อไปสร้างอาณาจักรใหม่และสถาปนานางดัง สีรัต เป็นชายา

ผู้หญิงท่าเรือ - เมียชั่วคราว -แม่ค้า...
Jacob Van Neck พ่อค้าชาวดัชต์ที่เดินทางมาที่นครรัฐปตานีในปี พ.ศ. 2144 (ค.ศ.1601) บันทึกเกี่ยวกับผู้หญิงที่ท่าเรือปัตตานีไว้ว่า; "...เมื่อชาวต่างชาติเดินทางมาจากเมืองอื่นเพื่อมาทำธุรกิจ...มีผู้ชายเข้ามาถามพวกเขาว่า ต้องการผู้หญิงหรือไม่ ผู้หญิงสาวและเด็กหญิงก็เข้ามานำเสนอตัวเองด้วย พวกเธออาจเลือกคนที่ตกลงกันได้เป็นที่พอใจที่สุดว่าเขาจะจ่ายเงินในจำนวนเดือนที่แน่นอน เมื่อพวกเขาตกลงกันเกี่ยวจำนวนเงินที่จะจ่ายได้ (ซึ่งไม่ได้เป็นจำนวนที่มากมายสำหรับความสะดวกสบายที่จะได้รับ) หญิงสาวจะมาอยู่ที่บ้านของชายต่างชาติผู้นั้น เพื่อทำงานเป็นคนรับใช้ในตอนกลางวัน และปฏิบัติหน้าที่เป็นภรรยาในตอนกลางคืน นับจากนั้น ฝ่ายชายไม่สามารถไปยุ่งเกี่ยวกับหญิงอื่นได้อีก ขณะที่ฝ่ายหญิงก็มีข้อห้ามแบบเดียวกันที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับชายอื่น แต่การแต่งงานนี้จะคงสถานะอยู่ตราบที่ฝ่ายฝ่ายชายยังคงรักษา "ความสงบสุข และความเป็นหนึ่งเดียว"ในบ้านไว้ได้ เมื่อเขาต้องการจะจากไป เขามอบสิ่งใดๆ ก็ตามที่สัญญาไว้กับฝ่ายหญิง ดังนั้น พวกเขาจึงแยกจากกันด้วยมิตรภาพ และหญิงสาวอาจจะไปหาผู้ชายคนอื่นตามต้องการ โดยไม่ถือว่าเป็นการผิดทำนองคลองธรรมแต่อย่างใด"

นอกจากนี้ ยังมีบันทึกของนักเดินทางชาวยุโรป ที่อ้างถึงการซื้อขายบริการทางเพศระหว่างสตรีท้องถิ่นและพ่อค้าต่างถิ่นในตลาดที่นครปตานี โดยเล่าว่า สตรีเหล่านี้เป็นทาสของขุนนางและผู้มีอันจะกิน พวกนางได้รับการยินยอมให้ทำธุรกิจนี้ตราบเท่าที่นายทาสได้รับผลประโยชน์ด้วย เป็นที่รู้กันในหมู่พ่อค้านักเดินทางจากแดนไกลว่า สตรีที่ทำธุรกิจแบบนี้มีอยู่ทั่วไปที่ท่าเรือ และตลาดของนครต่างๆ พวกนางขายทั้งสินค้าและบริการทางเพศ และพวกนางมีอิสระที่จะต่อรองราคาด้วยตนเอง

ก่อนหน้านี้ หลักฐานในเอกสาร Boxer Codex ปี พ.ศ.2133 (ค.ศ.1590) เล่าถึงกลุ่มทาสหญิงที่พายเรือเร่ลำเล็กๆ เล่นดนตรีไปตามแม่น้ำลำคลองในนครเบรูไน ดารุสสลาม (Berunai Darussalam) พร้อมร้องเพลงเชิญชวนให้บุรุษลิ้มลองหาความสุขจากร่างกายของนาง นางทาสเหล่านี้มีอิสระที่จะออกขายร่างกายของนางในยามค่ำคืน ตราบเท่าที่พวกนางแบ่งผลประโยชน์ให้นายทาส

Jan Pieterszoon Coen ผู้บังคับการของ VOC ปี พ.ศ.2162 (ค.ศ.1619) บันทึกไว้ด้วยความสะใจถึงบรรดาพ่อค้าฝ่ายอังกฤษที่เมือง Sukadana ในบอร์เนียวตะวันตก (West Borneo) ที่ตกต่ำจนถึงขั้นต้องขาย "โสเภณีของพวกเขา"แลกเสบียงอาหารประทังชีวิต. คริสตศตวรรษต่อมา ในปี พ.ศ. 2321 (ค.ศ.1778) บันทึกฉบับหนึ่งของ VOC กล่าวถึงสตรีชื่อ Nyai Assan ผู้เป็นที่รู้จักกันดีที่ท่าเรือนครปัตตาเวีย นางทำหน้าที่จัดหาผู้หญิงท้องถิ่นส่งขึ้นไปบริการพ่อค้าบนเรือของ VOC

ในรายงานของพ่อค้าของ VOC ชื่อ Jan van Wesenhage เล่าว่า สุลต่านผู้ปกครองนครในสุมาตราตะวันออกทรงประกาศว่า คำสั่งของพระองค์ที่ห้ามพ่อค้าชาวดัชต์กระทำการใดๆ ที่เป็นการหลู่เกียรติของสตรีท้องถิ่นนั้น มิได้ทรงมีพระประสงค์ที่จะกีดกั้นไม่ให้สตรีท้องถิ่นรับเงินจากการให้บริการทางเพศ "ซึ่งเป็นความยินยอมพร้อมใจของทุกฝ่าย" เพราะค่าตอบแทนใดๆ ที่พวกนางได้รับนั้นถือว่าเป็น "ค่าจ้าง". ที่ตลาดในนครบันเต็น มีการจัด"เขตพิเศษ"ไว้ให้สำหรับสตรีที่แต่งงานแล้ว ในการนำพืช ผัก ผลไม้มาขาย เพื่อไม่ให้ปะปนกับสตรีคนอื่นๆ ที่มีอิสระในการค้าขาย "สินค้าอื่นๆ"

ที่ปรึกษา-คนกลาง-สมานฉันท์
จอห์น ครอว์เฟิร์ด (John Crawfurd) นายแพทย์ชาวไอริชที่เดินทางมากับเรือของ VOC ใน พ.ศ.2354 (ค.ศ.1811) บันทึกไว้ถึงบทบาทของผู้หญิงชาวบูกิสบนเกาะชวา ในฐานะที่ปรึกษาของบุรุษ และยังระบุว่าสตรีชาวบูกิสปรากฏกายเคียงข้างบุรุษในที่สาธารณะ และเทศกาลต่างๆ อยู่เสมอ. Crawfurd บันทึกว่า ในการประชุมเกี่ยวกับกิจการต่างๆ ของเมือง จะมีการจัดที่นั่งอย่างเป็นทางการให้สตรีซึ่งทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา

อีกหลายบันทึกกล่าวถึงบทบาทและหน้าที่อื่นๆ ของสตรีชาวบูกิสไว้ด้วย เช่น เป็นนักกฎหมาย และเป็นเจ้าหน้าที่รัฐระดับผู้บังคับบัญชาที่สามารถปฏิบัติงานได้ "เฉกเช่นเดียวกับบุรุษ" พวกเธอสามารถไปพบปะกับชาวต่างชาติได้โดยไม่ต้องขอคำยินยอมจากสามี. เอกสารของ VOC ยังกล่าวถึงบทบาทของผู้หญิงชาวบูกิสในการเป็นคนกลางเจรจาการค้าและการเมืองกับชาวต่างชาติ

บันทึกฉบับหนึ่งกล่าวถึง นางดัง เตเลเล (Daeng Telele) ภริยาของ อารุง ปาลักกะ (Arung Palakka) ผู้นำชาวบูกิสว่า หลายครั้งที่นางทำหน้าที่เป็นตัวกลางเจรจาระหว่างสามีและเจ้าหน้าที่ของบริษัท VOC นางยังได้พยายามอธิบายให้เจ้าหน้าที่ของ VOC เข้าใจพฤติกรรมของสามีที่หงุดหงิด หรือสร้างความปั่นป่วนในการเจรจาว่า เป็นเพราะสำนึกในเรื่อง "ศักดิ์ศรีของความเป็นชาย"

บันทึกของชาวยุโรปที่มาพำนักที่นครอาเจะห์ กล่าวถึงบทบาทของสตรีในฐานะที่ปรึกษาไว้ด้วยเช่นกัน ในสมัยของราตูซาฟี สุลต่านหญิงองค์แรกนั้น มีสตรี 16 คนอยู่ในสภาขุนนางที่มีสมาชิกทั้งหมดจำนวน 73 คน เพื่อทำหน้าที่กำหนดกฎหมายต่างๆ ของนครอาเจะห์

ที่นครปตานี มีตำนานนครเล่าถึงบทบาทของ "ราตูบีรู (Ratu Biru)" เจ้านครหญิงองค์ที่ 2 ว่า ทรงสร้างความสมานฉันท์กับนครกลันตัน (Kelantan) ด้วยการเสด็จไปเจรจาด้วยพระองค์เองกับสุลต่านเมืองกลันตัน ทรงประสบความสำเร็จในการโน้มน้าวให้สุลต่านเห็นด้วยกับการรวมกันระหว่างนครปตานีและนครกลันตันเป็นสหพันธรัฐปตานี

บทบาทของผู้อุปถัมภ์ศาสนา
แม้ว่าหลักฐานในเรื่องการเดินทางแสวงบุญของสตรีมุสลิม แทบไม่ปรากฎให้เห็นในเอกสารโบราณต่างๆ แต่บันทึกเกี่ยวกับราตูซาฟี (Sri Ratu Safi al-Din Taj al-Alam) ผู้ปกครองหญิงแห่งนครอาเจะห์ และราตูปะกูบุวานา (Ratu Pakubuwana) ราชินีม่ายแห่งชวา สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของสตรีมุสลิมในฐานะเป็นผู้อุปถัมภ์ศาสนา

พงศาวดารย็อกยาการ์ตา และบันทึกของ The British in Java ให้ข้อมูลไว้ตรงกันว่า ในปี พ.ศ.2349 (ค.ศ.1806) บรรดาสตรีในราชสำนักย็อกยาการ์ตา ซึ่งรวมทั้งสตรีที่เป็นการ์ดด้วย ได้บริจาคเงินให้กับคณะผู้ที่กำลังจะเดินทางไปแสวงบุญที่นครเมกกะ เงินบริจาคของสตรีในราชสำนักเหล่านี้ ถูกนำไปซื้ออูฐและสมทบเป็นค่าอาหารสำหรับพิธีทางศาสนาในนครเมกกะ

ที่เมืองกรีซีค (Gresik) บนเกาะชวาตะวันออก มีสุสานของสตรีชื่อ "Nyai Ageng Pinatih" สตรีผู้นี้ได้รับการยกย่องว่าเป็น "มารดาผู้อุปถัมภ์" ในฐานะที่นางมีบทบาทเป็นผู้ส่งเสริมศาสนาอิสลาม เล่ากันว่า นางเป็นมุสลิมจากต่างถิ่นที่มาปรากฎตัวที่เมืองนี้ประมาณปี พ.ศ.2043 (ค.ศ.1500) ในฐานะเป็นผู้ควบคุมท่าเรือของกรีซีค และมีบันทึกไว้ว่า นางส่งเรือสินค้าไปที่บาหลี โมลุกกะ และกัมพูชา

บทส่งท้าย

- นครปาไซ(Pasai) เมืองท่าที่สำคัญของมุสลิมแห่งแรกในอุษาคเนย์ มีราชินี 2 องค์ครองราชย์ติดต่อกันเกือบสามทศวรรษ (พ.ศ.1948-1977)
- นครปตานี ดารุสสลามรุ่งเรืองที่สุดในยุคของเจ้าผู้ครองนครหญิงสี่คน ที่ครองบังลังก์ติดต่อกันเป็นเวลาถึง 104 ปี (พ.ศ. 2127 - 2231)
- นครอาเจะห์ ดารุสสลาม มีสุลต่านหญิง 4 คนปกครองนครติดต่อกันนานกว่าครึ่งศตวรรษ (พ.ศ.2184-2242) และภายใต้การปกครองของสตรี อาเจะห์ยังคงรักษาเอกราชไว้ได้

พุทธศักราช 2242 ด้วยโองการแห่งองค์อัลเลาะห์ บทบาทของเจ้านครหญิงถูกยุติลงที่นครอาเจะห์ ดารุสสลาม

รูปนางเมกาวะตี อดีตประธานาธิบดีหญิงในดินแดนที่มีประชากรมุสลิมมากที่สุดในโลก

พุทธศักราช 2544 นางเมกะวาตี ซูการ์โนบุตรี (Megawati Soekarnoputri) ชนะการเลือกตั้ง เพื่อเข้ารับตำแหน่งประมุขหญิงคนแรกของสาธารณรัฐอินโดนิเซีย ประเทศที่มีประชากรมุสลิมมากที่สุดในโลก

เรื่องราวของสตรี-ราณีที่ทรงอำนาจเหนือผืนน้ำ เหนือแผ่นดินอุษาคเนย์ยังถูกเล่าขานสืบมามิรู้จบ

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


บรรณานุกรม

ปรานี วงษ์เทศ. 2549. "เพศสภาวะในสุวรรณภูมิ (อุษาคเนย์)": กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน

สุภัตรา ภูมิประภาส. 2550. "สี่กษัตริยาปตานี: ผู้หญิง, บังลังก์เลือด และตำนานรักเพื่อแผ่นดิน" ใน ศิลปวัฒนธรรม ฉบับที่ 5 มีนาคม 2550: กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน

Andaya, Barbara Watsan. 2006. The Flaming Womb: Repositioning Women in Early Modern Southeast Asia: University of Hawai'I Press.

Andaya, Barbara Watsan. 1998. From temporary wife to prostitute: Sexuality and economic change in Early Modern Southeast Asia. Journal of Women's History; Winter 1998; 9, 4; Research Library Core pg.11

Andaya, Barbara Watsan. 1988. The Cloth Trade in Jambi and Palembang Society during the Seventeenth and Eighteenth Centuries, presented at the Asian Studies Association of Australia Bicentennial Conference held at the Australia National University in February 1988.

Dudley, Jennifer. 2002. Unrefereed paper for Pubtalk, Fremantle, April 2002 -
Jennifer Dudley Of Warrior Women, Emancipist Princesses, Hidden Queens and Managerial Mothers, presented for Murdoch University's Pubtalk Series in April 2002.

Lukas, Helmut. 2007. "Christoph Carl Fernberger von Egenberg: The First Austrian in Patani and Ayudhya (1624/25)": A Siam Society Lecture (in co-operation with the Centre for European Studies, Chulalongkorn University), Bangkok.

Mooreland, W.H. (ed.). 2002. "Peter Floris: His Voyage to the East Indies in the Globe, 1611-1615: White Lotus Press.

Reid, Anthony. 1988. "Female Roles in Pre-Colonial Southeast Asia" in Modern Asian Studies, Vol. 22, No. 3, Special Issue: Asian Studies in Honour of Professor
Charles Boxer. (1988), pp. 629-645.

Teeuw, A. and D.K.Wyatt. 1970. "Hikayat Patani: The story of Patani". 2Vols. The Hague.

Villiers, John. (ed.). 1989. "Nicolas Gervaise: The Natural and Political History of the Kingdom of Siam":
White Lotus Co., Ltd.

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

หมายเหตุ:

บทความชิ้นนี้เผยแพร่ครั้งแรกในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนมกราคม พ.ศ. 2552
และนำเสนอในงานสัมมนาวิชาการเรื่อง "โลกของอิสลามและมุสลิมในอุษาคเนย์" เมื่อวันที่ 28-29 เมษายน พ.ศ.2551 ที่โรงแรม ทวิน โลตัส นครศรีธรรมราช, จัดโดยมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย, บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ร่วมกับ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ (มวล.), ศูนย์บรรณสารและสื่อการศึกษา มวล., คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.), โครงการเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มธ., สถาบันไทยคดีศึกษา มธ., หลักสูตรควบตรี/โท ด้านการบัญชีและบริหารธุรกิจ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มธ., สมาคมจดหมายเหตุสยาม และกองทุนจิตร ภูมิศักดิ์, คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ (มท.), สถาบันทักษิณคดีศึกษา มท., วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มธ., ภาควิชามานุษยวิทยา คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

บทความวิชาการนี้ สามารถ download ได้ในรูป word

 

++++++++++++++++++++++++++++++++++++


สารบัญข้อมูล : ส่งมาจากองค์กรต่างๆ

ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา 3
I สารบัญเนื้อหา 4 I สารบัญเนื้อหา 5 I สารบัญเนื้อหา 6
สารบัญเนื้อหา 7 I สารบัญเนื้อหา 8
ประวัติ ม.เที่ยงคืน

สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง

webboard(1) I webboard(2)

e-mail : midnightuniv(at)gmail.com

หากประสบปัญหาการส่ง e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
[email protected]

ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ทั้งหมด กว่า 1700 เรื่อง หนากว่า 35000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)gmail.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com

สมเกียรติ ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็บไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com